ใครมีประสบการณ์วัตถุมงคลหลวงพ่อเณร วัดทุ่งเศรษฐีบ้างครับ

หลวงพ่อเณร วัดทุ่งเศรษฐี พี่เอ๊ะมอบให้ครับ

 

คร้าบบบบผม
ได้ความรู้เพิ่มอีกแล้ว อิอิ

 

ยังมะได้รับค่ะ
ท่องไว้ในใจว่า วันจัน... วันจัน...วันจัน ได้แน่ๆๆ 5555

ถ้าได้รับแล้วเดียวแนนมาแจ้งพี่ ura อีกที่หนึ่งนะค่่ะ
ขอบคุณนะค่ะ

 

สวัสดีพี่ๆศิษย์วัดทุ่งฯครับ
วันนี้ช่วงเช้ามีโอกาสเลยไปทำบุญที่วัดจะกราบหลวงพ่อ ปรากฎว่าหลวงพ่อไม่อยู่ เสียดายจริงๆ ได้ผ้ายันต์พลิกดวงมา ปิดทองแล้วพับบูชาได้หรือไม่ครับ หรือว่าต้องแผ่ออกมาใส่กรอบเท่านั้นครับ

 

แนะนำให้ใส่กรอบครับ ไว้ในที่อันควร สวดบูชาสม่ำเสมอย่อมเห็น

 

<a href="http://www.picza.net/show.php?id=20121014vvIdvTZdvEFdvTI76587" target="_blank"><img src="http://www.picza.net/save/20121014vvIdvTZdvEFdvTI76587_sv1/pic/2012_10_14-101-20121014vvIdvTZdvEFdvTI76587.jpg" border="0" /></a><br><font size=1>Thanks: <a href="http://www.picza.net" target="_blank">ฝากรูป</a></font>

เอารูปมายั่วน้ำลายครับ ฮาๆๆๆ

 

ออกงานอีกแล้ว......พี่ราตรี พี่ดอกรัก และพี่พลับพลึง
ถ้าสามพี่นี้ได้ออกมาใช้งานเมื่อไร...รับประกันได้เลยว่าของสิ่งนั้น......ชัวร์

 

หินกลมๆคืออะไรหรอคับ อยากได้มั่งจังถ้ายู่ไทยคงไม่พลาดแน่ๆ :'(

 

อั่ยย่ะ! แม่เจ้า! สิ่งที่ว่านั้นก็คือ ...!

 

สิ่งที่ว่านั่น ผมไม่อยากคิดเลย ของสุดยอดนั้นกำลังถูกทำออกมาแล้วหรือ และสิ่งนั้นเห็นกล่าวกันว่าสัมพันธ์กับสิ่งๆนึง แน่เลยท่านพี่บ้านนอก

 

ขอความรู้หน่อยครับ ไม่ทราบว่า กระโหลก ที่เห็นในภาพเป็นของจริงไหมครับ ดูมีขนาดใหญ่กว่าปกติมาก ๆ เลยครับ เห็นแล้ว รู้สึกกลัวเลยทีเดียวครับ
ปล. ขออภัยด้วยนะครับ ถ้าผมใช้คำพูดไม่เหมาะสมครับ

 

เอามายั่วก่อนจัดเต็มครับ

 

สุดยอดเลยครับผม เจ้ากรมของแท้เลย

 

มีเยอะจริงๆ เยอะกว่าผมเยอะเลย ฮาๆ

 

ของจริงจะเล็กกว่านี้ ที่เห็นส่วนที่ใหญ่กว่าปกติไม่ใช่ของจริงเป็นส่วนที่หล่อเรซิ่นคับ ไหนๆ ก็มีคนโพสรูปนี้แล้วจะเล่าประสบการณ์ของนักเรียนทหารอากาศที่มาช่วงงานวัดเมื่อวันเสาร์ซักเล้กน้อย เนื่องจากกระโหลกนี้โดยส่วนใหญ่เป็นเรซิ่นดังนั้นน้ำหนักจะค่อนข้างเบา แต่ปรากฎว่า ตอนทำพิธีเสร็จแล้ว น้องๆ นักเรียนทหารช่วยกระโหลกทั้ง 3 กลับไปไว้ที่เดิม โดยยก 1 คนต่อกระโหลก 1 อัน ปรากฎมีนักเรียนทหารคนหนึ่งถึงกับพูดออกมากเลยว่า "ทำไมมันหนักจังเลยพี่ หนักเหมือน 50-60 กิโลแนะ" ทำเอาคนที่แถวๆ นั้นและทหารอีก 2 คน งงไปตามๆ กันเลย เพราะทหารอีก 2 คนที่ยกกระโหลกที่เหลือด้วยท่าทางที่สบายมากเหมือนไม่หนักเท่าไรเลย เหอๆ สงสัยแม่โหงพรายขี้เล่นแกล้งนักเรียนทหารแน่เลย ฮาๆ

ปล. ของที่อยู่ในหม้อเป็น 1 ในมวลสารที่จะใช้อุดใต้ฐานกุมารรุ่นใหม่ของหลวงพ่อนะจ๊ะ พิธีกรรมเข้มขลังขนาดไหนดูจะรูปก็น่าจะรู้น้า

 

ผมเดินผ่านทีไรขนลุกทุกที และยิ่งพ่อขุนช้างเเล้ว สุดๆๆๆ

ข้างในก็คือ...ครับ ที่หล่อเรซิ่นครอบไว้ก็ด้วยเหตุผลในหลายๆๆประการไม่ให้ดูน่ากลัวเกินไป และยุคนี้ขืนทำอะไรแผลงเดี๋ยวก็โดนเล่นเอา แต่ของที่อยู่ในนั้นของจริงครับ มีตัวมีตน คนที่นำแม่สามพรายมาก็อยู่ในกระทู้นี้ครับ เดากันเอง อิอิ ความลับวัดทุ่งมีเยอะอย่างที่พี่ลูกกรอกกล่าวไว้จริงๆๆๆ

 

พิธีหุงสีผึ้งใช่ใหมครับ.......

 

ที่แท้สมเด็จสายรุ้งหลังพิคเณศในตำนานก็อยู่กับพี่เเจ็คนี้เอง

 

บ่ใช่จ๊ะเป็นพิธีเสกทำมวลสารอัดลงไปในตัวน้องกุมารจ๊ะ ซึ่งรอเฮ การเปิดจองในเร็วๆๆนี้ ความจริงมีมากกว่านี้ อันนี้น้ำจิ้มเเจ่วจ๊ะ กุมารรุ่นนี้ใครไม่มีไว้นี้ ต่อไปจะต้องตีอกกัดหัวนมตัวเองทีเดียวเพราะจะขึ้นชั้นเทียบกับบรมครูอย่าง ปู่เต๋ และปู่ชื่นผู้เป็นอาจารย์แน่นอน รุ่นนี้พ่อเสกอัดระดมมวลสารเต็มที่ พ่อใส่ใจทำรุ่นนี้มากๆๆๆ ดูภาพในรูปซิ คนที่ร่วมเสกแต่ระคน เกจิฆาราวาสชั้นแนวหน้าทั้งนั้น ไม่เชื่อดูคนมุมว้ายสุดของภาพใครหว่า ถ้าเวปพวกรักกุมารจะรู้จักท่านดีมาก และเชิดชูบูชาเป็นเอกด้านกุมารไม่เป็นลอง อิอิ ถึงบอกไว้นักๆๆเลยว่าต้องบูชาให้ได้ ที่เเน่ๆๆ ถ้าพวกรักกุมารรู้พี่น้องในบ้านเราจะทันกันเขาไม่นี่ อิอิ สร้างน้อยมากด้วย

 

พบสหธรรมิกเก่า หลังจาก หลวงปู่ชื่น ธุดงค์ไปในที่ต่าง ๆ มากมาย จนกระทั่งท่านเดินทางไปจำพรรษาอยู่ที่วัดนาราก อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ท่านอยู่ได้ 5 พรรษาจึงได้เดินธุดงค์ต่อเรื่อยไปจวบจนอายุท่านมากขึ้น กำลังวังชาถดถอย ท่านจึงอยู่กับที่ระยะหนึ่ง ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2524 หลวงปู่ชื่นได้รับนิมนต์เดินทางไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดแห่งหนึ่งใน เขตจังหวัดบุรีรัมย์ งานนั้น หลวงปู่นิล อนุตโร เจ้าอาวาสวัดตาอีรูปปัจจุบันซึ่งเคยเป็น “สหธรรมิก” (เพื่อน) เก่าก่อนกันมาก็ได้รับนิมนต์จากทางเจ้าภาพให้เป็นพระคู่สวดเช่นกัน
หลังจากพระทุกองค์เสด็จจากกิจนิมนต์แล้ว ทางเจ้าภาพได้จัดถวายอาหารเพลให้ฉัน หลวงปู่นิล กับ หลวงปู่ชื่น นั่งฉันในวงเดียวกัน หลวงปู่นิลหันมองพระที่นั่งอยู่ข้างตัว ท่านคิดในใจว่าคล้ายเคยเห็นกันมาก่อน แต่ท่านยังจำไม่ได้ว่าเคยเห็นกันที่ไหน เพราะความที่จากกันมานานหลายสิบปีทำให้ท่านทั้งสองแทบจำกันไม่ได้ หลวงปู่นิลได้แต่คิดในใจว่าพระองค์นี้ทำไมช่างเหมือน หลวงปู่ชื่น เสียเหลือเกิน จนอดใจไม่ไหวจึงเอ่ยถามไปว่า “หลวงพ่อท่านอยู่วัดไหน ชื่ออะไร” หลวงปู่ชื่น ตอบกลับไปทันที “อาตมาชื่อชื่น เป็นพระธุดงค์ยังไม่มีวัดจำพรรษา”
หลวงปู่นิล นั่งคิดตั้งนานที่แท้ก็ใช่หลวงปู่ชื่นจริง ๆ ด้วย เมื่อท่านทั้งสองได้นั่งสนทนากันแล้วหลวงปู่นิลจึงได้ออกปากนิมนต์หลวงปู่ ชื่นให้มาจำพรรษาอยู่ด้วยกันที่วัดตาอี ประกอบกับช่วงนั้น หลวงปู่ชื่น มีอายุมากแล้วและชาวบ้านตาอีก็ได้นิมนต์ท่านไว้ไม่ให้เดินธุดงค์อีก นับตั้งแต่นั้นมา หลวงปู่ชื่น จึงได้อยู่จำพรรษาที่วัดตาอีเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
เพชรเริ่มทอแสง
หลังจาก หลวงปู่ชื่น มาอยู่วัดตาอีแล้วท่านได้เก็บตัวเงียบอยู่แต่ภายในกุฏิหลังเล็ก ๆ เหมือนพระหลวงตาแก่ ๆ ธรรมดา แทบไม่มีใครรู้เลยว่าท่านเป็นพระที่มี “พลังจิต” และมีอาคมเข้มขลังมาก จนกระทั่งกลางปี พ.ศ. 2542 หลวงปู่ชื่นได้สร้างวัตถุมงคลออกมา 2-3 รุ่น ผลปรากฏว่าผู้ที่นำวัตถุมงคลของท่านไปบูชาต่างมีประสบการณ์ต่าง ๆ นานามากมาย จากปากต่อปากทำให้วัตถุมงคลที่ท่านบรรจุพลังจิตเวทวิทยาคมที่มี “พลังมหัศจรรย์” ความวิเศษขลัง ยับยั้งภัยพาล อาถรรพณ์จัญไร ขจัดสรรพทุกข์ สรรพโรค สรรพภัยที่มีอานุภาพ ทั้งเมตตามหานิยม มหาโชค มหาลาภ ค้าขายดีเยี่ยม คุ้มครองป้องกัน ทำให้ชื่อเสียงหลวงปู่ชื่นดังขึ้นมาเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไปมากขึ้นเป็น ลำดับ จากปากผู้ที่ได้บูชาวัตถุมงคลของท่านไปบูชาส่วนใหญ่ยอมรับว่าวัตถุมงคลของ ท่านดีเยี่ยมจริง ๆ ใช้แล้วได้ผลดีเกินคาด ส่วนสาเหตุที่ท่านยอมเปิดตัวและจัดสร้างวัตถุมงคลออกมาเป็นทางการเนื่องจาก ท่านกำลังก่อสร้างอุโบสถซึ่งขาดปัจจัยอยู่อีกมาก อีกประการหนึ่งหลวงปู่เคยบอกไว้ว่า “ถึงเวลาที่ครูบาอาจารย์ท่านให้ เปิดตัวแล้ว เพื่อนำความรู้เวทวิทยาคมที่ได้ร่ำเรียนมาสงเคราะห์พุทธศาสนิกชน และจัดสร้างถาวรวัตถุเพื่อการพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป”
หินลงสระกลายเป็นงูยักษ์
เมื่อครั้งที่ หลวงปู่ชื่น มาอยู่ที่วัดตาอีใหม่ ๆ นั้น ท่านได้เร่งทำความเพียรปฏิบัติธรรมจนพลังจิตแก่กล้า ด้วยท่านเป็นพระที่รักสันโดษชอบเก็บตัวเงียบ ๆ อยู่แต่ภายในกุฏิ ชาวบ้านจึงคิดว่าท่านเป็นหลวงตาแก่ ๆ ไม่มีอะไร เป็นพระธรรมดาไม่มีวิชาอาคมอันใด
ต่อมาทางวัดได้ขุดสระใหม่ ทางเจ้าอาวาสจึงประกาศบอกชาวบ้านว่า “ห้ามลงอาบน้ำในสระ” เพราะสระน้ำแห่งนี้พระเณรต้องใช้ดื่มกิน แต่ชาวบ้านขาดความเกรงใจท่าน ตกเย็นทั้งหนุ่มสาวพากันลงว่ายน้ำเล่นในสระอย่างสนุกสนาน บ้างก็นำผ้ามาซักทำให้ฟองแฟ๊บที่ซักลอยเต็มคุ้งสระ บอกแล้วก็เฉย เตือนแล้วก็ไม่หยุด
หลวงปู่ชื่น จึงใช้ไม้ตายเพื่อให้รู้จักที่ต่ำที่สูง และที่ควรมิควรกันบ้าง ท่านจึงนำก้อนหินมาสองก้อน แล้วเสกด้วยคาถาอาคมจากนั้นท่านโยนลงไปในสระน้ำ “สาม วันต่อมาพวกที่ชอบลงเล่นน้ำในสระภายในวัดต่างก็ตกใจแตกตื่นขึ้นตลิ่งกันแทบ ไม่ทัน เพราะเห็นพญางูยักษ์สองตัวว่ายน้ำไปมาในสระให้เห็นกับตากันจะจะ ชาวบ้านตาอีเห็นกันทั้งหมู่บ้าน”
เรื่องนี้เป็นที่เลื่องลือกันมากในอำเภอบ้านกรวด ถ้าหากใครมีโอกาสได้ไปที่วัดตาอีลองสอบถามชาวบ้านดูก็ได้ และจากวันนั้นเป็นต้นมาจนกระทั่งถึงวันนี้ก็ไม่มีใครกล้าลงไปเล่นน้ำในสระ ที่วัดตาอีกันอีกเลย...