ธรรมะ กลาย เป็นไปได้ขนาดนี้

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ม่อนดอยด์, 17 มกราคม 2011.

  1. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=2 width=70 align=left><TBODY><TR><TD bgColor=#fff8f0 width=70 align=middle>[SIZE=+5]ท่[/SIZE]</TD><TD width=10 align=middle> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    านอาจารย์นั่งรับแขกอยู่ตรงนั้น สังเกตแขกที่มา ได้เวลา ๘ โมงท่านก็ฉัน ความจริงท่านจะฉันเมื่อไรก็ได้ เดินหกโมงเช้าแล้วมานั่งตั้งชั่วโมง คอยแขก ไม่เห็นมีใครมาเลย คุณคิดดูนั่งมาตั้งกี่ปีแล้ว คอยแขกมาตลอดเลย ท่านทั้งหลาย ท่านเจ้าคุณอาจารย์นั่งคอยท่านทั้งหลายมากี่ปีแล้ว ท่านไม่มา ตอนนี้ท่านไม่นั่งคอยแล้ว ท่านไปนอนคอยแล้ว ไม่ไปนั่งคอย เวลาแขกมาตอนท่านฉัน เวลาอาหาร ๘ โมงเช้า เขาจะมีสัญญาณตีกลอง ท่านจะได้ยินด้วย กลองที่เขาตีเป็นสัญญาณพระก็จะไปตักอาหารที่โรงฉัน ถ้าได้ยินเสียงกลองท่านก็จะลุกขึ้นมาฉัน แต่บางครั้งก็มีแขกติดพัน แขกก็คุยไม่รู้เวล่ำเวลาเลย เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน บางครั้งเราไปบอก ท่านอาจารย์ครับ ๘ โมงแล้วครับ แต่เราไม่บอกว่าฉันนะ ไม่ได้บอกว่า อาจารย์ครับนิมนต์ฉันเช้า บอกอย่างนั้นไม่ได้ ต้องบอกอาจารย์ครับ ๘ โมงแล้ว ๘ โมงแล้วหรือ เดี๋ยวไป ถ้าแขกคุ้น ๆ กันหน่อยแต่ว่าคุยเพลิน แขกคุ้น ๆ นะคุยเพลินเลย ๘ โมงแล้วไม่รู้เรื่อง เราก็ไปบอกแขก "เดี๋ยวค่อยคุยกัน นี่ ๘ โมงแล้ว ให้ท่านอาจารย์ฉันอาหารก่อน" เขาก็จะลุกไป แต่บางครั้งก็เป็นแขกที่มีเกียรติก็ลำบากเหมือนกัน คุยเพลินไม่ยอมเลิก คุยเพลินจน ๘ โมงครึ่ง อาจารย์ท่านก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่มีปัญหาตรงคนที่อยู่ข้างหลังท่านอาจารย์ พวกเราพลอยหิ้วท้องไปด้วย แทนที่จะได้ฉันก็ไม่ได้ฉัน บางทีก็ยาวไปเลยก็แล้วแต่ ฉะนั้นขณะกำลังฉันอยู่ ๘ โมงนี่ ถ้ามีแขกที่ไม่รู้เรื่องเข้าไปนั่งคุย ท่านอาจจะบอกกับแขกตรง ๆ ว่า เวลาฉันห้ามคุย ผิดวินัย บางคนก็ไม่ได้ยิน ทำเป็นไม่ได้ยิน นั่งเฝ้า ถามท่านทั้งหลายว่า กำลังนั่งทานอาหารกัน ต่อหน้าคนที่ไม่รู้จัก ท่านรับประทานฝืดคอไหม? ถึงแม้เราเชิญแขกมาที่บ้าน แขกที่มาคุ้น ๆ ก็ฉันไม่อิ่มเหมือนกัน รับประทานอาหารไม่อิ่ม แต่ท่านอาจารย์คงไม่มีปัญหาเรื่องนั้น แต่ถ้าเป็นแขกที่คุ้นเคยท่านก็คุยด้วย ท่านก็ไม่ได้บอกว่าผิดวินัยหรอก คุยไปด้วย เราต้องไปบอกแขกว่า ท่านอาจารย์เคยพูดว่ามันผิดวินัย เขาก็ไม่สนใจ ชวนคุย ทำให้ท่านอาจารย์ลำบากเหมือนกัน ฉันไปต้องคุยไป
    แล้วที่คิดว่าไม่เหมือนผู้ใด ขณะที่ท่านอาจารย์ฉัน จะมีทั้งสุนัข แมวและไก่มาร่วมวงด้วยอยู่เป็นประจำ เรานี่ก็เหลือจะทนแล้ว เพราะว่าแมวก็มานั่งคอยเลยคอยใกล้ ๆ สำรับอาหาร สุนัขก็มานั่ง ไก่ก็มา แล้วท่านจะไม่ฉันอาหารก่อน ท่านจะต้องให้ไก่ โปรยข้าวให้มัน พอไก่มันได้เศษข้าวมันก็แย่งกันกิน มันก็ไม่กินเปล่า ตีกันบาง โอ้โฮ นั่นมันพื้นดิน มีฝุ่นนี้ขึ้นมาเต็มเลย ฟุ้งขึ้นมาลงไปที่ไหนบ้างไม่รู้ แล้วท่านก็อยู่อย่างนั้น ฉันไปอย่างนั้น ฉันแบบนั้นแหละ ฉันคลุกฝุ่นเป็นประจำ
    แล้วท่านก็ใช้ส้อมจิ้มอาหารให้สุนัขกิน สุนัขก็กินไปจากส้อมของท่าน เราก็วิตกกังวลว่า ถ้าสุนัขมันเป็นโรค ยุ่งเหมือนกันนา ก็ไม่ทราบว่าจะติดมาถึงท่านหรือเปล่า ฉะนั้นก็ต้องเดือดร้อนหมอ คุณหมอประยูรหรือว่าคุณหมออื่นที่มีความรู้ในเรื่องการฉีดยากันพิษสุนัขบ้าก็ต้องฉีดกันเป็นประจำ ถ้าไม่ฉีดก็ไม่รู้ เดี๋ยวเกิดเรื่องแน่ เพราะท่านอาจารย์ท่านทำแบบนั้นได้อย่างไรก็ไม่ทราบ ท่านทั้งหลายจะทำได้ไหม?
    ช้อนส้อมอะไรท่านก็ไม่เคยล้าง นี่แหละทางสายกลางของท่าน ไม่เคยล้าง บางคนล้างเสียจนกระทั่งล้างแล้วล้างอีก แต่ท่านไม่ล้าง คอยสังเกตดูพระฉันอาหารส้อมเขาไม่ล้าง แต่เช็ดเฉย ๆ ก็พอแล้ว ก็เอาไว้ตรงนั้นแล้วมดก็มากินต่อ แสดงว่าปลอดภัย มดยังกินได้แสดงว่าปลอดภัย ก็ทำอย่างนั้นตลอดเวลาตามแบบของท่าน
    แมว ท่านก็ให้อาหารแมว แมวกินแล้วก็ลากไปโน่นลากไปนี่ โอ้ย ! เต็มไปหมด มดเต็มไปหมด ท่านใช้ชีวิตแบบนี้ ไม่รู้สึกว่ามากวนเรา บางคนกำลังกินอาหารอยู่พอแมวร้องเหมียว ก็รู้สึกรำคาญเหลือเกินทนไม่ไหว แต่ตลอดเวลาท่านอยู่กับธรรมชาติ ทั้งไก่ก็กวน หมาก็กวน แมวก็กวน ท่านก็อยู่เฉย ๆ เป็นการฝึกความอดทนมาตลอดเวลา ไม่มีปัญหากับสิ่งเหล่านี้ ชีวิตของท่านที่เรามองเห็น
    พอฉันเสร็จท่านก็ออกไปนั่งรับแขกอีก ไม่ต้องทำอะไร แล้วความคิดก็จะไหลออกมาจากการมอง เคยถามท่านว่า "ความคิดต่าง ๆ ที่เอามาเทศน์ เอามาจากไหน คิดหรือเปล่า" "ไม่ต้องคิดหรอก ไปนั่งเฉย ๆ เดี๋ยวมันไหลออกมา นั่งเฉย ๆ มันก็ค่อย ๆ ไหล พอมันไหลออกมาก็จด ๆ ๆ แล้วได้เวลาก็เอาไปเทศน์"

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=2 width=70 align=left><TBODY><TR><TD bgColor=#fff8f0 width=70 align=middle>[SIZE=+5][/SIZE]</TD><TD width=10 align=middle> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    นมักจะมาถ่ายรูปกับท่าน ท่านก็มักจะไม่ปฏิเสธอะไร แต่ว่าขอเพียงว่า ถ้าเป็นสตรีขอให้มากกว่าหนึ่งคนขึ้นไป คนบอกว่าไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้อยู่ตั้งหลายคน ท่านบอกว่าไม่ได้ เวลาถ่ายแล้วในรูปจะมีแค่สอง ตอนกำลังถ่ายคนมันเยอะ แต่ตอนถ่ายแล้วมีสองคนในรูป มันเป็นอาบัติในรูป เพราะว่าภิกษุห้ามอยู่กับสตรีสองต่อสอง ในรูปมันมีแค่ ๒ คน ไม่ได้ ท่านไม่ยอม ถ้าจะถ่ายรูปก็ต้องมีคนอื่นเพิ่มเข้าไปด้วย แล้วก็ให้นั่งไกล ๆ นั่งพ้นรัศมีมือ แล้วก็พ้นรัศมีไม้เท้าท่านด้วย ท่านก็แกว่งไปแกว่งมา บอกว่าอยู่ไกล ๆ หน่อยสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย แต่ว่าคนที่คุ้นเคยอาจจะเข้ามาใกล้อีกนิดหนึ่ง แต่ว่าพ้นระดับมือ ประมาณห่าง ๑ เมตรขึ้นไป ท่านเตือนทุก ๆ คน เสมอ ๆ ในเรื่องนี้แล้วก็แนะนำ กระทั่งถ่ายรูปก็แนะนำ แล้วท่านก็บอกเสมอว่า ผู้ใดถ่ายรูปกับเรา ผู้นั้นคือผู้ที่ทำสัญญากับเราแล้วว่า จะปฏิบัติตามที่เราสอน ใครที่มีรูปกับท่านเอาไปเทียบไว้ได้ ข้าพเจ้าขอสัญญาว่า จะปฏิบัติตามที่ท่านสอนไว้ ไม่ทำตามที่สอน อย่ามาอ้อนเรียกอาจารย์ แต่ใครถ่ายรูปกับท่านก็ได้

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=2 width=70 align=left><TBODY><TR><TD bgColor=#fff8f0 width=70 align=middle>[SIZE=+5]ยั[/SIZE]</TD><TD width=10 align=middle> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    งมีสิ่งที่หลายคนอาจจะไม่เข้าใจท่าน อาตมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน คือท่านไม่ให้คนยืมของ เคยมีครั้งหนึ่ง พระที่เขามาทำหนังสือเรื่อง "เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา" เป็นประวัติชีวิตของท่านแล้วก็มาสัมภาษณ์ แต่แล้วเมื่อทำเสร็จแล้วเขาก็อยากจะพิมพ์ดีด เขาก็มาขออาตมา พระประชาก็มาขออาตมา อาตมาก็บอกฮึ ! ไม่รู้ได้หรือเปล่า ต้องไปถามท่านอาจารย์ก่อน อาจารย์บอก "ไม่ได้ห้ามยืม" คิดดูว่าขนาดจะมาทำงานให้ท่าน ก่อนที่จะมาขอสัมภาษณ์
    หนังสือเล่มนี้ทำยากที่สุดเลย แล้วหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีประโยชน์มาก "เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา" เป็นการสัมภาษณ์สด ๆ จากท่าน จะมาขอสัมภาษณ์ ท่านไม่ยอม ใคร ๆ มาขอก็ไม่ได้ แต่ว่าคนนี้ขอได้ พระประชาเขาเคยแสดงฝีมืออะไรไว้ให้ท่านเห็นว่าเป็นคนจริง แล้วก็มีวิธีพูดจนท่านยอม บอกว่าการสัมภาษณ์นี้มิใช่เป็นการเปิดเผยตัวเอง ว่าตัวเองเก่งอย่างไร แต่ต้องการดูวิธีการดำเนินชีวิตเพื่อเป็นแบบอย่างของคนรุ่นต่อไป มีเหตุผล เพราะว่าท่านถือว่า ธรรมเนียมคนไทยแล้ว จะไม่เขียนประวัติของตัวเอง ไม่เล่าประวัติของตัวเอง ไม่เหมือนกับฝรั่งที่จะเขียนประวัติของตัวเองยาว ๆ ให้คนอื่นอ่าน ท่านก็ไม่ทำ แต่ก็มีประวัติพอสมควรให้ได้อ่าน
    ข้อสำคัญคือว่า ท่านไม่ให้ยืม ไม่ให้ยืมมันดีอย่างหนึ่ง เคยได้ยินสุภาษิตว่า รักเพื่อนอย่าให้เพื่อนยืมเงิน ถ้าเขามาขอให้เขาไปเลย บอกไม่ต้องยืม เอาไปเลย เพื่อป้องกันการที่จะต้องบาดหมางใจกันทีหลังเพราะยืมไปแล้วก็คืนไม่ได้ ไม่มีให้คืน

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=2 width=70 align=left><TBODY><TR><TD bgColor=#fff8f0 width=70 align=middle>[SIZE=+5]ท่[/SIZE]</TD><TD width=10 align=middle> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    านอาจารย์ท่านจะใช้คนตามหน้าที่ เราอยู่ที่นั่นเรารู้กันดี ก็มีท่านสิงห์ทอง มีท่านมณเฑียรหรือว่าท่านจ้อย ตอนหลังนี่ก็มีท่านทวี แล้วก็มีอาตมา ก็มีหน้าที่ต่างกัน ท่านสิงห์ทองท่านเป็นคนจัดโต๊ะอาหาร หรือว่าทำงานเกี่ยวกับซักผ้าบ้าง ทางคุณจ้อยก็ทำหน้าที่รับรอง ตรวจสอบหนังสือ มีหนังสืออะไรบ้าง ท่านทวีมีหน้าที่อัดเทป อาตมาทำหน้าที่พิมพ์จดหมายให้ท่าน พอถึงเวลา ๘ โมงปุ๊บ ท่านก็จะถามสิงห์ทองอยู่ไหม? ถ้ายังไม่อยู่ก็ยังไม่ฉัน ต้องไปเรียกมาก่อน ต้องไปตามมาให้ได้ ถ้าไม่ได้ บางทีอาจจะท้องเสียหรืออะไรอยู่ไหน ก็ต้องไปเอามาจนได้ก่อน ท่านถึงจะฉัน ท่านไม่ทำสับหน้าที่กัน นอกจากเขาฝากกันไว้ ไม่อยู่แล้วฝากหน้าที่กันไว้ได้ ท่านไม่สับหน้าที่ อย่างเช่นคนมาทำบุญ ท่านก็ต้องคอย คอยคุณจ้อยว่าอยู่ไหม? ถ้าอยู่อ้าวช่วยไปจัดที ถ้าอัดเทปก็ให้คุณทวีตั้งเครื่อง ถ้าคนตั้งเครื่องยังไม่มาก็นั่งคอยไปก่อน โยมมาจะถวายผ้าป่าก็ให้คอยคนตั้งเครื่องก่อน ทั้งที่คนอื่นก็อยู่ท่านก็ไม่ใช้ บอกไม่ต้อง คอยไปก่อน ต้องไปคอยจนเขาเสร็จแล้วก็มาตั้งเครื่อง
    มาระยะหลังนี้ ท่านอาจารย์ขอบคุณ แต่ก่อนท่านไม่ค่อยขอบคุณหรอกนะ สมัยก่อน พระเก่า ๆ เขาเล่าให้ฟังว่า ท่านทำอะไรแล้วก็ทำเฉย ๆ ไม่มีการขอบคุณ ยุคนั้นก็เป็นยุคที่ยังไม่มีถนน สวนโมกข์ปิดเฉย สมัยนั้น ไม่มีคำว่าขอบคุณ ใครทำก็ทำเองก็ได้เอง ใช่ไหม? บุญใครทำใครได้ ไม่ใช่ว่าคนนี้ทำบุญแล้วคนนั้นได้ ฉะนั้นก็ใครทำใครได้ ไม่มีการขอบคุณ จนถนนเปิดมีถนนแล้วคนมาเยอะ ท่านก็เปลี่ยนเหมือนกัน รู้สึกว่าคนที่ถือแบบท่าน แต่ว่าทำไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่ถือแต่คำพูด ทำเสร็จ ฮื้อ เขายกของมาให้ก็เฉย ๆ ไม่ขอบคุณ คุณทำเองคุณได้แล้ว ฉันกินก็หมดเรื่องไป ไม่มีขอบคุณ ตอนหลังนี้ท่านขอบคุณ มายุคที่อาตมาทำหนังสือกับท่าน ได้รับคำขอบคุณจากท่านมากจนเรานี่รู้สึกแย่แล้ว ให้ท่านอาจารย์มาขอบคุณ แต่ท่านก็พูดอยู่เรื่อย ขอบคุณ ขอบคุณ
    เวลาจะใช้งานก็ไม่เคยที่จะเรียก ไม่เคยที่จะสั่งท่านไม่สั่ง แต่จะถามว่าว่างไหม? ถ้าว่างเดี๋ยวพิมพ์หนังสือให้หน่อย แม้กระทั่งจะใช้งานใครก็ดูเถอะ ท่านไม่ใช้คำสั่ง ถ้าใครเจ็บป่วย ท่านก็ดูแลรักษา เรียกว่าท่านเป็นห่วงทุก ๆ คน ไม่ใช่ห่วงแต่คน ลูกไก่ก็ห่วง พอตกเย็นเข้าลูกเจี๊ยบ ๆ ๆ มันร้องเอาแล้ว อยู่กันไม่เป็นสุขแล้ว ท่านอาจารย์บอกว่าไปดู ไปดูมันอยู่ไหนทำไมมันร้องอยู่ ต้องไปดู ไปดู ทำไมมันร้อง บอกว่ามันหาแม่ครับ แม่ไปนอนข้างบนต้นไม้ ลูกมันขึ้นไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นไปไล่แม่มันลงมา เอาลูกขึ้นไปด้วย ไอ้แม่ไก่ก็ใจร้ายเหมือนกันนะ มันจะนอนข้างบนแล้ว ลูกมันขึ้นไม่ได้ แล้วมันก็ไม่ยอมดู มันขึ้นไปนอนของมันเฉย ๆ อย่างนั้นแหละ ลูกมันขึ้นไม่ได้ก็ร้องใหญ่ ก็เดือดร้อนถึงท่านอาจารย์ ร้องอยู่ข้างหลังตึก ท่านอาจารย์อยู่หน้าตึก แต่หูท่านได้ยิน ท่านต้องสั่งแล้ว ไปดูช่วยมัน
    ขนาดมีมูสัง (ภาษาปักษ์ใต้ = อีเห็น) กลางคืน มูสังจะมากินไก่ ไก่ก็ร้องโต๊ก ต๊าก โต๊ก ต๊าก ท่านอาจารย์ออกจากห้องเลย ดึก ๆ ออกมาเลย เคาะประตูตื่น ๆ ไปช่วยไก่หน่อย นี่ไปช่วยไก่ คิดดู ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว ท่านยังลุกมาปลูกพระให้ไปช่วยไก่ เราก็ช่วยกันใหญ่ ไล่หมาไล่มูสังกันใหญ่ มันมากลางคืน ต้องไล่กันจริง ๆ ไม่ใช่ทำเหยาะแหยะ ไม่ได้ ต้องทำให้มันเข็ด ให้มันรู้ว่าพื้นที่นี้เป็นเขตปลอดภัย ใครจะมาบุกรุกไม่ได้ ถ้าเรายังอยู่ต้องช่วยมัน นี่เป็นแบบนั้น
    ท่านดูแลไปถึงไก่ด้วย แล้วไก่ก็ปลอดภัย ก็มีแต่งูเท่านั้นแหละ ที่ว่าแย่กับมันหน่อย มันแอบมากินไก่กินไข่บ่อย ๆ ที่นั่นมีงูอยู่ประจำ เดี๋ยวนี้ก็ยังมี เป็นงูเห่า ต่างคนต่างอยู่ ตรงโคนต้นกระท้อนมีงูสามเหลี่ยมอยู่ประจำตัวหนึ่ง เราเดินมาถามว่า ท่านอาจารย์ครับมีงูทำอย่างไรดี เอ้อ ! ต่างคนต่างอยู่ มันก็อยู่รู เราก็อยู่ตรงนี้อย่าไปเหยียบมันก็แล้วกัน แหมก็คิดดู อยู่ตรงนั้นทำให้ต้องเพิ่มสติขึ้น เราจะเดินเรื่อยเปื่อยอย่างนี้ไม่ได้ มันอยู่ของมัน ถึงเวลามันก็ออกมา ข้างหลังก็มีโพรงตรงที่ท่านสรงน้ำเป็นประจำ ตรงตุ่มน้ำก็มีโพรงงูเข้าไป งูที่ยาวขนาดวาหนึ่งก็มีเป็นงูเห่า งูเห่ามันมีหลายประเภท ก็อยู่กันอย่างนั้น มันคอยแอบกินไก่บ้างอะไรบ้าง ก็ปล่อยไป ขี้เกียจไปทะเลาะกับงู แต่ท่านคอยระวัง ท่านบอกระวังนะ อย่าเปิดประตูห้องทิ้งไว้ เพราะว่าเดี๋ยวงูมันเข้าไปไล่ไม่ออก ต้องคอยระวัง ท่านอยู่มาตลอด ๒๐ ปี ไม่เคยถูกงูกัดเลย ทั้งที่อยู่กับงูนั่นแหละ เดี๋ยวนี้รูสงสัยจะปิดไว้แล้ว แต่ก่อนก็อยู่ตรงนั้นตลอดท่านก็อยู่มาได้

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=2 width=70 align=left><TBODY><TR><TD bgColor=#fff8f0 width=70 align=middle>[SIZE=+5][/SIZE]</TD><TD width=10 align=middle> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ารพักผ่อนของท่าน ก่อนท่านจะอาพาธปี ๒๕๓๔ ท่านพักผ่อนเฉพาะช่วงเย็นหรือช่วงบ่ายนิดหน่อย ตอนเที่ยงท่านไม่พัก เพราะคนมันเยอะ คนมันมา จะพอได้พักก็ตอนบ่าย ๒ โมง ตอนนี้คนไม่มีแล้วก็พักนอนเก้าอี้เอนอยู่หน้าห้องพักประมาณชั่วโมง ๒ ชั่งโมง แต่ก็ไม่ค่อยได้พักเท่าไร แขกมาก็จะเข้าไปกวน เข้าไปจู่โจมตอนท่านนอน บางทีก็กั้นเชือกไว้แล้วว่า อย่าผ่านทางนี้ ก็อุตส่าห์มุดเชือกไป บางคนไม่ได้มุดเชือก ใช้วิธีอ้อมเสา บอกเออ ! เขากั้นไว้แค่นี้นี่นา ตรงนี้ไม่ได้กั้น บางคนไปอ้อมข้างหลังไปโดดลงมา ตรงนี้แหละ ที่ทำให้เห็นว่าท่านมีสมาธิ คือท่านนอนจริง แต่ลองไปนอนดู ถ้าเรานอนปุ๊บแล้วเราลืมตามาเจอคนที่เราไม่รู้จักจะเป็นอย่างไร ลองดู ท่านลองหลับสมาธิ หลับตาเลยแล้วเดี๋ยวเพื่อนก็ไปนั่ง พอลืมตาเห็นหน้าเพื่อน ก็ตกใจหงายตึงเลย นี่แสดงว่าที่เรานั่งอยู่ไม่มีสมาธิเลย เข้าใจไหม? ถ้ามีสมาธิก็จะไม่เป็น
    ท่านนอนหลับ เราเชื่อว่าท่านนอนหลับก็หลับด้วยสมาธิ แล้วพอมีแขกเข้าไปถึงที่ไปกราบตัก ท่านไม่มีอาการของคนง่วงนอน หรือมีอาการของคนหงุดหงิดเลย ไม่มี ท่านก็ลืมตาเฉย ๆ แล้วก็มองไป ถามว่ามีธุระอะไร ไปโรงหนังนะ ไปศึกษาธรรมะนะ เชิญ แต่เราซึ่งเป็นคนเฝ้ายามก็หงุดหงิด ไม่พอใจว่าคนนี้บุกรุก ส่วนใหญ่เรารู้สึกว่าถูกบุกรุก จะไม่พอใจ แต่เมื่อท่านอาจารย์เฉย ๆ ได้ เราก็พลอยเฉยไปบ้าง แต่เราก็ถูกตำหนิว่าปล่อยให้คนเข้ามาได้อย่างไร แต่ว่าจะไปไล่เขาก็โดนดุอีก ไปไล่เขาได้อย่างไร ไล่เขาก็ไม่ได้ ปล่อยเข้ามาก็ไม่ได้ ทีนี้ทำอย่างไร ก็ต้องรู้จักพูด พูดให้เขาไม่ต้องเข้าไปพบโดยเขาไม่โกรธ เขาบอกอยากจะกราบเหลือเกิน ๑๐ ปีไม่ได้มา พูดอย่างไรให้เขาพอใจ โดยไม่ต้องเข้าไปกราบ ก็พยายามทำกัน แต่ตอนนี้คงไม่มีปัญหาแล้ว หมดกรณีนี้ไป ท่านไม่ตกใจ แขกเข้ามาถึงที่ก็ไม่เป็นไร
    [​IMG]
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=2 width=70 align=left><TBODY><TR><TD bgColor=#fff8f0 width=70 align=middle>[SIZE=+5][/SIZE]</TD><TD width=10 align=middle> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    มาธิที่ยิ่งกว่านั้นที่เราเห็นของท่าน ถามจริง ๆ ท่านเคยเห็นไหม? ใครที่บอกให้เราเขียน อาตมาเจอบ่อยท่านจะบอกให้เราพิมพ์ เราจะเอาพิมพ์ดีดมาแล้วก็เอากระดาษใส่ แล้วก็จะเขียนจดหมายตามที่ท่านต้องการ ท่านบอกอ้าวบรรทัดแรก กลางหน้า วันที่ เดือน ปี เราก็พิมพ์ พอเสร็จ สองแก๊ก ธรรมะ พรและเมตตา แด่คุณ สองแก๊ก ห้าเคาะ ก๊อก ๆ ๆ ๆ อ้าว ! ก็พิมพ์ข้อความท่านต่อไป เช่นว่า หนังสือที่ส่งมานั้นได้รับแล้ว แก๊ก ๆ ท่านบอกอย่างนี้ด้วย ขอบคุณแล้วก็แก๊ก ๆ ท่านบอกหมดเลย บอกทุกอย่างเลย หนึ่งแก๊ก สองแก๊ก อ้าวตบแคร่ แก๊กหนึ่งแล้วไปอีกแก๊กหนึ่ง อ้าวตรงนี้มหภาค ตรงนี้จุลภาค ตรงนี้สมภาคท่านบอกหมดพิมพ์เสร็จเลย แล้วไม่ได้บอกทวนนะ ท่านบอกปุ๊บเราก็อ่านดัง ๆ แล้วเราพิมพ์ไปด้วย เสร็จทั้งฉบับ ไม่ต้องแก้ไข แล้วก็อ่านให้ท่านฟังอีกรอบหนึ่ง อ้าวใช้ได้ ใส่ซอง ไม่ใช่ทำ ครั้งเดียว หลายครั้ง จนถึงว่าไม่น่าเชื่อเลย เท่าที่สังเกตดู คนที่เขาเป็นเลขา เขาก็ไม่ให้เจ้านายมาบอก มีแต่ทำให้เจ้านายดูแล้วเจ้านายตรวจดู ถ้าท่านยังอยู่ ท่านจะเป็นผู้บอก เราเป็นมือให้ท่าน แต่สมองออกมาจากท่าน ทำอย่างนี้ตลอด ส่วนมากเราจะพิมพ์ผิด พอเราพิมพ์ผิดปุ๊บ หรือว่าเราทวนคำสั่ง เอาเลยเสียขบวนเลย ให้อ่านใหม่ ต้องอ่านตั้งแต่บรรทัดแรก คราวหลังเลยไม่เอาเลย ขี้เกียจพิมพ์ พิมพ์ไปตามคำบอกก่อน แล้วค่อยไปถามท่านทีหลัง หรือว่าพิมพ์ไปห้าบรรทัดแล้ว ท่านก็บอกประโยคนี้มา เราก็ถามเอ๊ะอาจารย์ครับ ปริศนามันใช่ "ษ" หรือเปล่า สมมุติเราถามอย่างนี้นะ ท่านจะลืมหมดเลย อ้าว ! คุณไปอ่านมาใหม่ตั้งแต่บรรทัดแรก แล้วก็พิมพ์ต่อ เนื่องจากสมาธิมันไหลเรื่อยตลอด ก็มองเห็นว่าท่านมีสมาธิดีมาก
    อีกอันหนึ่งที่มองเห็นการมีสมาธิในการหลับคือท่านจะนั่งอยู่ที่ม้าหิน บางทีไม่มีแขกท่านก็นั่งแล้วก็หลับ เอียงซ้าย เอียงขวา พระหลายองค์ก็ไปมองดู เอ๊ะอาจารย์เราจะกลิ้งหรือเปล่า ปรากฏว่าไม่เคย ท่านก็เอียง ๆ ไป แล้วก็อุ๊บขึ้นมา แล้วก็นั่งต่อ แล้วก็เอียง แล้วก็อุ๊บขึ้นมาอีก นี่ดูซิเห็นไหม? ไม่เคยกลิ้ง แสดงว่าท่านมีสมาธิอยู่ ท่านทั้งหลายลองนั่งดู บางคนสัปหงกลงไปเลย

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=2 width=70 align=left><TBODY><TR><TD bgColor=#fff8f0 width=70 align=middle>[SIZE=+5]ที่[/SIZE]</TD><TD width=10 align=middle> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    สำคัญก็คือท่านใช้อานาปานสติในการรักษาตัวเสมอมาเลย มีครั้งหนึ่ง ท่านเจ้าคุณอาจารย์บรรยายกับชาวต่างประเทศในโรงมหรสพทางวิญญาณ แล้วอาตมาก็อยู่ข้างนอกที่หินโค้ง ก็พูดกับเด็ก ๆ อยู่ เด็กโรงเรียนต่าง ๆ เขามาก็นั่งคุยกันอยู่ เผอิญท่านอาจารย์เดินออกมาองค์เดียว สมัยนั้นไม่ต้องมีคนตาม ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ ระยะหลังไปไหนต้องมีคนตามเรื่อย
    พอท่านเดินมาถึงตรงหินโค้งที่เราพอมองเห็นได้ เห็นท่านอาจารย์ยืนหยุดเฉย ๆ เราคิดว่า เอท่านอาจารย์ทำอะไร คิดว่าท่านฟังเรา เราก็บรรยายต่อ ยังไม่ทันจบท่านอาจารย์ก็เดินต่อ พอเราพูดกับเด็กจบก็ไปถาม ไปหาท่านอาจารย์ ไปถามท่านว่า ตอนท่านอาจารย์เดินมาที่หินโค้ง ท่านอาจารย์หยุดทำไมครับ ท่านบอกว่า "ผมเป็นลม" อ้อ ! เป็นลมแล้วยืนเฉยอย่างนั้นหรือ ? "พอผมเป็นลม ผมก็ยืนเฉย ๆ กลัวมันจะล้ม" ตั้งแต่นั้นมาพอบอกทุกคนก็เริ่มเป็นห่วงท่านอาจารย์ แล้วตกลงว่าถ้าท่านอาจารย์ออกเดิน ควรจะมีใครเดินตามไปด้วย เพราะเดี๋ยวท่านเป็นลม ท่านเป็นลมยังไม่ยอมล้มเลยคิดดูซิ เพราะอะไร เพราะอานาปานสติ ท่านก็เคยบอกเลยว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้น กำหนดลมหายใจก่อน กำหนดรู้ลมหายใจว่าเป็นอย่างไร ติดตามลม สติมันจะได้ไม่วูบวาบหนีไปที่ไหน ช่วยได้ตลอดเวลา
    การเจ็บไข้ทุกครั้ง จะเป็นใหญ่โตแค่ไหนก็แล้วแต่ ถ้าท่านยังมีสติสัมปชัญญะสามารถรู้สึกตัวได้ แล้วโรคนั้น ๆ ก็จะหายภายใน ๓-๑๐ วัน ท่านเคยป่วยหนักเป็นเบาหวาน น้ำตาลขึ้นสูงถึง ๔๕๐ ถ้าใครเคยรู้ก็จะรู้ว่ามันช็อก ต้องตาย หมอตกใจมาก มาพร้อมกับอินซูลินเตรียมฉีด มาถึงท่านบอกอยู่เฉย ๆ หมอไม่กล้าฉีด หมอเล็กอยู่ชุมพรยังไม่กล้าฉีด มาพูดกับอาตมาเอง นี่ถ้าเป็นคนอื่นผมฉีดแล้ว แต่ท่านอาจารย์นี่ผมไม่กล้าครับ ท่านบอกให้หยุดต้องหยุด หมอหยุดไม่กล้าฉีด ท่านบอกว่าอยู่เฉย ๆ เดี๋ยวมันหายเอง ภายใน ๗ วัน หายลงมาเกลี้ยงเลย ท่านบอกว่าท่านกินผักบุ้ง ใครเป็นอย่างนี้ก็ลองกินผักบุ้งดู กินผักบุ้งแล้วหาย หลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วยของท่าน โรคอื่นท่านก็ใช้แต่ว่ามาโรคครั้งสุดท้ายนี้ ที่ใช้ไม่ได้ หรือว่าใช้ไปแล้ว แล้วก็ไม่มีโอกาสได้ใช้อีก

    เอาล่ะ ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ มันเกินชั่วโมง ก็คิดว่าท่านทั้งหลายคงจะพอมองท่านอาจารย์บ้างว่า ท่านได้ใช้ชีวิตอย่างไร เท่าที่อาตมาเล่าให้ฟัง แล้วก็คิดว่ามันเป็นเรื่องยาก เรื่องความถูกต้อง ๆ นี้มันเป็นเรื่องเฉพาะตน เมื่อมีความถูกต้องแล้วก็ทำออกไป แต่ว่าคนจะมองเห็นว่าเป็นความถูกต้องหรือเปล่า นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีมากมายอีกหลายเรื่อง เห็นว่าพอสมควรแก่เวลาแล้ว
    ขอท่านทั้งหลายจงได้ปฏิบัติอานาปานสติ แล้วก็พยายามมองความถูกต้อง ถูกต้องเฉพาะตน ถ้ามันถูกต้องจริงแล้วมันก็ไม่มีปัญหา ขอท่านทั้งหลายจงประสบความสำเร็จในการฝึกอานาปานสติ และนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน แก้ปัญหาทุกเรื่องทุกราวได้จงทุก ๆ คนเทอญ


    ** จากเว็ปไซค์ พุทธทาสศึกษา.. ขอบคุณ สำหรับบทความที่จะเป็นวิทยาทานสืบไปในเบื้อหน้าคะ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

     
  2. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    เกิดเป็นคนพุทธ ได้เกิดเกิดอยู่ในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะสายใด ป่าหรือบ้านก็ถือเป็นมงคลอย่างนิ่งแล้ว เป็นสิ่งที่ควรบูชา น่ายินดี และอนุโมทนาแล้ว ฉะนั้นจะทางใดสายใดขอให้คำสอนอยู่ในธรรม สอนคนให้เป็นคนดี จะยึดติดหรือไม่ยึดติดก็ขอให้เป็นคำสอนที่ดี สิ่งที่ดีเป็นศีลเดียวกันเป็นพรหมวิหารเดียวกันก็พอแล้วมิใช่หรือ ธรรมะมีหลายขั้น บุญมีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับบารมีเราและบุพกรรมว่าจะได้เดินไปทางไหน กรรมคนเรามีไม่เท่ากัน ระดับการเดินทางไม่เท่ากัน เกิดเป็นชาวพุทธก็ควนรยินดีและอนุโมทนา สำหรับการยึดติด อย่างน้อยการยึดติดสิ่งที่เป็นมงคลก็ยังดีกว่าสิ่งที่เป็นอัพมงคล สำหรับคนบางคนที่ยังไม่ถึงทางนิพพานยังต้องใช้ชีวิต มีหน้าที่ ทำให้ไปไม่ได้ บางครั้งการเกิดอยู่ในโลก ก็ต้องมีสิ่งให้ใจได้ยึดเหนี่ยวบ้าง บางคนใช้ชีวิตเหนื่อยกับการทำงานเผลอเรอสติไปบ้างเอาอารมณ์มานำ มีพระที่คอก็ยังทำให้ระลึกได้ จิตใจก็อยู่ใกล้พระ สำหรับคนที่แก่กล้าแล้วละได้ก็ยินดีและอนุโมทนา ธรรมะคนเราสะสมมาไม่เท่ากันทางบุญทางธรรมคนเราไม่เท่ากัน ทุกคนต้องถึงนิพพานในซักวัน ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะเกิดอีกกี่องค์ท่านก็จะผลัดกันมาเกิดจนกว่าจะขนทุกชีวิตไปหมด ฉะนั้น การเดินทางของคนเราไม่เท่ากัน แต่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาถือว่าถูกทางแล้วฉะนั้นควรยินดีและอนุโมทนาชาวพุทธด้วยกัน มีอะไรก็ควรช่วยเหลือเพื่อนร่วมทางยินดีกับเพื่อนร่วมทางสำหรับผู้ที่ไม่รู้ทางคนที่รู้ก็ควรแนะนำทางให้ อะไรที่เป็นบุญเห็นคนทำเราก็ควรยินดีในบุญนั้น คนที่ยึดติดสิ่งที่ดีผมว่าน่านับถือกว่าไปยึดติดสิ่งไม่ดีนะครับ สาธุอนุโมทนาในบุญและความคิดของทุกท่านครับ
     
  3. yokine

    yokine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2007
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +602
    อ่านแล้วก็รู้สึกแปลกๆนะครับ ผมเชื่อว่าการบริจาคทานนั้นเป็นการกระเทาะเปลือกแห่งความตระหนี่อย่างเหนียวแน่น และเห็นแก่ตัวของตน การระลึกได้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นของของเราแม้แต่ตัวตนเรานี้ หากเมื่อเรามี เราควรที่จะ บริจาค ให้แก่ผู้อื่นที่ต้องการ

    ธรรม คือการปลดเปลื้อง และไม่ยึดถือตัวตน ว่าเป็น ตัวกูของกู ทำบุญเค้าว่าทำต้องหวังผล ไอที่ไม่หวังผลนั้น เป็นไปได้ยากก็จริง แต่หากผลที่หวังนั้นเพื่อให้ได้มีทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทองโกหรู บนสวรรค์ จะได้ไม่อายใครเช่นนี้ ผมเองก็มองไม่เห็นเลยว่า มันจะกำจัดกิเลศของเราให้หมดสิ้นจนไปสู่ พระนิพพาน ได้อย่างไร ผมเคยฟังครั้งหนึ่ง ที่ถ่ายทอดทางเคเบิ้ล ชาวนายากจน ไม่ม่แม้ข้าวจะกิน ฝ่ายสามีก็เอาข้าวไปขาย เพื่อซื้อพระพุทธรูป ราคาเป็นหมื่น เพื่อบูชา หวังว่าจะได้ขึ้นสวรรค์

    แต่ในอดีตกาล ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น มีหญิงอยู่นางหนึ่ง ถวายเพียงผลไม้เน่า ให้กับพระองค์หนึ่งซึ่งพึ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ผลคือหญิงนางนั้นไม่นานก็มีอันต้องเป็นไปอย่างรวดเร็ว แล้วไปอุบัติ ในชั้นสวรรค์ทันที เพราะได้กระทำกุศลอันสูง กับพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

    ดังนั้น การทำบุญ ควรทำดว้ยจิตอันเป็นกุศล เป็นกุศโลบายให้เราคลายความเป็นตัวกูของกูออกไปเสียบ้าง และควรทำให้ถูกที่ ถูกกาล ถูกบุคคล เมื่อประกอบด้วยเจตนาบริสุทธิ์ด้วยแล้ว ผมเชื่อว่า แม้เพียงข้าวเหนียวหนึ่งห่อ ก็พาขึ้นสวรรค์ พร้อมแพรพรรณงดงามยิ่งกว่านี้ ร้อยเท่าพันทวีได้ไม่ยากครับ

    การทำดีหากทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผมก็อยากที่จะอนุโมทนาด้วย แต่ก็กลัวว่า ความดีของบางคน จะกระทำเพื่อให้เห็นว่าตนเป็นคนดีเสียเท่านั้น

    ขออภัย หากความเห็นนั้นไม่ตรงกับใครนะครับ
     
  4. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    พระอนุบัญญัติ [อวดอุตริมนุสธรรม]

    ๔. อนึ่ง ภิกษุใด ไม่รู้เฉพาะ กล่าวอวดอุตริมนุสธรรม

    อันเป็นความรู้ ความเห็น อย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้ามา

    ในตนว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น

    อันผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอาตามก็ตาม เป็นอันต้อง

    อาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่าน ข้าพเจ้า

    ไม่รู้อย่างนั้น ได้กล่าวว่ารู้ ไม่เห็นอย่างนั้น ได้กล่าวว่าเห็น ได้พูด

    พล่อย ๆ เป็นเท็จเปล่า ๆ เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ แม้ภิกษุนี้

    กีเป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.

    บทว่า อุตริมนุสธรรม ได้แก่ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ

    ญาณทัสสนะ มรรคภาวนา การทำให้แจ้งซึ่งผล การละกิเลส

    ความเปิดจิต ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่า.

    บทว่า กล่าวอวด คือ บอกแก่สตรี บุรุษ คฤหัสถ์หรือบรรพชิต.

    คำว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนั้น ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ ความว่า ข้าพเจ้า

    รู้ธรรมเหล่านี้ ข้าพเจ้าเห็นธรรมเหล่านั้น อนึ่ง ข้าพเจ้ามีธรรมเหล่านี้

    และข้าพเจ้าเห็นชัดในธรรมเหล่านี้.

    บทว่า ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น คือ เมื่อขณะคราวครู่หนึ่งที่

    ภิกษุกล่าวอวดนั้นผ่านไปแล้ว.

    บทว่า อันผู้ใดผู้หนึ่งถือเอาตาม คือ มีบุคคลเชื่อในสิ่งที่ภิกษุ

    ปฏิญาณแล้ว โดยถามว่า ท่านบรรลุอะไร ได้บรรลุด้วยวิธีไร เมื่อไร
    ที่ไหน ท่านละกิเลสเหล่าไหนได้ ท่านได้ธรรมหมวดไหน.

    บทว่า ไม่ถือเอาตาม คือ ไม่มีใคร ๆ พูดถึง.


    ที่มา : พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 458
     
  5. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    อวดอุตริมนุษยธรรมที่ไม่มีอยู่ในตนหรือของผู้อื่น เช่น โออวดว่าตนหรือผู้อื่น ว่ามีฤทธิ์ หรือได้ฌานสมาบัติ หรือบรรลุมรรคผลนิพพาน ทั้งที่รู้ว่าไม่เป็นจริง อาจจะเป็นกรณีอย่างนี้ก็ได้คือในระยะแรกอาจจะเข้าใจผิด ด้วยมีความรู้ไม่ถึงการ ก็ยังถือว่าไม่ผิดศีลปาราชิกแต่ผิดศีลสังฆาทิเสส เมื่อมีผู้รู้ในพระไตรปิฏกอย่างถ่องแท้แจกแจงให้ทราบถึงความเป็นจริง พระผู้นั้นกลับใจได้ถือว่าไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ต้องปลงอาบัติด้วยการอยู่กรรม คือการถูกกะบริเวณเพื่อให้สำรวม กาย วาจา ใจ ตามเวลาที่คณะสงฆ์กำหนด แต่ถ้าพระผู้นั้นไม่ยอมรับฟังทั้งที่รู้อยู่ว่าอาจจะผิด ด้วยติดอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ หรือมีความพอใจในการอวดอุตริมนุษย์ธรรม ถือว่าผิดศีลปาราชิกในทันที่ ท่านที่ผิดศีลปาราชิกเหล่านี้แม้จะทำวิปัสสนากรรมฐานจนตายก็ไม่มีทางถึงชึ่งมรรคผลนิพพาน ยกเว้นท่านเหล่านี้ยอมสละเพศจากการเป็นพระภิกษุหรือสามเณรมาเป็นฆารวาส เมื่อยังปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานต่ออยู่ ก็มีโอกาสถึงซึ่งมรรคผลนิพพาน อาจจะมีผู้สงสัยว่าทำไม่? พระท่านที่ผิดศีลปาราชิกแล้วไม่สามารถถึงมรรคผลนิพพานได้ เป็นเพราะเมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสอะไรไว้ ก็ทรงตรัสในสิ่งที่เป็นจริงตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่พระองค์ทรงบัญญัติสิ่งนั้นต้องเป็นจริงตามฐานะ และเนื่องจากภิกษุและสามเณรทั้งหลายในพระพุทธศาสนา ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยฐานะของพระองค์ ดั้งนั้นสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสไว้จะต้องเป็นจริงตามนั้น

    ที่มา : 302
     
  6. porntips

    porntips เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,410
    ผมมีความเห็นว่า เรียบ ง่าย ประหยัด ทำให้ชีวิตเป็นสุขครับ ทั้งคนทำบุญและคนรับบุญ ยึดคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
     
  7. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    การอนุโมทนายินดีในลัทธิบิดเบือนคำสอน เป็นบาป เป็นการสั่งสมสันดานให้ชอบใจในลัทธินอกพระพุทธศาสนา เป็นเหตุให้หาทางออกจากสังสารวัฏไม่เจอ .. แม้การสนับสนุนลัทธิบิดเบือนคำสอนด้วยการสรรเสริญ ด้วยการให้อนุญาตให้โฆษณาเผยแพร่แนวทางผิดๆก็เป็นบาปกรรมที่ทำให้ธารณชนได้รับคำสอนผิดๆ..

    เมื่อทำเหตุผิด ผลถูกจะมีมาได้อย่างไร ..

    บุคคลที่เรียกตนว่านับถือศาสนา พึงศึกษาคำสอนที่ถูกตรงของพระพุทธเจ้าให้มาก ย่อมได้ปัญญาทราบชัดว่าแนวทางใดบิดเบือนหรือผิดปรกติ จะไม่หลงงมงายหรือชื่นชมในสิ่งผิด จนล่วงกายกรรมวจีกรรมออกมา..

    อาศัยอลัชชีบิดเบือนคำสอน ย่อมกระทำย่ำยีคำสอนที่ถูกต้อง.. ไม่สงสารลูกหลานบ้างเลยว่าต่อไปจะไม่มีโอกาสได้เสพส้องพระธรรมแท้ เพราะมีแต่ของปลอมปน... น่าอนาถ น่าสงสารจริงๆ..
     
  8. ติดบ่วง

    ติดบ่วง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2012
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +771
    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำอย่างไรก็ย่อมได้รับผลกรรมเช่นนั้น ธรรมะ แนวปฏิบัติของพระพุทธเจ้า ใครเจตนา บิดเบือน ก็คงรู้ที่ไป.....(ถึงวันนั้นพระเทวทัตและสมุนอาจจะได้เพื่อนมาเพิ่ม....)
     
  9. พระยงยุทธ วิสุทฺโธ

    พระยงยุทธ วิสุทฺโธ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +68
    ขออนุโมทนาบุญด้วยทุกคนนะ ข้อน่าคิดคือเจ้าชายสิทธถะสละราชสมบัติออกบวชเป็นผู้ไม่มีเรือนไม่มีอะไรแสวงหาโมขธรรมจนบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า และลูกศิษย์ที่เป็นพระภิกษุและเป็นพระอรหันต์ก็เช่นเดียวกันท่านทำเหมือนกัน แต่มาในยุคหลังยิ่งบวชยิ่งรวย ก่อนบวชไม่มีอะไร ต่างกันมาก (เฉพาะบางท่าน) ไม่ได้ว่าใครนะครับแต่ว่าแค่สงสัย ว่าท่านที่ทำอย่างนี้ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า
     
  10. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงผลบุญมากกว่านี้อีก วิมานสูงเป้นโยชน์ๆ ไม่ยิ่งกว่าอีกหรือ จะต่อต้านธรรมกายก็ไม่ควรต่อต้านพระไตรปิฎก
     
  11. Soul Power

    Soul Power เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +452
    ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้
    ขอกราบพุทธทาส พระอริยสงฆ์ที่ชี้ธรรมแห่งพระพุทธเจ้า
    พุทธศาสนาสอนทุกอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
    สอนให้ปฏิบัติ สอนให้ละกิเลสและความโลภ
    ทำบุญเพื่อให้จิตคุ้นกับการละกิเลสและการทำทาน
    มุ่งสู่ทางสงบและพระนิพพาน
    ลองศึกษาคำสอนของหลวงพ่อพุทธทาส
    หลวงปู่ดู่ วัดสะแก และหลวงพ่อจรัญ สิงห์บุรี
    แล้วจะเห็นว่าบุญสูงสุด มิได้เกิดจากอามิสบูชา
    แต่เกิดจากการปฏิบัติบูชาเป็นสำคัญค่ะ
     
  12. remixsong

    remixsong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +177
    ...ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น จงใช้ปัญญาพิจารณา ด้วยตัวเองเถิด...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2012
  13. zenit

    zenit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +1,014
    ในธรรมชาติ3โลกทุกคน...ล้วนมีหน้าที่และบทบาทของตน....ขออนุโมทนากับความตั้งใจดีของทุกๆดวงจิต
     

แชร์หน้านี้

Loading...