เรื่องพระเกษม อาจิณณสีโล

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย Tan emotion, 24 มิถุนายน 2012.

  1. manoflove

    manoflove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +146
    แสดงว่า เิกิดเป็นหญิงชาติก่อนทำกรรมหนัก
     
  2. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682
    คุณเป็นคนดี มีคุณธรรมคนหนึ่งครับ

    [​IMG]ฟังธงคราบ
     
  3. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +1,088
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=pk5fkl56BSE"]Movie หลวงพี่เท้าไว001 YouTube - YouTube[/ame]
    ลองฟังให้ดีๆตั้งแต่ที่นาทีที่1.55 เป็นต้นไปจะได้ยินท่านพูดว่าต้องการอะไร ถ้าไม่ทราบจะมาเฉลยทีหลัง
    [​IMG] เพื่อนใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2012
  4. รักษ์11

    รักษ์11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +516
    อาจารย์เกษฒท่านเป้นคนดี คนดีที่เสียแล้ว
     
  5. มหาวัฎร

    มหาวัฎร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +150
    สิ่งที่พระเกษมพลาดและที่ท่านๆผู้เจริญทั้งหลายพลาด อ้างเอาเจตนาไว้ก่อนเป็นดี สาธุฯ เผื่อจะรอด







    <CENTER>ทศพลญาณ ๑๐ ประการ</CENTER>ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนา ต่อไปอีกว่า อานนฺท ดูกรอานนท์ ความทุกข์ในนรกและ ความสุขในสวรรค์และพระนิพพานนั้นใครจะช่วยใครไม่ได้ เมื่อใครชอบอย่างใดก็ทำอย่างนั้น แม้เราตถาคตก็ช่วยใคร ให้พ้นทุกข์ และช่วยใครให้ได้สวรรค์และพระนิพพานไม่ได้ ได้แต่เพียงสั่งสอนชี้แจงให้รู้สุขรู้ทุกข์ ให้รู้สวรรค์ ให้รู้ พระนิพพานด้วยวาจาเท่านั้น อันกองทุกข์ โทษ บาป กรรมทั้งปวงนั้น ก็คือตัวกิเลสตัณหา ครั้นดับกิเลสตัณหา ได้แล้ว ก็ไม่ต้องลงนรก ถ้าดับกิเลสตัณหาได้มากก็ขึ้นไป เสวยสุขในสวรรค์ ถ้าดับกิเลสตัณหาได้สิ้นเชิงหาเศษมิได้แล้ว ก็ได้เสวยสุขในพระนิพพานทีเดียว เราตถาคตบอกให้รู้แต่ ทางไปเท่านั้น ถ้าผู้รู้ทางแห่งความสุข แล้วประพฤติปฏิบัติ ตามก็ได้ประสบสุขสมประสงค์ อย่าว่าแต่เราตถาคตเลย แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ล่วงไปแล้วนับไม่ถ้วนก็ดี และ จะมาตรัสรุ้ในกาลเป็นภายหลังก็ดี จะมาช่วยพาเอา สัตว์ทั้งหลายไปให้พ้นจากทุกข์ แล้วให้ได้เสวยสุขเช่นนั้น ไม่มี มีแต่มาแนะนำสั่งสอนให้รู้สุขรู้ทุกข์ รู้สวรรค์ และ พระนิพพานอย่างเดียวกันกับเราตถาคตนี้(ช่วยบิดาขึ้นสวรรค์) พระพุทธเจ้า ทั้งหลายก็ทรงไว้ซึ่งทศพลญาณ มีอาการเหมือนอย่างเรา ตถาคตนี้ทุกๆ องค์ บุคคลจำพวกใดเข้าใจว่าพระพุทธเจ้า ต่างกันด้วยศีล ด้วยฌาณ ด้วยญาณ ด้วยอิทธิ บุคคล จำพวกนั้นเป็นคนหลง ผู้ที่ได้นามว่าพระพุทธเจ้านั้น ต้องมี ทศพลญาณสำหรับขับขี่เข้าสู่พระนิพพานด้วยกันทุกองค์ จะได้เป็นพระพุทธเจ้าแต่เราพระองค์เดียวนั้นหามิได้ ผู้ใด มีทศพลญาณ ผู้นั้นได้ชื่อว่าพระพุทธเจ้าด้วยกันทุกองค์ ไม่ควรจะมีความสงสัย ญาณ ๑๐ ประการนั้นเป็นเครื่องหมาย ของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีญาณ ๑๐ ประการแล้ว จะรู้ดีมีอิทธิ ดำดินบินบนได้อย่างไรๆ ก็ตาม ก็ไม่เรียกว่าพระพุทธเจ้า ถ้ามีญาณ ๑๐ ประการแล้ว จะไม่มีอิทธาศักดานุภาพ อย่างไรก็ตาม ก็ให้เรียกท่านผู้นั้นว่าพระพุทธเจ้า เพราะ ทศพลญาณ ๑๐ ประการเป็นเครื่องหมายของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีเครื่องหมายอย่างนี้ ผู้ใดมีฤทธิ์มีเดชขึ้น ก็จะตั้งตัว เป็นพระพุทธเจ้าเต็มบ้านเต็มเมือง ก็จะเป็นทางแห่งความ เสียหายวุ่นวายโลกเท่านั้น ดูกรอานนท์ ทศพลญาณ ๑๐ ประการนั้น เป็นของสำคัญตั้งอยู่สำหรับโลก ไม่มีผู้ใดตั้งแต่ง ขึ้น เป็นแต่เราตถาคตเป็นผู้รู้ผู้เห็นก่อนแล้วยกออกตีแผ่ ให้โลกเห็น พระพุทธเจ้าทั้งหลายบำเพ็ญญาณ ๑๐ ประการ ได้แล้ว ก็ขับขี่เข้าสู่พระนิพพาน เมื่อถึงพระนิพพานแล้ว ก็ปล่อยวางญาณนั้นไว้แก่โลกตามเดิม หาได้เอาตัวตน เอาจิตใจเข้าสู่พระนิพพานด้วยไม่ เอาจิตใจไปได้เพียงนรก และสวรรค์ และพรหมโลกเท่านั้น ส่วนพระนิพพานนั้น ถ้าดับจิตใจไม่ได้แล้วก็ไปไม่ได้ ถ้าเข้าใจว่าจักเอาจิตไป เป็นสุขในพระนิพพานแล้ว ต้องหลงขึ้นไปเป็นอรูปพรหม เป็นแน่ ดูกรอานนท์ การตกนรกและขึ้นสวรรค์ จะเอาตัว ไปไม่ได้ เอาแต่จิตไป จิตนั้นใครจะจับต้องลูบคลำไม่ได้ เป็นแต่ลมเท่านั้น เพราะจิตเป็นของละเอียด ใครจะจับถือ ไม่ได้ เมื่อจิตไปตกนรก ใครจะไปช่วยยกขึ้นได้ ถ้าจิตนั้น เป็นตนเป็นตัวก็พอช่วยกันได้ บุคคลจำพวกใด คอยท่าให้ ผู้อื่นมาช่วยยกตัวให้พ้นจากทุกข์ นำตัวไปให้ได้เสวยสุข บุคคลจำพวกนั้นเป็นคนโง่เขลาหาปัญญามิได้ เราตถาคต รู้นรกสวรรค์ทุกข์สุขอยู่แล้ว และหาอุบายที่จะพ้นจากทุกข์ ให้เสวยสุข ก็เป็นการแสนยากแสนลำบาก จะไปพาจิตใจ ของท่านผู้อื่นให้พ้นจากทุกข์ได้อย่างไร ถึงแม้พระพุทธเจ้า องค์จะตรัสรู้ในเบื้องหน้าก็เหมือนกัน มีแต่แนะนำสั่งสอน ให้รู้สุขทุกข์สวรรค์และพระนิพพานเท่านั้น ผู้ที่จะต้องการ สุขทุกข์อย่างใดนั้น แล้วแต่อัธยาศัย แต่ว่าต้องศึกษาให้ รู้แท้แน่นอนแก่ใจเสียก่อนว่าทุกข์ในนรกเป็นอย่างนั้น สุข ในสวรรค์เป็นอย่างนั้น สุขในพระนิพพานเป็นอย่างนั้น เมื่อรู้แล้วยังจะมีทางได้ทางถึงบ้าง คงจะไม่ท่องเที่ยวอยู่ใน วัฏฏสงสารเนิ่นนานเท่าไรนัก ถ้ายังไม่รู้แจ้งแต่เมื่อยังมี ชีวิตอยู่ก็ไม่อาจจะพ้นได้เลย และได้ชื่อว่าเป็นผู้เกิดมา เสียชาติเป็นมนุษย์เสียความปรารถนาเดิม ซึ่งหมายว่าจะ เป็นผู้เกิดมาเพื่อความสุข ครั้นเกิดมาแล้วก็พลอยไม่ให้ตน ได้รับความสุข ซ้ำยังตนให้จมอยู่ในนรก ทำให้เสียสัตย์ ความปรารถนาแห่งตน น่าสังเวชสลดใจยิ่งนัก ข้าแต่ พระมหากัสสปะผู้มีอายุ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้แล.
    อิโต ปรํ คิริมานนฺทสุตฺตํ อนุสนฺธึ ฆเฏตฺวา ภาสิสฺสามีติ เบื้องหน้าแต่นี้ จะแสดงคิริมานนทสูตรสืบ ต่อไป มีคำพระอานนท์ปฏิญญาว่าดังนี้ ภนฺเตอริยกสฺสป ข้าแต่พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ภควา อันว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า เทเสสิ ก็ตรัสเทศนา แก่ข้าอานนท์สืบต่อไปว่า อานนฺท ดูกรอานนท์ อันว่า ความทุกข์และความสุขนั้น ก็มีอยู่แต่นรกและสวรรค์เท่านั้น ส่วนพระนิพพานมีอยู่นอกสวรรค์และนรกต่างหาก บัดนี้ จะแสดงทุกข์และสุขในนรก และสวรรค์ให้แจ้งก่อน จิตใจ ของเรานี้เมื่อมีทุกข์หรือมีสุขแล้วใครจะสามารถมาช่วย ยกออกจากจิตของเราได้ อย่าว่าแต่ตัวเราเลย แม้ท่าน ผู้อื่นเราก็ไม่สามารถจะช่วยยกออกได้ มีอาการเหมือนกัน ทุกรูปทุกนามทุกตัวตนสัตว์บุคคล อนึ่ง เมื่อท่านมีทุกข์แล้ว จะนำทุกข์ของท่านมา ให้เราก็ไม่ได้ เรามีทุกข์แล้วจะนำทุกข์ไปให้ท่านผู้อื่นก็ ไม่ได้ แม้ความสุขก็มีอาการเช่นกัน สุขและทุกข์ไม่มีใคร จะช่วยกันได้ สิ่งที่จะช่วยให้พ้นจากทุกข์ได้มีแต่อำนาจแห่ง กุศลผลบุญ มีการให้ทานและรักษาศีลเป็นต้นเท่านั้นที่จะ เป็นผู้ช่วยให้พ้นจากทุกข์ได้ มนุษย์และเทวดาอินทร์พรหม และใครๆ จะมาช่วยให้พ้นทุกข์ และให้ได้เสวยสุขนั้น ไม่ได้ ที่สุดแม้เราตถาคตผู้ทรงไว้ซึ่งทศพลญาณเห็นปานนี้ ก็ไม่อาจช่วยใครได้ ได้แต่เป็นผู้ช่วยแนะนำตักเตือนให้รู้สุข ทุกข์และสวรรค์และนรกเท่านั้น ตัวต้องยกตัวเอง ถ้ารู้ว่า นรกและสวรรค์อยู่ที่ตัว แล้วยกตัวให้ขึ้นสวรรค์ไม่ได้ ก็ชื่อว่า เกิดมาเสียชาติ และเสียเวลาที่จะเกิดมาพบพระพุทธศาสนาน่าเสียดายชาติที่ได้เกิดเป็นรูปร่างกาย มีอวัยวะ พรักพร้อมบริบูรณ์ทุกอย่าง ทั้งได้พบพระพุทธศาสนา ด้วย สมควรจะได้สวรรค์และพระนิพพานโดยแท้ เหตุไฉนจึงเหยียบย่ำตัวเองให้จมอยู่ในนรกเช่นนั้น น่าสังเวชนัก ดูกรอานนท์ สุขทุกข์นั้นให้หมายเอาที่จิต จิตสุขเป็นสวรรค์ จิตทุกข์เป็นนรก จะเข้าใจว่านรกและ สวรรค์ มีอยู่นอกจิตนอกใจเช่นนั้น ได้ชื่อว่าเป็นคนหลง นรกและสวรรค์ บาปบุญคุณโทษ ย่อมมีอยู่ในอกในใจทั้งสิ้น อยากพ้นทุกข์ก็ให้รักษาจิตใจจากสิ่งที่เป็นบาปเป็นทุกข์เสีย ถ้าต้องการสวรรค์ ก็ทำการงานที่หาโทษมิได้ เพราะการบุญ การกุศลนั้น เมื่อทำก็ไม่เดือดร้อน และเมื่อทำแล้วระลึกถึง ก็ให้เกิดความสุขสำราญบานใจทุกเมื่อ เช่นนี้ชื่อว่าเราได้ ขึ้นสวรรค์ และถ้าอยากได้สุขในพระนิพพาน ก็ให้วางเสีย ซึ่งสุขและทุกข์ คือวางจิตอย่าถือว่าเป็นของของตน ก็ชื่อว่า ได้ถึงพระนิพพาน เพราะว่าใจเป็นใหญ่เป็นประธาน สุขทุกข์ ทั้งสวรรค์และพระนิพพานสำเร็จแล้วด้วยใจ คือว่ามีอยู่ที่ จิตที่ใจของเราทั้งสิ้น บุคคลจำพวกใด ไม่รู้ว่าของเหล่านี้ มีในตนแล้วไปเที่ยวค้นคว้าหาในที่อื่น บุคคลจำพวกนั้น ชื่อว่าเป็นคนหลงคนเมา เป็นผู้หนาอยู่ด้วยกิเลสตัณหา มืดมนอยู่ด้วยมลทินแห่งนรก ดูกรอานนท์ สัตว์ที่ตกอยู่ ในนรกมากมายนับมิได้แน่นอัดยัดเยียดกันอยู่ในนรก ดัง ข้าวสารหรือเมล็ดถั่วเมล็ดงาในกระสอบ แต่ก็ไม่เห็นกันได้ ด้วยเขาไม่รู้ไม่เห็นซึ่งนรก ไม่รู้สุขทุกข์บาปบุญคุณโทษ ไม่รู้ว่าจิตของตนเป็นทุกข์เป็นสุข มีแต่มัวเมาอยู่ด้วยกิเลส กามราคะตัณหา จึงชื่อว่าตกอยู่ในนรก ยัดเยียดกันดัง ข้าวสารหรือเมล็ดถั่วเมล็ดงาในกระสอบ ร้องเรียกหากัน ไม่เห็นกัน คือไม่เห็นทุกข์เห็นสุขแห่งกันและกันเท่านั้นเอง ดูกรอานนท์ จิตใจนั้นใครไม่แลเห็นของกันและกันได้ ผู้ที่ แลเห็นจิตใจของผู้อื่นได้นั้น มีแต่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ เท่านั้น พระพุทธเจ้าที่จะรู้เห็นจิตใจของผู้อื่นได้ ก็ด้วยญาณ แห่งพระอรหันต์ ถ้าละกิเลสตัวร้ายมิได้ คุณความเป็นแห่ง พระอรหันต์ก็ไม่มาตั้งอยู่ในสันดาน จึงไม่อาจหยั่งรู้วาระ จิตใจของสัตว์ทั้งปวงได้ แม้เราตถาคตจะหยั่งรู้วาระจิตของ สัตว์ทั้งปวงได้ ก็เพราะปราศจากกิเลส คือความเป็นไปแห่งพระอรหันต์ บุคคลผู้ไม่พ้นกิเลส คือไม่ได้สำเร็จพระอรหันต์ และจะมาปฏิญญาว่ารู้เห็นจิตแห่งบุคคลอื่น จะควรเชื่อฟังได้ ด้วยเหตุใด ถึงแม้จะรู้ด้วยวิชาคุณอย่างอื่น มีรู้ด้วยสมาธิคุณ เป็นต้น ก็รู้ไปไม่ถึงไหน แม้จะรู้ก็รู้ผิดๆ ถูกๆ ไปอย่างนั้น จะรู้จริงแจ้งชัดดังที่รู้ด้วยอรหัตตคุณนั้นไม่ได้ ถ้าบุคคลที่ ยังไม่พ้นกิเลสมีความรู้ดียิ่งกว่าเราตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ แล้ว การที่เราตถาคตสละบุตรภรรยา ทรัพย์สมบัติ อันเป็น เครื่องเจริญแห่งความสุขออกบวชนี้ ก็ชื่อว่าเป็นผู้โง่เขลา กว่าบุคคลจำพวกนั้น เพราะเขายังจมอยู่ในกิเลส แต่ มีความรู้ดียิ่งกว่าพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ผู้ไกลจาก กิเลส ข้อที่ละกิเลสไม่ได้ คือไม่ได้สำเร็จพระอรหันต์ แล้ว จะมีปัญญารู้จิตใจแห่งสัตว์ทั้งหลายยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ หรือจะมีปัญญารู้เสมอกันนั้นไม่มีเลย ผู้ที่ยังละกิเลสไม่ได้ คือยังไม่ได้สำเร็จพระอรหันต์มากล่าวว่า ตนรู้เห็นจิตใจของสัตว์ทั้งหลายนั้น กล่าวอวดเปล่าๆ ความรู้เพียงนั้นยังพ้นนรกไม่ได้ ไม่ควรจะเชื่อถือ ถ้าใคร เชื่อถือก็ชื่อว่าเป็นนอกพระศาสนา ไม่ใช่ลูกศิษย์ของเรา ตถาคต แท้ที่จริง หากเอาศาสนธรรมอันวิเศษของเรานี้ บังหน้าไว้สำหรับหลอกลวงโลกเท่านั้น บุคคลจำพวกนี้แม้ จะทำบุญกุศลเท่าไรก็ไม่พ้นนรก แม้ผู้ที่มาเชื่อถือบุคคล จำพวกนี้ก็มีทุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้าเหมือนกัน ดูกร อานนท์ บุคคลจำพวกที่อวดรู้อวดดีอย่างนี้แหละ จะเป็นผู้ เบียดเบียนศาสนาของเราให้เศร้าหมองเสื่อมทรามลงไป เมื่อเขาเกิดมาแล้วก็จะมาเบียดเบียนพระมหาเถระและ สามเณรน้อยด้วยถ้อยคำอันไม่เจริญใจ ผู้มีปัญญาน้อยใจเบา ก็จะพากันแตกตื่นสึกหาลาเพศออกจากศาสนา พระศาสนา ของเราก็จะเสื่อมถอยลงไป ดูกรอานนท์ บุคคลจำพวกใด หากเบียดเบียนเสียดสีหมิ่นประมาทใจพระสังฆเถระ และ ภิกษุสามเณรที่เป็นศิษย์ของพระตถาคต โดยที่ท่านทั้งหลาย เหล่านั้นมีโทษไม่ถึงปาราชิก และบังคับให้สึกออกจาก เพศพรหมจรรย์ หรือกระทำปัพพาชนียกรรมไปเสียก็ดี บุคคลจำพวกนั้นเป็นบาปยิ่งนักอาจไม่พ้นนรกได้ บุคคล จำพวกใดมีความเชื่อความเลื่อมใสในคุณธรรมคำสั่งสอน ของเราตถาคต แล้วเชิดชูยกย่องไว้ให้ดี มิได้ดูถูกดูหมิ่น บุคคลจำพวกนั้นก็จะมีความเจริญด้วยความสุขทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า แม้ปรารถนาสุขอันใดซึ่งไม่เหลือวิสัย ก็อาจ สำเร็จสุขอันนั้นได้ตามปรารถนา บุคคลที่ทำลายพระพุทธรูป พระสถูปพระเจดีย์ และตัดไม้ศรีมหาโพธิ์ และบุคคลจำพวก ที่กล่าวหมิ่นประมาทเย้ยหยันแก่สานุศิษย์ของเราตถาคต ที่มีโทษไม่ถึงปาราชิก บุคคลจำพวกนี้มีโทษหนักยิ่งกว่า จำพวกที่ทำลายพระพุทธรูป และพระสถูปพระเจดีย์นั้น หลายเท่า บุคคลที่ทำลายพระพุทธรูปเป็นต้นนั้นเป็นบาป มากก็จริงอยู่ แต่ยังไม่นับว่าเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ผู้ที่กล่าวหมิ่นประมาทนั้น ได้ชื่อว่าทำลายศาสนาของ เราตถาคต เพราะว่าผู้ที่มีความผิดโทษไม่ถึงปาราชิกนั้น ยังนับว่าเป็นลูกศิษย์ของเราตถาคตอยู่ ต่อเมื่อเป็นปาราชิก แล้วจึงขาดจากความเป็นลูกศิษย์ของเรา ถ้าเป็นโทษเช่นนั้น แม้จะลงโทษหรือกระทำปัพพาชนียกรรมก็หาโทษมิได้ และ ได้ชื่อว่าช่วยพระศาสนาของเราด้วย การทำลายพระพุทธรูป หรือพระสถูปพระเจดีย์นั้น ยังมีทางเป็นกุศลได้อยู่ ดัง พระพุทธรูปไม่ดีไม่งามแล้วทำลายเสีย แก้ไขให้งามให้ดีขึ้น แม้พระเจดีย์และไม้ศรีมหาโพธิ์ก็เช่นกัน ต้นโพธิ์ที่ตั้งอยู่ ในที่ไม่สมควร เช่นตั้งอยู่ในที่ใกล้ถาวรวัตถุ อาจทำลายวัตถุ นั้นได้ จะตัดเสียก็หาโทษมิได้ ถ้าทำลายเพื่อหาประโยชน์ แก่ตนหรือทำลายโดยความอิจฉาริษยาเช่นนั้น ย่อมเป็น บาปเป็นกรรมโดยแท้ แม้ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นการ ทำลายศาสนา พวกที่หมิ่นประมาท ทำให้สงฆ์ที่มีโทษ ยังไม่ถึงอันติมะให้ได้รับความเดือดร้อนถึงแก่เสื่อมจาก พรหมจรรย์ ได้ชื่อว่าทำลายพระพุทธศาสนาโดยแท้ ข้าแต่ พระมหากัสสปะพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้ แล้วจึงตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์สืบต่อไปอีกว่า









    <CENTER>ดับกิเลสทั้งห้า</CENTER>อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลที่ปรารถนาซึ่งสวรรค์ และพระนิพพาน ก็จงรีบพากเพียรกระทำให้ได้ให้ถึงแต่ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เพราะมีอยู่ที่ใจของเราทุกอย่าง จะเป็น การลำบากมากอยู่ก็แต่พระนิพพาน ผู้ที่ปรารถนาความสุข ในพระนิพพาน จงทำตัวให้เหมือนแผ่นดินหรือเหมือน ดังคนตายแล้ว คือให้ปล่อยความสุขและความทุกข์เสีย ข้อสำคัญก็คือให้ดับกิเลส ๑,๕๐๐ นั้นเสีย กิเลส๑,๕๐๐ นั้น เมื่อย่นลงให้สั้นแล้วก็เหลืออยู่ ๕ เท่านั้น คือ โลภะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ๑ มานะ๑ ทิฏฐิ๑ โลภะนั้น คือ ความทะเยอทะยานมุ่งหวังอยากได้กิเลสกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ๑ อยากได้วัตถุกาม คือสมบัติข้าวของ ซึ่งมีวิญญาณและหาวิญญาณมิได้๑ เหล่านี้ชื่อว่าโลภะ, โทสะนั้นได้แก่ความเคืองแค้น ประทุษร้ายเบียดเบียน ท่านผู้อื่น ชื่อว่าโทสะ,โมหะนั้นคือความหลงมีหลงรัก หลงชังหลงลาภหลงยศเป็นต้น ชื่อว่าโมหะ, มานะ, นั้นคือ ความถือตัวถือตน ดูถูกดูหมิ่นท่านผู้อื่น ชื่อว่ามานะทิฏฐินั้น คือความถือมั่นในลัทธิอันผิด เห็นเป็นอุจเฉททิฏฐิและ สัสสตทิฏฐิไป ปล่อยวางความเห็นผิดไม่ได้ชื่อว่าทิฏฐิ ถ้า ดับกิเลสทั้ง ๕ นี้ได้แล้ว ก็ชื่อว่าดับกิเลสได้สิ้นทั้ง ๑,๕๐๐ ถ้าดับกิเลสทั้ง ๕ นี้ไม่ได้ ก็ชื่อว่าดับกิเลสไม่ได้เลย ดูกร อานนท์ ปุถุชนคนหนาทั้งหลาย ที่ปรารถนาพระนิพพาน ได้ด้วยยากนั้น ก็เพราะเหตุที่ไม่รู้จักดับกิเลสตัณหา เข้าใจ เสียว่าทำบุญทำกุศลให้มากแล้ว บุญกุศลนั้นจักเลื่อนลอย มาจากอากาศเวหา นำตัวขึ้นไปสู่พระนิพพาน ส่วนว่า พระนิพพานนั้นจะอยู่แห่งหนตำบลใดก็หารู้ไม่ เป็นแต่ คาดคะเนเอาอย่างนั้น จึงได้พระนิพพานด้วยยาก แท้ที่จริง พระนิพพานนั้นไม่มีอยู่ในที่อื่นไกลเลย หากมีอยู่ที่จิตใจ นั้นเอง ครั้นดับ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ได้ขาด แล้ว ก็ถึงพระนิพพานเท่านั้น ถ้าไม่รู้และดับกิเลสตัณหา ยังไม่ได้ เป็นแต่ปรารถนาว่า ขอให้ได้พระนิพพานๆ ดังนี้ แม้สิ้นหมื่นชาติแสนชาติก็ไม่ได้พบปะเลย เพราะกิเลส ตัณหาทั้งหลาย ย่อมมีอยู่ที่ตนตัวของเราทั้งสิ้น เมื่อตัว ไม่รู้จักระงับกิเลสตัณหาที่มีอยู่ให้หมดไปก็ไม่ถึงเท่านั้น จะคอยท่าให้บุญกุศลมาช่วยระงับดับกิเลสของตัวเช่นนี้ ไม่ใช่ฐานะที่จะพึงคิด บุญกุศลนั้นก็คือตัวเรานี้เอง เราแล จะเป็นผู้ระงับดับกิเลสให้สิ้นไปหมดไปจึงจะสำเร็จได้สม ประสงค์ ดูกรอานนท์ ปุถุชนคนเขลาทั้งหลายที่ได้ถึง พระนิพพานด้วยยากนั้น เพราะเขาปรารถนาเปล่าๆ จึง ไม่ได้ไม่ถึง เขาไม่รู้ว่าพระนิพพานอยู่ที่ในใจของเขา มีแต่ คิดในใจว่าจะไปเอาในชาติหน้า หารู้ไม่ว่า นรกและสวรรค์ และพระนิพพานมีอยู่ในตน เหตุฉะนั้นจึงพากันตกทุกข์ ได้ยากลำบากยิ่งนัก พากันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสาร นี้ ถือเอากำเนิดในภพน้อยภพใหญ่อยู่ไม่มีที่สิ้นที่สุด ข้าแต่ พระมหากัสสปะ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ด้วยประการดังนี้ แล้วจึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลผู้มีปัญญาพึงคิดถึงตนแล้วปราบใจ ของตนให้พ้นจากทุกข์และความลำบาก และให้ออกจากบ่วง แห่งกิเลสมารให้ได้เถิด ถ้าไม่คิดอย่างนี้ แม้จะมีปัญญาก็มี เสียเปล่า ไม่นับเข้าในจำนวนที่มีปัญญา กิริยาที่พ้นทุกข์ และ พ้นออกจากบ่วงแห่งกิเลสมารได้ ก็คือพ้นจากกิเลสตัณหา ของเรา เมื่อพ้นจากกิเลสตัณหาได้เช่นนั้น ก็ได้ชื่อว่าพ้นจาก ความทุกข์ยากโดยสิ้นเชิง ถ้ายังไม่พ้น ก็ได้ชื่อว่ายังไม่พ้น จากความทุกข์ยาก เมื่อตนยังไม่หลุดไม่พ้น ก็ไม่ควรจะ สั่งสอนผู้อื่นเพราะตัวยังไม่พ้น จะสั่งสอนผู้อื่นให้พ้นได้ด้วย อาการอย่างไร เปรียบเหมือนบุคคลจะข้ามแม่น้ำ ถ้าตัว ของเราข้ามไปถึงฝั่งฟากโน้นแล้ว จึงร้องบอกให้ท่านผู้อื่น ข้ามมาตามตนเช่นนี้สมควรแท้ เมื่อเราร้องบอกเขาแล้ว เขาจะพอใจไปหรือหาไม่ก็แล้วแต่ใจเขาส่วนตัวของเราข้ามไป ได้สมประสงค์แล้ว ข้ออุปมานี้ฉันใด ผู้ที่จะเป็นครูเป็น อาจารย์สอนให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์ ก็ต้องทำตัวให้พ้นทุกข์ เสียก่อน จึงสมควรจะสอนคนอื่น มีอุปไมยเหมือนผู้ที่ จะพาข้ามแม่น้ำฉะนั้น บุคคลที่เปลื้องตัวให้พ้นออกจาก กองกิเลสยังไม่ได้ และจะไปเปลื้องปลดสัตว์ในป่าช้า ผี ทั้งหลายเขาจะหัวเราะเยาะเย้ยว่า อโห โอหนอ! ตัวของ ท่านก็ยังไม่พ้นทุกข์ แล้วจะมาพาเอาพวกข้าพเจ้าออกจาก ทุกข์ได้อย่างไร ตัวของท่านและพวกข้าพเจ้าก็ยังไม่พ้นนรก อยู่เหมือนกัน จะมาพาพวกข้าพเจ้าให้พ้นจากนรกได้ด้วย อาการอย่างไร ดูกรอานนท์ บุคคลจำพวกใด ที่ให้ผีในป่าช้า หัวเราะเยาะเย้ยเล่นเช่นนี้ บุคคลจำพวกนั้นถ้ามีขึ้นก็เป็นเหตุ ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บอันตรายต่างๆ หาความสุขความเจริญ มิได้ ดูกรอานนท์ คฤหัสถ์ก็ดี นักบวชก็ดี มากล่าวว่าตัวรู้ ตัวเห็นและได้พูดจากับด้วยผี ดังนี้ก็พึงให้รู้ว่าคนจำพวกนั้น ไม่ใช่ลูกศิษย์ของเราตถาคต เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอก พระศาสนา ไม่ควรเชื่อถือเอาเป็นครูเป็นอาจารย์ เพราะเขา เป็นคนเจ้าอุบายเจ้าเล่ห์เจ้ากลเท่านั้น ที่มีความรู้จริงเห็นจริง พูดจาสนทนากับผีได้ มีแต่พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ เท่านั้น นอกนั้นไม่มีใครรู้จริงเห็นจริง เป็นคนอุตริทั้งนั้น ดูกรอานนท์ เราจะทำนายไว้ให้เห็นในอนาคตกาลเบื้องหน้า จะเกิดมีพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกศาสนาอวดอ้างว่าตัวรู้ ตัวเห็นผีได้พูดจากับด้วยผี ครั้นบุคคลจำพวกนั้นเกิดขึ้นแล้ว ก็จะเบียดเบียนพระศาสนาของเราให้เสื่อมถอยลงไปด้วย วาทะถ้อยคำเสียดสีต่างๆ พระสงฆ์สามเณรก็จะเกิดระส่ำ ระสายหาความสบายมิได้ เขาจะสอนทิฏฐิวัตร์อย่างเคร่งครัด ถืออรัญญิกธุดงค์อย่างพระเทวทัตต์ ภายหลังก็จะเกิด พระบ้านพระป่ากันขึ้นแล้วก็จะแตกกันออกเป็นพวกๆ ไม่สามัคคีกัน ต่างพวกก็ถือแต่ตัวดี ศาสนาของเราก็จะ เสื่อมถอยลงไปเพราะพวกมิจฉาทิฏฐิเห็นแก่ลาภและยศ หาความสุขมิได้ มรรคผลธรรมอันวิเศษก็จะไม่เกิดขึ้นแก่เขา เขาจะเรียนเอาแต่วิชาศีลธรรมอันพวกมิจฉาทิฏฐิสอนให้ รู้อะไรกันขึ้นเล็กน้อยก็อวดดีกันไป แท้ที่จริงความรู้เหล่านั้น ล้วนแต่รู้ดีสำหรับไปสู่นรก เขาจักไม่พ้นจตุราบายได้เลย ดูกรอานนท์ ในอนาคตกาลภายหน้าจะมีอย่างนี้ไม่ต้องสงสัย ถ้าผู้ใดรู้ลัทธิทิฏฐิอย่างนี้ไว้แล้ว เมื่อได้เห็นก็จงเพียรพยายาม ละเว้นก็จะได้ประสบความสุข การที่จะระงับดับกิเลส ก็ให้ ระงับบริโภค ๒ ประการ ให้เบาบางลง บริโภค ๒ นั้น คือจีวรปัจจัย และเสนาสนะปัจจัย ๒ อย่างนี้ ชื่อว่าบริโภค ภายนอกนับเป็น๑ บิณฑบาตปัจจัย และคิลานะปัจจัย ๒ อย่างนี้ชื่อว่าบริโภคภายในนับเป็นอย่าง๑ บริโภคทั้ง๒ นี้ เป็นตัวกิเลสตัวทุกข์ตัวสุขสิ้นทั้งนั้น ถ้าบริโภคทั้ง๒ นี้ มากขึ้นเท่าใด ทุกข์ก็มากขึ้นไปตามเท่านั้น ถ้าบริโภค ๒ นี้ น้อยลง ความสุขก็มากขึ้น คือว่าบาปน้อยลงเท่าใด บุญ กุศลก็มากขึ้นเท่านั้น อันบุญกุศลก็มีอยู่ที่ตัวบุคคลทั้งสิ้น ผู้ที่ละบริโภค ๒ นั้นได้แล้ว นรกก็พ้นสวรรค์และพระนิพพาน สิ่งใดๆก็ได้ในที่นั้น ดูกรอานนท์ บุคคลที่บวชเข้าแล้ว ไม่รู้จะระงับดับกิเลสคือบริโภค ๒ ให้เบาบาง เข้าใจว่า บวชรักษาศีลถือครองวัตรเอาบุญไม่หาอุบายระงับดับ กิเลสและบริโภค ๒ จะได้บุญได้ความสุขมาแต่ที่ไหน ถ้าคิดอย่างนั้น แม้จะรักษาศีลตลอดพระปาฏิโมกข์และ ธุดงควัตร ก็หากเป็นอันรักษาเปล่ารักษาให้เหนื่อยยาก ลำบากกายเปล่าไม่อาจเป็นบุญกุศลได้ พระปาฏิโมกข์ ธุดงควัตรทั้งหลายที่ทรงบัญญัติแต่ตั้งไว้นั้น ก็เพื่อให้เป็น เครื่องระงับดับกิเลสตัณหา คือบริโภคทั้ง ๒ ถ้าระงับไม่ได้ ก็ไม่เป็นบุญเป็นกุศล ผู้ที่ทำความเข้าใจว่า พระปาฏิโมกข์ และธุดงควัตรจะช่วยยกตัวให้ขึ้นไปสวรรค์และพระนิพพาน เช่นนี้เป็นความเห็นของคนที่โง่เขลาเบาปัญญา จะไม่พ้น ทุกข์เลย บริโภคทั้ง ๒ นั้นได้ชื่อว่าปลิโพธ ๒ ที่แปลว่า ความกังวล การรักษาพระปาฏิโมกข์และธุดงควัตรก็เพื่อจะ ตัดปลิโพธความกังวลให้เบาบางลงได้เท่าใดก็เป็นบุญเป็น กุศลเป็นสวรรค์และพระนิพพานขึ้นไปเท่านั้น พระพุทธเจ้า ย่นโอวาทคำสั่งสอนลงสู่ปลิโพธ ๒ ว่าเป็นที่สุดโดยสิ้นเชิง คือว่านรกสวรรค์และพระนิพพานมีอยู่ที่ปลิโพธ ๒ ครบ บริบูรณ์ ผู้ศึกษาเล่าเรียนจะรู้มากรู้น้อยเท่าไรไม่นิยม รู้มาก หรือรู้น้อยถ้าระงับปลิโพธนั้นได้ก็เป็นดี จะอยู่วัดบ้านหรือ วัดป่าประการใดก็ตาม ถ้าระงับปลิโพธ ๒ นั้นได้ ย่อมเป็น ความดีความชอบทั้งสิ้น ถ้าระงับปลิโพธ ๒ นั้นไม่ได้ แม้ จะรู้มากมายและอยู่วัดบ้านวัดป่าประการใด ย่อมไม่ดีทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาเป็นใจความอย่างนี้ อันดับนั้น จึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า อานนฺท ดูกรอานนท์ ธรรมนี้ ชื่อว่าพระยาธรรมมิกราช เพราะเป็นใหญ่กว่าธรรมทั้งหลาย ข้อที่เราตถาคตได้ตรัสไว้แล้วในธรรมหมวดนี้ คือได้ชี้นรก สวรรค์และพระนิพพาน กิเลสตัณหาโดยจะแจ้งสิ้นเชิง เมื่อผู้ใดได้ฟังแล้วปรารถนาสุขทุกข์ประการใด ก็จงเลือก ประพฤติตามความปรารถนา เมื่อพระพุทธเจ้าตรัส ฉะนี้ แล้ว จึงซ้ำตรัสอนุญาตปัจฉิมบรรพชาไว้แก่ข้าฯ อานนท์ อานนฺท ดูกรอานนท์ แม้ในปัจฉิมกาลเมื่อหาพระสงฆ์ ครบคณะบรรพชาไม่ได้ โดยที่สุดแม้ภิกษุองค์เดียว เมื่อ กุลบุตรมีศรัทธาเลื่อมใสในคุณแห่งเราตถาคต อยากจะบวช เป็นภิกษุในสำนักแห่งภิกษุองค์เดียว ก็จงบวชเถิด โดยที่ สุดลงไปอีก แม้จะหาภิกษุสักองค์เดียวไม่ได้ กุลบุตรผู้มี ศรัทธาใคร่จะบวชสืบศาสนาแห่งเราตถาคต ก็ให้ศึกษา จตุตถปาราชิก และบริโภค ๒ นั้นให้เข้าใจ แล้วเข้าสู่เฉพาะ พระพุทธรูปหรือพระสถูปหรือพระเจดีย์ หรือแม้หาที่ควร เคารพเช่นนั้นไม่ได้ ก็ให้ระลึกถึงเราตถาคตแล้วบวชเป็น ภิกษุเถิด ให้ตั้งใจสมาทานว่า อิมํ ปพฺพชฺชํ สมาทิยามิ. ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ. อิมํ ปพฺพชฺชํ สมาทิยามิ. แล้ว ให้สมาทานจตุตถปาราชิก ว่า ปฐมํ ปาราชิกํ สมาทิยามิ ทุติยํ ตติยํ จตุตฺถํ ปาราชิกํ สมาทิยามิ. แล้วบวชเป็น ภิกษุเถิด ถ้าหากพระสงฆ์ยังมีอยู่อย่างน้อยเพียงองค์เดียว แล้วจะบวชโดยลำพังไม่ได้ ถ้าขืนบวชชื่อว่าดูถูกดูหมิ่น พระศาสนา เป็นบาปยิ่งนักอย่าทำเลย เมื่อบวชโดยวิธีนี้ ผู้ใดคัดค้านว่าไม่ควร จะเป็นบาปเป็นกรรมยิ่งนัก เราอนุญาต ไว้สำหรับคราวอันตรธานต่างหาก ข้าแต่พระมหากัสสปะ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ดังนี้ ขอพระ อริยสงฆ์ทั้งหลายจงทราบด้วยพลญาณของตน โดยนัยดัง ข้าพเจ้าอานนท์แสดงมานี้เทอญ แล้วพระองค์ก็หยุดไม่ทรง ตรัสเทศนาอีกต่อไป ข้าพเจ้ากราบถวายบังคมแล้ว ก็กลับ ไปสู่สำนักท่านคิริมานนท์ แสดงสัญญาทั้ง ๒ ประการ คือ รูปสัญญา นามสัญญา ให้พระผู้เป็นเจ้าฟังโดยพุทธบริหาร ทุกประการ ท่านคิริมานนท์กำหนดตามพระธรรมเทศนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตตผล ในขณะที่วางธุระในรูปในนาม โรคภัยของท่านที่เจ็บปวดเวทนา ก็อันตรธานหายในขณะนั้น ข้าแต่พระมหากัสสปะผู้มีอายุ พระสูตรนี้จะได้ชื่อว่าพระยา ธรรมมิกสูตร ตามรับสั่งนั้นก็จะเสียนิมิตไป เพราะอาศัย พระผู้เป็นเจ้าคิริมานนท์เป็นนิมิต
    พระสูตรนี้พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาที่วัดเชตวนาราม ปรารภ พระคิริมานนท์เกิดอาพาธให้เป็นเหตุ จึงได้ชื่อว่า คิริมานนทสูตร มีเนื้อความดังแสดงมานี้แล.<!-- google_ad_section_end -->

    พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ด้วยประการดังนี้ แล้วจึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลผู้มีปัญญาพึงคิดถึงตนแล้วปราบใจ ของตนให้พ้นจากทุกข์และความลำบาก และให้ออกจากบ่วง แห่งกิเลสมารให้ได้เถิด ถ้าไม่คิดอย่างนี้ แม้จะมีปัญญาก็มี เสียเปล่า ไม่นับเข้าในจำนวนที่มีปัญญา กิริยาที่พ้นทุกข์ และ พ้นออกจากบ่วงแห่งกิเลสมารได้ ก็คือพ้นจากกิเลสตัณหา ของเรา เมื่อพ้นจากกิเลสตัณหาได้เช่นนั้น ก็ได้ชื่อว่าพ้นจาก ความทุกข์ยากโดยสิ้นเชิง ถ้ายังไม่พ้น ก็ได้ชื่อว่ายังไม่พ้น จากความทุกข์ยาก เมื่อตนยังไม่หลุดไม่พ้น ก็ไม่ควรจะ สั่งสอนผู้อื่นเพราะตัวยังไม่พ้น จะสั่งสอนผู้อื่นให้พ้นได้ด้วย อาการอย่างไร เปรียบเหมือนบุคคลจะข้ามแม่น้ำ ถ้าตัว ของเราข้ามไปถึงฝั่งฟากโน้นแล้ว จึงร้องบอกให้ท่านผู้อื่น ข้ามมาตามตนเช่นนี้สมควรแท้ เมื่อเราร้องบอกเขาแล้ว เขาจะพอใจไปหรือหาไม่ก็แล้วแต่ใจเขาส่วนตัวของเราข้ามไป ได้สมประสงค์แล้ว ข้ออุปมานี้ฉันใด ผู้ที่จะเป็นครูเป็น อาจารย์สอนให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์ ก็ต้องทำตัวให้พ้นทุกข์ เสียก่อน จึงสมควรจะสอนคนอื่น มีอุปไมยเหมือนผู้ที่ จะพาข้ามแม่น้ำฉะนั้น บุคคลที่เปลื้องตัวให้พ้นออกจาก กองกิเลสยังไม่ได้ และจะไปเปลื้องปลดสัตว์ในป่าช้า ผี ทั้งหลายเขาจะหัวเราะเยาะเย้ยว่า อโห โอหนอ! ตัวของ ท่านก็ยังไม่พ้นทุกข์ แล้วจะมาพาเอาพวกข้าพเจ้าออกจาก ทุกข์ได้อย่างไร ตัวของท่านและพวกข้าพเจ้าก็ยังไม่พ้นนรก อยู่เหมือนกัน จะมาพาพวกข้าพเจ้าให้พ้นจากนรกได้ด้วย อาการอย่างไร ดูกรอานนท์ บุคคลจำพวกใด ที่ให้ผีในป่าช้า หัวเราะเยาะเย้ยเล่นเช่นนี้ บุคคลจำพวกนั้นถ้ามีขึ้นก็เป็นเหตุ ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บอันตรายต่างๆ หาความสุขความเจริญ มิได้ ดูกรอานนท์ คฤหัสถ์ก็ดี นักบวชก็ดี มากล่าวว่าตัวรู้ ตัวเห็นและได้พูดจากับด้วยผี ดังนี้ก็พึงให้รู้ว่าคนจำพวกนั้น ไม่ใช่ลูกศิษย์ของเราตถาคต เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอก พระศาสนา ไม่ควรเชื่อถือเอาเป็นครูเป็นอาจารย์ เพราะเขา เป็นคนเจ้าอุบายเจ้าเล่ห์เจ้ากลเท่านั้น ที่มีความรู้จริงเห็นจริง พูดจาสนทนากับผีได้ มีแต่พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ เท่านั้น นอกนั้นไม่มีใครรู้จริงเห็นจริง เป็นคนอุตริทั้งนั้น ดูกรอานนท์ เราจะทำนายไว้ให้เห็นในอนาคตกาลเบื้องหน้า จะเกิดมีพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกศาสนาอวดอ้างว่าตัวรู้ ตัวเห็นผีได้พูดจากับด้วยผี ครั้นบุคคลจำพวกนั้นเกิดขึ้นแล้ว ก็จะเบียดเบียนพระศาสนาของเราให้เสื่อมถอยลงไปด้วย วาทะถ้อยคำเสียดสีต่างๆ พระสงฆ์สามเณรก็จะเกิดระส่ำ ระสายหาความสบายมิได้ เขาจะสอนทิฏฐิวัตร์อย่างเคร่งครัด ถืออรัญญิกธุดงค์อย่างพระเทวทัตต์ ภายหลังก็จะเกิด พระบ้านพระป่ากันขึ้นแล้วก็จะแตกกันออกเป็นพวกๆ ไม่สามัคคีกัน ต่างพวกก็ถือแต่ตัวดี ศาสนาของเราก็จะ เสื่อมถอยลงไปเพราะพวกมิจฉาทิฏฐิเห็นแก่ลาภและยศ หาความสุขมิได้ มรรคผลธรรมอันวิเศษก็จะไม่เกิดขึ้นแก่เขา เขาจะเรียนเอาแต่วิชาศีลธรรมอันพวกมิจฉาทิฏฐิสอนให้ รู้อะไรกันขึ้นเล็กน้อยก็อวดดีกันไป แท้ที่จริงความรู้เหล่านั้น ล้วนแต่รู้ดีสำหรับไปสู่นรก เขาจักไม่พ้นจตุราบายได้เลย ดูกรอานนท์ ในอนาคตกาลภายหน้าจะมีอย่างนี้ไม่ต้องสงสัย ถ้าผู้ใดรู้ลัทธิทิฏฐิอย่างนี้ไว้แล้ว เมื่อได้เห็นก็จงเพียรพยายาม ละเว้นก็จะได้ประสบความสุข<!-- google_ad_section_end -->


    ส่วนหากมีความเห็นอื่นที่ปฎิเสธความเห็นนี้ ก็เข้าข่าย "เผาตำรา ฆ่าอาจาร์ยกินเนื้อ" และจะมีไปทำไม หากแบ่งแยก กุศลกรรมและอกุศลกรรมไม่เป็น:boo:


    ปล. แต่ถ้าหากท่านเป็นประเภท "วิปัสนากล้า" เข้าใจง่ายๆคือเพี้ยนหลังจากฝึกบำเพ็ญภาวนา:cool: คือไปรู้ไปเห็นอะไรต่อมิอะไรสารพัดเข้า:cool: จนมิอาจครองสติให้เป็นบุคลิกเดียวได้ คือ อาการ "เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย(เสียสติ ทำไปโดยไม่รู้สึกตัว)" สิ่งนี้ยังรับรองท่านอยู่ต่อให้ฆ่าคนตายก็เถอะ ไม่ขาดจากความเป็นพระ( คล้ายๆกับฝึกหลักสูตรทำลายใต้น้ำแล้วเป็นบ้า ปลดประจำการเขาไม่ได้หรือว่ามีปลดไปแล้วบ้างนะ)แต่หากท่านปฎิเสธว่า" เราปกติ"ไม่มีผลมาจากการบำเพ็ญเพียรใดๆสารตกค้าง:boo: อันนี้ก็ไม่รองรับท่านนะจ๊ะ
    หากประสงค์ที่จะฟังธรรมเทศนาจากท่านนั้น ก็ต้องแยก กุศลกรรม:cool:และอกุศลกรรม:boo:ให้ออก เพราะท่านสอนออกมารวมกัน หากธรรมเทศนานั้นมีผลเอนเอียงไปฝ่าย อกุศลกรรม:boo: มากกว่า ก็ใส่เกียร์ถอยเถอะจ๊ะ

    :ตัวอย่าง: เปรียบเทียบจ๊ะ

    "สิ่งใดที่ดีอยู่แล้ว ได้ไตร่ตรองตามเห็นจริงตามแล้ว แลเห็นได้ว่า มีผลประเสริฐจริง สามารถบรรลุถึงจุดที่มุ่งหมายได้จริง ก็เดินไปทางสู่หนทางนั้นเถิด"{O}สรรพธรรมใด ที่นำพาอริยกุศลมาสู่ตนเองและยังผลแก่ผู้อื่นสรรพธรรมนั้น ล้วนเป็นที่ประเสริฐล้ำค่าเป็นที่มาแห่งการขจัดทุกข์บำรุงสุข และหลุดพ้นจากความไม่เที่ยงแท้ไม่แน่นอน ในการเวียนว่ายตายเกิด ในแดนวัฎสงสารยังผลให้จบสิ้นไป{O} _______ {O}สรรพธรรมใด ที่นำพาอกุศลกรรมมาสู่ตนและผู้อื่น สรรพธรรมนั้นล้วนเป็นที่มาแห่งการทุกข์ทนทรมาน ในการเวียนว่ายตายเกิด เผชิญกับความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ในแดนวัฎสงสารยังผลให้ไม่มีวันจบสิ้นไป{O}


    ขออนุโมทนาบุญฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2012
  6. มหาวัฎร

    มหาวัฎร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +150
    <CENTER>พระปิณโฑลภารทวาชะ ผู้มีฤทธิ์

    </CENTER>

    ทำไม?ไม่มีใครเหาะได้เลย เป็นอะไรกันไปหมด?คาใจ
    ปุจฉา: ในฐานะสมมุติสงฆ์สาวก หากสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว คือตรัสรู้ดีแล้ว เป็นรองแค่เหล่ากอของพุทธ ระดับสูงขึ้นไปอีก พระขีนาสพ พระปัจเจกพุทธฯ จะสามารถลุกรับกราบไหว้ แม้จะทำแบบขอไปที กับผู้อื่นที่ไม่สำเร็จธรรมดั่งตนได้หรือไม่ แม้จะเป็นพระอุปปัชฌาย์ หรือบวชพร้อมกัน หรือบวชทีหลัง และถ้าหากทำมีผลเช่นไร? ใช่ฐานะที่สมควรทำ หรือ มิใช่ฐานะที่สมควรทำ

    ( เพราะยังไม่เข้าใจใน อานิสงค์ โทษ ผลบุญและผลกรรม ของการลุกรับกราบไหว้) หากเป็นอย่างนั้น จะถือว่า ตรัสรู้ดีแล้ว หรือ ตรัสรู้ยังไม่ดี นี่เป็นสาเหตุที่พลาดมากที่สุด ของพระเกษม:boo: ชี้ชัดถึงเรื่อง สำเร็จหรือไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ฉนั้น หากไม่สำเร็จอย่าหวังนิพพาน ( ที่นี้ก็วุ่นทั้งประเทศ ทั้งคณะสงฆ์ จะอมภูมิกันสนั่นเมือง )ไอ้เรื่อง กระโดดกำแพง น่ะMONK วัดเส้าหลินก็ทำได้เขาเรียน เขาศึกษาสืบทอดกันอย่างนั้น บทเรียนจากนาลันทาไม่ยอมถูกฆ่าตายเปล่าแน่ๆ ต้องสู้ เรื่องบู๊ไม่เท่าไหร่? แต่ก็ไม่เหมาะกับสารูป ต้องแยกแยะให้ดีๆ มีวิธีอื่นอีกมาก หากยังไม่มีฤทธิ์ก็ตั้งจิตบำเพ็ญเอาฤทธิ์สิจ๊ะ เป็นพระอรหันต์อาสวะกิเลสสิ้นแล้ว อะไรก็ง่าย แค่โลกียญาน เหาะขึ้นฟ้าแล้วบอกว่า จงปฎิบัติตามเรา แค่นี้ จบ คนนอนสดุ้งทั้งโลก ^_^ [บอกใบ้อีกละนะ]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • newclear.jpg
      newclear.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.2 KB
      เปิดดู:
      27
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2012
  7. DarKKazE

    DarKKazE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +239
    สะเทือนใจครับ เห็นภาพพระพุทธรูปถูกไฟเผาเนี่ย
     
  8. มหาวัฎร

    มหาวัฎร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +150
    องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ดีแล้ว " นั่นไม่ใช่ของเขา นั่นไม่ใช่ของเรา" ถ้าไปอินเดียไปเจอพระพุทธรูปปางขุนแผน ลูกสาวมารยั่ว( ปริศนาธรรม ) ที่วางให้เช่าบูชาอยู่นั่นตอนนี้ จะไม่สดุ้งกว่านี้หรือสหายธรรม วางขายอยู่เกลื่อนในปัจจุบัน ไม่ได้ไปเองหรอก แต่เห็นมา
     
  9. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +1,088
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=C7NcX3D9Jwk&feature=BFa&list=LLmUblw-0rWK3EafLrGwAOmQ"]ขอลองดู - YouTube[/ame]
     
  10. เด็กแวนซ์

    เด็กแวนซ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +35
    แสดงว่าใจ นาย ยังอ่อนแอ ปรับปรุงซะ
     
  11. เด็กแวนซ์

    เด็กแวนซ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +35
    เพราะจิตใจพวกมึงอ่อนสัส จึงมองแล้วปรุ่งแต่ง สัสแค่แสงกระทบตาแค่นั้น
    [​IMG]
     
  12. มหาวัฎร

    มหาวัฎร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +150
    :boo:เหี้ย:mad: กลับบ้านดิ สัสสส ได้เวลาให้อาหารแล้ว แก๊งๆๆๆ :cool: มาวิ่งเล่นอะไรในวัด ชอบมาขอข้าวก้นบาตรแดกประจำ อาหารเพ็ดดีกรีมี ไม่ยอมกิน :boo:
     
  13. มหาวัฎร

    มหาวัฎร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +150
    :boo:เห่าเก่งนะซราดด
     
  14. มหาวัฎร

    มหาวัฎร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +150
    ใจมึงแข็งมากขนาดไหนวะซราดด :boo: เห็นอกหักทุกที่ หัวใจอ่อนแอ:boo:
     
  15. DarKKazE

    DarKKazE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +239
    อันนั้นไม่สะดุ้งดอกอ้าย เพราะรู้ว่าเป็นปางที่ถูกกามกิเลสยั่ว ยิ่งลูกสาวมารกอดก่ายก็ยิ่งรู้ กิเลสมารไม่ได้อยู่ที่ไหนดอก มันอยู่ใกล้เราเกาะเกี่ยวตัวเราไว้อยู่

    ทางที่จะข่มท่านก็แสดงให้เห็น คือขั้นต้นให้ใช้ฌาณในพระกรรมฐานข่ม
    เมื่อจิตถึงก็ใช้วิปัสสนาญาณเข้าสู้ รู้ถึงอสุภะ รู้ถึงไตรลักษณ์ ปัญญาเข้มแข็งก็ประหารกิเลสครับ

    ก็พยายามปฏิบัติควบกับศึกษา ตัวผมก็ระดับเตรียมอนุบาลเองครับ
     
  16. มหาวัฎร

    มหาวัฎร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +150
    ฮ่วย อีหลีบ้อ คึมาคักแถ้ ถล่มโตเจ้าของขนาดหนัก:cool:
     
  17. Pra_THoNG

    Pra_THoNG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +739
    ใครบอก เกษม จะหลอมพระพุทธ รูป บ้าไปแล้ว นั่นจงใจเอามาเผา ทั้ง ศาลพระภูมิ ศาลเจ้าที่ ทุบเละหมด บาป แท้
     
  18. xfiless

    xfiless สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +6
    ท่านทั้งหลาย ลองเปิดใจลองฟังท่านเทศน์ดูสักครั้ง ที่ท่านทำแบบนั้นเป็นการเทศน์อย่างนึง พวกท่านลองคิดดู ว่ารูปปั้นที่ท่านเข้าใจว่าเป็นพระพุทธเจ้า เคยมีใน พระไตรปิฏกบ้างไหม สิ่งเหล่านี้ ดูดเงินจากกระเป๋าพวกท่านไปเท่าไหร่ การให้เงินพระอีก จึงมีบางคนบวชมาเพื่อหวังเงินโดยเฉพาะ :VO
    อ่อ อีกอย่างนึง ท่านสอน ท่านเทศน์ ท่านจะบอกอยู่เสมอว่า ไม่ใช่คำสอนของอาตมา แต่เป็นของพระพุทธเจ้า คือท่านสอนตามพระไตรปิฎกครับ จะมีการอ้างอิงทุกครั้ง ไม่มีการกล่าวลอยๆ ขอทุกท่าน เร่งศึกษาพระไตรปิฏกครับ ธรรมของพระพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด

    (good)(good)(good)
     
  19. 02749536

    02749536 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +17

    นั่นสิคับ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Lm1N_7eg0wI]หลวงปู่เกษม เรื่องจริงผ่านจอ 1/2 - YouTube[/ame] (สัมภาษโดยเรื่องจริงผ่านจอ)

    ลองฟังท่านดูให้จบ

    ตอนแรกผมก็ว่าท่านเหมือนกัน แต่ลองฟังแล้วจะรู้คับ ว่าอะไรจริงไม่จริง

    ท่านใช้คำสอนจากพระพุทธเจ้า(พระไตรปิฏก) ไม่ได้กล่าวด้วยตนเอง

    แต่พระไตรปิฏกเล่มในคลิปที่ท่านอ่านเป็นของปลอม ผมก็ขอโทษด้วยคับที่แสดงความคิดเห็นแปลกแยก แล้วทำไมตอนที่เค้าตีพิมพ์หนังสือ แปลภาษาบาลี ไม่มีโต้แย้งกันหรอ เรื่องพระพุทธรูป เพราะมันมีอยู่ในหลายเล่ม ....
     
  20. nonsom

    nonsom สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +1
    ไม่บาปแน่นอนล้านเปอร์เซ็น
     

แชร์หน้านี้

Loading...