" มิติสนธยา "

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย น า ทู รี, 5 พฤศจิกายน 2012.

  1. น า ทู รี

    น า ทู รี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +164
    เรื่องเล่าจากพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน

    เรื่องเล่าลี้ลับในวังเจ้านาย


    พระที่นั่งนี้ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ เป็นพระที่นั่งองค์ประธานของหมู่พระมหามณเฑียร ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อมีการก่อสร้างพระที่นั่งจักรีแล้วเสร็จ รัชกาลที่ ๕ และพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จย้ายจากที่ประทับเดิม มาประทับที่พระที่นั่งองค์นี้ และได้ทรงโปรดให้เขียนภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ ของรัชกาลต่างๆ ไว้ในมุขกระสัน (มุขที่เชื่อม ระหว่างพระที่นั่งองค์หนึ่ง กับอีกองค์หนึ่ง)


    เวลานั้น สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถฯ ยังทรงพระเยาว์และทรงซุกซนมาก ขณะที่ประทับเล่นอยู่บริเวณห้องไพรเวทและมุขกระสัน พระองค์ทรงวิ่งเล่นไปมาภายในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานโดยที่พระพี่เลี้ยงก็ตามไม่ทัน หาพระองค์ท่านไม่เจอ ประมาณครูใหญ่พระองค์ถึงกลับมาเองพร้อมกับเล่าให้พระพี่เลี้ยงฟังว่า ทรงเห็นตาอ้วนนั่งอยู่ในพระที่นั่งฯ แล้วเดินหายไปในบริเวณที่ประดิษฐานพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระมหากษัตริย์รัชกาลก่อน ด้วยความที่เป็นเจ้าฟ้า ท่านจึงตะโกนเรียกว่า "นั่นใคร...ออกมาเดี๋ยวนี้" ปรากฏว่าก็ไม่มีใครออกมา


    จนมาวันหนึ่งสมเด็จจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถฯ กำลังเสด็จไปเฝ้ารัชกาลที่ ๕ ทรงดำเนินผ่านห้องที่มีพระบรมสาทิสลักษณ์รัชกาลที่ ๓ แขวนอยู่ พอทอดพระเนตรก็รับสั่งว่า "นี่ไงตาอ้วน..." จนความทราบไปถึงสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯ (พระมาตุจฉา/สมเด็จป้า)

    พระนางจึงมีรับสั่งถามเรื่องราว และทรงเดาว่าคงเป็น รัชกาลที่ ๓ ปรากฏพระองค์ให้เห็น จึงทรงให้นางพระกำนัลจัดดอกไม้ธูปเทียน ไปถวายสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถฯ เพื่อทรงไปขอขมาลาโทษรัชกาลที่ ๓ ที่ทรงล่วงเกิน เข้าไปวิ่งเล่นเอะอะในที่ที่พระองค์เคยประทับ

    การปรากฏพระองค์ของรัชกาลที่ ๓ ให้สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถฯ ได้ทอดพระเนตร ณ พระที่นั่งองค์นี้ ยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณของพระองค์ท่านยังคงสถิตย์อยู่ที่นี่ อาจจะเพราะความที่ทรงผูกพันหรือเปล่าก็ไม่รู้ชัดแต่ที่รู้ก็คือ พระองค์ทรงเคยประทับที่พระที่นั่งองค์นี้มาตลอดพระชนม์ชีพและทรงเสด็จสวรรคตที่พระที่นั่งองค์นี้ด้วย


    ตำนานสวนสุนันทา
    http://unigang.com/Article/10398

    มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เป็นมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในวังเก่า ดังนั้นถายในสถาบันจึงรายล้อมไปด้วยพระตำหนักน้อยใหญ่ สร้างบรรยากาศความขลังเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนกลางคืน ความขลัง+ความเงียบ+ความมืด ทำให้ไม่ค่อยมีนักศึกษาคนไหนกล้าอยู่เกิน 2 ทุ่มเลย

    ห้องสมุดเก่าที่ทุบไปแล้ว (ปัจจุบันสร้างเป็นตึกอธิการบดี) รู้หรือไม่ว่า สมัยก่อนช่วงที่จะปิดไป มีชมรม MMA-Mix Martial Arts เข้าไปใช้สถานที่ฝึกกันจนถึงกลางค่ำกลางคืน เผอิญนักศึกษาคนหนึ่งที่อยู่ในชมรมเป็นพวกเล่นของ ก็เล่าให้ฟังว่า ตอนกลับบ้านเห็นมีคนมาส่งเต็มไปหมดทั้งหน้าต่างและประตู!! ทุกคนแต่งชุดไทยแล้วจ้องมอง

    บริเวณใต้ตึก 56 เดิมเคยเป็นโรงเลี้ยงเด็ก อาจารย์ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอยู่ทำงานดึกๆ เท่าไหร่นักถ้าไม่จำเป็น เพราะจะถูกพวก "เจ้าจุก" มาเล่นซนอยู่เสมอตอนช่วงกลางคืน ไม่เชื่อไปที่ห้องพักอาจารย์ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจที่ปัจจุบันมียันแปะอยู่ด้วย และหากสังเกตดีๆ อาจารย์เอกนี้ จะมีตุ๊กตาคนละตัววางไว้บนโต๊ะ

    รู้หรือไม่ว่า... ชั้นใต้ดินของเอก ID นะสุดยอดมาก ขั้นชื่อเรื่องชวนขนหัวลุกมากที่สุด มีหลายคนเล่าเหมือนกันว่าช่วงเวลาดึกๆ มักจะได้ยินเสียงคนลากตรวนอยู่บ่อยๆ จนว่ากันว่า มีนักศึกษาอยู่คนนึง เป็นคนมีสัมผัสซิกเซ้นส์ มาเรียนได้ไม่ถึงเทอมก็ลาออก เขาเล่าให้ฟังว่า "อยู่ไม่ได้เลย เพราะสวนสุนันทามีผีในวังเยอะมาก"

    ว่ากันว่า ตึกที่เก่าที่สุดของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ก่อสร้างตั้งแต่สมัย ร.5 นักศึกษามักเรียกกันว่า "ตึกเหลือง" สมัยก่อนเป็นที่ประทับของเชื่อพระวงศ์ในวัง ปัจจุบันตึกนี้ได้เปิดให้ใช้บริการนวดแผนโบราณให้แก่คนนอกได้ด้วย

    เด็กสวนสุนันทาจะรู้ดีว่า สถาบันแห่งนี้ต้นไม้ค่อนข้างเยอะ บางมุมถึงขึ้นปกคลุมทางเดินเลยก็มี เคยมีเรื่องเล่ามาว่า มีเด็กมหาวิทยาลัยรั้วติดกัน

    อย่าง "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต" เดินเข้ามาในสวนสุนันทาตอนประมาณ 2 ทุ่มเพื่อลัดไปออกประตูเทเวศน์ ระหว่างได้เห็นขาคนห้อยลงมาต้นไม้ด้านบน พอมองขึ้นไปก็เห็นเป็น "ผู้หญิงสวมสไบสีชมพู" นั่งจ้องลงมาจากบนต้นไม้ !!


    สิ่งลี้ลับในวังหลวง


    PANTIP.COM : K8741826 พวกทหารยามที่เฝ้า "วังหลวง" นี่ตอนกลางคืนมีเจอ .... บ้างมั้ยครับ [ประวัติศาสตร์]

    พระบรมมหาราชวังหรือที่ชาวบ้านนอกรั้ววังมักใช้เรียกขานกันสั้นๆ ว่า "วังหลวง" นี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2325

    "วังหลวง" เป็นสถานที่สถิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์รวมถึงเป็นสถานที่เคร่งครัด เข้มงวดในกฎระเบียบและประเพณีในราชสำนัก ชาววังหลวงเชื่อกันว่า ทุกบริเวณในเขตรั้ววังล้วนมีเทวดาปกปักรักษา แม้แต่ประตูพระราชวัง ก็มีประเพณีที่เคร่งครัด

    โดยเฉพาะ "ธรณีประตู" ซึ่งมีกฎว่า ใครจะเข้าออกก็เดินข้ามไปได้แต่จะเหยียบธรณีไม่ได้ เพราะเป็นประเพณีที่ถือกันมาว่าประตูพระราชวังทุกแห่งมี "เทพยดารักษา" ขนาดว่า ถ้าผู้ใดไม่รู้แล้วเผลอไปเหยียบเข้าก็จะถูกเจ้าหน้าที่ กรม

    โขลน ผู้รักษาประตูดุเอา หรือบางที อาจถึงกับถูกสั่งให้ก้มลงกราบธรณีประตู เพื่อขอขมาลาโทษเลยทีเดียว

    ทุกสถานที่ เมื่อมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกปักรักษาและยิ่งเป็นสถานที่เก่าแก่มีความเป็นมายาวนาน ก็ย่อมต้องมีเรื่องราวของความลี้ลับและอาถรรพ์ ปะปนอยู่เสมอเป็นของคู่กัน เรื่องเล่าของชาววังในอดีต เกี่ยวกับอาถรรพ์และวิญญาณในวังหลวง จึง

    ล้วนแต่น่าฟังและชวนติดตาม เล่ากันว่า ชาววังในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็กลัวผีเหมือนกัน มีอยู่เหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องราวชวนขนลุกที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นและยัง เล่าสืบต่อกันมาไม่รู้จบว่า พวกในวังมักมีที่เล่นสำราญสนุกสนาน ที่บริเวณสระน้ำกว้างขวางแห่งหนึ่งภายในวัง

    สระน้ำนี้ จะมีท่อธารน้ำไหลเข้ามาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งสองด้านหัวและท้ายสระ จะมีบันไดอิฐถือปูนเป็นทางสำหรับลงไปตักน้ำได้ ว่ากันว่า เมื่อแรกสร้างนั้น น้ำเต็มเปี่ยมใสสะอาดดี เพราะมีกฎข้อห้ามจากเจ้านาย ไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดลงไป

    อาบหรือทำความสกปรกใน บริเวณใกล้ขอบสระนั้น ที่บริเวณสระน้ำนี้ยังมีต้นปีบขนาดใหญ่ สูงระหง กับต้นจันทน์ ทอดกิ่งก้านสาขาใบดกเขียวร่มรื่น ปีบออกดอกขาวร่วงหล่นอยู่ที่โคนต้น ส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ ชาววังสมัยนั้น ก็มักจะมาเที่ยว

    เก็บดอกบีบและลูกจันทน์เล่น แต่ต่อมาได้เกิดเสียงเล่าลือไปในทางไม่เป็นมงคล ทำให้ชาววังเกิดอาการกลัวผีกันนักหนา กลางค่ำกลางคืนก็ไม่กล้าออกไปไหน แม้แต่จะไปอุโมงค์ที่ถ่ายทุกข์ ยังไม่ยอมไป เพราะทางที่จะไป

    ต้องเดินผ่านบริเวณสระน้ำนั้น ก็ไม่มีใครกล้าเดินผ่าน ทั้งนี้เพราะว่า "พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าอรทัยเทพกัญญา" ซึ่งเป็นพระธิดาพระองค์หนึ่ง ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งประชวรด้วยพระโรคเรื้อรัง กระเสาะ

    กระแสะอยู่นาน ได้สิ้นพระชนม์ลง

    เมื่อพระองค์เจ้าพระองค์นี้สิ้นพระชนม์ลง ต่อมาก็มีการโจษจันกันว่า มีผู้ได้ยินเสียงร้องโหยหวยในยามวิกาล มีการกล่าวขวัญกันต่อๆ มา และสรุปว่า เป็นเพราะเสด็จพระองค์นั้นเพิ่งจะสิ้นพระชนม์ คงจะทรงไปทนทุกขเวทนาอยู่ เลยทำให้

    หวาดกลัวกันไปทั้งวังหลวง จนเรื่องนี้รู้ไปถึงพระกรรณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 จึงทรงมีพระราชดำริให้แก้อาถรรพ์นี้ ด้วยวิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสังฆทาน และทรงสั่งให้ขุดสระน้ำ ขึ้นเพื่ออุทิศส่วนกุศล

    ส่งไปโปรดพระเจ้าน้องนางเธอพระองค์นั้นให้พ้นทุกข์ เมื่อวันที่สระน้ำสร้างเสด็จก็มีพิธีฉลองสระ บรรดาเจ้านายพระบรมวงศ์ฝ่ายในทั้งหลาย ก็พากันเสด็จมาร่วมบำเพ็ญพระกุศล ตั้งแต่นั้นมา เรื่องเล่าของชาววัง เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
    จึงเงียบหายไป

    ส่วนสระน้ำที่ขุดใหม่นี้ ชาววังในสมัยนั้นจะเรียกว่า"สระพระองค์อรทัย"


    เรื่องลี้ลับของชาววังหลวง ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เพราะหลายๆ คน ก็เจอดี และมีประสบการณ์ที่พิสูจน์ไม่ได้อันแปลกแหวกแนวไปคนละอย่าง โดยเฉพาะ เหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในสมัยหลังช่วงรัชกาลที่ 8-9 ก็มีเรื่องเล่า ถึงชาวจีน

    คนหนึ่งซึ่งเข้ามาซ่อม "พระแท่นราชอาสน์" ซึ่งเป็นของสูง ที่องค์พระมหากษัตริย์ ได้ทรงใช้เอนพระวรกายมาแล้วหลายพระองค์ จึงเป็นของศักดิ์สิทธิ์และมีเทวดารักษา แต่ช่างชาวจีนซึ่งเป็นสามัญชนคนนี้ ไม่รู้ประเพณีการให้ความเคารพ

    ในของศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งผิดกับช่างไทย ถ้าจะทำงานกับของสูงเช่นนี้ จะต้องมีการเอาดอกไม้ธูปเทียนมาถวายสักการะ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากดวงพระวิญญาณ เพราะการซ่อมนั้น ช่างจำเป็นจะต้องขึ้นไปเหยียบย่ำบนพระแท่น

    เพื่อรื้อของเก่าออก เมื่อช่างจีนไม่ได้บวงสรวงสักการะ พอมาถึงก็ขึ้นไปเหยียบย่ำรื้อเลย ทำให้จู่ๆ ก็พลาดตกลงมาจากพระแท่นราชอาสน์ จนถึงกับสลบ และมีอาการกระอักเลือดออกมาทางทวารทั้งเก้า ทั้งๆ ที่พระแท่นราชอาสน์นั้น

    มีระยะสูงจากขอบพระบัญชรถึงพื้น ไม่ถึงเมตร แต่กลับทำให้ช่างจีนคนนั้นถึงกับสิ้นใจตาย จึงเป็นเหตุให้ทางผู้รับเหมางานนี้ต้องรีบเอากระดาษเงินกระดาษทองมาเผาถวาย สักการะเป็นการใหญ่

    บรรยากาศในวังหลวงสมัยก่อน ในตอนกลางวัน เมื่อเวลาไม่มีผู้คน สภาพแวดล้อมค่อนข้างน่ากลัว เพราะเงียบเชียบ และยิ่งดึกๆ ก็ยิ่งวังเวง เรื่อง "ผีและโอปปาติกะ" ในวังหลวง มีอีกหลายเรื่องราว ที่เล่าต่อๆ กันมา บ้างก็ว่า มีทั้งวิญญาณของเจ้านายฝ่ายใน และบางครั้งก็เป็นเทวดา

    มีเรื่องเล่าจากบันทึกของตำรวจหลวงในวังท่านหนึ่ง ซึ่งท่านเล่าไว้อย่างสนุก และน่าตื่นเต้น เกี่ยวกับเหตุการณ์ชวนพิศวง เมื่อครั้งงานพระราชพิธีพระบรมศพล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 8 ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เรื่องมีอยู่ว่าในเวลาดึกช่วง

    ระหว่างงานพระราชพิธีนั้น พอพระบรมวงศานุวงศ์แขกระดับผู้ใหญ่กลับกันหมดแล้ว ก็จะมีทหารยามและตำรวจวังเฝ้าพระบรมศพอยู่โดยทหารจะยืนยาม 4 มุมของพระบรมศพ และจะมีการเปลี่ยนเวรกันเป็นกะ ในส่วนของการยืนยามด้านใน

    ซึ่งเป็นที่ไว้พระโกศศพ ทำด้วยทองคำแท้ๆ นั้นจะมีทหารมารักษาการณ์เฉพาะตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวัน จะมีเจ้าหน้าที่ทำงานคอยเฝ้าอยู่ สำหรับทหารที่มาเข้าเวร ก็เป็นที่รู้กันว่า เมื่อเดินมาถึงจุดนี้ จะต้องทำความเคารพพระบรมศพ

    เสียก่อน ด้วยการวันทยาหัตถ์ แต่ก็มีบางคนที่มาเข้าเวรใหม่ ยังไม่รู้ธรรมเนียม จึงไม่ได้แสดงความเคารพ มาถึงก็ยืนเข้าที่เลย ปรากฏว่าโดนดีกันเป็นแถว เพราะถูกฝ่ามือลึกลับของใครก็ไม่ทราบ มาตบที่ท้ายทอยจนหัวคะมำ พอหันมาดูรอบๆ

    ตัวก็ไม่มีใคร ที่น่าประหลาดยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ บางครั้ง ทหารยืนยามมาทั้งคืน พอใกล้สว่างก็ชักไม่ไหว ต้องทรุดลงนั่ง และหลับยามไปงีบหนึ่ง แต่พอเจ้านายมาตรวจเวร ก็จะมีเสียงคนมาปลุกและเขย่าตัว บอกให้ตื่น เจ้านายมาแล้ว
    โดยที่ไม่มีใครเคยเห็น ตัวคนปลุกซักครั้งเดียว


    เรื่องจากพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท


    PANTIP.COM : K8741826 พวกทหารยามที่เฝ้า "วังหลวง" นี่ตอนกลางคืนมีเจอ .... บ้างมั้ยครับ [ประวัติศาสตร์]

    ครั้งหนึ่ง เมื่อการก่อสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทแล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศ์ ก็เสด็จฯย้ายจากที่ประทับเดิมมาประทับที่พระที่นั่งนี้ จากนั้นก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เขียนพระบรมสาทิศลักษณ์ รัชกาลต่างๆไว้ในห้องมุขกระสัน

    พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทนี้ เป็นชัยภูมิอันศักดิ์สิทธิ์ อยู่ข้างพระมหามณเทียรอันเป็นที่ประทับ ที่สวรรคต พระมหากษัตริย์รัชกาลต่างๆ เป็นที่พระบรมราชสมภพ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ อีกทั้งยังเป็นที่ประทับสมเด็จพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่หลายพระองค์

    เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ ท่านยังทรงพระเยาว์มาก ท่านก็ประทับเล่นที่บริเวณห้องไปรเวต และมุกกระสัน อยู่ๆท่านก็เห็นบุรุษร่างท้วมเดินผ่านแล้วเดินหายไปในบริเวณที่ประดิษฐานพระบรมสาทิศลักษณ์ รัชกาลที่ ๓

    ด้วยความที่เป็นเจ้าฟ้า เจ้าฟ้าจักรพงษ์ท่านก็ตะโกนเรียกว่านั่นใคร ออกมาเดี๋ยวนี้ ปรากฎก็ไม่มีใครออกมา

    ความทราบถึงฝ่าละอองธุลีพระบาท สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ท่านรับสั่งถาม ว่าบุรุษนั่นมีรูปลักษณะอย่างไร และทรงอนุมานว่า ชะรอยคงเป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

    ทรงปรากฎพระองค์ให้ทอดพระเนตร จึงทรงให้นางพระกำนัลจัดดอกไม้ธุปเทียน ไปถวายสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ เพื่อทรงไปขอขมาลาโทษที่ไปล่วงเกินสมเด็จพระบรมราชบูรพการี


    เรื่องพระที่นั่งสนามจันทร์

    พระที่นั่งสนามจันทร์นี้ เป็นพระที่นั่งศาลาเล็กๆอยู่ในหมู่พระมหามณเทียร ตรงรักแร้พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย รัชกาลที่ ๒ ท่านทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้น เพื่อประทับพักผ่อนพระอิริยาบท

    และทรงลงมือสร้างด้วยพระองค์เอง ทั้งโครงสร้าง และทรงเขียนลายไทยที่ตัวพระที่นั่งด้วยพระองค์เอง อีกทั้งต่อมา ด้วยความที่พระที่นั่งสนามจันทร์นี้ อยู่หน้าหอพระธาตุมณเทียร จึงใช้สำหรับตั้งเครื่องนมัสการ เครื่องราชสักการะ ตลอดจนเครื่องสังเวยต่างๆเวลามีงานทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมอัฐิ


    พระที่นั่งนี้มีสองชั้น คือ มีชั้นบนศาลา กับชั้นลด ชั้นบนศาลาเป็นที่ประทับในพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศ์ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯเท่านั้น เจ้านายชั้นอื่นๆ หรือสามัญชนนั่งเฝ้าฯได้แต่ชั้นลดเท่านั้น

    ต่อมามีการซ่อมไฟฟ้าในพระบรมมหาราชวัง บริเวณแถบพระมหามณเทียร พนักงานวังหลวงได้บอกพนักงานการไฟฟ้าไปแล้วว่า ห้ามไปนั่งเล่นบนศาลานี้ เพราะเป็นที่ประทับในหลวงรัชกาลก่อน

    แต่พนักงานการไฟฟ้าไม่ได้เชื่อที่พนักงานเตือน ไปนั่งนอนเล่นบนพระที่นั่งสนามจันทร์ เมื่อซ่อมไฟฟ้าเสร็จ ก็ขับรถออกมาจากพระบรมมหาราชวัง รถใหญ่วิ่งมาจากไหนไม่ทราบก็ชนเข้ากับรถการไฟฟ้า ตายกันทั้งคันรถ ครับ


    เรื่องสำนักพระราชวัง


    ด้วยความที่ว่า สำนักพระราชวัง ไม่ได้มีที่พักเพียงพอให้กับข้าราชการหญิงของสำนักพระราชวังที่บ้านอยู่ไกล จึงได้จัดที่พักให้ตามตำหนัก เรือนเก่าของเจ้าจอมมารดาหรือเจ้าจอมอื่นๆ ในเขตพระราชฐานชั้นใน บางทีก็ไปสั่งให้ข้าราชการหญิงเหล่านี้ไป นอนบนที่ประทับของเจ้านายหรือเจ้าจอมเหล่านั้น

    ข้าราชการเหล่านั้นก็เล่าว่า (คนที่โดนซึ่งเป็นเพื่อนเขา)คืนแรกที่นอนก็โดนเสียแล้ว อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินผ่านไป บางทีก็นอนตกเตียงเหมือนมีคนมาดึง ก็เลยอยู่กันไม่ไหว รู้สึกเกรงในพระเดชานุภาพพระบรมวงศานุวงศ์ที่ประทับและสิ้นพระชนม์กันบนห้องที่ประทับนี้

    จึงได้มาขอขมาลาโทษ และลงมานอนที่ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่นในตำหนักแทน ด้านบนก็จัดเป็นห้องสวดมนต์ไหว้พระของตัวเองไป ก็ปรากฎว่า นอนหลับสบายดี ไม่มีสิ่งรบกวนใดๆ
     
  2. น า ทู รี

    น า ทู รี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +164
    ความจริงแท้แห่งโลกจิตวิญญาณ

    โลกจิตวิญญาณคือโลกจริงแท้และเป็นบ้านที่แท้จริงของวิญญาณมนุษย์ โลกจิตวิญญาณคือคำตอบต่อคำถามที่ว่า “เรามาจากไหนและจะไปที่ไหนหลังความตาย?”

    “อีกโลกหนึ่งคือดินแดนที่ความคิดจะกลายเป็นจริง ที่นั่นคือโลกจริงแท้”

    (จากหนังสือ : The Laws of Happiness หน้า 111)

    โลกจิตวิญญาณมีโครงสร้างหลายมิติ แบ่งเป็นหลายระดับ (มิติ) ที่แตกต่างกันตามสภาวะจิตของวิญญาณที่อยู่ที่นั่น ระดับในโลกจิตวิญญาณเริ่มจากมิติที่สี่ไปถึงมิติที่เก้า มิติที่สูงกว่านั้นเป็นที่อยู่ของจิตวิญญาณที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับจิตใจของพระพุทธะ

    เมื่อจิตวิญญาณยกระดับขึ้นสู่มิติที่สูงขึ้น ก็จะยิ่งออกห่างจากโลกหรือคุณสมบัติแบบมนุษย์ กลายเป็นตัวตนที่เป็นอิสระทางจิตวิญญาณและไร้ขีดจำกัด


    มิติที่สี่ ดินแดนหลังความตาย

    มิติที่สี่ เป็นระดับต่ำที่สุดของโลกจิตวิญญาณ โดยแบ่งออกเป็นภพวิญญาณและภพนรก ภพนรกเป็นโลกแห่งความหลงผิดและทุกข์ทรมานและไม่ใช่โลกที่มีขนาดใหญ่จนสามารถเทียบได้กับสวรรค์ นรกเป็นส่วนหนึ่งของมิติที่สี่ในฐานะที่พักของวิญญาณที่หลงลืมตัวตนทางจิตวิญญาณที่แท้ของตนเองและใช้ชีวิตบนโลกอย่างหลงผิด

    ส่วนผู้ที่อยู่ในภพวิญญาณ มีการรู้แจ้งในระดับหนึ่งในฐานะจิตวิญญาณ แต่ยังคงมีแนวคิดและวิธีคิดที่ผูกพันอยู่กับวัตถุทางโลก ผู้ที่อยู่ในดินแดนระดับนี้มีวิถีชีวิตที่ใกล้เคียงกับวิถีชีวิตบนโลกวัตถุมากที่สุด


    มิติที่ห้า ดินแดนแห่งจิตวิญญาณ

    มิติที่ห้า เป็นที่รู้จักในฐานะดินแดนแห่งความดีและเป็นที่อยู่ของผู้ที่มีความคิดดี ภพนี้เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปว่าเป็น “สวรรค์” คนในที่นี้มีความตั้งใจที่จะปฏิบัติต่อผู้อื่นรอบตัวแบบเดียวกับที่อยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตนเอง วิญญาณในมิติที่ห้า เข้าใจคุณค่าของความรักแห่งการให้ พวกเขาอวยพรให้ผู้อื่นและทบทวนตนเอง หัวใจของพวกเขาถ่อมตนและบริสุทธิ์


    มิติที่หก ดินแดนแห่งแสงสว่าง

    มิติที่หก เป็นที่รู้จักในฐานะดินแดนแห่งแสงสว่าง และเป็นที่อยู่ของผู้นำชั้นยอดที่เป็นเจ้าของความคิดดีที่สามารถนำความรักแห่งการบ่มเพาะจิตวิญญาณไปปฏิบัติได้จริง ระดับบนของมิติที่หกเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เรียกว่า “ดินแดนแห่งจิตวิญญาณชั้นสูง”

    ที่อยู่ของผู้ที่บรรลุถึงสภาวะแห่งอรหันต์และมีจุดมุ่งหมายที่จะเป็นโพธิสัตว์หรือเทวดา ผู้ที่อยู่ในมิติที่หกศึกษาความรู้เรื่องสัจธรรมของพระพุทธะ ไปพร้อมๆกับทำการฝึกฝนจิตวิญญาณ


    มิติที่เจ็ด ดินแดนแห่งเทวดา - พระโพธิสัตว์

    มิติที่เจ็ด เป็นโลกของเทพหรือพระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะดินแดนโพธิสัตว์หรือดินแดนเทพ นี่คือโลกแห่งความรักแท้ ผู้ที่อยู่ในโลกนี้มีจิตใจที่ไม่เห็นแก่ตัว พวกเขาอยู่เพื่อรับใช้พระพุทธะ และทำงานเพื่อความรอดของวิญญาณมนุษย์

    พวกเขาจดจ่อจิตใจอยู่กับการนำมนุษย์ให้ทำความดีและนำสัจธรรมของพระพุทธะไปปฏิบัติ พวกเขาขัดเกลาวิญญาณตนเองอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นด้วยการมุ่งความสนใจไปที่การผสมผสานจิตแห่งพระพุทธะ เข้าสู่การปฏิบัติให้มากขึ้น


    มิติที่แปด ดินแดนแห่งตถาคตา

    มิติที่แปด มีชื่อว่าดินแดนแห่งตถาคตา ที่นี่เป็นโลกแห่งผู้นำของเทวดา (อัครเทวดา) และพระมหาโพธิสัตว์ ตถาคตาคือจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ที่ก่อให้เกิดนิกายทางศาสนาและสร้าง “จิตวิญญาณ” ของยุคสมัยต่างๆ

    คุณสมบัติของวิญญาณมนุษย์หมดไปจากผู้ที่อยู่ในมิตินี้ พวกเขาดำรงอยู่ในฐานะกลุ่มจิตสำนึกขนาดใหญ่ พวกเขามีความรู้ที่กว้างขวางเกี่ยวกับเนื้อแท้ที่เป็นอิสระของพวกตนในฐานะจิตวิญญาณ และเมื่อจำเป็นที่จะต้องกระทำการ พวกเขาก็สามารถแบ่งจิตสำนึกของตนออกเป็นหลายส่วนได้เท่าที่จำเป็น


    มิติที่เก้า ดินแดนแห่งจักรวาล

    มิติที่แปด เป็นที่รู้จักในชื่อดินแดนแห่งจักรวาล หรือดินแดนของผู้ช่วยให้รอด ที่นี่เป็นที่อยู่ของผู้ช่วยให้รอดซึ่งสามารถเริ่มต้นศาสนาระดับโลก จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่สิบดวงซึ่งเกี่ยวข้องกับกลุ่มแห่งจิตวิญญาณแห่งโลกนับแต่การสร้างโลกนั้นอาศัยอยู่ในมิตินี้ พวกเขาแต่ละคนเป็นต้นกำเนิดของแสงแห่งปริซึมเจ็ดสีที่สร้างลักษณะของกลุ่มจิตวิญญาณโลก

    ในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของมิติที่เก้า เป็นที่อยู่ของเอล คันทาเร่ พระพุทธะสูงสุด ท่านคือต้นกำเนิดของแสงสว่าง ความรัก ความเมตตา ปัญญา และความกล้าหาญ เอล คันทาเร่เป็นบิดาของวิญญาณมนุษย์ ผู้นำทางมนุษยชาติทั้งมวลไปสู่วิวัฒนาการทางจิตวิญญาณและความสุขชั่วนิรันดร์

    “โลกจิตวิญญาณเป็นโลกแห่งความคิด ที่นี่ผู้ที่มีความคิดคล้ายคลึงกันจะดึงดูดกันและกัน และผู้ที่มีความคิดที่แตกต่างจะถูกผลักออกไป”

    (จากหนังสือ : An Unshakable Mind หน้า 63)

    ความจริงแท้แห่งโลกจิตวิญญาณ - Happy Science Thailand
     

แชร์หน้านี้

Loading...