ยุคก่อนมีพระพุทธรูป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 6 ธันวาคม 2012.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คุณมหาวัดด่าผม ผมไม่ตอบโต้ไม่ด่าตอบคุณมหาวัด ผมต้องขอโทษคุณมหาวัดด้วยหรือครับ
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คุณมหาวัดด่าผม ผมไม่ตอบโต้ไม่ด่าตอบคุณมหาวัด ผมต้องขอโทษคุณมหาวัดด้วยหรือครับ
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คุณมหาวัดด่าผม ผมไม่ตอบโต้ไม่ด่าตอบคุณมหาวัด ผมต้องขอโทษคุณมหาวัดด้วยหรือครับ
     
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คุณมหาวัดด่าผม คุณsam.337 (15-12-2012), ซงแทฮา (14-12-2012), ผีอีแพง (14-12-2012) กดอนุโทนา
    ผมไม่ด่าตอบคุณมหาวัด ผมต้องขอโทษคุณมหาวัดด้วยหรือครับ
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมโพสต์พระสูตร ว่าด้วยอิทัปปัจจยตา sam.337 (18-12-2012), ซงแทฮา (18-12-2012), โพธิธรรม (18-12-2012) ทั้งสามท่านกดไม่เห็นด้วย ผมต้องขอโทษทั้งสามท่านด้วยหรือครับ
     
  6. มันตระเทวะ

    มันตระเทวะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +30
    อา...ยังไม่เลิก ....เหนื่อยก็พักเถิด จักประจานตัวเองไปก็ไม่ได้อันใดดอก รับ ไม่ได้ที่ถูกชาวเว็ป รุมประณามกดไม่เห็นด้วย ใช่มิ ใช่มิ ใช่มิ ใช่มิ
    เจ้าของกระทู้ ศาลท่านก็ว่าไปตามที่เห็นนั้นแหละ เพราะถ้าท่านเห็นด้วยท่านคงกดเห็นด้วยไปแล้ว ทำใจเถิดแลปรับปรุงตัวใหม่นะ จากข้าบ๊ะเจ้าโจ๊ก จ๊ะ
     
  7. ซงแทฮา

    ซงแทฮา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +386
    อุ๊ย... เรียกร้องความสนใจ ฉันว่าแก เลิกเรียกร้องความสนใจเถอะนะ
    ที่เพื่อนสมาชิกเขากดไม่เห็นด้วย ก็แสดงว่าเขาไม่เห็นด้วย
    นายจะเอาอะไรอีก
    ฉันกดไม่เห็นด้วยเพราะชั้นไม่ชอบคำพูดที่ไหลไปไหลมา
    ฉันไม่ชอบ คนที่ไม่หนักแน่น เอาดีเข้าตัวเองเอาชั่วเข้าคนอื่น
    ใส่ร้ายป้ายสี คนอื่นฉันไม่รู้นะ
    ว่าเขากดกันทำไม
    และก็ไม่ชอบคนที่พูดจาไม่ดีต่อสิ่งสักการะชาวพุทธแบบแกนี่แหละ
    ฉันก็กด ก็คนมันไม่เห็นด้วย
    แล้วจะให้กดอนุโมทนาได้ไง...ไม่พอใจก็อย่าตั้งกระทู้สิ

    :mad::mad::mad::mad:
     
  8. ผีอีแพง

    ผีอีแพง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +117
    คุณจะไม่ขอโทษเพื่อนคุณก็ตามใจ ไม่มีใครว่าคุณ
    ฉันกดอนุโมทนาให้พระไตรปิฏก ไม่ได้กดที่เขาด่าใส่คุณ
    คุณเอาข้อความดีๆๆมาลงฉันก็กดอนุโมทนา...
    คุณพูดจาให้ร้ายคนอื่นฉันเห็นฉันก็กดไม่เห็นด้วย
    คุณยังจะเอาอะไรกับฉันอีก

    ฉันรู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงด่าคุณ
    ก็เพราะนิสัยคุณมันเป็นแบบนี้
    คุณมันงี่เง่า.....
    คุณทำอะไรไว้ เขาถึงด่าคุณฉันรู้ฉันอ่านมาตั้งแต่วันแรก...จนวันนี้
    ฉันก็เห็นมีแต่คุณที่เฉไฉไปมา บิดเบือนคำพูดคนอื่น ใส่ความคนอื่น
    คุณถึงได้ถูกคนอื่นรุมว่า

    แต่ฉันไม่เคยว่าคุณเลย คุณผิดคุณควรขอโทษฉันก็พูดไปตามที่เห็น
    คุณไม่เชื่อฉันก็ตามใจ นี่คุณก็ยังไม่เลิกบิดเบือนข้อมูลทำไมคุณไม่ยกที่มาที่ไปมาด้วยค่ะว่ามันเพราะอะไร
    เขาตอบคุณไปตั้งเยอะคุณก็ใส่ร้ายว่าเขาพูดลอยๆๆ ไม่กล้าเอาคำตอบที่เขาพูดมาลง
    เพราะกลัวความจริง
    พยายามจะเน้นที่เขาด่าคุณเพื่อสร้างความชอบธรรม

    คุณมันเป็นผู้ชายที่น่าเกลียดมาก เป็นฉัน...
    ในฐานะผู้หญิงฉันจะไม่เอาคุณทำพ่อพันธุ์เด็นขาด
    ขนาดฉันเป็นผู้หญิง คุณยัง...ไม่ให้เกียรติ เลย ......
    เชิญคุณตามสบายเถอะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2012
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พวกที่ชอบโกหกแล้วสาบาน

    อรรถกถา ขุททกนิกาย เปตวัตถุ อุพพรีวรรคที่ ๒
    ๑๒. กรรณมุณฑเปตวัตถุ

    อรรถกถากัณณมุณฑเปติวัตถุที่ ๑๒
    เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงพระปรารภกัณณมุณฑเปรต ตรัสพระคาถานี้มีคำเริ่มต้นว่า โสณฺณโสปานผลกา ดังนี้.
    ได้ยินว่า ในอดีตกาล ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ ในกิมิลนคร ยังมีอุบาสกคนหนึ่งเป็นพระโสดาบัน มีฉันทะร่วมกันกับอุบาสก ๕๐๐ คนเป็นผู้ขวนขวายในบุญกรรมมีการปลูกดอกไม้ สร้างสะพานและสร้างที่จงกรมเป็นต้นอยู่ สร้างวิหารถวายพระสงฆ์ ได้ไปวิหารตามกาลเวลาพร้อมกับอุบาสกเหล่านั้น.
    ฝ่ายภริยาของอุบาสกเหล่านั้นเป็นอุบาสิกามีความพร้อมเพรียงกันและกัน ต่างถือดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้เป็นต้น ไปยังวิหารตามกาลเวลา ไปพักผ่อนในสภาอันเป็นที่รื่นรมย์เป็นต้น ในระหว่างทาง.
    ภายหลังวันหนึ่ง นักเลงหญิง ๒-๓ คนนั่งประชุมกันที่สภาแห่งหนึ่ง เมื่ออุบาสิกาเหล่านั้นพากันไปพักผ่อนในที่นั้น เห็นรูปสมบัติของอุบาสิกาเหล่านั้น มีจิตปฏิพัทธ์ รู้ว่า อุบาสิกาเหล่านั้นถึงพร้อมด้วยศีล อาจารและคุณธรรม จึงสนทนากันว่า ใครสามารถจะทำลายศีลของอุบาสิกาแม้คนหนึ่ง ในบรรดาอุบาสิกาเหล่านั้นได้.
    ในนักเลงเหล่านั้น นักเลงคนหนึ่งกล่าวว่า เราสามารถ. นักเลงเหล่านั้นได้ทำความเสนียดจัญไรว่า พวกเราจะทำกรรมอันเป็นเสนียดจัญไร ด้วยค่าจ้าง ๑,๐๐๐. เมื่อท่านทำได้ เราจะให้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ แก่ท่าน เมื่อท่านทำไม่ได้ ท่านพึงให้ทรัพย์แก่เรา.
    เขาพยายามด้วยอุบายเป็นอเนก เมื่ออุบาสิกาเหล่านั้นมายังสภา จึงดีดพิณ ๗ สายมีเสียงเปล่งออกไพเราะเพราะพริ้ง ขับเพลงขับอันประกอบด้วยกามคุณ มีเสียงไพเราะทีเดียว ให้หญิงคนหนึ่งในบรรดาอุบาสิกาเหล่านั้นถึงศีลวิบัติด้วยเสียงเพลงขับ กระทำการล่วงเกิน ให้นักเลงเหล่านั้นพ่ายแพ้ไปด้วยทรัพย์ ๑,๐๐๐.
    นักเลงเหล่านั้นพ่ายแพ้ไปด้วยทรัพย์ ๑,๐๐๐ แล้วจึงบอกแก่สามีของนาง.
    สามีถามนางว่า บุรุษเหล่านั้นได้กล่าวโดยประการที่เธอเป็นอย่างนี้หรือ?
    นางปฏิเสธว่า ฉันไม่รู้เรื่องเช่นนี้ เมื่อสามีไม่เชื่อ จึงแสดงสุนัขที่อยู่ใกล้ ได้ทำการสบถว่า ถ้าฉันทำกรรมชั่วเช่นนั้นไซร้ ขอสุนัขดำตัวหูขาดนี้จงกัดฉัน ซึ่งเกิดในภพนั้นๆ เถิด.
    ฝ่ายหญิง ๕๐๐ คนรู้ว่าหญิงนั้นประพฤตินอกใจ ถูกสามีท้วงว่า หญิงนี้ทำกรรมชั่วเช่นนี้หรือว่าไม่ได้ทำ จึงกล่าวมุสาว่า พวกเราไม่รู้กรรมเห็นปานนี้ จึงได้ทำสบถว่า ถ้าพวกฉันรู้ ขอให้พวกดิฉันพึงเป็นทาสหญิงของหญิงนั้นแหละทุกๆ ภพไปเถิด.
    ลำดับนั้น หญิงผู้ประพฤตินอกใจนั้นมีหทัยถูกความเดือดร้อนนั้นนั่นแลแผดเผาจึงซูบซีดไป ไม่นานนักก็ตายไปบังเกิดเป็นเวมานิกเปรตอยู่ที่ริมฝั่งสระกัณณมุณฑะแห่งหนึ่ง บรรดาสระใหญ่ ๗ สระ ที่ขุนเขาหิมวันต์. และรอบๆ วิมานของนาง ได้บังเกิดสระโบกขรณีขึ้นสระหนึ่ง อันประกอบด้วยการเสวยวิบากแห่งกรรมของนาง.
    ส่วนหญิง ๕๐๐ คนที่เหลือทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นนางทาสีของหญิงนั้นนั่นแล ด้วยอำนาจกรรมที่ทำสบถไว้.
    นางเสวยทิพยสมบัติตลอดกลางวัน เพราะผลแห่งบุญกรรมที่ตนทำไว้ในกาลก่อนนั้น พอถึงเที่ยงคืนก็ถูกพลังแห่งกรรมชั่วตักเตือน จึงลุกขึ้นจากที่นอน ไปยังฝั่งสระโบกขรณี.
    สุนัขดำตัวหนึ่งประมาณเท่าลูกแพะ มีรูปร่างน่ากลัว หูขาด มีเขี้ยวโง้งยาวคมกริบ มีนัยน์ตาเสมือนกองถ่านไม้ตะเคียนที่ลุกโพลงดีแล้ว มีลิ้นเหมือนกลไกแห่งสายฟ้าที่แลบออกมาไม่ขาดระยะ มีเล็บโง้งคมกริบ มีขนน่าเกลียดยาวแข็ง มาจากสระกัณณมุณฑะนั้น แล้วทำนางผู้ไปในที่นั้นให้ล้มลงที่ภาคพื้น เป็นเสมือนถูกความหิวจัดครอบงำ ขู่ข่ม กัดกินให้เหลือเพียงร่างกระดูก แล้วคาบไปทิ้งที่สระโบกขรณีแล้วก็หายไป. พร้อมกับที่สุนัขทิ้งในสระโบกขรณีนั้นนั่นแหละ นางก็มีรูปเป็นปกติเดิมแล้วขึ้นสู่วิมาน นอนอยู่บนที่นอน.
    ฝ่ายหญิงนอกนั้นเสวยทุกข์เป็นทาสของนางนั้นนั่นแล.
    http://palungjit.org/threads/พวกที่ชอบโกหกแล้วสาบาน.334605/
     
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์ ไม้สาละทั้งคู่
    เผล็จดอกบานสพรั่งนอกฤดูกาล ร่วงหล่นโปรยปรายลงยังสรีระของตถาคตเพื่อบูชา
    แม้ดอกมณฑารพอันเป็นของทิพย์ ก็ตกลงมาจากอากาศ ดอกมณฑารพเหล่านั้น ร่วงหล่นโปรยปราย
    ลงยังสรีระของตถาคตเพื่อบูชา แม้จุณแห่งจันทน์อันเป็นของทิพย์ ก็ตกลงมาจากอากาศ จุณแห่ง
    จันทน์เหล่านั้น ร่วงหล่น โปรยปรายลงยังสรีระของตถาคตเพื่อบูชา ดนตรีอันเป็นทิพย์เล่าก็
    ประโคมอยู่ในอากาศ เพื่อบูชาตถาคต แม้สังคีตอันเป็นทิพย์ก็เป็นไปในอากาศเพื่อบูชาตถาคต
    ดูกรอานนท์ ตถาคตจะชื่อว่าอันบริษัทสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ด้วยเครื่อง
    สักการะประมาณเท่านี้หามิได้ ผู้ใดแล จะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกาก็ตาม
    เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตามธรรมอยู่ ผู้นั้นย่อมชื่อว่าสักการะ เคารพ
    นับถือ บูชาตถาคตด้วยการบูชาอย่างยอด เพราะเหตุนั้นแหละอานนท์ พวกเธอพึงสำเหนียก
    อย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรมอยู่ ดังนี้ ฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๐ หน้าที่ ๑๑๒/๒๖๑
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คนเราเมื่อตกอยู่ในทาสของอารมณ์ มีความโกรธ ความเกลียด จิตใจว้าวุ่นไม่เคยสงบ
    เป็นคนเจ้าอารมณ์ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ถึงจะอยู่ในวัดก็ไม่มีความสุขก็เหมือนคนอยู่นอกวัด
    ฉะนั้นธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า สอนให้เราเอาไปด้วย สอนให้เรากินเป็นสุขนอนเป็นสุข
    นั่งเป็นสุข ให้ตัดทุกข์

    ฉะนั้นเราจะอยู่ที่ไหน เราก็เอาวัดไปด้วย เอาพระไปด้วย
    เราต้องนึกว่า พระพุทธเจ้านั้นไม่ได้อยู่ที่วัด ไม่ได้อยู่ที่พระพุทธรูป
    พระธรรมคำสอนไม่ได้อยู่ที่ตู้พระไตรปิฎก พระสงฆ์ไม่ได้อยู่ที่วัด คุณธรรมของพระพุทธเจ้า
    คุณธรรมของพระสงฆ์นั้นอยู่ที่ผู้ปฏิบัติตาม

    ผู้ใดปฏิบัติตามคนนั้นชื่อว่าเข้าถึงพระรัตนตรัย เข้าถึงวัด เข้าถึงพระธรรม เข้าถึงศาสนาได้
    คนถึงจะกินในวัด นอนในวัด แต่ไม่เคยปฏิบัติศีลเลย หรือว่าเป็นคนไม่มีวิปัสสนา คือไม่พิจารณา
    รู้จักละทุกข์ได้เลย เป็นคนเจ้าอารมณ์ อยู่ตลอดเวลา
    เมื่อเป็นดังนั้นแล้วเราจะอยู่ในวัดเท่าไหร่เราก็ไม่ดับทุกข์เหมือนไม่ได้เข้าถึงพระพุทธเจ้า

    ฉะนั้นอย่างได้คิดว่าเราอยู่ไกลวัด เราเป็นชาวพุทธเราก็ต้องคิดว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ผู้ปฏิบัติ
    ตามทำอย่างไรเราจะเป็นคนใจดีใจเย็น เป็นคนไม่โกรธ

    ที่เอาพระคล้องคอ แต่มีควาามโกรธมาก มีความอิจฉาริษยาเขามาก ถึงจะมีพระคล้องคออยู่แต่
    ใจเขาก็ไม่เป็นพระ
    แต่คนไม่มีพระคล้องคอเลยแต่เขานึกถึงพระอยู่เรื่อย คิดจะทำความดีอยู่เรื่อยไม่อาฆาตพยาบาท
    ใคร เพราะทำใจดีได้ พระก็ปรากฏอยู่ในใจ

    …..บุคคลที่ปฏิบัติเข้าถึงธรรมะเท่านั้น จึงจะรู้บาปบุญ นรก สวรรค์ นิพพาน
    เพราะต้องดูด้วยปัญญาที่จะต้องฝึกให้เกิดขึ้น ก็ต้องศึกษาจากสติ
    สมาธิเข้าไปถึงความสงบ แล้วจึงจะมีญาณ มีปัญญารู้เห็นว่า บาป บุญ สวรรค์ นิพพานอยู่ที่ใจคน

    ประตูใจเท่านั้นเองที่เราจะเปิดให้ดูได้ว่าทำบุญแล้วได้บุญอย่างนี้เอง
    เพราะทำบุญแล้วใจดี ใจสงบ ทำบาปแล้วร้อนใจทุกข์ใจ เป็นนรกอย่างนี้เอง
    นิพพานทำแล้วรู้จักดับทุกข์ พอโกรธแล้วไม่โกรธต่อ เป็นผู้มีสติปัญญาระวังใจ

    อะไรมากระทบใจก็มีปัญญาดับ เคยชังใครก็ดับวางได้หมด นั่นคือนิพพาน
    ที่เราเห็นศาสนาเห็นอย่างนี้ ที่เราอยู่ใกล้วัดเราอยู่อย่างนี้

    เราจะไปอยู่ประเทศใด อยู่เมืองใด เราก็มีพระ มีวัดของเราอยู่ในใจแล้ว
    เราก็เข้าใจศาสนาพุทธอยู่ตลอดเวลา เพราะพระพุทธองค์สอนเรื่องนามธรรม
    สอนให้คนแก้ปัญหาหัวใจตัวเอง ให้รู้จักโทษ รู้จักทุกข์ รู้จักสิ่งที่เกิดทั้งหลาย

    เกิดจากใจเรา ถ้าเราทำใจให้มีธรรมะได้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดีไปหมด

    ฉะนั้นเราเข้าถึงวัดก็คือ พยายามไม่โกรธทำใจให้ผ่องใส
    ไม่คิดประทุษร้ายผู้อื่น มีเมตตาธรรม นั่นแหละเข้าถึงพระธรรมคำสอนได้ดี
    พระพุทธเจ้าทรงยกย่องบุคคลที่เข้าถึงธรรมโดยสัจธรรม โดยนามธรรม
    โดยคุณธรรม ด้วยจิตใจอย่างนี้

    ไม่ใช่ไปวัดทุกวันๆ แต่ไม่เคยเลิกโกรธเลย ไม่เคยเลิกเล่นการพนันเลย
    ก็ไปวัดแต่ตัวแต่ใจไม่เข้าถึงเลย ก็ไปวัดแต่ตัว แต่ใจไม่เข้าถึงเลย
    อันนี้เราคงเข้าใจกันนะว่า เราเข้าถึงวัดแล้วด้วยการทำใจ..

    หลวงพ่อสนอง กตฺปุญโญ วัดสังฆทาน นนทบุรี
    aranyawasee.igetweb.com
     
  12. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ไฟคือโทสะนี้ เพราะบุคคลผู้โกรธ อันโทสะครอบงำย่ำยีจิต
    ย่อมประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจได้
    ครั้นประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจแล้ว
    เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ฉะนั้น
    จึงพึงละพึงเว้น ไม่พึงเสพ ไฟคือโทสะนี้ ก็เพราะเหตุไร
    จึงพึงละ พึงเว้น ไม่พึงเสพไฟคือโมหะนี้

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๓ หน้าที่ ๔๓/๓๗๙
     
  13. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คุณเปลี่ยนจากท้าผมสาบานมาท้าผมทำความดี เช่น การรักษาศีล ไม่ทำลายชีวิต ไม่ลักขโมย ไม่ประพฤติผิดในกาม
    ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่โลภอยากได้ของเขา ไม่ปองร้ายเขา เห็นชอบตามธรรมะ
    เชื่อกฏแห่งกรรม สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว แบบนี้เข้าหลักธรรมของศาสนาพุทธครับ
    ศาสนาไม่สอนคนให้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบรรดาลให้ผลในทางที่ดีหรือไม่ดี ไม่ได้สอนให้นับถือบูชายักษ์ครับ
     
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    กุศลกรรมบถ ๑๐ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเป็นทางไปสู่สวรรค์

    สมัยก่อนมีครอบครัวหนึ่ง พ่อสอนลูกสาวลูกชายและภรรยาให้ถึงกุศลกรรมบถ ๑๐ คือ ไม่ทำลายชีวิต ไม่ลักขโมย ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่โลถคอยจ้องอยากได้ของเขา ไม่คิดร้ายเบียดเบียนเขา เห็นชอบตามธรรมะ และให้ตั้งอยู่ในการเสียสละ รู้จักสงบใจแล้วคิดว่าความสงบใจนั้นเป็นสุขก็ปรารถแต่เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตายว่า คนเราหนีไม่พ้นให้รู้จักคำว่า “อภัย สงสาร และเมตตา” เขาก็ถือกันทั้งหมดเลย

    ทุกวันก็คุยกันเรื่องกุศลกรรมบถ ๑๐ มั่นใจว่า คนถือกุศลกรรมบถ ๑๐ นี้ ตายแล้วไปเป็นเทวดาทุกคน ไม่ตกนรก ธรรมอันนี้เป็นธรรมดีทำให้จิตใจไม่เดือดร้อน คือ มองโลกในแง่ดี มีแต่เมตตาสงสาร ถือว่ามนุษย์นี่มาอาศัยอยู่ชั่วคราว เป็นช่องเรือนชานแก้วแหวนเงินทอง ร่างกายเรานี้ก็อยู่ไม่เกิน ๑๐๐ ปี ก็ต้องทิ้งทุกคน แต่สิ่งที่เอาไปได้คือความดีในใจ เมื่อคิดอย่างนี้เขาก็ไม่หลง จึงมุ่งทำแต่ความดี ต่อมาลูกชายไปไถนา ถูกงูกัดตาย แม่ไปส่งข้าวรู้ว่า ลูกชายตาย จึงบอกคนใช้ว่า

    “ไม่ต้องเอาข้าวมาส่งอีกแล้วนะ ไปบอกนายเอ็งเถอะ ข้าวนี้ฉันกินคนเดียวก็พอ อีกคนหนึ่งไม่กินแล้ว”

    คนใช้ก็ไปบอกทางบ้านตามนั้น เขาก็รู้เลยว่าลูกชายตายแล้ว จึงไม่ให้เอาข้าวไปส่ง เขาก็มาหมดทั้งครอบครัวเลย ทั้งภรรยา พ่อ พี่น้อง ก็นำศพไปเผาชายทุ่ง พวกเขาคิดว่าลูกชายไปดี แต่ไม่รู้ว่าไปไหน เพราะเขามั่นอยู่ในศีล ๕ อยู่ในกุศลกรรมบถ ๑๐ พ่อก็จัดการเอาแก่นไม้แห้งๆ มาเผาลูกที่ชายทุ่งแล้วเอาไม้ไผ่กระทุ้งร่างกายนั้นให้มันแตกออกเพื่อไฟจะได้ลุกไหม้ สมัยก่อนเผากันแบบนี้ พ่อก็คอยแหย่ไฟเอาไส้พุงตับปอดใหม้ไปเรื่อยๆ

    ส่วนลูกชายเมื่อตายแล้วไปเป็นเทวดา ความจริงไม่ได้ห่วงใยอะไรมากมาย เพียงแต่อยากแสดงว่ากุศลกรรมบถ ๑๐ นี่ น่าจะถือไว้ตลอดทุกบ้าน จึงจำแลงร่างเป็นชายคนหนึ่งมายืนอยู่ชายทุ่งและถามว่า

    “ลุงทำอะไร?”
    “เผาศพ”
    “เผาศพใคร?”
    “เผาศพลูกชาย”
    “ทำไมเผาศพลูกชายทำเหมือนไม่รักเลย กระทุ้งเอาๆ ตับไตไส้พุงไหลออกหมด เกลียดโกรธอะไรเขาหรือ?”
    “เปล่า ไม่ได้เกลียด ไม่ได้โกรธเลย แต่ทำตามหน้าที่ของพ่อที่ต้องทำอย่างนี้กับลูก”
    “แล้วไม่เสียใจหรือ?”
    “เสียใจหรือ?… ถ้าเสียใจเขาฟื้นคืนมาได้ก็จะเสียใจ ถ้าร้องไห้แล้วเขาฟื้นคืนได้ก็จะร้องไห้แม้น้ำตาเป็นสายเลือดก็จะร้อง ถ้าลูกชายฟื้นแต่นี่คิดแล้วว่าเขาตายไปดีร้องไปก็ไม่เกิดประโยชน์จึงไม่อยากจะร้อง เผาให้เขาไปเพราะร่างกายนี้เขาทิ้งแล้ว แต่จิตใจเขาไปดี ลูกฉันต้องไปเกิดดี อย่างน้อยก็ต้องไปเกิดเป็นเทวดา ถ้าเทวดนั้นมีจริง”

    พอถามแม่ว่า “ทำไมลูกตายทั้งคนไม่เห็นร้องไห้ล่ะ?”
    นางตอบว่า “ร้องก็ไม่มีประโยชน์อะไร เก็บน้ำตาไว้ดีกว่า เพราะเสียใจเขาก็ไม่ฟื้นคืนมา จึงไม่อยากร้องไห้ เชื่อว่า ลูกเราตายไปดี รัก! ไม่ใช่ไม่รัก แต่ไม่อยากจะเสียใจ เพราะคิดว่ายังไง เขาก็ไปดี”

    แล้วก็หันมาถามภรรยาว่า “เป็นอะไรกัน?”
    “เป็นภรรยา” นางตอบ
    “สามีตายทั้งคนไม่เห็นมีน้ำตาเลยไม่รักหรือ?”
    ชายคนนั้นถามขึ้นอีก
    นางตอบว่า “รัก รักที่สุดในชีวิต ไม่เคยรักใครเท่าสามี”
    “แล้วทำไมไม่ร้องไห้?”
    “ร้องเขาก็ไม่ฟื้นคืนมา เหมือนเด็กๆ ร้องเอาเดือนเอาตะวัน เดือนมันก็ไม่ตกลงมา เหมือนหม้อที่แตก ร้องไปมันก็ไม่ติดอย่างเก่า แล้วร้องไปทำไม เราก็ทำจิตใจของเราให้เป็นบุญกุศลให้เขาไปดี”

    เมื่อฟังอย่างนี้แล้ว ชายคนนั้นจึงถามพี่น้องทุกๆ คน ก็ได้คำตอบเดียวกันหมด ทุกคนต่างกลั้นน้ำตาด้วยความรู้ ความเข้าใจว่า เขาตายไปดี คิดว่าร้องไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ทำจิตใจเของเราเศร้าหมองเปล่าๆ และคนตายก็จะไม่ได้รับบุญกุศลอะไรจากเรา ทำให้วิญญาณของเขาเศร้าหมองทุกคนเลยไม่ร้อง เพราะเชื่อว่ากุศลกรรมบถ ๑๐ ที่ถือกันมาแต่เล็กจนตายนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่จะนำวิญญาณไปสู่ที่ดี ทุกคนมั่นใจอย่างนั้น

    ชายผู้นั้นจึงสาธุแล้วจำแลงกายเป็นเทวดาบอกว่า “ฉันนี่แหละคนตายล่ะ ! พ่อแม่ทำไว้เถอะนะ กุศลกรรมบถ ๑๐ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนี้เป็นทางไปสู่สวรรค์ พอลูกตายลูกก็นึกถึงบุญที่ทำไว้ ก็ไม่มีเวทนาเจ็บปวดเลย”

    เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้ฟังว่า สิ่งที่ทำไว้นั้น เป็นเครื่องรองรับ เพราะคนเราตายแต่เพียงร่างกาย ใจนั้นยังไม่ตาย ถ้าเราคิดก็คิดว่าเขาไปดี

    หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ
    คัดลอกมาจากหนังสือ “คิดไม่ถึง”
    http://palungjit.org/threads/กุศลกรรมบถ-๑๐-ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเป็นทางไปสู่สวรรค์.402123/
     
  15. teeton76

    teeton76 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +73
    คนไทยนิดๆหน่อยๆ ถ้าปล่อยวางมั่งก็ดี
     
  16. สิงหนวัติ

    สิงหนวัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2009
    โพสต์:
    788
    ค่าพลัง:
    +2,107
    ทะเลาะกันไปเหอะ จิตยิ่งผูกกันมากเท่าไหร่ จะได้เป็นคู่เวรคู่กรรมเป็นเมียเป็นผัวกันเลยละทีนี้
    เลิกแล้สต่อกัน แล้วอโหสิกรรมกันเถิด ทางใครทางมัน ข้อเสนอนะครับ ไม่มีประเด็น ไม่เข้าข้างใคร
     
  17. สมภารสิน

    สมภารสิน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +57
    ไม่มีใครทะเลาะกับ เจ้าของกระทู้หรอกน้องเอ๋ย
    เจ้าของกระทู้ ไม่พอใจที่พูดส่อเสียดป้ายสีคนอื่น แล้วชาวเว็ปรู้ทัน
    รุมกดไม่เห็นด้วย ไม่มีใครเอาด้วยสักคน
    ก็มาพาลใส่คนนู้นคนนี้
    ไปเรื่อย.............
    พี่ยังโดนเลย
    ใครกดไม่เห็นด้วยก็ว่าเขาพวกเดียวกัน
    งั้นสามสิบสี่สิบคนนี่ พวกเดียวกันหมดเลยนะสิ
    ใครเตือนก็ไม่ฟัง เข้าข่ายเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ซะเต็มประดา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2012
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พูดคำหยาบ
    ทำบาป
    พากันส่งเสริม
    เหมือน
    คนตาบอด
    จูงคนตาบอด
    พากันเดินไป
    มันก็ตกเหวตกบ่อ
    เท่านั้นเอง
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ท่านสิงหนวัติก็เคยเป็นคู่กรรมผม คนที่เข้ามาอ่านกระทู้ที่ผมตั้ง ก็ล้วนเป็นคู่กรรรมกันมา
    พิจารณาธรรมเห็นธรรม ตั้งอยู่ในทาน ศีล สมาธิและปัญญาเท่านั้นจะหลุดพ้นจากกรรม
    สาธุครับ
     
  20. ซงแทฮา

    ซงแทฮา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +386
    จร้า.....พ่อคนดี
    พ่อคนมีศีลมีธรรม
    แต่หัวเน่า เพราะ ใครๆๆก็ไม่รักผม ขนาดพัดลมยังส่ายหน้าเลย
    เอาน้ำใบบัวบกปะ แก้ช้ำในไง 555555
    ว้าวๆๆๆ ฉันว่า แกมันเกินเยียวยาแล้วว่ะ ใส่ร้ายคนอื่น
    บิดเบือนข้อมูล เฉไปเฉมา
    พวกฉันไม่เอาด้วยกับแก เลยกดไม่เห็นด้วย
    ซะขนาดนี้แล้วยังไม่สำนึก
    เป็นฉันอายจนไม่กล้าเข้ามาในนี้แล้ว
    เขาไม่ได้ส่งเสริมให้ด่ากันหรอกนะ
    เขาส่งเสริมให้ไม่มีการใส่ความกัน
    ไปใส่ความเขา แกโดนเขาด่า แกไม่พอใจ
    ว่างั้น เมื่อวานก็ไปหาเรื่องคุณผู้หญิงจนเธอวีนใส่
    ยังไม่สำนึก สำนึกนะมีไหม?
    ใครไม่เห็นด้วยกับนาย เรื่องใส่ความคนอื่น ก็ว่าเขาทำบาป
    ใครไม่เห็นด้วยกับนายเรื่องตอบไม่ตรงคำถาม แถไปแถมา ก็ว่าเขาทำบาป
    แล้วที่ใส่ความคนอื่น จนเขาจับได้กันทั้งเว็ปนี้ไม่บาปเลยใช่ไหม? พฤติกรรมแกนะ
    เกินเยียวยาจริงๆๆ
    อ้อ.......
    ในนี้ใครทำ ให้เจ้าของกระทู้มีจิตสำนึกได้
    ผม ขอกราบตีนครับ[​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...