จิ. เจ. รุ. นิ.

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Samarnl, 31 สิงหาคม 2012.

  1. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    [​IMG]
    -มหาวิบากจิต มีจำนวนเท่ากันกับมหากุศลจิต คือ ๘ ดวง ได้แก่


    ๕. อุเปกฺขาสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ กามาวจรมหาวิปากจิตตํ
    มหาวิบากดวงที่ ๕ เกิดพร้อมด้วยความเฉยๆ ประกอบด้วยปัญญา เกิดขึ้นเองโดยไม่มีสิ่งชักจูง

    มหาวิบากอุเบกขาเวทนาดวงที่ ๕ ซึ่งเป็นผลของมหากุศลดวงที่ ๕
    มหากุศลจิตเป็นเหตุ มหาวิบากเป็นผล ดังที่ได้อธิบายไปแล้วในมหากุศลจิต ๘
    และ การส่งผลของมหาวิบากจิตดวงที่ ๕ นี้ นั้นย่อมส่งผลให้เกิดเป็นมนุษย์ ๑ และเทวดา ๖ ชั้นเท่านั้น
    บุคคลที่เกิดมาด้วยมหาวิบากดวงที่ ๕ นี้ย่อมเป็นผู้ที่มีปัญญามามากสามารถทำฌาน อภิญญา มรรค ผล นิพพานในชาตินี้ได้
    บุคคลที่เกิดด้วยมหาวิบากดวงที่ ๕ นี้จะเป็นคนที่เงียบขรึม ท่าทางเป็นสงบนิ่ง แต่มีปัญญาคิดเข้าใจธรรมเป็นอย่างดี เป็นที่น่าเกรงขามแก่ผู้พบเห็นและสนทนาด้วย มีจิตใจจดจ่ออยู่กับ
    การทำกุศลเนื่องๆ คิดแต่จะทำกุศลสม่ำเสมอ ไม่ต้องคอยให้ใครมาชวน คิดทำเองตลอด
    เมื่อมีใครมาชวนก็เต็มใจกระทำกุศลด้วยเพราะเป็นผู้มีศรัทธา เมตตาเกิดได้ง่ายแม้จะเป็นคนเฉยๆ
    ชอบทำบุญสุนทานและชอบฟังธรรม และยังเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้อื่นสนใจธรรมเช่นเดียวกับตน
    เมื่อมีโอกาสก็จะชักชวนผู้อื่นให้ทำความดี เพราะเป็นผู้ที่มีปัญญาและศรัทธา เข้าใจเรื่องเหตุ
    และผล เป็นผู้ที่เกิดมามีเหตุครบ ๓ ประการคือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ
    ชอบทำกุศลด้วย เข้าใจธรรมได้ง่ายแต่ด้อยกว่าคนที่เกิดด้วย มหาวิปากจิตดวงที่ ๑


    ลุงหมานตรวจดูด้วยค่ะ หากมีอะไรผิดพลาด แก้ไขได้เลยนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2012
  2. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    [​IMG]
    -มหาวิบากจิต มีจำนวนเท่ากันกับมหากุศลจิต คือ ๘ ดวง ได้แก่



    ๖. อุเปกฺขาสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ กามาวจรมหาวิปากจิตตํ
    มหาวิบากดวงที่ ๖ เกิดพร้อมด้วยความเฉยๆ ประกอบด้วยปัญญา เกิดขึ้นเองโดยมีสิ่งชักจูง

    มหาวิบากอุเบกขาเวทนาดวงที่ ๖ ซึ่งเป็นผลของมหากุศลดวงที่ ๖
    มหากุศลจิตเป็นเหตุ มหาวิบากเป็นผล ดังที่ได้อธิบายไปแล้วในมหากุศลจิต ๘
    และ การส่งผลของมหาวิบากจิตดวงที่ ๖ นี้ นั้นย่อมส่งผลให้เกิดเป็นมนุษย์ ๑ และเทวดา ๖ ชั้นเท่านั้น
    บุคคลที่เกิดมาด้วยมหาวิบากดวงที่ ๖ นี้ย่อมเป็นผู้ที่มีปัญญามามากสามารถทำฌาน อภิญญา มรรค ผล นิพพานในชาตินี้ได้
    บุคคลที่เกิดด้วยมหาวิบากดวงที่ ๖ นี้จะเป็นคนที่เงียบขรึม ท่าทางเป็นสงบนิ่ง แต่มีปัญญาคิดเข้าใจธรรมเป็นอย่างดี
    เป็นที่น่าเคารพแก่ผู้พบเห็นและสนทนาด้วย แต่การทำกุศลต้องคอยให้ใครมาชวน หรือต้องได้ยินเสียงมาเชิญชวนจึงจะทำ
    เมื่อมีใครมาชวนก็เต็มใจกระทำกุศลด้วยเพราะเป็นผู้มีศรัทธา เมตตาเกิดได้เป็นคนเฉยๆ
    ชอบทำบุญสุนทานและชอบฟังธรรม ทำความดี เพราะเป็นผู้ที่มีปัญญาและศรัทธา
    เข้าใจเรื่องเหตุ และ ผล เป็นผู้ที่เกิดมามีเหตุครบ ๓ ประการคือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ
    ชอบทำกุศลด้วย เข้าใจธรรมได้ง่ายแต่ด้อยกว่าคนที่เกิดด้วย มหาวิปากจิตดวงที่ ๑
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 กันยายน 2012
  3. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    จะรู้ได้อย่างไรว่าขณะนั้นเป็นญาณสัมปยุต ไม่ใช่โลภะครอบอยู่


    [๑๖] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน
    กามาวจรกุศลจิต สหรคตด้วยโสมนัส ๑- สัมปยุตด้วยญาณ ๒- มีรูปเป็นอารมณ์ หรือ มีเสียง
    เป็นอารมณ์ มีกลิ่นเป็นอารมณ์ มีรสเป็นอารมณ์ มีโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์ มีธรรมเป็นอารมณ์
    หรือปรารภอารมณ์ใดๆ เกิดขึ้นในสมัยใด ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต วิตก วิจาร
    ปีติ สุข เอกัคคตา สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์ โสมนัส
    สินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
    สัทธาพละ วิริยพละ สติพละ สมาธิพละ ปัญญาพละ หิริพละ โอตตัปปพละ อโลภ อโทสะ
    อโมหะ อนภิชฌา อัพยาปาทะ (สัมมาทิฏฐิ หิริ โอตตัปปะ) กายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ
    กายลหุตา จิตตลหุตา กายมุทุตา จิตตมุทุตา กายกัมมัญญตา จิตตกัมมัญญตา กายปาคุญญตา
    จิตตปาคุญญตา กายุชุกตา จิตตุชุกตา สติ สัมปชัญญะ สมถะ วิปัสสนา ปัคคาหะ อวิกเขปะ
    มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น.



    ก็ลองสังเกตุเอา ว่าจิตมหากุศลดวงที่ ๑ นั้น มีสภาวะให้รู้ได้ เป็นไฉน ^^

    จะภาวนา ทำสมาธิใดก็ตาม ควรรู้จักสภาวะธรรมอันเป็นกุศลก่อน

    หากจิตไม่เป็นกุศลแล้วไซร์ ภาวนาขณะนั้นย่อมมีผลเป็นตรงข้าม

    มีปัญญาละวิปลาสหรือไม่


     
  4. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ปุจฉา
    จะรู้ได้อย่างไรว่าขณะนั้นเป็นญาณสัมปยุต ไม่ใช่โลภะครอบอยู่

    วิสัชชนา
    ตามธรรมดา ปุถุชนทั้งหลายย่อมมีความต้องการเกิดขึ้นก่อนแล้วจึงทำ
    เช่น อยากทำบุญ อยากทำฌาน เป็นต้น
    ล้วนแล้วเป็นไปด้วยโลภะเป็นตัวนำ เป็นปัจจัย เป็นตัวกระตุ้นให้ทำกุศล หรือ ฌาน ทั้งสิ้น
    จึงถูกโลภะครอบงำอยู่ แต่การกระทำมหากุศลที่เป็นญานสัมปยุตให้เกิดขึ้นนั้น ก็ย่อมไม่มีโลภะครอบงำอยู่
    เพราะว่าในญาณสัมปยุตตจิตนั้นประกอบด้วยปัญญาเป็นตัวนำ
    จิตที่เป็นอกุศลกับจิตที่เป็นกุศล จะเกิดพร้อมกันในคราวเดียวกันไม่ได้
    ฉะนั้นในขณะญาณสัมปยุตตจิตเกิดขึ้นแล้วก็ย่อมไม่มีโลภะเกิดขึ้นร่วมด้วย

    ถ้าดูตามวิถีจิตจะเห็นได้ว่าเป็นจิตที่เกิดขึ้นต่างวิถีกัน
    วิถีแรกที่เกิดขึ้นนั้นเป็นวิถีจิตของโลภะ
    วิถีต่อไปนั้นเป็นวิถีของญาณสัมปยุตตจิตซึ่งเป็นวิถีของปัญญา
    (ในอักษรที่เน้นสีนั้น คือเจตสิกที่เกิดร่วมกับมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต จะเห็นได้ว่าเจตสิกที่เป็นอกุศลนั้นไม่เกิดร่วมด้วยเลย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กันยายน 2012
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    จิตที่ประกอบด้วยปัญญา นั้นเป็นผลงาน
    เพราะเป็นตัวสัมประยุตเรียกว่า อสังขาริกัง

    หรือเรียกว่า เป็น สสังขาริกังก่อน(เหตุ)
    จนมาเป็น อสังขาริกัง(ผล)

    จิตที่สัมประยุตด้วยปัญญา จะไม่มี กิเลสเจือปน ตัวนี้จึงเป็นผลงาน
    มรรคจิต ที่เกิดขึ้น จะไม่มีกิเลสเจือปน เรียกว่า จิตเป็นมหากุศล

    คำว่า มหากุศล ไม่ใช่หมายถึง มี กุศลมากมายรอให้ผลอย่างมหาศาลในแบบภาษาไทย

    แต่คำว่า มหากุศลในทางธรรม คือจิตที่ไม่ประกอบด้วยกิเลสเจือปนเมื่อสัมประยุตขึ้นด้วยปัญญา

    ไม่ใช่ไม่ทำเหตุแล้วผลจะเกิดขึ้นเอง
    ต้องเกิดจากการทำเหตุ แล้วผลจะเกิดขึ้นเอง

    แสงสว่างอาศัยฝุ่นละอองในการเกิดฉันใด
    ปัญญาก็อาศัยกิเลสเกิดขึ้นมาฉันนั้น

    ดอกบัวอาศัยโคลนตมเป็นเชื้อฉันใด
    ปัญญาก็อาศัยกิเลสเป็นปัจจัยฉันนั้น
     
  6. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    ก็ต้อง ฝึกไปก่อน ลงมือทำตามวิธีไปก่อน

    แล้วผลงานจะออกมาเอง
     
  7. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    จิตที่เป็น มหากุศลดวงที่ 1
    คือ จิตที่มีญาณสัมประยุตด้วยปัญญาเป็นอสังขาริกัง

    ลักษณะนี้เกิดขึ้นเมื่อใด เรียกว่า จิตเริ่มรู้จัก รูปนามปริเฉท


    เจตนาวิรัต หรือเจตนารักษาศีล
    หรือเรียกว่า ให้เจตนางดเง้นในการ ไม่ละเมิดศีล 5
    ผลของการทำแบบนี้ มีกุศลวิบากให้ผล

    ในขณะเจริญเจตนาวิรัติ แล้วเจริญ สมถะ ก็มีกุศลวิบากให้ผล

    ในขณะเจริญเจตนาวิรัติ แล้วเจริญ สติปัฏฐาน
    ขณะๆเจริญสติปัฏฐานหรือเรียกว่า สร้างเหตุ
    ตรงนี้ก็มีกุศลวิบากให้ผลรออยู่แล้ว

    แต่เมื่อ สติปัฏฐานเกิด หรือเรียกว่า
    ญาณสัมประยุตด้วยปัญญาเป็นอสังขาริกังเกิด
    ตรงนี้เรียกว่า จิตเป็นมหากุศล
    ผลคือตัดภพชาติสั้นลง

    จะต่างกับจิตที่เป็นกุศล
    ที่มีกุศลวิบากให้ผล นั้นคือ ภพชาติจะยาวต่อไป
     
  8. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    วิบากจิตของดวงที่ 1 กับ 5 อันไหนดีกว่ากันจ๊ะ
    มหากุศลจิต ดวงที่ 1 หรือจ๊ะ?? เพราะอะไรจ๊ะ เพราะต้องเพียรก่อนหรือจ๊ะ
    แล้วดวงที่ 2 กับ 5 มีมหาวิบากจิตอันไหนดีกว่ากันจ๊ะ
    ขอบคุณมากค่ะ

    ทำไมจึงบอกว่าอุเปกขามหากุศลญาณสัมปยุตตจิต ๒ ดวงเกิดได้บ่อย ส่วนโสมนัสมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต ๒ ดวงเกิดได้ยาก ....ก็มาดูว่า เราต้องถูกชักชวนให้มาเรียนให้มาฟัง แรก ๆ ก็ตื่นเต้นยินดี โสมนัส มีกำลังใจที่จะฟัง พอฟังไปสักครึ่งวันกำลังตกเป็นอุเปกขา ฉะนั้น สิ่งที่ควรเพียรจึงเหลือเพียง โสมนัสมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต ๒ ดวง
    และโสมนัสมหากุศลญาณสัมปยุตตจิตดวงที่ ๒ นี้มอบให้เป็นหน้าที่ของคันถะธุระ เพราะเรารู้เองไม่ได้ เราอ่านเองก็ไม่เข้าใจ จึงเป็นกุศลที่ประกอบไปด้วยปัญญาโดยมีผู้ชักชวน ส่วนโสมนัสมหากุศลญาณสัมปยุตตจิตดวงที่ ๑ ท่านคือวิปัสสนาธุระ ฉะนั้น คันถะธุระกับวิปัสสนาธุระเป็นความเพียรอย่างยิ่งที่เราจะต้องทำให้มี เราเรียนไม่ใช่เรียนอย่างธรรมดาต้องเรียนให้เข้าใจ ปฏิบัติให้จริง แล้วเราเรียนกันมามากเกินแล้ว เรียนในสิ่งที่เราก็เข้าถึงไม่ได้ แต่มหากุศลญาณสัมปยุตตจิต ๔ ดวงที่ยกมานี้ เราเข้าถึงได้ด้วยตัวของเราเอง

    ถาม-ตอบอภิธรรม:กรรมฐาน:อภิธรรมออนไลน์:วิปัสสนา:จิต:พลังจิต:สติปัฏฐาน:สำนักปฏิบัติธรรม:พระพุทธศาสนา:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2012
  9. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    คนที่ ๑ เป็นคนที่ยิ้มง่ายเพราะเกิดด้วยโสมนัสเวทนา
    คนที่ ๕ เป็นคนวางเฉยเพราะเกิดด้วยอุเบกขาเวทนา
    สองคนนี้เราจะเห็นว่าคนไหนน่าสนทนามากกว่ากัน

    คนที่ ๑ ได้รับผลมาจากมหากุศลจิตดวงที่ ๑ เป็นคนที่ทำกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาและประกอบด้วยโสมนัสเวทนา
    คนที่ ๕ ได้รับผลมาจากมหากุศลจิตดวงที่ ๕ เป็นที่ทำกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาและประกอบด้วยอุเบกขาเวทนา


    ดวงที่ ๒ เป็นสสังขาริก คือ รับผลมาจากมหากุศลจิตดวงที่ ๒ ที่เป็นสสังขาริกจิตเช่นเดียวกัน กุศลจึงมีกำลังอ่อนกว่าอสังขาริกจิต กำลังของวิบากดวงที่ ๒ จะมีกำลังอ่อนกว่ามหาวิบากดวงที่ ๕ เพราะดวงที่ ๕ เป็นอสังขาริกจิต แต่เวทนาจะสู้ดวงที่ ๒ ไม่ได้ เพราะดวงที่ ๒ เป็นโสมนัสเวทนาครับ
    ค่อยๆอ่านและทำความเข้าใจนะครับ อาจสับสน เพราะการอธิบายในที่นี้ไม่เหมือนในห้องเรียนครับ
     
  10. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ตรงนี้พรุ่งนี้จะมาอธิบายครับ
     
  11. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
    ลุงหมาน ๆ ถามหน่อยจร้า ...(kiss)

    พระอรหันต์
    ตายแล้วสูญหรือไม่ เพราะเหตุใด
     
  12. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    พระอรหันต์ เมื่อจุติไม่มีปฏิสนธิ คือตายแล้วไม่เกิดอีก เพราะเหตุว่า พระอรหันต์นั้นท่านได้ทำลายภพชาติจนสิ้นแล้ว นี้เรียกว่าปรินิพพาน
     
  13. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ตามธรรมดาบุคคลทั้งหลายนั้น ย่อมไม่ยินดีในการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เป็นส่วนมาก แม้ว่าการจะมาศึกษาธรรมก็เถอะทั้งที่เกิดเองหรือถูกชักชวนใหม่ๆนั้นโสมนัสจะไม่ค่อยเกิด แต่ต่อเมื่อฟังไปเรื่อยๆและเกิดความเข้าใจ เมื่อฟังแล้วเข้าใจปิติโสมนัสก็เกิด ทีนี้ถ้าจิตเราหันเหไปคิดในเรื่องอื่น หรืออารมณ์อื่นเสีย โสมนัสนัสเวทนานั้นก็ตกไปเป็นอุเบกขาเวทนา โสมนัสนั้นถ้าจะเกิดขึ้นต้องพิจารณาให้บ่อยๆ เช่น คิดถึงทานกุศลที่ไรก็ปลื้มทันที เป็นต้น
    (และที่ท่านได้เข้าใจอธิบายมาก็ถูกแล้วนี่)
     
  14. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    มหากุศลดวงที่ ๔ นี้ ต้องมหากุศลญาณวิปปยุตตจิตครับ เป็นมหากุศลที่ถูกชักชวน และการทำกุศลนั้นก็ขาดปัญญาด้วย เช่นว่ามีใครมาชวนให้ทำก็ทำ บางที่ทำไปก็เพราะความเกรงใจคนที่มาชักชวน เป็นต้น
     
  15. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    พอดีเป็นส่วนของอ.บุษกร เมธางกูร ที่นำมาใช้อ้างอิง ในคำถามเรื่องมหากุศลดวงที่ 2 กับ 5 จ๊ะ ไม่ได้นำมาถามจ๊ะ
    ...แต่เห็นอาแปะจะอธิบายด้วย ก็รอฟัง..
    มหากุศลญาณสัมปยุตทั้ง 4 ดวง น่าจะเป็น ดวงที่ 1 2 และ 5 6 ที่สามารถเข้าถึงได้ด้วยตัวเอง คงไม่ได้หมายถึงมหากุศลดวงที่ 4 (ตามที่อ่านคิดว่าเป็นอย่างนี้จ๊ะ เพื่ออธิบายจิตที่ควรเพียรให้เกิดซึ่งน่าจะเป็นดวงที่ 1 และ2)

    อนุโมทนาจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2012
  16. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ขอขอบคุณ คุณปุณฑ์ครับ ที่ติดตามสนทาธรรม
    การศึกษาธรรมจึงมีความละเอียดลึกซึ้งมาก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องอาศัย
    อนรุทธาจารย์ และอรรถกถาจารย์เป็นผู้ขยายความให้ อย่างเราๆผู้มีปัญญาน้อย
    เมื่ออ่านแล้วก็อาจไม่เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้ง
    เช่น คำว่าอวิชชา ส่วนมากเราจะเข้าใจกันว่าความไม่รู้ หรือความโง่
    แท้จริงแล้ว อวิชชาไม่ได้โง่อย่างที่เราคิดและเข้าใจกัน
    คำว่าอวิชชา หมายถึงไม่รู้ธรรม ๘ อย่าง คือ ไม่รู้อดีต ไม่รู้อนาคต
    ไม่ทั้งอดีตและอนาคต ไม่รู้อริยสัจจ์ ๔ ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท เท่านั้น
    จะเห็นได้ว่าอวิชชาเขาก็เป็นตัวรู้ได้ รู้ได้เกือบทุกเรื่อง
    อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร (อวิชชาปรุงแต่งยังไงจึงเกิดสังขาร)
    เพราะอวิชชาก็เป็นตัวสังขารตัวหนึ่งคือ อวิชชาเป็นสังขารเจตสิก
    อวิชชาก็ปรุงแต่งตัวอวิชชาเอง จึงเกิดสังขารขึ้นเหล่านี้ เป็นต้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 กันยายน 2012
  17. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2012
  18. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    ปฏิจสมุปบาทนั้นท่านแสดงไว้ใน โลกียะ
    ในโลกุตตระ ไม่มีปฏิจสมุปบาทแน่นอนค่ะ
    ดังนั้น การที่สังขารเป็นปัจจัยให้แก่วิญญาณ
    ไม่ได้มีแค่ อวิชชา+สังขารที่เป็นปัจจัยให้แก่วิญญาณเท่านั้น
    จริงๆ แล้วมีรายละเอียดเพิ่มอยู่ที่เป็นเหตุให้เกิดวิญญาณอีก
    คือ 5 อย่างคือ อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน กัมมภว
    ธรรม 5 ประการนี้แหล่ะ ทำให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณ (สหชาตชาติ)
    นั้นคือ มีขันธ์5(นานักฯ) เกิดขึ้นมาใหม่ในภพปัจจุบัน
    อวิชชา สังขาร ซึ่งเป็นเหตุในอดีตภพ ทำให้เกิด วิญญาณในปัจจุบันภพ
    อาศัยจิตที่เป็นจิตประเภทเดียวกันคือ ภวังคจิต จุติจิต และปฏิสนธิจิต
    แต่ทำกิจต่างกัน ดังนั้นการข้ามภพชาตินั้นต้องผ่านการจุติก่อนแล้วจึง
    มาปฏิสนธิ คือ วิญญาณ เกิดขันธ์5 แล้วก็ว่ากันต่อไปในภพปัจจุบันนั้นค่ะ
    ถ้ามีการโยกไปที่จุติจิต ก็แค่ขณะเดียวเท่านั้นที่โยกกลับไปให้คิด เพราะไม่มีการ
    แช่อยู่ที่จุติจิตได้แน่นอน เมื่อเกิดจุติจิตเมื่อไหร่ ปฏิสนธิเกิดต่อทันทีในขณะจิตต่อไปค่ะ
    เป็นอันเข้าใจกันได้ว่าต่อไปต้องปฏิสนธิทันที เพราะปฏิจสมุปบาทท่านแสดงเฉพาะ
    ในโลกียะ ซึ่งต้องมีการเกิดแน่นอนในลำดับต่อไปค่ะ
    เหมือนการเดินทางเส้นทางตรงนี้ ต้องผ่านตรงนี้แน่นอน ถึงจะไปสู่จุดหมายได้
    เช่น บ้านอยู่ท้ายซอย มีทางออกรถยนต์ทางเดียว จะขับรถออกไปถนนใหญ่
    ยังไงต้องขับรถออกทางปากซอย จึงเลี้ยวปุ๊บออกจากปากซอยก็เข้าสู่ถนนใหญ่ทันที
    ปากซอยก็เหมือนจุติจิต มันเป็นแค่ทางผ่านเพื่อไปถนนใหญ่คือ ปฏิสนธิวิญญาณ
    ไม่สำคัญอะไรหรอกค่ะ เพราะเรามุ่งที่จะไปถนนใหญ่ คือ ปฏิสนธิวิญญาณ
    เพียงแต่ไปกล่าวสวนกลับไปเพื่อคุยหาความเข้าใจ โยกไปคิดแบบกว้างขึ้น
    ว่ามันเป็นจิตประเภทเดียวกัน แต่ทำกิจต่างกันเท่านั้นแหล่ะค่ะ
     
  19. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
    ลุงหมานๆ ....

    จิต
    ของพระอรหันต์ที่ดับขันธ์ไปแล้ว ยังมีอยู่อีกหรือไม่ เพราะเหตุใด
     
  20. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    นำมาให้ลองอ่านดูครับ

     

แชร์หน้านี้

Loading...