ผลของการแยก กาย ใจ จิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย oatthidet, 23 สิงหาคม 2012.

  1. bankbankbank

    bankbankbank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +885
    อ้อ หมดเวลา นั่งร้าน เน็ต..ตังหมด หรอ เด็กน้อย..
    เออ ไปเหอะ ไปๆ นั่งฝันๆ อะไรๆ แล้วมาโพสใหม่ ละกัน..หุหุหุ
     
  2. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมไม่แสดงด้วยการยึดติดเช่นที่คุณกล่าวมาหลอกครับ และ ผมไม่ได้มีแนวความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่

    ผมไม่เคยเรียกร้องให้คุณเข้ามาคุยกับผมเลยนะครับ คุณเข้ามาคุยเอง

    ผมมุ่งหวังแค่ประโยชน์ที่จะเกิดแก่ผู้ที่มองเห็นประโยชน์ หาไม่แล้วผมไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคุยเพื่อเอาชนะ

    สาธุครับ
     
  3. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมบอกไปแล้วว่า ผมต้องไปซื้อน้ำให้แม่ของผม และ ผมนั่งเล่นอยู่กับบ้านครับ

    ผมไม่เข้าร้านเน็ตครับ เพราะไม่เป็นส่วนตัว ผมไม่ต้องนั่งฝันครับ เพราะปกตินอนก็ไม่ฝันครับ

    นานๆจะมีสักครั้งที่ฝัน ส่วนมากแล้วไม่ค่อยฝันครับ

    สาธุครับ
     
  4. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมไม่มีเรื่องที่จะคุญกับคุณ bankbankbank แล้วครับ หากคุยเพื่อเอาชนะมันน่าเบื่อครับ

    เพราะไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดเลย มีแต่จะทำให้พระพุทธศาสนาต้องเปื้อน และ ด่างพร้อย

    นำประโยชน์มาสู่ชนหมู่มากจะดีกว่า หากสิ่งที่ผมกล่าวไปนั้น ผู้ที่ไม่เชื่อก็ข้ามไปเถอะครับ

    ไม่ต้องห่วงผมหลอกครับ ว่าจะตกนรก หรือ จะเป็นไปตามแรงแห่งกรรมในทางใด ผมมีความมุ่งมั่นที่ดีพอครับ

    ผมนับถือพระพุทธศานสนาครับ ศัทธาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยใจจริง มุ่งตรงเข้าหาหนทางที่หลุดพ้น

    ไม่มีสิ่งใดให้อาลัยอาวรณ์ในโลกใบนี้ครับ เพราะผมมองเห็นแต่ความเป็นทุกข์ตั้งแต่เกิดจนตาย

    สาธุครับ
     
  5. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    เส้นทางที่เลือกแล้วควรก้าวเดินด้วยความมุ่งมั่น อย่างมั่นใจในหนทางนั้นๆ เดินหน้าเต็มกำลัง

    อย่าได้หยุดท้อ หรือ สนใจในดอกไม้ริมทาง ที่คอยเชิญชวนผู้ปฎิบัติ เพราะการหลุดพ้นนั้นไม่มีอะไรเหลืออีก

    สาธุครับ
     
  6. jintanakarn

    jintanakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +236
    ต้องขอบพระคุณเป็นอย่างมากครับ แม้จะยังไม่แจ้งแทงตลอดซักเท่าไหร่ นั่นเป็นเพราะผมอาจจะยังมีปัญญาน้อยอยู่ที่ไม่ถึงในจุดนี้ แต่ก็เข้าใจได้มากทีเดียว ขอบพระคุณอีกครั้ง เป็นการเน้นย้ำในความเมตตาของท่าน ขออนุโมทนา
     
  7. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    หากคำตอบของผม ก่อให้เกิดประโยชน์แม้เพียงน้อยนิด ก็ยินดีอย่างยิ่งครับ

    สาธุครับ
     
  8. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ตามธรรมชาติแล้ว กาย กับ จิต แยกออกจากกันไม่ได้นะขอรับ เพราะ กายก็คือจิต ,จิตก็คือกาย เพราะถ้าแยกจิตออกจากกาย ก็หมายถึง ตายสถานเดียวขอรับ
    ในทางพุทธศาสนา จิตกับใจ คือ สิ่งสิ่งเดียวกัน ถ้าคุณเข้าใจแบบ หลักชีวะวิทยา ว่า จิต กับ ใจ คนละอย่างกัน ก็ยิ่งผิดเข้าไปอีก เพราะ ถ้าจิตเป็นเซลล์ ,ใจก็ต้องมีจิตหลายๆดวงรวมกันอยู่
    ดังนั้น ในทางพุทธศาสนา จิตกับใจ ก็คือ ตัวเดียวกัน

    การปรุงแต่ง ของ จิต ถ้าเป็นไปตามหลักความจริงแล้ว การปรุงแต่งเกิดจากสมองและใจ(จิต)ทำงานร่วมกัน(ความจริงแล้วอวัยวะทุกส่วนมีส่วนร่วมด้วยกันขอรับ) จึงจะสามารถปรุงแต่งในด้านต่างๆได้
    ถ้าหากต้องการปล่อยวาง ซึ่งในทางที่เป็นความจริงแล้ว ก็คือ อุเบกขา อย่างหนึ่ง ความมีสมาธิ คือความมีจิตตั้งมั่น จิตสงบ อย่างหนึ่ง แลต้องมีความหนักแน่น ไม่ไหลตามสิ่งที่ได้สัมผัส จึงจะเรียกว่า การปล่อยวาง

    เพราะสิ่งที่ได้สัมผัส หรือเกิดจากการปรุงแต่ง ไม่ได้เป้นสิ่งของ ที่จะมาถือเอาไว้ได้ แต่สิ่งต่างๆเหล่านั้น เป็นคลื่น เป็นลม ที่สามารถพัดเข้าออกร่างกายได้ ดังนั้นจึงต้อง อาศัย สมาธิ และ อุเบกขา เป็นเครื่องมือ ในการปล่อยวาง นั่นก็คือ ไม่คิด ถ้าคิด ก็วางเฉยในอารมณ์ที่เกิด อย่างนี้เป็นต้น
    จะรู้อะไร ต้องรู้ด้วยเหตุด้วยผล รู้ให้เป็นไปตามหลักความจริง ถ้ารุ้ผิด หลงผิด ก็จะรู้ผิดหลงผิดตามๆกันไป

    ไม่เชื่อ ก็ไม่เป็นไร ขอรับ ไม่ว่ากัน แต่อย่าก่อกวน ถ้าก่อกวน
    ข้าพเจ้าขออนุญาต ผู้ดูแลทั้งหลายเอาว่า ข้าพเจ้าจะด่าละนะ ฮ่า..ฮ่า..ฮ๋า....
     
  9. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผู้ที่เข้ามาก่อกวน เป็นคุณ หรือ เป็นผมครับ คำก็จะด่า สองคำก็จะด่า จิตใจใฝ่ในทางต่ำหรือครับ

    หากจิตใจใฝ่ในทางสูง ควรทำตนเองให้สูงตามด้วยครับ ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัวครับ

    คุณไม่เชื่อก็เชิญข้างหน้าครับ ดพราะคุณไม่มีความจำเป็นที่จะเข้ามาก่อกวนครับ

    สาธุครับ
     
  10. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    เฮ้อ...ก็ต่ำทรามจนได้ซินะ ทำไมไม่อ่านให้ดีนะขอรับ
     
  11. jintanakarn

    jintanakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +236
    อืม...ได้อ่านหลายๆข้อความได้เห็นอะไรมากมาย การปรุ่งแต่งของจิต ของแต่ล่ะท่านล้วนเป็นครูให้เราได้ศึกษาดีจริงๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องกลับมาดูจิตของตัวเองอยู่ดี เพราะผลที่กำลังแสดงอยู่ในปัจจุบัน ล้วนมาจากเหตุที่ได้กระทำทางกาย วาจา ใจ ในอดีตทั้งสิ้น การยอมแพ้เป็นหนทางของผู้ที่ต้องการความสงบ ไม่ไช่ยอมแพ้อย่างผู้ที่โง่เขลา แต่เป็นการยอมแพ้อย่างผู้มีปัญญา ขอขอบพระคุณเจ้าของทุกข้อความ ทั้งคำถามและคำตอบ ขออนุโมทนา
     
  12. wechza

    wechza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +246
    ในตำรา
    กับการปฎิบัติจิงๆนั้นมันต่างกันอยู่
    จะเน้นให้เหมือนในตำราเลยทีเดียวคงจะไม่ได้
    แต่ถ้าไม่ทำตามวิธีและขั้นตอนในตำราก็คงจะไม่เป็นผล
    อย่าเก่งแต่จำมาพูดมาพิมพ์
    อย่าเก่งว่าตนรู้เพียงแค่นั่งหลับตา
    อย่าปารถนาถ้าไม่ปฏบัติ
    อย่าขัดถ้าไม่รู้จิง
    อย่าอิงถ้าไม่เข้าใจในเนื้อหา
    ถ้าเก่งตำราควรจะสอนพระปริยัติ
    ถ้าเก่งภาวนาควรสอนสมาธิ
    แสดงความเห็นเฉยๆนะครับพอดีอ่านแล้วอยากโพสบ้าง
     
  13. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,947
    พี่ oatthidet อย่าทำให้ ตถาคตโพธิสัทธา ผิดเพี้ยน ด้วย จิต ของ พี่สิครับ

    ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มั่นใจในองค์พระตถาคต ว่าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงพระคุณทั้ง 9 ประการ ตรัสธรรม บัญญัติวินัยไว้ด้วยดี ทรงเป็นผู้นำทางที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ คือเราทุกคนนี้ หากฝึกตนด้วยดีก็สามารถเข้าถึงภูมิธรรมสูงสุด บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ดังที่พระองค์ทรงบำเพ็ญไว้

    ไม่ยอมรับ หลัก พระตถาคต นิละ เวลา ขึ้น สูง ที่ สุด มันหนาว ไหม สูง ไหม เวลาจะเดิน ลง จาก ที่สูงสุด ทำได้ไหม เดิน แบบไหน อย่างไร
    ถ้า คนที่เข้าใจ พระตถาคต จะเดินขึ้น แล้วเดิน ลง สบาย ไม่เจ็บตัว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2012
  14. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คุณครับ มีครั้งไหนที่ผมกล่าวว่าไม่ศัทธาในพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างครับ

    การปฎิบัติธรรมภาวนานั่งกรรมฐาน มีรูปแบบมากมาย คุณลองอ่าน และ ทบทวน

    ดูซิว่าผมบอกกล่าวไว้อย่างไร หากยังสงสัยอยู่ก็ปฎิบัติให้เห็นด้วยตนเองก่อนว่าผมได้กล่าวผิดอย่างไร

    พระตถาคตเจ้า เป็นผู้ที่มีปัญญาที่ล้ำเลิส และ ยังทรงมีเมตตาที่ยิ่งใหญ่ ที่ทรงประกาศพระธรรมอันเกรียงไกร

    ผมเองนั้นบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงค์ เพียงแต่ผมบอกกล่าวไว้ว่า พระไตรปิฎกนั้น

    ได้มีผู้หยิบยื่นคำสอนสอดแทรกเพื่อหวังทำลายพระศาสนา และ กลมกลืนจนไม่สามารถแยกออกได้

    เพราะหากแยกออกได้คงไม่ต้องศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกแล้ว พระพุทธศาสนาสั่งสอนให้หลุดพ้น

    คุณลองมองดูนะครับ ว่าหากชาติหน้าไม่ต้องกลับมาเกิด หรือ ไม่มีการเกิดอีกแล้ว

    คุณจะเอาบุญไปทำอะไรครับ บาปจะตามไปสนองที่ไหนครับ ที่ผมกล่าวอยู่นี้หาใช่ว่า

    ไม่เชื่อเรื่องการเกิด ผมเห็นมาแล้วหลายครั้ง และ เคยบอกกล่าวในเว็บนี้ไปแล้วครับ

    คุณลองเข้าไปนิ่งอยู่ใน จิต สิครับ แล้วจะเห็นความทรงจำทั้งหลาย ทั้งในอดีตชาติ และ ปัจจุบันชาติ

    สาธุครับ
     
  15. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    การปฎิบัติธรรมภาวนานั่งกรรมฐานนั้น ต้องฝึกฝนด้วยตนเองจึงจะรู้จริงในหนทางที่ปฎิบัติ

    ผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนด้วยตนเอง เชื่อเพียงสิ่งที่รับรู้มา ยึดมั่นในสิ่งที่รับรู้มา โดยไม่ทดลองปฎิบัติ

    ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจได้อย่างรู้แจ้ง ย่อมมีความสงสัยอยู่เป็นนิตย์ และ หาที่สิ้นสุดไม่พบ

    ผมไม่เคยบอกเลยว่า พระไตรปิฎก ไม่ดีอย่างนั้น อย่างนี้ ผมเพียงแต่บอกว่ามีผู้ที่มีปัญญาดี

    ได้หยิบยื่นคำสอนสอดแทรกเข้ามาเพื่อทำลายพระพุทธศาสนา ฉนั้นเรียนพระไตรปิฎกแล้ว

    รับรู้แล้ว แต่ไม่ควรยึดติดในความรู้ทั้งหมดที่ได้ศึกษามา และ ศาสนาพุทธสั่งสอนให้มีเหตุ-ผล

    เหตุ-ผลที่จะนำพาชีวิตนั้นก้าวเดินไปในเส้นทางของชีวิต ด้วยกระแสแห่งกาลเวลาซึ่งเป้นสิ่งที่

    มนุษย์ติดอยู่ ก้าวออกไปได้ยาก พระพุทธองค์ทรงเมตตาสั่งสอนหนทางหลุดพ้นไว้แล้วด้วยดี

    เพียงปฎิบัติตามพระพุทธองค์ พระตถาคตเจ้า ปฎิบัติให้ จิต หยุดนิ่งก็จะพบเห็น ใจ ด้วยตนเอง

    หากปฎิบัติด้วยการแยก กาย ใจ จิต ได้ทุกอณุวินาที ย่อมไม่มีสิ่งใดให้ยึดเกาะ จิต จะหลุดพ้น

    จากการพัฒนาการทั้งหลายที่เป็นดั่งโซ่ลามเอาไว้ แม้แต่การปฎิบัติธรรมภาวนานั่งกรรมฐาน

    ในรูปแบบอื่นๆนั้น ก็สั่งสอนให้หลุดพ้นทั้งสิ้น หาได้สั่งสอนให้ยึดถือจนไม่สามารถหลุดพ้นไม่

    ลองถามตนเองดูเถิด ว่าปฎิบัติเพื่อสิ่งใด เพื่อหลุดพ้น หรือ เพื่อมุ่งหวังในบุญ ในฤทธิ์

    สาธุครับ
     
  16. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ชวนสนทนาอย่ากล่าวหาว่าลองภูมิหรือชวนทะเลาะอีกล่ะ
    ไหนๆ คุณก็มุ่งมั่นรู้จริงเห็นจริงด้วยความรู้จริง ว่าเห็นมาหลายครั้ง (ผมเชื่อ)
    ถามแล้วกันเพื่อคลายสงสัยต่อเพื่อนสมาชิกทุกท่าน ที่ท่านได้บรรลุจริง
    ๑. ท่านปฏิบัติกรรมฐาน ในแนวสมถะหรือวิปัสสนา
    ๒. ในการปฏิบัติท่านใช้อะไรมาเป็นอารมณ์ในการปฏิบัติ
    ๓. การปฏิบัติไม่ยึดตำราไม่ยึดพระไตรปิฎกไม่ยึดหลักคำสอน แล้วท่านเอาอะไรนำมาเป็นหลักอะไรมาปฏิบัติ
    ๔. ที่ว่ารู้เห็นมาหลายครั้งนั้นเห็นอะไร อะไรเป็นผู้เห็น ช่วยอธิบายด้วยครับ
    ๕. พระพุทธองค์มีสอนตรงไหนว่า จิตกับใจ เป็นละส่วนกัน อย่าไปยัดเยียดอย่าไปเพิ่มคำสอนตัวเองว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า (นี่แหละทำลายคำสอนเสียเอง)
    ๖. ที่ว่าพระใบลานเปล่าที่กล่าวมานั้น รู้ไหมว่าท่านกำลังปรามาสพระอรหันต์

    สนทนาตามกาลกับ จขกท. ที่เป็นผู้เผยแพร่ธรรมเป็นพระธรรมถีก
     
  17. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ๑.ผมอธิบายไปแล้วนะครับในส่วนนี้ การแยก กาย ออกจาก จิต เป็นสมถะ การแยก ใจ ออกจาก จิต เป็นวิปัสสนา

    ๒.การเฝ้าดู จิต เป็นอารมณ์ครับ

    ๓.การปฎิบัติธรรมนั่งกรรมฐาน นี่ใช่คำสอนไหมครับ พระอาจารย์ส่วนมากก็นั่งกรรมฐาน

    ๔.ผมเคบบอกกล่าวไปแล้วว่าได้ระลึกชาติมาเพียง ๕ ชาติ และ ได้เห็นอนาคตจึงได้เตือนผู้ที่ประสบณ์เหตุ แต่ก็ไม่สามารถห้ามปราบได้ด้วยคนเหล่านั้นไม่เชื่อ จนกระทั้งเรื่องได้เกิดขึ้นหลายครั้งจึงได้เชื่อถือ แต่ผมก็ไม่สนใจอีกเพราะเห็นผลเสียที่ได้เข้าไปรู้เห็น

    ๕.หากคุณอยากรู้ ก็เฝ้าดู จิต อยู่เรื่อยๆสิครับ เมื่อ จิต นิ่งแล้วจะเห็นอย่างชัดเจนครับ

    ๖.การยกตัวอย่างมีอยู่เสมอ เพื่อตักเตือนผู้ที่จะก้าวเดินไปในเส้นทางที่ไม่ควร แม้แต่ในการกล่าวสั่งสอนก็ยังมีให้เห็น ในเว็บนี้ผมก็เห็นคนที่นำเรื่องพระใบลานเปล่ามานำเสนอ ที่มีในพระไตรปิฎกที่ว่าพระองค์นั้นรู้ธรรมของพระพุทธเจ้าถึง ๗ พระองค์ แต่กว่าจะบรรลุต้องไปเป็นศิษย์ของเณร

    ยังไม่วายที่จะดูถูก ผู้ที่มีเหตุ-ผลจริง ย่อมไม่ดูถูกผู้อื่น ถึก หรือ ไม่ถึก ไว้คุณเข้าใจเองก่อนค่อยมาต่าว่าก็ยังไม่สาย ไม่ต้องรีบร้อนต่อว่าหลอกครับ การพูดในลักษณะที่ยั่วให้โมโหผมก็ทำเป็นครับ แต่ที่ไม่ทำนั้นเพราะมีแต่ทำให้จิตใจขุ่นมัวครับ ผมกล่าวเตือนให้รู้ตัว

    สาธุครับ
     
  18. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คุณ ลุงหมาน แทนที่จะสงสัย ทำไมไม่สังเกตุตนเองล่ะครับ ว่าที่ทำอยู่นั้นขาดอะไรไป

    ชีวิตประจำวันนี้ มีอะไรให้เฝ้าดู เฝ้ามองมากมาย ไม่เว้นแม้แต่ จิตใจ ที่กระตือลือล้น

    พบเจอสิ่งยั่วยุมากมาย ก่อให้เกิดความอยาก จนทนอยู่ไม่ไหวต้องแสดงอาการดั่งที่เคยเป็น

    คำถามครับ อะไรก่อให้เกิดในสิ่งเหล่านี้ และ อะไรก่อให้เกิดความเคยชิน อะไรก่อให้เกิดการอยากรู้ อยากเห็น

    สาธุครับ
     
  19. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    การปรามาสนั้น คือ การกล่าวตู่ผู้ที่มีธรรมสูงกว่าตนเอง ด้วยจิตใจที่ริษยา จึงเป็นเหตุให้เกิดผลกรรม

    ที่จะไม่สามารถบรรลุพระธรรมได้ นี่คือที่มาของผลแห่งกรรม ผมนำมาอธิบายไว้ให้พิจารณากันครับ

    สาธุครับ
     
  20. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ๑. แท้จริงแล้วเห็นชัดเลยว่า สมถะ และวิปัสสนาไม่รู้จัก นี่แหละตัวทำให้ศาสนาเสียหาย ไม่รู้ยังตะแบงจะสอนให้ได้ว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า รู้ไหมว่าตัวเองแบกมานะทิฏฐิไว้อย่างเหนียวแน่น ใครบอกสอนตรูไม่สนคิดว่าตัวเองบรรลุธรรมชั้นสูงแล้ว
    ๒. มั่วเอาจิตมาเป็นอารมณ์ แสดงว่าไม่รู้จักจิตไม่รู้ว่าอารมณ์ มั่วไปหมดลองเปิดกูเกิลดูบ้างก็ได้หูตาจะได้มีโอกาสสว่างกับเขาบ้าง
    ๓. ตอบไม่ตรงคำถาม เลี่ยงตอบ
    ๔. โกหกเพื่ออะไรว่าระลึกชาติได้ ๕ ชาติ และอนาคตได้เพื่อให้คนเชื่ออย่างนั้นหรือ จะคุ้มไหมแล้วตัวเองลงนรก
    ๕. เห็นอะไรบอกหน่อยมันคลุมเคลือ เอาฝาชีมาเป็นฝาชาม
    ๖. ยกย่องให้เป็นพระธรรมถึกยังจะมาหาว่าด่าอีก นี่แหละน๊าพวกจิตทราม
     

แชร์หน้านี้

Loading...