หลวงปู่มั่น วิสัชนาธรรม

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย pump - อภิเตโช, 23 กรกฎาคม 2012.

  1. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    [​IMG] [​IMG]
    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล)

    จาก หนังสือ ปฏิปัตติปุจฉาวิปัสัชนา

    พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) : ถาม
    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ : ตอบ

    อุบายแห่งวิปัสสนาอันเป็นเครื่องถ่ายถอดกิเลส

    เทศนาโดย พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

    ท่านที่ได้อ่าน จักได้รับความรู้ ความเข้าใจ คลายความสงสัยและเพิ่มความมั่นใจในการปฏิบัติธรรม ทำให้บังเกิดความสุขสงบทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

    บุญกุศลใดอันบังเกิดจากการเผยแผ่แก่พุทธศ่สนิกชนในครั้งนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมถวายเป็น พุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆบูชา

    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
    พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล)

    ผู้ทรงคุณอันพระเสริฐและเป็นที่พึ่งแก่พวกเราทั้งหลาย

    *****************************************

    ถามว่า ผู้ปฏิบัติศาสนาโดยมากปฏิบัติอยู่แค่ไหน?
    ข ตอบว่า ปฏิบัติอยู่กามาพจรกุศลโดยมาก

    ก ถามว่า ทำไมจึงปฏิบัติอยู่เพียงนั้น
    ข ตอบว่า อัธยาศัยของคนโดยมากยังกำหนัดอยู่ในกาม เป็นว่า กามารมณ์ที่ดีเป็นสุข ส่วนที่ไม่ดีเห็นว่าเป็นทุกข์ จึงได้ปฏิบัติในบุญกิริยาวัตถุ มีการฟังธรรมให้ทาน รักษาศีล เป็นต้น หรือภาวนาบ้างเล็กน้อย เพราะความมุ่งเพื่อจะได้สวรรคสมบัติ มนุษยสมบัติ เป็นต้น ก็คงเป็นภูมิกามาพจรกุศลอยู่นั่นเอง เบื้องหน้า แต่กายแตกตายไปแล้ว ย่อมถึงสุคติบ้าง ไม่ถึงบ้าง แล้วแต่วิบากจะซัดไป เพราะไม่ใช่นิยตบุคคล คือยังไม่ปิดอบาย เพราะยังไม่บรรลุโสดปัตติผล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 สิงหาคม 2012
  2. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    ก ถามว่า ก็ท่านผู้ปฏิบัติที่ดีกว่านี้ไม่มีหรือ?
    ข ตอบว่า มี แต่น้อยกว่า

    ก ถามว่า น้อยเพราะอะไร?
    ข ตอบว่า น้อยเพราะกามทั้งหลายเท่ากับเลือดในอกของสัตว์ ยากที่จะละความยินดีในกามได้ เพราะการปฏิบัติธรรมละเอียด ต้องอาศัยกายวิเวก จิตตวิเวก จึงจะเป็นไปเพื่อ อุปธิวิเวก เพราะเหตุนี้แลจึงทำได้ด้วยยาก แต่ไม่เหลือวิสัย ต้องเป็นผู้เห็นทุกข์จริงๆ จึงจะปฏิบัติได้


    ก ถามว่า ถ้าปฏิบัติเพียงภูมิกามาพจรกุศล ดูไม่แปลกอะไร เพราะเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นภูมิกามาพจรกุศลอยู่แล้ว ส่วน การปฏิบัติจะให้ดีกว่าเก่าก็ต้องให้เลื่อนชั้น เป็นภูมิรูปาวจรหรืออรูปาวจร แลโลกอุดร จะได้แปลกกว่าเก่า?
    ข ตอบว่า ถูกแล้ว ถ้าคิดดูคนนอกพุทธกาล ท่านก็ได้บรรลุฌานชั้นสูงๆก็มี คนในพุทธกาลท่านก็ได้บรรลุมรรคแลผล มีพระโสดาบันแลพระอรหันต์โดยมาก นี่เราก็ไม่ได้บรรลุฌานเป็นอันสู้คนนอกพุทธกาลไม่ได้ แลไม่ได้บรรลุมรรคแลผลเป็นอันสู้คนในพุทธกาลไม่ได้

    ก ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนี้จักทำเช่นไร?
    ข ตอบว่า ต้องทำใจให้เห็นตามพุทธภาษิตที่ว่า

    มตฺตาสุขปริจฺจาคา ปสฺเส เจ วิปุลํ สุขํ - ถ้าว่าบุคคลเห็นซึ่งสุขอันไพบูลย์ เพราะบริจาคซึ่งสุขมีประมาณน้อยเสียไซร์

    จเช มตฺตาสุขํ ธีโร สมฺปสฺสํ วิปุลํ สุขํ - บุคคลผู้มีปัญญาเครื่องทรงไว้ เมื่อเล็งเห็นซึ่งสุขอันไพบูลย์ พึงละเสียซึ่งสุขมีประมาณน้อย

    ก ถามว่า สุขมีประมาณน้อยได้แก่สุขชนิดไหน?
    ข ตอบว่า ได้แก่สุขซึ่งเกิดจากความยินดีในกาม ที่เรียกว่า อามิสสุข นี่แหละสุขมีประมาณน้อย

    ก ถามว่า ก็สุขอันไพบูลย์ได้แก่สุขชนิดไหน?
    ข ตอบว่า ได้แก่ ฌาน วิปัสสนา มรรค ผล นิพพาน ที่เรียกว่า นิรามิสสุข ไม่เจือด้วยกาม นี่แหละสุขอันไพบูลย์

    ก ถามว่า จะปฏิบัติให้ถึงสุขอันไพบูลย์จะดำเนินทางไหน?
    ข ตอบว่า ก็ต้องดำเนินทางองค์มรรค ๘

    ก ถามว่า องค์มรรค ๘ ใครๆก็รู้ ทำไมจึงเดินกันไม่ใคร่จะถูก?
    ข ตอบว่า เพราะองค์มรรคทั้ง ๘ ไม่มีใครเคยเดิน จึงเดินไม่ใคร่ถูก พอถูกก็เป็นพระอริยเจ้า

    ก ถามว่า ที่เดินไม่ถูก เพราะเหตุอะไร?
    ข ตอบว่า เพราะชอบเดินทางเก่าเพราะเป็นทางชำนาญ

    ก ถามว่า ทางเก่านั้นคืออะไร
    ข ตอบว่า ได้แก่ กามสุขัลลิกานุโยค แลอัตตกิลมถานุโยค

    ก ถามว่า กามสุขัลลิกานุโยคนั้นคืออะไร
    ข ตอบว่า ความทำตนให้เป็นผู้หมกมุ่นติดอยู่ในกามสุขนี้แล ชื่อว่า กามสุขัลลิกานุโยค

    ก ถามว่า อัตตกิลมถานุโยคได้แก่ทางไหน
    ข ตอบว่า ได้แก่ผู้ปฏิบัติผิด แม้ประพฤติเคร่งครัดทำตนให้ลำบากสักเพียงไร ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ ซึ่งมรรค ผล นิพพาน นี่แหละเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค

    ก ถามว่า ถ้าเช่นนั้นทางทั้ง ๒ นี้ เห็นจะมีคนเดินมากกว่า มัชฌิมาปฏิปทาหลายร้อยเท่า?
    ข ตอบว่า แน่ทีเดียว พระพุทธเจ้าแรกตรัสรู้ จึงได้ทรงแสดงก่อนธรรมอย่างอื่นๆ ที่มาแล้วในธัมมจักกัปวัตตนสูตร เพื่อให้สาวกเข้าใจ จะได้ไม่ดำเนินในทางทั้ง ๒ มาดำเนินในทาง มัชฌิมาปฏิปทา


    ก ถามว่า องค์มรรค ๘ ทำไมจึงยกสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นกองปัญญาขึ้นแสดงก่อน ส่วนการปฏิบัติของผู้ดำเนินทางมรรค ต้องทำศีลไปก่อน แล้วจึงทำสมาธิแลปัญญา ซึ่งเรียกว่า สิกขาทั้ง ๓?
    ข ตอบว่า ตามความเห็นของข้าพเจ้าว่าจะเป็น ๒ ตอน
    ตอนแรก ส่วนโลกิยกุศล ต้องทำ ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นลำดับไป ปัญญาที่เกิดขึ้นยังไม่เห็นอริยสัจทั้ง ๔ สังโยชน์ ๓ ยังละไม่ได้ ขีดของใจเพียงนี้เป็นโลกีย์

    ตอนที่เห็นอริยสัจจ์แล้วละสังโยชน์ ๓ ได้ ตอนนี้เป็น โลกุตตร

    ก ถามว่า ศีลจะเอาชนิดไหน?
    ข ตอบว่า ศีลมีหลายอย่าง ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑o ศีล ๒๒๗ แต่ในที่นี้ประสงค์ศีลที่เรียกว่า สมฺมา วาจา สมฺมากมฺมนฺโต สมฺมาอาชีโว แต่ต้องทำให้สมบูรณ์

    ก ถามว่า สมฺมาวาจา คืออะไร?
    ข ตอบว่า สุสาวาทา เวรมณี เว้นจากการพูดเท็จ ปิสุณายวาจาย เวรมณี เว้นจากการพูดส่อเสียด ให้เขาแตกร้าวกัน ผรุสาย วาจาย เวรมณี เว้นจากการพูดคำหยาบ สมฺผปฺปลาปา เวรมณี เว้นจากการพูดโปรยประโยชน์

    ก ถามว่า สมฺมากมฺมนฺโต การงานชอบนั้นมีกี่อย่าง?
    ข ตอบว่า มี ๓ อย่างคือ ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากฆ่าสัตว์ อทินฺนาทานา เวรมณี เว้นจากการลักทรัพย์ อพรหมฺจริยา เวรมณี เว้นจากการอสัทธรรม ไม่ใช่พรหมจรรย์

    ก ถามว่า สมฺมากมฺมนฺโต ในที่อื่นๆ โดยมากเว้นอพรหฺม ส่วนในมหาสติปัฏฐาน ทำไมจึงเว้นกาเมสุมิฉาจาร?
    ข ตอบว่า ความเห็นของข้าพเจ้าว่า ที่ทรงแสดงศีล อพรหมฺ เห็นจะเป็นด้วยรับสั่งแก่ภิกษุ เพราะว่าภิกษุเป็นพรหมจารีบุคคลทั้งนั้น ส่วนในมหาสติปัฏฐาน ๔ ก็รับสั่งแก่ภิกษุเหมือนกัน แต่ว่าเวลานั้นพระองค์เสด็จประทับอย฿ในหมู่ชนชาวกุรุ พวกชาวบ้านเห็นจะฟังอยู่มาก ท่านจึงสอนให้เว้นกามมิจฉาจาร เพราะชาวบ้านมักเป็นคนมีคู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กรกฎาคม 2012
  3. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    ก ถามว่า สมฺมาอาชีโว เลี้ยงชีพชอบ เว้นจากมิจฉาชีพนั้นเป็นอย่างไร?
    ข ตอบว่า บางแห่งท่านก็อธิบายไว้ว่า ขายสุรายาพิษ ศัสตราอาวุธ หรือขายสัตว์มีชีวิต ต้องเอาไปฆ่าเป็นต้นเหล่านี้แหละเป็นมิจฉาชีพ

    ก ถามว่า ถ้าคนที่ไม่ได้ขายของเหล่านี้เป็น สมฺมาอาชีโว อย่างนั้นหรือ?
    ข ตอบว่า ยังเป็นไม่ได้ เพราะวิธีโกงของคนมีหลายอย่างนัก เช่น ค้าขายโดยไม่ซื่อ มีการโกงตาชั่งตาเต็ง หรือเอารัดเอาเปรียบอย่างใดอย่างหนึ่งในเวลาที่ผู้ซื้อเผลอหรือเขาไว้ใจ
    รวมความว่า อัธยาศัยของคนที่ไม่ซื่อ คิดเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เห็นแต่จะได้สุดแต่มีโอกาส จะเป็นเงินหรือของก็ดี ถึงแม้จะไม่ชอบธรรม สุดแต่จะได้เป็นเอาทั้งนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า อาการเหล่านี้ก็เป็นมิจฉาชีพทั้งสิ้น สมฺมาอาชีโว ต้องเว้นทุกอย่าง เพราะเป็นสิ่งที่คดค้อมได้มาโดยไม่ชอบธรรม


    ก ถามว่า สมฺมาวายาโม ความเพียรชอบนั้นคอเพียรอย่างไร?
    ข ตอบว่า สังวรปธาน เพียรระวังอกุศลวิตก ๓ ที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้น
    ปหานปธาน เพียรละอกุศลวิตก ๓ ที่เกิดขึ้นแล้วให้หายไป
    ภาวนาปธาน เพียรเจริญกุศลที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น
    อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วไว้ให้สมบูรณ์

    ก ถามว่า สมฺมาสติ ระลึกชอบนั้นระลึกอย่างไร?
    ข ตอบว่า ระลึกอยู่ในสติปัฏฐาน ๔ คือ
    กายานุปสฺสนา ระลึกถึงกาย
    เวทนานุปสฺสนา ระลึกถึงเวทนา
    จิตฺ ตา นุปสฺสนา ระลึกถึงจิต
    ธมฺมานุปสฺสนา ระลึกถึงธรรม

    ก ถามว่า สมฺมาสมาธิ ความตั้งใจไว้ชอบ คือตั้งใจไว้อย่างไร จึงจะเป็นสมฺมาสมาธิ?
    ข ตอบว่า คือตั้งใจไว้ในองค์ฌานทั้ง ๔ ที่เรียกว่า
    ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เหล่านี้แหละเป็น สมฺมาสมาธิ


    ก ถามว่า สมฺมาสงฺกปฺโป ความดำริชอบนั้น ดำริอย่างไร?
    ข ตอบว่า เนกฺขมฺมสงฺกปฺโป ดำริออกจากกาม
    อพฺยาปาทสงฺกปฺโป ดำริไม่พยาบาท
    อวิหิสาสงฺกปฺโป ดำริไม่เบียดเบียน

    ก ถามว่า สมฺมาวายาโม ก็ละอกุศลวิตก ๓ แล้ว สมฺมาสงฺกปฺโป ทำไมจึงดำริอีกเล่า?
    ข ตอบว่า ต่างกันเพราะ สมฺมาวายาโมนั้น เป็นแต่เปลี่ยนอารมณ์ เช่น จิตที่ฟุ้งซ่าน หรือเป็นอกุศลก็เลิกนึกเรื่องเก่าเสีย มามีสติระลึกอยู่ในอารมณ์ที่เป็นอกุศล จึงสงเคราะห์เข้าในกองสมาธิ

    ส่วน สมฺมาสงฺกปฺโป มีปัญญาพิจารณาเห็นโทษของกาม เห็นอานิสงส์ของเนกขัมม จึงได้คิดออกจากกามด้วยอาการเห็นโทษ หรือเห็นโทษของพยาบาทวิหิงสา เห็นอานิสงส์ของเมตตากรุณา จึงได้คิดละพยาบาทวิหิงสา การเห็นโทษแลเห็นอานิสงส์เช่นนี้แหละจึงผิดกับ สมฺมาวายาโม ท่านจึงสงเคราะห์เข้าไว้ในกองปัญญา


    ก ถามว่า สมฺมาทิฏฐิ ความเห็นชอบนั้นคือเห็นอย่างไร?
    ข ตอบว่า คือ เห็น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ที่เรียกว่าอริยสัจ ๔ ความเห็นชอบอย่างนี้แหละชื่อว่าสมฺมาทิฏฐิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กรกฎาคม 2012
  4. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    ก ถามว่า อริยสัจ ๔ นั้นมีกิจต้องทำอะไรบ้าง?
    ข ตอบว่า ตามแบบที่มีมาในธรรมจักร มีกิจ ๓ อย่างใน ๔ อริยสัจ รวมเป็น ๑๒ คือ
    สัจญาน รู้ว่าทุกข์ กิจญาน รู้ว่าจะต้องกำหนด กตญาน รู้ว่ากำหนดเสร็จแล้วแลรุ้ว่าทุกข์สมุทัยจะต้องละ แลได้ละเสร็จแล้ว และรู้ว่าทุกขนิโรธจะต้องทำให้แจ้งแลได้ทำให้แจ้งเสร็จแล้ว แลรู้ว่าทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา จะต้องเจริญแลได้เจริญเสร็จแล้ว นี่แหละเรียกว่า กิจในอริยสัจทั้ง ๔

    ก ถามว่า ทุกข์นั้นได้แก่สิ่งอะไร?
    ข ตอบว่า ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ ธาตุ ๖ นามรูปเหล่านี้เป็นประเภททุกขสัจ

    ก ถามว่า ทุกข์มีหลายอย่างนักจะกำหนดอย่างไรถูก?
    ข ตอบว่า กำหนดอย่างเดียวก็ได้ จะเป็นขันธ์ ๕ หรือ อายตนะ ๖ หรือ ธาตุ ๖ นามรูปอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องกำหนดทีละหลายอย่าง แต่ว่าผู้ปฏิบัติควรจะรู้ไว้เพราะธรรมทั้งหลายเหล่านี้ เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา

    ก ถามว่า การที่จะเห็นอริยสัจก็ต้องทำวิปัสสนาด้วยหรือ?
    ข ตอบว่า ไม่เจริญวิปัสสนา ปัญญาจะเกิดอย่างไรได้ เมื่อปัญญาไม่มีจะเห็นอริยะสัจทั้ง ๔ อย่างไรได้ แต่ที่เจริญวิปัสสนากันอยู่ ผู้ที่อินทรีย์อ่อนยังไม่เห็นอริยสัจทั้ง ๔ เลย


    ก ถามว่า ขันธ์ ๕ ใครๆ ก็รู้ทำไมจึงกำหนดทุกข์ไม่ถูก?
    ข ตอบว่า รู้แต่ชื่อ ไม่รู้อาการขันธ์ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นขันธ์ ๕ เกิดขึ้นก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้น ดับไปก็ไม่รู้ว่าดับ แลขันธ์มีอาการสิ้นไปเสื่อมไปตามความเป็นจริงอย่างไร ก็ไม่ทราบทั้งนั้น จึงเป็นผู้หลงประกอบด้วยวิปลาศ คือไม่เที่ยงก็เห็นว่าเที่ยง เป็นทุกข์ก็เห็นว่าเป็นสุข เป็นอนัตตาก็เห็นว่าเป็นอัตตาตัวตน เป็นอสุภไม่งามก็เห็นว่าเป็นสุภะงาม เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า จึงทรงสั่งสอนสาวก ที่มาแล้วในมหาสติปัฏฐานสูตร ให้รู้จักขันธ์ ๕ แลอายตนะ ๖ ตามความเป็นจริง จะได้กำหนดถูก

    ก ถามว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญานนั้นมีลักษณะอย่างไร เมื่อเวลาเกิดขึ้นแลดับไปจะได้รู้?
    ข ตอบว่า รูปคือ ธาตุดิน ๑๙ น้ำ ๑๒ ลม ๖ ไฟ ๔ ชื่อว่า มหาภูตรูป เป็นรูปใหญ่แลอุปาทายรูป ๒๔ เป็นรูปที่ละเอียดซึ่งอาศัยอยู่ในมหาภูตรูป ๔ เหล่านี้ ชื่อว่ารูป แต่จะแจงให้ละเอียดก็มากมาย ก็จงไปดูเอาในแบบเถิด

    ก ถามว่า ก็เวทนานั้นได้แก่สิ่งอะไร?
    ข ตอบว่า ความเสวยอารมณ์ ซึ่งเกิดประจำอยู่ในรูปนี้แหละ คือบางคราวก็เสวยอารมณ์เป็นสุข บางคราวก็เสวยอารมณ์เป็นทุกข์ บางคราวก็ไม่ทุกข์ไม่สุข นี่แหละเรียกว่า เวทนา ๓ ถ้าเติมโสมนัสโทมนัส ก็เป็นเวทนา ๕

    ก ถามว่า โสมนัส โทมนัส ดูเป็นชื่อของกิเลส ทำไมจึงเป็นขันธ์?
    ข ตอบว่า เวทนามี ๒ อย่าง คือ
    กายิกะเวทนา ๆ ซึ่งเกิดทางกาย ๑
    เจตสิกเวทนา ๆ ซึ่งเกิดจากใจ ๑
    - สุขเวทนา เสวยอารมณ์เป็นสุข
    - ทุกขเวทนาเสวยอารมณ์เป็นทุกข์
    ๒ อย่างนี้เกิดทางกาย

    โสมนัส โทมนัส อทุกขมสุขเวทนา ๓ อย่างนี้เกิดขึ้นทางใจไม่ใช่กิเลส คือ เช่นกับบางคราวอยู่ดีๆ ก็มีความสบายใจ โดยไม่ต้องอาศัยความรักความชอบก็มี หรือบางคราวไม่อาศัยโทสะหรือปฏิฆะ ไม่สบายใจขึ้นเอง เช่นคนเป็นโรคหัวใจหรือโรคเส้นประสาทก็มี อย่างนี้เป็นขันธ์แท้ ต้องกำหนดรู้ว่าเป็นทุกข์ เมื่อเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งปรากฏขึ้น นั่นแหละ เป็นความเกิดขึ้นแห่งเวทนา เมื่อเวทนาเหล่านั้นดับหายไป เป็นความดับไปแห่งเวทนา นี่แหละเป็นขันธ์แท้ เป็นประเภททุกขสัจ

    ก ถามว่า เวทนานั้นอาศัยอะไรจึงเกิด?
    ข ตอบว่า อาศัยอายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ วิญญาน ๖ กระทบกันเข้า ชื่อว่า ผัสสะ เป็นที่เกิดแห่งเวทนา

    ก ถามว่า อายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ วิญญาน ๖ ผัสสะ ๖ เวทนาที่เกิดแต่ผัสสะ ๖ ก็ไม่ใช่กิเลสเป็นประเภททุกข์ทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?
    ข ตอบว่า ถูกแล้ว

    ก ถามว่า แต่ทำไมคนเราเมื่อเวลาตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้ดมกลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรสหรือถูกต้องโผฎฐัพพะด้วยกาย รู้รับอารมณ์ด้วยใจ ก็ย่อมได้เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ ก็อายตนะแลผัสส เวทนาก็ไม่ใช่กิเลส แต่ทำไมคนเราจึงเกิดกิเลส และความอยากขึ้นได้เล่า?
    ข ตอบว่า เพราะไม่รู้ว่าเป็นขันธ์แลอายตนะ แลผัสสเวทนา สำคัญว่าเป็นผู้เป็นคนเป็นจริงเป็นจัง จึงได้เกิดกิเลสและความอยาก เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงไว้ใน ฉักกะสูตรว่า เมื่อบุคคลเมื่อสุขเวทนาเกิดขึ้น ก็ปล่อยให้ราคานุสัยตามนอน ทุกขเวทนาเกิดขึ้นก็ปล่อยให้ปฏิคานุสัยตามนอน อทุกขมสุขเวทนาเกิดขึ้น ก็ปล่อยให้อวิชชานุสัยตามนอน การทำที่สุดแห่งทุกข์ในชาตินี้ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้เป็นได้

    ถ้าบุคคลเมื่อเวทนาทั้ง ๓ เกิดขึ้นก็ไม่ปล่อยให้อนุสัยทั้ง ๓ ตามนอน การทำที่สุดแห่งทุกข์ในชาตินี้มีฐานะที่มีได้เป็นได้ นี่ก็เท่ากับตรัสไว้เป็นคำตายตัวอยู่แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กรกฎาคม 2012
  5. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    ก ถามว่า จะปฏิบัติอย่างไรจึงจะไม่ให้อนุสัยทั้ง ๓ ตามนอน?
    ข ตอบว่า ก็ต้องมีสติทำความรู้สึกตัวไว้ แลมีสัมปชัญญะ ความรู้รอบคอบในอายตนะ แลผัสสเวทนาตามความเป็นจริงอย่างไร อนุสัยทั้ง๓ จึงจะไม่ตามนอน สมด้วยพระพุทธสุภาษิตในโสรฬปัญหาที่ ๑ ตรัสตอบอชิตะมานพว่า

    สติ เตสํ นิวารณํ สติเป็นดุจ ทำนบเครื่องปิดกระแสเหล่านั้น
    ปัญญา เยเตปิถิยฺยเร กระแสเหล่านั้นอันผู้ปฏิบัติจะละเสียได้ด้วยปัญญา

    แต่ในที่นั้นท่านประสงค์ละตัณหา แต่อนุสัยกับตัณหาก็เป็นกิเลสประเภทเดียวกัน

    ก ถามว่า เวทนาเป็นขันธ์แท้ เป็นทุกขสัจไม่ใช่กิเลส แต่ในปฏิจจสมุปบาท ทำไมจึงมีเวทนาปจฺจยาตัณหา เพราะเหตุอะไร?
    ข ตอบว่า เพราะไม่รู้จักเวทนาตามความเป็นจริง เมื่อเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เวทนาที่เป็นสุขก็ชอบเพลิดเพลินอยากได้ หรือให้คงอยู่ไม่ให้หายไปเสีย เวทนาที่เป็นทุกข์ไม่ดีมีมา ก็ไม่ชอบประกอบด้วยปฏิฆะอยากขับไสไล่ขับให้หายไปเสีย ทุกขมสุขเวทนาทีมีมาก็ไม่รู้ อวิชชานุสัยจึงตามนอน สมด้วยพระพุทธสุภาษิตในโสฬสปัญหาที่ ๑๓ ที่อุทยะมานพทูลถามว่า

    กถํ สตสฺส จรโตวิญฺญาณํ อุปรุชฺฌติ เมื่อบุคคลประพฤติมีสติอย่างไร ปฏิสนธิวิญญานจึงจะดับ?

    ทรงตรัสตอบว่า

    อชฺฌตฺตญฺจ พหิทฺธา จ เวทนํ นาพินนฺทโต เมื่อบุคคลไม่เพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งเวทนาทั้งภายในแลภายนอก

    อวํ สตสฺส จรโต วิญฺญาณํ อุปรุชฺฌติ ประพฤติมีสติอยู่อย่างนี้ ปฏิสนธิจึงจะดับ


    ก ถามว่า เวทนาอย่างไรชื่อว่า เวทนาภายนอก เวทนาอย่างไรชื่อว่าเวทนาภายใน?
    ข ตอบว่า เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส โสตะสัมผัส ฆานะสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส ๕ อย่างนี้ ชื่อว่า เวทนาที่เป็นภายนอก

    เวทนาที่เกิดในฌาน เช่น ปีติหรือสุขเป็นต้น ชื่อว่าเวทนาภายใน เกิดแต่มะโนสัมผัส

    ก ถามว่า ปีติแลสุขก็เป็นเวทนาด้วยหรือ?
    ข ตอบว่า ปีติแลสุขนั้นเกิดขึ้นเพราะความสงบ อาศัยความเพียรของผู้ปฏิบัติ ในคิริมานนทสูตร อานาปานสติหมวดที่ ๕ กับที่ ๖ ท่านสงเคราะห์เข้าในเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะฉะนั้น ปีติแลสุขจึงจัดเป็นเวทนาภายในได้

    ก ถามว่า ที่เรียกว่านิรามิสเวทนา เสวยเวทนาไม่มีอามิส คือ ไม่เจือกามคุณ เห็นจะเป็นเวทนาที่เกิดขึ้นจากจิตที่สงบนี่เอง แต่ถ้าเช่นนั้นความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่เรียกว่ากามคุณ ๕ เวทนาที่เกิดคราวนั้น ก็เป็น อามิสเวทนาถูกไหม?
    ข ตอบว่า ถูกแล้ว

    ก ถามว่า ส่วนเวทนาข้าพเจ้าเข้าใจดีแล้ว แต่ส่วนสัญญาขันธ์ ความจำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำโผฏฐัพพะ จำธัมมารมณ์ ๖ อย่างนี้ มีลักษณะอย่างไร เมื่อรูป สัญญาความจำเกิดรูปขึ้นนั้น มีอาการเช่นไร? แลเวลาที่จำรูปดับไป มีอาการเช่นไร ข้าพเจ้าอยากทราบ เพื่อจะได้กำหนดถูก?
    ข ตอบว่า คือเราได้เห็นรูปคนหรือรูปของอย่างใด อย่างหนึ่ง แล้วมานึกขึ้น รูปคนหรือรูปของเหล่านั้นก็มาปรากฏขึ้นในใจ เหมือนอย่างได้เห็นจริงๆ นร่เรียกว่าความจำรูป

    ก ถามว่า ยังไม่เข้าใจดี ขอให้ชี้ตัวอย่างให้ขาวอีกสักหน่อย?
    ข ตอบว่า เช่นกับเมื่อเช้านี้ เราได้พบคนรู้จักหรือได้พูดกัน ครั้นคนนั้นจากเราไปแล้ว เมื่อเรานึกถึงคนนั้น รูปร่างคนนั้นก็ปรากฏชัดเจนเหมือนเวลาที่พบกัน หรือได้เห็นของสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้ เมื่อเวลานึกขึ้นก็เห็นสิ่งนั้นชัดเจน เหมือนอย่างเวลาที่เห็น รวมเป็นสองอย่างคือ

    อุปาทินนกรูป รูปที่มีวิยญาน เช่น รูปคนหรือรูปสัตว์
    อนุปาทินนกรูป รูปที่ไม่มีวิญญานครอง ได้แก่สิ่งของต่างๆ หรือต้นไม้ดิน หินกรวด

    ก ถามว่า ถ้าเช่นนั้น คนเป็นก็เป็นรูปที่มีวิญญาน คนตายก็เป็นรูปที่ไม่มีวิญญษน อย่างนั้นหรือ?
    ข ตอบว่า ถูกแล้ว น่าสลดใจ ชาติเดียวไปได้ ๒ อย่าง

    ก ถามว่า ถ้าเช่นนั้นสัญญาก็เป็นเรื่องอขงอดีตทั้งนั้นไม่ใช่ปัจจุบัน?
    ข ตอบว่า อารมณ์นั้นเป็นอดีต แต่เอความจำปรากฏขึ้นในใจ เป็นสัญญาปัจจุบันนี่แหละ เรียกว่า สัญญาขันธ์

    ก ถามว่า ถ้าไม่รู้จักสัญญา เวลาที่ความจำรูปคนมาปรากฏขึ้นในใจ ก็ไม่รู้ว่าสัญญาของตัวเอง สำคัญว่าเป็นคนจริงๆ หรือความจำรูปที่ไม่มีวิญญานมาปรากฏขึ้นในใจ ก็ไม่รู้ว่าสัญญาสำคัญว่าสิ่งเป็นของจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้จะมีโทษอย่างไรบ้าง ขอท่านจงอธิบายให้ข้าพเจ้าเข้าใจ?
    ข ตอบว่า มีโทษมาก เช่นนึกถึงคนที่เรารักก็มาปรากฏกับใจ กามวิตกที่ยังไม่เกิดขึ้นก็จะเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็จะงอกงาม หรือนึกถึงคนที่โกรธกัน รูปร่างของคนที่โกรธกันนั้น ก็มาปรากฏชัดเจนเหมือนได้เห็นจริงๆ พยาบาทวิตกที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นก็จะเกืดขึ้น ที่เกืดขึ้นแล้วก็จะงอกงาม หรือนึกถึงสิ่งของทีสวยๆงามๆ รูปร่างสิ่งของเหล่านั้นก็มาปรากฏในใจ เกิดความชอบใจบ้าง แหละอยากได้บ้าง เพราะไม่รู้สัยญาขันธ์ของตัวเองเป็นสำคัญกว่าสิ่งทั้งปวง เป็นจริงเป็นจังไปหมด ที่แท้ก็เหลวทั้งนั้น


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 กรกฎาคม 2012
  6. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    ขออนุโมทนากับคุณ jiradech panatuhk ท่านทั้งสอง อธิบาย องค์มรรค ๘ ได้ลึกซึ้งครอบคลุมมาก
     
  7. junetaro

    junetaro สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +12
    สาธุ โมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้นะครับ อ่านแล้วได้อรรถรสจริงๆ ประหนึ่งว่าเราได้ไปนั่งฟังตอนที่ท่านสนนากันเลยครับ
     
  8. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    ก ถามว่า ก็ความเกิดขึ้นแห่งสัญญามีลักษณะอย่างไร?
    ข ตอบว่า เมื่อความจำรูปอย่างใดอย่างหนึ่งมาปรากฏในใจ เป็นความเกิดขึ้นแห่งความจำรูป เมื่อความจำรูปเหล่านั้นดับ หายไปจากใจ เป็นความดับไปแห่งความจำรูป

    ก ถามว่า ความจำเสียงนั้นมีลักษณะอย่างไร?
    ข ตอบว่า เช่นเวลาเราฟังเทศน์ เมื่อพระเทศน์จบแล้ว เรานึกขึ้นจำได้ว่าท่านแสดงว่าอย่างนั้นๆ หรือมีคนมาพูดเรื่องอะไรๆ ให้เราฟัง เมื่อเขาพูดเสร็จแล้ว เรานึกขึ้นจำถ้อยคำนั้นได้ นี่เป็นลักษณะของความจำเสียง เมื่อความจำเสียงปรากฏขึ้นในใจ เป็นความเกิดขึ้นแห่งความจำเสียง เมื่อความจำเสียงเหล่านั้นหายไปจากใจ เป็นความดับไปแห่งสัททสัญญา


    ก ถามว่า คันธสัญญา ความจำกลิ่นมีลักษณะอย่างไร?
    ข ตอบว่า เช่นกับเราเคยได้กลิ่นหอมดอกไม้หรือน้ำอบหรือกลิ่นเหม็นอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ เมื่อนึกขึ้นก็จำกลิ่นหอมกลิ่นเหม็นเหล่านั้นได้ นี่เป็นความเกิดขึ้นของความจำกลิ่น เมื่อความจำกลิ่นเหล่านั้นหายไปจากใจ เป็นความดับไปแห่งคันธสัญญา

    ก ถามว่า รสสัญญา ความจำรสนั้นมีลักษณะอย่างไร?
    ข ตอบว่า ความจำรสนั้น เมื่อเรารับประทานอาหารมีรสเปรี้ยว หวาน จืด เค็ม หรือขมเป็นต้น เมื่อรับประทานเสร็จแล้ว นึกขึ้นก็จำรสเหล่านั้นได้อย่างนี้เรียกว่า ความจำรส เมื่อความจำรสปรากฏขึ้นในใจเป็นความเกิดขึ้นแห่งรสสัญญา เมื่อความจำรสเหล่านั้นหายไปจากใจ เป็นความดับไปแห่งรสสัญญา

    ก ถามว่า โผฏฐัพพสัญญานั้น มีลักษณะอย่างไร?
    ข ตอบว่า ความจำเคื่องกระทบทางกาย เช่นเราเดืนไปเหยียบหนาม ถูกหนามยอก หรือถูกต้องเย็นร้อนอ่อนแข็ง อย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อนึกขึ้นจำความถูกต้องกระทบทางกายเหล่านั้นได้ ชื่อว่า โผฏฐัพพสัญญา


    ก ถามว่า เช่นเมื่อกลางวันนี้เราเดินทางไปถูกแดดร้อนจัด ครั้นกลับมาถึงบ้าน นึกถึงที่ไปถูกแดดมานั้น ก็จัดได้ว่าวันนั้นเราไปถูกแดดร้อน อย่างนี้เป็นโผฏฐัพพสัญญาถูกไหม?
    ข ตอบว่า ถูกแล้ว สิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบถูกต้องทางกาย เมื่อเรานึกถึงอารมณ์เหล่านั้นจำได้ เป็นโผฏฐัพพสัญญา เมื่อความจำเหล่านั้นหายไปจากใจ เป็นความดับไปแห่งโผฏฐัพพสัญญา

    ก ถามว่า ธัมมสัญญามีลักษณะอย่างไร?
    ข ตอบว่า ธัมมสัญญาความจำธัมมารมณ์นั้น ละเอียดยิ่งกว่าสัญญา ๕ ที่ได้อธิบายมาแล้ว

    ก ถามว่า ธัมมารมณ์นั้นได้แก่สิ่งอะไร?
    ข ตอบว่า เวทนาขัณธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ ๓ อย่างนี้ขึ้นชื่อว่าธัมมารมณ์ เช่นเราได้เสวยเวทนาที่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ไว้ แลเวทนาเหล่านั้นดับไปแล้ว นึกขึ้นจำได้อย่างนี้ ชื่อว่าความจำเวทนา หรือเราเคยท่องบ่นอะไรๆ จะจำได้มากก็ตามหรือจำได้น้อยก็ตาม เมื่อความจำเหล่านั้นดับไป พอนึกถึงความจำเก่า ก็มาเป็นสัญญาปัจจุบันขึ้น อย่างนี้เรียกว่าความจำสัญญา หรือเราคิดนึกเรื่องอะไรๆ ขึ้นเองด้วยใจ เมื่อความคิดเหล่านั้นดับไป พอเรานึกถึงเรื่องที่เคยคิดเอาไว้นั้น ก็จำเรื่องนั้นได้ นี่เรียกว่าความจำสังขารขันธ์ ความจำเรื่องราวของเวทนา สัญญา สังขาร เหล่านี้แหละชื่อว่า ธัมมสัญญา ความจำธัมมารมณ์ เมื่อความจำธัมมารมณ์มาปรากฏขึ้นในใจ เป็นความเกิดขึ้นแห่งธัมมสัญญา เมื่อความจำธัมมารมณ์เหล่านั้นดับหายไปจากใจ เป็นความดับไปแห่งธัมมาสัญญา

    ก ถามว่า แหมช่างซับซ้อนกันจริงๆ จะสังเกตุอย่างไรถูก?
    ข ตอบว่า ถ้ายังไม่รู้จักอาการขันธ์ ก็สังเกตุไม่ถูก ถ้ารู้จักแล้วก็สังเกตุได้ง่าย เหมือนคนที่รู้จักตัวแล รู้จักชื่อกัน ถึงจะพบหรือเห็นกันมากๆ คนก็รู้จักได้ทุกๆคน ถ้าคนที่ไม่เคยรู้จักตัวหรือรู้จักชื่อกันมาแต่คนเดียวก็ไม่รู้จักว่าผู้นั้นคือใคร สมด้วยพระพุทธสุภาษิตในคุหัฏฐกสูตรหน้า ๓๙๕ ทีว่า

    สญฺญ ปริญฺญา วิตเรยฺย โอฆํ สาธุชนมากำหนดรอบรู้สัญญาแล้วจะพึงข้ามโอฆะได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 444.jpg
      444.jpg
      ขนาดไฟล์:
      183.8 KB
      เปิดดู:
      41
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 สิงหาคม 2012
  9. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    ก ถามว่า สังขารขันธ์คิออะไร?
    ข ตอบว่า สังขารขันธ์คือความคิดความนึก

    ก ถามว่า สังขารขันธ์เป็นทุกขสัจ หรือเป็นสมุทัย?
    ข ตอบว่า เป็นทุกขสัจ ไม่ใช่สมุทัย

    ก ถามว่า ก็สังขารขันธ์ตามแบบอภิธัมมสังคหะ ท่านแจกไว้ว่า มีบาปธรรม ๑๔ โสภณเจตสิก ๒๕ อัญญสมนา ๑๓ รวมเป็นเจตสิก ๕๒ ดวงนั้นดูมีทั้งบุญทั้งบาป และไม่ใช่บุญไม่ใช่บาปปนกัน ทำไมจึงเป็นทุกสัจอย่างเดียว ข้าพเจ้ายังฉงนนัก?
    ข ตอบว่า อัญญสมนา ๑๓ ยกเวทนาสัยญาออกเสีย ๒ ขันธ์ เหลืออยู่ ๑๑ นี่แหละเป็นสังขารขันธ์แท้ จะต้องกำหนดรู้ว่าเป็นทุกข์ ส่วนบาปธรรม ๑๔ นั้น เป็นสมุทัยอาศัยสังขารขันธ์เกิดขึ้น เป็นส่วนปหาตัพพธรรมจะต้องละ ส่วนโสภณเจตสิก ๒๕ นั้น
    เป็นภาเวตัพพธรรมจะต้องเจริญ เพราะฉะนั้นบาปธรรม ๑๔ กับ โสภณเจตสิก ๒๕ ไม่ใช่สังขารแท้ เป็นแต่อาสัยสังขารขันธ์เกิดนึ้น จึงมีหน้าที่จะต้องละแลต้องเจริญ

    ความคิด ความนึกอะไรๆ ที่มาปรากฏขึ้นในใจ เป็นความเกิดขึ้นแห่งสังขารขันธ์
    ความคิดความนึกเหล่านั้นดับหายไปจากใจ ก็เป็นความดับไปแห่งสังขารขันธ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 สิงหาคม 2012
  10. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    ก ถามว่า วิญญานขันธ์ที่รู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ๖ อย่างนี้ มีลักษณะอย่างไร และเวลาเกิดขึ้นแลดับไปมีอาการอย่างไร?

    ข ตอบว่า
    คือ ตา ๑ รูป ๑ กระทบกันเข้า เกิดความรู้ทางตา เช่นกับเราได้เห็นคนหรือสิ่งของอะไรๆ ก็รู้ได้คนนั้นคนนี้ หรือ สิ่งนั้นสิ่งนี้ ชื่อว่า จักขุวิญญาณ เมื่อรูปมาปรากฏกับตา เกิดความรู้ทางตา เป็นความเดขึ้นแห่งจักขุวิญญาณ เมื่อความรู้ทางตาดับหายไป เป็นความดับไปแห่งจักขุวิญญาณ หรือความรู้ทางหู รู้กลิ่นทางจมูก รู้รสทางลิ้น รู้โผฏฐัพพะทางกายมาปรากฏขึ้น ก็เกิดเป็นความเกิดขึ้นแห่งโสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ เมื่อใจกับธัมมารมณ์มากระทบกันเข้าเกิดความรู้ทางใจเรียกว่า มโนวิญญาณ
     
  11. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    ถาม

    มโนวิญญาณความรู้ทางใจก็เหมือนกันกับธรรมสัญญา
    ความจำธัมมารมณ์อย่างนั้นหรือ

    เพราะนี่ก็รู้ว่าเวทนา สัญญา สังขาร นั่นก็จำเวทนา สัญญาสังขาร ?

    • ตอบ

    ต่างกัน เพราะสัญญานั้นจำอารมณ์ที่ล่วงแล้วแต่ตัวสัญญาเอง
    เป็นสัญญาปัจจุบัน
    ส่วนมโนวิญญาณนั้นรู้เวทนา สญญา สังขารที่เป็นอารมณ์ปัจจุบัน
    เมื่อความรู้เวทนา สัญญา สังขาร ดับ หายไปจากใจ
    เป็นความดับไปแห่งมโนวิญญาณ.

    • ถาม

    เช่นผงเข้าตา รู้ว่าเคืองตา เป็นรู้ทางตาใช่ไหม ?

    • ตอบ

    ไม่ใช่ เพราะรู้ทางตานั้น
    หมายถึงรูปที่มากระทบกับตาเกิดความรู้ขึ้น

    ส่วนผงเข้าตานั้นเป็นกายสัมผัส ต้องเรียกว่ารู้ โผฏฐัพพะ
    เพราะตานั้นเป็นกายผงนั้นเป็นโผฏฐัพพะ
    เกิดความรู้ขึ้น ชื่อว่ารู้ทางกาย

    ถ้าผงเข้าตาคนอื่น เขาวานเราไปดู
    เมื่อเราได้เห็นผงเกิดความรู้ขึ้น ชื่อว่ารู้ทางตา.

    • ถาม

    สาธุ ข้าพเจ้าเข้าใจได้ความในเรื่องนี้ชัดเจนดีแล้ว
    แต่ขันธ์ ๕ นั้นยังไม่ได้ความว่า
    จะเกิดขึ้นทีละอย่างสองอย่าง
    หรือว่าต้องเกิดพร้อมกันทั้ง ๕ ขันธ์.

    • ตอบ

    ต้องเกิดขึ้นพร้อมกันนั้นทั้ง ๕ ขันธ์.

    • ถาม

    ขันธ์ ๕ ที่เกิดพร้อมกันนั้น มีลักษณะอย่างไร ?
    และความดับไปมีอาการอย่างไร ?
    ขอให้ชี้ตัวอย่างให้ขาวสักหน่อย.

    • ตอบ

    เช่นเวลาเรานึกถึงรูปคนหรือรูปสิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่ง
    อาการที่นึกขึ้นนั้นเป็นลักษณะของสังขารขันธ์
    รูปร่างหรือสิ่งของเหล่านั้นมาปรากฏขึ้นในใจ
    นี่เป็นลักษณะของรูปสัญญา

    ความรู้ที่เกิดขึ้นในเวลานั้นนี่เป็นลักษณะของมโนวิญญาณ
    สุขหรือทุกข์หรืออุเบกขาที่เกิดขึ้นในคราวนั้น
    นี่เป็นลักษณะของเวทนามหาภูตรูป

    อย่างนี้เรียกว่าความเกิดขึ้นแห่งขันธ์พร้อมกันทั้ง ๕
    เมื่ออาการ ๕ อย่างเหล่านั้นดับไปเป็นความดับไปแห่งขันธ์ทั้ง๕.

    • ถาม

    ส่วนนามทั้ง ๔ เกิดขึ้นและดับไปพอจะเห็นด้วย
    แต่ที่ว่ารูปดับไปนั้นยังไม่เข้าใจ ?

    • ตอบ

    ส่วนรูปนั้นมีความแปรปรวนอยู่เสมอเช่นของเก่าเสื่อมไป
    ของใหม่เกิดแทนแต่ทว่าไม่เห็นเองเพราะรูปสันตติ
    รูปที่ติดต่อเนื่องกันบังเสีย จึงแลไม่เห็น
    แต่ก็ลองนึกดูถึงรูปตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้เปลี่ยนไปแล้วสักเท่าไร
    ถ้ารูปไม่ดับก็คงไม่มีเวลาแก่แลเวลาตาย.

    • ถาม

    ถ้าเราจะสังเกตขันธ์ ๕ ว่าเวลาเกิดขึ้นแลดับไปนั้น
    จะสังเกตอย่างไรจึงจะเห็นได้
    แลที่ว่าขันธ์สิ้นไปเสื่อมไปนั้นมีลักษณะอย่างไร
    เพราะว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
    แล้วก็เกิดขึ้นได้อีกดูเป็นของคงที่ไม่เห็นมีความเสื่อม ?
     
  12. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    •ตอบ

    พูดกับคนที่ไม่เคยเห็นความจริงนั้น ช่างน่าขันเสียเหลือเกิน

    วิธีสังเกตขันธ์ ๕ นั้น
    ก็ต้องศึกษาให้รู้จักอาการขันธ์ตามความเป็นจริง
    แล้วก็มีสติสงบความคิดอื่นเสียหมดแล้ว
    จนเป็นอารมณ์อันเดียวที่เรียกว่าสมาธิ
    ในเวลานั้นความคิดอะไรๆ ไม่มีแล้ว


    ส่วนรูปนั้นหมายลมหายใจ
    ส่วนเวทนาก็มีแต่ปีติหรือสุข
    ส่วนสัญญาก็เป็นธรรมสัญญาอย่างเดียว
    ส่วนสังขารเวลานั้นเป็นสติกับสมาธิ หรือวิตกวิจารณ์อยู่
    ส่วนวิญญาณก็เป็นแต่ความรู้อยู่ในเรื่องที่สงบนั้น

    ในเวลานั้นขันธ์ ๕ เข้าไปรวมอยู่เป็นอารมณ์เดียว
    ในเวลานั้นต้องสังเกตอารมณ์ปัจจุบัน
    ที่ปรากฏอยู่เป็นความเกิดขึ้นแห่งขันธ์
    พออารมณ์ปัจจุบันนั้นดับไปเป็นความดับไปแห่งนามขันธ์

    ส่วนรูปนั้นเช่นลมหายใจออกมาแล้ว
    พอหายใจกลับเข้าไปลมหายใจออกนั้นก็ดับไปแล้ว
    ครั้นกลับมาหายใจออกอีกลมหายใจเข้าก็ดับไปแล้ว
    นี่แหละเป็นความดับไปแห่งขันธ์ทั้ง ๕
    แล้วปรากฏขึ้นมากอีก ก็เป็นความเกิดขึ้น

    ทุกๆ อารมณ์แลขันธ์ ๕ ที่เกิดขึ้นดับไป ไม่ใช่ดับไปเปล่าๆ
    รูปชีวิตินทรีย์ความเป็นอยู่ของนามขันธ์ทั้ง ๕
    เมื่ออารมณ์ดับไปครั้งหนึ่ง
    ชีวิตแลอายุของขันธ์ทั้ง ๕ ก็สิ้นไปหมดไปทุกๆ อารมณ์.


    • ถาม

    วิธีสังเกตอาการขันธ์ที่สิ้นไปเสื่อมไปนั้นหมายเอาหรือคิดเอา ?

    • ตอบ

    หมายเอาก็เป็นสัญญา คิดเอาก็เป็นเจตนา
    เพราะฉะนั้นไม่ใช่หมายไม่ใช่คิด
    ต้องเข้าไปเห็นความจริงที่ปรากฏเฉพาะหน้า
    จึงจะเป็นปัญญาได้.

    • ถาม

    ถ้าเช่นนั้นจะดูความสิ้นไปเสื่อมไปของขันธ์ทั้ง ๕
    มิต้องตั้งพิธีทำใจให้เป็นสมาธิทุกคราวไปหรือ ?

    • ตอบ

    ถ้ายังไม่เคยเห็นความจริงก็ต้องตั้งพิธีเช่นนี้ร่ำไป
    ถ้าเคยเห็นความจริงเสียแล้วก็ไม่ต้องตั้งพิธี
    ทำใจให้เป็นสมาธิทุกคราวก็ได้

    แต่พอมีสติขึ้น
    ความจริงก็ปรากฏเพราะเคยเห็นแลรู้จักความจริงเสียแล้ว
    เมื่อมีสติรู้ตัวขึ้นมาเวลาใด
    ก็เป็นสมถวิปัสสนากำกับกันไปทุกคราว.


    • ถาม

    ที่ว่าชีวิตแลอายุของขันธ์สิ้นไปเสื่อมไปนั้น
    คือ สิ้นไปเสื่อมไปอย่างไร ?

    • ตอบ

    เช่นเราจะมีลมหายใจอยู่ได้สัก ๑๐๐ หนก็จะตาย
    ถ้าหายใจเสียหนหนึ่งแล้ว ก็คงเหลืออีก ๙๙ หน
    หรือเราจะคิดจะนึกอะไรได้สัก ๑๐๐ หน
    เมื่อคิดนึกเสียหนหนึ่งแล้ว คงเหลืออีก ๙๙ หน

    ถ้าเป็นอายุยืนก็หายใจอยู่ได้มากหน
    หรือคิดนึกอะไรๆ อยู่ได้มากหน
    ถ้าเป็นคนอายุสั้น ก็มีลมหายใจและคิดนึกอะไรๆ อยุ่ได้น้อยหน
    ที่สุดก็หมดลงวันหนึ่ง เพราะจะต้องตายเป็นธรรมดา.

    • ถาม

    ถ้าเราจะหมายจะคิดอยู่ในเรื่องความจริงของขันธ์อย่างนี้
    จะเป็นปัญญาไหม ?

    • ตอบ

    ถ้าคิดเอาหมายเอา ก็เป็นสมถะ ที่เรียกว่า มรณัสสติ
    เพราะปัญญานั้น ไม่ใช่เรื่องหมายหรือเรื่องคิด
    เป็นเรื่องของความเห็นอารมณ์ปัจจุบันที่ปรากฏเฉพาะหน้า
    ราวกับตาเห็นรูปจึงจะเป็นปัญญา.
     
  13. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    • ถาม

    เมื่อจิตสงบแล้ว ก็คอยสังเกตดูเอาอาการขันธ์ที่เป็นอารมณ์ปัจจุบัน
    เพื่อจะให้เห็นความจริง นั้นเป็นเจตนาใช่ไหม ?

    • ตอบ

    เวลานั้นเป็นเจตนาจริงอยู่ แต่ความจริงก็ยังไม่ปรากฏ
    เวลาที่ความจริงปรากฏขึ้นนั้นพ้นเจตนาทีเดียว
    ไม่มีเจตนาเลย เป็นความเห็นที่เกิดขึ้นเป็นพิเศษต่อจากจิตที่สงบแล้ว.

    • ถาม

    จิตคู่กับเจตสิก ใจคู่กับธัมมารมณ์
    มโนธาตุคู่กับธรรมธาตุ ๓ คู่นี้เหมือนกันหรือต่างกัน ?

    • ตอบ

    เหมือนกัน เพราะว่าจิต กับมโนธาตุ กับใจนั้น อย่างเดียวกัน
    ส่วนใจนั้นเป็นภาษาไทย ภาษาบาลี ท่านเรียกว่า มโน
    เจตสิกนั้นก็ได้แก่เวทนา สัญญา สังขาร
    ธัมมารมณ์นั้นก็ คือ เวทนา สัญญา สังขาร
    ธรรมธาตุ นั้นก็ คือ เวทนา สัญญา สังขาร .

    • ถาม

    ใจนั้นทำไมจึงไม่ค่อยปรากฏ
    เวลาที่สังเกตดูก็เห็นแต่เหล่าธัมมารมณ์
    คือ เวทนาบ้าง สัญญาบ้าง สังขารบ้าง มโนวิญญาณ ความรู้ทางใจบ้าง
    เพราะเหตุใดจึงไม่ปรากฏเหมือนเหล่าธัมมารมณ์ กับมโนวิญญาณ ?

    • ตอบ

    ใจนั้นเป็นของละเอียด เห็นได้ยาก
    เพราะพวกเจตสิกธรรมที่เป็นเหล่าธัมมารมณ์มากระทบเข้า
    ก็เกิดมโนวิญญาณ ถูกผสมเป็นมโนสัมผัสเลยทีเดียว
    จึงแลไม่เห็นมโนธาตุได้.

    • ถาม

    อุเบกขาในจตุตถฌาน เป็นอทุกขมสุขเวทนาใช่หรือไม่ ?

    • ตอบ

    ไม่ใช่ อทุกขมสุขเวทนานั้นเป็นเจตสิกธรรม
    ส่วนอุเบกขาในจตุตถฌานนั้นเป็นจิต.

    • ถาม

    สังโยชน์ ๑๐ นั่น คือ
    สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาส กามราคะ
    พยาบาท รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา
    ที่แบ่งเป็นสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ เบื้องบน ๕ นั้น
    ก็ส่วนสักกายทิฏฐิ ที่ท่านแจกไว้
    ตามแบบขันธ์ละ ๔ รวม ๕ ขันธ์เป็น ๒๐

    ที่ว่า ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตัวตนบ้าง
    ย่อมเห็นตัวตนว่ามีรูปบ้าง
    ย่อมเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    โดยความเป็นตัวตนบ้าง
    ย่อมเห็นตัวตนว่ามีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณบ้าง
    ย่อมเห็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณในตัวตนบ้าง
    ย่อมเห็นตัวตนในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณบ้าง

    ถ้าฟังดูท่านที่ละสักกายทิฏฐิได้แล้ว ดูไม่เป็นตัวเป็นตน
    แต่ทำไมพระโสดาบันก็ละสักกายทิฏฐิได้แล้ว
    สังโยชน์ยังอยู่อีกถึง ๗ ข้าพเจ้าฉงนนัก?

    • ตอบ

    สักกายทิฏฐิ ที่ท่านแปลไว้ตามแบบ
    ใครๆฟังก็ไม่ใคร่เข้าใจ
    เพราะท่านแต่ก่อน ท่านพูดภาษามคธกัน
    ท่านเข้าใจได้ความกันดี

    ส่วนเราเป็นไทยถึงแปลแล้วก็จะไม่เข้าของท่าน
    จึงลงความเห็นว่าไม่เป็นตัวเป็นตนเสีย ดูออกจะแรงมากไป

    ควรจะนึกถึงพระโกณฑัญญะ
    ในธัมมจักรท่านได้เป็นโสดาบันก่อนคนอื่นท่านได้ความเห็นว่า

    ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺ ตํ นิโรธธมมํ

    สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
    สิ่งนั้นล้วนมีความดับเป็นธรรมดา


    แลพระสารีบุตรพบพระอัสสชิ ได้ฟังอริยสัจย่อว่า.

    เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตํ ตถาคโต เตสญฺจ
    โย นิโรโธ จ เอวํวาที มหาสมโณ

    “ธรรมเหล่าใดเกิดแต่ธาตุ
    พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุของธรรมเหล่านั้น
    และความดับของธรรมเหล่านั้น
    พระมหาสมณะมีปรกติกล่าวอย่างนี้”


    ท่านก็ได้ดวงตาเห็นธรรม ละสักกายทิฏฐิได้.
     
  14. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    • ถาม

    ถ้าเช่นนั้นท่านก็เห็นความจริงของปัญจขันธ์ถ่ายความเห็นผิด
    คือ ทิฏฐิวิปลาสเสียได้

    ส่วนสีลัพพัดกับวิจิกิจฉา ๒ อย่างนั้น ทำไมจึงหมดไปด้วย ?

    • ตอบ

    สักกายทิฏฐินั้น เป็นเรื่องของความเห็นผิด

    ถึงสีลัพพัตก็เกี่ยวกับความเห็นว่า
    สิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกจะได้ดีให้ชั่วได้
    วิจิกิจฉานั้นเมื่อผู้ที่ยังไม่เคยเห็นความจริง
    ก็ต้องสงสัยเป็นธรรมดา

    เพราะฉะนั้นท่านที่ได้ดวงตาเห็นธรรม
    คือ เห็นความจริงของสังขารทั้งปวง


    ส่วนสีลัพพัตน้น เพราะความเห็นของท่านตรงแล้วจึงเป็นอจลสัทธา
    ไม่เห็นไปว่าสิ่งอื่น นอกจากกรรมที่เป็นกุศลแลอกุศล
    จะให้ดีให้ชั่วได้จึงเป็นอันละสีลัพพัตอยู่เอง


    เพราะสังโยชน์ ๓ เป็นกิเลสประเภทเดียวกัน.

    • ถาม

    ถ้าตอบสังโยชน์ ๓ อย่างนี้แล้ว
    มิขัดกันกับสักกายทิฏฐิตามแบบที่ว่า ไม่เป็นตัวเป็นตนหรือ ?

    • ตอบ

    คำที่ว่าไม่เป็นตัวเป็นตนนั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจเอาเองต่างหาก
    เช่น กับพระโกณฑัญญะเมื่อฟังธรรมจักร
    ท่านก็ละสักกายทิฏฐิได้แล้ว
    ทำไมจึงต้องฟังอนัตตลักขณะสูตรอีกเล่า
    นี่ก็ส่อให้เห็นได้ว่าท่านผู้ที่ละสักกายทิฏฐิได้นั้น
    คงไม่ใช่เห็นว่าไม่เป็นตัวเป็นตน.

    • ถาม

    ถ้าเช่นนั้นที่ว่าอนัตตา ก็คือเห็นว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอย่างนั้นหรือ ?

    • ตอบ

    อนัตตาในอนัตตลักขณะสูตร
    ที่พระพุทธเจ้าทรงซักพระปัญจวัคคีย์
    มีเนื้อความว่าขันธ์ ๕ ไม่เป็นไปในอำนาจ
    สิ่งที่ไม่เป็นไปในอำนาจบังคับไม่ได้จึงชื่อว่าเป็นอนัตตา

    ถ้าขันธ์ ๕ เป็นอัตตาแล้วก็คงจะบังคับได้
    เพราะฉะนั้นเราจึงควรเอาความว่าขันธ์ ๕ ที่ไม่อยู่ในอำนาจ
    จึงเป็นอนัตตา เพราะเหตุที่บังคับไม่ได้
    ถ้าขันธ์ ๕ เป็นอัตตาตัวตนก็คงจะบังคับได้.

    • ถาม

    ถ้าเช่นนั้นเห็นอย่างไรเล่าจึงเป็นสักกายทิฏฐิ ?

    • ตอบ

    ตามความเห็นของข้าพเจ้าว่า ไม่รู้จักขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง เ
    ห็นปัญจขันธ์ว่าตน และเที่ยงสุขเป็นตัวตนแก่นสาร
    และเลยเห็นไปว่าเป็นสุภะความงามด้วย ที่เรียกว่าทิฏฐิวิปลาส
    นี่แหละเป็นสักกายทิฏฐิเพราะฉะนั้นจึงเป็นคู่ปรับกัน

    ยงฺกิญจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ

    ซึ่งเป็นความเห็นถูกความเห็นชอบจึงถ่ายความเห็นผิดเหล่านั้นได้.

    • ถาม

    ถ้าเช่นนั้น ท่านที่ละสักกายทิฏฐิได้แล้ว อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา
    จะเป็นอัธยาศัยได้ไหม ?

    • ตอบ

    ถ้าฟังดูตามแบบท่านเห็น

    ยงฺกิญจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ ชัดเจน

    อนิจฺจํ คงเป็นอัธยาศัย
    ส่วนทุกขํกับอนตฺตา ถึงจะเห็นก็ไม่เป็นอัธยาศัย

    เข้าใจว่าถ้าเห็น ปัญจขันธ์ เป็นทุกข์มากเข้า
    กามราคะพยาบาท ก็คงน้อย

    ถ้าเห็นปัญจขันธ์เป็นอนัตตามากเข้า
    กามราคะพยาบาท ก็คงหมด

    ถ้าเห็นว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ชัดเจนเข้า
    สังโยชน์เบื้องบน ก็คงหมด

    นี่เป็นส่วนความเข้าใจ
    แต่ตามแบบท่านก็ไม่ได้อธิบายไว้.


    • ถาม

    ที่ว่าพระสกิทาคามี ทำกามราคพยาบาทให้น้อยนั้น ดุมัวไม่ชัดเจน
    เพราะไม่ทราบว่าน้อยแค่ไหนไม่แตกหักเหมือนพระโสดาบัน
    พระอนาคามีแลพระอรหันต์ ?
     
  15. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    • ตอบ

    แตกหักหรือไม่แตกหักก็ใครจะไปรู้ของท่านเพราะว่าเป็นของเฉพาะตัว.

    • ถาม

    ถ้าจะสันนิษฐานไปตามแนวพระปริยัติก็จะชี้ตัวอย่างให้เข้าใจบ้างหรือไม่ ?

    • ตอบ

    การสันนิษฐานนั้นเป็นของไม่แน่ ไม่เหมือนอย่างได้รู้เองเห็นเอง.

    • ถาม

    แน่หรือไม่แน่ก็เอาเถิด ข้าพเจ้าอยากฟัง ?

    • ตอบ

    ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าท่านที่ได้เป็นโสดาบันเสร็จแล้ว
    มีอัธยาศัยใจคอซึ่งต่างกับปุถุชน
    ท่านได้ละกามราคะพยาบาทส่วนหยาบถึงล่วงทุจริต
    ซึ่งเป็นฝ่ายอนาคามีได้ คงเหลือแต่อย่างกลาง อย่างละเอียดอีก ๒ ส่วน

    ภายหลังท่านเจริญสมถวิปัสสนามากขึ้น
    ก็ละกามราคะปฏิฆะสังโยชน์อย่างกลางได้อีกส่วน ๑
    ข้าพเจ้าเห็นว่านี่แหละเป็นมรรคที่ ๒

    ต่อมาท่านประพฤติปฏิบัติละเอียดเข้า
    ก็ละกามราคะ พยาบาท
    ที่เป็นอย่างละเอียดได้ขาด ชื่อว่าพระอนาคามี.

    • ถาม

    กามราคะ พยาบาทอย่างหยาบ
    ถึงกับล่วงทุจริตหมายทุจริตอย่างไหน ?

    • ตอบ

    หมายเอาอกุศลกรรมบถ ๑๐ ว่าเป็นทุจริตอย่างหยาบ.

    • ถาม

    ถ้าเช่นนั้นพระโสดาบันท่านก็ละอกุศลกรรมบถ ๑๐ ได้ เป็นสมุจเฉทหรือ ?

    • ตอบ

    ตามความเห็นของข้าพเจ้า เห็นว่า กายทุจริต ๓
    คือ ปาณา อทินนา กาเมสุมิจฉาจาร

    มโนทุจริต ๓
    อภิชฺฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ
    นี้ละขาดได้เป็นสมุจเฉท


    ส่วนวจีกรรมที่ ๔ คือมุสาวาทก็ละได้ขาด
    ส่วนวจีกรรมอีก ๓ ตัว คือ ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาปละ
    ได้แต่ส่วนหยาบที่ปุถุชนกล่าวอยู่
    แต่ส่วนละเอียดยังละไม่ได้ต้องอาศัยสังวรความระวังไว้.

    • ถาม

    ที่ต้องสำรวมวจีกรรม ๓ เพราะเหตุอะไร
    ทำไมจึงไม่ขาดอย่างมุสาวาท ?

    • ตอบ

    เป็นด้วยกามราคะกับปฏิฆะสังโยชน์ทั้งยังละไม่ได้.

    • ถาม

    วจีกรรม ๓ มาเกี่ยวอะไรกับสังโยชน์ทั้ง ๒ ด้วยเล่า ?

    • ตอบ

    บางคาบบางสมัย เป็นต้นว่ามีเรื่องที่จำเป็นเกิดขึ้น
    ในคนรักของท่านกับคนอีกคนหนึ่ง
    ซึ่งเขาทำความไม่ดีอย่างใดอย่างหนึ่ง
    จำเป็นที่จะต้องพูด

    ครั้นพูดไปแล้วเป็นเหตุให้เขาห่างจากคนนั้น จึงต้องระวัง

    ส่วนปิสุณาวาจา
    บางคราวความโกรธเกิดขึ้นที่สุดจะพูดออกไป
    ด้วยกำลังใจที่โกรธว่าพ่อมหาจำเริญ แม่มหาจำเริญ
    ที่เรียกว่าประชดท่าน
    ก็สงเคราะห์เข้าในผรุสวาจา
    เพราะเหตุนั้นจึงต้องสำรวม

    ส่วนสัมผัปปลาป นั้นดิรัจฉานกถาต่างๆ มีมาก
    ถ้าสมัยที่เผลอสติมีคนมาพูดก็อาจจะพลอยพูดไปด้วยได้
    เพราะเหตุนั้นจึงต้องสำรวม.

    • ถาม

    อ้อพระโสดาบันยังมีเวลาเผลอสติอยู่หรือ ?

    • ตอบ

    ทำไมท่านจะไม่เผลอ
    สังโยชน์ยังอยู่อีกถึง ๗
    ท่านไม่ใช่พระอรหันต์จะได้บริบูรณ์ด้วยสติ.

    • ถาม

    กามราคะ พยาบาท อย่างกลางหมายความเอาแค่ไหน
    เมื่อเกิดขึ้นได้รู้ ?

    • ตอบ

    ความรักและความโกรธที่ปรากฏขึ้น
    มีเวลาสั้นหายเร็วไม่ถึงกับล่วงทุจริต
    นี่แหละเป็นอย่างกลาง.

    • ถาม

    ก็กามราคะ พยาบาท อย่างละเอียดนั้นหมายเอาแค่ไหน
    แลเรียกว่าพยาบาทดูหยาบมาก เพราะเป็นชื่อของอกุศล ?
     
  16. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    • ตอบ

    บางแห่งท่านก็เรียกว่าปฏิฆะสังโยชน์ก็มี
    แต่ความเห็นของข้าพเจ้าว่า ไม่ควรเรียกพยาบาท
    ควรเรียกปฏิฆะสังโยชน์ดูเหมาะดี.

    • ถาม

    ก็ปฏิฆะกับกามราคะที่อย่างละเอียดนั้นจะได้แก่อาการของจิตเช่นใด ?

    • ตอบ

    ความกำหนัดที่อย่างละเอียด
    พอปรากฏขึ้นไม่ทันคิดออกไปก็หายทันที
    ส่วนปฏิฆะนั้น เช่นคนที่สาเหตุโกรธกัมมาแต่ก่อน
    ครั้นนานมาคนโกรธนั้นก็หายไปแล้ว
    และไม่ได้นึกถึงเสียเลย

    ครั้นไปถึงที่ประชุมแห่งใดแห่งหนึ่ง
    ไปพบคนนั้นเข้ามีอาการสะดุดใจ
    ไม่สนิทสนมหรือเก้อเขิน
    ผิดกับคนธรรมดาซึ่งไม่เคยมีสาเหตุกัน

    ข้าพเจ้าเห็นว่าอาการเหล่านี้เป็นอย่างละเอียด
    ควรจะเรียกปฏิฆะสังโยชน์ได้
    แต่ตามแบบท่านไม่ได้อธิบายไว้.

    • ถาม

    สังโยชน์ทั้ง ๒ นี้ เห็นจะเกิดจากคนโดยตรง
    ไม่ใช่เกิดจากสิ่งของทรัพย์สมบัติอื่น ๆ ?

    • ตอบ

    ถูกแล้ว เช่นวิสาขะอุบาสกเป็นพระอนาคามีได้ยินว่า
    หลีกจากนางธัมมทินนา
    ไม่ได้หลีกจากสิ่งของทรัพย์สมบัติอื่น ๆ
    ส่วนความโกรธหรือปฏิฆะที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องของคนทั้งนั้น
    ถึงแม้จะเป็นเรื่องสิ่งของก็เกี่ยวข้องกับคน
    ตกลงโกรธคนนั่นเอง.

    • ถาม

    ส่วนสังโยชน์เบื้องต่ำนั้น ก็ได้รับความอธิบายมามากแล้ว
    แต่ส่วนสังโยชน์เบื้องบน ๕ ตามแบบที่อธิบายไว้ว่า รูปราคะ
    คือ ยินดีในรูปฌาน อรูปราคะ ยินดีในอรูปฌาน
    ถ้าเช่นนั้นคนที่ไม่ได้บรรลุฌานสมาบัติ ๘ สังโยชน์ทั้ง ๒
    ก็ไม่มีโอกาสจะเกิดได้

    เมื่อเป็นเช่นนี้สังโยชน์ ๒ ไม่มีหรือ ?

    • ตอบ

    มี ไม่เกิดในฌาน ก็ไปเกิดในเรื่องอื่น.

    • ถาม

    เกิดในเรื่องไหนบ้าง ขอท่านจงอธิบายให้ข้าพเจ้าเข้าใจ ?

    • ตอบ

    ความยินดีในรูปขันธ์
    หรือความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้นชื่อว่า รูปราคะ

    ความยินดีในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    หรือยินดีในสมถวิปัสสนา
    หรือยินดีในส่วนมรรคผล ที่ได้บรรลุเสขคุณแล้ว
    เหล่านี้ก็เป็น อรูปราคะ ได้.


    • ถาม

    ก็ความยินดีในกาม ๕ พระอนาคามีละได้แล้วไม่ใช่หรือ
    ทำไมจึงมาเกี่ยวกับสังโยชน์เบื้องบนอีกเล่า ?

    • ตอบ

    กามมี ๒ ชั้น ไม่ใช่ชั้นเดียว

    ที่พระอนาคามีละนั้น เป็นส่วนความกำหนัดในเมถุน
    ซึ่งเป็นคู่กับพยาบาท

    ส่วนความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
    ที่ไม่ได้เกี่ยวกับเมถุน จึงเป็นสังโยชน์เบื้องบน คือ รูปราคะ

    ส่วนความยินดีในนามขันธ์ทั้ง ๔
    หรือ สมถวิปัสสนาหรือมรรคผลชั้นต้นๆ เหล่านี้ ชื่อว่า อรูปราคะ
    ซึ่งตรงกับความยินดีในธัมมารมณ์


    เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ทั้งหลายเบื่อหน่ายในรูปขันธ์
    หรือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
    เป็นภายนอกจึงได้สิ้นไปแห่งรูป ราคะสังโยชน์
    และท่านเบื่อในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    และสมถหรือวิปัสสนาที่อาศัยขันธ์
    เกิดขึ้นเมื่อท่านสิ้นความยินดีในนามขันธ์แล้ว

    แม้ธรรมทั้งหลายอาศัยขันธ์เกิดขึ้นท่านก็ไม่ยินดี
    ได้ชื่อว่าละความยินดียินร้ายในนามรูปหมดแล้ว
    ท่านจึงเป็นผู้พ้นแล้วจากความยินดียินร้ายในอารมณ์ ๖
    จึงถึงพร้อมด้วยคุณ คือ ฉะลังคุเบกขา.


    • ถาม

    แปลกมากยังไม่เคยได้ยินใครอธิบายอย่างนี้
    ส่วนมานะสังโยชน์นั้น มีอาการอย่างไร ?

    • ตอบ

    มานะสังโยชน์นั้นมีอาการให้วัด
    เช่นกับนึกถึงตัวของตัว ก็รู้สึกว่าเป็นเรา

    ส่วนคนอื่นก็เห็นว่าเป็นเขา แลเห็นว่าเราเสมอกับเขา
    หรือเราสูงกว่าเขาหรือเราต่ำกว่าเขา

    อาการที่วัดชนิดนี้แหละเป็นมานะสังโยชน์
    ซึ่งเป็นคู่ปรับกับอนัตตา

    หรือ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา.

    • ถาม

    ก็อุทธัจจสังโยชน์นั้นมีลักษณะอย่างไร
    เช่นพระอนาคามีละสังโยชน์เบื้องต่ำได้หมดแล้ว
    ส่วนอุทธัจจสังโยชน์จะฟุ้งไปทางไหน ?

    • ตอบ

    ตามแบบท่านอธิบายไว้ว่าฟุ้งไปในธรรม
    เพราะท่านยังไม่เสร็จกิจจึงได้ฝักใฝ่อยู่ในธรรม.

    • ถาม

    อวิชชาสังโยชน์นั้นไม่รู้อะไร ?

    • ตอบ

    ตามแบบท่านอธิบายไว้ว่า

    ไม่รู้ขันธ์ที่เป็นอดีต ๑ อนาคต ๑ ปัจจุบัน ๑
    อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท ๑
    ความไม่รู้ในที่ ๘ อย่างนี้แหละชื่อว่า อวิชชา.


    • ถาม

    พระเสขบุคคลท่านก็รู้อริยสัจ ๔ ด้วยกัน ทั้งนั้น
    ทำไม่อวิชชาสังโยชน์จึงยังอยู่ ?

    • ตอบ

    อวิชชามีหลายชั้น เพราะฉะนั้นวิชชาก็หลายชั้น
    ส่วนพระเสขบุคคล มรรคแลผลชั้นใดที่ท่านได้บรรลุแล้ว
    ท่านก็รู้เป็นวิชชาขึ้น ชั้นใดยังไม่รู้ ก็ยังเป็นอวิชชาอยู่
    เพราะฉะนั้นจึงหมดในขั้นที่สุด คือ พระอรหันต์.


    • ถาม

    พระเสขบุคคลท่านเห็นอริยสัจ แต่ละตัณหาไม่ได้
    มิไม่ได้ทำกิจในอริยสัจหรือ ?

    • ตอบ

    ท่านก็ทำทุกชั้นนั้นแหละ แต่ก็ทำตามกำลัง.

    • ถาม

    ที่ว่าทำตามชั้นนั้นทำอย่างไร ?

    • ตอบ

    เช่น พระโสดาบัน ได้เห็นปัญจขันธ์ เกิดขึ้นดับไป
    ก็ชื่อว่าได้กำหนดรู้ทุกข์ และได้ละ สังโยชน์ ๓
    หรือ ทุจริตส่วนหยาบๆ ก็เป็นอันละสมุทัย
    ความที่สังโยชน์ ๓ สิ้นไปเป็นส่วนนิโรธตามชั้นของท่าน

    ส่วนมรรคท่านก็ได้เจริญมีกำลังพอละ สังโยชน์ ๓ ได้
    แลท่านปิดอบายได้ชื่อว่าทำภพคือทุคติให้หมดไป
    ที่ตามแบบเรียกว่า ขีณนิรโย มีนรกสิ้นแล้ว

    ส่วนพระสกิทาคามี ก็ได้กำหนดทุกข์ คือ ปัญจขันธ์
    แล้วแลละกามราคะ พยาบาทอย่างกลางได้ชื่อว่าละสมุทัย
    ข้อที่กามราคะ พยาบาทอย่างกลางหมดไป
    จึงเป็นนิโรธของท่าน

    ส่วนมรรคนั้นก็เจริญมาได้เพียงละกามราคะพยาบาท
    อย่างกลางนี้แหละจึงได้ทำภพชาติให้น้อยลง

    ส่วน พระอนาคามี ทุกข์ได้กำหนดแล้ว
    ละกามราคะพยาบาท
    ส่วนละเอียดหมดได้ชื่อว่าละสมุทัย
    กามราคะพยาบาทอย่างละเอียดที่หมดไปจึงเป็นนิโรธของท่าน

    ส่วนมรรคนั้นก็ได้เจริญมาเพียงละสังโยชน์ ๕ ได้หมด
    แลได้สิ้นภพ คือ กามธาตุ.
     
  17. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    • ถาม

    ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เป็นโลกีย์กับโลกุตตรนั้น ต่างกันอย่างไร ?

    • ตอบ

    ศีล สมาธิ ปัญญา ของผู้ปฏิบัติ
    อยู่ในภูมิกามาพจร รูปาพจร อรูปาพจร
    นี่แหละเป็นโลกีย์ที่เรียกว่า วัฏฏคามีกุศล
    เป็นกุศลที่วนอยู่ในโลก

    ส่วนศีล สมาธิ ปัญญา
    ของท่านผู้ปฏิบัติตั้งแต่โสดาบันไปแล้ว
    เรียกว่า วิวัฏฏคามีกุศล
    เป็นเครื่องข้ามขึ้นจากโลก
    นี่แหละเป็นโลกุตตร.


    • ถาม

    ท่านที่บรรลุฌานถึงอรูปสมาบัติแล้ว ก็ยังเป็นโลกีย์อยู่
    ถ้าเช่นนั้นเราจะปฏิบัติให้เป็นโลกุตตรก็เห็นจะเหลือวิสัย ?

    • ตอบ

    ไม่เหลือวิสัย พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงแสงธรรมสั่งสอน
    ถ้าเหลือวิสัยพระองค์ก็คงไม่ทรงแสดง.

    • ถาม

    ถ้าเราไม่ได้บรรลุฌานชั้นสูง ๆ
    จะเจริญปัญญาเพื่อให้ถึงซึ่งมรรคแลผลจะได้ไหม ?

    • ตอบ

    ได้เพราะวิธีที่เจริญปัญญาก็ต้องอาศัยสมาธิจริงอยู่
    แต่ไม่ต้องถึงกับฌาน อาศัยสงบจิตที่พ้นนิวรณ์
    ก็พอเป็นบาทของวิปัสสนาได้.

    • ถาม

    ความสงัดจากกามจากอกุศลที่ผู้บรรลุฌานโลกีย์
    กับความสงัดจากกาม
    จากอกุศลของพระอนาคามีต่างกันอย่างไร ?


    • ตอบ

    ต่างกันมาก ตรงกันข้ามที่เดียว.

    • ถาม

    ทำไมจึงได้ต่างกันถึงกับตรงกันข้ามทีเดียว ?

    • ตอบ

    ฌานที่เป็นโลกีย์ ต้องอาศัยความเพียร
    มีสติคอยระวังละอกุศล
    แลความเจริญกุศลให้เกิดขึ้นมีฌานเป็นต้น

    และยังต้องทำกิจที่คอยรักษาฌานนั้นไว้ไม่ให้เสื่อม
    ถึงแม้จะเป็นอรูปฌานที่ว่าไม่เสื่อมในชาตินี้
    ชาติหน้าต่อๆไปก็อาจจะเสื่อมได้
    เพราะเป็น กุปปธรรม.



    • ถาม

    ถ้าเช่นนั้น ส่วนความสงัดจากกามอกุศลของ อนาคามี
    ท่านไม่มีเวลาเสื่อมหรือ ?

    • ตอบ

    พระอนาคามี ท่านละ กามราคะสังโยชน์
    กับ ปฏิฆะสังโยชน์ได้ขาด

    เพราะฉะนั้นความสงัดจากกามจากอกุศลของท่าน
    เป็นอัธยาศัย ที่เป็นเองอยู่เสมอ
    โดยไม่ต้องอาศัยความเพียรเหมือนอย่างฌานที่เป็นโลกีย์
    ส่วนวิจิกิจฉาสังโยชน์นั้นหมดมาตั้งแต่เป็นโสดาบันแล้ว

    เพราะฉะนั้นอุทธัจจนิวรณ์ที่ฟุ้งไปหากามและพยาบาทก็ไม่มี
    ถึงถีนะมิทธนิวรณ์ก็ไม่มี

    เพราะเหตุนั้นความสงัดจากกามจากอกุศลของท่านจึงไม่เสื่อม
    เพราะเป็นเองไม่ใช่ทำเอาเหมือนอย่างฌานโลกีย์.


    • ถาม

    ถ้าเช่นนั้นผู้ที่ได้บรรลุพระอนาคามี
    ความสงัดจากกามจากอกุศล
    ที่เป็นเองมิไม่มีหรือ ?

    • ตอบ

    ถ้านึกถึง พระสกิทาคามี
    ที่ว่าทำสังโยชน์ทั้งสองให้น้อยเบาบาง
    น่าจะมีความสงัดจากกามจากอกุศล
    ที่เป็นเองอยู่บ้างแต่ก็คงจะอ่อน.

    • ถาม

    ที่ว่าพระอนาคามีท่านเป็นสมาชิกบริปูริการีบริบูรณ์ด้วยสมาธิ
    เห็นจะเป็นอย่างนี้เอง ?

    • ตอบ

    ไม่ใช่เป็นสมาธิ
    เพราะว่าสมาธินั้นเป็นมรรคต้องอาศัยเจตนา
    เป็นส่วน ภาเวตัพพธรรม

    ส่วนของพระอนาคามีท่านเป็นเอง
    ไม่มีเจตนาเป็น สัจฉิกาตัพพธรรม
    เพราะฉะนั้นจึงได้ต่างกันกับฌานที่เป็นโลกีย์.

    • ถาม

    นิวรณ์แลสังโยชน์นั้น
    ข้าพเจ้าทำไมจึงไม่รู้จักอาการ คงรู้จักนิวรณ์แลสังโยชน์ ?

    • ตอบ

    ตามแบบในมหาสติปัฏฐานพระพุทธเจ้าสอนสาวก
    ให้รู้จักนิวรณ์แลสังโยชน์
    พระสาวกของท่านตั้งใจกำหนดสังเกต
    ก็ละนิวรณ์แลสังโยชน์ได้หมดจดเป็นพระอรหันต์โดยมาก


    ส่วนท่านที่เป็นอินทรีย์อ่อน
    ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็เป็นพระเสขบุคคล

    ส่วนเราไม่ตั้งใจไม่สังเกตเป็น
    แต่จำว่านิวรณ์หรือสังโยชน์
    แล้วก็ตั้งกองพูดแลคิดไป
    จึงไม่พบตัวจริงของนิวรณ์และสังโยชน์

    เมื่อมีอาการของนิวรณ์แลสังโยชน์อย่างไรก็ไม่รู้จัก
    แล้วจะละอย่างไรได้.
     
  18. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    • ถาม

    ถ้าเช่นนั้นผู้ปฏิบัติทุกวันนี้
    ที่รู้จักลักษณะแลอาการของนิวรณ์แลสังโยชน์จะมีบ้างไหม ?

    • ตอบ

    มีถมไปชนิดที่เป็นสาวกตั้งใจรับคำสอนแลประพฤติปฏิบัติจริงๆ

    • ถาม

    นิวรณ์ ๕ เวลาที่เกิดขึ้นในใจมีลักษณะอย่างไร
    จึงจะทราบได้ว่าอย่างนี้ คือ กามฉันท์
    อย่างนี้ คือ พยาบาท หรือถีนะมิทธะ อุทธัจจะกุกุจจะ วิจิกิจฉา
    และมีชื่อเสียงเหมือนกับ สังโยชน์

    จะต่างกันกับ สังโยชน์ หรือว่าเหมือนกัน
    ขอท่านจงอธิบายลักษณะของนิวรณ์แลสังโยชน์
    ให้ข้าพเจ้าเข้าใจจะได้สังเกตถูก ?

    • ตอบ

    กามฉันทนิวรณ์ คือ ความพอใจในกาม

    ส่วนกามนั้นแยกเป็นสอง คือ กิเสลกามหนึ่ง วัตถุกามอย่างหนึ่ง
    เช่น ความกำหนัดในเมถุนเป็นต้น ชื่อว่า กิเลสกาม

    ความกำหนัดในทรัพย์สมบัติเงินทองที่บ้านนาสวน
    และเครื่องใช้สอยหรือบุตรภรรยาพวกพ้อง
    และสัตว์ของเลี้ยงที่เรียกว่าวิญญาณกทรัพย์
    อวิญญาณกทรัพย์เหล่านี้ ชื่อว่า วัตถุกาม

    ความคิดกำหนัดพอใจในส่วนทั้งหลายเหล่านี้
    ชื่อว่า กามฉันทนิวรณ์

    ส่วนพยาบาทนิวรณ์ คือ ความโกรธเคือง
    หรือคิดแช่งสัตว์ให้พินาศชื่อว่า พยาบาทนิวรณ์

    ความง่วงเหงาหาวนอน ชื่อว่า ถีนะมิทธนิวรณ์
    ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ชื่อว่า อุธัจจกุกกุจจนิวรณ์

    ความสงสัย ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    แลสงสัยในกรรมที่สัตว์ทำเป็นเป็นบาป
    หรือสงสัยในผลของกรรมเหล่านี้ เป็นต้น

    ชื่อว่าวิจิกิจฉารวม ๕ อย่างนี้ ชื่อว่า นิวรณ์ เป็นต้น
    ชื่อว่านิวรณ์ เป็นเครื่องกั้นกางหนทางดี.


    • ถาม

    กามฉันทนิวรณ์ อธิบายเกี่ยวไปตลอดกระทั้ง วิญญาณกทรัพย์
    อวิญญาณกทรัพย์ ว่าเป็นวัตถุกาม

    เช่นนั้นผู้ที่ยังอยู่ครองเรือน
    ซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับทรัพย์สมบัติอัฐฬสเงินทอง
    พวกพ้อง ญาติมิตร
    ก็จำเป็นจะต้องนึกถึงสิ่งเหล่านั้น
    เพราะเกี่ยวเนื่องกับตนก็มีเป็นกามฉันทนิวรณ์ไปหมดหรือ ?

    • ตอบ

    ถ้านึกตามธรรมดาโดยจำเป็นของผู้ที่ยังครองเรือนอยู่
    โดยไม่ได้กำหนดยินดีก็เป็น อัญญสมนา
    คือเป็นกลางๆ ไม่ใช่บุญไม่ใช่บาป

    ถ้าคิดถึงวัตถุกามเหล่านั้นเกิดความยินดีพอใจรักใคร่เป็นห่วง
    ยึดถือหมกมุ่นพัวพันอยู่ในวัตถุกามเหล่านั้น
    จึงจะเป็นกามฉันทนิวรณ์

    สมด้วยพระพุทธภาษิตที่ตรัสไว้ว่า

    น เต กามา ยานิ จิตฺรานิ โลเก
    อารมณ์ที่วิจิตรงดงามเหล่าใดในโลกอารมณ์เหล่านั้นมิได้เป็นกาม

    สงฺกปฺปราโค ปุริสสฺส กาโม
    ความกำหนัดอันเกิดจากความดำริ นี้แหละเป็นกามของคน

    ติฏฐนฺติ จิตฺรานิ ตเถว โลเก
    อารมณ์ที่วิจิตรงดงามในโลก ก็ตั้งอยู่อย่างนั้นเอง

    อเถตฺถธีรา วินยนฺติ ฉนฺทํ
    เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้นักปราชญ์ทั้งหลายจึงทำลายเสียได้
    ซึ่งความพอใจในกามนั้น


    นี่ก็ทำให้เห็นชัดเจนได้ว่า

    ถ้าฟังตามคาถาพระพุทธภาษิตนี้
    ถ้าคิดนึกถึงวัตถุกามตามธรรมดาก็ไม่เป็นกามฉันทนิวรณ์

    ถ้าคิดนึกอะไรๆ ก็เอาเป็นนิวรณ์เสียหมด
    ก็คงจะหลีกไม่พ้นนรก เพราะนิวรณ์เป็นอกุศล
    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...