{{หลวงพ่อคูณ257}}ศึกษาพระสมเด็จ/เบญจภาคีองค์ครู26ขุนแผนพรายกุมาร4ลพ.พรหม68พ่อท่านคลิ้ง105

ในห้อง 'วิธีดูพระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง' ตั้งกระทู้โดย Amuletism, 2 มกราคม 2012.

  1. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,372
    วิธีการดูเขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน ๔

    มาตรฐานเสือของหลวงพ่อปาน คือ เสือหน้าแมว หูหนู ตาลูกเต๋า ยันต์กอหญ้า ซึ่งมีทั้งเสือหุบปาก และเสืออ้าปาก

    คาถาที่หลวงพ่อปาน ใช้ปลุกเสือ นำไปใช้กันได้ครับ

    ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วว่า

    "โอม พยัคโฆ พยักฆา สูญญา ลัพพะติ

    อิติ ฮัม ฮัม ฮึม ฮึม" (ว่าคาถา 3 จบ แล้วอฐิษฐานเลยครับ ตอนว่าคาถา ฮัม

    ฮัม ฮึม ฮึม ให้ออกเสียงน่าเกรงขามหน่อยจะดีครับ ปลุกตนไปด้วย)

    นอกจากเสือหลวงพ่อปาน แล้วยังมีเสือของหลวงพ่อเรือน ด้วยเพราะท่านไปเรียนวิชาทำเสือมาพร้อมกัน

    เสือหลวงพ่อปาน หลวงพ่อเรือนนี่จะยุค ร.5 ถ้ามาหลวงพ่อนก ก็จะยุค ร .7 ก็เก่าเหมือนกันนะ แต่ท่านจะจารคนละแบบ พอแยกแยะได้ นอกจากนี้ยังมีหลวงพ่อสาย และหลวงพ่อทอง จะสร้างต่อๆมาอีก ซึ่งเนื้อจะยังไม่จัดเท่าหลวงพ่อปาน

    ค่อยๆคุยกันครับ ว่าจะเขียนเรื่องรอยจาร และ เนื้อเขี้ยว สีเขี้ยว ซึ่งดูยังไงว่าถึงยุคหลวงพ่อปานนะครับ และวิธีดูรอยกลวงของเขี้ยวเสือ ว่าดูยังไงเป็นเขี้ยวเสือ อันไหนเป็นเขี้ยวอย่างอื่น และฝีมือช่างยุคหลวงพ่อปานนี่เอกลักษณ์จะไม่ทิ้งกันครับ ใครมีข้อมูล รูปภาพอะไร มาแลกเปลี่ยนความรู้ กันครับ

    เขี้ยวเสือของหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ยนี่ จะต้องทำจากเขี้ยวเสืออย่างเดียวเท่านั้น จะไม่ใช่เขี้ยวชนิดอื่นๆ จะมีทั้งเต็มเขี้ยว และเขี้ยวซีก มีคุณสมบัติทึบแสง

    อือ ลืมบอกไป เขี้ยวสัตว์ที่ถือว่าเป็นของทนสิทธิ์ ในตัว ถ้าเป็นเขี้ยวหมูจะต้องตัน ซึ่งเขี้ยวหมูตันจะหายาก ถ้าเป็นเขี้ยวเสือต้องกลวงครับ เขี้ยวเสือกลวงจะมีอำนาจในตัวมากครับ บางท่านเรียก เขี้ยวโปร่งฟ้า ครับ เป็นเขี้ยวของพญาเสือโคร่ง มีอำนาจ มีตบะมาก แค่จ้องสัตว์ สัตว์จะเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่ แทบหมดเรี่ยวแรงที่จะหนีเลย

    เนื่องจากเขี้ยวเสือนั้น จะหายากมาก แม้ในยุค ร. 5 เสือยังมีชุกอยู่ในไทยก็ตาม ก็ไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆนะครับ ดังนั้น เมื่อได้เขี้ยวมาจึงนำเขี้ยวมาแบ่ง เขียว 1 เขี้ยวถ้าเป็นเสือตัวใหญ่จะแบ่งได้ถึง 5 ท่อน สามารถนำมาแกะเสือได้ 5 เสือ ทีเดียว

    ถ้าแบ่งเป็นเขี้ยวซีกก็จะมาแกะได้เสือได้มากกว่า 5 เสือ โดยแบ่งเขี้ยวเป็นครึ่งๆ เมื่อนำมาแกะจะได้เสือตัวเล็กใหญ่แตกต่างกันออกไป

    พูดถึงการจารยันต์ของหลวงพ่อปานนี่ ถ้าจารแบบครบสูตรจริงๆ

    จะมีดังนี้ครับ

    1.จารที่ขาหน้าใต้คาง 2 ข้าง ซึ่งอักขระที่ ลง มักจะเป็นตัว อุ ซึ่ง มีทั้ง อุ หัวคว่ำ และอุ หัวหงาย ลายมือดูจะเป็นธรรมชาติมาก และจะมีเอกลักษณ์ของท่านเอง

    2.จารที่บริเวณสีข้างเสือ บริเวณด้านข้าง ไม่ใช่สีข้างทีเดียว ท่านจะลงบริเวณ สโลบด้านข้างระหว่างสีข้าง กับหลัง อาจลงข้างละ 2 ตัว รวม 2 ข้างลงอักขระ 4 ตัว ท่านมักจะลงยันต์ เป็นลักษณะคล้าย เลข 7 ไทย หรือเลข 3 ไทย มี 3 ขยัก หางตวัด การวาง และการลงเหล็กจาร จะเขียนตัวเอียงๆ และเรียบร้อย การลงเส้นหนักเบาจะแลดูเป็นธรรมชาติ ถ้าเป็นขีดๆ แบบเลข 7 แต่มี 4 หรือ5 ขยัก และลงแบบดูไม่รู้เรื่อง จะไม่ใช่ ระวังให้ดี ครับ

    3.บริเวณกลางหลังเสือ ท่านจะลงจารอักขระอีกหลายตัวเป็นแถวลงมา จากหัวถึงหาง

    4.บริเวณใต้ฐาน จะจารยันต์กอหญ้า และถ้ามีพื้นที่มาก ท่านจะลงยันต์กอหญ้า 2 ตัว ตรงข้ามกัน และถ้าเต็มสูตรท่านจะลงตัว ฤ ฤา และตัวอุ ด้วย และลงรอยขีดขีด 2 เส้นขนานกัน ถ้ามีพื้นที่น้อยจะลงยันต์กอหญ้าเพียงตัวเดียว ลายยันต์กอหญ้านี่แหละที่เป็นตัววัดว่าใช้เสือหลวงพ่อปานไหม ต้องจำลายมือท่านให้แม่น + องค์ประกอบอื่นๆด้วย

    มีเสือบางเสือ ที่ ท่านจารยันต์เต็มไปหมดทั้งตัวเลยก็มี น่าจะเป็นยุคต้นที่ท่านยังมีเวลามาก

    การดูสีเขี้ยว สีของเขี้ยวขึ้นอยู่กับการใช้ หรือการเก็บ ไม่ว่าจะเป็นเขี้ยวเต็ม หรือเขี้ยวซีก ตามธรรมชาติ สีของเขี้ยวจะไม่เสมอกันเด็ดขาด สีของเนื้อเขี้ยวด้านที่อยู่ใกล้รูตรงกลางจะมีสีอ่อนกว่าสีเขี้ยวที่อยู่ริม นั่นแสดงว่าเขี้ยวซีกที่ผ่าครึ่งเช่นกัน ด้านหนึ่งต้องสีอ่อน ด้านหนึ่งสีแก่ ถ้าสีเท่าๆกัน อาจเป็นเขี้ยวทอดน้ำมันได้ หรือย้อมสีได้

    รูเขี้ยว ตามธรรมชาติ รูของเขี้ยวเสือหลวงพ่อปานจะต้องเป็นรูปวงรี หรือกลม แบบธรรมชาติ (ส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นวงรี) ยาวทะลุผ่านตลอดจากบนลงล่างตลอดแนวเขี้ยว ไม่มีขุย ไม่มีรอยเจาะ ไม่มีรอยตะไบ รอดปาด ไม่มีการใช้สว่านเจาะเด็ดขาด ของปลอมมักจะใช้สว่านเจาะ และถ้ารูเป็นรูป 3 เหลี่ยม มักเป็นเขี้ยวหมี หรือถ้ารูแปลกๆก็จะเป็นรูเขี้ยวสัตว์ประเภทอื่นๆครับ

    แถมท้าย พิมพ์ของเสือหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย พิมพ์มาตรฐานที่ถูกต้อง ขาด้านหน้า 2 ขาจะใหญ่ และการแกะเท้าจะเป็นลักษณะเหมือนจิกลงพื้น ส่วนหางนั้นจะแกะพันไปด้านข้าง บางตัวถ้าพื้นที่น้อย หางจะแกะพาดไปบนหลัง และบางตัวเล็กๆ หรือพื้นที่เขี้ยวไม่พอ หางจะไม่แกะ หรือแกะก็ไม่ชัดนักก็ได้

    การแกะเขี้ยวเสือนั้นสมัยก่อนจะใช้มีดแกะทั้งนั้น ถ้าเป็นเสือที่แกะเรียบร้อยเกิน เขาจะใช้เครื่องกรอฟันทันสมัยแกะ ซึ่งสมัยก่อนยังไม่มีครับ ลองสังเกตุรอยแกะเขี้ยวให้ดี

    ขออีกนิด เสือหลวงพ่อปาน จะแบ่งศิลปะการแกะหลักๆ ได้ 3 ที่

    1. ศิลปะหลัก คงแกะโดยช่างกลุ่มเดียวกันมีหลายท่าน แกะกันบริเวณใกล้วัด ผมสังเกตุเสือหลายตัวของกลุ่มนี้แล้ว ศิลปะจะไม่ค่อยหนีกันเท่าไหร่ ซึ่งก็คือ เสือที่ผมถ่าย และนำมาจากเว็ปอื่นมาลงไว้ด้านบนนี้ละครับ ถ้าจำศิลปะได้จะพอแยกแยะได้

    2. ศิลปะโดยช่างฝีมือชาวบ้าน มีมากมายหลายแบบ เพราะหลวงพ่อท่านธุดงค์ไปทั่ว บางครั้งชาวบ้านจะแกะมาเอง แล้วดักรอให้ท่านเมตตาปลุกเสกให้ อันนี้ต้องดูความเก่า และรอยจารเป็นสำคัญ

    3. ศิลปะช่างวัดกลาง น่าจะเป็นวัดกลาง จ.สมุทรปราการ หรือเปล่าคุณโตช่วยบอกด้วย เห็นเขาเรียก วัดกลาง วัดกลาง ข้อมูลเสือแกะวัดกลางผมมีไม่มาก แต่เท่าที่สังเกตุจะเป็นเขี้ยวซีก และแกะเสือแบบแปลกๆไม่เหมือนกัน

    สำหรับท่านที่ไม่ทราบ คำว่า เขี้ยวซีก ซึ่งก็คือ เขี้ยวเสือ นำมาผ่าครึ่งในแนวบนลงล่าง แล้วนำมาแกะ เขาเรียกเขี้ยวซีก ส่วนถ้านำมาทั้งเขี้ยว แล้วตัดในแนวซ้ายไปขวา จะมีรู เขาเรียกเต็มเขี้ยว

    เขี้ยวซีก จะดูยังไงว่าเป็นเขี้ยวเสือ หรือเขี้ยวอื่น ให้ดูรอยลานด้านฐาน จะมีรอยลานเข้าหากลางเขี้ยวครับสังเกตุให้ดี และอีกอย่างเขี้ยวเสือจะมีสีไม่เสมอกันทั้งเขี้ยวนะครับ ถ้าสีเสมอกันทั้งเขี้ยวระวังครับ
     
  2. โอกระบี่

    โอกระบี่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,477
    ค่าพลัง:
    +1,651
    พี่ Amuletism มีความรู้ดีๆ มาให้อ่านก่อนนอนเช่นเคยอ่านแล้วได้ความรู้แถมหลับง่ายด้วยครับ ขอบพระคุณมากครับสำหรับความรู้ดีๆ วันนี้ขอราตรีสวัสดิ์ก่อนครับเหนื่อยจริงๆวันนี้
     
  3. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,372
    พี่ 24 hrs ครับ ผมว่าทุกคนมีจุดเริ่มต้น
    และการสะสมพระก็เป็นความสุขตามอัตตภาพ
    ตามช่วงเวลาอันสมควรของชีวิต
    มีพระหลักล้านจำนวนมากที่เป็นพระในฝัน
    จนวันนี้ ท่านก็ยังอยู่แค่ในฝันของผม
    เพราะความพร้อมของเรายังไม่มี หรือไม่พบเพราะยังไม่ถึงเวลา
    ผมเองเริ่มสะสมพระใหม่ๆ บอกตนเองว่า
    พระสวยหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ขอให้เป็นพระแท้ก็พอ
    ช่วงนั้นตัดใจไม่มองพระราคาแพงเลย
    เพราะบอกตรงๆ ว่าใจกล้าเช่าแค่หลักพัน
    ไม่กล้าเช่าเป็นหมื่น เพราะเพิ่งเริ่มศึกษาและสะสมพระ
    นั่นหมายความว่า ก็ต้องไม่ดูพระหลักหมื่น หลักแสน
    เพราะวงการนี้ ถ้าผิดราคาเป็นเก๊แน่นอนครับ

    จำได้ว่าช่วงแรกๆ ก็ได้หลวงพ่อปาน แบบแท้ดูง่ายก่อนครับ
    ไม่ต้องไปประชันความสวยกับใคร เพราะได้แค่พระสภาพน่ารัก
    แต่ก็ไม่เคยมีใครกล้าบอกว่าดูไม่ดี เพราะแท้และดูง่ายที่สุด
    ต่อมาด้วยความชอบ และใจกล้าก็เริ่มเช่าพระราคาสูงขึ้น
    สักพักก็ธรรมชาติของคนชอบพระ ก็เปลี่ยนมาเก็บพระที่สวย
    ซึ่งนั่นก็แปลว่าเราพร้อมที่จะรับกับราคาพระที่สูงกว่าพระรุ่นเดียวกัน
    ที่เห็นทั่วไปในสนามพระ เพราะพระสวยดูง่ายส่วนใหญ่
    ราคาก็เป็นเรื่องความพอใจระหว่างคนซื้อกับคนขายเท่านั้น
    แต่ผู้สะสมพระมาระยะหนึ่งจะทราบว่าพระที่เป็นสากลนิยม
    หากสภาพสวย ก็จะสามารถปล่อยให้บูชาได้ง่ายกว่า
    และราคาก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็วกว่ามาก เพราะทุกคนอยากได้

    คำว่า ถูก สำหรับนักสะสมพระ ผมว่ามีความหมายพิเศษ
    จำได้ว่าเห็นพระบาง ลำพูน สีพิกุลองค์หนึ่ง มีหน้ามีตาพอให้เห็น
    พิมพ์ทรงดีทุกอย่าง เจ้าของออกแปดหมื่นห้า ก็รู้สึกว่าแพง
    วันเดียวกัน พอเห็นพระคงสีเขียวครก องค์ที่เช่ามา
    ราคาหลายแสน กลับรู้สึกว่าถูก เพราะเป็นสีที่ถูกใจ
    เนื้อหาของพระดูเข้มขลัง ได้อายุ ดูง่ายสุดๆ
    เรื่องถูกหรือแพง จึงเป็นเรื่องอธิบายยากจริงๆ ครับ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 ธันวาคม 2012
  4. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,372
    อรุณสวัสดิ์ครับ พี่โอกระบี่ พี่โอ๋สะพาน พี่ทิพย์มงคล
    พี่ 24hrs พี่ captainzire และพี่กรุพระ
    ช่วงนี้ดูเหมือนในเวปมีกระทู้เรื่องการลงทุนในพระเครื่อง
    กลไกราคา และการขายคืนเยอะเลยครับ
    ผมก็เลยของแสดงทัศนะในประเด็นนี้บ้างครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 ธันวาคม 2012
  5. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,372

    ต่อประเด็นที่ว่าลงทุนกับพระเครื่องแล้วขาดทุนแน่นอนไหม
    หรือเช่ามาถ้าจะปล่อยจะถูกหักเท่าไหร่ ควรตกลงกันก่อนรึเปล่า

    ผมว่าจะเช่าพระแพงๆ มีติดตัว
    เจตนาหลักเป็นเพราะศรัทธาและมั่นใจในพุทธคุณ
    ไม่ได้มีเจตนามาเพื่อโชว์ ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากความภูมิครับ
    เรื่องเช่ามาและจะปล่อยคืนนั้น เป็นเรื่องปกติที่หากเรามิได้
    ถือครองพระองค์นั้นนานจนมูลค่าการสะสมสูงขึ้นมาก
    เราย่อมขาดทุน เว้นแต่เป็นโชคที่เจอคนที่อยากได้โดยตรง

    แต่คิดตามหลักการ มันก็ไม่แปลกนะครับ
    เราอยากได้นาฬิกาไปซื้อมายังไม่ได้ใส่
    เอาไปคืน ห้างบอกไม่รับคืนครับ บาทเดียวก็ไม่ได้
    ไปซื้อขับออกมาปุ๊ป ไปขายคืนก็เป็นมือสองขาดทุนมหาศาล

    เรื่องพระ ถ้าเช่าแผงเล็กไม่คุยกันก่อน เก๊ก็ไม่รับคืนนะครับ
    เพราะถือว่าดูแล้วชอบใจ ไม่มีประกันครับ
    แผงใหญ่ก็หัก 20 บางที่ก็หัก 30 สนิทกันก็อาจจะหักสัก 10
    ประเด็นเรื่องรับคืนไหม หักเท่าไหร่ และถ้าเปลี่ยนองค์ใหม่จะหักหรือไม่
    ต้อคุยกันก่อนให้ชัดเจนครับ เพราะบางร้่านถ้าเปลี่ยนเขาไม่หัก
    แต่ก็เป็นเรื่องปกติ ซึ่งถ้าใครคิดว่าสะสมพระเป็นการลงทุน
    การลงทุนมีความเสี่ยง เสี่ยงที่หนึ่งคือเก๊
    เสี่ยงที่สอง คือการลงทุนนี้เป็นการลงทุนที่มีระยะเวลาถือครองห้าปีขึ้นไป
    เนื่องจากความเสี่ยงสูง บางครั้งผลตอบแทนอาจสูงมาก
    ถ้าบังเอิญเก็บพระที่กระแสความนิยมเกิดแรงขึ้นแบบเกินคาด

    ส่วนตัวผมว่าถ้าสุขใจกับการดูพระ ชอบพุทธศิลป์
    เน้นพุทธคุณ เก็บพระแท้ สวยดูง่าย
    การเช่าพระนั้นมาก็ไม่มีขาดทุนแล้วครับ
    เพราะทุกครั้งที่แบ่งออกไป การเสียดายทุกองค์ครับ

    แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าไม่ให้สนใจเชิงพาณิชย์เลยนะครับ
    ถ้าจำเป็นต้องใช้เงิน พระแท้สากลนิยมเท่านั้นที่จะปล่อยได้
    ดังนั้น การเช่าพระต้องศึกษา ไม่ใช่ชอบก็เช่า
    ถึงเวลาออกจำเป็นอาจจะไม่ได้เลยสักองค์ก็เป็นได้นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 ธันวาคม 2012
  6. กำแพงพระ

    กำแพงพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    1,025
    ค่าพลัง:
    +1,966
    พี่ Amuletism ศรัทธาและจำเรื่องของท่านได้ขนาดนี้
    น่าจะมีโอกาสในการครอบครองวัตถุมงคลดีๆ แท้ๆของท่าน
    ในอนาคตอันใกล้ สักวันอย่างแน่นอนครับ
     
  7. กำแพงพระ

    กำแพงพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    1,025
    ค่าพลัง:
    +1,966
    ขอบพระคุณครับ พี่ Amuletism และพี่ทิพย์มงคล
     
  8. กำแพงพระ

    กำแพงพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    1,025
    ค่าพลัง:
    +1,966
    ช่วงนี้ งานเยอะครับ ไม่ค่อยได้แวะเข้ามา
    พี่โอ๋สะพานกับพี่ทิพย์มงคล เล่นจัดหนักเลยนะครับ
    งามมากทั้งสององค์ สุดยอดจริงๆครับ
     
  9. ทิพย์มงคล

    ทิพย์มงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2011
    โพสต์:
    3,892
    ค่าพลัง:
    +8,215
    นำมาให้ชมกันครับ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ

    1.เหรียญเปลวเทียน 2485
    2.เหรียญเปลวเทียน หน้ายาว ศิษย์สายกรุงเทพฯ ขออนุญาติจัดสร้างให้หลวงพ่อปลุกเสกแจกที่วัดชนะสงคราม 2490
    3.เหรียญรูปไข่ข้างเม็ดหลังยันต์นูน
    4.เหรียญรูปไข่หลังเรียบ
    5.เหรียญแจกแม่ครัว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ddddd.jpg
      ddddd.jpg
      ขนาดไฟล์:
      659.7 KB
      เปิดดู:
      116
    • dea5.jpg
      dea5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      400 KB
      เปิดดู:
      116
    • dea6.jpg
      dea6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      397.7 KB
      เปิดดู:
      102
    • lpd7.jpg
      lpd7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      414.4 KB
      เปิดดู:
      71
    • lpd8.jpg
      lpd8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      387.3 KB
      เปิดดู:
      80
    • lpd11.jpg
      lpd11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      421 KB
      เปิดดู:
      134
    • lpd12.jpg
      lpd12.jpg
      ขนาดไฟล์:
      361.7 KB
      เปิดดู:
      61
    • dea14.jpg
      dea14.jpg
      ขนาดไฟล์:
      392.3 KB
      เปิดดู:
      210
    • dea15.jpg
      dea15.jpg
      ขนาดไฟล์:
      388.9 KB
      เปิดดู:
      117
  10. ทิพย์มงคล

    ทิพย์มงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2011
    โพสต์:
    3,892
    ค่าพลัง:
    +8,215
    เหรียญรูปไข่ หลังหนุมานหาวเป็นดาวเป็นเดือน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • dea8.jpg
      dea8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      395.3 KB
      เปิดดู:
      69
    • dea9.jpg
      dea9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      388.5 KB
      เปิดดู:
      69
  11. กำแพงพระ

    กำแพงพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    1,025
    ค่าพลัง:
    +1,966
    องค์ของพี่ Amuletism สวยแชมป์จริงๆครับ
    พระลึก สีสวย ปิดทองเดิมๆ มาเลย
    ดูสีทองแห้งซีด มีเสน่ห์มากๆ ครับ
     
  12. hemicuda

    hemicuda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,357
    ค่าพลัง:
    +2,246
    ชุดนี้สุดยอดครับ เจ้ากรมเลยนะครับแบบนี้
     
  13. Soul Power

    Soul Power เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +452
    สุดยอดแห่งโชคลาภก็ต้องพระสีวลีนี่แหละค่ะ
    สองเกจิสร้างสวยงามไปคนละแบบนะค่ะ
     
  14. Soul Power

    Soul Power เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +452
    'หลวงพ่อคูณ' อาการดีขึ้นมาก ลุกปั่นจักรยานไฟฟ้าได้
    ฝากถึงลูกศิษย์ 'กูสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงกูหรอก'
    ขณะที่แพทย์สั่งงดเยี่ยม คาดกลับวัดหลังปีใหม่

                           17 ธ.ค.55 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าอาการอาพาธของพระเทพวิทยาคม หรือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ที่เข้าพักรักษาอาการอาพาธด้วยภาวะปอดบวม จากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ วีไอพี 9821 อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 8 โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา รวม 18 วัน
                           ล่าสุดวันนี้ (17 ธ.ค.) นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช ผอ.โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา พร้อมด้วยนพ.พินิศจัย นาคพันธ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและหลอดเลือด หัวหน้าศูนย์โรคหัวใจ รพ.มหาราชนครราชสีมา ,นพ.อนุชิต นิยมปัทมะ อายุรกรรมโรคปอด ,นพ.ธนากร อนันตเศรษฐกูล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินหายใจ ,นพ.ชัยวิวัฒน์ ตุงคะเสรีรักษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางสมอง ,พญ.วิลาวัลย์ แสงศิรินาคะกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอายุรกรรมโรคติดเชื้อ และพญ.นิรดา ศิริยากร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อ ได้ตรวจอาการอาพาธของหลวงพ่อคูณ ภายหลังจากที่สั่งงดให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำมาเป็นระยะเวลา 3 วัน โดยวันนี้สีหน้าของหลวงพ่อคูณสดใสกว่าทุกวัน และสามารถพูดคุยกับคณะแพทย์ได้มากขึ้น
                           ทั้งนี้ภายหลังจากที่คณะแพทย์ได้ทำการตรวจร่างกายหลวงพ่อคูณ ประมาณ 30 นาที ก็ได้นิมนต์ท่านลุกขึ้นจากเตียงผู้ป่วย ซึ่งวันนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่คณะแพทย์ได้ให้หลวงพ่อคูณลุกจากเตียงนอน เพื่อมาปั่นจักรยานไฟฟ้า เป็นการบริหารกล้ามเนื้อส่วนแขนและขา ภายหลังจากที่มาพักรักษาตัวตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย.55 รวมเป็นระยะเวลา 18 วันแล้ว โดยหลวงพ่อคูณได้ปั่นจักรยานไฟฟ้าประมาณ 15 นาที คณะแพทย์จึงได้ให้หยุด และนิมนต์ท่านไปนอนพักผ่อนบนเตียงผู้ป่วยตามเดิม
                           นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช ผอ.โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เปิดเผยว่า จากการตรวจอาการหลวงพ่อคูณ วันนี้ไม่มีไข้ เสมหะลดลงมาก กล้ามเนื้อเริ่มฟื้นตัว ปฏิกิริยาตอบสนองดีขึ้นเกือบปกติ สามารถพูดคุยกับลูกศิษย์รู้เรื่อง โดยหลวงพ่อคูณได้พูดฝากไปถึงลูกศิษย์ทั่วประเทศว่า "กูสบายดี ลูกหลานเอ้ย ไม่ต้องเป็นห่วงกูหรอก" ก่อนที่หลวงพ่อคูณจะยกแขนขึ้นทั้ง 2 ข้าง เพื่อแสดงให้เห็นว่าวันนี้ร่างกายแข็งแรงดีขึ้นมากแล้วจริงๆ แต่เมื่อถามว่าท่านอยากกลับวัดแล้วหรือยัง ก็ได้รับคำตอบว่าอยากกลับวัดแล้ว ซึ่งจากการพูดคุยได้มากขึ้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ส่วนวันนี้คณะแพทย์พิจารณาแล้วเห็นว่าท่านมีอาการดีขึ้นมาก แต่ในเรื่องของกล้ามเนื้อแขนและขายังไม่ฟื้นตัวดีนัก จึงได้นิมนต์ท่านลุกขึ้นจากเตียงผู้ป่วยเพื่อมาปั่นจักรยานไฟฟ้า เป็นการยืดเส้น ยืดสาย บริหารกล้ามเนื้อแขนและขาให้แข็งแรงขึ้น ซึ่งท่านก็สามารถปั่นจักรยานไฟฟ้าได้นานถึง 15 นาที ก่อนที่จะกลับไปพักผ่อนตามเดิม
                            ส่วนการรักษาหลังจากนี้ก็ต้องเฝ้าดูอาการของปอดเพื่อไม่ให้มีการติดเชื้อ และรักษาอย่างประคับประคอง พร้อมทั้งไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมเหมือนเดิม ส่วนเรื่องการกลับวัดนั้นทางคณะแพทย์และลูกศิษย์พิจารณากันแล้วว่า ยังไม่ให้กลับวัดบ้านไร่ในช่วงนี้ โดยจะเฝ้าดูอาการของท่านอีกระยะหนึ่งก่อน ซึ่งหลังช่วงปีใหม่ไปแล้วจะประเมินกันอีกครั้งว่าจะสามารถให้ท่านกลับวัดบ้านไร่ได้เมื่อใด
     
    ข้อมูล นสพ คม ชัด ลึก
     
  15. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    กระทู้นี้ของดีของสวยมากมายจริงๆ
    ขอบคุณสำหรับความคืบหน้าข้อมูลอาการอาพาธ
    ของหลวงพ่อคูณด้วยครับ ทุกคนจะได้สบายใจ
     
  16. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    จับคู่ของดี ของสวยครับ :cool:
    หลวงพ่อปานกับพระสีวลี :cool:


     
  17. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    พี่ทิพย์มงคลของเรา ที่แท้ก็เป็นสายตรงหลวงพ่อเดิมนี่เอง:cool:
     
  18. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,372
    วิธีการดูเขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน ๕
    เสือหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย ในมุมมองของคุณเพชร ท่าพระจันทร์

    เครื่องรางของขลัง ชนิดหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมและเป็นที่สนใจใคร่รู้อย่างยิ่งของนักนิยมสะสมพระเครื่อง รางขลังตั้งแต่ในอดีตจนถึงทุกวันนี้ก็คือ “เสือ” ของ หลวงพ่อปาน วัดมงคลโคธาวาส หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า วัดบางเหี้ย อ.คลองด่าน จ.สมุทรปราการ

    ภาพ "เสือ" ที่เห็นนี้ เป็นชิ้นสุดยอดที่ได้คัดเลือกมาให้ชม ประเภท เห็นกันเป็นครั้งแรก ตามนโยบายที่วางไว้ และสำคัญที่สุดคือ เป็น "เสือแท้" ในรอบหลายปีที่วนเข้ามาให้นักเล่นได้มีสิทธิ์ครอบครองกัน

    "เสือ" หลวงพ่อปาน ตัวนี้ ครั้งแรกที่ได้เห็น ยังอยู่ในมือนักนิยมพระท่านหนึ่ง ซึ่งได้เลี่ยมจับขอบทองเอาไว้ ทำให้เห็นทรวดทรงตัวเสือไม่ค่อยถนัดนัก ภายหลังเมื่อมีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันแล้ว เจ้าของใหม่ได้แกะทองที่เลี่ยมเอาไว้ออก เพื่อเอาท่านใส่ตลับทองคำ ตอนนี้เองที่ทำให้เห็นตัวจริงองค์จริงของท่าน ซึ่งทำไมท่านจึงมีลักษณะดังนั้น...

    เสือ" ตัวนี้ เป็นเสือที่ถูกแกะขึ้น ภายใต้ศัพท์ที่นักเล่นเรียกหา คือ เสือเขี้ยวซีก ก็ด้วยเหตุที่ "เขี้ยวเสือ" เป็นวัตถุอาถรรพณ์ และเสือจริงสมัยก่อน รวมทั้งสมัยนี้เป็นที่รู้กันว่าหาได้ยากยิ่ง

    เสือรุ่นแรก จึงมักใช้วัสดุเท่าที่มี ซึ่งจำกัดมาก หาได้เท่าไรก็ให้หลวงพ่อลงจาร หรือทำให้เท่านั้น การแกะเสือยุคแรกๆ ศิษย์ผู้อยู่ใกล้ตัวหลวงพ่อ เมื่อได้เขี้ยวเสือมา จึงมักแบ่งเขี้ยวออกเป็นสองส่วน แล้วจึงให้ช่างแกะเป็นตัวเสือให้

    อีกกรณีหนึ่งคือ ประเภทได้เขี้ยวเสือมา แต่เป็นเขี้ยวชำรุด หรือบิ่นแตก ด้วยเชื่อว่าตัวเสือเจ้าของเขี้ยวค่อนข้างดุ ขบกัดฉีกกินเหยื่อต่างๆ มานับไม่ถ้วน หรืออาจกัดทำร้ายกันเอง ทำให้เขี้ยวเสือหักกร่อน ข้างหนึ่งดี อีกข้างบิ่น สูงยาวไม่เท่ากัน เมื่อถึงมือช่าง จึงมักถูกแต่งทิ้ง ด้านที่อาจบิ่น หรือชำรุดออกไป ดังนั้นในยุคแรกๆ ของการแกะเสือ จึงมักเจอ เสือเขี้ยวซีก กันบ่อยครั้ง

    ต่อมาเมื่อ เสือหลวงพ่อปาน เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง บรรดาเจ้าสัว นายหัว คุณท่าน ต่างก็จ้างคนสืบหาเขี้ยวเสือที่ค่อนข้างใหญ่และงาม นำมาให้ช่างแกะ บรรดาลูกศิษย์วัดต่างส่งข่าวหาเขี้ยวกัน เพื่อนำมาแกะเป็นวัตถุมงคล รูปเสือ กันอย่างกว้างขวาง จนมีเรื่องเล่าว่า ค่าตัวของเสือหลวงพ่อปานสมัยนั้น (เมื่อร้อยปีมาแล้ว) มีราคาตั้งแต่ ๑ บาท ๒ บาท จนถึง ๓ บาท นั่นคือราคาที่แพงที่สุด แต่ก็มีเรื่องเล่า (อีก) ที่ว่า มีคหบดีท่านหนึ่งให้ราคาเสือถึง ๕ บาท เพื่อให้ช่างหาเขี้ยวและนำมาแกะเป็นตัวเสือ

    ดังนั้น "เสือ" เมื่อก่อนจะมาถึงมือของ หลวงพ่อปาน ก็มีราคาค่าตัวสูงอยู่แล้ว เมื่อท่านเมตตา ประสิทธิประสาท ปลุกเสกคาถาอาคมให้ และมอบเสือให้ศิษย์ รวมทั้งผู้เคารพศรัทธาในตัวท่านแล้ว เสือหลวงพ่อปาน จึงมีราคาค่านิยมสูงมาก มาตั้งแต่สมัยนั้น เรื่องที่จะได้ "เสือ" ราคาถูกๆ จึงไม่มีมาตั้งแต่สมัยเก่าก่อนแล้ว

    มาถึงทุกวันนี้ เมื่อต่างรู้ว่าใครมี เสือหลวงพ่อปาน ราคาค่าตัวจึงถูกประมูล และผู้ที่มีไว้ครอบครองส่วนใหญ่ต้องให้ราคาค่อนข้างสูงกว่าปกติทั่วไป จึงจะได้สิทธิครอบครองเสือจริง

    ส่วนที่ได้ราคาถูก หรือมีด้วยเสือเช่นกัน มักเป็น เสือหิว เสือโหย เสียเป็นส่วนใหญ่ เสือลักษณะนี้ แค่ได้ยินชื่อ ท่านทั้งหลายก็คงไม่คิดอยากจะเอาไว้ใกล้ตัว ลักษณะเป็นอย่างไร เดี๋ยวว่ากันต่อ

    ค่าเขี้ยวเสือ ค่าโกลนขึ้นรูปเสือ แม้มีราคามากแล้ว แต่ขั้นตอนการได้เสือยุ่งยากกว่ามาก ด้วยท่านกว่าจะทำเสือ ลงจารเสือ ปลุกเสกสำเร็จ จิปาถะ ฯลฯ ก็ต้องผ่านพิธีกรรมหลายขั้นตอน

    เสือหลวงพ่อปาน ตัวที่ท่านกำลังเห็นอยู่นี้ เมื่อจำเป็นจะต้องใช้เขี้ยวซีกแล้ว ทราบว่าต้องให้ช่างคนหนึ่งแกะสลักให้ ในบรรดาช่างที่มีฝีมือ อาทิ ช่างฟัก ช่างชม ช่างนิล ช่างมาก และช่างมา อาจจะเป็นคนเดียวกันก็ได้

    ช่างแกะเขี้ยวซีก ผู้มีความเก่งกล้าสามารถมากท่านหนึ่ง แม้จะจำชื่อท่านไม่ได้ แต่จำฝีมือท่านได้แม่น ด้วยส่วนใหญ่ท่านจะแกะแบบ เสือนิยม นั่งหุบปาก ตาเนื้อ รวมความแล้วเป็นแบบ เสือหน้าแมวแต่ดุ ด้วยเนื้อที่น้อย จำกัดลักษณะ จึงมักทิ้งเนื้อที่ใต้ฐานเสือนั่งเอาไว้ เพราะไม่มีเนื้อที่เหลือไว้ให้หลวงพ่อลงเหล็กจารอักขระยันต์ใต้ฐานล่างได้ แต่เพราะความเป็นช่างผู้มากด้วยประสบการณ์ และเป็นเรื่องต้องทราบ ด้วยหลวงพ่อต้องลงอักขระเลขยันต์ในการสร้างเสือขึ้นมาทุกครั้ง นายช่างท่านนี้จึงมักจะเหลือพื้นที่ใต้เสือนั่ง ฝั่งซ้าย-ขวาเอาไว้ เพื่อให้หลวงพ่อมีเนื้อที่ลงอักขระเลขยันต์ได้ตามสูตร

    ดังนั้น เรื่องความคิดสร้างสรรค์ ฝีมือชั้นเชิงช่าง และสิ่งที่เหลือ ลายมือหลวงพ่อ ในเสือหลวงพ่อปาน จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ และเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การเก็บรักษาดูแลเป็นอย่างยิ่ง

    เรื่องสูตรจารตัว “เสือ” ของหลวงพ่อปาน ตามสูตรท่านลงแบบ ยันต์ตรีนิสิงเห คือตัวเลขต่างๆ ที่เห็นในภาพ รวมทั้ง ยันต์กอหญ้า ยันต์ฤษีเลื่องลือ

    เสือหลวงพ่อปาน ที่เห็นในภาพนี้ เป็น ยันต์นะปถมัง ยันต์สูตรนี้เมื่อเรียนจบแล้ว ยังต้องรู้ว่า ลงแล้วดีอย่างไร ในหนังสือของ อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร เขียนเรื่องนี้ไว้ว่า

    ในบุราณคัมภีร์ ท่านได้วางแบบนะอักขรวิเศษต่างๆ ไว้มาก ดังที่ท่านเรียกกันว่า นะ ๑๐๘ แต่แท้ที่จริง บรรดานะอักขรวิเศษเหล่านั้น ท่านแยกออกมาจากสูตรปถมังทั้งนั้น เป็นแต่ผิดเพี้ยนรูปกันไป และคาถาที่ปลุกเสก ก็ต่างออกไป ตามแต่ความมุ่งหมายของชื่อนะเหล่านั้น เช่น เป็นนะทางคงกระพัน ถ้าเป็นเมตตา ก็เสกด้วยคาถาบทที่ว่าด้วยเมตตา

    แต่ปัญหาสำคัญในการที่จะเขียนนะอักขรวิเศษเหล่านั้น จำเป็นจะต้องเขียนขึ้นจากสูตรปถมังพินธุทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนะเช่นไร ชนิดใดก็ตาม การลงเบื้องแรก จำต้องเริ่มจาก พินธุ ทัณฑะ เภทะ อังกุ สิระ เป็นลำดับกันไป และเมื่อสำเร็จเป็นรูปนะแล้ว จึงค่อยปลุกเสกตามคาถา ที่พึงปรารถนาจะให้เป็นไป เพราะเหตุที่สูตรปถมังพินธุ เป็นรากเง่าใหญ่ของการลงนะทั้งปวง จึงได้มีคำพังเพยของปราชญ์โบราณท่านกล่าวไว้ว่า “ปถมังพินธุ ผู้ใดได้เรียนแล้วนะมิต้องพักขอก็มาเอง”

    ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมเสือหลวงพ่อปาน จึงมีค่านิยมสูงนัก


     
  19. 24hrs

    24hrs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    1,200
    ค่าพลัง:
    +2,491
    ขอบคุณอย่างสูงครับ ท่านพี่ Amuletism จะขอนำแนวทางนี้ไปปฏิบัติตามนะครับ (ต้องเน้นของสวยไว้ก่อน)hp_dayhp_day
     
  20. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,372
    เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมู เขี้ยวหมี
    เขี้ยว งา กะลา เขา เป็นคำพูดที่พูดกันมานมนาน
    ซึ่งหมายถึง วัสดุที่นำมาสร้างเครื่องรางของขลังนั่นเอง

    เครื่องรางที่สร้างจากเขี้ยวสัตว์นั้น ส่วนใหญ่จะเน้น เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมี และเขี้ยวหมูป่า เป็นหลัก ส่วนที่สร้างจากงา คงเป็นแค่งาช้างเท่านั้น จากกะลามะพร้าว ส่วนใหญ่จะใช้กะลามะพร้าวที่มีตาเดียว แต่ถ้าเจอกะลามะพร้าวที่มีห้าตา สิบตา ก็ยิ่งดี ถือว่าเป็นของหายาก ส่วนจากเขาสัตว์นั้นจะเน้นไปทาง เขาวัวกระทิง เขาควาย และเขากวางเป็นหลัก วัตถุที่นำมาสร้างเครื่องรางของขลังเหล่านี้ เชื่อกันว่ามีความขลังในตัวอยู่แล้ว ยิ่งนำมาทำพิธีปลุกเสกด้วยแล้ว ยิ่งเพิ่มความขลังเป็นทวีคูณขึ้นหลายเท่า

    วันนี้ ผู้เขียนขออนุญาตบรรยายเรื่อง เขี้ยว เรื่องเดียวอีกสักครั้ง จำได้ว่า ชั่วโมงเซียน ของหนังสือพิมพ์ "คม ชัด ลึก" ผู้เขียนได้เคยบรรยายเรื่องเขี้ยวไว้แล้ว เมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันกลับมีผู้นิยมสนใจเรื่องเครื่องรางของขลังกันมากมาย ผู้เขียนจึงนำข้อมูลมาเสนอให้ อาจช่วยเพิ่มเติมความรู้ ความเข้าใจ และเป็นวิทยาทานได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

    เขี้ยว นับว่าเป็นเครื่องรางของขลังที่ได้รับความนิยมสูงสุดชนิดหนึ่ง จากเครื่องรางยอดนิยมทั่วๆ ไป พระเกจิอาจารย์บางท่านที่นำเขี้ยวมาแกะสร้างเครื่องรางของขลัง จนได้รับความนิยม ให้นั่งอยู่แถวหน้า ประเภทเครื่องรางของขลังยอดนิยม เช่น เขี้ยวเสือแกะของหลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน และเขี้ยวเสือแกะของอาจารย์เฮง วัดเขาดิน เป็นต้น เขี้ยวสัตว์นั้นที่จริงมีด้วยหลายประเภท ที่นิยมนำมาสร้างเครื่องรางของขลังกัน แต่ที่จะเขียนถึงคราวนี้ จะเน้นเฉพาะ เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมี และเขี้ยวหมูป่าเท่านั้น เพราะทั้งสามเขี้ยวนี้ เป็นวัสดุที่ทั้งพระเกจิอาจารย์ และฆราวาส นิยมนำมาสร้างวัตถุมงคลกันมาก และได้รับความนิยมกันแทบทั้งสิ้น แต่ที่สำคัญ ปัญหาอยู่ที่มีผู้ซักถาม และถกเถียงกันอยู่บ่อย เกี่ยวกับการแยกประเภทของเขี้ยวว่า เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมี และเขี้ยวหมู นั้นแตกต่างกันอย่างไร บางท่านยังไม่ทราบ หลายท่านคงทราบกันดีอยู่แล้ว และอีกหลายท่านก็ยังคงเดาๆ อยู่

    วันนี้ เรามาทำความเข้าใจกัน ผู้เขียนเองยอมรับว่า ไม่ได้เก่งกาจอะไรมากเรื่องเครื่องรางของขลัง แต่เป็นคนที่ชอบวัตถุมงคลประเภทเครื่องรางเอามากๆ คนหนึ่ง เลยทีเดียว ชอบค้นคว้า ค้นตำราต่างๆ ถามผู้รู้ ผู้ชำนาญ เคยซื้อผิด ซื้อถูก ทุกอย่างผู้เขียนถือว่า เป็นครูเท่านั้น เมื่อได้ความรู้อะไรมาบ้างที่เห็นว่าสำคัญ และถูกต้องก็ถ่ายทอดกันต่อๆ ไป จะได้ไม่สูญหายไปจากวงการ

    เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมี และเขี้ยวหมู ถ้าเป็นอาจารย์เดียวกันสร้าง เขี้ยวเสือจะได้รับความนิยมมาเป็นอันดับหนึ่ง รองมาก็คือ เขี้ยวหมี และเขี้ยวหมู เป็นอันดับท้าย คงเป็นความเชื่อเรื่องบารมีมหาอำนาจ ของเขี้ยวสัตว์แต่ละชนิดก็ได้ เสือซึ่งถือว่าเป็นเจ้าป่า และหายาก ฆ่าก็ยาก หมียังพอเห็นมากกว่า ส่วนหมูป่านั้นมีจำนวนมากมาย แต่ถ้าเป็นหมูที่มีเขี้ยวตัน หรือเขี้ยวยาว ใหญ่ ก็ถือว่าหาชมได้ยากเช่นกัน ดังคำโบราณที่กล่าวว่า ถ้าจะเล่นเขี้ยวหมู ต้องเล่นเขี้ยวตัน จะเล่นเขี้ยวเสือต้องเล่นเขี้ยวโปร่ง (โปร่งฟ้า) ก่อนจะแยกแต่ละประเภทของเขี้ยวนั้น อยากพูดถึงลักษณะของการนำเขี้ยวมาแกะ ว่ามีลักษณะใดบ้าง คือมีทั้งที่แกะเต็มเขี้ยว ครึ่งเขี้ยว หรือ นำเอาเขี้ยวมาผ่าเป็นซีก แกะเป็นชิ้นเล็กๆ ก็มี

    เต็มเขี้ยว หมายถึง เขี้ยวที่ถูกถอดรากออกจากเหงือกทั้งอัน ซึ่งยังมีปลายเขี้ยวแหลม ยาวอยู่ เช่น เสือ หลวงพ่อนก วัดสังกะสี

    ครึ่งเขี้ยว หมายถึง เขี้ยวที่ถูกถอดรากออกจากเหงือกทั้งอัน แล้วนำมาตัดแบ่งครึ่ง ส่วนใหญ่นิยมเอาครึ่งแถบที่เป็นรากเขี้ยวมาแกะ เช่น เสือ หลวงพ่อปาน คลองด่าน ที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป

    เขี้ยวซีก หมายถึง การเอาเขี้ยวเต็มมาผ่าแบ่งเป็นชิ้นๆ แล้วนำมาแกะ เป็นวัตถุมงคล อีกทีหนึ่ง เช่น เสือเขี้ยวซีก หลวงพ่อปาน คลองด่าน หรือ เสือ อาจารย์เฮง วัดเขาดิน

    การแกะวัตถุมงคลจากเขี้ยวซีกชิ้นเล็กๆ นั้น บางท่านอาจเข้าใจผิดว่า แกะมาจากปลายเขี้ยว ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก เพราะปลายเขี้ยวมีลักษณะแข็งและกรอบ ถ้าโดนแกะก็จะปริแตกไม่เป็นรูปทรง ความจริงแล้ว เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมี และเขี้ยวหมู มีลักษณะที่แยกออกจากกันได้ชัดเจน ผู้เขียนจะอธิบายไปทีละขั้น จะได้เข้าใจง่าย ไม่สับสน โดยดูรูปภาพประกอบจะเห็นได้ชัดเจน

    เขี้ยวเสือ นั้นมีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดและขนาดของตัวเสือ เขี้ยวจะยาว เรียว ปลายแหลมคม โค้งพอประมาณ ดูจากปลายเขี้ยวจะเห็นเหลี่ยม เป็นร่องเล็กๆ อยู่แถบละสองร่อง ทั้งสองข้าง วิ่งเป็นแนวร่องเข้ามายังตัวเขี้ยวชัดเจน เราเรียกกันว่าร่องเส้นเลือด และถ้านำเขี้ยวเสือมาตัดแบ่งครึ่ง เราจะเห็นรูตรงกลางเป็นรูกลวงโปร่งไปสุดโคนเขี้ยว ซึ่งจะมีลักษณะกลม หรือกลมรีเล็กน้อย กว้างประมาณ ๒๐-๓๐% ของพื้นที่หน้าเขี้ยวที่เราตัดครึ่ง และจะมีคลื่นรัศมีวิ่งรอบปากรูเขี้ยวซึ่งมองเห็นได้ชัดเจน

    เขี้ยวหมี นั้นมีทั้งขนาดเล็กและใหญ่เช่นกัน เขี้ยวหมีเมื่อดูภายนอกลักษณะทั่วไปคล้ายเขี้ยวเสือมาก คือมีความเรียว โค้งยาว ปลายแหลมคม สิ่งที่แตกต่างจากเขี้ยวเสือนั้นคือปลายเขี้ยวหมี ก็มีร่องเลือดเหมือนกัน แต่เป็นแบบเส้นเลือดสีน้ำตาลแดงวิ่งรอบเป็นวงเดือน จากปลายเขี้ยวเข้ามาด้านใน เป็นสิบๆ รอบ ซึ่งเรามองเห็นด้วยตาเปล่าได้ชัดเจน และเมื่อเรานำเขี้ยวมาตัดผ่าแบ่งครึ่ง ก็พบรูกลวงโปร่งเช่นเดียวกันเหมือนกับเขี้ยวเสือ แต่รูของเขี้ยวหมีจะกว้างกว่ารูของเขี้ยวเสือมาก บางเขี้ยวเจอรูกว้าง ๗๐-๘๐% ของหน้าเขี้ยวเลยทีเดียว

    เขี้ยวหมูป่า มีลักษณะที่แตกต่างจากเขี้ยวเสือ และเขี้ยวหมี ซึ่งเห็นได้ชัดเจนมาก เขี้ยวหมูป่านั้น มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ มีลักษณะค่อนข้างแบนเป็นเหลี่ยมโค้งยาว ปลายแหลม โคนเขี้ยวเป็นรูกลวงลึกเข้าไปด้านในเกือบสุดปลายเขี้ยว เขี้ยวหมูป่าบางเขี้ยวนั้นยาวเอามากๆ จนเกือบจะเป็นครึ่งวงกลมเลยก็มี โดยทั่วไปเขี้ยวหมูป่าจะเป็นเขี้ยวกลวงเกือบทั้งนั้น จะหาเขี้ยวแบบตันๆ นั้นยากมาก และเมื่อตัดเขี้ยวแบ่งครึ่งออกจากกัน ก็จะเห็นรูของเขี้ยวหมูป่าเป็นรูปสามเหลี่ยม ไม่เหมือนกับเขี้ยวเสือกับเขี้ยวหมี ที่มีรูลักษณะกลม หรือรูปวงรี

    สรุปได้ว่า เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมี และเขี้ยวหมูป่า มีลักษณะที่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาแล้วก็สามารถแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน เมื่อท่านผู้อ่านมีโอกาสได้เครื่องรางของขลังประเภทเขี้ยวเหล่านี้ ก็ควรใช้ดุลพินิจ พิจารณาข้อมูลของผู้เขียน อาจจะช่วยท่านได้บ้างไม่มากก็น้อย
     

แชร์หน้านี้

Loading...