ยุคก่อนมีพระพุทธรูป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 6 ธันวาคม 2012.

  1. ตันติปาละ

    ตันติปาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    4,421
    ค่าพลัง:
    +4,649

    หรอออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ

    แสดงว่าที่ว่ามาทั้งหมดรู้ไม่จริง อ้างอิงอย่างเดียว OK กระจ่างแล้ว



    อย่างนี้ภาษาไทยเรียกว่ารู้ไม่จริง แต่ดันทุรัง

    ผมเพียงแต่เข้ามาลองดูว่าคุณมีความรู้ที่เพียงพอที่ผมจะติดตามหรือเชื่อถือได้หรือไม่ แต่กลับตอบคำถามแบบบ่ายเบี่ยง ทำให้คนที่เค้าต้องการคำตอบที่จะสามารถเชื่อถือได้ไม่มีเลย แค่ยิงคำถามที่เด็กๆยังตอบได้ยังไม่สามารถตอบได้ แล้วจะมาเปิดประเด็นนั้น ความเชื่อถือจะมีได้หรือครับ

    อนุโมทนา

    ปล. สิ่งที่คุณตอบมาก็ไม่ต่างกับที่คุณตอบผมว่าวิกิพีเดียเชื่อถือได้หรอ
     
  2. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    ตามลิงค์ท่านพุทธทาสพูดถึง ภาพพุทธประวัติ นะครับ
    คุณอุรุฯ เชื่อถือข้อมูลของท่านพุทธทาส ตามลิงค์ที่คุณเอามาแสดงหรือเปล่าครับ

    ชื่อกระทู้ ยุคก่อนมีพระพุทธรูป
    คุณอุรุเวลาตั้งชื่อกระทู้เองหรือเปล่าครับ

    (kiss)

    สำหรับหลักฐานที่ผมว่าภาพพุทธประวัติเหล่านี้ เกิดขึ้นในยุคหลังพระพุทธรูปนั้น
    ผมอ้างอิงข้อมูลมาจากนักปาดท่านหนึ่ง แสดงไว้ว่า

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๓๓ หน้าที่ ๑๒๔/๔๐๘
    ครั้งนั้น พระพิชิตมารทรงทราบว่า เรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้ตรัสสอนเราว่า
    อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า
    ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม
    ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วย
    ต้นไม้มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่าง ล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์
    เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น
    และความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุดแห่งสรรพกิเลสได้
    โดยง่าย
    ข้อความ ref 1

    รูปหล่อรูปปั้นประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ (ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม) ช่างปั้นทำเป็นรูปขึ้นมา ทำพิธีโดยพระสงฆ์ทุศีล(พระพุทธเจ้าห้ามพระสงฆ์ทำพิธีเสกเป่า รดน้ำมนต์ พ่นน้ำมนต์ เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่)

    พระพุทธรูปเป็นรูปกายประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ (ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม) เกิดแต่ครรภ์มารดา มีวิญญาณเข้าไปตั้งอาศัย เจริญเติบโตในครรภ์ ๘ เดือนบ้าง ๙ เดือนบ้าง ๑๐ เดือนบ้าง รูปเกิดขึ้นเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะโสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

    พระพุทธรูปหรือรูปเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

    พระพุทธรูปหรือรูปเป็นอนัตตา เป็นที่รวมของกองทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้เบื่อหน่ายในรูป พิจารณาให้เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ถ้าท่านพอใจที่จะกราบไหว้พระพุทธรูปหรือรูปก็กราบไหว้เถิด ผมเองก็กราบไหว้บรรพบุรุษรูป มารดารูป บิดารูป ครูบาอาจารย์รูป ญาติรูป ผมกราบไหว้ทั้งรูปที่มีวิญญาณตั้งอยู่และรูปที่ไม่มีวิญญาณตั้งอยู่ และถ้าจะกราบไหว้รูปหล่อรูปปั้นที่ช่างปั้นทำเป็นรูปขึ้นมาก็ไม่ได้ผิดอะไร

    พระธรรมเท่านั้นที่จะทำให้ท่านพ้นทุกข์ทำให้ท่านได้เห็นพระพุทธเจ้า
    พระพุทธรูปหรือรูปกาย รูปหล่อ รูปปั้น ท่านกราบไปจนวิญญาณท่านดับ
    ท่านก็ไม่มีวันได้เห็นธรรมไม่มีวันได้เห็นพระพุทธเจ้า "ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นคถาคต"
    ref 11

    ข้อมูลจากลิงค์ http://palungjit.org/threads/รูปหล่อรูปปั้นไม่ใช่พระพุทธรูป.326681/

    คุ้นๆมั้ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2012
  3. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    จากลิงค์ http://palungjit.org/threads/รูปหล่อรูปปั้นไม่ใช่พระพุทธรูป.326681/

    พระพุทธรูป ในความหมายที่คุณอุรุเวลาพยามแสดงมาตลอด สรุปว่าคือ
    ร่างกาย ธาตุ 4 ขันธ์ 5 ของพระพุทธเจ้า ถูกไหม?

    ซึ่งมันแตกต่างกับ ความหมายของพระพุทธรูป ที่คนทั่วไปเข้าใจ

    พระพุทธรูป หมายถึง รูปที่สร้างขึ้นแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อกราบไหว้บูชา อาจใช้การแกะสลักจากวัสดุต่างๆ เช่น ศิลา งา ไม้ หรือวัสดึอื่นๆ นอกจากนี้ยังอาจใช้การปั้นหรือหล่อด้วยโลหะก็ได้ โดยทั่วไป คำว่า พระพุทธรูปมักจะหมายถึง รูปขนาดใหญ่พอที่จะวางบูชาได้ สำหรับรูปขนาดเล็กมักจะเรียกว่า พระเครื่อง อย่างไรก็ตาม ทั้งสองแบบสามารถเรียกว่า พระพุทธรูป ได้เช่นกัน

    ข้อมูลจาก พระพุทธรูป - วิกิพีเดีย

    ตกลงว่า พระพุทธรูป ที่คุณอุรุ? กล่าวในชื่อกระทู้ และโพสในกระทู้นี้ เป็นความหมายแบบไหนครับ
    1. ร่างกาย ธาตุ4 ขันธ์5 ของพระพุทธเจ้า (ตรรกะที่คุณเสนอมาเอง)
    2. รูปหล่อปูนปั้น รูปเปรียบพระพุทธเจ้า (ที่คนทั่วไปเข้าใจ)

    เอาไงดี
    rabbit_run_away
     
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002

    ผมอ่าน ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา, หนา ๒๑–๒๒ แล้วไม่มีข้อความตามที่อ้าง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 321457.jpg
      321457.jpg
      ขนาดไฟล์:
      177 KB
      เปิดดู:
      91
    • 321556.jpg
      321556.jpg
      ขนาดไฟล์:
      160.4 KB
      เปิดดู:
      70
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ในพระไตรปิฎกมีบันทึกไว้ว่า

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดา
    และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว
    เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว
    ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ
    ขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลา
    ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.


    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๙ หน้าที่ ๔๔/๓๘๓

    -พระปรางค์ห้ามแก่นจันทร์นั้นมีปรากฏในวิกิพีเดีย แต่ไม่มีบันทึกในพระไตรปิฎก เมื่ออ้างคัมภีร์ตามอรรถกถา หลังพระไตรปิฎก ก็ไม่มีค่า หมดค่า หมดราคา ไม่น่าเชื่อถือ หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ไม่มีใครเห็นพระพุทธเจ้าองค์จริงแน่
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    "ผู้ใดไม่เห็นธรรม ผู้นั้นไม่เห็นตถาคต, ทั้งที่แม้ว่าเขาจะจับมุมจีวรของเรา เที่ยวไปไหนไปด้วยกันทุกวันก็ตาม" นี่เป็นพระพุทธภาษิต ที่ตรัสแก่พระวักกลิ อันแสดงเนื้อความว่า ผู้ที่เห็นเปลือก (คือร่างกาย) ของพระองค์นั้น หาชื่อว่าเห็นพระองค์ไม่ ผู้ใดเห็นธรรม (คือสิ่งที่ทำพระสิทธารถให้กลายเป็นพระพุทธเจ้า) ผู้นั้นจึงจะชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า, โดยนัยนี้ เราจะเห็นได้ชัดทีเดียวว่า การที่จะเห็นธรรมนั้น มันมีทั้งเห็นเปลือกและเห็นเนื้อแท้จริงๆ แม้การเห็นพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นส่วนที่ได้กระจายออกไปจากตัวพระธรรม ก็เช่นนั้นดุจกัน. การที่พระองค์ตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต, ผู้ใดเห็นตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม" ดังนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้ากับพระธรรมเป็นอันเดียวกัน ส่วนรูปกายนั้น ไม่ใช่ทั้งธรรม และตถาคต, เป็นเพียงเปลือกของธรรมหรือของตถาคต การเห็นเปลือก และเห็นเนื้อแท้ จึงไม่ใช่อันเดียวกัน และแยกกันได้อย่างเด็ดขาด."

    ท่านพุทธทาสภิกขุ
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    หัวข้อเรื่องมีว่า ศิลปแห่งการมีพระพุทธเจ้าอยู่กับเนื้อกับตัว นี้ก็ควรจะนึกกันให้ทั่วถึงว่า ทำไมจะต้องมาอยู่กับเนื้อกับตัว ?
    ถ้าไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก็จะช่วยอะไรไม่ได้แล้วจะไม่มีประโยชน์อะไร. พระคุณของพระพุทธเจ้าหรือพระคุณของพระธรรม
    หรือพระคุณของพระสงฆ์ จะมีประโยชน์แก่เรา ก็ต่อเมื่อเราเอามาทำให้อยู่กับเนื้อกับตัว.

    ถ้าไม่รู้จักพระพุทธเจ้าโดยภาษาธรรม ก็จะไม่เข้าใจคำว่า มาอยู่กับเนื้อกับตัว ;
    เพราะเห็นว่าพระพุทธเจ้านั้น ก็เป็นบุคคลตายแล้ว เผาแล้ว. นี่พูดภาษาชาวบ้าน;
    เหลือแต่กระดูกแล้ว ไม่พอแจกกัน ที่จะเอามาอยู่กับเนื้อกับตัว,
    ทำเป็นพระพุทธรูปขึ้นมาแทน แล้วมาแขวนไว้ที่คอ แล้วก็จะเรียกว่า อยู่กับเนื้อกับตัว.

    นี่แหละมันเป็นเรื่องติดตัน ตายด้าน กันอยู่ที่ตรงนี้ ว่าจะทำให้พระพุทธเจ้ามาอยู่กับเนื้อกับตัวได้อย่างไร.

    เขาเอาพระพุทธรูปมาแขวนคอ ด้วยความคิดว่าอย่างไร ? ส่วนมากก็ด้วยความเห็นแก่ตัว,
    เห็นแก่ประโยชน์ของตัว มีแต่ความขลาด ความกลัว เอาพระพุทธรูป พระเครื่อง มาแขวนไว้ที่คอ
    ด้วยความคิดว่าจะปลอดภัยด้วยความคิดว่าจะร่ำรวยมากเร็ว ๆ ด้วยความคิดว่า จะให้คนรักทั่วทุกทิศทุกทาง.
    นี่เอาพระพุทธรูปมาแขวนไว้ในลักษณะอย่างนี้ ซึ่งพระพุทธเจ้าพระองค์จริงไม่เคยตรัส.

    พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธรูป; เพราะมันไม่มี ในครั้งพุทธกาล ไม่มีพระพุทธรูป ไม่มีพระเครื่อง;
    ฉะนั้นจึงไม่มีข้อความใด ๆ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เกี่ยวพระพุทธรูปหรือพระเครื่อง.
    การที่ถือว่าเอาพระเครื่องมาแขวนคอ แล้วจะปลอดภัย จะรวย ใครเห็นก็จะรัก ;
    นี่เป็นเรื่องว่าเอาเองทีหลัง. จะอยู่กับเนื้อกับตัวได้หรือไม่ ก็ลองดูเถิด.

    อาตมาชักจะสงสัย จึงได้เอามาพูด ให้ใคร่ครวญกันดู พิจารณากันดู ว่าเอาพระพุทธรูปมาแขวนเข้าที่คอห้อยอยู่ที่ใต้คาง ที่หน้าอก,
    เวลากินเหล้า ยกแก้วเหล้าข้ามหัวพระเครื่อง วันหนึ่งตั้งหลาย ๆ หน, แล้วพระเครื่องนั้นจะเป็นอย่างไร;
    ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าจริง มีจิต มีวิญญาณสิงอยู่ในนั้น แล้วจะรู้สึกอย่างไร นี้เรียกว่า เอาแก้วเหล้าข้ามหัวท่าน.

    ทีนี้บางทีก็จะเก็บพระเครื่องไว้ที่อื่นก็ได้; แต่พอถึงเวลาที่เขาจะทำพิธีกินเหล้า เขายกแก้วเหล้าขึ้นชูเหนือหัว เหนือศรีษะ
    พร้อมกัน ในการดื่มอวยพรให้คนนั้นคนนี้ ยกแก้วเหล้าขึ้นเป็นสิ่งสูงสุดกว่าสิ่งใดยกขึ้นเหนือหัว;
    แล้วพระพุทธรูป พระพุทธเจ้าที่เอามาเก็บไว้เพื่อตัวนั้น จะรู้สึกอย่างไร.
    ถ้ามีจิตมีวิญญาณก็จะไม่สำเร็จประโยชน์เลยในการที่หวังว่า จะพึ่งพาอานุภาพของพระเครื่อง ของพระพุทธรูป.

    จะทำพิธีพุทธาภิเษก ให้วิเศษมากี่วัดกี่วากี่ร้อยครั้ง ถ้าเอาแก้วเหล้าข้ามหัวทีเดียว มันก็หมดแหละ มันก็หมดความหมายแหละเมื่อข้ามหัว;
    เพราะว่าเหล้านั่นเองทำให้หมดความเป็นพระเศียร เหลือแต่หัวตามแบบของวัตถุ. เมื่อยังไม่ได้เอาแก้วเหล้ามาข้ามหัว ก็ยังมีคำว่า พระเศียรอยู่,
    สูงสุดอยู่; พอเอาแก้วเหล้าข้ามหัวเสียแล้ว มันก็หมดความหมายของคำว่า พระเศียร เหลือแต่หัว.

    นี่อาตมาจึงใช้คำว่า “ ข้ามหัวท่าน ” จนหมดความเป็นพระเศียร, แล้วก็ไม่มีความเป็นพระพุทธเจ้าเหลืออยู่;
    เพราะถูกข้ามหัวด้วยแก้วเหล้า วันหนึ่งหลาย ๆ ครั้ง สำหรับคนกินเหล้า. หรือว่าคนไม่กินเหล้า ก็ยังจะยกอะไรข้ามหัวท่านอยู่บ่อย ๆ ;
    แม้แต่กินข้าว กินแกง กินกับ กินอะไรก็ตาม มันต้องกินทางปาก มันก็ข้ามหัวพระเครื่องแล้วไม่เห็นใครเคยถอดพระเครื่อง แล้วจึงกินจึงดื่ม

    เอาละ, เป็นอันว่า คนที่เขาอยากจะมีพระพุทธเจ้า อยู่กับเนื้อกับตัวนั้น มันไม่มีความหมายเสียแล้ว ถ้าทำเพียงเท่านี้;
    แม้ว่าบางคนจะมาสักลงไปในหนัง ลงในผิวหนัง เป็นรูปพระพุทธรูป เป็นรูปพระพุทธเจ้าให้อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วก็ยังปฏิบัติอย่างเดียวกัน
    กับพระเครื่องที่เอามาแขวนไว้; แล้วก็ใช้ร่างกายนี้ ทำแต่สิ่งที่ไม่น่าดูเป็นบาป เป็นอกุศล ;
    มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะสักพระพุทธรูปไว้ที่เนื้อที่ตัว ที่หนัง.

    เอาละ, เป็นอันว่า เขาควรจะคิดหาวิธีอื่น ที่จะทำให้มีพระพุทธเจ้าพระองค์จริง แล้วก็มาอยู่ที่เนื้อที่ตัวกันจริง ๆ.

    พุทธทาสภิกขุ
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อาตมาเคยพูดทำนองมันจะเรียกว่าเถียงหรือทะเลาะกันก็ได้ ฝรั่งคนหนึ่งเขามาแสวงหาพุทธศิลป ศิลปะของชาวพุทธ, แล้วเขาก็รวบรวมเอาไป เป็นพระพุทธรูปสวย ๆ ทั้งนั้น. อาตมาบอกว่า นั่นไม่ใช่ศิลปะของชาวพุทธ ไม่ใช่พุทธศิลป; พระพุทธเจ้าไม่รู้จักศิลปะอย่างนี้, ชาวพุทธก็ไม่ได้นิยมศิลปะอย่างนี้, พุทธศิลปะก็คือวิธีเอาชนะความทุกข์, วิธีที่จะเอาชนะความทุกข์ในจิตในใจ ในบุคคลหรือในสังคมได้นั้นแหละคือพุทธศิลป. ทำไมคุณไม่สนใจ ไม่สนใจเอาพุทธศิลปชนิดนี้ไป, กลับมาขนเอาวัตถุซึ่งมีความงาม เรียกว่ามันเปลี่ยนมากทีเดียว. โลกมันเปลี่ยนค่านิยมของศิลปะไปอย่างมากมายอย่างนี้ กระทั่งฝีมือในทางแกะในทางสลักเกี่ยวกับพระศาสนาประดับประดา ก็เรียกว่าพุทธศิลปไปหมด มันไม่ใช่เรื่องอริยมรรคที่จะตัดกิเลสเสียแล้ว ที่จริงอริยมรรคที่ใช้ตัดกิเลสนั้น คือยอดสุดของพุทธศิลป.

    มันก็เกิดแบ่งกันเป็น ๒ พวกสิ : เป็นพุทธศิลปของบุถุชนคนธรรมดา, กับเป็นพุทธศิลปของแบบอริยสาวก. บุถุชนก็มีพุทธศิลปอย่างหนึ่ง, อริยสาวกมีพุทธศิลปอีกอย่างหนึ่ง; อยู่ร่วมศาสนากัน แล้วก็ไม่วายที่จะยื้อแย่งกันไปยื้อแย่งกันมาพวกหนึ่งส่งเสริมศิลปทางวัตถุ, พวกหนึ่งส่งเสริมศิลปในทางจิตใจ. นี่ขอให้เข้าใจกันไว้ว่า มันมีปัญหาถึงขนาดนี้.

    นิสสรณะของศิลปะ
    พุทธทาสภิกขุ
     
  9. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    จะตอบบ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่นทำไมครับ การแสดงธรรม การสนทนาธรรม คือการเอาเรื่องจริงมาพูดกันครับ

    หรือท่านต้องการแสดงธรรมแบบกำกวม เพื่อความแตกแยกของชาวพุทธครับ
     
  10. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892

    ใครอ้างงานเขียนใน ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา, หน้า ๒๑–๒๒ ครับ คุณเมาเปล่า คุณเข้าใจในข้อเขียนชิ้นนี้หรือไม่ทำเป็นมาพูดนี่ ผมอ้างงานเขียนท่านพุทธทาสภิกขุ ในหัวข้อเรื่อง หลักธรรมสําคัญในพุทธศาสนา หน้า๑๘๔ ครับมันคนล่ะข้อเขียนแล้วข้อความมันจะเหมือนกันได้อย่างไร กรุณาอย่าตอแหล คุณอ่านหนังสือไม่ออกหรือเปล่าครับ อีกข้อเขียนที่ผมอ้างก็คือ คำบรรยายในวันที่ 22 กันยายน พ.ศ.2485 ที่ตีพิมพ์ในหนังสือ ชุมชุนข้อคิดอิสระ ของ พุทธทาสภิกขุ....ในกนระทู้ที่ผมเอามาลง
    จะแถ จะตอแหลก็ให้มันดีๆๆหน่อยสิ......แล้วข้อเขียนที่คุณเอามาลงคุณอ่านเข้าใจหรือเปล่า ผมว่าไม่แน่นอน เพราะคุณอ่านอะไรคุณไม่เคยจับประเด็นได้เลย
    เวลาคุณทำงาน คุณม่ถูกไล่ออกหรือครับ เจ้านายลูกค้าสั่งอย่าง คุณเข้าใจไปอีกอย่าง เวลาเรียนหนังสือเขาให้คุณวงกลมในข้อสอบอย่างคุณคงเข้าใจว่าเขาให้กามั้ง คุณจบมาได้ยังไงเนี่ย หรือไม่จบอะไรสักอย่างล่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2012
  11. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    งั้นเขาจะเป็นปลาไหล หรอครับ
    พอหลบเลี่ยงไม่ได้ก็ใส่ความเรา
    บิดเบือนข้อความเรา..ว่าเราพูดนั้นพูดนี้ทั้งๆๆที่กระทู้ก็เห็นชัดๆๆ
    เหมือนคนปัญญาอ่อน ความคิดก็ไม่มีเป็นของตัวเองที่เอาข้อความคนนั้นคนนี้มาลง ตัวเองมีอะไรในสมองไหม?
    บางทีลงยังไม่ตรงประเด็นเลย
    เพราะเจ้าตัวอ่านหนังสือแล้วจับใจความไม่ได้ว่า เขาเขียนว่าอย่างไร?
    น่าสมเพสจริงๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2012
  12. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    ท่านสอนว่าอย่าไปติดยึดกับพระพุทธรูป พระเครื่อง ให้คนหันมาศึกษาธรรม
    แต่ท่านไม่เคยต่อต้าน หรือทำลายพระพุทธรูป เพราะในสวนโมกข์ ก็ยังมีพระพุทธรูปเป็นพระประธาน

    แสดงว่าท่านพุทธทาส ก็ยอมรับว่าพระพุทธรูป พระเครื่อง คือรูปหล่อปูนปั้น รูปเปรียบพระพุทธเจ้า ดั่งที่คนทั่วโลกเข้าใจตรงกัน

    อย่าดึงเอาท่านมาแปดเปื้อนเลยครับ ใครๆเค้าก็แปลออก
     
  13. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    อีกอย่างหนึ่ง อ้างมาก็ดีเพราะในเอกสารที่อ้างพูดชัดมาก ว่าอสังขตธรรมหรือนิพพานเป็นอนัตตา

    สรุปความที่ท่านพุทธทาสต้องการสื่อได้ดังนี้ ในเอกสารดังนี้(ขอทุกท่านที่ได้อ่านลองเปรียบเทียบดูเถอะว่าใจความเป็นเช่นที่ผมเคยพูดมาและที่กำลังสรุปความให้ท่านฟังหรือไม่)
    ท่านพูดว่า ธาตุนั้นมีสองอย่างคือ
    1.สังขตธาตุ อันต้องอาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป
    2.อสังขตธาตุอันไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่ง บางทีเราเรียกว่านิโรธธาตุหรือความดับของธาตุทั้งปวง(หรือนิพพาน)

    ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอนัตตา ที่ว่าสังขารทั้งปวง(เทียบเท่าสังขตธาตุความหมายเดียวกัน)ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตานั้นถูกแล้ว แต่ที่ว่าธรรมทั้งปวง(คือทั้งสังขตธาตุและอสังขตธาตุหรือสังขตธรรมและอสังขตธรรมความหมายเดียวกันหมด)เป็นอนัตตานั้นถูกกว่า หรือพูดอีกอย่างว่าธรรมทั้งที่เป็นสังขารและวิสังขารล้วนเป็นอนัตตานั้นเอง ซึ่งคนเรียนพระพุทธศาสนาทุกคนก็รู้ว่า สังขารท่านหมายถึงสังขตธรรม และ วิสังขารท่านหมายถึงอสังขตธรรม

    พึ่งควรศึกษาอย่างยิ่ง เพราะหลักอนัตตาหรือความไม่มีแก่นสาร หรือ อัตตานั้น เป็นหลักธรรมที่มีแต่ในพระพุทธศาสนา ไม่มีในศาสนาอื่น ใครเข้าใจก็พ้นทุกข์ได้ นี่คือปรมัตถธรรมในพระพุทธศาสนาอันชาวพุทธควรศึกษา

    โถ่ ปลาไหล อ่านหนังสือยังจับใจความไม่ถูกเลย 555555555555
    ฟายมันยังรู้ความบ้าง คุณปลาไหลผมไงแม้งไม่รู้อะไรเลยเนี่ย อุ๊ยหน้าแหกอีกแล้ว....ทำตัวเองแท้ๆๆๆ จะลากท่านพุทธทาสมาแปดเปลื้อนเพราะการตีความเข้าข้างตัวเองแบบควายๆๆของคุณอีกทำไมครับ งานเขียนท่านเขียนว่าอะไรอ่านไม่ออกจับใจความไม่ได้แล้วอ้างมาทำซากอะไรครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 321457.jpg
      321457.jpg
      ขนาดไฟล์:
      177 KB
      เปิดดู:
      56
    • 321556.jpg
      321556.jpg
      ขนาดไฟล์:
      160.4 KB
      เปิดดู:
      60
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2012
  14. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    อ้างพระไตรปิฏก ทำห่าอะไรครับ ไงคุณบอกคุณไม่เชื่อไง
    สูตรในพระไตรปิฏกนับสิบยี่สิบสามสิบหรือมากกว่านั้นที่พูดว่า นิพพานเป็นอนัตตา คุณยังบอกคำสอนนี้ปลอมแต่เพิ่มเข้ามาเลย
    แล้วอ้างทำไม พูดมาได้ว่าเมื่ออ้างคัมภีร์ตามอรรถกถา หลังพระไตรปิฎก ก็ไม่มีค่า หมดค่า หมดราคา ไม่น่าเชื่อถือ
    กล้าพูดเนอะ คำบรรยายตามอรรถกถาท่านยังถือว่ามีค่ามากกว่า งานเขียนพระอ.อย่างท่านพุทธทาส ท่านพระพรหมคุณากรณ์ที่คุณชอบลอกมาเสียอีก ไม่รู้ความสำคัญแล้วทำเป็นปากดี ......แน่นอนว่าอรรถกถามีค่าน้อยกว่าพระไตรปิฏกเพราะเป็นเอกสารที่มุ่งเน้นอธิบายพระไตรปิฏกนี่ เรื่องพื้นๆๆ แต่การพูดว่าอ้างคัมภีร์ตามอรรถกถา หลังพระไตรปิฎก ก็ไม่มีค่า หมดค่า หมดราคา ไม่น่าเชื่อถือ
    นี่แสดงความโง่ของคนพูดครับ นี่เท่ากับพูดว่า คำสอนของพระอ.อย่างท่านพุทธทาส ท่านพระพรหมคุณากรณ์ ท่านนั้นนี้รวมไปถึงครูคนแรกที่สอนพระพุทธศาสนาสอนให้อุรุเวลารู้จักคำว่า พระพุืทธศาสนาพระพุทธเจ้า ไม่มีค่า คำสอนของพระอรหันต์สาวกรุ่นก่อนของบรรพบรุษ ที่ร่วมรักษา ร่วมตีความ ร่วมอธิบายความสืบต่อมา ร่วมแปลความมาให้คุณลอกคุณอ้างพร้อมการรักษาพระไตรปิฏก เป็นเรื่องเหลวไหล ไม่มีค่า หมดราคา เพราะไม่ใช่สิ่งที่อ้างมาจากพระไตรปิฏกหรือเป็นแค่คำอธิบายพระไตรปิฏก

    ช่างน่าหัวเราะ
    คราวที่แล้ว พอพระไตรปิฏกพูดไม่ตรงจริตตัว ยังหาปลอมอยู่เลย แถมทำเป็นไปอ้างเอกสารหลงยุคที่เขารู้ว่าเท็จที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับหลวงตาบ้านตากมาประหนึ่งว่าสำคัญกว่าพระไตรปิฏก คนที่ชอบกลืนน้ำลายกลับกลอกเช่นนี้หรือที่อ้างตัวว่าเป็นชาวพุทธ หรือเป็นเพียงพวกชอบแถที่แถไปเรื่อยกะล่อนเอาตัวรอดไปวันๆๆ พูดจาอะไรยังขัดแย้งกันเอง อีกอย่างการพูดอย่างวนี้เท่ากับพูดว่าอะไรที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเช่นจารึกบันทึกต่างๆๆไม่ว่าจะมีอายุเก่าแก่เพียงใดก็ตามไม่มีค่า เพราะไม่ใช่พระไตรปิฏก

    เป็นคำพูดของคนที่ไม่มีจิตสำนึกในคุณความดีของคนรุ่นก่อน ไม่มีความกตัญญู ไม่มีวันเจริญหรอก

    ในแง่หลักธรรม คัมภีร์ตามอรรถกถา เขามีไว้อธิบายพระไตรปิฏกว่าหมายความว่าไง ก็เพราะคุณไม่ใช้นั้นแหละ คุณถึงได้ตีความพระไตรปิฏกส่งเดช แบบพระธรรมวิปริตแบบนี้ ถ้าคุณเก่งจริงคุณไม่ใช้ก็ได้
    แต่ก็เห็นอยู่ว่าระดับปัญญาคุณมันยิ่งกว่าเด็กอนุบาล อ่านอะไรไม่เคยจับใจความได้ ทำเป็นยกข้อความมาว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดา
    และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว
    เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว
    ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ
    ขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลา
    ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.


    สูตรนี้หมายความว่าอะไรคุณรู้หรือ สูตรนี้พระพุทธเจ้าตรัสลึกมาก เลยนะ จะบอกให้ เห็นคุณพูดว่า หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ไม่มีใครเห็นพระพุทธเจ้าองค์จริงแน่ ก็รู้แล้วไม่เข้าใจในสูตรนี้ไม่เข้าใจความหมายตีความส่งเดชทึกทักเอาเองสรุปความแบบคนไม่รู้ความ เมื่อไม่เข้าใจก็เลยพูดแบบนี้ออกมา.....ชัดเจนมากพูดอะไรมันสื่อไปหมด ถ้าเข้าใจจะไม่พูดแบบนี้ออกมา อยากให้สอนไหมล่ะว่าเขาหมายความว่าอะไร ที่ไม่ได้พิมพ์เพราะ เบื่อจะสีซอให้คุณฟังแล้วไง
    ...................................................................

    แล้วอีกอย่างพูดอย่างกับเราศึกษาเรื่องพระพุทธศาสนาได้แต่ในพระไตรปิฏก บางอย่างที่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เขาไม่ได้ศึกษาจากพระไตรปิฏกหรอกนะ เขาศึกษาจากโบราณวัตถุ เอกสารทางประวัติืศาสตร์ จดหมายเหตุ จารึกอะไรทำนองนี้ เช่นที่บ้านเมืองของพระพุทธเจ้าก็มีเอกสารและจารึกที่พูดว่า ปู่ทวดนับไปเรื่อยๆๆของพระราชบิดาของพระพุทธเจ้ามีใครบ้าง มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ในพระไตรปิฏกไม่พูด ซึ่งมีอายุมากกว่าพระไตรปิฏก อันนี้ปลอมไหม? จริงๆๆมันกฌ็ไม่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าโดยตรงเพียงแต่เป็นหชการพูดเรื่องเมืองเรื่องเชื้อสาย เอกสารเหล่านี้ บางอย่างร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า หรือมีอายุมากกว่าเสียอีกยิ่งพระไตรปิฏกที่ไปเขียนขึ้นครั้งแรกอีกหลายร้อยปียิ่งไม่ต้องพูดถึง พระไตรปิฏกมุ่งที่พระธรรมวินัย ไม่ใช่พุทธประวัติ ไม่ใช่ประวัติศาสนาในสมัยพุทธกาล ไม่มีใครรู้เรื่องประวัติศาสตร์พุทธกาลเพราะแค่พระไตรปิฏกหรอก เพราะมันมีน้อย เขามุ่งที่ธรรมวินัย

    ส่วนเรื่องที่คุณเถียงกับคนอื่นไม่ใช่เรื่องของผม ผมเลยไม่เล่นงานคุณ ผมจะเล่นงานคุณเฉพาะที่คุณบิดเบือนพระธรรม กล่าวตรู่บางอย่างมั่วๆๆ เอาให้แน่พระไตรปิฏกมั่วหรือไม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2012
  15. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คุณเอาหนังสือ "พระไทย ใช่เขาใช่เรา?" มาอ้าง
    หนังสือเล่มนี้อ้างหนังสือ "ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา หน้าที่ ๒๑-๒๒"
    ของพระพุทธทาส ผมก็ตามไปอ่าน แต่ผมไม่พบข้อความตามที่อ้างนี้

    “นิพพานก็สักว่านิพพาน ไมใชตัวตน เป็นอนัตตาเสมอกันกับสิ่งอื่น”

    หนังสือ "ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา หน้าที่ ๒๑-๒๒" ของพระพุทธทาส ไม่มีข้อความนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 649448.jpg
      649448.jpg
      ขนาดไฟล์:
      115.3 KB
      เปิดดู:
      66
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระพุทธองค์ทรงบังเกิดขึ้นในยุคอุปนิษัทนี้ ทรงค้นคว้าและสั่งสอนในเรื่องความสูงทางวิญญาณ หรือทางนามธรรม. คำสอนของพระองค์นี้มีเนื้อหาสาระอยู่ที่การบังคับตัวเองหรือกิเลส. ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ได้ทรงย้ำอยู่แต่เรื่องการทำความเพียรเพื่อเป็นที่พึ่งของตัวเอง โดยไม่ต้องเกี่ยวกับคนอื่นนอกจากตน, แม้ว่าพระองค์จะทรงช่วยสาวกให้พ้นจากความทุกข์ได้ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงประสงค์ที่จะให้ใครถือว่าพระองค์เป็นพระเป็นเจ้าผู้ช่วยสัตว์นอกเหนืออำนาจธรรมชาติ, พระองค์ทรงขอร้องให้สาวกทุกคนมองหา "ผู้นำ" ที่ตัวธรรมะ, และมองตนเองในฐานะเป็นสรณะที่พึ่ง, แต่มหาชนส่วนใหญ่ในกาลต่อมา เป็นคนเขลาและขลาด จึงรู้สึกว่าธรรมะนั้นเป็นของยาก ไม่อาจจะเกี่ยวข้องด้วยได้, จึงหันมาติดแจในตัวพระองค์ ถือพระองค์ว่าเป็นพระเจ้า ยิ่งกว่าที่จะถือว่าพระองค์เป็นมนุษย์ที่เป็นพระศาสดา; และมองไปแต่ในทางที่ว่า พระกรุณาของพระองค์นั้นสำคัญยิ่งไปกว่าความมั่นใจในการพยายามปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ของตัวเอง เพื่อตัวเอง ด้วยตัวเอง, ดังที่พระองค์กำชับไว้อย่างแน่นแฟ้น แม้ในวาระสุดท้ายที่เสด็จปรินิพพาน ในฐานะที่เป็นพินัยกรรมแก่สาวกทั้งหลาย. ความหวังแต่จะให้พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด (Saviour) เสียเรื่อยไปนี้เอง ได้นำไปสู่ลัทธิที่บูชาพระองค์อย่างพระเจ้า; ในชั้นแรกก็กราบไหว้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเกี่ยวกับพระองค์ด้วยความรู้สึกเช่นนั้นไปก่อน จนกระทั่งยึดมั่นในพระสารีริกธาตุของพระองค์นานาชนิด เพราะความเขลาและขลาดมาก จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และมีความพอดีหรือถูกต้องเพียงไหนอย่างไร ยิ่งขึ้นทุกที ในที่สุดก็กล้าทำพระพุทธรูปขึ้นบูชาในลักษณะที่เป็นการถอยหลังเข้าคลองของตนเอง ในทางธรรมะหรือทางวิญญาณ, จนรกรุงรังไปด้วยพิธีรีตองทางวัตถุธรรมเกินกว่าความจำเป็น คือเกินกว่าที่จะเป็นเพียงสัญลักษณ์หรือ Symbol เพื่อการน้อมระลึกในทางนามธรรมเท่านั้น, และทับถมปิดกลบธรรมะที่จะช่วยให้รอดได้จริงยิ่งขึ้นทุกที จนมีผู้กล่าวว่า "พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า" ขึ้นมาด้วยเหตุนี้

    ภาพพุทธประวัติจากหินสลัก
    ยุคก่อนมีพระพุทธรูปในประเทศอินเดีย พ.ศ. ๓๐๐–๗๐๐
    ถ่ายจากภาพปั้นที่จำลองขึ้นใหม่ เพื่อกิจการแห่งโรงมหรสพทางวิญญาณ ณ สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี
    พุทธทาสภิกขุ รวบรวมและอธิบาย
     
  17. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892

    แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ เอามาให้ดูหน่อยสิ ข้อความที่คุณอ้างว่าหนังสือเล่มนี้ หนังสือเล่มนี้อ้างหนังสือ "ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา หน้าที่ ๒๑-๒๒" ว่ามีข้อความว่า ท่านพุทธทาสพูดว่า
    “นิพพานก็สักว่านิพพาน ไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตาเสมอกันกับสิ่งอื่น”
    เพราะ การตีความของคุณ มันไม่น่าเชื่อถือ เขาพูดอีกอย่างคุณไปทึกทักเอาเองหรือไม่
    เหมือนที่คุณทำเป็นประจำ
    อีกอย่าง ผมอ้างหนังสือเล่มนี้เฉพาะตอนที่ระบุคำสัมภาษณ์เรื่องเจ้าคุณประยุตต์ไม่เคยไปหาหลวงตาบ้านตากเท่านั้น
    อีกอย่างหนังสือ "ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา หน้าที่ ๒๑-๒๒" ก็มีความหมายโดยสรุปว่าว่า "นิพพานก็สักว่านิพพาน ไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตาเสมอกันกับสิ่งอื่น” นะถูกแล้ว......แต่จากหน้าที่คุณอ้างเขาใช้คำว่า อสังขตธาตุหนึ่ง นิโรธธาตุหนึ่ง และ วิสังขารอีกหนึ่ง ซึ่งมีความหมายเดียวกันทั้งสิ้น กับ คำว่านิพพาน
    คุณแน่ในนะว่าหนังสือพูดว่าข้อความนี้อยู่ในหน้านี้ ไม่ใช่พูดว่า ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา หน้าที่ ๒๑-๒๒" มีความหมายโดยสรุปทำนองนี้ดังนั้นอย่าพูดลอยๆๆ ไปยกข้อความในหนังสือมา
    อ่านให้ดีก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2012
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผลของกรรม ไม่เคารพพระพุทธเจ้า ไม่เคารพพระธรรม ไม่เคารพพระสงฆ์ จึงฟังธรรมไม่รู้เรื่อง
    เถียงไปเถียงมาสุดท้ายเถียงกับตัวเอง กัดปากตัวเอง บ้าไปแล้วครับ
     
  19. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    ใจดีๆๆ หึหึหึ จรจัดมาอีกแล้ว มาทำซากอะไรของมันเนี่ย
     
  20. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    ว่าไงครับ คุณอุรุเวลา อย่าแถนอกเรื่อง
     

แชร์หน้านี้

Loading...