ยุคก่อนมีพระพุทธรูป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 6 ธันวาคม 2012.

  1. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    แถอีกแล้ว ใส่ร้ายกันแบบหน้าด้านๆๆ ก็เห็นๆๆอยู่ว่าใครกันแน่ที่ไม่เคารพพระพุทธเจ้า ไม่เคารพพระธรรม
    บิดเบือนพระธรรมวินัยให้วิปริต ตามใจชอบสนองตัญหา
    เพื่อเอามาตีฝีปากอวดเก่ง
    ทีนี้ทำมาเป็นพูดให้ดูดี ไหว้ไม่ผิด ยังด่าคนอื่นงมงายทุศีลอยู่เลยไม่ใช่หรือ
    คุณปลาไหล เอาให้แน่หน่อย
    ผมไหว้พระพุทธรูปครับ
    และผมก็รู้ว่าควรมองไปที่คุณความดีด้วยให้มากกว่าที่รูปเคารพ มากกว่าความขลัง และนั้นเป็นแค่ตัวแทนเท่านั้น
    หลวงปู่อะไรที่ดีจริงๆๆตอนมีชีวิตผมก็ไหว้ที่ไม่ดีชวนคนงมงายผมจะไหว้ทำซากอะไรครับ ก็เหมือนคนที่เขาทำคุณความดีให้บ้านเมืองนี้นั้นแหละ
    พระเจ้าตากผมก็ให้ความเคารพ เพราะท่านมีคุณความดีมากมายมหาศาล
    พ่อแม่ผมก็ไหว้ ผิดหรอครับแสดงว่านอกจากพระพุทธเจ้าคุณไม่ไหว้เลยสิ
    พ่อแม่คุณก็ไม่ไหว้ว่างั้น นี่เรียกว่าเนรคุณ ระยำนะครับ
    ในหลวงคุณก็ไม่ไหว้นะซี่ ครูของคุณก็ไม่ไหว้หรอ
    เห็นคุณพูดว่า ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าองค์จริงๆๆผมจะไม่ไหว้สิ่งอื่นใดเด็จขาดทำนองนี้นี่
    ผมว่าไม่มั้ง ก็เห็นในที่ทำงานดูจากนิสัยแล้วคุณน่าจะเป็นคนที่เลียเจ้านายเก่งนะ มือจะไม่อ่อนเลยเชียวหรือไง
    ผมก็แค่แซวนะ ก็คุณพูดให้ตีความไปทำนองนี้นี่
    เห็นคุณบอกแม้พระไตรปิฏกเกิดขึ้นหลังพุทธกาล
    แต่สิ่งที่บันทึกไว้คือคำสอนของพระพุทธเจ้า
    เอ้าก็จริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
    คุณรู้ได้ไงว่าสูตรไหนของแท้สูตรไหนยัดใส่โอษฐ์พระพุทธเจ้าท่าน
    คุณจะตีคลุมว่าเป็นของแท้หมด มันก็จะขัดกับหลักที่ว่าอย่าพึงเชื่อโดยอ้างตำรา พระพุทธเจ้าไม่ใช่คนเขียนเอาซะหน่อย เขาท่องจำกันมาตั้งหลายร้อยปีกว่าจะมาเขียน เอาแค่วันที่หนึ่งเดือนที่แล้วคุณกินข้าวเช้ากับอะไร? คุณจำได้ไหม?ล่ะ นับประสาอะไรกับเรื่องนี้ที่ยากกว่ามากมายมหาศาล
    นะ อีกอย่างคุณตีพระธรรมวินัยมั่วตามใจชอบสนองตัญหาคุณ แบบนี้นะเขาไม่เรียกว่าบูชาหรอกครับ อ่านพระไตรปิฏกก็ยังไม่จับประเด็นเลย
    เห็นคุณยกมาสนับสนุนทิฏฐิคุณที่ไร ก็ถูกผมทำหน้าแหกกลับไปได้หมดแล้วจะเรียกว่าคุณบูชาได้ไง
    นี่ไม่นับเรื่องปฏิบัติตามนะครับ ก็แค่อ่านคุณยังจับใจความไม่ถูกเลย
    แล้วจะปฏิบัติได้ไง
    วันที่แล้วมีคนถามคุณว่าคุณสวดอะไร ทำเป็นไปยกเอาเรื่องปฏิจจสมุปบาทมา
    บอกผมสวดสูตรนี้ ทั้งนี้เพราะคุณคงได้ยินว่า เป็นสูตรที่ลึกที่สุดใครเข้าใจ
    สูตรนี้ก็เรียกว่าเห็นธรรมแล้ว
    คุณเลยไปตีฝีปากทำเป็นคุย คุณอาจจะสวดก็ได้ผมไม่ได้ว่าอะไร จริงๆๆน่าจะใช้คำว่าอ่านมากกว่านะแต่คุณเข้าใจความหมายหรอ แค่สูตรที่ง่ายกว่าเยอะคุณยังทำให้วิปริตเลย
    นับประสาอะไรกับเรื่องนี้ เวลาคุณเอามาโม้นี่ ผมเห็นแล้วฮากลิ้งทุกที
    เอาแค่สวดแต่ไม่เข้าใจไม่ปฏิบัติเขาไม่เรียกว่าบูชาหรอก

    ผมแยกออกครับอุรุเวลาว่ารูปเคารพไหนคือรูปแทนของใคร
    แล้วก็ฉลาดพอที่จะมอง
    ไปที่คุณความดี ที่เป็นแก่นแท้ของตัวท่าน
    บอกไปสิบครั้งแล้ว
    ยังอ่านหนังสือไม่ออกเหมือนเดิม หรืออ่านออกแต่กลัวที่จะอ่าน
    ไม่พยายามทำความเข้าใจล่ะครับ
    หรือพยายามแต่ยังไงก็ไม่เข้าใจ เหมือนการตีความพระสูตรแบบมั่วๆๆนั้นแหละ
    ใช่ไหม? หรือเข้าใจแต่จงใจจะบิดเบือนล่ะ


    อีกอย่างก็สมควรแล้วนี่ครับ พระศาสดายังอยู่คุณจะไปสร้างเจดีย์ไปสร้างวิหารอะไรทำนองนี้
    ทำไมล่ะครับ สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ก็เหมือนคุณยังไม่ตายมีคนไปสร้างเจดีย์
    แบบตามป่าช้าให้เป็นชื่อคุณคุณเอาไหม?
    อีกอย่างไปตัดต้นไม้ชาวบ้านเขาเคารพเขาบูชา
    เขาก็มาฟ้องมาด่าเอา นี่โลกติเตียน ก็สมควรแล้วที่จะอาบัติ
    มันแปลกตรงไหนครับ ไม่เห็นประเด็นมันจะเกี่ยวอะไรกับที่เราพูดเลย

    แต่ตอนนี้พระศาสดาจากไปแล้ว มันคนล่ะบริบทกัน
    ก็หมือนพระพุทธเจ้าให้สร้างเจดีย์ให้สักการะได้ที่สังเวชนียสถาน
    ในมหาปรินิพพานสูตร

    ว้าว อุรุเวลา เสียงเริ่มอ่อนแล้ว แต่ยังฟร์อมจัดเหมือนเดิม


    "ดูกรกัสสป ธาตุดินยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้ ธาตุ
    น้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็ยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้ ที่แท้โมฆบุรุษใน
    โลกนี้ต่างหาก เกิดขึ้นมาก็ทำให้พระสัทธรรมเลือนหายไป เปรียบเหมือนเรือจะ
    อัปปาง ก็เพราะต้นหนเท่านั้น "



    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2012
  2. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    ผมอ้างคุณถิ่นธรรมอีกครั้งเพราะเหมือนปลาไหลจะไม่อ่านเลย เรื่องที่คุณอุรุเวลาบอกว่าพระพุทธรูปไม่มีในสมัยพุทธกาลไม่ควรกราบไหว้(แต่พระไตรปิฏกก็ไม่มีเหมือนกันไม่ใช่หรือคราบอุรุแล้วคุณอ่านทำซากอะไร)

    คุณใช้ตรรกะแบบนี้ เขาเรียกว่าตรรกะวิบัติ ประเด็นที่คุณว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สร้างพระพุทธรูป คุณก็เลยต่อต้าน มันก็เหมือนว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้่อินเตอร์เน็ต แล้วทำไมคุณใช้อินเตอร์เน็ต ตรรกะแบบเดียวกัน ตัวอาจารย์ที่ถ่ายทอดทิฐิแบบนี้ให้คุณก็เขียนหนังสือตั้งหลายเล่ม ก็พระพุทธเจ้าไม่ทรงเคยเขียนหนังสือสักเล่ม ถ้าใช้ตรรกะแบบที่คุณอ้างนี้ หนังสือที่อาจารย์คุณเขียนมันก็ไม่ถูกต้องนะสิเพราะพระพุทธเจ้าไม่เคยเขียนหนังสือสักเล่ม พระสาวกก็ไม่เขียน สมัยพุทธกาลเขาใช้มุขปาฐะสอนแบบปากต่อปาก แนวคิดแบบนี้มันจึงเป็นตรรกะวิบัติ ที่ไม่ได้ประกอบด้วยอรรถด้วยธรรมอะไรเลย
    ก็สิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนไว้โดยตรง เราจะมีหลักวินิจฉัยอย่างไร เรื่องนี้ก็มีหลัก 2 ประการ คือ ยึดถือพระพุทธคือเทียบเคียงกับพระสูตรต่างๆซึ่งถือเป็นคำำที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้โดยตรง ถ้าสอดคล้องไปกันได้ก็ใช้ได้ หลักอีกอย่างคือยึดถือพระธรรม คือสิ่งใดที่ทำให้กุศลเจริญก็ควรทำ แต่สิ่งใดที่ทำแล้วอกุศลเจริญก็ควรละเว้น การเขียนหนังสือก็ดี การท่องอินเตอร์เน็ตก็ดี ย่อมสามารถอ้างหลักการในข้อนี้ได้
    ซึ่งเรื่องของพระพุทธรูป ท่านผู้รู้ก็วินิจฉัยถูกต้องแล้วว่าเป็นอุทิสกเจดีย์ชนิดหนึ่ง ซึ่งตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอนให้สร้างเจดีย์เพื่อบูชาบุคคลที่ควรบูชาคือพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอริยเจ้าและพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งเจดีย์จะเป็นอะไรก็ได้ รูปทรงอย่างไรก็ได้ พระไตรปิฎกไม่ได้บอกไว้ แม้แต่ต้นโพธิ์ก็ยังถือว่าเป็นเจดีย์เลย ขอเพียงมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธองค์ก็เป็นอันใช้ได้ ส่วนของธรรม ก็การสร้างพระพุทธรูปหรือเจดีย์ทั้งหลายให้มหาชนกราบไหว้ ก็เป็นส่วนทำให้กุศลของคนดีเจริญขึ้น ส่วนอกุศลเสื่อมไปจากสังคมแม้จะชั่วขณะก็ตามที การสร้างพระพุทธรูปจึงมีทั้งพระพุทธและพระธรรมรองรับหลักการอยู่
    ส่วนเรื่องการหลงสมมติ มันลึกซึ้งกว่าที่คุณจะเข้าใจได้ ทุกอย่างในภพสามมันก็สมมติทั้งนั้นแหละ พ่อแม่ก็สมมติทั้งนั้น แต่ทำไมพระพุทธเจ้ายังทรงต้องเสด็จไปโปรดพุทธมารดาและพุทธบิดาเล่า แล้ัวตัวคุณเองที่ยังเป็นปุถุชน มีความกตัญญูต่อบิดามารดาหรือไม่ ก็พ่อแม่เป็นสิ่งสมมติทั้งนั้น ละสมมติจึงมิใช่ละเพื่อติดกับทิฐิใหม่ที่แย่กว่าเดิมแบบที่คุณทำ

    ที่มา จะไปสวรรค์แล้วโว้ย ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2012
  3. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    ทำเป็นไปท้าเขา ทีที่ผมถามไปสองข้อทำเป็นเงียบกริบ
    กลบเกลื่อน
    ตัวเองเอาให้รอดจากกระทู้นี้ไปให้ได้ก่อนเถอะ
    คุณปลาไหล ฟร์อมจัดมากก็งี้แหละ
    หน้าแหกจนไม่รู้จะแหกไปถึงไหนแล้วไม่ใช่หรือครับ



    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2012
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมตอบคุณไปแล้ว คุณอ่านไม่เข้าใจหรือครับ รูปที่คุณไหว้ไม่ใช่รูปพระพุทธเจ้า ผมไม่ได้ต่อต้านคนไหว้รูป คุณไหว้รูปอะไรรูปนั้นก็เป็นตามที่คุณคิดนั่นแหละ แต่ไม่ใช่รูปพระพุทธเจ้าแน่ พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปนานแล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เทวดาและมนุษย์จะไม่เห็นพระองค์ มีแต่คำสอนเป็นศาสดาแทนพระองค์ ไม่มีใครทำรูปพระองค์ มีแต่ทำรูปแกะสลักพุทธประวัติใช้บังลังก์ว่าง ใช้ดอกบัว ใช้ต้นโพธิ์ ใช้ธรรมจักรเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น แล้วรูปที่คุณไหว้ผมบอกว่าเป็นรูปพระ.... หลวงพ่อ หลวงตา อาจารย์ ไม่ใช่รูปพระพุทธเจ้า รูปเหล่านี้เขาสมมติขึ้นครับ

    คุณบอกว่า "พระศาสดายังอยู่คุณจะไปสร้างเจดีย์ไปสร้างวิหารอะไรทำนองนี้" คุณคิดเองอีกแล้ว คุณไปอ่านพระไตรปิฏกนะครับ พระพุทธเจ้าทรงให้ทำเจดีย์เพื่อบรรจุพระธาตุสำหรับพระอรหันต์ ที่ปรินิพพานไปแล้วครับ เจดีย์มีสร้างตั้งแต่สมัยพุทธกาลมีมากมายหลายองค์ ไม่ได้มีหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วอย่างที่คุณคิด คิดเองเออเองหลายเรื่องนะคุณ ใช้สติปัญญา ค้นคว้าหาความรู้ก่อนตอบบ้างครับ

    คุณไม่เคารพพระพุทธเจ้า ไม่เคารพพระธรรม กล้าใช้คำว่า "ไอ้" คำว่า "ท่าน" ได้ยังไงครับ คุณไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง อันไหนควรไม่ควรเลย ผมไม่กราบรูปตามคุณ คุณมาพาลคิดเองว่าผมไม่กราบพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ กราบ...ฯลฯ คิดเองตอบเอง คุณรู้จักวางบ้าง โพสต์คำด่า คำหยาบมาทำไมครับ คนดีๆ เขาไม่ทำกันครับ สำรวมวาจาหน่อยครับ

    เมื่อคุณกล่าวหาว่าผมพูดว่า "ผมบอกว่าผมบรรลุแล้ว" ผมบอกว่า "ผมไม่เคยพูดทำนองนี้" คุณกล่าวหาผม คุณเอาคำพูดของคุณมาใส่ปากผม เขาเรียนใส่ร้ายครับ ไปหามาครับ คุณตาดำดำ คุณซงแทฮา คุณมหาวัด สามคนแล้วที่กล่าวหาผม ไปหามาผมพูดไว้ที่ไหนเมื่อไร ไปช่วยกันหาหลักฐานมาครับ
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [​IMG]

    เรื่อง...ไหว้พระพุทธรูป

    อาจารย์ขาก้อนศิลาบ้านข้าเจ้า
    ทำพุทธรูปกันเถิดหนาเลิศกว่าใคร
    ถ้าอย่างนั้นไม่ได้แล้วไม่ได้แน่
    ขืนทำไปไม่มั่นมันป่วยการ
    ถ้าในใจเชื่อมั่นมันก็ได้
    เป็นพุทธจริงตรงที่ใจไม่เกเร
    พุทธะจริงข้างในมีดีอยู่แล้ว
    มีพุทธจริงแล้วจะวิ่งเที่ยวหาเอา



    ลุกขึ้นเต้นเร่าเร่าน่าเลื่อมใส
    เออ, ทำได้ แน่หนาท่านอาจารย์
    เหตุว่าแกสงสัยไม่ฉาดฉาน
    พุทธรูปตายด้านเพราะลังเล.
    ถ้าในใจสงสัยมันก็เขว
    มันไหลเทออกจากใจข้างในเรา.
    พุทธรูปหินหรือแก้วมักพาเขลา
    อะไรเล่ามาหมอบไหว้ให้ยุ่งเอยฯ.

    ถ้าเชื่อ ก้อนหินก็เป็นพระพุทธรูปได้! แต่พระพุทธรูปชนิดนี้ยังเป็นของภายนอกเกินไป.
    ส่วนพระพุทธรูปที่แท้จริง อยู่ที่ใจที่หมดสงสัยลังเลต่อชีวิตแล้ว พระพุทธรูปภายนอกนั้นพาให้ลังเล.
    ถ้าพบ พระ ในใจแล้ว พระ นั้น คุ้มครองในทุกแห่งหน.

    http://www.rosenini.com/spiritualtheatre/05.htm
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [​IMG]

    “สมมุติเป็นพระพุทธรูปแล้วก็เสร็จกัน เราดีอย่างไรจึงจะไปบวชให้องค์ท่าน องค์ท่านบวชก่อนเราแล้ว เราดีอย่างไรจึงจะไปปลุกท่านให้ตื่น ท่านตื่นก่อนเราเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานแล้ว เราดีอย่างไรจึงจะไปแคะหูแคะตาให้องค์ท่าน ตานอก ตาใน หูนอก หูในขององค์ท่านดีกว่าเราแล้ว จะภิเษกภิษันให้องค์ท่านเป็นอะไรอีก องค์ท่านเป็นพระพุทธเจ้าเต็มภูมิแล้ว จะเอาไสยศาสตร์ไปพอกไปทาองค์ท่านทำไม นั้นแหละตัวบาป นั้นแหละขุมนรกขุมมิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดเต็มภูมิแล้วยังสำคัญว่าเห็นชอบ เข้าข้างตัวแต่ไม่เข้าข้างธรรมวินัย เพียงเท่านี้ก็ยังไม่รู้จักผิดรู้จักถูกแล้ว ธรรมอันละเอียดลออก็ยังมีขึ้นไปกว่านี้มาก ไฉนจะรู้ได้”

    อัตตโนประวัติหลวงปู่หล้า เขมปัตโต ๐๗
    วัดบรรพตคีรี ( ภูจ้อก้อ ) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
    คัดลอกมาจาก http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-lah/lp-lah-hist-07.htm
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผู้เขียนได้ยินกับหูอยู่บ่อย ๆ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ก่อนเวลาฉันอาหารนั้นแหละ องค์หลวงปู่ชอบปรารภในตอนนี้ถึง ๖-๗ วันติด ๆ กัน หลวงปู่กล่าวต่อไปอีกว่า

    “พระอาจารย์เสาร์สิ้นลมปราณแล้วต่างแย่งกระดูกกัน บางท่านเอาไปป่นปั้นรูปพระ ทำเป็นของลางของขลัง สารพัดจะพรรณนาได้ แต่มั่นมิได้เอาอะไรเลย เพราะถือว่าเรามิใช่หมาพอที่จะแย่งกระดูก พวกที่อยู่กับเราเดี๋ยวนี้ ผู้ปรารถนาดีก็มี ผู้จะออกลิงออกลายปีนเกลียวในอนาคตก็มี ถ้าเราพูดมากก็จะเดือดร้อน ถ้าเราไม่พูดก็คล้ายกับว่าเราไม่รู้ในอนาคต และก็ไม่มีผู้กล้าพูดอีก”

    ฝ่ายบรรดาลูกศิษย์ที่ได้ยินแล้ว พอลับหลังองค์หลวงปู่แล้วก็จับกลุ่มกัน กระซิบกันว่า

    “ถ้าท่านองค์ใดไม่ได้ฟังเทศน์ตอนนี้ การอยู่กับองค์ท่านก็ไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะเทศน์ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่ ๖-๗ วันแล้ว”

    ฝ่ายผู้เขียนก็พิจารณานิ่งอยู่ แต่นึกในใจไว้ว่า ถ้าเราไม่ตายก่อน องค์ไหนจะเท็จจริงเพียงไรในส่วนนี้ เราก็จะได้เห็นเราด้วย ท่านผู้อื่นด้วย ผลสุดท้ายก็...แต่ก็ไม่กล้าเขียนเพราะจะ...

    อัตตโนประวัติหลวงปู่หล้า เขมปัตโต ๐๗
    วัดบรรพตคีรี ( ภูจ้อก้อ ) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
    คัดลอกบางส่วนมาจาก http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-lah/lp-lah-hist-07.htm
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ที่ว่าน่าสนใจที่สุดหรือมีค่าที่สุดนั้น ก็เพราะมุ่งแสดงพระพุทธองค์ในทางนามธรรมยิ่งกว่าทางรูปธรรม,
    แสดงความสูงในทางจิตใจของพุทธบริษัทแห่งยุคนั้น ยิ่งกว่าในยุคนี้,
    จึงไม่ทำรูปของพระพุทธองค์ในลักษณะที่เป็นรูปมนุษย์ ซึ่งเป็นการแสดงความเขลาและความขลาดออกมาในที่สุด,
    แต่ได้แสดงด้วยสัญลักษณ์ที่ทำขึ้นเฉพาะเหตุการณ์นั้น ๆ ในพระชนม์ชีพของพระองค์ อย่างมีความหมายลึก ชนิดที่รูปภาพคนแสดงเช่นนั้นไม่ได้ ซึ่งจะได้วิจารณ์กันต่อไปตามสมควร.

    เราจะดูกันต่อไปอีกนิดหนึ่ง คือเมื่อรูปเคารพเช่นพระพุทธรูป เป็นต้น บุบสลายลงไป มีคอหัก แขนขาด หูแหว่ง จมูกวิ่น เป็นต้น เราเห็นแล้วจะรู้สึกอย่างไร นี้อย่างหนึ่ง,
    กับเมื่อรูปสัญลักษณ์เช่น แท่นว่าง รูปธรรมจักร หรือรอยพระบาทเป็นต้น แตกหักแหว่งวิ่นหรือกระจัดกระจายไป เราจะรู้สึกเหมือนกันกับที่เห็นพระพุทธรูปบุบสลายนั้นหรือไม่ โดยที่แท้นั้นย่อมต่างกันลิบลับ คือ สัญลักษณ์ที่แตกหักนั้น ยังมีความศักดิ์สิทธิ์และความหมายอันให้ความรู้สึกแก่จิตใจอยู่เท่าเดิม ส่วนรูปเคารพนั้นให้ความทุเรศ ให้ความปั่นป่วนรวนเรแก่จิตใจ ถ้าหักออกในส่วนที่ทำให้ดูน่าเกลียด เราก็จะรู้สึกเกลียดดังนี้เป็นต้น,

    ดังนั้น คนที่ฉลาดในด้านจิตใจ จึงพากันไม่นิยมทำรูปเคารพ และห้ามการทำรูปเคารพมาแล้วตั้ง ๓,๐๐๐ กว่าปี เพิ่งจะมาถอยหลังเข้าคลองกันอีกเมื่อยุคหลังนี้

    แม้พระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่ทำยากในเวลานี้เท่าที่มีอยู่ในโลกนี้ ในประเทศอัฟกานิสถาน อินเดียทุกภาคและทุกยุค ลังกา ธิเบต มองโกเลีย จีน ญี่ปุ่น เขมร ลาว ไทย กระทั่งอินโดนีเซียเป็นที่สุดนั้น มีกันประเทศละหลาย ๆ แบบ เพราะหลาย ๆ ยุค และยังมีฝีมือดี ฝีมือปานกลาง และฝีมือเลว เป็นเหตุให้มีสารพัดอย่าง แสดงอารมณ์หรือ mood ต่าง ๆ กัน จนกระทั่งที่น่าเกลียดน่ากลัวก็มี ถ้าจะนำมารวมได้ในที่เดียว แล้วบอกให้ใครเลือกไหว้ที่ถูกที่เหมือนพระองค์จริง ๆ แล้ว เขาก็จะเวียนหัวและเป็นลมตายไม่ได้ไหว้กันเท่านั้นเอง,

    และถ้าสมมติว่าพระพุทธองค์ได้เสด็จมาเห็นชุมนุมพระพุทธรูปในลักษณะเช่นนี้ด้วยพระองค์เอง ใคร ๆ ก็ต้องเชื่อว่าพระองค์จะทรงส่ายพระเศียร ตรัสอะไรไม่ได้ แม้แต่จะทรงระบุว่าชิ้นไหนเป็นที่พอพระทัยของพระองค์เป็นต้น. นี่แหละคือผลสะท้อนที่เกิดขึ้นอย่างแตกต่างกัน ในระหว่างการทำรูปเคารพและการไม่ยอมทำรูปเคารพ ของพุทธบริษัทสมัยปัจจุบันกับพุทธบริษัทแห่ง พ.ศ. ๓๐๐–๖๐๐

    คัดลอกมาบางส่วนจาก
    พุทธทาสภิกขุ รวบรวมและอธิบาย
    http://www.buddhadasa.org/html/life-work/theatre/sculpture/sculpture.html
     
  9. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    '


    ผมเคยพูดหรอว่าคูณบรรลุแล้ว คุณบ้าเปล่า คนอื่นเขาพูดผมก็ถามว่าจริงดิ
    เอามาให้ดูให้ฮาหน่อย
    โอ๊ย ไร้สาระมาเหมารวมอะไรของคุณเนี่ย.....คนอื่นพูด
    ถ้าผมรู้ว่าคุณไปประกาศตัวบรรลุที่กระทู้ไหน? ผมจะถามเขาหรอว่าเอามาให้ดูหน่อย
    เหลวไหลน่าคุณ อ่านหนังสือไม่ออกจับใจความไม่ได้
    แล้วเที่ยวกัดไปทั่วเลยนะครับ
    จนตรอกแล้วสิ
    ผมก็ต้องด่าคุณบ้างสิ ก็คุณชอบเอาความคิดมั่วๆๆมายัดใส่ผมนี่ ใส่ร้ายผมนี่
    แถมชอบแถ แต่ผมก็ไม่เคยด่าคุณหยาบๆๆนะครับ อย่างมาก็แถ ก็อะไรทำนองนี้เท่านั้น มีที่ว่าหน้าด้านเพราะคุณมาใส่ร้าย
    ผมบอกหรอว่าคุณไม่เคารพพ่อแม่ ผมบอกคุณพูดเหมือนถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าพระองค์ที่อยู่ชมพูทวีปครั้งนั้น คุณจะไม่กราบเด็จขาด ผมก็แซวว่าพูดทำนองนี้ชวนให้ตีความว่าคุณไม่กราบพ่อกราบแม่คุณด้วยนะครับ คุณอ่านหนังสือก็จับใจความหน่อยสิ

    ผมพูดว่า "เห็นคุณพูดว่า ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าองค์จริงๆๆผมจะไม่ไหว้สิ่งอื่นใดเด็จขาดทำนองนี้นี่
    ผมว่าไม่มั้ง ก็เห็นในที่ทำงานดูจากนิสัยแล้วคุณน่าจะเป็นคนที่เลียเจ้านายเก่งนะ มือจะไม่อ่อนเลยเชียวหรือไง
    ผมก็แค่แซวนะ ก็คุณพูดให้ตีความไปทำนองนี้นี่"


    ไม่ใช่กล่าวหาว่าคุณทำจริง


    แล้วผมก็ไม่เคยพูดนะครับว่ารูปเคารพคือพระพุทธเจ้าตัวจริง คุณเมาเปล่า

    ผมพูดว่า ผมไหว้พระพุทธรูปครับ
    และผมก็รู้ว่าควรมองไปที่คุณความดีด้วยให้มากกว่าที่รูปเคารพ มากกว่าความขลัง และนั้นเป็นแค่ตัวแทนเท่านั้น


    พูดเองใส่ร้ายคนอื่นหน้าด้านๆๆเลย
    ผมพูดว่า รูปเคารพคือเครื่องเตือนใจให้จิตของเราระลึกถึงพระศาสดา
    คุณความดีของท่าน
    คุณมาบ้าบอคอแตก ใส่ร้ายผมทำไม?
    บ้าเปล่า พูดมาได้ พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วจะไม่มีใครเห็นพระองค์อีก
    วิปริตอีกแล้ว ทำไมคุณต้องทำร้ายพระธรรมด้วย
    ผมเบื่อที่จะต้องมานั่ง ทำลายมิจฉาทิฐิของคุณจริงๆๆ
    ตราบใดที่มีผู้เห็นธรรมก็เท่ากับมีผู้เห็นพระองค์ นี่ต่างหากพระพุทธเจ้า
    เพราะผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา
    คุณเองก็ยอมรับไม่ใช่หรือว่า คำสอนเป็นศาสดาแทนพระองค์
    ใครเข้าใจคำสอนปฏิบัติจนดับทุกข์ได้เรียกว่าเห็นพระศาสดา
    ผมพูดไปหลายล้านครั้งแล้วยังจะมาพูดว่า ผมไปยึดว่าพระพุทธรูปเป็นพระพุทธเจ้า รูปสลักพวกนั้นเป็นพระพุทธเจ้าอีก
    โอ๊ยสมมติทำไมผมจะไม่รู้
    ผมพูดทุกๆๆกระทู้ คุณยังจะมายัดเยียดความคิดเองเออเองให้คนอื่น
    อีก คุณจิตไปไหม?
    แถมมาใส่ร้ายผมอีกว่า"พระศาสดายังอยู่คุณจะไปสร้างเจดีย์ไปสร้างวิหารอะไรทำนองนี้" แล้วผิดตรงไหนครับ พระภิกษุที่ไปตัดไม้สร้างเจดีย์แกสร้างถวายใครครับ
    ถามหน่อยพระศาสดา ท่านยังอยู่ใช่ไหม? จะมีมาตั้งแต่ก่อนพุทธปรินิพพานได้ไงครับ คุณบ้าเปล่าก่อนหน้านั้นมีแต่เทวาลัยของฮินดูไม่มีเจดีย์ เขาพึ่งจะมามีหลังพุทธปรินิพพาน เจดีย์เข้าไว้ใส่กระดูกคนตายนะครับ
    ลัทธิก่อนหน้านั้นเขาไม่ทำแบบนี้เขาเอาศพไปโยนลงแม่น้ำคงคาหมด เพื่อล้างบาปจะได้ไปสวรรค์ ใครเขาเอามาเก็บไว้บูชาครับ
    ในตอนแรกเขาก็ไปสร้างที่สังเวชนียสถานสี่แห่งแล้วก็สร้าง แล้วก็เอาพระบรมสารีริกธาตุใส่เข้าไป แค่นั้นต่อมาก็สร้างมากขึ้นมากขึ้น ก็เอาของพระอรหันต์ใส่เข้าไปด้วย เป็นเจดีย์ทางพุทธ มีมากสุดทั่วอินเดียในยุคพระเจ้าอโศก
    พวกฮินดู เกลียดสิ่งนี้นัก ก็เลยไปแต่งไว้ในมหาภารตะว่า
    ในช่วงกลียุค จะมีเจดีย์ซึ่งเป็นสิ่งที่ขยะของ
    พวกไม่นับถือพระเจ้าเต็มไปหมด และพระวิษณุจะลงมาอวตารเพื่อทำลายทิ้งให้หมด
    คุณเมาเปล่า มั่วนิ่มแล้ว ผมปล่อยพระมาทั้งชีวิตเรื่องพวกนี้ผมศึกษามาขนาดไหนแล้ว
    เรื่องอื่นผมอาจจะไม่รู้แต่เรื่องนี้ ขอโทษเถอะเรียกว่ารู้มากกว่าคนทั่วๆๆไป

    แล้วทำไมผมจะใช้คำว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ครับ
    คุณบ้าไปแล้วหรือครับ ผมบอกไอ้พระสูตรที่คุณไปยกมา
    อย่างนี้เรียกว่าด่าหรือ คุณบ้าเปล่า พระสูตรเป็นคัมภีร์เป็นบันทึกถ้อยคำ
    ผม ถามหน่อยว่าหยาบตรงไหน เหมือนคุณใช้คำว่ามันกับ สิ่งของผมถามว่าหยาบไหม ผมไม่ได้ใช้กับคนสักหน่อย
    ผมใช้กับคนผมก็เรียกคุณเรียกท่านเรียกพระองค์ทั้งนั้น
    จะพูดอะไรก็คิดด้วย ต่อให้ผมใช้คำว่าไอ้กับคนก็ใช่ว่่าจะหยาบ งั้นไอ้แมงมุม ไอ้มดแดง ไอ้หนุ่มซิงตึ่ง ก็หยาบหมดสิ
    โอ๊ยไร้สาระว่ะ อุรุ คิดได้แค่นี้หรอครับ

    พจนานุกรม ให้ความหมายว่า คำว่า อ้าย (หรือต่อมาเพี้ยนเป็นไอ้): หมายความว่า
    1. เป็นคำใช้เรียกลูกชายคนที่ ๑ ว่า ลูกอ้าย. (สามดวง); โดยปริยายอนุโลมเรียกพี่ชายคนโตว่า พี่อ้าย.
    2.เป็นคำที่ใช้ในความหมายว่า ต้น, หนึ่ง, เช่น ในคำว่า เดือนอ้าย.
    3.เป็นคำที่ใช้เป็นคําประกอบคําอื่นบอกให้รู้ว่าเป็นเพศชายหรือสัตว์ตัวผู้
    4.เป็นคำที่ใช้คําประกอบหน้าคําบางคําเพื่อเน้นคำตามหลัง
    5.คําใช้แทนสิ่งที่กล่าวถึงและเป็นที่เข้าใจกัน เช่น อ้ายนั่น อ้ายนี่


    นี่แหละัเรียกว่าติดรูปล่ะ ไม่รู้ตัวเที่ยวด่า ชาวบ้าน
    แต่ติดที่เปลือกพระพุทธเจ้า
    คือคิดว่าท่านต้องเป็นคนที่เดินเมื่อสอง
    พันปีก่อนจึงจะเรียกพระพุทธเจ้าองค์จริง
    ถึงจะบูชาถึงจะกราบได้อย่างอื่นสมมติไปหมด ไม่รู้แต่เที่ยวพูด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2012
  10. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    หามาสิที่ว่า ผมพูดว่า คุณบรรลุธรรมแล้วนะ
    เฮ้ยหามาสิ
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน แม่โคลูกอ่อนขวิด
    พาหิยทารุจีริยะให้ล้มลงปลงเสียจากชีวิต ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี
    เสด็จกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต(เวลาภายหลังบริโภคอาหาร) เสด็จออกจากพระนคร
    พร้อมกับภิกษุเป็นอันมาก ได้ทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะทำกาละแล้ว จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงช่วยกันจับสรีระของพาหิยทารุจีริยะ ยกขึ้นสู่เตียงแล้ว จงนำไปเผาเสีย
    แล้วจงทำสถูปไว้

    -นี่ครับหลักฐานเจดีย์มีตั้งแต่สมัยพุทธกาล ผมคัดลอกมาบางส่วน พระสูตรนี้พระพุทธเจ้าให้ทำสถูปแก่พระพาหิย ของคุณมีหลักฐานไหมครับ ที่บอกว่าเจดีย์สร้างหลังพระพทุธเจ้าปรินิพพาน

    - คุณไม่เคารพพระพุทธเจ้า ไม่เคารพพระธรรม เทวดาที่ไหนก็ช่วยไม่ได้
     
  12. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    สถูปท่านพาหิยะ มาเกี่ยวอะไรว่ะเนี่ย
     
  13. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    สถูปแบบนั้นพวกพระราชาในสมัยพระพุทธเจ้าหรือก่อนพระพุทธเจ้ามันก็มีครับ
     
  14. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    แปลกตรงไหน? ครับ พระสารีบุตร พระโมคัลลานะก็มีสถูป
    "พระสถูปนั้น เดิมสร้างสำหรับบรรจุพระบรมธาตุ ตามแบบแผนอันมีประเพณีในมัชฌิมประเทศตั้งแต่ก่อนพุทธกาล
    เข้าใจว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประเภทหนึ่งในหลายประเภทที่คนอินเดียโบราณนิยมสร้าง โดยเฉพาะพวกศากยะซึ่งเห็นต่างกว่าพวกอื่นในอินเดียทั้งหมดคือ
    นิยมเผาศพและเก็บกระดูกไว้บูชา โดยสร้างที่เก็บ ซึ่งถ้ามีขนาดใหญ่โตก็เรียกว่าสถูป"
    สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพกล่าวไว้ในเรื่อง “ตำนานพุทธเจดีย์”
    เกี่ยวอะไรกับ พระพุทธเจดีย์ ที่พระสาวกไปตัดไม้ศักดิ์สิทธิ์ชาวบ้านมาสร้างถวายพระพุทธเจ้าที่
    ยังไม่ปรินิพพานไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2012
  15. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    แม้ว่าแนวความคิดจะเหมือนๆๆกันก็ตามทีเถอะ
    แต่ต่อมามันมีการพัฒนาไปเป็นเจดีย์อีกมากมายกว่านั้นเยอะ
    อย่าเอามาเหมารวมกันสิครับ
    เหมือนบอกสุโขทัยกับอยุธยาเป็นประเทศเดียวกันนั้นแหละ
    พระสถูป กับสถูป เป็นคนละอย่างกันนะครับ แต่มีรากฐานแบบเดียวกัน
    ซึ่งต่อมาก็พัฒนากลายมาเป็นเจดีย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2012
  16. โปรเซดอน

    โปรเซดอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2011
    โพสต์:
    376
    ค่าพลัง:
    +171
    มีคนฝากมาให้ท่าน มหาวัด จ้า


    [​IMG]
     
  17. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เขาใส่ร้ายผมคุณเอาด้วย ผมให้ไปหาหลักฐานมาคุณก็ทิ้งเขา
    คุณ "เจดีย์สร้างหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน"
    ผม "หาหลักฐานพระพุทธเจ้าสร้างสถูปให้พระพาหิย"
    คุณ "แปลกตรงไหน? ฯลฯ"
    ผม "แปลกตรงคุณไม่ยอมรับความจริงไงครับ"
     
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    รูปนี่คุณมหาวัดโพสต
    [​IMG]

    รูปนี่คุณลมสุริยะโพสต์
    [​IMG]

    รูปไหนเป็นรูปพระพุทธเจ้าครับ
     
  19. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    ไม่ยอมรับความจริงอะไร คุณบ้าเปล่า สถูป พระสถูป เจดีย์ มีรากฐานความคิดเหมือนกัน
    แต่ไม่ใช่อันเดียวกัน
    เหมือนสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี คนไทยเหมือนกันไหม?
    แต่ถามหน่อยว่าเป็นประเทศเดียวกันไหม?


    การสร้างเจดีย์เป็นพุทธประสงค์


    "คำว่า “พุทธประสงค์” หมายถึงพุทธประสงค์ที่จะรักษาประเพณีของชาวพุทธคราวเมื่อใกล้จะปรินิพพาน ขณะพระพุทธเจ้าประทับบรรทมระหว่างสาละทั้งคู่ ณ สาลวโนทยาน กรุงกุสินารา พระอานนท์กราบทูลถามถึงวิธีปฏิบัติในพระพุทธสรีระหลังจากปรินิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า

    กษัตริย์ผู้เป็นบัณฑิต พราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิต คฤหบดีผู้เป็นบัณฑิต เลื่อมใส ในพระตถาคตจะพึงปฏิบัติในพระสรีระของตถาคต เหมือนที่เขาปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิ

    เมื่อพระอานนท์กราบทูลถามว่า“เขาปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิอย่างไร ?” พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “เขาห่อพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิด้วยผ้าใหม่ ครั้นห่อแล้วซับด้วยสำลี ครั้นซับด้วยสำลีแล้ว ห่อด้วยผ้าไหม โดยอุบาย เขาห่อพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิด้วยผ้า ๕๐๐ คู่ แล้วเชิญลงในรางเหล็กที่มีน้ำมันบรรจุเต็มอยู่ แล้วครอบด้วยรางเหล็กอีกใบหนึ่ง วางบนเชิงตะกอน(จิตกาธาน)ที่ทำด้วยดอกไม้นานาชนิด ถวายพระเพลิงพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิ สร้างพระสถูปของพระเจ้าจักรพรรดิไว้ในทางใหญ่ ๔ แพร่ง ดูก่อนอานนท์ เขาปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิอย่างนี้ พึงปฏิบัติในพระพุทธสรีระเหมือนอย่างพระเจ้าจักรพรรดิ พึงสร้างพระสถูปของพระตถาคตไว้ในทางใหญ่ ๔ แพร่ง เหล่าชนผู้พวงมาลัยดอกไม้ของหอม หรือกราบไหว้ หรือทำจิตให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้น ข้อนั้นก็จักได้รับประโยชน์ ได้รับความสุขตลอดกาลนาน”

    นอกจากนี้ พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสถึงบุคคล ๔ ประเภท ซึ่งเป็นผู้ควรแก่การสร้างสถูปไว้บูชา คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสาวกของพระพุทธเจ้า และพระเจ้าจักรพรรดิ

    ข้อมูลเหล่านี้ เป็นเครื่องยืนยันว่า พระสถูปหรือเจดีย์ในพระพุทธศาสนา เป็นพุทธประสงค์โดยตรง และพอกล่าวได้ว่า ประเพณีนิยมในการสร้างพระสถูปเจดีย์นั้น มีเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น"

    สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในหนังสือ “ตำนานพุทธเจดีย์”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2012
  20. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    ซึ่งพระสถูปหรือเจดีย์นี้


    สถูปนั้น เดิมสร้างสำหรับบรรจุกระดูกของผู้ล่วงลับ ตามแบบแผนอันมีประเพณีในมัชฌิมประเทศตั้งแต่ก่อนพุทธกาลเข้าใจว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประเภทหนึ่งในหลายประเภทที่คนอินเดียโบราณนิยมสร้าง สำหรับพระสถูปนั้น เดิมสร้างสำหรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ตามแบบแผนอันมีประเพณีในมัชฌิมประเทศตั้งแต่ก่อนพุทธกาล เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประเภทหนึ่งในหลายประเภทที่คนอินเดียโบราณนิยมสร้าง นิยมเผาศพและเก็บกระดูกไว้บูชา โดยสร้างที่เก็บ ซึ่งถ้ามีขนาดใหญ่โตก็เรียกว่าสถูป โดยเฉพาะพวกศากยะ(เชื้อวงค์ของพระพุทธเจ้าและคนในบ้านเมืองนั้น)ซึ่งเห็นต่างกว่าพวกอื่นในอินเดียทั้งหมดคือ
    นิยมเผาศพและเก็บกระดูกไว้บูชา โดยสร้างที่เก็บ ซึ่งถ้ามีขนาดใหญ่โตก็เรียกว่าสถูป"
    "ซึ่งต่อมาก็วิวัฒนาการมาเป็นพระสถูป หรือ เจดีย์ (เป็นพุทธประสงค์ให้ประยุกต์เอาประเพณีดั้งเดิมมาใช้)
    ไม่ควรเรียกว่าสถูป เมื่อเห็นเจดีย์หรือพระสถูปในพระพุทธศาสนา ถ้าจะให้ถูกต้องจริง ๆ ควรจะต้องเรียกว่า “พระสถูปหรือเจดีย์” โดยต้องใช้คำว่า “พระ” นำหน้าสถูปด้วย เพราะเป็นของสูง เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุโดยเฉพาะ เท่านั้นโดยให้เรียกแยกออกไปจากสถูปทั้งหมดก่อนหน้านั้นโดยถือว่าให้เรียกสำหรับที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุโดยเฉพาะ เท่านั้น"

    สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในหนังสือ “ตำนานพุทธเจดีย์”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...