ผมเคยกล่าวลาพุทธภูมิเพราะเกิดมีความคิดลามกต่อพระพุทธ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย linfuchen, 29 ธันวาคม 2012.

  1. linfuchen

    linfuchen สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +11
    ตอนนั้นมีแต่ภาพลามกความคิดลามกทั้งคำพูดแต่มันอยู่ในหัว หยุดไม่ได้มันทรมารมากเพราะผมก็รักในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กลัวบาปคิดแล้วอาจเป็นเพราะเราปรารถนาพุทธภูมิหรือเปล่า จึงขอลา แต่ปัจจุบันอาการทุเลาลงแล้วแต่เวลาจะทำความดีอธิฐานอะไรดีๆ ก็ยังมีมารบกวนบ้าง ให้ไปนรกบ้าง แต่ตอนนี้ก็ยังมีอารมณ์ปรารถนาพุทธภูมิอยู่อย่างนี้ถือว่าขาดจากพุทธภูมิหรือยังครับ ต้องสั่งสมบารมีใหม่หรือเปล่าครับ ตอนนี้ขอแค่บำเพ็ญบารมีทีละเล็กน้อยครับ มีวิธีแนะนำอะไรให้คนแบบผมบ้าง
     
  2. aor 2521

    aor 2521 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +119
    อันภาพลามก คิดลามก คิดชั่ว สารพัดจะคิด หรือสิ่งต่าง
    เรียกตามศัพท์ก็คือตัวสัญญาเก่า มันก็จะเกิด ๆ ดับ ๆ ในใจเราตลอดเวลาครับ
    เกิดกับทุกคนที่ปฏิบัติธรรม เราอ่อนแอเรื่องไหนเขาก็จะย้ำเรื่องนั้นหนักหน่อย
    ยกตัวอย่างเรานับถือพระพุทธเจ้ามาก พอเราตั้งจิตเคารพท่าน
    ก็เกิดสัญญาตัวใหม่เรียกว่าตัววิญญาณคือความรู้ใหม่
    ทีนี้พอดีกับสัญญาเก่าตัวลามกดันเกิดพอดี ยกตัวอย่างเช่นคิดร้าย
    ทำร้ายใครอยู่ดันมาเกิดพร้อมพอดี เก่าใหม่รวมกันเป็นเรื่องเดียวกัน
    เพราะเราไปเผลอปรุงแต่งว่าเป็นเรื่องเดียว กลายเป็นว่าทำร้ายคนอื่นอยู่
    ดันนึกถึงเป็นรูปท่านพอดี พอขาดสติก็เกิดความหดหู่ นั่งโทษตัวเองอยู่เรื่อยไป
    ถ้าเรานั้งสมาธิเจริญสติบ่อย ๆ เราจะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
    เราก็ดูจิตที่มันพยศไปเรื่อยว่ามันจะทำไงอีก ความคิดเก่า ๆ ของเรามีมาก
    มันก็จะวนมาให้เราเห็นเรื่องแปลก ๆ อยู่เรื่อย ๆ แหละครับ ทั้งดีทั้งชั่ว
    สัญญามันไม่เที่ยงครับ เกิดได้ เดี๋ยวมันก็ดับได้ อย่าไปทุกข์กับมัน
    คิดแต่เพียงว่า สัญญาไม่เที่ยง ไม่ใช่ของเราครับ ช่างเขาครับ
    นี่คือขั้นหยุดแบบง่าย ๆ ก่อน พอเริ่มปฏิบิติมาก ๆ เข้าจิตเริ่มมีกำลังสมาธิ
    ทีนี้เราไม่หนีตัวสัญญาแล้วครับ มันคิดอะไร เราตามเลย ว่าคิดทำไม
    เพราะอะไร ได้ประโยชน์อะไร สุดท้ายแล้วมันเที่ยงแท้ตรงไหน
    หน้าที่ของมารคือการขัดขวางการสร้างความดีของเราครับ ค่อย ๆ ขัด ค่อย ๆ แก้จิตไปเรื่อย ๆ ครับ
    เดี๋ยวดีเองครับ

    ขอยกอีกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ๆ เรื่องการปรุงแต่งของจิตครับ
    สำหรับหลาย ๆ ท่านที่ชอบดูคลิปโป๊ รูปโป๊ ชอบมองสาว ๆ หุ่นสวย ๆ แล้วจินตนาการจนติดเป็นนิสัย
    ช่วงที่เรายังไม่ได้สติ คือยังไม่ได้เริ่มมาปฏิบัติธรรมเราก็จะเห็นภาพพวกนี้ลอยมาแล้วใจก็จะนึกเพลิดเพลิน
    ยิ่งจินตนาการยิ่งมีความสุข คือสุขในกาม นึกที่ไรให้รู้สึกมีความสุข
    ทีนี้พอเริ่มคิดได้เรื่องปฏิบัติธรรม เอาง่าย ๆ เห็นรูปเทพ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใดที่เป็นเพศหญิง
    สัญญาเก่ากับใหม่มันจะตีกันทันที คือมันจะรวมเป็นเรื่องเดียวกัน เราจะคิดลามกทันที แล้วก็โทษว่าตัวเองเลว
    ไปคิดลามกกับท่านเหล่านั้นทำไม ๆ ๆ ทีนี้ก็กลายเป็นนิสัย นั่งสมาธิทีไรไม่เป็นอันสงบ นั่งขอโทษทั้งวันทั้งคืน
    เพราะเข้าใจว่าสัญญาคือตัวเราคิิด เราชั่ว เราเลว อยู่นั่นแหละครับ กลายเป็นไม่อยากปฏิบัติไป เพราะเริ่มปฏิบัติทีไร
    เรื่องพวกนี้ก็ลอยมาทุกที เราต้องอึดสู้ครับ เรื่องใดเกิดเราก็ดูไป แต่พยายามอย่าไปปรุงเพิ่ม ปฏิบัติบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ผ่านได้ครับ
    อย่างแรกคือต้องสำรวม กาย วาจา ใจ พยายาม คิดเรื่องดี ๆ พยายามไม่ปรุงแต่งจิตไปทางอกุศลครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2012
  3. Nuthsunti

    Nuthsunti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +328
    เป็นอาการของผู้ที่ยังไม่สามารถบังคับจิต ให้สงบ ระงับ ได้ เท่านั้นเอง
    วิธีแก้ ก็ไม่ยาก แต่อาจต้องใช้ระยะเวลานานหน่อยสำหรับบางคน
    วิธีแก้คือ เมื่อใด จิตฟุ้งซ่านคิด อกุศล ก็ให้ทำภาวนา ตามที่ตนเองถนัด เช่นใครชอบภาวนา พุทโธ ก็ภาวนา พุทโธ หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ ทำภาวนาต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสงบ ระงับ ช่วงแรกๆอาจต้องใช้เวลานานเป็นชัวโมงกว่าจะสงบ แต่พอทำไปบ่อยๆ ก็จะใช้เวลา ไม่กี่นาที ก็สงบได้
    บารมีที่สั่งสม เปรียบเหมือนน้ำที่หยดลงใส่ตุ่ม หยดลงไปเรื่อยๆ สักวันมันก็จะเต็มเอง
     
  4. ธรรมภัฎ

    ธรรมภัฎ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2009
    โพสต์:
    463
    ค่าพลัง:
    +734
    เมื่ิอจิตคิดปรามาสพระรัตนตรัยขึ้นมาเมื่อไหร่ ท่านให้รีบขอขมาทันทีที่รู้ตัว หรือมีโอกาสเมื่อไหร่ก็ให้ขอขมาพระเมื่อนั้น ทุกวันได้ก็ยิ่งดี เพราะวันหนึ่งๆ เรามีโอกาสพลาดได้หลายครั้ง

    ขั้นของการปรามาสแบบความคิด แสดงถึงความละเอียดของมารที่จะมาขวางเพื่อไม่ให้เราเดินหน้าบารมีในขั้นต่อไปได้

    ขั้นหยาบก็จะมาแบบรูป ให้เราได้สัมผัสได้

    ขอขมาด้วยใจจริงทัน ตายตอนนั้นก็ยังไม่ต้องลงนรก

    ส่วนพุทธภูมิหรอ ลาแล้ว ปรารถนาใหม่ก็ได้ เพราะถ้ายังเป็นนิตยะอยู่ ก็ต้องเก็บแต้มต่อไปเรื่อยๆเช่นกัน

    ส่วนอะนิตยะนั้น ท่านเก็บมาเยอะ อารมณ์ปรามาสเล่นงานยากซะแล้ว มารเลยต้องเล่นวิธีอื่นแทน

    เจริญธรรม
     
  5. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154
    อาการเบาลงแล้วยินดีด้วย

    เป็นช่วงหนักๆบางคนอาจคุยกับใครแทบไม่รู้เรื่อง

    สับสนไปหมด ทั้งจริงและเท็จ หลงหนัก พระบางรูปหรือบางคน

    วิปลาศเลยก็มี กว่าจะหายแล้วแต่บางคนระยะเวลามากบ้างเร็วบ้าง

    ขึ้นอยู่กับกรรม การทำความเพียร เจริญสติ สมาธิ และทำความเข้าใจ

    เคยฟังประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เคยมีพระมาเรียนท่าน

    ไม่แน่ใจว่า อุบาสิกาหรือพระ มีอาการที่เรียกว่า"สัญญาวิปลาศ"

    ลองหาฟังอีกครั้ง ท่านให้คาถาบทนี้ไปพิจารณา

    "สรรพสัญญาอนิจจัง

    สรรพสังขาราอนัตตา"


    ที่ผ่านมาเป็นเพียงบททดสอบ

    จะเริ่มใหม่หรือต่อเนื่องย่อมได้เสมอ

    ขึ้นอยู่กับเราพอใจ และได้ให้โอกาศกับตัวเราเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2012
  6. linfuchen

    linfuchen สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +11
    ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความรู้ความกระจ่างกับผม ผมขอขอบคุณครับ
     
  7. สรรเสริญมหาโพธิสัตว์

    สรรเสริญมหาโพธิสัตว์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +1,177
    สาธุๆอนุโมทนาบุญด้วยอย่างยิ่งครับ
    ในธรรมทานครั้งนี้
     
  8. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814

    :cool:สวัสดีปีใหม่ ปีพ.ศ.๒๕๕๖ ขอให้มี สุขี มีความสุข สุขัง มีใจเข้มขังรวมเป๋น หนึ่งเหมือนขนมครก สุขคารัง ใจเป็นสุข อยู่ในรังของธรรมะเหมือนขนมเข่ง สุขคารู ข้าวหลาม ใจรวมเป็นหนึ่ง ศูนย์กลางกาย จิตดวงเดียวมุ่งตรงสู่พระนิพพาน พลังกายใจ เป็นสุข ตลอดไป เมื่อขันข์ยังอยู่


    ผมกฎลิ้ง บังเอิญมาโผล่ที่นี่ ไม่รู้เหตุผลใด ไม่ได้ตั้งใจเข้ามา เมื่ออ่านเจอจึงเข้ามาตอบครับ ในคำพูดของคุณ พวกปราถนาสาวก เขาจะไม่เจอในเรื่องแบบนี้หรอกครับ ในส่วนของผู้ปราถนาพุทธภูมิ ที่เคยสนทนา กัน ส่วนใหญ่ จะมีในเรื่องแบบนี้ครับ แบบในกรณีของคุณ ผมเองเคยเป็นปีๆครับและเป็นหนัก จึงใช้น้อมใจขอขมาบ่อยๆ และนึกถึง ความดี ในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงอุตส่าต์ นำพระธรรมมาสั่งสอน พิจะรณาให้เห็นแก่นแท้ของพระองค์ ว่ามีความดีอย่างไร


    ก็หาเหตุผล ของพระองค์ พระองค์เป็นพระอรหันต์แล้ว ยังมีพระมหากรุณาธิคุณนำธรรมคำสอนมาสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้บรรลุตาม พระธรรมมีคุณอย่างไร พระอริยสงฆ์ มีคุณอย่างไร ผมไม่ต้องอธิบาย หาให้ละเอียด ทุกคนมีปัญญา หามาไตร่ตรองเอง มาหักล้าง ที่มารมันมาสอน นั่นแหละ เดี๋ยวใจก็คลายเองครับ เป็นมากน้อยแล้วแต่ละคน ผมน่ะ แม้ผ่านกุฏิ หลวงปู่ หลวงพ่อ หลายองค์นึกด่าก็มี อยากเตะก็มี เห็นผู้หญิงอยู่ในกุฏิท่าน หาว่าเป็นเมียท่านบ้าง มันสอนเราทุกอย่างแหละ ทั้งๆเราไม่เป็น ไม่อยาก กล่าวแบบนั้น แต่มารมันก็สอนเรา

    เราอย่าตามมันไปให้เลยเถิดไกลนัก จะเสร็จมัน แต่ก็แพ้มันบ่อยๆ แต่ก็หักล้างมันให้ได้ครับ เอาใจช่วย ผมเป็นมากกว่าที่กล่าวมา แต่ไม่ต้องอธิบายอีก แค่นี้ก้คงเข้าใจแล้ว ไปหาอ่านประวัติ หลวงพ่อ ฤาษี วัดท่าซุง ดูก็ได้ ไม่รู้เล่มไหน ท่านบอกยังปรามาส พระพุทธองค์เลย ตอนที่ท่านยังยังไม่ลา พุทธภูมิ ผมด่าตัวเองสารพัด ที่มาด่ามัน หาวิธีเอาครับ ผมบอกมาเข่าๆแล้ว ยิ่ง บารมีมาก ยิ่งเจอ มันจะเจอ สูงไปเรื่อยๆ ถ้าต่ำกว่ามันมารไม่มาลองหรอกครับ โมทนาสาธุครับ:cool:


    ขอต่ออีกนิด การลาพุทธภูมิในของคุณที่บอก คงลาไม่ขาด ถ้าลาขาด จากพุทธภูมิ คงได้ธรรมะเร็วขึ้น หรือได้มรรคผลเร็วครับ ถ้าเข้าถึงธรรมเบื้องต้น ในกรณีแบบนี้จะไม่มีครับ จะหมดไปจากใจ รักษาธรรมยิ่งกว่าชีวิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มกราคม 2013
  9. มหาพรหมราชา

    มหาพรหมราชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +903
    อาการเบาลงยังคับ ขอโอกาสนะคับ วิธ๊แก้ มีหลายวิธีแต่อีกวิธีนึง คือ ดูจิต หรือ มีสติดูความคิด ให้รู้ทัน ความคิด ความปรุงแต่ง หรือ ดูจิตเห็นการกระเพื่อมของจิตยิ่งดี เราจะแยกออก ว่า มโนภาพ หรือ ความคิดนั้น แม้อารมณ์นั้นๆ มันเหมือนมีอีกสิ่งหนึ่งมาคอยป้อนให้ มาคอยแทรก ถ้าขณะนั้นเรารู้ไม่ทันแยกไม่ออก เราก็จะคิดและเขาใจว่า เป็นความคิดของเราเอง แล้วเราก็จะสำคัญว่าเราได้ปรามาส พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ถ้าเรารู้ทังแยกออกว่า มันไม่ใช่ความคิดที่เราคิดแน่นอน จากนั้นเราก็ไม่ต้องไปยินดียินร้ายกับมัน ไม่ต้องไปยึด หรือเกาะเกี่ยว อะไรกับมัน เดี๋ยวมันจะกลายเป็น สัญญา ยิ่งเข้าทางมารเลยคับ ผมเป็นหลายปีคับ ที่เป็นหนักๆ เป็นอยู่ สอง ปี เหมือน นรก เลย สู้กันแบบ เอาขณะจิต สู้เลย เผลอไม่ได้ขาดสติไม่ได้ เจอแบบว่าทั้ง ทางใจ และทางกายด้วยอันนี้มาจากข้างบนเลย เจอตั้งแต่ อายุ 18 หนักเลย แต่ก็รอดมาได้นะคับ และที่สำคัญ ด่านทดสอบยังมีรออีกต่อๆไปนะคับ ถ้าผ่านได้กำลังใจและสติปัญญาก็ยิ่งมากขึ้นนะคับ เหมือนคำที่ว่า มารไม่มีบารมีไม่เกิดคับ ขอให้ ชนะ และ ผ่านไปได้ด้วยดีนะคับ
     
  10. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    มารมาทดสอบลักษณะแบบนี้เหมือนกันทุกคนเลยหรอเนี่ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 มกราคม 2013
  11. โพธิวิถี

    โพธิวิถี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    150
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +580
    จะลาพุทธภูมิ จริงเหรอ

    อนุโมทนาจิตครับกับการปรารถนาพุทธภูมิ ควรทราบว่า ผู้ปรารถนาใหญ่ย่อมลำบากมากกว่าคนอื่นๆ อีกมาก ในชาดกได้กล่าวถึงเรื่องการบำเพ็ญตะบะ ขอพระโพธิสัตว์ คราวที่ออกบวชเป็นฤาษี เคยทุบทำลาย ขว้างทิ้งเครื่องมือเกษตร (เข้าใจว่าจะเป็น จอบขุดดิน) อยู่หลายครั้งกว่าจะตัดใจได้ ดูในปัจจุบัน ก็มีเปรียบกับการยืนและหัดเดินของเด็กทารก ย่อมมีหกล้ม ตั้งไข่ไปมาตั้งหลาย ๆครั้ง กว่าจะเดินได้ พูดได้ กินได้ เล่าเรียน เรียนรู้สิ่งต่าง ๆตามธรรมชาติ แน่นอนบุคคลทั่วไปอาจจะเรียนรู้พอประมาณก็พอแล้ว แต่กับการปรารถนา พุทธภูมิ ต่างกันมากมาย วัดกันไม่ได้ถึงได้มีผู้ขอลาพุทธภูมิ มากกว่าครึ่ง เรียกว่าเกือบ ร้อยเปอร์เซนต์ ครับ ท่านกล่าวไว้ว่า ผู้ปรารถนาพุทธภูมิเป็นผู้มีตันหามากที่สุดในโลกเลย แต่เป็นความอยากฝ่ายกุศล สู้ไปเถอะครับอย่าลาออกจากพุทธภูมิเลย มีพระโพธิสัตว์อีกมากมาย ที่กำลังสร้างบารมีไป สร้างกำลังใจให้ตัวเองและสร้างกำลังใจให้เพื่อนผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ด้วยกันอยู่เสมอ เหมือนที่ผมกำลังให้กำลังใจท่านอยู่ในขณะนี้ ทางนี้เป็นทางอันเอก หาสัตว์ในสงสารทีจะปรารถนาดังเช่นพวกเราได้น้อยมาก ๆ ๆ ๆ เพียรสร้างมหากรุณาให้ทวีคูณขึ้นมาก ๆ หากจะท้อ ก็อย่าให้เป็นท้อแท้ครับคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของหน่อพระโพธิสัตว์ที่ยังอ่อน ๆ อยู่ยังไม่มั่นคง รอเวลาที่จะ เติบโต สู่พุุทธภูมิ (เป็นชื่อที่ใช้ในเฟสบุ๊ค ของผมด้วยครับ) ขอให้เจริญในพุทธภูมิบารมี จนถึงพุทธบารมีเต็มรอบ ได้เป็น นิตยโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้ในการตรัสรู้อริยะสัจจ์ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลอันใกล้นี้เทอญ สาธุ สาธุ สาธุ นโมโพธสัตโต ขอนอบน้อมแดพระโพธิสัตว์เจ้าทุก ๆพระองค์ด้วยเศียรเกล้า :cool:
     
  12. lowprofile

    lowprofile เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,391
    ค่าพลัง:
    +6,023
    ผมก้อเป็นครับ ประจำอย่าท้อครับ หลายท่านได้กล่าวไว้ดีแล้ว ชอบแล้ว สาธุ
     
  13. tuanong

    tuanong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +559
    เป็นธรรมดาของสัตว์ครับ แต่ว่าเมื่อผิดแล้วก็ต้องไม่ควรผิดอีก

    ยังมีกิเลสอยู่ปัญหาทุกข์มากมายมันก็ต้องมีอยู่แล้ว

    ไม่ใช่ว่าจะสนับสนุนให้เจ้าของกระทู้คิดไม่ดี แต่ว่าเจ้าของกระทู้ต้องใจเย็น

    เรื่องของใจสามารถควบคุมได้ด้วยวินัย และศีล
     
  14. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:,kiw,j มารไม่มีบารมีไม่เกิดครับ มันไม่ใช่สนับสนุน คุณมันไม่เข้าใจต่างหาก เพราะไม่เคยโดน ผมว่าเจ้าของกระทู้ถามได้ดีมากครับ คนที่เคยเป็น หรือกำลังจะเป็นเขาจะได้ ทำใจถูก :cool: มันไม่เกี่ยวกับศิลหรือวินัยเลย:cool: นะจะบอกให้ มันเกี่ยวกับภูมิจิต ภูมิธรรมที่จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆต่างหาก ใครจะผ่านเร็วหรือช้า นั่นข้อสำคัญ หรือมารจะเอาไปกิน นั่นคือประเด็นของกระทู้นี้ คนไม่เข้าใจจะได้เข้าใจ คนเข้าใจแล้ว จะทำให้มีกำลังแก่กล้า หรือ ข้ามให้พ้น หรือหาหนทางแก้ไขต่างหาก


    รักษาศิล กับมีวินัยเฉยๆ มันไม่สามารถระงับได้ ต้องรงับด้วย ทาน ศิล เจริญ ภาวนา รงับด้วยปัญญาญาณ อันชาญฉลาดครับ ไม่งั้นพ้นมันยาก ภาวนาเฉยๆก็ยาก ถ้าไม่ใช้ปัญญาพิจรณา ให้เห็น แท้จริง จนจิตใจ ของเราเกิดปัญญา ยอมรับแห่งความเป็นจริง แค่นี้แหละครับ ทุกคนพอจะเข้าใจแล้ว:cool:
     
  15. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    สวัสดีปีใหม่ครับทุกคน

    สู้ๆ ครับ เป็นกำลังใจให้ (f)

    คิดว่าทุกคนต้องผ่านระดับนี้ไปให้ได้ เพื่อวิวัฒน์ไปสู่จุดที่สูงขึ้น
    ใช้เวลาเป็นปี แม้ลดลงหรือคล้ายระงับ ... ยังคงต้องระวัง
    อะไรๆ ไม่แน่นอน อย่างที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่าอย่าประมาทครับ

    เจอบททดสอบมาก ยิ่งต้องเรียนรู้ให้มาก
    เรียนรู้ได้มาก ย่อมเติบโตได้มาก
    เติบโตได้มาก ย่อมประสบความสำเร็จได้มาก

    เห็นโลกกว้างขึ้นเท่าไร เราย่อมเล็กลงเท่านั้น

    ยังมีอะไรที่เราต้องเรียนรู้อีกมาก
    ลองอดทนสู้ต่อไปไม่วางมือ เหนื่อยก็พัก เต็มอิ่มก็ลุยต่อ

    หากมีอุปสรรค ก็ให้คิดเสียว่า คือบททดสอบ

    คนเราเวลาเล่าเรียนยังมีการสอบกลางภาค ปลายภาค สอบไล่ ฯลฯ
    จุดประสงค์เพื่อทดสอบตัวเอง ว่าเราพร้อมสำหรับชั้นที่สูงขึ้นไปหรือยัง

    บททดสอบชีวิตก็ไม่ต่างกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มกราคม 2013
  16. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,717
    ค่าพลัง:
    +5,514
    ผมเคยกล่าวลาพุทธภูมิเพราะเกิดมีความคิดลามกต่อพระพุทธ[/B].....................................................................................
    ต้องมั่นใจว่า เข้าใจคำว่า"พุทธภูมิ"อย่างชัดเจน ก่อนจะแค่นึกๆก็อยากเป็นพุทธภูมิหรือแค่นึกๆก็อยากลาพุทธภูมิ อธิบายความหมายของพุทธภูมิมีกระจายอยู่มากมายหลายแห่งในพระไตรปิฎก ๘๔๐๐๐ ขันธ์หรือราวๆ ๒๔ ล้านอักษร ต้องอ่านพระไตรปิฎกให้ละเอียดมากๆแล้วสอบถามนักปราชญ์(พระ,ผู้ปฏิบัติธรรม,ผู้ชำนาญพระไตรฯ)ให้มากๆ แล้วกลับไปอ่านพระไตรฯสลับกับการถามนักปราชญ์พร้อมๆกับปฏิบัติฝึกจิต ---ในที่สุดจะตอบคำถามตนเองด้วยตนเอง
     
  17. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ถ้าใครสักคนได้มีโอกาสเดินทางไปในหลายๆๆ ที่หลายๆๆแห่งในโลก ใบนี้ สิ่งหนึ่งที่พวกเขาจะเห็นก็คือโลกใบนี้มีปัญหามากมายมหาศาล ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม สิทธิ เสรีภาพ ปัญหาความอดยาก การฆ่าตัวตาย ยาเสพติด โรคภัยไข้เจ็บชนิดใหม่ๆๆ สัญญาที่ไม่เป็นจริงของระบบทุนนิยมเสรี และ อื่นๆๆ มากมาย นอกจากนี้หากเขาเรียนรู้ที่จะสังเกตดูผู้คนบนโลกใบนี้ เขาก็จะพบว่า มีผู้คนบางคนที่มีชีวิตอยู่ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน พวกเขามีชีวิตโดยไม่รู้ดีรู้ชั่วใช้ชีวิตเพียงหายใจทิ้งเล่นไปวันๆๆ อยู่กับการกิน การนอน การเสพกาม ในขณะที่ก็มีคนประเภทสัตว์นรกที่ในใจมีแต่ความรุ่มร้อนไปด้วยความชิงชังรังแต่จะนึกคิดเพียงการแข่งขัน แย่งชิง ทำลายคนอื่น มีพวกเปตรที่หิวโหยตลอดเวลาทั้งๆๆ ที่เขามีมากเกินกว่าที่เขาจะใช้ได้หมดในชาตินี้ มีพวกเทพเทวาที่มีชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่รู้ว่า ความสุขที่มีนั้นแท้ที่จริงแล้วหาได้ยั่งยืนอย่างไรไม่ ด้วยเหตุนี้คนพวกนี้แม้จะได้มีความสุขทุกๆๆรูปแบบที่คนทั้งโลกนิยามให้ แต่ก็ยังคงไม่รู้สึกว่าความสุขนั้นเติมเต็มบางสิ่งที่ลึกๆๆลงไปในใจได้

    อะไรคือรากฐานของปัญหาทั้งหมดนี้ ผู้คนเป็นอะไรไปกันนะ ขอให้มองดูตรงๆๆ แล้วเราจะรู้ว่า ที่ผู้คนกลายมาเป็นอย่างงี้ เสียมากก็เป็นเพราะว่า เขามิได้แลเห็นคุณค่าของตัวเอง นั้นเอง และเมื่อไม่เห็นคุณค่าของตนเอง เขาก็ไม่สามารถที่จะเห็นอกเห็นใจและอ่อนโยนต่อตัวเองได้ ดั้งนั้นชีวิตทั้งชีวิตของเขาจึ่งปราศจากความกลมกลืนหรือสันติสุขภายใน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ก็เพราะเราทุกคนรู้ดีว่าสรรพสิ่งนั้นอิงอาศัยเชื่อมโยงถึงกัน ดังนั้นคนแบบนี้ก็จะกระทำต่อผู้อื่นแบบขาดความกลมกลืนและสับสนด้วยเช่นกัน และสิ่งนี้นี่เองที่สร้างโลกที่อาจจะนิยามได้ว่าเป็นนรกบนดินขึ้นมา อย่างทุกวันนี้

    จากนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งพูดว่า โลกใบนี้ช่างทุกข์โศก และ คงความยากลำบาก ความอึดอัดขุ่นเครืองยิ่ง เอาละ เรามาตั้งจิตภาวนา มาสั่งสมบารมีกัน เพื่อไปยังโลกใหม่(ในอนาคตอย่างหลังจากตายไปแล้ว) ที่มีแต่คนดีๆๆ คนที่มีความสุขไม่มีความทุกข์ ไม่มีเรื่องเฮงซวยทั้งหลาย อย่างที่มีอยู่บนโลก และ เขาก็เรียกโลกแบบนี้ว่า พุทธภูมิ ซึ่งมีแดนสุขาวดีเป็นหนึ่งในนั้น

    ซึ่งเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก รู้อะไรไหม?พ่อหนุ่ม เจ้าของกระทู้ ถ้่าเอ็งสถาปนาสันติสุขในใจ ความกลมกลืนไม่ได้ในที่นี่เดี๋ยวนี้ แล้วเอ็งจะไปหวังที่จะสร้างสันติสุขความกลมกลืนในใจในอนาคตในที่ื่อื่นได้อย่างไร? เพราะนรกนั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เอ็งรู้จัก แล้วเอ็งจะไม่อึดอัดหรอที่จะไปอยู่ในที่ที่ต่างออกไปแบบสุดขั่ว ยิ่งกว่าการไปต่างประเทศ ในที่ซึ่งเอ็งไม่เคยรู้จักและไมู่้รู้อะไรเลย เอ็งคงจะบ้าตายห่า พอดี ถ้าได้ไปอยู่ในพุทธเกษตรขึ้นมาจริงๆๆ เอ็งคงจะคิดถึงโลกถึงนรกคนเป็นใบนี้ เสียมาก จนเอ็งต้องหนีกลับลงมาเลยล่ะ คิดดูสิคิดถึงคนที่ไปเที่ยวต่างประเทศไปอยู่นานๆๆ มันก็จะคิดถึงบ้าน อยากมาตายที่บ้านเกิด อยากกลับมาจูบแผ่นดินแม่ นี่ก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นจงสถาปนาสันติสุขและความกลมกลืนในใจเอ็งบนโลกใบนี้ให้ได้ก่อนเถิด แล้วค่อยไปหวังโลกอื่น ถ้าเอ็งหาพุทธเกษตรที่นี่ตรงนี้ไม่พบเอ้งก็ลืมเรื่องพุทธเกษตรที่จะลุถึงหลังความตายไปได้เลย เอ็งเข้าใจไหมล่ะ พุทธเกษตรนะจริงๆๆมันไร้ขอบเขตนะ มันดำรงอยู่ได้ในทุกๆๆที่ทุกๆๆกาลเวลา ไม่ว่าจะอดีต อนาคต ปัจจุบัน ดังนั้นจงมองหามันให้เจอที่นี่ตรงนี้ก่อนเถิด แล้วจะรู้เองว่าสิ่งที่ดูเหมือนไม่ได้อยู่ตรงหน้านี้แท้ที่จริงแล้วก็อยู่ใต้จมูกเรานี่แหละ โดยจะต้องกระทำผ่านการเห็นคุณค่าความหมายของชีวิต และการใส่ใจต่อภาวะการดำรงอยู่หันมารับผิดชอบตัวเองเพื่อที่จะยกชีวิตของตนให้สูงขึ้น เข้าใจไหมล่ะ เอ็งบอกว่า เอ็งมักมีความคิดลามกวิปริต แต่นั้นเป็นเรื่องปกตินะ ก็มันคือความคิดนี่มันไปได้ร้อยแปดนั้นแหละ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เอ็งควรจะรู้นะ ว่ามันไม่ใช่ของจริง นี่คือประเด็นล่ะ ความคิดโดยตัวมันเองแล้วแทบจะไม่มีพลังอะไรเลย ยกเว้นเอ็งนั้นแหละไปสุ่มไฟใส่มัน จนมันเข้มข้นขึ้นจนกลายมาเป็นเจตนา(หรือเจตจำนง) และผลักดันให้เกิดการกระทำขึ้นมา


    เอาล่ะ แล้วอะไรคือปัญหาของเอ็งล่ะ ปัญหาของเอ็งก็คือการที่มักจะประณามหรือลงโทษตัวเอง(ในที่นี่คือความคิดอกุศล) นั้นแหละ และนี่เป็นสิ่งที่เอ็งควรจะเลิกบ้าเสียที เพราะ เมื่อใดที่เอ็งเลิกประณามมันหรือลงโทษตัวเอง เมื่อนั้นเอ็งจะผ่อนคลายมากขึ้น จนกลับมาให้ความสำคัญแก่ร่างกายและจิตใจ อีกครั้ง ความคิดอกุศลไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือ การไม่ยอมรับว่าเอ็งมีมัน การประณามมัน และ ลงโทษตัวเอง สิ่งนี้สร้างกลไกหลอกตัวเองที่เป็นความอยากขึ้น คือความอยากที่จะเป็นผู้บริสุทธิ์ ผู้ไม่มีความคิดอกุศล ผู้มีแต่ความคิดที่เป็นกุศล ซึ่งสะท้อนออกมาเป็นความปรารถนาที่จะได้มาซึ่งพุทธภูมิ ดังนั้นเอ็งจึงพูดว่าทำยังไงผมจะบรรลุพุทธภูมิได้ครับ คนบาปแบบผมจะไปได้ไหม? หรือต้องขอม้วนเสื่อกลับบ้านดีครับ เข้าใจไหมล่ะ จิตสำนึกของคนเรานะมันเป็นเหมือนลุกตุ้มนั้นแหละ ถ้าเอ็งรู้สึกขาดอะไรเอ็งก็จะวิ่งไปที่ขั่วตรงข้าม เช่น ผมมันเป็นไอ้ขี้ขลาดครับ ดังนั้นเอ็งก็ดิ้นรนจะสร้างภาพว่าเอ็งไม่ใช่ไอ้ขี้ขลาด แต่เป็นคนที่มีความกล้าขึ้นมา และก็ดิ้นรนที่จะวิ่งเข้าหาความกล้านั้น ซึ่งเป็นอุดมคติที่ตัวเองสร้างขึ้น และตรงนี้มีรอยต่อระหว่างอุดมคติกับสิ่งที่เป็นอยู่จริง จึ่งมีความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่ฉันเป็น และสิ่ีงที่ฉันอยากจะเป็น ตรงนี้แหละที่สร้างความทุกข์ ความไม่สบายใจขึ้นมา เข้าใจไหมล่ะ คำพูดว่าผมควรลาความคิดที่จะได้ลุถึงพุทธภูมิ ของเอ็งนะมันสะท้อนว่าเอ็งเกิดความขัดแย้งสับสนระหว่างอุดมคติที่ตนเองสร้างขึ้น กับสิ่งที่เอ็งเป็นเสียแล้ว

    ดังนั้นคำถามก็คือเอ็งจะยุติอุดมคติทั้งมวลและหันมายอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่จริงได้หรือไม่? ทั้งนี้สิ่งนี้จะต้องเป็นไปอย่างฉับพลันนะ ไม่ใช่กลไกแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะนั้นหมายความว่าเอ็งสร้างการประวิงเวลาขึ้นมาและไม่ได้อยากที่จะยุติปัญหาลงอย่างแท้จริงเลย และบางทีนะบางทีถ้าเอ็งยอมรับตัวเอ็งได้มากขึ้น เอ็งก็จะเริ่มรู้สึกได้ถึงรากฐานแห่งความดีงามในตัวเองได้ ซึ่งจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เอ็งจะต้องมีความตั้งใจ ที่จะเปิดเผยตัวเองให้ตนเองได้รับรู้ ซึ่งเดี๋ยวเราจะพูดกันต่อไป และเมื่อเอ็งได้รู้สึกถึงรากฐานแห่งความดีงามในตัวเอง เอ็งก็จะสร้างเสริมความรู้สึกอ่อนโยนต่อตนเองขึ้นมาได้ สิ่งนี้ย่อมที่จะช่วยเอื้อให้เอ็งได้เห็นถึงปัญหา และ ศักยภาพของตนอย่างชัดแจ้ง ถือได้ว่าเป็นการเห็นคุณค่าของตนเองซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากในการช่วยเหลือตัวเองและผู้อื่น ได้

    แลในฐานะมนุษย์ เราย่อมมีวิถีทางอยู่ภายในตัวเองแล้ว ซึ่งสามารถช่วยยกระดับภาวะภายในและนำความผ่องแผ้วเบิกบานมาสู่ตัวเรา แลวิถีทางสายนั้นรอคอยให้เราก้าวเดินไปอยู่ตลอดเวลา เรามีจิตใจและมีร่างกาย ทั้งสองสิ่งนี้เป็นสมบัติล้ำค่าเพื่อใช้ในการเรียนรู้และเข้าใจโลกนี้ ทั้ง ภาวะการดำรงอยู่นั้นก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์ แม้ว่าชีวิตนี้จะสั้นก็ตาม แต่เราก็สามารถที่จะใช้มันแบบมีคุณค่าอย่างเต็มที่ แลเพื่อเปิดประตูสู่ นิรันดร์ภาพเหล่านี้ ในวัฒนธรรมทางจิตวิญญาณตะวันออก เรามีแบบแผนการปฎิบัติอันเก่าแก่ ที่เรียกว่าการปฎิบัติสมาธิ ซึ่งหมายถึง การดำรงอยู่ในสิ่งธรรมดาสามัญอันเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุด เช่น การนั่ง การนอน การกิน การเดิน นอกจากนี้ยังหมายถึงการเพ่งพินิจพิจารณาดูบางสิ่งบางอย่าง เพื่อตริตรึกในปัญหาหรือข้อยุ่งยากบางประการจนสามารถพบทางออกได้ หรือ กระทั้งความเข้าใจที่ว่าสมาธิคือ การนำไปสู่สภาวะทางจิตบางอย่าง

    อย่างไรก็ตามเราจะพูดถึงสมาธิในบริบทที่ว่า เป็นการเดินทางภายในอันไร้จุดหมาย เป็นการฝึกฝนสภาวะแห่งการดำรงอยู่เพื่อให้กายและจิตบรรสานกัน จากนั้นเราจะพบเองว่าความจริงแล้วภายในตัวเราเองนั้นไม่มีรากฐานของความไม่พึงพอใจต่อใครหรือต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่เลย

    โดยเราจะมาเริ่มกันที่การนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น จงลืมทุกอย่างที่เอ็งเคยเรียนรู้มาเกี่ยวกับสมาธิไปซะ แล้วถือว่าเอ็งกำลังเริ่มใหม่ ที่นี้ตระหนักว่า เพียงนั่งลงเฉยๆๆ แต่หนักแน่นตั้งมั่นบนพื้นดิน และอาศัยเพียงการหยุดตั้งมั่นลงตรงนั้น ชีวิตของเราก็กลายเป็นหนทางที่เป็นการเดินทางอันไร้จุดจบและแสนมหัศจรรย์แล้ว

    โดยกายของเอ็งต้องตรง โดยจะต้องไม่พิงสิ่งใดเพื่อให้มันตรงขึ้น สาเหตุที่เริ่มจากท่านั้งก็เพราะมันเป็นท่าที่ทำได้ง่ายที่สุดนั้นเองในขั้นพื้นฐาน แล การเหยียดหลังตรงมิใช่ท่าทางที่ขัดธรรมชาติแต่อย่างใด ดังนั้นจงอย่าได้รู้สึกอึดอัดกับมันเลย เอ็งเพียงแค่ต้องคุ้นเคยกับมันหน่อย อย่างไรก็ตามหากว่าเอ็งเป็นคนที่นั้งเหยียดหลังตรงอยู่แล้วโดยธรรมชาติ นี่ก็จะไม่เป็นปัญหาอะไร ทีนี้ หากร่างกายของเอ็งโอนเอียงง่อนแง่น พึ่งรู้ว่านั้นเป็นท่านั่งที่ผิดธรรมชาติ เอ็งอาจจะสงสัยว่า ทำไม? ขอให้ลองสังเกตลมหายใจ จะพบว่า เอ็งไม่อาจหายใจได้สม่ำเสมอเมื่อร่างกายโอนเอียง แลความโอนเอียงนั้นก็ยังเป็นสัญลักษณ์บ่งชี้ถึงการยอมจำนนแก่ความบ้าบอคอแตกบางอย่างของจิตในเบื้องลึกด้วย ดังนั้นจงนั่งตัวตรงเพื่อประกาศความภาคภูมิในฐานะ ผู้ซึ่งเป็นนักรบบนหนทางแห่งความตื่นซะ ทีนี้เมื่อนั่งไม่จำเป็นต้องคิดว่าเราจะนั่งเพื่อบรรลุสภาวะจิตที่ถูกต้อง เพียงแค่ดำรงอยู่อย่างเป็นธรรมชาติพื้นฐาน อย่างการมีท่านั่งที่ถูกต้อง เอ็งก็ได้บรรลุถึงจิตที่ถูกต้องบริสุทธิ์แล้ว ....ล่ะ

    สิ่งนี้ก็คล้ายๆๆกับบทกวีในThe Prophet ที่กวีทางจิตวิญญาณ คาลิล ยิบราน ได้พูดผ่านตัวละคร ที่เขาสมมติให้เป็นศาสดานามว่าอัลมุสตาฟา ในเรื่องการบรรลุอิสรภาพทางจิตวิญญาณว่า “เธอมิอาจจักเป็นอิสระได้ ทั้งๆๆที่ยังมีความกระหายในอิสรภาพนั้นเองเป็นบังเหียนเหนี่ยวรั้งเธออยู่ และเมื่อเธอเลิกที่จะกล่าวว่าอิสรภาพนั้นแหละ คือจุดมุ่งหมายปลายทางของการบรรลุผล เธอย่อมเป็นอิสระเป็นแน่แท้ ทั้งๆๆที่วันและคืนแห่งความทุกข์ระทม ความต้องการ และความรับผิดชอบยังคงที่จะผูกมันเหี่ยวรั้งชีวิตของเธอไว้ เธอย่อมหลุดลอยแลขึ้นอยุ่เหนือมันได้ เปล่าเปลือยและไม่ถูกมัด” ซึ่งก็สอดคล้องกับนิยามของท่าน เชอเกียม ตรุงปะ เกี่ยวกับสมาธิว่า “การภาวนา หมายถึง การรับรู้อัตตาตามความดิบที่ยังไม่ได้ถูกตบแต่งให้ดูดี หากมีอะไรมากไปกว่านี้ มันก็จะพอกเป็นหน้ากากที่หนาและหนัก เป็นชุดเกราะที่หุ้มห่อตัวเราที่แท้จริงเอาไว้ื เราต้องเข้าใจว่า สาระสำคัญของการฝึกฝนทางจิตวิญญาณคือการก้าวออกจากอำนาจของอัตตา นั่นคือการก้าวออกจากความปรารถนาอันไม่มีทิ่สิ้นสุด ที่อยากจะได้ อยากจะมี ความรู้ ญาณปัญญา บารมี คุณงามความดี ที่สูงส่งยิ่งๆ ขึ้นไป หรืออาจเป็นเป้าหมาย ผลลัพธ์ บุญกุศลอะไรก็ตามที่อัตตากำลังแสวงหา เราต้องถอนตัวออกจากวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ เพราะหากไม่ออกมา และยังยืนยันที่จะฝึกตนบนหนทางของการอยากได้ อยากเอา อยากไปนั่น บรรลุนี่ เราก็จะพบตัวเองเป็นเจ้าของคอลเล็กชั่นทางจิตวิญญาณ . . .” นั้นแล

    ทีนี้แม้ว่าการนั่งหลังตรง จะเสมือนวินัยบางอย่างที่กำลังใช้ควบคุมความวิปริตของจิต ก็พึ่งเข้าใจว่าจะต้องปฏิบัติโดยไม่ให้ตึงเกินไป จนถึงขั้นต้องไปฝืนตัวเองโดยการเกร็งตัวยกไหล่ จนอึดอัด โดย ความตั้งตรงนี้ขะต้องเกิดขึ้นตามธรรมชาติโดยการนั่งอย่างง่าย ๆ ทว่ามั่นอกมั่นใจ ไม่ว่าจะนั่งอยู่อยู่บนพื้นหรือบนหมอน ศีรษะควรที่จะตั้งตรงด้วยอันสื่อถึงว่า ไม่ว่าอะไรจะอุบัติขึ้นเอ็งจะไม่ยอมโอนอ่อนให้แก่มัน ดังนั้นเอง หัวไหล่ของเอ้งจึงเหยียดตรงโดยอัตโนมัติ พักขาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ ในท่วงท่าขัดสมาธิ ในการนี้เข่าของเอ็งไม่จำเป็นต้องราบชิดกับพื้นก็ได้ จากนั้นวางมือลงแผ่วๆ หันฝ่ามือลงบนขาอ่อน นี่ก่อให้เกิดความรู้สึกว่า เราได้ดำรงอยู่ในที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว จากนั้นขอให้มองที่เท้าที่ขัดกันอยู่หรือมือที่ซ้อนทับกันอยู่ สิ่งนี้สื่อถึงความเป็นหนึ่งเดียวไม่แบ่งแยกซ้ายแยกขวา อันสื่อถึงความเร้นลับของพุทธธรรม ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายความคิดแบ่งแยกเชิงทวิลักษณ์ อย่างเกิดตาย ซ้ายชวา มาไป ดีชั่ว มีไม่มี

    และในท่วงท่าดังกล่าว ก็ไม่จำเป็นต้องเพ่งมองไปรอบๆ อย่างไร้จุดหมาย เพียงแค่รับรู้การดำรงอยู่ตรงนั้นของตนเองนั้นก็เพียงพอแล้ว ดวงตาไม่จำเป็นต้องปิด แต่เพ่งตรงออกไปบนพื้นเบื้องหน้า ห่างสักช่วงหนึ่ง เพื่อที่มันจะได้ไม่วอกแวก

    นี่คือปฐมบทของการปฏิบัติ จากนั้นพึ่งรู้ว่า สมาธิไม่ได้ปฏิบัติแค่ในขณะนั่งเท่านั้น ในชีวิตประจำวันก็เช่นกัน ที่เราจำต้องตระหนักถึงท่วงท่าของตนเอง และดำรงไว้ซึ่งสภาวะอันลุ่มลึกของสติเอาไว้ เพราะยิ่งมีสติตระหนักรู้มากเท่าไหร่เราก็ยิ่งตระหนักถึงการมีชีวิตอยู่มากเท่านั้น เมื่อ เซกิโตะ อ.เซน ได้เข้ามาหา ท่านผังผู้เป็นศิษย์ เซกิโตะ ถามท่านผังว่า “ในชีวิตประจำวัน เธอปฏิบัติอย่างไร?บ้าง” ท่านผังตอบว่า”ข้าพเจ้าไม่อาจจะพูดถึงสิ่งนั้นได้” อ.เซกิโตะพูดว่า “แน่นอนฉันรู้” ท่านผังกล่าวว่า “กิจวัตรประจำวันของฉันไม่มีอะไรมาก? เป็นแค่เพียงการทำตัวให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติ ไม่ยึดไม่ทิ้งอะไร? ในทุกๆๆที่ไม่มีอุปสรรค ไม่มีความขัดแย้ง อิทธิฤทธิ์ และ กิจกรรมที่น่าอัศจรรย์ของฉัน คือการตักน้ำและ ฝ่าฝืน” ในวัชรสูตรมีข้อความว่าว่า “พุทธธรรม คือ สิ่งที่ไม่ใช่พุทธธรรม” บ่อยครั้งที่เรามักบอกว่านี่คือการปฏิบัติธรรม นั้นไม่ใช่การปฏิบัติธรรม แต่กระนั้นประเด็นคือ ไม่ว่าเราจะทำอะไร ถ้าหากว่าเราไม่ได้กระทำอย่างมีสตินั้นย่อมไม่อาจจะเรียกได้ว่าเราได้ปฏิบัติธรรม แม้ว่าเราจะกำลังกราบสักการะพระพุทธองค์ก็ตามที แต่ถ้าใจของเราไม่ได้อยู่ที่นั้น นั้นย่อมไม่ใช่การกราบที่แท้จริง แต่ถ้าหากเรากระทำสิ่งต่างๆๆอย่างตื่นรู้แล้วล่ะก็การตักน้ำ และ ฝ่าฝืนนั้นย่อมเป็นการปฏิบัติธรรมทั้งสิ้น ในสมัยพุทธกาล เมื่อมีคนถามพระพุทธองค์ว่า “นี่พระโคดม มรรคของท่านเป็นอย่างไร?ท่านตอบว่า "ก็ไม่มีอะไรมาก ตถาคตก็แค่ เดิน นั้ง นอน กิน ไปตามปกติ" ผู้ที่ได้ยินเช่นนี้จึ่งถามว่าถาม"ท่านโคดม ก็ไม่เห็นว่ามันจะต่างอะไรจากที่เราทำๆๆกันอยู่อย่างเป็นปกติ" พระพุทธองค์ตรัสว่า "ต่างสิท่าน ท่านไม่เห็นหรือว่าคนทั่วไปล้วนกระทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้แบบคนหลงละเมอ แต่ตถาคตกระทำทุกๆๆสิ่งเหล่านี้อย่างมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม" เห็นความสำคัญของการดำรงสติไว้ทุกๆๆการกระทำหรือยังล่ะพ่อหนุ่ม สิ่งนี้แหละคือบทเรียนเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดในการจุดประทีปแห่งความดีงามพื้นฐานล่ะ

    กลับมาที่การนั่ง หลังจากนั่งได้ถนัดดีแลัว ก็หันมาพิจารณาดูลมหายใจ เมื่อหายใจ ก็ต้องตระหนักรู้ว่าตนหายใจ(เข้าหรือออก) อันสื่อถึงว่าขณะนี้เอ็งกำลังดำรงอยู่ที่นั่นอย่างแท้จริง สมมติว่าเริ่มด้วยการหายใจเข้า เมื่อผ่อนลมหายใจออก ให้ถือว่า ความยึดติดในความเป็นฉัน ภาพลักษณ์ที่ฉันสร้างขึ้นมาว่าเป็นฉันหรือที่ฉันอยากให้เป็นนั้นได้จางหายไป กระจายหายไป พร้อมลมหายใจ จากนั้นลมหายใจเข้าก็เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ก็แค่ตระหนักรู้ และพร้อมที่จะหายใจออกอีก ออกไปและละลายตัวเองไป พรู กลับมาอยู่ที่ท่วงท่าอีก แล้วก็พรู และกลับมาอยู่กับท่วงท่าอีกครั้ง

    ในตอนนี้ บางสิ่งจะผลุดขึ้นมา ใช่แล้ว ความคิดนั่นเอง ก็เพียงแต่พูดว่า "ความคิด" ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาดังๆ เพียงแต่กล่าวในใจว่า "ความคิด" การเอ่ยเรียกความคิดจะช่วยปรับให้กลับมาจดจ่ออยู่กับลมหายใจใหม่ เมื่อมีความคิดหนึ่งใดชักนำให้เอ็งหันเหออกนอกทางที่เอ็งเดินอยู่ หลุดลอยไปอดีตไปอนาคต เช่นพรุ่งนี้มีประชุม ค่าเทอมลูก เมื่อวานทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน ก็เพียงแต่พูดว่า "เจ้าความคิด" และกลับมาสู่ลมหายใจใหม่อีกครั้ง พึงรู้ว่ามันไม่สำคัญหรอกว่าจะมีความคิดแบบใดเกิดขึ้น เพราะในการนั่งสมาธิ ไม่ว่าเอ็งจะมีความคิดอันเลวทรามหรือสูงส่ง ทั้งหมดถูกถือเป็นความคิดเช่นเดียวกัน ไม่มีทั้งบุญหรือบาป นี่คือเรื่องไร้สาระ ความคิดจะวิปริตเพียงใดก็อย่าไปข่มมัน ปล่อยมัน เพียงแค่รู้ว่ามีมัน ไม่จำเป็นต้องดัดจริต บอกตัวเองว่าอย่าคิดสิ คิดบวกสิ คิดบวก เพียงแค่ระลึกรู้และอยู่กับลมหายใจ อย่าประนาณมัน แม้ว่ามันจะเป็นความคิดที่จะอยากฆ่าพ่อของตัวเอง อยากร่วมรักกับเมียเพื่อน อยากเหยียบหัวพระพุทธเจ้า หรืออื่นๆๆ เพียงแต่เฝ้าดูมัน เหมือนกับความคิดที่เป็นบวก หรือกลางๆๆนั้นแหละ อย่าได้ตกอกตกใจกับความคิดของตนเอง ความคิดทุกประการล้วนเป็นเพียงความคิดเท่านั้น ไม่มีความคิดใดที่จะได้รับรางวัลหรือถูกประฌาม เพียงแต่ปิดป้ายยี่ห้อว่า "ความคิด" แล้วก็กลับไปสู่ลมหายใจอย่างเก่า "ความคิด" กลับไปสู่ลมหายใจ "ความคิด" กลับไปสู่ลมหายใจ กล่าวได้ว่าที่เราปฏิบัติเช่นนี้ก็เพื่อเรียนรู้ที่จะยอมรับตัวเอง เพื่อขัดเกลาตนให้เป็นคนจริงและซื่อสัตย์ต่อตนเอง สิ่งนี้จะก่อให้เกิดความเปิดกว้าง จากนั้นบทเรียนของการเปิดเผยต่อผู้อื่นก็จะอุบัติขึ้น ดังนั้นตัวเอ็งเองก็จะสามารถกระทำการร่วมกับโลกทั้งหมด จากพื้นฐานของความดีงามซึ่งได้ค้นพบแล้วในตนเองนี้นั้นเอง

    ใน " ตำนานแห่งหุบเขามณีแดง " เล่าว่าเมื่อท่านมิลาเรปะ โยคีพุทธชาวทิเบต ได้กลับไปสู่ถ้ำของตน หลังจากที่ได้แลเห็นภาพนิมิตของมารปะ(ครูของท่าน) ท่านก็ประจันหน้ากับหมู่ มารฝูงใหญ่ ท่านพยายามทุกวิถีทางที่เท่าจะนึกได้ เพื่อที่จะขับไล่มาร เหล่านี้ไป พยายามใช้เล่ห์กลทุกประการ ท่านบังคับมันล่อลวงมัน แม้แต่แสดงธรรมเทศนาให้มันฟัง แต่มันก็ไม่ยอมผละจากไป จนกระทั่งเมื่อ ท่านเลิกถือว่ามันเป็นสิ่ง " เลว " และ เปิดเผยตัวเองแก่มัน และเห็นมัน ดังที่มันเป็นพวกมนก็เลือนหายไป แล นี่คือจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ที่จะบำราบมาร ของมิลาเรปะ ท่านกล่าวว่า " ถ้าความคิดเกี่ยวหมู่มาร มิได้ผุดขึ้นมาในดวงจิตของท่าน ก็หาต้องเกรงกลัวหมู่มารที่มารุมล้อมอยู่ไม่ เพราะจำเป็นยิ่งกว่า ที่จะบำราบจิตภายในตน ... บนหนทางชันแห่งความกลัวและความหวัง หมู่มารพากันปราชัย และตราบเท่าที่อันติมะหรือธรรมชาติ ที่แท้ของส่ำสัตว์เกี่ยวพันอยู่ ก็ไม่มีทั้งพุทธะหรือมาร ผู้ซึ่งเป็นอิสระแล้ว จากความกลัวและความคาดหวัง พ้นจากบาปและบุญ ย่อมประจักษ์ใจ ได้ถึงความไร้แก่นสารของธรรมชาติแห่งความสับสน เมื่อพ้นสังสาระ ก็จะกลับปรากฏขึ้นดั่งมหามุทรา(ประสบการณ์ในการสัมผัสแก่นแท้แห่งตน)เองทีเดียว ... "แลสิ่งนี้ก็ตีความได้ว่าเป็นเช่นเดียวกับการแปรเปลี่ยนความคิดของเรา ด้วยความคิดของเรานั้นเองที่สร้างมารและเทพขึ้น บรรดาสิ่งที่เราอยากขจัด อยากผลักไสออกไปจากชีวิต ออกไปจากโลกของเรา เหล่านั้นคือมาร บรรดาสิ่งที่อยากจะชักนำอยากจะเชื้อเชิญให้เข้ามาหาเราก็คือเทพและ นางฟ้า ส่วนที่เหลือนั้นกลายเป็นทัศนียภาพเป็นส่วนประกอบเท่านั้นเอง อันเป็นสิ่งที่เราจำเป็นที่จะต้องเข้าใจในการปฏิบัติสมาธิภาวนา

    แค่นี้เองบางสิ่งที่ประหลาดก็จะบังเกิดขึ้นมา เอ็งจะเข้าใจในสิ่งที่เขียนอยู่ในตำราพระพุทธศาสนา ทั้งหมดเลยล่ะ ทีนี้อย่าคิดว่าโอ๊ยง่ายไปไหม? ฉันรู้อยู่แล้วใครๆๆก็พูดอย่างงี้ ไอ้วิธีที่เรียบง่ายแบบนี้แหละที่ทรงพลังนัก และ อันที่จริงคนที่ปฏิบัติจริงๆๆจะรู้ว่ามันเป็นงานที่หนักหน่วงไม่น้อย ระหว่างปฏิบัติพึ่งพยายามรักษาท่าที่ถูกต้องเอาไว้ อย่าไปสนใจเรื่องบรรลุภาวะจิตที่สูงส่ง เพียงแค่อยู่ในท่วงท่าที่ถูกต้อง ภาวะที่สูงส่งจิตที่บริสุทธิ์มันจะีมีมาเอง และด้วยการปฏิบัติวิธีนี้ นั่น มันก็จะช่วยปรับสัมพันธภาพระหว่างกายกับจิต เพราะในขณะที่ปฏิบัติจิตจะกระทำการร่วมไปกับลมหายใจ โดยมีร่างกายเป็นจุดกำหนด เป็นการหลอมรวมกายและใจ และนั้นแหละคือการไม่ห่างเหินไปจากความเป็นจริง การตระหนักถึงสัทธรรม

    สภาวะอุดมคติแห่งความสงบนั้นก่อเกิดจากประสบการณ์แห่งการประสานสอดคล้องระหว่างกายและใจ ถ้ากายและใจไม่ประสานกันเมื่อนั้นร่างกายก็จะโอนเอนไม่มั่นคง จิตก็จะฟุ้งซ่านไป ลมหายใจก็ดำเนินไปตามธรรมชาติ และด้วยเหตุที่ท่วงท่าและลมหายใจประสานกัน จิตก็จะมีหลักยึดสำหรับเหนี่ยวรั้งตนเอง ดังนั้นจิตจึงออกไปกับลมหายใจอย่างเป็นธรรมชาติ และ อย่างช้าๆๆโดยไม่ต้องทำอะไรความคิดที่เป็นอกุศลก็จะมีพลังอ่อนลงเรื่อยๆๆ จนหายไปเอง อย่างแผ่วเบาด้วยตัวมันเอง นอกจากนี้ทุกๆๆครั้งที่หายใจออกเราถือว่าเราได้ละตัวเองออกไป ให้หายลับไปกับจักรวาล ดังนั้นความยึดมันถือมันในกูในของกูก็จะเบาบางลง เอ็งจะยึดติดน้อยลงและรู้สึกได้ว่าตนเองไม่ได้มีความพิเศษแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นคนธรรมดาสามัญ สามัญอย่างยิ่ง บนโลกใบนี้นั้นก็เพียงพอแล้ว บริบรูณ์แล้วไม่จำเป็นต้องไปไล่ตามอะไรอีก ทุกๆๆสิ่งมีพร้อมอยู่ที่นี่ตรงนี้แล้ว เพียงแค่เป็นตัวเราเอง อย่างภาคภูมิที่สุด นั้นก็เพียงพอแล้ว นี่แหละคือการเปิดออกซึ่งขุมทรัพย์บนโลกใบนี้ กล่าวได้ว่าตรงนั้นความเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งจะอุบัติขึ้นมา โลกยอมรับเราและเรา เป็นการยุติความขัดแย้งทั้งมวลในเบื้องลึกของจิตวิญญาณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มกราคม 2013
  18. Thumma117

    Thumma117 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2013
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +89
    กระทู้นี้มีประโยชน์ อย่างมากกกก. เลยนครับบ
     

แชร์หน้านี้

Loading...