ท่านที่สวดพระคาถามหาจักรพรรดิ์ เป็นวัตร เชิงแบ่งบันความรู้ประสบการณ์ครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย prom20, 3 กรกฎาคม 2012.

  1. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    สาธุครับ คุณพี่เปิ้ล19 พี่โชคดีมีโอกาส เจอหลวงตาบ่อยๆ ว่างๆ ก็เอาคำสอนหลวงตามาเล่ากันบ้างนะครับ พี่ไปเมื่อไหร่ ฝากบอกหลวงตาว่ามีเด็กน้อยๆจาก จ.ยะลา ที่ไม่รู้จะมีโอกาศไปกราบหลวงตาที่วัดถ้ำเมืองนะหรือเปล่า เเต่นับถือศรัทธาหลวงปู่หลวงตา ขอฝากพี่กราบเเทบเท้าหลวงตา ฝากพี่ไปด้วยนะครับ
    ถ้าพูดผิดขอ อภัยนะครับ ศรัทธาครับ ไม่รู้จะทำ จะอธิบายอย่างไรครับ
     
  2. เปิ้ล19

    เปิ้ล19 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +117
    ขอเล่าประสบการณ์จากการสวดบทจักรพรรดิต่อค่ะ...:)

    ปกติไปที่ไหนก็สวดและสัพเพ นึกได้เมื่อไหร่ก็สวดค่ะ (นึกได้บ้างไม่ได้บ้าง อิอิ) เวลาหลวงตาท่านมากรุงเทพฯ หลายครั้งก็ได้ยินท่านและลูกศิษย์หลายคนพูดถึงเรื่องพลังงาน ตัวเราก็ไม่เคยเห็น เห็นแต่วิญญาณอะค่ะ เพราะมันหยาบเลยเห็นง่าย แต่คิดว่าพลังงานคงเป็นของละเอียดเราเลยไม่เห็น เลยลองขอหลวงปู่ศึกษาเรื่องพลังงานดูบ้างว่าเป็นอย่างไร วันเวลาก็ผ่านไปประมาณ 1 สัปดาห์ มีอยู่วันนึงเดินผ่านตลาดสดแถวบางรัก เราก็เดินสวดบทจักรพรรดิไปเรื่อยๆ ตามปกติ อยู่ดีดีก็เห็นแสงสีทองพุ่งเข้าหาตัวเรา เห็นด้วยตาเนื้อแบบจะจะเลยค่ะ พอกลับถึงบ้านรีบไปก้มกราบที่รูปภาพหลวงปู่ดู่ทันที หลวงปู่ท่านให้เราเห็นพลังงานตามที่ได้ขอแล้ว จากนั้นก็ไปพบหลวงตาม้า เล่าประสบการณ์นี้ให้ท่านฟัง ท่านก็บอกว่า แสงสว่างสีทองที่เห็นถ้ามองลึกลงไปแสงมันจะมาที่ตัวเราแล้วก็แผ่ออกไปด้วย บทจักรพรรดิก็ใช้ส่งวิญญาณได้เหมือนสัพเพฯ ค่ะ และหลังจากที่ได้รู้ได้เห็นได้เข้าใจแล้ว ก็ยังไม่เคยเห็นอีกเลย เห็นครั้งเดียวค่ะ :)
     
  3. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ขออนุญาตต่อจากของคุณพี่เปิ้ล19นะครับ

    อันนี้เป็น ประสบการณ์ ของผมที่เคยเกิดขึ้นครับ

    ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าพลังงานนี่ เป็นยังไง ก็เคยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับผม คือผมไปที่ศาลเจ้าที่ ที่หนึ่ง เป็นศาลเล็กๆอยู่ในชนบทหน่อย เขาเรียก "ทวดป๊ะหวัง ลาบู" ผมไปครั้งแรกไปกับเเม่ จะไปตั้งลูกเเก้ว เพราะทวดป๊ะหวังนี่เขาว่าศักสิทธ์มาก แกเป็นเเขก แต่เเกคุ้มครองคนไทย เพราะหมู่บ้านนั้นคนไทยพุทธทั้งหมด พอไปถึงศาลซึ่งเป็นศาลเล็กเหมือนอาศรมพระฤาษีนะ พอผมจับรั้วประตูศาลเท่านั้นเพื่อที่จะเข้าไปนั่งไหว้ข้างใน(เข้าได้ แค่3คนก็ คับเเล้ว ) พอผมเเค่จับประรั้วปูนเท่านั้น อย่างกับกระเเสไฟฟ้าจัดๆ วิ่งเข้าจากมือที่จับเข้ามาที่เเขนผมจนถึงข้อศอก แรงมากกระเเสที่วิ่งมาแรงมากๆ เเต่ไม่ได้ทำอันตรายใดๆกับผม ท่านคงแค่ต้องการทักทาย เพราะผมมาครั้งแรก (อันนี้ไม่ทราบเป็นพลังงานหรือเปล่า)พอผมจะตั้งลูกเเก้วตอนอาราธนาหลวงปู่...ตามที่ผมอธิฐาน ตอนนั้นผมปิดตาอยู่นะ(กลางวัน)ผมเห็นแสงสว่างโพลงอย่างกะใครเอาเทียนพรรษามาจุดเเละมาจ่อตรงหน้าผม ตอนนึกหลวงปู่ครอบทวดป๊ะหวัง..ครอบทั้งศาลเลย เห็นหลวงปู่ทวดชัด(ชัดประสาผม นะ) (ชัดเเบบผมสมมุติ นึกสร้างรูปองค์ท่านขึ้นมาจากสัญญา(ความจำ)(จินตภาพ)ผมจึงอธิฐานให้หลวงปู่รับทวด.. เป็นศิษย์และสอนธรรมะให้ อธิฐานขอหลวงปู่ปรับภพปรับภูมิให้ท่าน เเละสัพเพจนสบายใจขณะสัพเพก็นึกภาพหลวงปู่ด้วย
    วันถัดมาผมไปหา พ่อทวดหาร(ทรงเทพ)ซึ่งแม่ผมนับถือมาเป็นสิบๆปี แต่เมื่อก่อนผมไม่เชื่อเลย ซึ่งผมจะอคติกับร่างทรงมาก (ไม่เชื่อไม่พอยังรบหลู่อยู่เลื่อย แต่ท่านก็ไม่ถือเเละยังเมตตาแสดงอะไรต่ออะไรให้ผมประจักอยู่เรื่อย เป็นเวลากว่้า4-5ปีผมก็ยังครอนเเครง
    คือ ดื้อ และชอบอวดเก่ง(อวดโง่) ไม่ค่อยเชื่ออะไรหากไม่ตาต่อตา
    จนครั้งแล้วครั้งเล่าผมโทรฯคุยกับแม่ที่ยะลา อีก2วันไปปัตตานี จำเป็นต้องไปที่แกมีคนเขาเดือดร้อนให้ไปเป็นเพื่อน ทวดพุดกับผมเรื่องที่ผมคุยกับแม่ทางโทรศัพท์เป๊ะๆ (เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้) ผมเคยเอาของแรงๆที่ผีกลัวให้เเกจับ แกจับเฉยเเละก็รู้ด้วยของนั้นดียังไง(มีดหมอเอย/พระขรรค์ไชยศรีเอย/วัวธนูวัดโขงขาวที่หลวงพ่อฤาษีท่านเคยอธิฐานหลายครั้งสมัยหลวงพ่อยังทรงดำรงสังขาร)
    เเละเคย เอาคาถาบทหนึ่งของหลวงพ่อฤาษี ชื่อคาถาเม หรือ คาถามหาสะท้อน มาท่องต่อหน้าทวดเกือบทั้งหมด แต่บอกทวดบางคำตอนจบผมไม่เเน่ใจถามทวดว่าท่องยังไง แกก็ตอบได้ถูกเป๊ะ อย่างเคยเอาลูกอม2อาจารย์ มาถามทวดหารว่าลูกไหนของอาจารย์ไหน ท่านก็ตอบถูกแค่เอามือคลำเท่านั้น(ท่านปิดตาปี๋)
    และพอหลังจากที่ผมไปตั้งลูกเเก้วที่ศาลทวดป๊ะหวังมาแล้ว(ศาลนี้ไม่มีร่างทรงไม่มีคน)พอไมกี่วันผมมาที่ทวดหาร(ยาบี/ปัตตานี)อยู่คนละขังหวัดกัน พอเข้าไปไหว้ทวดหารทวดก็พูดขึ้นว่า เมื่อวานไปไหว้เจ้าที่ที่ไหนมา เก่งนะเดี๋ยวนี้(ท่านหัวเราะ) ท่านพูดต่อ ที่ไปทำให้เขาหน่ะเขาดีใจมากเขาได้รับทั้งหมด เเละที่เราขออะไรเขาหน่ะ ยาวมาก..แต่เขารับหมด จริงผมก็ขอจริงๆ แต่ขอให้คนอื่นคือขอให้ท่านปกปักรักษาคนที่นั้น ... ทีนี้ผมถามทวดหารว่า เจ้าที่ที่ผมไปไหว้เขานับถือศาสนาอะไร ทวดบอก2เชื้อสาย!!!(ท่านทั้งหลายลองกลับไปทวนอ่านดูที่ผมบอกไว้ข้างต้น!!
    ............................................................................................................
    ขอเล่าเรื่องแสงนะครับ ต้องขอเล่าก่อนว่าผมเป็นคนที่สวดมนต์มาตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่ประถมเล้กๆเลย สวดไม่มากสวดก่อนนอน เเม่บอกให้ไหว้พระก่อนนอนบอกให้ท่องนะโม3จบ
    เเต่ผมนี่ท่องคาถาด้วย (พระคาถาทงกุฏพระพุทธเจ้า) จนโตมาเรื่อยๆก็เพิ่มพระคาถามากขึ้น และเริ่มเห็นของแปลกๆเช่นวิญญาณเมื่อซักประมาณผมเรียนอยู่ม.4(นี่คือจุดเริ่มต้น) จากกลัว//จนรำคาญเคยด่าผีเเละก็ท้าผีต่อย และก็สมใจโดนผีต่อยเจ็บเหมือนมีเเผล เเต่พอวิ่งมาดูกระจกไม่มีเเผล อาการเจ็บหายวับ
    (เริ่ม..นิสัย อารัมบทอีกเเล้ว....เเหม่ น่าให้ไปเขียนนิยายขาย ..คงเจ้งไม่เป็นท่า อิอิ)
    ขอเล่าเรื่องเห็นแสงเลยดีกว่า...เห็นท่าจะไม่ได้การณ์ เเล้ว..
    ตอนนั้นผมสวดมนต์หลายบทมาก อิติปิโส+ภาหุง+พระชินบัญชร(หลายจบ /เคยสวดตามกำลังวันมาพักนึง /เคยสวด10จบ/เเละเคยสวดนับประคำ108จบ สวดจนลืมว่าตอนนี้เราทำอะไรอยู่ พอนึกออกว่าสวดอยู่ แล้วเราสวดอะไร พอนึกออก แล้วสวดไปถึงไหน พอนึกออก เอ้าหลุดสมาธิตั้งแต่สงสัยตั้งเเต่ทีเเรกแล้ว!!/ปัจจุบันสวดจบเดียว(พระชินบัญชร)และสวดยอดพระกัณไตรปิดกและอีกหลลายบท+คาถาที่ชื่นชอบ(จริงๆผมเคยเรียน"ไสยศาสตร์ด้วยเเต่ไม่ใช่มนต์ดำนะ พวกคาถา อักขระเลขยันต์ อักขระขอมนี้ทุกวันยังเขียนได้อยู่ แต่คาถาที่เน้นไสยศาสตร์เกินทุกวันไม่ได้ท่อง พิธีอะไรก็ไม่ได้ทำ เมื่อก่อนจะเขียนตระกรุดทั้งที่...เหนื่อย เดี๋ยวนี้สบายคือไม่ทำ หากชอบอะไรจริงๆ ก็เขียนแบบธรรมดาง่ายๆ แล้วใช้การอธิฐานเวลาสวดมนต์ ขอบารมีพระ ครู อาจารย์สงเคราะห์ อาจไม่เห็นแต่เชื่อครับ
    .....มูลเหตุคือ..ผมรู้จักพี่คนหนึ่งเคยเจอกันที่วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี ไปรับยันต์เกราะเพชรเจอกันโดยบังเอิญ..คนใต้เหมือนกันจึงแลกเบอร์กัน....วันหนึ่งผมต้องมาอยู่ยะลาอย่างไม่คาดคิด นึกถึงพี่คนนี้ได้ โทรฯหานัดเจอทันที คุยกันเรื่องอยากหนีโลก แกก็บอกว่า
    รู้จักหลวงปู่ดู่ไหม...ผมบอกไม่รู้จัก... พี่เเกเล่าให้ฟัง และพาผมไปที่ทำงานแกเปิดคอมฯ ให้ผมอ่านข้อมูล ผมบอกสนใจ แกให้บทจักรพรรดิ์และบทสัพเพ แต่พระผงตอนแรกยังไม่ได้ให้ผมมาเพราะเเกก็มีองค์เดียว แกบอกค่อยหาให้วันหลัง มามาที่บ้านผมสวดมนต์ไหว้พระตามปกติ(ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เวลาไหว้พระผมจะกำพระเครื่องทุกครั้งไม่มีใครบอก ทำเอง (จริต ครับ)ทีนี้ผมไม่มีพระผงจักรพรรดิ์ ไม่เป็นไรก็ผมกำพระหลวงพ่อฤาษี สวดมนต์ตามปกติอยู่แล้ว)วันนั้นไม่ได้สวดจักรพรรดิ์เนื่องจากไม่มีพระผงจักรพรรดิ์ ก็เลยกำพระหลวงพ่อฤาษีลิงดำสวดตามปกติทุกวัน ตั้งแต่ นะโม+ไตรสรณคม+อิติปิโส+ภาหุง+พระชินบัญชร+อิติปิโสเท่าอายุ พระคาถาต่ออายุ+ บูชาดวงชะตา+เมตตัญ+เมตตา+พระมงกุฏ+เเคล้วคลาดคงกระพัน+กันศรัทตรู+ฯลฯเเละยอดพระกัณไตรปิตก จากนั้นสรรพเพไปเรื่อยๆ(สัพเพครั้งเเรกในชีวิต)เห็นแสงสว่าง ทลุเปลือกลูกกะตามาสว่างมากแค่เเป๊บเดียว เร็วจริงๆ จากนั้นแผ่เมตตา(ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าการสัพเพ เป็นการเเผ่บุญด้วย
    พอลงมาจากห้องพระ มานอนข้างล่าง ซึ่งแฟนตอนนั้นหลับไปตั้งนานเเล้วปิดไฟหมด บ้านเก่าที่ผมอยู่นะเเสงข้างนอกเข้าไม่ได้เลย เเม้แต่กลางวันหากปิดประตูและปิดไฟก็มืดเหมือนกลางคืนเลย ..ยิ่งตอนนั้นประมาณเที่ยงคืน (ยิ่งมืดสนิท)(ตอนนั้นผมสวดมนต์ประมาณ4ทุ่ม-เที่ยงคืน) พอลงมาจากห้องพระผมก็พยายามเดินคลำๆ ทั้งความมืด ก็มานอนข้างแฟนแต่นอนไม่หลับ จึงนอนลืมตา ด้วยใจสบายๆ !! ผมเห็นแสงสว่างโผล่ออกมาจากฝาผนัง ตรงหัวผมที่ผมนอนพอดีเเสงนั้นสูงขนานกับหน้าของผม อยู่สูงจากหน้าของผมแค่ประมาณช่วงแขนเดียว ลักษณะของแสงเป็นแสงสีทองอ่อนๆคล้ายๆขาว แผ่ออกมาจากฝาผนังบนหัวนอนผมลำเเสงใหญ่เท่าผืนผ้าห่มแผ่ยาวออกมาจากหัวใหญ่เท่าผืนผ้าห่มยาวไปจนสุดปลายเท้าของผม คือเป็นผ้าห่มหน่ะครับ เเล้วก็เเผ่ลงมาคลุมตัวผมทั้งตัวทั้งผืนพอมาถึงตัวผมก็หายไป เป็นอยู่อย่างนั้น5ครั้งครับ ผมปิติทั้งคืน เพราะเห็นด้วยตาเนื้อครับ
    พอคืนต่อมา ผมเห็นเป็น ลำแสงเท่าๆ นิ้วก้อย มีหลายสี วิ่งไปมา ไปมา อยู่บนอากาศในห้องของผม ครั้งนี้ไม่ได้มาคลุมตัวผม เพียงแต่วิ่ง ไปวิ่งมา ขึ้นสูง ลงต่ำ ผมก็นอนดู จนเเสงหายไป ผมจึงหลับ.....ตั้งแต่วันนั้นมา ก็ไม่เห็นแสง เห็นแต่อย่างอื่นครับ......
    .....พี่ท่านใดได้มีโอกาส ไปนมัสการหลวงตาม้า รบกวนพี่ช่วย ถามหลวงตาให้ผมหน่อยได้ไหมครับเรื่องผม เห็นแสงผ้าห่มมาจากผนังแลัวมาคลุมตัวผม5ครั้ง(ผมขออนุญาตเรียกเเสงผ้าห่ม เพราะไม่ทราบคืออะไร) ถ้าไม่เป็นการรบกวนถือว่าสงเคราะห์นะครับ......แต่ปัจจุบันผมก็ไม่ได้สงสัยอะไรครับดูเฉยๆ มีก็แล้วไป ไม่มีก็แล้วไป ไม่ใช่แก่นสาร
    มีประเดี๋ยวก็ไม่มี...อนัตตาในที่สุด แต่ที่ขอความกรุณาฝากถาม ....เผื่อคำตอบคือ.....ผมบ้า...ผมจะได้หาทางรักษา ครับ อิอิ
    (deejai)(deejai)(deejai)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กรกฎาคม 2012
  4. เปิ้ล19

    เปิ้ล19 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +117
    อนุโมทนาด้วยค่ะ อ่านเพลินเลย มีอะไรก็มาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมด้วยนะคะ :)
     
  5. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    โมทนาครับ ถ้าพี่ไม่รำคาญเสียก่อน ย่อมได้ครับ เหอะ ๆ

    จัดไปครับ อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กรกฎาคม 2012
  6. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    เงียบจังเลยครับ ผมก็เลยเอาธรรมะดี ที่หลวงพ่อเล็ก สนทนาธรรมตอบปัญหา มาฝากครับ


    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    ถาม : ใช้คำที่ว่าสมเด็จพระประทีปแก้วบ้าง สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ สมเด็จพระอะไรอย่างนี้ไป....?
    ตอบ : หมายถึงพระพุทธเจ้าองค์เดียว คืออันนั้นความเคยชินของหลวงพ่อท่าน หลวงพ่อท่านจะเป็นพระนักเทศน์ พระนักเทศน์ส่วนใหญ่แล้วสำนวนเทศน์มันมีอยู่ ถ้าสังเกตดูถ้าเราอ่าน ๆ ไปจะรู้สึกว่ามันเป็นคำที่คล้องจองกับคำหน้า ในเมื่อถ้าหากว่าคล้องจองกับคำหน้า ท่านก็จะใช้คำที่มันคล้องกันไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นมันเหมือนอย่างกับว่าเป็นโคลงเป็นกลอนอะไรบางอย่างเลยล่ะ เพียงแต่ว่าเราต้องฟังจากหลวงพ่อเองถ้าหากว่าอ่านจากในหนังสือมันขาดตัวจิตวิญญาณหรือความรู้สึกไปเยอะเลย
    ถาม : ........(ไม่ชัด)........อย่างเขาได้รับต้องมีกำลังมาก.....(ไม่ชัด).....(ถามเกี่ยวเรื่องกันมาร)?
    ตอบ : ก็อาจจะมีนะ อาจจะมีแต่ให้เขาขวางไปเถอะ การที่เขาขวางจริง ๆ เขาไม่ใช่ศัตรู เขาเป็นครูที่ดีที่สุดที่เราพึงหาได้ จำไว้นะ.... ครูคนนั้นขยันทดสอบมากทุกเวลา ทุกวินาที เราเปิดช่องเมื่อไหร่เอาทันทีออกข้อสอบเดี๋ยวนั้นเลย ข้อสอบก็ ๔ หัวข้อใหญ่ รัก โลภ โกรธ หลง แค่นั้นแหละแต่ว่าสามารถจะแตกกระจายออกได้เป็นล้าน ๆ ข้อ งั้นเผลอเมื่อไหร่เสร็จ! แต่ว่าอันไหนที่เราสามารถทำได้ก้าวผ่านไปแล้วกำลังใจเราไม่ตกต่ำอีก ดังนั้นท่านไม่ใช่ศัตรูแต่ท่านเป็นครูที่ดีที่สุด ถ้าหากว่าเราสอบตกก้าวไม่ผ่านท่านกลายเป็นมาร คือผู้ขวางความดีของเราไใช่มั้ย ? อันนั้นเป็นความผิดของเราเองไม่ใช่ความผิดของท่านเราผิดเพราะเราสอบตก
    ถาม : อย่างนี้เมื่อมีอุปสรรคเกิดขึ้นนี่แสดงว่าเราต้องข้ามให้ได้ ?
    ตอบ : ใช่ อุปสรรคสร้างความแข็งแกร่ง ถึงเวลาก้าวข้ามได้แล้ว กำลังใจในระดับนั้นมันจะไม่ถอยลงมาอีก ยกเว้นจะเจอที่ละเอียดกว่านั้น ต่อไปเปลี่ยนความคิดนะ มารไม่ใช่ศรัตรูเป็นครูที่ดีมาก ถ้าทำ ๆ ไปถึงมันเหมือนกับว่าโลกทัศน์มันพลิกกลับ มันจะเห็นความดีในทุกสิ่งทุกอย่างเลยไม่มีใครเป็นศัตรู...?ต่อไปก็ทำกำลังใจในลักษณะที่ว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ท่านมีหน้าที่ขวางท่านก็ขวางไป เรามีหน้าที่หนีท่านให้พ้นเราก็หนีของเราไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของเราเอง ไม่มีใครเป็นข้าศึกเป็นศรัตรูต่อกันทุกฝ่ายต่างกำลังเป็นไปตามกรรม คือการกระทำของตน?ฟังดูแล้วเหนื่อยน้อยลงเยอะเลย
    ถาม : อย่างนี้เป็นพรหมวิหาร ๔ รึเปล่าคะ ?
    ตอบ : เป็นพรหมวิหาร ๔ ด้วย เป็นปัญญาด้วย?ตอนนี้ฉลาดขึ้นมาหน่อย ไม่ได้มีข้าศึกศัตรูสักหน่อยแล้วเราก็ไปเที่ยวไล่ตีกับเขา จับมือดีกันไม่ต้องทะเลาะกับเขาไม่ดีเหรอ
    ถาม : พอดีดูละคร เขาให้....(ถามเกี่ยวกับลุงพุฒ) ?
    ตอบ : พวกนั้นเข้าใจผิดกันเยอะเลย บางคนเข้าใจว่าพระยายมราช คือ ท้าวเวสสุวรรณซะด้วยซ้ำ เขาจะเข้าใจผิดกันเยอะมาก?ลุงพุฒ จริง ๆ ก็คือพระยายมราช ท่าน พระยาวสวัตตีมาราธิราชองค์ก่อนคือท่านท้าวมาลัยซึ่งเคยปราถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าและจะตรัสรู้ในกัปเดียวกับ พระราม แต่ว่าปัจจุบันนี้ท่านลาพุทธภูมิขอไปนิพพานแทนแล้ว ไม่เอาแล้วเหนื่อย วสวัตตีมาราธิราชนี่เหมือนกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พอนายกคนหนึ่งพ้นตำแหน่งไปอีกคนหนึ่งก็ขึ้นมาแทนไปเรื่อย ๆ เพราะว่าฝ่ายมารก็เยอะ ถามว่าทำไมถึงเกิดเป็นมาร ท่านทั้งหลายเหล่านั้นปกติแล้วมีจิตเป็นมิจฉาทิฐิอยู่แต่ว่าได้ทำบุญใหญ่ไว้ ผลบุญนั้นก็เลยส่งผลให้ไปอยู่สวรรค์ชั้นสูงสุด กามาวจรสวรรค์ชั้นสูงสุด คือชั้น ปรนิมมิตวสวัตตีจะแบ่งเขตกับเทวดาคนละครึ่ง มารอยู่ครึ่งหนึ่งเทวดาอยู่ครึ่งหนึ่ง
    ถาม : เคยบอกว่าให้สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกแล้วจะไม่เป็น ทำแล้วคือยังเป็นอยู่ (อาการวูบ) ?
    ตอบ : ถ้ายังเป็นอยู่แสดงว่า สติมันตามไม่ทัน อาการลักษณะเหมือนตกจากที่สูงเขาเรียกว่าพลัดจากฌาน ?คือกำลังใจหลุดจากฌานลงสู่อารมณ์ปกติ ขณะที่เราภาวนาแล้วกำลังใจมันเริ่มเข้าสู่ ปฐมฌานขั้นหยาบ ถ้าสติมันตามไม่ทันมันขาด พอขาดปั๊บ!มันก็หลุดออกมา พอหลุดออกมา อาการหลุดออกมาน่ะมันก็คือตกลงมา เพราะฉะนั้นก็ต้องตั้งใจกำหนดลมหายใจเข้า-ออกให้มันแน่นอนกว่าเดิม
    ถาม : กำหนดลมหายใจเข้าออก ?
    ตอบ : คือเอาสติจดจ่อกับลมหายใจเข้าออกให้มันหนักแน่นมั่นคงกว่าเดิม พยายามค่อย ๆ ตามมันไปเรื่อย ถ้าหากว่ามันก้าวข้ามเป็นฌานมันจะทรงตัวไปเลย ลักษณะนั้นบางทีบางคนที่จิตหยาบมากกว่านั้นเข้าสู่ปฐมฌานหยาบจริง ๆ นี่ บางทีมันเหมือนกับหลับไปเฉย ๆ แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้หลับ นะถ้าตัวนั่งก็นั่งตรงแหนว! อยู่อย่างนั้นแหละ แต่สติมันขาดในเมื่อมันขาดมันไม่สามารถจะรับรู้อาการอื่น ๆ ได้ มันเหมือนกับหลับไป แล้วบางที่ก็วูบมาทั้ง ๆ ที่รู้สึกตัวว่าหลับไปแล้ว ก็คือมันพลัดกลับมาสู่อารมณ์ปกติเพราะมันไปต่อไม่เป็น ไปต่อไม่เป็นมันก็ถอยหลังลงมา แต่มันถอยเร็วเกินไป มันก็เลยรู้สึกวูบเหมือนตกลงจากที่สูงนั่นแหละ
    ถาม : แล้วมันก็ต่อไม่ติดล่ะคะ ?
    ตอบ : ก็เริ่มต้นใหม่
    ถาม : ต้องเริ่มต้นใหม่ ?
    ตอบ : จ้ะ เริ่มต้นจับลมหายใจเข้า-ออกใหม่แล้วเอาสติตามดูมันไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวพอมันละเอียดขึ้นมันก็จับติดเอง ตอนนี้เริ่มดีแล้วเพราะว่ามันเริ่มเข้าสู่ปฐมฌานแล้ว ปฐมฌานจะมีหยาบ กลาง ละเอียด ๓ ขั้นตอน อันนี้มันหยาบไปหน่อย จิตมันตามไม่ทันถึงเวลามันก็หลุดออกมา
    ถาม : ทำยังไงจะทราบได้ว่าเป็นฌานขึ้นต้น เป็นปฐมฌาน เป็นฌานขั้นที่เท่าไหร่ จะทราบได้ยังไง ?
    ตอบ : เรื่องนี้ต้องศึกษาขั้นตอนของมัน เอา คู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อมาอ่านดู จะบอกรายละเอียดเอาไว้ว่าแต่ละขั้นตอนของฌาน ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ นี้มันจะมีอะไรบ้าง ต้องศึกษาขั้นตอนนั้นละเอียดดีแล้ว พอทำถึงมันก็รู้เลยว่าใช้... ต้องศึกษาขั้นตอนมันก่อน หลวงพ่อก่อนที่จะบวช หลวงปู่ปานส่งวิสุทธิมรรค ให้ทั้งเล่มเลย ท่องแล้วจำให้ได้ จะได้รู้ว่ากรรมฐานแต่ละกองมีลักษณะอาการยังไง ๆ นะจำให้หมด จำได้หมดแล้วพอถึงเวลาก็ไล่เข้าป่าช้าไปเลย
    ถาม : แล้วจากที่มีคนเขาบอกว่า การที่จะนั่งสมาธิจะต้องมีคนมาเปิดสมาธิ มาเดินสมาธิให้ ยังไงคะ ?
    ตอบ : ไม่ต้องจ้ะ ไม่ต้อง ทำได้เลย เสียเวลาเปล่า ตั้งหน้าตั้งตาทำผลมันจะเกิดเลย มัวแต่รอคนอื่นช่วยถ้าเขาไม่ว่างชาตินี้ไม่ต้องนั่งสมาธิกันพอดี อันนั้นเป็นความเข้าใจผิดของเขา
    ถาม : เขาบอกว่าเขาจะเปิดสมาธิให้ได้ให้เจริญสมาธิ คือเราต้องปฏิบัติเองใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : ต้องเราปฏิบัติเอง คนอื่นช่วยอะไรไม่ได้เลยยกเว้นว่าเราได้กำลังใจ เรารู้สึกว่า เออ... ครูบาอาจารย์ที่เก่งที่มีความสามารถอยู่ใกล้เราจะมีกำลังใจทำความดี อารมณ์ใจมันทรงตัวได้เร็วได้ง่ายอย่างนั้นได้ แต่ว่าเรื่องของกระกระทำนี่เป็นของเราล้วน ๆ ครูบาอาจารย์ได้แต่แนะนำวิธี จะทำได้เท่าไหร่อยู่ที่เราเอง
    ถาม : แล้วทำไมบางคนมีญานวิเศษล่ะคะ ?
    ตอบ : อันนั้นเคยทำมาก่อนจ้ะ ตัวนั้นเป็นทิพจักขุญาณ อย่างหนึ่งถ้าอย่างหยาบเขาจะเรียกว่าลางสังหรณ์ พวกนี้จะสังหารณ์แม่นเพราะว่าเคยได้ทิพจักขุญาณในชาติก่อน ถ้าหากว่าเขาพยายามซ้อมทวนความรู้จนกำลังเดิมคืนมาได้ก็จะคล่องตัวเหมือนกับชาติก่อนที่ตัวเองทำได้ ส่วนมันเป็นของแถม พอเริ่มปฏิบัติสมาธิ อารมณ์ใจเริ่มทรงตัวของเก่ามันคืนมา เราก็จะไปคิดว่าของเขาเองมีอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่นเขา ความจริงไม่ได้พิเศษกว่าหรอกแต่เคยทำมาแล้ว ถ้าเราเคยทำมาเมื่อถึงเวลาเราทำถึงตรงจุดนั้นของเก่ามันก็จะคืนมาเหมือนกัน
    ถาม : ครูบาอาจารย์ที่ไม่... (ไม่ชัด)... ปิดญาณเขาปรารถนาเป็นญาณของเราเขาปิดได้เหรอคะ ?
    ตอบ : มันมีอยู่ ถ้าหากว่าเป็นพวกที่ได้ โลกียอภิญญาและมีมิจฉาทิฐิ มีการกลั่นแกล้งคนอื่นเขาได้เหมือนกัน แต่ว่าลักษณะที่เรียกว่าปิดฌาน คำว่า ญาณ ก็คือเครื่องรู้ > วันนี้มันจะกลายเป็นว่าเราไปพบครูบาอาจารย์แบบนั้นแล้วขาดความก้าวหน้าเป็นเเพราะว่าท่านสอนผิดมากกว่า แต่ถ้าหากว่าท่านได้ อภิญญา ๕และเป็น มิจฉาทิฐินี่ความสามารถท่านสูง บางที่ท่านก็สามารถทำสิ่งที่เราคิดไม่ถึงได้เหมือนกัน
    ถาม : ...................
    ตอบ : คนละอย่างกัน พระยายม ท่านเป็นพรหมไปทำหน้าที่นั้น จริง ๆ ก็คือว่า ไปเพื่อช่วยเขา ไม่ได้ไปเอาใครลงนรกไปเพื่อช่วยคอยกันไม่ให้เขาลงนรกเนื่องจากว่าพรหมประกอบด้วยพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติอยู่แล้วท่านทำหน้าที่โดยยุติธรรม พยายามสอบถามทุกวิถีทางแล้ว ถ้าเรานึกความดีไม่ออกไปลงโทษตามความผิดที่ตนเองทำมา แต่ถ้าหากว่าเรานึกถึงความดีออกแม้แต่นิดเดียวท่านจะส่งเราขึ้นสวรรค์ไปก่อนเลย ไปรับความดีของเราก่อน
    ส่วนพระกาล ท่านเป็นเทวดาแต่ว่าในสมัยก่อนท่านชอบต้องการรู้เรื่องราววาระอะไรต่าง ๆ ของคนของสัตว์ทั้งหมดจนกระทั่งกลายเป็นว่าท่านสามารถรู้วาระและเวลาการเกิดการตายของคนด้วย ท่านจะเป็นผู้ที่กำหนดว่าจะส่งรถทิพย์ไปรับใคร ตอนไหนเมื่อไหร่ ในด้านของผู้ที่ะขาทำความดีกันอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้นเขาเลยเรียกท่านว่าพระกาลกาล มันมาจากกาละ คือแปลว่าเวลาเป็นผู้รู้เวลาของคนอื่นเขา คนละอย่างกัน
    ถาม : ใช่พระกาลองค์นี้ที่ลพบุรีหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : ที่ นั่นเขาเรียกเจ้าพ่อพระกาฬ เจ้าพ่อพระกาฬที่ลพบุรีนั่นก็คือพระพรหมที่ชื่อว่าท้าวมหาชมพู คนละองค์กันคนละคนละอย่างกันจ้ะ
    ถาม : ..........................
    ตอบ : การภาวนาคาถาจริง ๆ ต้องการผลก็คือโยงจิตให้เป็นสมาธิ ส่วนผลของคาถานั่นเป็นของแถมอีกทีหนึ่ง ดังนั้นถ้าเราภาวนา คาถาเงินล้านเพื่อให้จิตเป็นสมาธิเข้าสู่ระดับสูงขึ้น ๆ ไปจะท่องเร็วท่องช้าอยู่ที่ความถนัดของเรา ส่งนผลของคาถาจะเกิดขึ้นเมื่อใดอย่างไรก็ว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง
    ถาม : บอกว่าให้ท่องทีละคำ พยายามค่อย ๆ ท่องไปทีละคำ ท่องไม่ได้ ท่องแล้วมันจิตฟุ้งซ่าน ?
    ตอบ : เอาที่เราถนัดล่ะจ้ะ
    ถาม : .........................
    ตอบ : การดูหมอจะให้แม่น เคล็ดลับมันอยู่ที่ว่าเราต้องทำกำลังใจของเราให้เป็นกลาง อย่าให้ไปรัก , โลภ, โกรธ, หลง โดยอคติ ไม่ใช่คนนี้มาเห็นแล้วไม่ชอบหน้า ไม่อยากสงเคราะห์ ยายนี่ปากมากถามไม่รู้จักหมด ไม่พอใจอะไรอย่างนี้ นั่นไม่ได้ กำลังใจของเราต้องทำเพื่อการสงเคราะห์ในลักษณะของอัปปมัญญาพรหมวิหาร ก็คือไม่มีประมาณไม่ว่าเขาจะสวยงาม อัปลักษณ์ รวย จน อีท่าไหนก็ตาม เราจะให้การสงเคราะห์เขาเสมอหน้ากัน ถ้าเราสามารถคุมกำลังใจเราอยู่ลักษณะนี้ได้จะดูหมอได้แม่นมากแต่ถ้าหากว่าปล่อยให้ตัวอคติมันกั้นเราเมื่อไหร่โอกาสเพี้ยนมันมีเยอะ ต้องระวังให้ดี อยากจะดูหมอมันต้องรู้เคล็ดของการดูหน่อย ถ้าไม่รู้เคล็ดก็เสียเวลาเปล่า
    ถาม : บางครั้งดูไปใจมันจะเหนื่อย เป็นแบบมันไม่นิ่ง ?
    ตอบ : คืออย่าไปคิดว่าเราจะทุ่มเทช่วยเหลือเขาให้ได้ เราเองเราช่วยเขา เราก็ช่วยแค่สิ่งที่ว่าสามารถสงเคราะห์ได้โดยไม่เกินกำลังความสามารถหรือว่าไม่เกินที่ครูบาอาจารย์ท่านให้?เพราะฉะนั้นเราช่วยแค่ไหนเราทำกำลังใจของเราแค่นั้น ไม่ใช่ไปแบกภาระของเขาเอาไว้ถ้าแบกอย่างนั้นมันหนักมันจะเหนื่อย บางทีหัวใจมันเต้นผิดปกติไปเลยล่ะ
    ถาม : บทอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ที่บอกว่าให้เจ้ากรรมนายเวรจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ไปจนกว่าจะเข้าพระนิพพาน อันนี้ผมก็สงสัยว่าเราท่องทุกครั้งเนี่ยเมื่อไหร่เจ้ากรรมนายเวรเขาจะอโหสิกรรมให้เรา ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วเจ้ากรรมนายเวรตามความหมายของเรานั่นหมายความว่าคนหรือสัตว์ที่เราได้ฆ่าเขาไว้ ทำร้ายเขาไว้ใช่มั้ย ? ถ้าหากว่าเราฆ่าเขาตายเขาไปรับบุญรับบาปตามกรรมของเขาอยู่แล้วที่จะมาคอยจองเราอยู่นี่มันน้อยมาก ยกเว้นพวกตายโหงที่ยังไม่หมดอายุขัยซึ่งมันน้อยเต็มที
    แล้ว ทำไมมันถึงมีการจองเวรใช้เวรกัน ? มันก็เป็นเรื่องกฏของกรรมว่าใครทำดีก็ได้ดี ใครทำชั่วก็ได้ชั่ว เหมือนกับว่าเราฆ่าคนตายเขาไม่ได้มาล้างแค้นเราไม่ได้มาจัดการอะไรกับเราแต่ว่ากฏหมายจัดการเราเอง คราวนี้ว่า ทำถึงต้องอโหสิกรรม ? ลักษณะนี้เป็นการปลดใจของเราเองจากจุดยึนนั้นว่าเราได้ทำความชั่วอันนั้นไป?ถ้าจิตใจมันไปยึดอยู่ตรงนั้นมันจะหมองอยู่ตลอด ในเมื่อหมองอยู่ตลอดโอกาสจะไปดีมันไม่มี ก็เลยว่าเมื่อเราทำความดีแล้วเราตั้งใจอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร เรารู้สึกว่าเราได้ทำอะไรเป็นการทดแทนแล้วจิตของเราก็ปลดปล่อยออกจากจุดนั้นมาทำให้เราได้ดีขึ้นมา เพราะฉะนั้นถามว่าเมื่อไหร่เขาจะอโหสิกรรมให้ ? ใจเราปลดออกเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นหรือไม่อีกทีเป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นล่ะเพราะการเป็นพระอรหันต์นี่กรรมทุกอย่างที่ทำมาจะเป็นอโหสิกรรมหมด ผลกรรมจริง ๆ ทำอันตรายท่านไม่ได้ ยกเว้นเศษกรรมเท่านั้น
    ดูอย่าง ท่านองคุลีมาลสิท่านเป็นพระอรหันต์แล้วผลกรรมที่ฆ่าคนมามากมานเอาท่านลงอบายภูมิไม่ได้ แต่ออกบิณฑบาตโดนชาวบ้านขว้างหัวร้างข้างแตกอยู่ตั้งหลายวัน
    ถาม : บางครั้งนี่ผมมีความรู้สึกว่าเมื่อเจอเหตุการณ์แล้วรู้สึกถึงในอดีตว่าเราได้เคยทำกรรมนี้ไว้ จะได้รับเหตุการณ์ที่เจอแบบนี้ แต่บางทีก็รู้สึกว่าท้อแท้ว่าเมื่อไหร่จะหมดเสียที ?
    ตอบ : อ๋อ ... เป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่ก็หมดยืนยันเลย เพราะเราเองเราก็ไม่ได้ทำความดีตลอดมันก็มีสิ่งที่ไม่ดีแทรกอยู่ตลอด แต่ว่าตัวยถากัมมุตาญาณดีอยู่อย่างหนึ่งคือเราทำเราก็รับ เมื่อเรารู้ว่าเราทำเราต้องรับผลอันนั้น แล้วสิ่งที่เราทำเองไม่ต้องตัดพ้อต่อว่าใครก็ก้มหน้ารับไป ถ้าจิตใจมันยอมรับอย่างนี้ได้เรียกว่ายอมรับกฏของกรรม เมื่อยอมรับกฏของกรรมนี่จิตใจจะมีความสุขมากเลย เพราะฉะนั้นยถากัมมุตาญาณจริง ๆ นี่ดีมาก ดีตรงที่ว่าเรายอมรับได้ ถ้าหากว่าเรายอมรับไม่ได้เมื่อรู้ เข้า แหม..ตูไม่น่าไปทำอย่างนั้นเลย แล้วก็มานั่งหมองต่อก็เสร็จ !
    ถาม : บางทีก็อยากจะหนีเลยล่ะครับ อย่างนี้ถูกหรือเปล่า ?
    ตอบ : หนีไปไหนก็ไม่พ้น พระพุทธเจ้าบอกแล้วจะหนีไปซ่อนอยู่ใต้เม็ดทราย ก้นมหาสมุทรหรือจะหนีไปในซอกเขาอันลึกล้ำหรือว่าจะหนีไปอยู่ในกลีบเมฆ กรรมก็ตามถึง เพราะว่ามันเป็นผลของการกระทำของเราเอง มันเป็นเงาติดตัวของเราเองหนีไปไหนก็หนีไม่ได้หรอกยกเว้นว่ายอมรับเขา ยอมรับแล้วก็ชดใช้เขาไป ถ้าหากว่าชดใช้ได้หมด ถ้าไม่ได้หมดไปนิพพานซะก่อนคุณก็อดไป จำไว้ว่า พระอรหันต์ที่ไปนิพพานไม่มีใครใช้หนี้หมดซักองค์หนึ่ง
    ถาม : ถ้าเกิดเราคิดว่าการที่เราอยู่ทำให้เราต้องทำกรรมหนักต่อไปอีกการที่เราไปแล้วเราไม่ต้องทำกรรมหนัก อย่างไหนจะดีกว่ากันครับ ?
    ตอบ : กรรมหนักมันย่อมให้โทษหนัก ในเมื่อเราเองถ้าหากว่าไปเสียแล้วไม่ต้องทำกรรมอันนั้นก็รีบไปมันซะเลย ถ้าเราทำเราก็ต้องรับผลของมัน ถ้าคุณรู้จักกรรมจริง ๆ ว่าหน้าตาเป็นยังไง ? แล้วผลมันเป็นยังไง ? ไม่ต้องการอะไรมากหรอก แค่คุณฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง ถ้าหากว่าจิตของคุณหมองอยู่ด้วยกรรมอันนั้น อันดับแรกลงนรกก่อนนะ มันก็ลงขุมที่เป็นมหานรกคือ สัญชีพนรก ก่อน พอหลุดจากสัญชีพนรกก็ลงมา อุสุทนรก จากอุสุทนรกมาก็มาลงยมโลกีนรก แยกตามขุมที่เราโดนลงโทษมาแล้ว เสร็จแล้วก็ต้องมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานตามจำนวนที่เราฆ่า นี่แค่ตัวเดียวนะ แล้วถ้าเกิดเราทำทำไว้เยอะล่ะ พอรู้มันเข้านี่มันน่ากลัวมาก น่ากลัวจริง ๆ ที่ท่านบอกว่าภยตูปัญฐานญาณ ท่านพิจารณาให้เห็นว่ามันเป็นโทษเป็นภัยเป็นของน่ากลัว ถ้าเรารู้ตรงจุดนี้ โอ้โห้... มันน่ากลัวมากอย่าว่าแต่กรรมใหญ่เลยกรรมเล็ก ๆ ยังกลัวขนาดนั้น ขึ้นชื่อว่าไฟแล้วไม่ร้อนน่ะไม่มี แค่ไฟบุหรี่จี้เราก็สะดุ้ง ๘ ตลบแล้ว ไฟนรกมันร้อนกว่าบุหรี่เป็นล้านเท่า
    ถาม : ผมมีความรู้สึกว่าจิตใจของผมเองยังรับกฏของกรรมไม่ได้ แล้วคิดว่าถ้าอยู่โดยไม่หลบหนีไปจะทำให้กรรมต่อกรรมไปอีก ?
    ตอบ : มันก็จะต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ มันจะไม่รู้จักจบ เราต้องหยุด ถ้าเรายังทำกรรม ก็คือ การกระทำ ถ้าเรายังทำมันก็ไม่มีวันจบ มันก็หมุนเวียนเป็นกงกรรมกงเกวียนตามไปเรื่อย รอยเกวียนตามรอยโคไปเรื่อยถึงเวลามันตามทันก็แย่ แต่ถ้าเราหยุดมันลงเมื่อไหร่กรรมอันนั้นเป็นอันว่าขาดลง มันจะตามแค่ช่วงที่มันส่งผลเท่านั้น พอหมดผลหมดวาระของมัน ตอนนี้เราก็เหลือแต่ความดีล้วน ๆ เราไปเสวยความดีของเรา แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นท่านที่ตั้งใจทำจริงนี่ของเลวยังไม่ทันจะหมดหรอก ท่านดีถึงที่สุดซะก่อนก็เป็นอันว่าจบกันกลายเป็นอโหสิกรรมไป ดูเอาแล้วกันว่าวาระไหนที่มันเหมาะมันควรกับเราก็ว่าไปเลย.... ตราบใดที่เรายังอยู่กันมันตราบนั้นเราทีแต่สร้างทุกข์สร้างโทษมากขึ้นทุกที ยกเว้นอย่างเดียวว่าเราจะมีศีลเป็นเครื่องคุ้ม พอมีศีลเป็นเครื่องคุ้มเราก็สามารถที่จะควบคุมกายของเราไม่ให้ทำผิดพลาด ควบคุมวาจาของเราไม่ให้ทำผิดพลาดแต่มันก็เป็นแค่ขอบเขตหนึ่งเท่านั้นเผลอสติพลาดเมื่อไรโอกาสมันมีก็เท่ากับว่าเราเปิดช่องให้ลงนรกอีก
    ถาม : คือผมแก้ปัญหาด้วยการนั่งเฉย แต่ว่าการนั่งเฉยจิตใจมันกระเจิง ?
    ตอบ : จิตใจมันไม่นิ่งด้วย เพราะว่าเรารู้อยู่ตลอดว่าเราได้ทำอะไรลงไปผลที่เราได้รับเป็นยังไง เพราะฉะนั้นโอกาสที่ใจมันจะนิ่งด้วยนี่ยากเต็มที ค่อย ๆ ตัดสินใจเอาเหอะ มีโอกาสเมื่อไหร่จะเผ่นก็บอกแล้วกัน
    ถาม : เพราะว่ามันมีเหตุว่าในอดีตเคยทำกรรมที่ไม่ดีเอาไว้ก็เลยยังเกี่ยวกับเรื่องเงินทุนยังไม่มี แต่มันก็พอมีช่องทางอยู่บ้าง ไม่ทราบผมจะดันทุรังทำไปหรือว่าทุนน้อย ๆ นี่ไม่ทราบจะดีมั้ย ?
    ตอบ : คือของอะไรนี่ถ้าหากว่าตามสมัยก่อนของคนจีนเขา ๆ เริ่มจากน้อยไปหาใหญ่ อาจจะค่อย ๆ เก็บเล็กผสมน้อยไป แล้วจะสังเกตว่าคนจีนพอมีกิจการมั่นคงแล้วหลักฐานเขาจะแน่น ที่หลักฐานเขาแน่นเพราะเขาเริ่มจากจุดเล็กมาก่อน มันไม่เหมือนสมัยนี้ ส่วนใหญ่ทำแล้วจะเอารวยทีเดียวโดยที่ลืมไปว่าการทำจะรวยทีเดียวนี่มันต้องลงทุนมาก การลงทุนมากถ้าพลาดโอกาสพลิกฟื้นของเรามันยากแล้ว โอกาสแก้ตัวมันไม่มี เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราทำมัน ควรจะทำตั้งแต่จุดเล็ก ๆ ไปอย่างที่ตั้งใจนั่นและ จริง ๆ แล้วมันถูก ค่อย ๆ ทำไป



    รูปที่นั่งบนเก้าอี้ คือหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน เเละรูปที่นั่งคุกเข่าที่เราเห็นเฉพาะด้านหลังนั้น คือ ครูบาเหนือชัย วัดถ้ำป่าอาชาทอง (พระขี่ม้า)

    อีกรูปหนึ่ง รูปขวามือคือ ครูบาอริยชาติ อริยจิตโต วัดแสงแก้วโพธิญาณ จ.เชียงราย และรูปทางซ้ามมือนั้นคือหลวงพ่อเล็กครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • untitled.bmp
      ขนาดไฟล์:
      147.8 KB
      เปิดดู:
      86
    • imagesCA0GY700.jpg
      imagesCA0GY700.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.7 KB
      เปิดดู:
      107
    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.6 KB
      เปิดดู:
      86
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กรกฎาคม 2012
  7. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    หลวงพ่อเล็กสนทนาธรรม ถาม-ตอบ ปัญหากับศิษย์ ซึ่งบันทึกเป็นเทปเเล้วมา พิมพ์เป็นอักษรอีกทีหนึ่ง........หลวงพ่อเล็กเดิมทีท่านเป็นพุทธภูมิเดิม ..เเต่ตอนนี้ท่านลาพุทธภูมิเเล้ว(ชาตินี้ชาติสุดท้าย)


    ถาม : เป็นพระโพธิสัตว์อยู่แล้วท่านฆ่ารากษสที่มีอายุ ๘๐ ปีแล้ว ทำให้ท่านต้องมีพระชนมายุเพียง ๘๐ พรรษาก็เลยสงสัยว่าทำไมถึงมีผลมากขนาดนั้นในการฆ่ารากษส ?
    ตอบ : อย่าลืมว่าการฆ่าที่ต้องใช้กำลังใจสูงมากเท่าไหร่ผลกรรมมันก็หนักเท่านั้น เขาถึงได้บอกว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าไปกินเนื้อสัตว์ใหญ่ ประเภทวัวทั้งตัวจะฆ่ามันให้ตายต้องใช้กำลังใจมากกว่าไก่ หรือใช้กำลังใจมากว่าปลาเล็ก ๆ อย่างนี้ นั่นมันกินคนมาเยอะแล้ว ถ้าหากว่ากำลังใจไม่เข้มแข็งจริง ๆ คิดจะไปฆ่านี่ประเภทได้ยินชื่อ ก็คงเดินถอยหลังแล้ว
    อันนั้นจริง ๆ ท่านเห็นแก่โยมแม่ คือว่าฐานะลำบากยากจนมากแม่ก็แก่แล้ว อยากให้แม่มีความสุขความสบายบ้างเลยไปรับอาสาเพราะว่าเขาบอกว่าใครทำได้จะให้ทองเท่าลูกฟัก อย่างน้อย ๆ ก็เลี้ยงแม่มีความสุขความสบายไป ถ้าหากว่าในยุคสมัยของเราอายุขัยมันร้อยปีสมัยพระพุทธเจ้าท่าน ก็มีหลายท่านที่อยู่ถึง ๑๒๐ ปี สมัยของเรานี่อายุ ๗๕ ปีเป็นอายุขัยแต่ว่าคนอยู่กันเก้าสิบร้อยกว่าก็มี เพราะฉะนั้นว่าถึงอยู่ต่อไปก็อยู่อย่างคนแก่ ถึงจะแก่อย่างพระพุทธเจ้าก็เถอะ ร่างกายของคนแก่นี่มันไม่ค่อยดีหรอกอยู่ต่อก็ทรมานมาก พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานไปในวาระนั้นไปในเวลานั้นก็ถือว่าพอเหมาะพอสมแล้ว
    ถาม : แล้วคนเราอยู่ ๆ จะไปเป็นยักษ์ได้ยังไง ?
    ตอบ : คงจะต้องทำกรรมอะไรไว้เยอะ พวกอสูรนี่ต้องทำบุญผสมความโกรธ ถ้าหากว่าเราตั้งใจไว้ว่าเราทำบุญอันนี้ขอเกิดเป็นยักษ์มันก็เป็นเหมือนกัน ขณะเดียวกันว่าถ้าหากว่าเป็นผู้ืที่มีจิตใจดุร้ายฆ่าฟันเขาเป็นปกติหรือว่ามีกำลังใจที่เข้มแข็งสามารถทรงฌานทรงสมาบัติได้แต่กลายเป็นมิจฉาทิฐิพอถึงเวลาหลังจากตกนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นอะไรมา อาจจะต้องมาเกิดเป็นพวกเหล่านี้ได้ เพราะว่าวิสัยเดิมสัญชาติเดิมที่ตัวเองทำมามันทำให้ผลกรรมเหล่านี้ส่งผลให้ไปเป็น ภาษาไทยมันฟังยากยักษ์ ยักษ์กลายเป็นเทวดา รากษสนี่เป็นอมนุษย์พวกหนึ่งที่กินเนื้อคนกินสัตว์เป็นอาหาร ผีเสื้อผีเสื้อในที่นี้มันไม่ใช่ผีเสื้อที่บินนะสิ มันมีผีเสื้อที่อยู่ในตระกูลประเภทพวกปีศาจ พวกยักษ์ พวกอสุรกายเหมือนกัน
    ถาม : การปลุกเสกนี่ใครปลุกเสก ? (ถามเรื่องพระกริ่งพิชัยสงคราม)
    ตอบ : ใครปลุกเสก ? ถ้าหากว่าตามสายหลวงพ่อก็เป็นหน้าที่ของพระท่าน แล้วแต่ว่าท่านจะบัญชาการหรือว่าแล้วแต่ท่านจะทำ ของเราเองนี่มีหน้าที่อยู่อย่างเดียวคือนั่งมองแล้วก็คอยทำตามที่ท่านสั่งแค่นั้น สายหลวงพ่อนี่ปลุกพระไม่เป็นหรอกมีแต่พระปลุกถึงเวลาพระจะมาบอกให้ทำโน่นทำนี่
    ถาม : อย่างเวลาที่วัดอื่น ๆ เขานิมนต์พระมาหลาย ๆ องค์มานั่งปลุกเห็นท่านหลับตาแล้วท่านไปไหน ?
    ตอบ : อันนั้นต้องถามท่าน บางองค์ก็นั่งหลับ หลวงพ่อเคยเล่าใหฟังว่ามีหลวงพ่ออยู่องค์หนึ่งเวลาไปนั่งปลุกท่านก็ค่อย ๆ ทรุดลง ๆ จนกระทั่งเกือบถึงพื้นแล้วค่อยยืดขึ้นมาใหม่อย่างนั้นอยู่ตลอดเป็นชั่วโมง จนกระทั่งคนไปสะกิดท่านว่าหมดเวลาหมดพิธีพุทธาภิเษกแล้ว ท่านก็เลิกบรรดาญาติโยมก็เลื่อมใสมาก กี่งานกี่งานก็นิมนต์ไปปลุกเสก แล้ววันหนึ่งลูกศิษย์ลูกหาที่เห็นมีบางคนที่เขาำกล้า เขาก็ถามว่าหลวงพ่อเรียนวิชาอะไรมาครับถึงปลุกท่านั้น ถามว่าท่าไหน ? ก็อธิบายให้ฟังหลวงพ่อจะค่อย ๆ ลงแล้วก็ขึ้น ๆ ท่านบอกกูหลับ บอกตรง ๆ เลยกูหลับ เพราะฉะนั้นอยากรู็ว่าท่านทำอะไรท่านไปไหนก็ต้องถามท่าน
    แต่ถ้าเป็นายหลวงพ่อนี่ถึงเวลาตั้งใจอาราธานาพระ พระท่านสั่งให้ทำยังไงก็กำหนดใจตามไปภาวนาตามไป
    ถาม : แล้วแต่บางองค์ ?
    ตอบ : ก็แล้วแต่วิชาการที่ท่านได้รับมา ที่หลวงพ่อเคยเล่าเรื่องพิธีพุทธาภิเษกน่าจะเป็นที่วัดระฆังมั้ง ? สมัยเจ้าคุณเทพประสิทธินายกอยู่หลวงปู่นาควัดระฆัง พอเริ่มพิธีพุทธาภิเษกหลวงพ่อกำหนดเจโตปริยญาณแอบดูใจเขา บอกว่าแต่ละองค์กำลังใจไม่เหมือนกันบางองค์พุ่งแหลมเปี๊ยบเป็ฯเข็มพุ่งใส่กองวัตถุมงคล บางคนก็เป็นแสงสว่างจ้าแผ่คลุมทั่วเลยกำลังจะดูต่อไปหลวงปู่นาคด่ามาบอกเฮ้ยไอ้ขี้ขโมยแอบดูเขา...(หัวเราะ)...รู้ไปหมดทำอะไรก็รู้
    ถาม : พระมหากษัตริย์ไทยที่ได้สิ้นพระชนม์ไปแล้วมาเกิดแล้วอย่างนี้ครับ ถ้ามาเกิดแล้วเวลาไปจุดธูปไหว้นี่ไหว้ใคร ?
    ตอบ : บุคคลที่มีคนเคารพนับถืออยู่ เมื่อท่านสิ้นชีวิตไปแล้วเขากราบไหว้บูชาอยู่ ถ้าหากว่าท่านมาเกิดใหม่จะมีเทวดาหรือพรหมที่มีบารมีใกล้เคียงกับท่านรับหน้าที่นั้นแทน อย่างสมัยหลวงพ่อมีชีวิตอยู่คนไปกราบไหว้บูชาท้าวสัจจะพรหมจะรับหน้าที่แทน เขาจะมีการแทนกันเพราะว่าอย่างน้อย ๆ การระลึกถึงผู้ที่มีคุณมีความดีอะไรมันก็ยังเป็นอปจายนมัย ถ้าหากว่าท่านเป็นเทวดาก็เป็นเทวตานุสติ ถ้าท่านเป็นพระอริยเจ้าก็เป็นสังฆานุสติไป
    ถาม : ไหว้ท่านก็ไม่สูญเปล่า ?
    ตอบ : ไม่ไปไหนหรอก ดีไม่ดีองค์ที่มาถ้าบารมีสูงกว่าซะหน่อยได้เยอะกว่าอีก
    ถาม : เล่าเรื่องหลวงปู่ปานท่านสอนบอกว่าเวลาพระมาที่วัด ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายพระไปที่ตั้งหลวงพ่อก็คิดว่าสามารถเคลื่อนย้ายได้เลย หลวงปู่ปานท่านบอกว่าต้องให้ความเคารพต่อพระพุทธเจ้า ต้องจุดธูปทำพิธีก่อน แล้วอย่างนี้เวลาพระที่บ้านเราจุดธูปก่อนอย่างนี้ดีมั้ย ?
    ตอบ : ควรจะทำเลยเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพจริง ๆ คือจุดธูปบอกกล่าวท่าน ขออนุญาตเลยว่าเราจะโยกย้ายยังไง เพราะว่าพระ โดยเฉพาะ พระพุทธรูปสร้างขึ้นมาจะผ่านพิธีพุทธาภิเษกหรือไม่ผ่านก็ตามจะมีเทวดารักษาอยู่แล้ว การพุทธาภิเษกเป็นการจับตัววางตายว่าใครเป็นผู้รักษาเท่านั้น นั่นเฉพาะเจาะจงว่าหน้าที่คุณแต่ถ้าหากว่าทั่ว ๆ ไำปใครก็ช่วยรักษาได้เพราะฉะนั้นก็ควรให้ความเคารพท่าน โดยเฉพาะเราเคารพก็คือเราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การเคารพด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจอย่างแท้จริงนี่เป็นกติกาเริ่มต้นของพระโสดาบัน
    ถาม : ถ้าเราถือวิสาสะย้ายทันทีอย่างนี้ถือว่าปรามาสมั้ย ?
    ตอบ : ก็ขอขมาทีหลังสิ เหมือนกับผู้ใหญ่ถึงเวลาลากท่านเดินต๊อก ๆ ไปอย่างนี้มันงามมั้ยล่ะ ?
    ถาม : ญาณ ๘ นี่เหมือนกับว่าเราคิดไปเองรึเปล่า ?
    ตอบ : ลักษณะของการฝึกญาณ ๘ เราได้ทิพจักขุญาณก่อน คราวนี้ทิพจักขุญาณถ้าไม่ชัดเจนแจ่มใส บางทีเหมือนยังกับเราคิดเองเออเอง วิธีทดสอบง่าย ๆ ก็คือว่าให้ถามปัญหาที่พิสูจน์ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ อย่างเช่นว่าถ้าพรุ่งนี้เราอกจากบ้านเราจะเจอใครเป็นคนแรก ผู้หญิงหรือผู้ชาย ใส่เสื้อผ้าสีอะไรอย่างนี้ พอตอนเช้าก็โผล่หน้าออกไปดูเลย ถ้ามันตรงก็ใช้ได้
    สมัยก่อนที่หลวงพ่อท่านสอนให้นั่งข้างถนนหลับตาทำใจสบาย ๆ วางอารมณ์อยู่ในทิพจักขุญาณของมโนมยิทธิ เสียงรถยนต์แล่นมาให้ถามว่ารถยนต์มาสีอะไร พอคำตอบเกิดขึ้นก็ลืมตาดู มันได้คำตอบในระยะสัน ๆ เลย ถ้าหากว่าผิดไม่ต้องจำ แต่ถ้าถูกให้จำว่าเราวางอารมณ์ไว้ยังไง แล้วก็กำหนดใจอย่างนั้นรถมาสีอะไร ต่อไปพอถูกสักแปดคันในสิบคันเริ่ิมความมั่นใจเริ่มมี เพิ่มไปว่ารถมาสีอะไรคนนั่งมากี่คน พอมันถูกมาก ๆ เข้าสักแปดในสิบว่ารถมาสีอะไรคนนั่งมากี่คน ผู้หญิงเท่าไหร่ผู้ชายเท่าไหร่ ต่อไปรถมาสีอะไรคนั่งมากี่คนผู้หญิงเท่าไหร่ผู้ชายเท่าไหร่ แต่ละคนใส่เสื้อผ้าสีอะไร ท้าย ๆ กระทั่งเลขทะเบียนรถก็บอกถูก ให้พิสูจน์กับสิ่งที่พิสูจน์ได้ระยะสั้น ๆ เพื่อที่เราจะได้มั่นใจว่าความรู้นี้ถูกต้องจริง ๆ
    ถาม : ทีนี้จะต้องฝึกทุกวัน ?
    ตอบ : ฝึกทุกวันต้องซ้อมไว้ทุกวันไม่งั้นสนิมขึ้น จะใช้งานแต่ละทีชักดาบไม่ออกสนิมกินติดกระบอกไปแล้ว
    ถาม : มันมีอยู่ช่วงหนึ่งค่ะ ที่แบบว่าเป็นความรู้สึกมากกว่า แล้วก็ไม่เกินห้านาทีมันก็เกิดแล้วเป็นอย่างนี้ เหมือนกับว่าติดต่อกันหลายครั้งเหมือนกันและพอมาช่วงหลังนี่รู้สึกมันความรู้สึกนี้หายไปแล้ว
    ตอบ : เราทิ้งมัน ลองย้อนกลับไปทบทวนดูว่าตอนช่วงนั้นเรารักษาอารมณ์ยังไง ? ทาน ศีล ภาวนาของเราทรงตัวแค่ไหน ? อารมณ์ใจนั้นถึงอยู่กับเรา เราปฏิบัติวันละเท่าไหร่ ? เช้ากี่ครั้งเย็นกี่ครั้ง ? รักษาอารมณ์ได้นานเท่าไหร่อย่างนั้น แล้วตอนนี้เราได้ทำอย่างนั้นมั้ย ? ถ้าเรายังทำอย่างนั้นผลอย่างนั้นก็ยังเกิดอยู่ แต่ถ้าเราเลิกทำเมื่อไหร่ผลอย่างนั้นก็หายไป
    ถาม : หลังจากที่เรียกว่าเหมือนกับว่าเคยได้อย่างนี้คะ แล้วหนูรู้สึกว่ามันไม่ค่อยอยากจะทำแล้วก็ไม่ค่อยอยากจะสวดมนต์ ไม่ค่อยอยากจะไหว้พระ ?
    ตอบ : มันก็ไม่ค่อยอยากจะเกิดเหมือนกัน ....(หัวเราะ) .....เราไม่สร้างเหตุแลผลจะเกิดได้อย่างไร ? เราก็ต้องทำเหตุอันนั้นใหม่ คนที่เคยทำได้แล้วไม่ยาก ถ้าเคยทำได้แล้วจะไม่ยากไปทบทวนอารมณ์เดิมของเรา พอถึงตรงจุดนั้นเมื่อไหร่ตัวรู้นี่ก็จะเกิดขึ้นมาใหม่ แรก ๆ มันเป็นความรู้สึกพอนานไป ๆ ความมั่นใจมันมากเข้า ๆ อยู่มันจะเหมือนกับปรากฏภาพวาบขึ้นมาเฉย ๆ ตอนนั้นก็จะลำบากอยู่อีกช่วงหนึ่ง พอภาพมันปรากฏขึ้นมาความเคยชินจะไปใช้สายตาเพ่งอยู่ เราต้องส่งจิตออกไปนะไปถึงสถานที่นั้น ๆ ถึงจะรับรู็ภาพอย่างนั้น ๆ ได้
    การที่เราใช้สายตาเพ่งก็คือเรานึกถึงตา นึกถึงตาก็คือนึกถึงตัวมันเป็นการดึงจิตกลับภาพจะหายไป ก็จะต้องไปปล้ำกับภาพที่มา ๆ หาย ๆ อีกยกใหญ่ บางคนเป็นปี ๆ เลยกว่าจะทำใจได้ว่าก่อนหน้านี้แค่ความรู็สึกเราก็รู็ได้ถูกต้องดีแ้ล้ว ถึงภาพจะปรากฏไม่ปรากฏก็ช่างมันเถอะ ยังไง ๆ ความรู้สึกนี้ถูกต้องเราพอใจ ถ้าทำอย่างนั้นได้ภาพจะปรากฏอยู่แล้วอยู่ได้นาน ไปหัดใหม่ไม่ยากแล้ว
    ถาม : แล้วหนูเคยแบบว่าฝันแล้วพอตื่นขึ้นมาจำไม่ได้เป็นอย่างนี้ประมาณสามสี่รอบแล้วค่ะ แล้วปรากฏว่าเหตุการณ์มันก็เกิดขึ้นมา แล้วก็จะนึกได้ว่าอันนี้เราเคยฝัน ?
    ตอบ : ลักษณะนั้นถ้าเป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อนมันจะเหมือนกับฝันหรือว่าเกิดความรู้สึก อย่างเช่นว่ารู้สึกว่าเพื่อนน่าจะโทรมา พักเดียวโทรศัพท์กริ๊งแล้วอย่างนี้ โบราณเขาเรียกว่าคนอย่างนี้ลางสังหรณ์ดี แต่ความจริงมันเป็นทิพจักขุญาณ เพียงแต่มันขาดการฝึกฝนต่อเนื่ง มันก็เลยไม่ชัดเจนแจ่มใส
    ถาม : หนูฟังเทปหลวงพ่อคะ ที่เป็นแบบว่าวิชชาสามกับอภิญญาหก หนูมีความสงสัยว่าวิชชาสามนี่อยู่ในระดับล่างของอภิญญาหก ?
    ตอบ : ต่ำกว่า อภิญญาหกมันจะมีอยู่จุดหนึ่งก็คือ อิทธิฤทธิ์ ตัวนี้จะแสดงฤทธิ์ผาดแผลงได้ทุกอย่างเลยเนื่องจากว่าพื้นฐานของอิทธิฤทธิ์มาจากกสิณสิบ แต่ว่าวิชชาสามนี่พื้นฐานมาจากกสิณกองใดกองหนึ่งกองเดียวคือจะเป็นเตโชกสิณกสิณไฟ โอทาตกสิณกสิณสีขาว อาโลกกสิณกสิณแสงสว่าง กสิณสามกองนี้กองใดกองหนึ่งนี่ทำให้เกิดทิพจักขุญาณได้ พอเกิดทิพจักขุญาณแล้วก็นำไปใช้ในปุพเพนิวาสนุสสติญาณคือระลึกชาตินะวิชาที่หนึ่ง วิชาที่สองจุตูปปาตาญาณ รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหนตายแล้วจะไปไหน และตัวสุดท้ายคืออาสวักขยญาณคือทำกิเลสให้สิ้นไปสามอย่างนี้เขาเรียกว่าวิชชาสาม
    แต่อภิญญาหกนี่ครอบวิชชาสามอยู่หมัดเลย มีอิทธิฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ได้ทุกอย่าง ทิพยโสตหูทิพย์ ทิพจักขุอะไรอย่างนี้แล้วก็ปุพเพนิวาสานุสสติญาณระลึกชาติ จุตูปปาตญาณรู้ว่าคนสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหนตายแล้วจะไปไหน แล้วอาสวักขยญาณทำให้กิเลสสิ้นไปมากกว่าตั้งสาม
    ถาม : หนูมีความรู้สึกว่ายากมากเลยหนูคงทำ...คงต้องเป็นนักบวชอย่างเดียวคงจะทำได้
    ตอบ : ไม่หรอกคนทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ ฆราวาสทำได้ง่ายกว่าเพราะว่าศีลน้อยกว่า คนที่รักษาของห้าชิ้นกับคนที่รักษาของสองร้อยกว่าชิ้นนี่ใครดูแลง่ายกว่ากัน ฆราวาสรักษาศีลแค่ห้าข้อทำได้ง่ายกว่า มันอยู่ที่ว่าเราเอาจริงมั้ย ? เรื่องของอภิญญาเป็นเรื่องของคนจริงคนจัง ของคนมีสัจจะทำต้องทำจริง ๆ ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ถ้าหากว่าเราทำอย่างนั้นได้มันได้ทุกคนไม่ใช่นักบวชหรอก นักบวชปัจจุบันนี้สามแสนกว่านี่ทำได้ไม่ถึงพันหรอก
    ถาม : ฟังแล้วหนูมีความรู้สึกว่ายากมากสำหรับชาตินี้ของหนู
    ตอบ : เอาเถอะ....ไม่เป็นไรถ้าเกิดบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ง่ายไปเอง
    ถาม : มีความสงสัยว่าถ้าเอาลูกไปรับยันต์เกราะเพชรนี่เด็กไม่ได้นั่งสมาธินี่....
    ตอบ : ไม่เป็นไร เพราะว่าถ้าหากว่าเราอยู่ในพิธีด้วยความตั้งใจ ถึงยังไงพระท่านก็สงเคราะห์ให้ ต่อให้ไม่ได้อยู่ในพิธีถ้าหากว่าติดงานติดการแล้วเราอยู่ที่บ้านตั้งใจรับด้วยความเคารพในเวลานั้นก็ได้เหมือนกัน
    ถาม : อยากจะเปลี่ยนชื่อ หนูเกิดวันพฤหัสค่ะ ?
    ตอบ : แล้วทำไมจะเปลี่ยน เป็นอะไรเขาก็เรียกชื่อเดิมนั่นล่ะ เชื่อเถอะมันแทบจะไม่มีใครเขาเรียกชื่อใหม่ของเราหรอก ยกเว้นคนที่เพิ่งรู้จักกัน คนที่รู้จักมาแล้วเปลี่ยนเป็ฯอะไรมันก็เรียกชื่อเดิม จริง ๆ ชื่อเสียงเรียงนามนี่มันมาทีหลังคน ตำราการตั้งชื่อมันมาทีหลัง ถ้ามันมีผลต่อคนมากถึงขนาดนั้นบรรพบุรุษของเราก็คงตายหมดแล้ว ไม่เหลือมาถึงเราหรอก อุตส่าห์สืบเผ่าสืบพันธุ์มาถึงเราจนปัจจุบันตั้งห้าหกพันล้านคนแล้ว เพราะฉะนั้นชอบชื่ออะไรก็เอาชื่อนั้นเถอะ ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ถือว่าเป็นมงคลที่สุดแล้่ว
    อาตมาอยู่มาจนป่านนี้ก็เพิ่งจะเจออยู่รายเดียวที่ชื่อมีอิทธิพล เป็นเด็กผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งอายุก็คงราว ๆ ซักสิบห้าสิบหกปี เชื่อมั้ยนว่าตัวเขาเบาจนขนาดเราหิ้วแขนเดียวลอยเลย ผอมกะหร่องมีแต่กระดูก ตอนนั้นหลวงปู่ครูบาธรรมชัยยังอยู่ หลวงปู่ครูบาธรรมชัยเป็นพระดีองค์หนึ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกให้ลูก ๆ ไปหาไปกราบไปไหว้ไปทำบุญกับท่าน หลวงปู่ธรรมชัยท่่านรักษาโรควิธีรักษาโรคท่านตรวจด้วยทิพจักขุญาณคือโรคที่หมอทั่ว ๆ ไปรักษาไม่ได้มักจะไปหาหลวงปู่ หลวงปู่ท่านจะมีสายสิญจน์วางอยู่ในพานพาดมาแล้ว ท่านก็จะจับไว้ พอคนป่วยเข้ามาแตะสายสิญจน์หลวงปู่จะบอกว่าป่วยด้วยโรคอะไร เป็นมากี่ปีกี่เดือนกี่วันต้องรักษาด้วยยาอะไร
    สมัยนั้นถ้าหลวงปู่มาไม่ตรงกับหลวงพ่อก็จะไปหาหลวงปู่เพื่อทดสอบทิพจักขุญาณของตัวเอง ไปถึงโยมเขาแตะก็กำหนดใจจะรู้ว่าเขาป่วยมากี่ปี แต่พอเดือนนี่ชักจะผิดพอวันนี่ไปไกลลิบเลย หลวงปู่ท่านบอกรายละเอียดได้แต่ของเรามันละเอียดขนาดนั้นไม่ได้ มาตอนหลังหลวงพ่อท่านบอกว่าทิพจักขุญาณของหลวงปู่ธรมชัยเยี่ยมที่สุดในยุคนั้น เพราะว่าท่านเกิดมาเพื่อเป็นหมอ เป็นหมอถ้ารู้ไม่ละเอียดรักษาโรคไม่ได้ ในเมื่่อท่านมาเพื่อเป็นหมอ ทิพจักขุญาณต้องเยี่ยมที่สุด เพราะฉะนั้นที่เราผิดแล้วผิดอีกไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ไปลองกับใครไม่ลองไปลองระดับ (หัวเราะ) ปรมาจารย์เลย
    คราวนี้พอเด็กคนนั้นแตะสายสิญจน์ปั๊บหลวงปู่ลืมตาขึ้นมาบอกอีหนูไม่ต้องรักษาหรอกลูกไปเปลี่ยนชื่อซะก็หายเอง ท่านบอกว่าชื่อปัจจุบันนี้ไปตรงกับบรรพบุรุษคนหนึ่งที่ตายมานานแล้ว ผีมันหวงชื่อตายมานานขนาดนั้นแล้วยังไม่ยอมเลิกหวงชื่อตัวเองว่าลูกหลานเอาชื่อมาตั้งตรงกับมัน โกรธ มันก็เลยแกล้งซะจนเป็นอย่างนั้น หมอรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย หาสาเหตุไม่เจอ นั่นแหละในชีิวิตที่อยู่มาจนป่านนี้สี่สิบกว่าปีแล้ว เพิ่งเห็นมีคนเดียวที่ชื่อมีอิทธิพลกับตัว เพราะฉะนั้นของเราอะไรก็ได้ ถ้าอยากได้ชื่อเพราะ ๆ ไปวัดดอนเดินดูทีละป้าย ๆ เดี๋ยวก็ได้เอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • firstbuddha.jpg
      firstbuddha.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72.9 KB
      เปิดดู:
      119
    • %CB%C5~1.JPG
      %CB%C5~1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      25.8 KB
      เปิดดู:
      81
    • art_342200.jpg
      art_342200.jpg
      ขนาดไฟล์:
      46.8 KB
      เปิดดู:
      82
    • untitled.bmp
      ขนาดไฟล์:
      147.8 KB
      เปิดดู:
      77
    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.6 KB
      เปิดดู:
      77
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กรกฎาคม 2012
  8. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    มีประโยชน์มากๆครับ
    พี่ๆท่านใดมีประสบการณ์หรือมีธรรมะอะไร หรือเผยเเพร่งานบุญกุศล เชิญนะครับ
    ผมเห็นว่ามันเงียบๆหน่ะครับ ก็เลยเอาธรรมะ และความรู้ (จากครูบาอาจารย์)ที่เราไม่ค่อยจะได้รู้ว่ามีอย่างนี้... มาให้อ่านกันดูครับเผื่อมีประโยชน์กับท่านใดๆบ้างครับ


    ถาม : คือแม่หนูเขาชอบสวดมนต์ตอนเช้าแต่เขาสวดแบบเสียงดัง เวลาที่หนูอยู่ข้างบนนี่พอได้ยินเสียงแม่สวดมนต์จะมีความรู้สึกว่าหนูรำคาญเสียงแม่ แต่เพียงที่จะทำใจให้สบาย ๆ คือก่อนที่เขาจะเอาข้าวมาถวายพระภูมิจะรู้สึกว่ามันเกะกะรำคาญตายังไงก็ไม่ทราบค่ะ แต่หนูพยายามปลดอารมณ์ใจว่าไม่ ๆ ๆ ๆ
    ตอบ : อันนั้นมันเป็นตัวทดสอบอารมณ์อย่างหนึ่งเขาเรียกว่า กิเลสมารมันจะทำให้เราเป๋ไปจากความดี ทั้ง ๆ ที่เห็นคนอื่นทำความดีแต่ไม่ได้ยินดีและโมทนาด้วย มันจะกลายเป็นประเภทนึกคิดเบียดเบียนเขาซะด้วยซ้ำไป จิตมันแทนที่จะประกอบไปด้วย อนุโมทนาจิต มันกลายเป็น วิหิงสาวิตก คือคิดเบียดเบียนคนอื่นเขาแทน อารมณ์ใจอย่างนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดี บอกกับมันบอกว่า ข้ารู้จักหน้าเองแล้วไม่ต้องมาแกล้งซะให้ยากหรอ พวกมารนี่ขี้อายพอเรารู้ทันเขาก็เลิก
    ถาม : แล้วหนูเห็นอย่างนี้หนูก็ต้องโมทนากับเขา ?
    ตอบ : จริง ๆ คือว่าในส่วนนั้นเราไม่ได้ทำ แล้วแม่ทำเราก็พลอยยินดีและโมทนาไปกับความดีที่แม่ทำด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายพยายามกลั้นเอาไว้อย่าให้เข้าในใจ ถ้าเข้าในใจปุ๊บมันจะเกิดอันตรายกับเรา เพราะว่ามันจะเริ่มชอบหรือไม่ชอบ พอชอบหรือไม่ชอบปุ๊บถ้าเรามาคิดต่อนี่ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่เลย ถ้าไม่ชอบก็พลอยจะพาลโกรธพาลเกลียดไปเลย ถ้าหากว่าชอบก็อยากมีอยากได้ขึ้นมา มันไม่ได้เรื่องทั้งสองฝ่ายพยายามทำใจให้เป็นกลาง ๆ ไว้
    ถาม : ตามที่เคยได้ยินมาเขาบอกว่าถ้ามีคู่ครอง.....
    ตอบ : มีคู่นี่ยิ่งไปง่ายเลย คนจะไปนิพพานจะต้องเห็นทุกข์รู้ทุกข์ เมื่อเห็นทุกข์รู้ทุกข์แล้วรู้สึกเข็ด ในเมื่อรู้สึกเข็ดนี่ก็หาทางหนีทุกข์ซึ่งมันจะไปนิพพานได้ ดีไม่ดีไปง่ายด้วยเพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่ที่มีคู่ถ้าหากว่าจิตใจมัวแต่ไปกังวลกับการทำมาหากิน ห่วงลูกห่วงผัวห่วงเมียมันกังวลอยู่มันก็จะไปยาก แต่ถ้าหากว่าผู้ใดก็ตามที่มีคู่แล้วเห็นทุกข์โอกาสที่จะไปมันง่ายกว่าคือถ้าตั้งใจปฏิบัติจริงเห็นทุกข์จริงจิตมันยอมรับได้ง่ายกว่า มันลำบากจริง ๆ แล้วนี่คนเดียวก็ทุกข์จะแย่แล้วใช่มั้ย ? จาก ขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของตัวเองก็กลายเป็นขันธ์สิบของสามีอย่างนี้ กลายเป็นขันธ์สิบห้าของลูก มีซะสองคนก็ยี่สิบไปเลย มันทุกข์กว่าเดิมหลายเท่ามันน่าจะไปง่ายกว่า ใครบอกว่ามีคู่แล้วไปนิพพานไม่ได้อย่าไปเชื่อ พระพุทธเจ้าก็มีใช่มั้ย ? นั่นจะต้นตำรับนิพพานเลย
    ถาม : เราทำบุญอะไรละค่ะถึงจะได้รู้ว่าเนื้อคู่เราคือแบบว่าเรามีทำบุญหรือทำกรรมอะไรมาคือว่าต้องมาผิดหวังในเรื่องของคู่ครอง ?
    ตอบ : เรื่องนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าสมัยก่อนไปแย่งของคนอื่นเขาไว้รึเปล่า ? จริง ๆ แล้วหลวงพ่อเขาบอกว่า “ อยู่คนเดียวเปลี่ยวกายแสนสบายแต่ไม่สนุก ถ้าอยู่สองครองทุกข์ถึงสนุกก็ไม่สบาย” ความจริงเราสบายนะเราลดทุกข์ลงไปครึ่งหนึ่ง คอยดูคนรอบ ๆ ข้างเราสิถึงรักกันปานจะกลืนก็เหอะ ถึงเวลามันก็ต้องทะเลาะเบาะแว้งกระทบกระทั่งกันอยู่ตลอดลิ้นกับฟันน่ะ ถึงจะมีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจก็จริงแต่ถ้าคนเราเวลาเหนื่อยมา เวลาหิวมา เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยอารมณ์มันเสียง่ายเดี๋ยวทะเลาะกัน ดูว่ารอบข้างเรามีคู่ไหนที่เขามีความสุขจริง ๆ มั่ง มันจี๋จ๋าหวานจ๋อยกันได้พักเดียวแล้วหลังจากนั้นก็ทุกข์ล้วน ๆ ถามคนข้าง ๆ สิเขาแต่งมาแล้ว ถามว่าพี่มีความสุข์จริง ๆ มั้ย ? ไม่มีหรอก ลำบากจะตายชัก เหนื่อยจากข้างนอกมาด้วยกันแท้ ๆ กลับมาบ้านเรายังมีเจ้านายเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ถ้ามีลูกก็เพิ่มขึ้นอีกก็เพิ่มขึ้นอีกสองคน บางครอบครัวเห็นแล้วก็น่าสงสาร
    ถาม : .......................
    ตอบ : พระอรหัง สุคะโต ภะคะวา นะ เมตตาจิต แค่นั้นแหละว่าทุกวัน ๆ เจ้าของคาถาคนแรกคือ หลวงปู่แช่มวัดฉลอง ภูเก็ต ถัดมาก็ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ถัดมาก็ หลวงพ่อวัดท่าซุง คาถาบทนี้ถ้าเราต้องการให้ใครรักใครเมตตาเราสงเคราะห์เรา ให้นึกถึงหน้าเขาแล้วภาวนาคาถาบทนี้เรื่อย ๆ สักครึ่งชั่วโมง ทำให้ตัวเองกำลังใจทรงตัว เสร็จแล้วก็ไปเหอะ
    ถาม : (เรื่องการพิจารณาระหว่างรับประทานอาหาร) ?
    ตอบ : จริง ๆ คือพิจารณาต่อยาวไปทีเดียวเลยจ้ะ แล้วตอนท้ายนี่ สรุปรวบกลับมาว่า ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ยังจำเป็นต้องกิน ก็กินเพื่อให้ร่างกายนี้ทรงอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมเท่านั้น ไม่ได้กินเพื่อความอ้วนพีของร่างกาย ไม่ได้กินเพื่อความผ่องใสของผิวพรรณ ไม่ได้กินเพื่อตั้งใจจะยั่วกิเลสให้เกิดขึ้น หากแต่ว่ากินเพื่อรักษาร่างกายนี้ไว้ให้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้นกินให้มันสักหน่อย ถ้าตะขิดตะขวงใจมากว่าเขาจะต้องตายเพราะเรา เราต้องมากินเขาแท้ ๆ ก็ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของเลือดเนื้อเขาไปเลย
    ถาม : แล้วถ้าเห็นว่าภาวะรอบข้างว่าอย่างนี่เป็นทุกข์ ให้คิดไปเลยใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : ให้เห็นจริง ๆ ว่าทุกอย่างมันเป็นทุกข์ นั่นเป็นสิ่งที่ดีมากเลย แล้วเราก็มาถามตัวเองว่าโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนแบบนี้ การที่เรามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ เรายังต้องการมันอีกไหม ? ถ้ามันตอบว่าไม่ต้องการ ก็ถามตัวเองว่าในเมื่อไม่ต้องการแล้วจะไปไหน ? ถ้าอารมณ์สุดท้ายเกาะนิพพานก็เกาะยาวไปเลย แล้วรักษาอารมณ์เกาะนิพพาน ประคับประคองเอาไว้ ทำอย่างนั้นทุกวัน ๆ จนอารมณ์จิตชินกับนิพพาน ต่อไปสบายตายเร็ว (หัวเราะ) ถ้าหากมันเกาะจริง ๆ ไม่เอาอะไรจริง ๆ เอานิพพานนี่ตายเร็ว ซึ่งมันเป็นความต้องการของเราอยู่แล้ว
    ถาม : ต้องเฉพาะตะวันออก ? (ถามเรื่องศาลพระภูมิ ที่ตั้งอยู่ทิศตะวันออกของบ้าน )
    ตอบ : เฉพาะศาลที่อยู่ด้านทิศตะวันออก ไม่ใช่หันทิศตะวันออกนะ อยู่ด้านทิศตะวันออกของตัวอาคาร ทุกหลัง ที่อยู่ทิศตะวันออกมีหน้าที่พิเศษ คือ ให้หวยด้วย ถ้าใครขอเป็น เหมือนยังกับโดนบังคับแต่ให้คนขอเป็น ถ้าขอไม่ได้เรื่องนี่ก็แย่เหมือนกัน สำหรับของเราที่พอถึงเวลาฝันแล้วไม่เล่นมันจะแม่น นั่นน่ะเขามาลองใจเรา ถ้าเราเล่นเมื่อไรมันจะเคลื่อนทันที เล่นสามตัวมันจะออกสองตัว เล่นสองตัวมันจะออกตัวเดียว เล่นตัวเดียวมันไม่ออกเลย มันจะเป็นอย่างนี้ แล้วถ้าเราบอกเขาโดยที่เขาเองไม่มีบุญในด้านนี้มาก่อนเลขมันก็จะเคลื่อนเลื่อนไปงวดอื่น เลื่อนให้เจ็บใจเล่นเท่านั้นแหละ สมัยหลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี ที่ สมุทรสาคร ยังอยู่ หลวงพ่อเนื่องมีอาชีพให้หวย ใคร ๆ ก็ไปหาท่าน ขอหวย ๆ หลวงพ่อเนื่องให้ บางทีก็เขียนใส่กระดาษยัดใส่มือมาเลย บางทีก็เขียนใส่กระดานดำทิ้งเอาไว้ไปลอกเอาเอง บางทีคนเอาแบงค์ไปถวายทั้งปึกท่านก็ดึงเอามาคืนให้ใบหนึ่ง ใบนั้นน่ะออกแหง ๆ
    วันที่หลวงพ่อเนื่องมรณภาพกรรมการเข้าไปจัดการเกี่ยวกับการเงินในกุฎีท่าน โอ้โห!ค้นมันทุกซองทุกมุมเงินเต็มไปหมด เพราะท่านรับมาท่านก็โยนโครม! กองเอาไว้ไม่ได้ใช้อะไรเลย คือไม่ได้ยึดติดในเรื่องเงินเรื่องทอง จริง ๆ แล้วไม่ได้ใส่ใจเลยรับมาท่านก็โยนไว้รอบตัวนั่นแหละ กรรมการตรวจนับเงินได้ยี่สิบกว่าล้าน ปรากฏว่าหลวงพ่อเนื่องมรณภาพ
    หลวงพ่อบอกว่า หลวงพ่อเนื่องเป็นพระอรหันต์ มันขอหวย พระอรหันต์ตายไปทั้งองค์ไม่ได้คิดจะขอธรรมะกันเลย หลวงพ่อเนื่องท่านก็อยู่ให้ เป็นหน้าที่ของท่านนี่ ปรากฏว่าหวยหลวงพ่อเนื่องคนเอาไปเล่นถูกบ้างไม่ถูกบ้างเพราะไม่รู้วิธี หลวงพ่อท่านบอกวิธีให้ว่า ถ้าพระท่านบอกเป็นสาธารณะอย่างนั้นบุญคนมันไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะถูกมันยาก ท่านบอกว่า ถ้าอยากจริง ๆ ให้ตามไม่เกินสิบสองงวดจะออก ท่านแนะนำวิธีเล่นว่าถ้างวดแรกเราเล่นสิบบาท งวดที่สองให้เล่นยี่สิบ งวดที่สามให้เล่นสามสิบ งวดที่สี่ให้เล่นสี่สิบ ถ้าทำอย่างนี้แล้วถึงเวลาออกมันจะได้คุ้ม รับรองว่าไม่เกินสิบสองงวดจะออก แล้วออกตรง ๆ ด้วย แต่ถ้าอยากได้งวดนั้นเลย ให้ตัดท้ายเล่นตัวเดียวจะได้ แต่คราวนี้เล่นตัวเดียวมันได้น้อยเขาไม่ต้องการกัน
    พอได้เคล็ดลับมาแทนที่จะเล่นหวยหลวงพ่อเนื่อง ก็เล่นหวยหลวงพ่อเราเอง หลวงพ่อท่านบอกหวยปีละครั้งตอนกฐิน คอยฟัง ๆ เถอะ ถ้าคนเฮเมื่อไรก็เลขนั้นแหละ แต่คราวนี้ท่านบอกทีอย่างกลางศาลาสองไร่คนมีเป็นหมื่น บุญคนมันไม่เท่ากัน งวดสุดท้ายก่อนท่านมรณภาพท่านก็บอกว่า เฮ้ย.....ใครมีเงินบ้างหว่า ขาดเงินอยู่ ๖๘๓ บาท พวกฮากันตรึม ใช่แน่แล้วตัวนี้ ปรากฏว่างวดแรกมันออก ๖๘ งวดหลังมันออก ๘๓ แล้วงวดที่สี่มันออก ๘๓๖ มันไม่ใช่ ๖๘๓
    ปรากฏว่า พี่สุรกานต์ เขาได้เคล็ดลับแล้วเขาตามไปเรื่อยแหละ คนอื่นเลิกกันหมดแล้ว คนได้ ๖๘ แล้วเลิกก็มี ได้ ๘๓ แล้วเลิกก็มี ประเภท ๓๘๖ หรือ ๘๓๖ งวดนั้นก็มี แต่ของหลวงพ่อนี่ถ้าบอกเมื่อไรตรง ๆ ไม่ต้องกลับ พี่เขาก็ตามไปเรื่อย ๆ ไปออกเอางวดที่เก้าได้ไปแสนแปดค่อยยังชั่วหน่อย ถามพี่เขาเหมือนกันถ้างวดที่สิบเอ็ดแล้วไม่ออกล่ะ ? เขาบอกว่าขายบ้านแล่น ( หัวเราะ ) คือเขามั่นใจแน่แล้ว พอได้เคล็ดลับไปแล้วลองตามดู จริง คนที่มีบุญไม่ถึงนี่บารมีไม่ถึงมันจะเลิกเสียกลางคัน คนที่สมควรได้มันจะมีกำลังใจตาม มันตามจนออก เก้างวดนี่เท่าไร สี่เดือนกว่าใช่ไหม ? เพราะฉะนั้นก็ตามไปเหอะ
    ถาม : ของหลวงพ่อใช้ได้กับทุกองค์ไหม ?
    ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกัน แต่หลวงพ่อเนื่องกับหลวงพ่อนี่ใช้ได้ (หัวเราะ) องค์อื่นก็ลองดู ถ้าสิบสองงวดไม่ออกก็เพิ่มเป็นร้อยยี่สิบงวด (หัวเราะ) ใส่ศูนย์ไปอีกตัวหนึ่ง
    ถาม : ที่เคยสอนว่าเวลาภาวนาไปด้วยให้นับลูกประคำโดยนับจำนวนเม็ดไปด้วย ทีนี้ถ้าตอนนับกับภาวนาไปด้วย ภาวนามันไปเรื่อย ๆ เหมือนกับว่าเราจะต้องเอาจิตไปดูที่จำนวนนับหรือดูที่มือแตะจำนวนนับล่ะคะ ?
    ตอบ : รู้ทั้งสองอย่าง
    ถาม : เครียดนะคะ ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วเขาเอาสำหรับพวกฟุ้งซ่านมาก พวกที่ฟุ้งซ่านมากถ้าให้ทำงานหลายอย่างแล้วจิตมันจะจดจ่ออยู่กับตรงนั้นมันก็จะไม่ฟุ้งซ่านไปที่อื่น ของเราถ้าเอาธรรมดา ๆ รับรู้อย่างเดียวก็พอแล้ว ไม่งั้นจะเครียดเกินไปหนักเกินไป แต่ที่หัดทำตอนนั้นเพราะต้องการจะซ้อมประเภทแยกจิตแยกกายหลาย ๆ อย่างพร้อม ๆ กัน ไม่งั้นเดี๋ยวนั่งคุยตรงนี้โยมนินทาเราอยู่ที่ปักษ์ใต้ไม่ได้ยิน (หัวเราะ) จริงแล้ว ๆ มันก็ไม่ได้ยินนั่นแหละ
    ถาม : แต่มันก็ได้ผลนะคะ แต่ค่อนข้างเครียด ?
    ตอบ : นั่นแหละ ของเราถ้ามันไม่เคยชินมันจะตึงหน่อย แล้วอย่าลืมตัวสุดท้าย ถ้าเราทำจนคล่องแล้วต่อไปภาวนาอยู่มันก็ฟุ้งซ่านได้ ถ้าหากว่าถึงตอนนั้นแล้วมีปัญหานี่ให้ดึงใจกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกให้ความรู้สึกจดจ่ออยู่ที่ความรู้สึกตรงหน้า อย่าไปแบ่งความรู้สึกรับรู้อันอื่น ไม่อย่างนั้นกำลังใจมันจะไม่เป็นหนึ่งเดียว มันจะแยกไปคิดเรื่องอื่น ๆ ได้ต่อไปเรื่อย จะกลายเป็นว่าทั้ง ๆ ที่เราภาวนาอยู่แท้ ๆ ทรงฌานอยู่แท้ ๆ มันก็ฟุ้งซ่านได้ ไปคิดเรื่องอื่นหน้าตาเฉยเลย
    ถาม : ใช้สมาธิ ใช้แบบไหน ?
    ตอบ : ทำได้แค่ไหน ก็ต้องใช้แค่นั้นแล้ว
    ถาม : ตอนปวดหัวมาก มันไม่มีอารมณ์ ?
    ตอบ : การที่เราหิวมาก ๆ เหนื่อยมาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าไม่คล่องตัวมันจะจับสมาธิยาก คราวนี้ว่าอาตมาป่วยเป็นประจำมายี่สิบปีแล้วมันก็กลายเป็นปกติของเราว่ามันหนีทัน พรวดเดียวก็ไปแล้ว
    ถาม : เคยเห็นคนตายแบบใกล้ชิด รู้สึกชัด ๆ เลยว่าปุ๊บปั๊บมากเลยเสียความรู้สึกเลย ?
    ตอบ : ลักษณะอาการนี้แหละ คือสภาพของเราจริง ๆ แล้วยังรับไม่ได้ พอเรารับไม่ได้ร่างกายจิตใจพลอยแย่ไปด้วย อาตมาเห็นตัวขนาด เจ้าศีล นี่โดนสิบล้อเหยียบเข้าหัวเหมือนทุ่มแตงโมใส่พื้นเลย แล้วคราวนี้เลือดมันนองเต็มถนนไปหมด ตัวมันซีดเหลืองยังกับขี้ผึ้ง แม่ก็ร้องไห้จะขาดใจอยู่ข้างถนน แล้วลองนึกดูถ้าเป็นเราจะทำยังไง มืออ่อนตีนอ่อน นอนอยู่ตรงนั้นเลย
    ถาม : อย่างนี้พวกโจร พวกเสืออะไร อย่างตี๋ใหญ่พวกนี้ ต้องมี .....?
    ตอบ : ใช่ กำลังใจเขายึดมั่นมาก เคยถามคนที่มันเคยเป็นโจรมา ถามเขาบอกว่าทำยังไงถึงเหนียว โดยเฉพาะ เสือฝ้าย เสือฝ้ายไป วัดท่าซุง หลายครั้งแล้วก็โดยเฉพาะไปนอนอยู่ที่ตึกที่อาตมาอยู่ ก็ได้คุยกัน ที่แกไปแกไปขอให้หลวงพ่อไปขุดทองญี่ปุ่นที่แกฝังเอาไว้ แกปล้นทองญี่ปุ่นเป็นตู้รถไฟเลย ถามแกบอกว่าปล้นอีท่าไหนได้เป็นตู้รถไฟ แกบอกว่าให้ลูกน้องปีนขึ้นไปแอบถอดสลักยึดระหว่างตู้มัน พอเข้าจังหวะทางโค้งก็ปลดสลัก พอมันโค้งตัวเหวี่ยงเสร็จตู้โบกี้มันจะหลุดออกมา แล้วก็เข็นไปซ่อนระเบิดปิดกัน โน่น.... กว่าจะรู้หายไปแล้ว
    คราวนี้เขาบอกว่า สมัยก่อนที่ส่วนใหญ่หนังเหนียว เพราะว่าต้องเป็นคนมีสัจจะเป็นคนเอาจริงเอาจังและว่างเมื่อไหร่ต้องภาวนา พวกเรายังทำอย่างเขาไม่ได้เลย เพราะเขาอยู่กับปากกระบอกปืนตลอด ไม่รู้ว่าจะโดนยิงตายเมื่อไร เพราะฉะนั้นมันประมาทไม่ได้ ว่างเมื่อไรต้องภาวนา สถานการณ์มันบังคับ ในเมื่อว่างเมื่อไรต้องภาวนาจิตเป็นสมาธิสูง พออาราธนาพระเครื่องเข้าเท่ากับว่าตัวเองเปิดกำลังใจรับเต็มที่แล้วอานุภาพสูงมาก สมัยนั้นเลยส่วนใหญ่ก็จะหนังเหนียวกัน
    ถาม : อย่างนี้ก็ไม่มีสิทธิตกนรก ถ้าเผื่อตายก็ไปเป็นพรหม ?
    ตอบ : ก็หลวงพ่อท่านส่งเข้าป่าไปเกือบสามสิบองค์ เป็นพระอภิญญาหมดเลย เพราะว่ากำลังใจพวกนี้ท่านเอาจริงเอาจังอยู่แล้ว คราวนี้งานนั้นพวกนี้ไปพักในวัดก่อนจะไปปล้นเขา แล้วก็มีสองคนที่พูดง่าย ๆ ว่าบุญพอจะมี มากราบหลวงพ่อก่อน หลวงพ่อพอเจอหน้าก็ถามว่าแกจะไปปล้นเขาใช่ไหม ? หลวงพ่อบอกว่าพวกนี้เรียบร้อยเกินเหตุ ประเภทเข้ามาหาพระปูผ้ากราบท่านบอกว่าระแวงเอาไว้ก่อนได้เลย สมัยก่อนโจรไปปล้นเขามันแต่งตำรวจแล้วมันหล่อเกินตำรวจ โอ้โห ....ตำรวจมัวแต่ตามล่าโจรชุดเก่ายังกับผ้าขี้ริ้ว พวกนี้รีดกลีบโง้งเลย ถามว่าจะไปปล้นเขาใช่ไหม ? พวกนั้นก็ตะลึง หลวงพ่อบอกว่าถ้าเองไปคืนนี้เอ็งตายโหงทั้งคู่ พวกนั้นพอทักถูกแล้วแถมบอกก็ตกใจ อยากจะรอดเอ็งไปซื้อยาถ่ายมากินให้มันขี้ไหลขี้ร่วงไปเลย
    ปรากฏว่าคืนนั้นเข้าปล้นพวกตายหมดจริง ๆ สองคนนี้นอนแผ่อยู่กับวัด ประเภทกินยาถ่ายระดมพลเข้าไป ลูกพี่บอกไม่ต้องไปไม่ต้องไปก็รอดมาได้ใช่ไหม หลวงพ่อก็บอกให้เลิกเสียไม่อย่างนั้นถ้าไปอีกก็ตายอีก ไม่เลิกก็ไม่ได้ เห็น ๆ อยู่ ตกลงยอมบวช หลวงพ่อเลยส่งไปให้เพื่อนสององค์ที่อยู่ในป่า สององค์นี้ไปก็ได้ดีเพื่อนฝูงมาถาม ๆ กันเสร็จไป ๆ มา ๆ หลวงพ่อบอกว่าพวกลายพาดกลอนส่งเข้าป่าไปสามสิบกว่าองค์เป็นพระอภิญญาหมด
    คือว่า ความดีความชั่วเท่าที่มีอยู่ในทุกศาสนามันก็เป็นแค่สิ่งสมมติเท่านั้น การกระทำของเรานั่นแหละที่จะเป็นตัวกำหนด สิ่งที่เราตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามผลของการกระทำนั้นมีแน่ และจะตอบแทนให้แก่ผู้กระทำได้เมื่อวาระและเวลาอันสมควรมาถึง ถ้าทำในสิ่งที่ตามสมมติเขาเรียกว่าดี ผลตอบแทนก็คือความสุขความเจริญ แต่ถ้าหากว่าทำในสิ่งตามสมมติที่เขาเรียกว่าไม่ดีคือความชั่ว สิ่งที่ได้รับตอบแทนก็คือความทุกข์ ความเดือนร้อน คราวนี้จะเรียกว่าใครเป็นผู้กำหนด ก็คือการกระทำเป็นผู้กำหนดคือกรรมเป็นผู้กำหนด ถ้าหากว่าคนไม่ทำความดีความชั่วเลย นรก เปรต อสรุกาย สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา มาร พรหมอะไรก็ไม่จำเป็นต้องมี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับการกระทำของเราทั้งนั้น ถ้าเลิกทำก็ไม่มีอะไรเหลือ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ได้ประโยชน์เยอะครับ


    ถาม : คำว่าอวดอุตริมนุสธรรมนี้หมายถึงอย่างไรคะ ?
    ตอบ : ก็คือว่า กล่าวถึงธรรมอันยิ่งของมนุษย์ทั่ว ๆ ไป คือว่าคนทั่วไปไม่สามารถจะมีได้ ว่าตัวเองมีตัวเองได้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้จริงเรียกว่าอวดอุตริมนุสธรรม ถ้าหากว่าเป็นพระเขาปรับอาบัติปาราชิก คือขาดความเป็นพระไปเลย ธรรมอันยิ่งนั้นเขากล่าวเอาไว้ชัดเลยว่าเรื่องของฌานสมาบัติ เรื่องของวิมุติ เรื่องของวิโมกข์ เหล่านี้เป็นต้น ถ้าหากว่าตัวเองไม่ทรงฌานจริงไม่หลุดพ้นจริง แล้วกล่าวว่าตัวเองเป็นผู้ทรงฌาน เป็นผู้หลุดพ้นแล้วอะไรอย่างนี้เขาจะปรับขาดจากความเป็นพระไปเลย ถ้าหากว่ามี ปรับแค่อาบัติปาจิตตีย์ เพราะว่าไปบอกอุตริมนุสธรรมที่ตัวเองมีกับผู้อื่นเขา
    ถาม : คำว่าบอกนี่ขอบเขตแค่ไหนคะ ถึงเรียกว่าบอก ?
    ตอบ : ตั้งใจอวดเขาเพื่อให้คนเลื่อมใส แล้วลาภผลและชื่อเสียงทั้งหมดจะเกิดแก่ตัว ถ้าหากว่าในการสอนธรรมกัน อย่างเช่นว่ากล่าวถึงนรกสวรรค์โดยใช้มโนมยิทธิไปอะไรก็ดี เหล่านี้ไม่ถือว่าอวดเพราะว่าเป็นการสอนเป็นการบอกต่อ แต่ถ้าหากว่าตั้งใจจะอวดเขาเพราะว่าฉันทำได้เพื่อให้คนเขาเลื่อมใส อย่างนั้นเสร็จแหง ๆ เลย อุตริสมนุสธรรมก็คือธรรมอันยิ่งที่คนทั่ว ๆ ไปไม่สามารถจะเข้าถึงไม่สามารถจะมีได้
    ถาม : ..........................
    ตอบ : แสดงว่าพวกเราไม่เข้าใจเลย พระกริ่งจริง ๆ ที่สร้างขึ้นมานั้น หมายถึงพระไภษัชยคุรุ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ จะเห็นว่าในมือของท่านจะถือหม้อน้ำมนต์หรือหม้อยาอยู่ พระไภษัชยคุรุนี่คนจีนเรียกว่าตี่จั๊งผู้สัก ท่านจะเป็นเลิศในการรักษาคน พระโพธิสัตว์นี่บางสิ่งบางอย่างที่พระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี ท่านปล่อยวางเพราะยอมรับกฎของกรม พระโพธิสัตว์นี่เพราะความปรารถนาจะช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์เีพียงประการเดียวอาจฝืนกฎของกรรมบางอย่าง ตัวเองจะรับผลอย่างไรก็ยอมเพื่อให้คนอื่นมีความสุข
    คราวนี้พระชัยวัฒน์ สมัยโบราณเขาจะหล่อพระหล่ออะไร เขาจะมีการทดลองเบ้าทดลองเนื้อโลหะดูว่ามันได้ที่หรือยัง พร้อมหรือยัง เขาจะหล่อเป็นองค์เล็กขึ้นมาก่อนเป็นการทดสอบ แล้วถ้าหากว่าเสร็จสมบูรณ์ขึ้นมาก็ถือว่าตัวเองประสบความสำเร็จในอันนั้นแล้ว เลยใช้คำว่าชัยวัฒน์ คือถึงพร้อมแล้วทุกอย่าง ถ้าหากว่าแปลตามเนื้อหาก็คือว่า เจริญด้วยชัยชนะ เพราะฉะนั้นพระกริ่งกับพระชัยวัฒน์ต่างกันตรงไหน อาจเหมือนกันเปี๊ยบเลยก็ได้ ต่างกันที่องค์ใหญ่องค์เล็กแค่นั้นเอง พระชัยวัฒน์จะเป็นองค์เล็กที่เขาหล่อนำขึ้นมาก่อนเพื่อดูว่าทุกอย่างพร้อมหรือยัง ถ้าพร้อมสมบูรณ์แล้วถึงจะลององค์ใหญ่ ไม่เช่นั้นถ้าองค์ใหญ่เสียจะลำบากเพราะหมดเยอะ
    ถาม : เมื่อวานดูทีวีเขาบอกว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่าสังขารมี ๒ ประเภท ประเภทมีใจครองกับไม่มีใจครอง ถ้ามีใจครองมันก็ต้องเสื่อม แล้วจิตล่ะคะ ?
    ตอบ : จิตกับใจนี่จริง ๆ มันตัวเดียวกัน คราวนี้บางคนเขาเรียกว่า จิต บางคนเขาเรียกว่า ใจ บางคนก็เอาอาการเคลื่อนไป เอาตัวปรุงแต่งไปเป็นจิต เอาตัวรู้เป็นใจ บางคนเอาตัวเคลื่อนไปนั้นเป็นใจ เอาตัวรู้เป็นจิต เรียกกันให้มั่วไปหมด บางตำราอย่างในอภิธรรมเขาแยกออกว่าจิตมีตั้งกี่ดวง ๆ ล่อไปเหอะ อ่านเสียจนประสาทจะกลับ
    ถาม : แล้วเรียกว่าอย่างไร ?
    ตอบ : จิตนะเหรอ เรียกจิตเป็นจิตซิง่ายดี จิตเป็นผู้รู้ ในเมื่อเป็นผู้รู้ ถ้าหากว่าปรุงแต่งก็จะเป็นตัวสังขาร ถ้าหากว่าหยุดการปรุงแต่งจิตก็คือจิต
    ถาม : อย่างนี้สังขารก็มีความหมายมากกว่าตัวปรุงแต่งใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : ในความหมายของเรา เราจะหมายถึงตัวตนร่างกายนี้เสียด้วย แต่ในความหมายทางธรรมจริง ๆ ก็คือความนึกคิดปรุงแต่ง อวิชชา ปัจจะยา สังขารา ความไม่รู้หรือรู้ไม่ครบ ก็เลยทำให้นึกคิดปรุงแต่ง ถ้ารู้ครบรู้จบแล้วสมบูรณ์แล้่วอย่างที่เราสรุปอยู่ข้างในอธิศีลนี่มันก็ไม่ต้อง
    ถาม : อ่านแล้วเหรอ ?
    ตอบ : ก็จับอยู่ตั้งนาน (หัวเราะ) มีอยู่วันหนึ่งไปนั่งเฝ้าหลวงพ่ออยู่ ท่านหยิบหนังสือพิมพ์มาดูต้นฉบับแล้วก็วาง ดูพาดหัวแล้วก็วาง เราก็รับมา ท่านก็ว่าไปเรื่่อย ๆ ตามเนื้อหาข่าว ละเอียดกว่าที่เขาเขียนอีก บางเรื่องนี่เราดูพาดหัวอยู่ข้างในกว่าจะหาเจออยู่ในซุบซิบนิดเดียว หลวงพ่อไม่ได้เปิดดูหรอก ท่านหยิบแล้วก็โยนหยิบแล้วก็โยน มาตอนหลังท่านบอกว่าถ้าหากว่าใช้คาถามงกุฎพระพุทธเจ้าทำจนเป็นฌานแล้ว อยากรู้เรื่องอะไรอยากรู้หนังสือเล่มนั้นว่าอะไรแค่นึกก็รู้ได้ แต่อาตมาทำไม่ได้หรอก เมื่อกี้นี่เปิดดูจ้ะ (หัวเราะ)
    ถาม : คาถาหลวงพ่อว่ายังไงบ้างคะ ?
    ตอบ : อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ เคยใช้ทีหนึ่งตอนสอบนักธรรมเอก เพราะว่าตอนนั้นอ่านหนังสือไม่ทันเป็นไวรัสลงตับเลยใช้วิธีจับหนังสือแทน นักธรรมเอกนี่เขาตกกันแล้วตกกันอีก ถ้าไม่ช่วยกันจริง ๆ กองหนังสือเป็นตั้งเลย ตอนสมัยนั้นเขาออกเจ็ดข้อ ถ้าไม่อ่านมันอาจออก แต่อ่านมันอาจไม่ออก เจอมหาสติปัฏฐานสูตรไปเล่มเดียวเราก็จะเพี้ยนแล้ว ท่องเกือบตายมันไม่ออกสักข้อเดียว มันไปออกเรื่องอื่นแทน แล้วมหาสติปัฏฐานสูตรมันเล่มเดียวเท่านั้นในธรรมวิจารณ์จะมีวิสุทธิ ๗ มีอะไรไล่ไปเรื่อยให้เราอ่านไป ท่องกันจนตาเหล่ แล้วคิดดูหนังสือตั้งแค่นี้มันออกเจ็ดข้อ มันไม่ใช้วิธีนั้นมันอ่านไม่ทันหรอกคนป่วย
    ถาม : นักธรรมสอบเป็นบาลีด้วยเหรอคะ ?
    ตอบ : มันจะมีบาลีด้วยแปลไทยด้วย บางทีก็ให้ตอบเป็นภาษาไทย บางทีก็ให้ตอบเป็นบาลี เสร็จแล้วความที่เราไม่มั่นใจ ความที่ไม่ได้อ่านมันเคยผ่าน ๆ ตามาบ้างว่าน่าจะเป็นอย่างนี้ก็เลยไปนั่งเถียงกับเขา ตอบผิดไปนิดเีดียว จะมีว่า นะหิ รุณเนนะ โสเกนะ สันติง ปัปโปติ เจตะโสของเราว่าท้ายมันไม่ใช่อย่างนี้ ก็เลยไปแก้ท้ายเขาเสีย แก้สามคำ ผิด อยากทะลึ่งไม่เชื่อดีนัก ข้างหน้าถูกหมด ผิดท้ายนิดเดียว
    ถาม : อย่างนี้ถ้าจะสอบได้ก็ต้องมาเรียนแต่งเป็นบาลีได้ถึงจะสอบได้ ?
    ตอบ : มันจะมีบาลีเสริมอยู่ ไม่ต้องเรียนก็ได้ แต่ว่านักธรรมเอกนี้เป็นหลักสูตรที่ว่า ถ้าคุณสอบนักธรรมเอกได้คุณถึงจะสิทธิสอบเปรียญเอก คือเปรียญเจ็ด,แปด,เก้า ถ้าไม่ได้ก็ไม่ได้สอบสักที ถ้าจบแค่นักธรรมตรีนี่มีสิทธิเรียนแค่เปรียญตรีคือแค่หนึ่ง, สอง, สาม จบนักธรรมโทเขาให้สิทธิเรียนเปรียญเอก ติดเหง็กอยู่แค่นั้นแหละ หลวงปู่มหาอำพันท่านจะเรียนเปรียญเจ็ดต่อ ท่านสอบนักธรรมเอกอยู่สิบสองปีเต็ม ๆ หลวงปู่รู้คาถาช้าไปหน่อย (หัวเราะ) ถ้าหลวงปู่รู้คาถาก่อนหน้านั้นป่านนี้สอบเปรียญไหนแล้วก็ไม่รู้
    ถาม : เคยได้ยินว่าคาถานี้ทำให้ทิพจักขุญาณแจ่มใสมาก ทั้งที่มืืดที่สว่างรู้หมด ?
    ตอบ : ก็เพราะแจ่มใสนะซิ พอจับเลยรู้หมดว่าเขามีอะไรบ้าง รู้หมดรู้จริง ๆ เชื่อแน่ ๆ ว่ารู้จริง ๆ เพราะว่านั่งเฝ้าหลวงพ่ออยู่ ท่านเองท่านหยิบขึ้นมาดูพาดหัวแล้วก็โยนมา แล้วท่านพูดเนื้อหาของมันทั้งหมดให้เราฟัง
    ถาม : พระโพธิสัตว์ค่ะ .............(ไม่ชัด).............อย่างนี้ตอนเรียนท่านต้องเก่งกว่าคนอื่น ?
    ตอบ : พระโพธิสัตว์อยู่ที่ไหนส่วนใหญ่ก็เป็นผู้นำเขาอยู่แล้ว ไม่เก่งกว่าจะเป็นได้ยังไงล่ะ ? ไม่ต้องห่วงหรอก ยิ่งถ้าหากว่าเป็นชาติที่เป็นปัญญาบารมีด้วยแล้วรับประกันซ่อมฟรี รับรองต้องหาเกรดห้าให้ท่านแน่ ๆ เลย เกรดสี่ไม่พอหรอก นึกถึงนายกิ๊น เวลาอาจารย์เขาอธิบายวิทยาศาสตร์ใช่ไหม ? นักเรียนต้องพิสูจน์ด้วยวิธีนี้ ถอดสมการด้วยวิธีนี้นะ อาจารย์อธิบายถอดเสร็จเรียบร้อยแล้ว นายกิ๊นยกมือผมว่ามีอีกวิธีหนึ่งครับ ว่าแล้วพี่ท่านก็อธิบายไปแล้วอาจารย์ก็ต้องยอมรับด้วย เพราะวิธีทำของเขาอกมาคำตอบเท่ากัน แล้วเพื่อนจะชอบมากเพราะมันคนเดียวล่อเสียหมดชั่วโมง (หัวเราะ) คนเดียวจบปริญญาและประกาศนียบัตรมาสิบเจ็ดวิชา เขาบอกว่าเขายังรู้สึกว่ายังไม่รู้เรื่องอะไรเลย แค่เพื่อนบ่นว่าร้องเพลงสวดภาษาละตินไม่เอาอ่าว มันก็ไปเรียนภาษาละตินเสียอีกหนึ่ง เสร็จแล้วเขาบอกว่าไม่มีเซ้นท์ทางดนตรีเลยร้องเพลงก็คร่อมจังหวะ มันก็ไปเรียนดนตรีเสียอีกหนึ่ง...........อย่างสุนทรภู่เขาว่า
    จะเรียนร่ำทำอะไรไม่ลำบาก มียอดยากอยู่อย่างเดียวเกี้ยวผู้หญิง
    ถ้าพระโพธิสัตว์มากปัญญาบารมีก็ไม่ลำบากสำหรับท่านหรอก
    ถาม : ....................
    ตอบ : เพราะว่าเราเคยชินที่จะอยู่กับมัน สภาพของจิตนี่มันคล้าย ๆ กับน้ำ คือมันไหลลงต่ำได้ง่าย คราวนี้เรานี่มันไหลลงต่ำมาตลอด มันต่ำเสียจนบอกไม่ถูกว่าระยะทางนี้มันยืดยาวแค่ไหน จะตะกายคืนมันก็ลำบาก ไม่ค่อยมีกำลังใจ ทำชั่วมาเป็นแสน ๆ กัป กว่าจะหันมาดีได้
    ถาม : (ถามเรื่องเด็ก) ?
    ตอบ : เด็กดื้อก็คือธรรมชาติเขาเป็นอย่างนั้น ถ้าเราเข้าใจเขาว่าธรรมชาติของเด็กมันต้องดื้อต้องซนเป็นธรรมดา อย่าลืมว่าธรรมชาติก็คือธรรมดา ธรรมดาก็คือธรรมะ ธรรมะคือความเป็นจริง ที่ปรากฎอยู่ในโลกนี้ ถ้ารู้ว่าเด็กเขามีธรรมชาิติคือต้องดื้อและซนเป็นธรรมดาใจเราต้องปล่อยวางและให้อภัยเขาได้
    ถาม : (ถามเรื่องผลการปฏิบัติ) ?
    ตอบ : เราต้องย้อนกลับไปดูสิ่งแวดล้อมว่า ตอนที่เราทำได้อย่างนั้น สิ่งแวดล้อมรอบข้างเราเป็่นอย่างไร เราคิดอย่างไรพูดอย่างไรทำอย่างไร อยู่ในลักษณะสิ่งแวดล้อมแบบไหน ในวงสังคมแบบไหน เพื่อนฝูงแบบไหน ครอบครัวแบบไหน ถ้าสามารถสร้างสิ่งแวดล้อมเก่าขึ้นมาได้เราก็กลับมาแบบเดิมอีก
    คือพระพุทธเจ้าบอกแล้วว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากเหตุ ถ้าเหตุดับสิ่งนั้นก็ดับ ถ้าเรามีอารมณ์ใจไม่ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไรอยู่ในใจของเรา เราต้องรู้จักแยกแยะว่าเกิดจากเหตุอะไร ถ้ามันมีส่วนที่ดีก็สร้างเหตุนั้นขึ้นมาผลดีก็จะเกิดขึ้นแก่เราอีก ถ้ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดีก็ตัดเหตุที่ไม่ดีนั้นเสียสิ่งที่ไม่ดีก็จะไม่เกิดขึ้น มันต้องแก้ตั้งแต่ต้นเหตุ เพราะฉะนั้นคุณต้องนึกย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น คุณทำอย่างไรมา แล้วก็ทำอย่างนั้นอีก เพราะว่าอารมณ์ใจของเราแต่ละวันมันจะไม่เท่ากัน เนื่องจากสิ่งแวดล้อมมันเปลี่ยนไป กำลังใจมันเปลี่ยนไป สถานการณ์มันเปลี่ยนไป
    ถาม : (ถามเรื่องผลการปฏิบัติ) ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าตอนนั้นกำลังใจของเรามันทรงอยู่ในฌานตัวรักโลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ มันโดนอำนาจของฌานมันกดอยู่ มันจะไม่ถือสาหาความกับใครมากนัก เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน อารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ไม่สามารถจะกินใจเราได้ ถ้าหากว่าสมาธิของเราเคลื่อนออกจาฌานลงมาเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง จะกินเราทันที เพราะฉะนั้นต้องคอยระวังอยู่เสมอว่าอย่าให้ใจของเราหลุดออกจากจุดนั้น
    แต่ว่ามันมีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่้งว่ามันเป็นอำนาจของจิตแท้เรา หรือว่ามันเป็นอำนาจของฌาน ก็คือดูว่าเราต้องใช้กำลังใจข่มอารมณ์ไว้หรือเปล่า ? ถ้าหากว่าเราไม่ต้องใช้อารมณ์ใจข่มอารมณ์ไว้ เห็นทุกคนมีสภาพเสมอกัน เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นผู้ที่สมควรแก่ความรักความเมตตาสมควรแก่การสงเคราะห์ของเราโดยไม่ต้องไปบังคับใจของเราให้คิดไปทำอย่างนั้นเลย อันนั้นอารมณ์จากใจแท้ของเรา แต่ถ้าหากว่าเรายังต้องบังคับใจของเราคือต้องอย่างน้อย ๆ มีฌานกดเอาไว้แล้วก็ปฏิบัติไปตามแนวนั้น ก็ถือว่าตอนนี้ยังจำเป็นจะต้องทำเพื่อความก้าวหน้าไปอีกระยะหนึ่งถึงจะใช้ได้
    ถาม : (ถามเรื่องผลการปฏิบัติ) ?
    ตอบ : อย่าลืมว่าพรหมวิหารสี่ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไม่ใช่ว่าเมตตาเขาดะไป ดูว่าใครสมควร ใครไม่สมควร รู้จักเอ่ยคำว่าไม่ให้เป็นมั่ง เพราะว่าตัวอุเบกขา คือการยอมรับกฎของกรรมเราช่วยเขา แค่ว่าตัวเราไม่เดือดร้อน ถ้าตัวเราต้องเดือดร้อนเราก็ระงับการช่วยอันนั้นได้ไม่มีใครเขาตำหนิเราไม่มีใครเขาด่าว่าเรา ยกเว้นคนพาลเท่านั้นที่จะทำเช่นนั้น ถ้าหากว่าเรายกอุเบกขาขึ้นมาใช้ใครที่ไหนเขาจะมาเบียดเบียนเราได้ล่ะ
    ถาม : แล้วมันมีจุดหนึ่งครับในการทำสมาธิ อาการใจมันไม่เคลื่อนเลย มันไม่ต่ำลงไปแล้วก็ไม่สูงขึ้น ?
    ตอบ : อันนั้นเป็นการทรงฌาน ถ้าหากว่าทรงฌานตอนแรก ๆ มันไม่เคยชิน มันเหมือนกับเราได้อะไรมหาศาลน่าตื่นเต้นมาก แต่หลังจากที่เราทำไป ๆ สิ่งที่เราคิดว่าได้มากมหาศาลแท้จริงมันมีนิดเดียว มันก็เลยกลายเป็นว่ามันชักเฉย ๆ เหมือนกับตายด้านกับมัน
    เพียงแต่ว่า ลักษณะนั้นจริง ๆ แล้วก็มีประโยชน์ สามารถรักษาใจของเราไม่ให้ฟุ้งซ่านไปกับรัก โลภ โกรธ หลงได้ นิวรณ์จะกินใจของเราไม่ได้ แต่ว่าให้มีสติอยู่เสมอว่า เราแค่อาศัยมันเท่านั้น มันไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริงของเรา มันเพียงเพียงเครื่องมือที่จะส่งเราให้ไปถึงจุดหมายเท่านั้นเอง ถ้าหากว่าเราไม่มีสติไปยึดไปเกาะว่ามันเป็นิส่งที่ดีวิเศษเลิศแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ยังก็ยึดติดอยู่ในรูปราคะอรูปราคะ เป็นสังโยชน์ใหญ่ที่ดึงให้เราอยู่กับวัฏฏะต่อไป
    ถาม : .......................
    ตอบ : จริงแล้วถ้าคิดว่าเราก็ตายเขาก็ตายมันก็จบแล้ว เราเองจะดีกว่าเขา จะเสมอเขา หรือจะเลวกว่าเขา เราก็ตาย เขาเองจะดีกว่าเรา จะเสมอเรา หรือจะเลวกว่าเรา เขาก็ตาย ต่างคนต่างเกิดขึ้นในเบื้องต้นเปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลางและสลายไปในที่สุด ไม่ว่าเราจะยกตัวของเราสูงกว่าหรือกดตัวของเราต่ำกว่าหรือดึงตัวของเราเสมอเขา ในที่สุดต่างก็มีวาระสุดท้ายอย่างนี้ ในเมื่อพิจารณาอย่างนี้ไปใจมันก็ค่อย ๆ คลายอารมณ์นั้นลงเอง
    ถาม : ...........................
    ตอบ : ถ้าหากว่าตอนพิจารณาตัวกามฉันทะมันเกิดยาก ยกเว้นว่าเราจะไปฟุ้งซ่านปรุงแต่งอยู่เฉพาะเรื่องของมันมันถึงจะเกิดได้ อย่าลืมว่ากรรมฐานทุกกอง กรรมฐานทั้งสี่สิบกองบวกสติปัฏฐานสูตรด้วย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนเลยว่ากองใดกองหนึ่งก็ไปนิพพานได้ ถ้ามันไม่สามารถตัดราคะ ตัดโทสะได้ไปนิพพานไม่ได้หรอก มันสำคัญอยู่ที่ว่าเราทำถูกไหม จำเป็นต้องทำให้เคยชิน เพาะบ่มให้มันอยู่กับเราตลอดเวลาเพื่อให้จิตใจของเราอยู่กับความดีตลอดไป พอใจมันชินกับความดีถึงเวลาตายมันก็ไปที่ดี
    ถาม : เกี่ยวกับอารมณ์อนุสสติของใจที่มันเกิดขึ้นมีอารมณ์พิจารณาด้วย ทีนี้พอเกิดได้สองวันมันก็หายไป จะทำอย่างไรถึงจะเอามันอยู่ ?
    ตอบ : น่าเสียดายมากเลย คืออารมณ์ใจของเรามันดำเนินไม่ต่อเนื่องเพียงนิดเีดียวเท่านั้นเอง พอสติเผลอตัวนิวรณ์ก็เข้าแทรกแทน ทำให้อารมณ์ใจตรงนั้นมันขาดช่วงลง จริง ๆ แล้วก็คือพยายามรักษาสติให้มันต่อเนื่องตามกันไปตลอด ถ้าหากว่าทำไปถึงระดับหนึ่ง จนหลับกับตื่นอารมณ์ใจเราจะเสมอกัน หลับอยู่้ก็รู้ตลอด ตื่นอยู่ก็รู้ตลอด ถ้าอย่างนั้นการพิจารณาของจิตมันจะดำเนินไปเองเรื่อย ๆ โดยเรามีเพียงหน้าที่รับรู้และกำหนดตามไปเท่านั้น เพียงแต่ว่าอย่าเผลอให้สติมันไปสนใจเรื่องอื่น สิ่งที่เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อย่าให้มันเข้าสู่ใจ ปล่อยให้ใจทำหน้าที่เฉพาะของมันไป กลับไปทำให้ได้ใหม่ จวนจะดีแล้วนิดเดียวแค่นั้นเอง
    ถาม : แต่ว่าอารมณ์ใจมันเกิดขึ้นเอง ?
    ตอบ : มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นเอง เมื่อครู่บอกแล้วว่าเราทำสิ่งแวดล้อมแบบไหนมันถึงเกิดขึ้น ก็ให้ทำแบบนั้นอีก มันไม่มีอะไรที่มาเองไปเองหรอก ทุกอย่างเกิดจากเหตุทั้งนั้น เพียงแต่ว่าเราเองเผลอไปหน่อยหนึ่ง ไม่รู้ว่าตัวเองทำดีอีท่าไหน โบราณเขาเรียกว่าขี้ตรงร่อง (หัวเราะ)
    สมัยโบราณเขาเจาะร่องกระดานไว้ เพราะเป็นใต้ถุนสูงใช่ไหม ? ถ้าลงจากบ้านกลางคืนบรรดาสัตว์ร้ายหรือคนร้ายอาจทำร้ายเอา ก็ใช้เวลาถ่ายลงร่องไป ของเราบังเอิญตรงร่อง เสียดายว่าไม่ได้ทำต่อไปเอาใหม่นะ อีกนิดเดียวเท่านั้นเอง
    ถาม : เวลาช่วงที่นั่งสมาธิ เวลาตัวชาเกิดขึ้น สามารถใช้ตรงนั้นให้เป็นประโยชน์ได้ไหมคะ ?
    ตอบ : ได้ คือเรากำหนดรู้ไปเลยว่าสภาพที่แท้จริงของร่างกายของเราเป็นอย่างไร ? ถ้ามันถึงตรงจุดนั้นแสดงว่าประสาทร่างกายกับจิตใจคนละส่วนกันแล้ว อาการมันเหมือนยังกับว่าชาจากปลายมือปลายเท้าเข้ามา หรือไม่ก็เริ่มจากบริเวณปากหรือจมูกของเราออกไป อาการอย่างนั้นแสดงว่าประสาทร่างกายของเราเริ่มจะไม่รับรู้อาการภายนอก อาการที่จิตใจดำเนินอยู่ มันทำให้จิตกับประสาทแยกส่วนกันไม่สามารถรับรู้ถึงกันได้
    บางคนรู้สึกแข็งเป็นหินทั้งตัวก็มี เหมือนโดนปูมัดอยู่ตึงเป๋งเลยก็มี ถ้าหากว่าเราจับจุดนั้นขึ้นมาเป็นตัวพิจารณาว่า สภาพร่างกายนี้แท้่จริงแล้วไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราเลย เราอาศัยมันอยู่ชั่วคราวเท่านั้น ร่างกายนี้มันเหมือนรถยนต์คันหนึ่ง เราคือผู้ที่ขับเคลื่อนรถคันนั้นไป ตอนนี้เราเพียงแค่หยุดไม่ทำการขับเคลื่อนต่อเพียงแค่นี้ รถมันก็ทำท่าจะพังเสียแล้ว มันไม่ยอมไปกับเราเสียแล้ว ในเมื่อสภาพที่แท้จริงของมันเป็นอย่างนี้ เราเองยังต้องการมันอยู่อีกไหม ? ถ้าหากว่าเราจับจุดนี้ขึ้นมาพิจารณามันก็จะมีประโยชน์มาก ก็จะเห็นความจริงของร่างกายของเรา ตั้งใจทำต่อ ระวัง ๆ เอาไว้นิดหนึ่ง สมาธิมากเกินไปมันก็เครียด แต่ขณะเดียวกันพิจารณามากเกินไปบางทีมันเผลอมันก็หลุดออกไปฟุ้งซ่านได้เหมือนกัน จริง ๆ แล้วถ้าสติของเราสมบูรณ์ โอกาสพลาดมันน้อย แต่ส่วนใหญ่แล้วของพวกเราสติมันน้อยอยู่ ถึงเวลามันพลาดแล้วมันพลาดยาวเลย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ขอเดชะ ชัยชนะพุทธองค์ บันดาลมงคลชัยให้ไพศาล เป็นยอดยิ่งมิ่งขวัญทุกวันวาน สถิตแด่เราท่านถ้วนทั่ว ทุกตัวตน....สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • mixLp.jpg
      mixLp.jpg
      ขนาดไฟล์:
      153.7 KB
      เปิดดู:
      140
  11. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กรกฎาคม 2012
  12. กำธร นครปฐม

    กำธร นครปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,756
    ค่าพลัง:
    +7,205
    บทสวดจักรพรรดิ์ของหลวงปู่ดู่นี้ ผมใช้สวดเป็นประจำ ตอนก่อนจะนอนหลับ ก็สวด ทำให้หลับฝันดี หากจะถามเรื่องอะไรที่เป็นเรื่องที่ตัวเราไม่สามารถจะรู้เองได้ ก็ให้อาราธนาถึงหลวงปู่ดู่ ขอบารมีท่านถามเรื่องที่อยากรู้ พร้อมสวดมนต์จักรพรรดิ์ก่อนนอน ก็จะมีนิมิตมาให้เห็น ครับ อย่างบางเรื่องถามหลวงปู่ท่านว่า เรื่องนี้.....จริงหรือไม่อย่างไร พอสวดมนต์แล้วหลับไป ก็ฝันว่า "ถูกผีหลอก" ก็นึกรู้ได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไม่จริง ประมาณนี้ล่ะครับ ครับนี่ก็คือประสบการณืในการสวดมนต์จักรพรรดิ ของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก ครับ มาเล่าสู่กันฟังครับ
     
  13. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    อนุโมทนาครับ ขอบคุณ คุณกำธร มากครับที่มาเล่าสู่กันฟัง ว่างๆเข้ามาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ(deejai)
     
  14. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    เหมือนเดิมครับ...กระโถนข้างธรรมมาสน์


    ถาม : แล้วการโคลนนิ่งคนขึ้นมานี่ ?
    ตอบ : มันได้แต่เปลือก สภาพจิตที่มาปฎิสนธิมันต่างกัน หน้าตาเหมือนกันความประพฤติก็ต่างกัน
    ถาม : แล้วจิตที่มาปฎิสนธินี่เป็นยังไงครับ เป็นตัว...?
    ตอบ : ก็คือที่รอเกิดอยู่นั่นล่ะ ?
    ถาม : รอเกิดเหมือนกับเด็กในท้องเหรอ ?
    ตอบ : ใช่ มันมาถึงมันก็มีที่เกิด เพียงแต่ว่าเกิดมามีหน้าตาเหมือนกัน แต่รับประกันซ่อมฟรีไอ้ที่จะประพฤติเหมือนกันนี่ร้อยละสิบก็หายาก
    ถาม : แต่ที่มาเกิดแบบนี้นี่จะเป็นวิญญาณที่ดีหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : ก็ต้องดูด้วยว่าอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน ถ้าเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีดวงวิญญาณจิตที่ประกอบไปด้วยบุญด้วยกุศลก็มาเกิด ถ้าเป็นดวงวิญญาณที่สถานที่ไม่ดี ก็อันที่เขาทำความชั่วไว้เยอะ ถึงเวลาก็ชดใช้หนี้กรรมอันนั้นเศษกรรมยังเหลืออยู่เขาก็มาเกิด ดูสิ่งแวดล้อมด้วย ไม่ใช่หมายความว่าจะหมือน ๆ กันหมด โคลนนิ่งเด็กขึ้นมา... สมมุติว่าคู่หนึ่งอย่างนี้ คนหนึ่งขอไปเลี้ยงภาคเหนือ อีกคนขอไปเลี้ยงภาคใต้ มันคนละโลกกันแล้ว สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มันก็ต่างกันไปลิบโลก
    ถาม : ในอนาคตนี่เด็กโคลนนิ่งเยอะมั้ย ?
    ตอบ : ก็ไม่รู้เหมือนกัน เคยได้ยินมั้ยที่เขาบอกสมัย พระศีรอารียเมตไตรย์ คนเราจะสวยเหมือน ๆ กัน ถ้าลงจากเรือนไปจำสามีภรรยาไม่ได้จนกว่าจะกลับบ้านตัวเอง ลักษณะนี้มันโคลนนิ่งหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ เพราะมันเหมือนกันไปหมด (หัวเราะ) น่าสงสัยมั้ย ? อีกตั้งเป็นล้านปีนี่ เทคโนโลยี่มันน่าคิดเหมือนกันนะ
    ถาม : คนสวยเหมือนกันหมด ?
    ตอบ : สวยเหมือนกันหมด ลงจากบ้านนี่จำคู่สามีภรรยาตัวเองไม่ได้จนกว่าจะกลับขึ้นบ้านแล้ว
    ถาม : เพราะอย่างนั้นทางวิทยาศาสตร์ถึงบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ต่างดาวรึเปล่า
    ตอบ : (หัวเราะ) จริง ๆ แล้วมีส่วนเหมือนกันนะ อัจฉริยบุคคลไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ จนป่านนี้ไอสไตน์คนที่ ๒ ยังไม่มาเลยนี่ มันไอซะตายเลย
    ถาม : แล้วอย่างไอสไตน์นี่ท่านคิดระเบิดปรมาณูมานี่ท่านบาปมั้ยครับ ?
    ตอบ : คิดไม่บาป ทำก็ไม่บาป เอาไปใช้น่ะบาป ยกเว้นว่าท่านคิดขึ้นมาโดยเจตนาว่าจะให้ไปฆ่ากัน คุณมีส่วนแน่นอน แต่ว่านั่นคิดขึ้นมาในลักษณะที่ว่าสูตรสัมพันธภาพของเขา ลักษณะอย่างนี้มันต้องให้พลังงานอย่างนี้ พอปฎิกิริยาลูกโซ่อย่างนี้ มันต้องมีพลังงานเท่านี้ อะไรมันเหมือนอย่างกับลับสมองตัวเองดี ๆ นี่เองเพียงแต่มันไปได้ประโยชน์สำหรับคนส่วนหลังเท่านั้นเอง
    ถาม : แล้วอย่างที่บอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู ท่านจะรู้เรื่องสูตรพวกนี้หรือเปล่า ?
    ตอบ : รู้หมดทุกอย่าง เพียงแต่ท่านไม่ได้สอน ที่มันมีพระสูตรอยู่พระสูตรหนึ่งที่กล่าวว่า พระพุทธเจ้าเสด็จออกจากป่าประดู่ลายมา กำใบประดู่ลายมา ๑ กำมือ แล้วตรัสบอกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใบประดู่ในป่ากับใบประดู่ในมือของตถาคตอันไหนมากกว่ากัน พระท่านก็ทูลตอบว่า ใบประดู่ในป่านั้นมากกว่าจนประมาณมิได้พระพุทธเจ้าข้า
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ตถาคตสอนต่อพวกเธอคือใบประดู่ ๑ กำมือแต่สิ่งที่ตถาคตรู้คือใบประดู่ในป่า ท่านรู้ทุกเรื่องจริง ๆ ดร. อาจอง ออกแบบยานลูน่าโมดุล ลงดวงจันทร์ได้ในชนิดที่ฝรั่งเขายอมรับประสิทธิภาพ เขานั่งสมาธิถามจากพระ (หัวเราะ) ง่ายดีมั้ย ? เพราะฉะนั้นคำว่า สัพพัญญู แปลว่า รู้รอบ นี่รู้จริง ๆ รู้ทุกเรื่อง
    ถาม : แล้วพระพุทธเจ้าที่ต่างกัน .....(ไม่ชัด)....?
    ตอบ : อันนั้นอยู่ที่บริวารท่าน คือพระพุทธเจ้าที่เป็นปัจเจกพุทธ คือว่าเป็นผู้ที่ต้องการรู้เอง ท่านจะสร้างบารมีอย่างน้อย ๒ อสงไขยกับแสนมหากัป มีความสามารถคล้ายพระพุทธเจ้าทุกอย่างยกเว้นขาดสัพพัญญุตญาณอย่างเดียว แล้วพระพุทธเจ้าที่เป็นปัญญาธิกะ ต้องสร้างบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป อันนี้บริวารของท่านจะประเภทมีดี มีเลว มีรวย มีจน มีสวยงาม มีอัปลักษณ์ปนเปกันไปหมด พระพุทธเจ้าที่เป็นศรัทธาธิกะสร้างบารมี ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป อันนี้บริวารท่านจะดี สวย รวยเสมอกันหมด ในเขตที่ท่านประกาศศาสนาคนชั่วจะเข้ามาไม่ได้ ส่วนพระพุทธเจ้าที่เป็นวิริยาธิกะ สร้างบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัปเป็นอย่างน้อยนั้น บริวารท่านนอกจากจะดี สวย รวยเสมอกันหมดแล้ว โลกยุคนั้นคนชั่วเกิดไม่ได้ ท่านทำเพื่อบริวารตัวเองถึงได้ยอมลำบากขนาดนั้นจริง ๆ ถ้าสำหรับตัวท่านเอง ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปก็สบายมาก ๆ แล้ว
    ถาม : แล้วถ้าเป็นสมัยพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะคนเหมือนกับเทวดามั้ยครับ
    ตอบ : ก็คล้าย ๆ กันเลยตามที่เขากล่าวในอนาคตวงศ์ที่สมัย พระศรีอาริยเมตไตรย์ คนจะเดินทาง ถ้าไปทางน้ำจะไม่มีทางทวนน้ำนะ พอลงเรือปั๊บคว้าพายน้ำมันก็พาไหลไปเลย พอถึงเวลาจะกลับมันก็พาไหลกลับ เพราะปกติแล้วมันต้องทวนกลับใช่มั้ย ? อันนี้ไม่หรอก น้ำมันพาไหลกลับอันนั้นมันเป็นกำลังบุญของเขา อยากได้อะไรไปสอยเอาจากต้นกัลปพฤกษ์ ๔ มุมเมืองก็ไม่ต้องเสียเวลาไปหากิน ขาดเสื้อก็ไปสอยเอา ขาดอาหารก็ไปสอยเอา
    ถาม : พออย่างนี้ผมนึกถึงยานอวกาศนึกถึงอะไรเครื่องจักรคอมพิวเตอร์ ทีมีตรงกลางขึ้นมา ?
    ตอบ : นั่นน่ะ ลักษณะนั้นเพราะว่าอย่างมนุษย์ต่างดาวบางดวงสมัยเด็ก ๆ อาตมานึกถึงวัว ก็แหม มันเสียเวลาให้วัวมันกินหญ้าเข้าไปแล้วก็ไปย่อยสลายกว่าจะออกมาเป็นนม ทำไมเราไม่คิดเครื่องมือบางอย่างที่มันสลายหญ้าให้เป็นนมไปเลย อย่างเช่นว่า พอถึงเวลาบดหน้าให้ละเอียดแล้วเอาเข้าไปตีผสมในห้องหนึ่ง ซึ่งมันจะมีเชื้อจุลินทรีย์มีอะไรที่มันจะย่อยสลายเสร็จเรียบร้อย
    ถาม : พอกลั่นผ่านมาอีกห้องหนึ่งก็ออกมาเป็นนมเลย ต่างกับมนุษย์ต่างดาวมันทำได้จริง ๆ มันทำได้มากกว่าที่อาตมาคิดอีก มันสามารถจะเปลี่ยนโมเลกุลจากพืชผักกลายเป็นโมเลกุลของโปรตีนไปเลย พอถึงเวลามันตั้งโปรแกรมไว้ใส่เข้าไป จะกินไก่ก็กดโปรแกรมไก่ก็ออกมาแล้ว ถึงเวลาจะกินหมูใส่เข้าไปกดโปรแกรมหมูก็ออกมาเป็นหมู เราก็นึกว่าเราคิดบ้า ๆ อยู่คนเดียว แต่ว่ามันทำได้จริง ๆ ต่างดาวบางดวงเขาทำได้ เพราะฉะนั้นมันอาจจะลักษณะนั้นก็ได้
    ถาม : งั้นพวกต่างดาวเขาก็มีบุญน่ะซิครับ ?
    ตอบ : ใช่ เขาประกอบไปด้วยบุญมาก เพราะว่าบางดวงดาวเขาไม่ต้องใช้พาหนะเลย ไปไหนเขาไปในลักษณะลอยไปเหมือนกับเหาะไปแล้วเรื่องของข้าวปลาอาหารก็ไม่ต้องเสียเวลาไปกักไปตุนไปอะไร มันจะมีข้าวที่งอกขึ้นมาเป็นต้นแล้วมีเมล็ดเลยไม่มีเปลือก ถึงเวลาก็ไปรูดมาใส่หม้อเฉย ๆ เทน้ำใส่ไป ไม่ต้องหุงต้องต้ม ไปตั้งบนก้อนแก้วรัตนมณีมันก็สุกของมันเอง ลำบากแค่หาข้าวอย่างเดียว กับข้าวนึกอยากจะกินอะไรแค่นึกมันก็โผล่มา
    ถาม : คล้าย ๆ เทวดา ?
    ตอบ : คล้าย ๆ เลยล่ะ เพียงแต่ไม่ดีพอที่จะเป็นเทวดา แต่ก็ดีเกินว่าที่จะมาอยู่กับพวกเรา
    ถาม : แต่ก็ไม่ใช่เทวดา ?
    ตอบ : ไม่ใช่เทวดา เป็นมนุษย์นี่แหละแต่ว่าเรื่องของบุญของเขามันบุญจริง ๆ ใช้คำว่ายังไงล่ะ บุญญฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากบุญ
    ถาม : แล้วถ้าเกิดวิทยาการก้าวหน้า เขาสามารถข้ามมิติเข้าไปอยู่เมืองเทวดาจะได้มั้ยครับ ?
    ตอบ : มันยังไม่ปรากฏ แต่ไปดาวอื่นนี่มาที่เราหรือไปที่ไหนนี่ไปได้สบาย
    ถาม : เพราะว่าผมอ่านพระไตรปิฎกจะมีว่าพระพุทธเจ้าในชาติที่เป็นพระมหาจักรพรรดิบางชาติที่สามารถขึ้นลงสวรรค์ได้ ?
    ตอบ : อันนั้นก็อย่าง พระเนมิราช อันนั้นอย่าลืมว่านั่นเป็นเทวานุภาพคือ เทวดาเขามารับไปหรือไม่ก็อาจจะต้องใช้ฤทธิ์ใช้อภิญญาอย่างพระภิกษุหรือผู้ปฎิบัติที่ได้อภิญญา สามารถยกกายเนื้อขึ้นไปบนโน้นได้เลย มันเป็นกำลังของอภิญญาที่ค้ำเอาไว้ ถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไปไม่ถึงหรอกตายซะก่อน
    ถาม : ถ้าอภิญญามีผลใหญ่อย่างนี้นะครับ ทำไมเวลาเกิดสงครามทำไมพระอรหันต์ท่านไม่ห้ามล่ะครับ ?
    ตอบ : ไม่ต้องพูดถึงพระอรหันต์หรอก แค่ฌานโลกีย์ธรรมดา ๆ เขายังไม่ยุ่งด้วยเลย บุคคลที่จะใช้อำนาจของอภิญญาได้เต็มที่ต้องเป็นผู้ที่ยอมรับกฏของกรรม ถ้าไม่ยอมรับกฏของกรรมไปฝืนเมื่อไหร่ มันได้ครั้งเดียวแล้ววิชามันก็เสื่อม เพราะฉะนั้นที่ฝึกไปแทบเป็นแทบตาย ได้มันก็เหมือนกับไม่ได้ อะไรก็ตามที่คุณจำเป็นต้องรับกฏของกรรมจำเป็นต้องทำสภาพร่างกายมนุษย์ทั่ว ๆ ไปคุณต้องทำไปก่อน ไม่ใช่ว่าได้แล้วกูจะเอาสบายนึกไปตรงโน้นปึ๊บเดี๋ยวกูก็ไปอย่างนั้น ยิ่งไปทำอวดเขาก็เจ๊งในยกแรกเท่านั้น
    ถาม : อย่างเวลาสมมุตที่เราอธิษฐานจิตแล้วเราจะได้สิ่งของตามปรารถนาอย่างที่เราอธิษฐานจิต หรือไม่ตามบุญที่เราเคยได้มาก่อนครับ ?
    ตอบ : บุญที่เรามีอยู่นั่นแหละทำให้เราอธิษฐานเป็น แล้วผลของบุญขะทำให้เราได้ในสิ่งนั้น อันนี้เขาเรียกอธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากการอธิษฐานคือ ตั้งใจมั่นเพื่อจะให้เป็นอย่างนี้ มันได้ของอย่างนั้นเราต้องเคยสร้างไว้อย่างน้อยต้องมีทานบารมีอยู่
    ถาม : แต่ถ้าไม่อธิษฐานก็ไม่ได้ซิครับ ?
    ตอบ : มันอาจจะได้เหมือนกันแต่ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ เพราะว่าตัวอธิษฐานนี่มันเป็นการเล็งเป้าแล้วว่าจะเอาตอนนี้ แต่ถ้าหากไม่ได้บอกตอนนี้ มันอาจจะประเภท เราตายไปแล้วค่อยมาก็ไม่รู้จะให้ใครใช้แล้ว
    ถาม : แล้วอย่างที่ว่า ถ้าเราจะอธิษฐานเราจะต้องนั่งสมาธิก่อนใช่มั้ยครับ ? นั่งสมาธิแล้วก็ไม่ต้องนึกถึงใช่มั้ย ?
    ตอบ : ไม่ต้อง เราอยากจะทำอะไรก็ทำไป มีหน้าที่ภาวนาอย่างเดียวจบแล้วอธิษฐานซ้ำซะอีกที
    ถาม : ทำ ๒ ช่วงเหรอครับ ?
    ตอบ : ใช่ ขอก่อนทำ ทำแล้วขอซ้ำ
     
  15. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    กระโถนข้างธรรมมาสน์



    ถาม : ทีนี้พูดถึงวัตถุมงคล คนที่ห้อยนะคะ พวกที่ห้อยนี่มีความจำเป็นไหมคะว่าวัตถุมงคลจะให้ผลหรือว่าเป็นคนที่อยู่ในศีลในธรรม เป็นใครมาห้อยวัตถุมงคลก็ยัง....(ไม่ชัด)....ให้ผลได้ตลอด ?
    ตอบ : ต้องดูกำลังใจของเขา วัตถุมงคลเหมือนกับเครื่องส่ง ๆ นี่จะส่งกำลังอยู่ตลอดเวลา สำคัญตรงจิตของเขาที่เป็นเครื่องรับ ถ้าเครื่องรับไม่เปิดผลก็ไม่มี หรือว่ามีน้อย
    ถาม : ขยายความตรงที่บอกว่าเปิด เครื่องรับเปิดตรงนี้นี่หมายถึงอะไร ?
    ตอบ : คือว่าต้องเปิดใจของเรารับ คือใจของเราต้องยึดเกาะท่านเป็นปกติ
    ถาม : ก็คือต้องเชื่อ ?
    ตอบ : ใช่ อันดับแรกต้องมีศรัทธาถ้าหากว่าศรัทธาความเชื่อไม่มีทุกอย่างไม่มีผล ไม่เชื่อมันต่อต้าน เท่ากับปิดเครื่องโดยตรงเลย
    ถาม : นอกจากนี้มีอะไร ?
    ตอบ : ก็ศรัทธาความเชื่อ ในเมื่อเชื่อยึดมั่นเเล้วต้องปฎิบัติตามกฏเกณฑ์ที่เขาให้มา อย่างเช่นว่า อาจจะต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ อาจจะต้องท่องบ่นสวดมนต์คาถาบางบทเป็นประจำ
    ถาม : ท่องเพื่ออะไรคะ ?
    ตอบ : ลักษณะเหมือนอย่างกับว่าเป็นรหัสบอกฝ่าย ถ้าหากว่าคนที่เขาสวดมนต์ท่องบ่นคาถาบทนี้ ก็แปลว่าเขาขอให้ช่วยถือว่าเป็นฝ่ายเดียวกันพวกเดียวกัน ถ้าหากว่าเขาไม่ขอก็เป็นอันว่าไม่ต้องไปช่วยมัน (หัวเราะ)
    ถาม : คนก็หลากหลาย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาขออะไร ?
    ตอบ : เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงจ้ะ เทวดาความเป็นทิพย์ของเขามีคนเป็นพัน ๆ ขอพร้อมกันท่านก็แยกแยะได้
    ถาม : แสดงว่าผู้ที่จะให้คุณ เป็นแต่เทวดาเท่านั้น ?
    ตอบ : ทางด้านไสยศาสตร์ของเขา ถึงจะทำขึ้นมาแล้ว แต่ถ้าหากผู้ที่ทำได้อภิญญา ความเป็นทิพย์ ของการที่ได้อภิญญาท่านอธิษฐานจิตสำทับเอาไว้ผลมันก็เหมือนกัน เพราะอธิษฐานสำทับด้วยกำลัง ที่สูงมากในเมื่อกำลังของเขาสูงมาก การที่เขาแยกแยะเพื่อช่วยเหลือใครเท่าไหร่มันก็สามารถทำได้ แต่เพียงแต่ว่าในลักษณะถ้าทำแบบไสยศาสตร์เป็นอภิญญาโลกีย์นี้ต้องมีวาระที่เสื่อมของมัน
    ถาม : ที่นี้คนที่ไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ ถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิหรือเปล่า ?
    ตอบ : ไม่ใช่ ไม่เชื่อแต่ถ้าหากว่าจิตใจของคุณมีสิ่งที่ยึดมั่นอยู่ อย่างเช่นว่า ยึดมั่นในพระรัตนตรัย ยึดมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดถือมาประจำตระกูลของตน หรือว่ายึดมั่นในผู้นำหรือว่าเชื่อมั่นในตนเอง เหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิ
    ถาม : นอกจากไม่เชื่อแล้วยังมีความลังเลสงสัย ?
    ตอบ : นั่นยิ่งดีใหญ่เลย เพราะว่าถ้าหากขืนเชื่อทีเดียวเขาเรียกว่าโง่ เราสงสัยไว้ล่ะก่อนเป็นดี แล้วค่อย ๆ พิสูจน์ไปจนกว่าจะเชื่อ อย่างตัวของอาตมาเอง กว่าจะก้าวมาถึงระดับนี้ใช้เวลาพิสูจน์แบบหัวทิ่มหัวตำ ๑๑ ปีเต็ม ๆ
    ถาม : นึกว่าเข้าข่ายลบหลู่ดูหมิ่น ?
    ตอบ : ไม่หรอกจ้ะ เขาไม่เรียกว่าดูหมิ่น ความขี้สงสัยมันเป็นปกติอยู่แล้ว อย่างเช่นว่า ทุกวันนี้เวลาไปเจอบางสำนักของเขาที่มีพฤติกรรมต่างจากความเคยชินของเรา อาตมาเองก็ตั้งข้อสงสัยไว้เหมือนกัน ต้องระวังไว้ก่อน ยังไม่เชื่อทีเดียวจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าเขาดีจริง ถ้าเขาดีจริงก็ยอมรับ
    ถาม : คือกำลังสงสัยว่า เรื่องของ “ทรง” นี่โดยปกติมนุษย์เราก็จะมีสภาพของตัวเราอยู่ ที่นี้ถ้าจะพูด ถึงว่าจะมีอะไรสักอย่างหนึ่งที่จะเข้ามาแทรกได้ในตัวเรา ในกรณีที่เราถือว่าเราเชื่อว่าเป็นจิต จะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเขามาแทรกตัวเราคือสภาพของจิตช่วงนี้การรับรู้เรื่องนั้นนี่มันเป็นอย่างไรคะ ?
    ตอบ : เอาอย่างนี้นะ ที่เราอธิบายน่ะ เขาเข้าใจแต่พูดเป็นคำพูดยาก ฟังพระดีกว่า สภาพร่างกายของเรานี่มันเป็นเปลือกนอก แล้วจิตของเรานี่มันเป็นผู้ที่ควบคุมอยู่ข้างใน เพราะฉะนั้นร่างกายของเรานี่เป็น “รถ” จิตของเราคือ “คนขับรถ” ตอนที่เขาจะทรงจะสวมจะทับนี่เขาเอาคนขับรถออกไป แล้วเขาก็เข้าไปทำหน้าที่แทน
    ถาม : เขาจะเอาเราออกไปได้อย่างไร ?
    ตอบ : เขาใช้วิธีบีบบังคับด้วยกำลังที่เหนือกว่า สภาพจิตของเราที่ขาดการฝึกปรือมากำลังจะน้อย ในเมื่อกำลังน้อยพวกที่ท่านอยู่ในเขตของความเป็นทิพย์ ถึงจะเป็น โอปปาติกะ หรือ เปรต อสุรกาย ก็ตามกำลังท่านจะสูงกว่า ท่านจะเบียดเราออกไปชั่วคราว
    ถาม : ตรงนั้นนี่ การเบียดออกไป จิตตรงนั้นไปอยู่ที่ไหน ?
    ตอบ : ตอนนั้นอาจจะอยู่ใกล้ ๆ นั่นเองแหละ เดินพล่านไปหมดว่าเมื่อไหร่เขาจะคืนเรา หรือไม่อีกที หนึ่งเขาจะใช้อำนาจจิตที่สูงกว่าบังคับจิตของเราให้ทำตามที่เขาต้องการถ้าหากว่าเป็นเทวดาเขาจะใช้ลักษณะนี้
     
  16. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    กระโถนข้างธรรมมาสน์



    ถาม : ผู้ที่มีบารมีมาก ๆ ที่ไม่ตกนรก เพราะว่าเขาสามารถบังคับจิตใจให้อยู่ในกองกุศลได้ตลอดใช่มั้ย ?
    ตอบ : เรียกว่าตลอดก็ไม่ใช่นะ แต่ตอนวาระสำคัญนี้สามารถทำได้ ระวังไว้ก็แล้วกันติดหนี้เขาเยอะ ถึงเวลาถ้ามันทวงทีเดียวอาจจะหมดตัว
    ถาม : ค่อนข้างจะไม่เห็นด้วยที่บอกว่าเราสามารถบังคับตัวเองได้ให้อยู่ในศีลตลอด การบังคับตัวเอง นั่นก็ดี....(ไม่ชัด)....ใช่ว่ามีตัณหาอย่างเดียว เพราะฉะนั้นศีล....(ไม่ชัด).....?
    ตอบ : ก็ไม่ได้หมายความตัวของเขาเองทำชั่วแล้วจะพ้นจากความชั่วนั้นโดยที่ไม่มีความดีมาช่วย อย่าลืมว่า เขาใช้คำว่าเขาทำบุญทำกุศลและจิตใจเขายึดโยงในส่วนที่เป็นกุศลอยู่ สิ่งที่เขาทำเป็นกรรมชั่วมันมีกำลังน้อยกว่า มันยังตามไม่ทัน แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะเล็ก มันยังตามอยู่ตลอดเวลา ถึงวาระถึงเวลาเมื่อไหร่มันจะสนองทันที เมื่อครู่ถึงบอกเขาว่าระวัง มันทวงทีเดียวหมดตัวเลยแหละ
    ถาม : ฉะนั้นจะใช้คำว่าบังคับแล้วไม่ตรง ไม่น่าจะใช้ได้
    ตอบ : จริง ๆ แล้วมันใช้ได้ แล้วตรงไปตรงมาที่สุดด้วย คือว่าถ้าหากว่ากำลังใจของเขาในตอนช่วงนั้น มันไม่เศร้าหมอง จิตของเขามีที่ยึดที่เกาะแปลว่าเขาต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก อย่างหนักชนิดที่เรียกว่าของเราเองทำไมถึงแต่ของเขาทำถึง ในเมื่อเขาสามารถทำถึงตรงจุดนั้น ตัวนั้นก็จะเป็นกุศลส่งผลให้เขาพ้นไปก่อนชั่วคราว แต่ไม่ได้พ้นตลอดหรอก เดี๋ยวก็เสร็จ
    ถาม : แต่มีเงื่อนไขว่าก็แค่ชั่วคราว ใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : ใช่ ถึงเวลาที่กุศลมันขาดช่วงเมื่อไหร่ก็เรียบร้อยแหละ เขาทวงที่นี้ก็ยาวเลย
    ถาม : แต่ถ้าเขาทำมาจนชินแล้วก็เกิดใหม่ เขาสามารถจะทำอย่างนั้นต่อไป ?
    ตอบ : ได้จ้ะ พระที่เข้านิพพานทุกองค์ไม่มีใครใช้หนี้หมด เพียงแต่ว่าสภาพจิตของตัวเองพอถึงเวลาบริสุทธิ์แล้วก็เป็นอันว่าจัดเป็นอโหสิกรรมต่อกันไป มันเหมือนกับว่าน้ำกับน้ำมันที่แยกตัวจากกันโดยเด็ดขาด ไม่สามารถจะปะปนกันได้แล้ว ไม่เหมือนน้ำกับนมจะเทลงไปเมื่อไหร่ก็ละลายรวมกันเลย
    ถาม : อย่างเวลาพวกพุทธภูมิตายจากสภาพความเป็นมนุษย์ ถ้าไม่ลงนรก ขึ้นไปบนสวรรค์เขาว่าจะเป็นพรหมเทวดา แล้วเขาจะมีเวลา.....หมายความว่าช่วงระยะเวลาหรือจะมีคนมาเตือนว่าให้ลงมาเกิดอีกหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : ก็ต้องดูด้วยนะ ว่าของเราเองมีเพื่อนฝูงที่รักกันขนาดนั้นหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าไม่มีเขาก็ไม่มาเรียกเตือนคุณหรอก คุณอยากสร้างบารมีคุณก็ตะเกียกตะกายของคุณเองก็แล้วกัน
    ถาม : แล้วลงมาจุติได้ตลอดเวลาหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านจะขยันเกิด ในเมื่อท่านจะขยันเกิดนี่ส่วนใหญ่ท่านจะไม่อยู่นานหรอก มันเสียเวลาสร้างบารมีของท่าน
    ถาม : สามารถลงมาเกิดได้เลย ?
    ตอบ : กำลังของคุณสูง ต้นทุนของคุณมี คุณจะซื้อตั๋วใส่กระเป๋าไปเพื่อจะเดินทางเมื่อไหร่ก็ได้คนมีตังค์น่ะ
    ถาม : ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า อย่างคนที่ตายแล้วจิตเศร้าหมองหรือว่ามีกรรมหนักมาก นี่ก็คือจิตมันตกอยู่ในตรงนั้น มันก็เลยลงนรกแน่นอน แต่ถ้าเกิดคนที่แบบทำกรรมความชั่วด้วยนี่ถึงจะหักล้าง อย่างพระยายมราชท่านมีเมตตา ท่านก็เลยส่งคนมาดักแล้วเอาไป แล้วพยายามให้นึกถึงความดีที่ก่อมา ?
    ตอบ : อันนี้เป็นไปตามที่เราเข้าใจ ที่เราว่ามาน่ะใช่เลย พระยายมไม่ได้มีหน้าที่เอาใครลงนรกแต่พระยายมกันคนไม่ให้ลงนรก เพราะฉะนั้นบรรดาคนที่ตายนะ พอถึงเวลารู้ตัวว่าตาย ต่อให้ไม่มีคนมารับก็พยายามจะตะกายไปหาท่าน
    ถาม : เคยเห็นวิญญาณ เป็นแพตัวดำ ๆ สูง ๆ ใหญ่ ๆ แล้วก็ถือดาบใ่ส่ผ้าสีแดง ๆ ๒ คน จับคู่กันไม่ทราบว่าเป็นอะไร (แล้วเขามารับเราหรือเปล่าคะ) เปล่าแต่เขามาให้เห็น ?
    ตอบ : ไม่แน่พวกนั้นอาจจะเป็นพวกที่เขามาดูแลรักษาเราก็ได้ อาจจะเป็นเพื่อนเป็นฝูงหรือเคยเป็นบริวารเก่ามาก็ได้ ถามแสงชัยซิ อาตมากับน้องชาย ๒ คนนอนอยู่ด้วยกัน กลางคืนตื่นขึ้นมาตัวเท่าตึกนุ่งหยักรั้งสีแดงมานอนเบียด เขามาช่วยรักษาเรา แต่เราเป็นเด็กอยู่ ๆ ตัวใหญ่มานอนเบียดด้วย ก็ตกใจร้องไห้กลางคืนบ่อย ๆ พ่อแม่รำคาญฟาดเอาเจ็บตัวไป แล้วเขาก็ตามอยู่เรื่อย ลักษณะเขาตามดูแล แต่ตอนนั้นเราไม่รู้จริง ๆ ว่า เขามาดูแลเรา พอถึงเวลาอย่างเช่นว่าจะไปเก็บฝรั่งกัน ก็ไปนั่งห้อยขาบนต้นฝรั่งตัวเท่าตึก แล้วยังมีหน้ามาหัวเราะใส่เราอีก เด็ก ๆ เห็นกันทุกคนวิ่งกันตีนพลิกเลย สาปส่งฝรั่งต้นตั้นไปไม่มีใครกล้าขึ้นอีกเลย....กลัวผี
    ถาม : แล้วทำไมเขาไม่มาแบบสวย ๆ (หัวเราะ) ?
    ตอบ : นั่นเขามาในชุดทำงานของเขาแล้ว หน้าที่ของเขานี่ ทำงานไม่แต่งเครื่องแบบเดี๋ยวโดนเจ้านายปรับ จริง ๆ เขาไม่ได้มาน่าเกลียดน่ากลัวอะไรหรอกเพียงแต่ว่าตัวเขาใหญ่ ของเราเองพอเห็นคนตัวใหญ่ ๆ แปลกหน้าด้วย ก็ตกใจวิ่งเท่านั้นเอง
    ถาม : ส่วนใหญ่คิดว่าผี ?
    ตอบ : ใช่ ส่วนใหญ่คิดว่าผีไว้ก่อน
    ถาม : อย่างตานึกไปอย่างนี้ ยังเล็ก ๆ อยู่เลย มีคนมาฉุดมือขึ้นไปน่ะ
    ตอบ : โบราณเขาเรียกว่า “แม่ซื้อ” “แม่ซื้อ” คือเทวดาประจำตัว ส่วนใหญ่จะเป็นพ่อแม่หรือไม่ก็ญาติพี่น้อง หรือครูบาอาจารย์ หรือว่าเพื่อนฝูงกันในอดีต คราวนี้ท่านทั้งหลายเหล่านี้พอตายแล้วไปเป็นเทวดา เมื่อตายแล้วเป็นเทวดาเขายังจำเราได้อยู่ ยังมีความผูกพันอยู่จะพยายามที่จะตามสงเคราะห์เรา อะไรที่ไม่เกินกฎของกรรมท่านพยายามช่วย ลักษณะนั้นล่ะ โบราณเขาเรียกว่า “แม่ซื้อ” ที่ประเภทไปทำพิธีร่อนกระด้ง ๓ วัน ลูกผี ๔ วัน ลูกคน ลูกของใครรับไปเน้อ แม่ก็รีบบอกลูกของฉันจ้า ผีเลยอดเลย (หัวเราะ)
    ถาม : ไม่ทำพิธีดีกว่าใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : เขาเชื่อถืออย่างนั้น เขาก็ทำอย่างนั้น เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่น่าตำหนิ กำลังใจของใครแค่ไหนก็พูดแค่นั้นทำแค่นั้น
    ถาม : พูดถึงเรื่องคนตาย เวลาคนตายจิตที่อยากจากร่างไปน่ะ จิตจะเหลืออะไรอยู่บ้าง ?
    ตอบ : อันดับแรกความรู้ความจำของเขา อันดับที่สองสิ่งนั้นจริง ๆ เป็นของปกติของเขาอยู่แล้ว แต่ว่าในสภาพของมนุษย์ที่เป็นกายหยาบประกอบไปด้วยกิเลส ตัณหาเป็นปกติ ก็จะโดนกดทับเอาไว้ สิ่งนั้นคือ “ความเป็นทิพย์” ความเป็นทิพย์นี่สามารถรู้เห็นในสิ่งที่มนุษย์ทั่ว ๆ ไปไม่สามารถรู้เห็นได้ อย่างเช่นว่า ถ้าเขามองออกไปข้างนอกนี่จะมองเห็นยาวตลอดไปเลย จะไม่มีตึกรามบ้านช่องมาขวางเขา ในสายตาของเขาก็เหมือนกับที่โล่งไปเลยอย่างนี้
    ถาม : เอ๊ะ ทำไมเป็นอย่างนั้น ?
    ตอบ : บอกแล้วว่าเขาอยู่ในความเป็นทิพย์ ในเมื่อความเป็นทิพย์ลักษณะก็เหมือนกับคลื่นพลังงาน เพราะฉะนั้นคลื่นพลังงานที่เจาะทะลุทะลวงไปอยู่ตลอดเวลา อย่างปัจจุบันนี้รอบข้างตัวของเราก็เป็นอยู่อย่างนี้ เขาก็ไม่เห็นจะต้องไปหลบไปหลีกตึกรามบ้านอะไรที่ไหน
    ถาม : คือหมายความว่าเขาเห็นสภาพ คือตัวนี้จะพูดถึงการรับรู้ใช่มั้ยคะ ? มีการรับรู้ เพราะฉะนั้นที่การรับรู้ตัวนี้ เห็นเป็นนึกเป็นอาคารมั้ยคะ ?
    ตอบ : ถ้าหากต้องการจะรับรู้ลักษณะนั้นก็รับรู้ แต่ถ้าหากเขาไม่ต้องการจะรู้ เขาสามารถเดินทะลุไปเฉย ๆ เลย เพราะว่าในสภาพของเขาแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เหมือนอย่างกับว่าอยู่คนละคลื่นความถี่กันน่ะ แล้วอันดับต่อไปก็คือ “ตัวเวทนา” คือการเสวยอารมณ์ ก็ยังรับรู้ความสุขความทุกข์ได้เป็นปกติ
    ถาม : จะเกิดจากอะไร ในเมื่อไม่มีร่างกาย ?
    ตอบ : เกิดจากในสิ่งที่ตัวเองยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ อย่างเช่นว่า อยู่ในสภาพนั้น ถ้าอุปาทานยังยึดถืออยู่ว่า ความรู้สึกทั้งหมดยังเป็นคนอยู่ ถ้าหากว่าไม่มีของกินก็หิว ความรู้สึกตัวนี้จะเกิดของมันเอง เป็น “จิตตสังขาร” ที่ปรุงแต่งขึ้นมาทำให้เกิดความรู้สึกนั้นขึ้นมา ก็ต้องไปเสาะแสวงหาหากิน ถ้าหาไม่ได้ก็ต้องมาเที่ยวเสาะหาเอาตามญาติตัวเอง ต้องพยายามแสดงให้เขารู้เห็น ด้วยการทำให้เกิดเสียงบ้าง เข้าฝันบ้าง อะไรบ้าง เพื่อจะบอกกล่าวว่าเขาขาดอันส่วนไหน
    ถาม : เหมือนกับบอกว่าเขาปรุงแต่งขึ้นมาเอง ถ้าอย่างนั้นนี่การหิวมีจริง เกิดขึ้นจริงมั้ย ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเขาปรุงแต่งขึ้นมาก็เกิดขึ้นจริงสำหรับเขา ต้องใช้คำว่า “เกิดขึ้นสำหรับเขา”
    ถาม : แต่ไม่ได้หิวจริง ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าของเขาเอง จิตของเขาประกอบไปด้วยบุญ เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปปรุงแต่งตรงส่วนนั้น เขาก็จะไม่เกิดความรู้สึกอันนี้ขึ้น
    ถาม : คือกุศลเข้าไปหล่อเลี้ยง ?
    ตอบ : ใช่ ทำให้ความรู้สึกอันนั้นไม่เกิด แต่ถ้าหากว่าเขาขาดตรงส่วนนี้ จิตของเขาจะปรุงแต่งทำให้เขาเกิดความรู้สึกนี่ขึ้นมา ก็ต้องไปเสาะแสวงหาส่วนที่ตัวเองขาดต่อไป...
     
  17. thanaku

    thanaku เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2012
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +164
    ช่วงนี้ผมสวดแล้วจิตสงบลงมาก ตัวเหมืิอนแข็งและอยากจะสวดไปเรื่อยๆ รู้สึกตัวกับเสียงรอบข้างนะ
    คุณ promwihar เห็นเป็นอย่างไร
     
  18. jaruwat007

    jaruwat007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +362
    ผมสวดแทบจะทุกวันครับ ประสบการณ์มีสองครั้งคือครั้งแรกผมลื้นล้มหลังบ้าน ตอนจังหวะที่ตัวลอยอยู่ตัวผมพิกได้เร็วมากครับกล่ยเป็นว่าเอาด้านข้างลงซึ่งถ้าลงตามปกติหัวผมต้องกระแทกแน่นอน ถึงกระนั้นการเอาด้านข้างลงแขนผมต้องกระแทกเพราะรับน้ำหนักทั้งตัว แต่ผมไม่เป็นอะไรเลยนอกจากรอยถลอกประมาณ2ซ.ม ตอนนั้นห้อยหลวงปู่ดู่ที่หลวงตาม้าสร้างครับ ครั้งที่สองผมมีปัญหาชีวิตคิดไม่ตกครับ คือมันเป็นเรื่องที่เครียดมาก อาจก่อให้เกิดกรรมใหญ่ได้ครับหาทางแก้มาเป็นเดือนพอคิดได้วิธีนึงคนนั้นเค้าก็ไม่ยอมทำตาม ผมเครียดมากจนจะประสาทครับบเลยขอบารมีหลวงปู่ดู่และอานิสงค์แห่งการสวดบทจักรพรรดิ์ให้ช่วย เวลาผ่านไปเครื่องคลี่คลายไปเองครับโดยที่ผมไม่ต้องทำอะไรเลย เนี่ยแหละครับประสบการณ์ของผม
     
  19. Arrowhead

    Arrowhead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +638
  20. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    คล้ายๆกับที่ผมเคยเจอนะ แรกๆตัวจะเเข็ง ควบคุมไม่ได้...เสียงรอบข้างยังคงได้ยิน ผมก็รักษาอารมณ์ให้มันคงที่เหมือนเดิมไปเรื่อยๆอย่าไปตกใจอย่าไปตื่นเต้น อย่าไปสนใจอะไรจะเกิดขึ้นไม่ต้องไปคิดล่วงหน้า หากภาวนาอยู่ก็ให้ภาวนาตามอารมณ์เดิมไปหากไม่ได้ภาวนาก็ให้รักษาอารมณ์นั้นไม่ต้องพยายามไปเที่ยวหาคำมาภาวนา...คือให้รักษาอารมณ์เดิมๆที่เกิดขึ้นตอนนั้น(เนื่องจากส่วนมากอาการแบบนี้มักจะเกิดกับผมเวลาที่อยู่คนเดียวเฉยๆเงียบๆ หากมีคนอื่นอยู่ด้วยคือเขาต้องหลับ จะนั่งก็เป็น จะนอนก็เป็น บางครั้งนั่งอ่านหนังสือคนเดียวดึกๆก็เป็น เมื่อก่อน จะเป็นทุกคืนที่ผมนอนดึก คือนอนไม่ค่อยจะหลับ)หากรักษาอารมณ์เดิมได้ ซักเดี๋ยว หูที่เมื่อก่อนยังได้ยินเสียงรอบข้างอยู่ก็จะมาได้ยินเสียงวิ๊งๆๆๆๆๆ และเมื่อได้ยินเสียงที่ว่าเเล้ว จะรู้สึกเหมือนตัวจะลอยนะ รู้สึกว่าตัวจริงๆของเราหน่ะมันหนัก เเต่รู้สึกว่าเหมือนวิญญาณเราหน่ะจะหลุดจากร่างจะลอยจะลอย เวลานั้นถ้าผมไม่ได้หลับตาตั้งเเต่แรก ก็จะใช้สายตาส่ายมองรอบๆ ถ้าหลับตาอยู่ก่อก็จะลืมตาดู บางครั้งเห็นทะลุเปลือกตาเมื่อมองดู ก็จะเจอ.....ผมไม่รู้จะเรียกอย่างไรไม่รู้เขาเป็นอะไร เมื่ออยู่ในอาการนี้จะสามารถเห็นเเละสื่อสารกับเขาได้ โดยการนึกในใจ มีอะไรจะถามเขานึกถามในใจ ผมจะถามเรื่องที่ไม่รู้เเละสามารถพิสูจน์ได้ เช่นพื้นที่ หรือหวย เเต่ห้ามซื้อนะถ้ามีใจอยากซื้อนี่ไม่ได้ .........
    ผมเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่วัยรุ่นเริ่มบ้าๆอย่างนี้ตั้งเเต่ ม.4ทุกวันที่ไหว้พระหรือใช้เวลาในการสวดมนต์นานๆ พอเลิก เเล้วพอล้มหัวจะนอน ต้องเจอทุกที (ตอนเด็ก) พอผ่านมาเรื่อยๆ ผมก็เจออาการที่ว่าบ่อยมากจนเริ่มไหวตัวได้บางส่วน เช่น ตา ปาก คอ เเละเเขน เเต่ต้องฝืนหน่อย ถึงขนาดที่ว่าผมฝืนบังคับมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ มากดเลข ที่เขาบอกได้ทั้ง3ตัวเเล้วโทรออกเพื่อที่จะให้โทรศัพท์บันทึกเลขที่โทรออก(จะเอาเลข ..อยากพิสูจน์เวลาหวยออก)ยังมีอะไรอีกมากที่ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงเมื่อก่อนผมคิดว่าตัวเองบ้า...แต่หลักฐานที่พิสูจน์ตรงนี่สิ!!!

    ต้องขอบอกพี่ thanaku ก่อนเลยว่าทั้งหมดที่เล่ามานี้ ไม่ใช่ธรรมะหรือ สมณธรรม หรือ แบบอย่าง หรือหลักปฏิบัติ ใดๆ หรือของที่ใดทั้งนั้น ไม่มีครูบาอาจารย์ไหนสอนอย่างนี้ ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ไม่ใช่หลักของการหลุดพ้น...ชัดนะครับ
    เเต่ที่ผมเล่าให้ฟังนี้ เป็นสิ่งที่ผมเจอ และทำให้เชื่อในสิ่งเล้นลับ เเละเชื่อว่าของอย่างนี้มีจริง..เรื่องจิต วิญาณ เเละได้มาเทียบเคียงว่า งั้นสิ่งศักดิ์ก็ต้องมีจริง การปฏิบัติก็ต้องมีจริงได้จริง(หากปฏิบัติถูกทาง) คือพูดง่ายๆ สามารถทำให้คนที่ไม่เคยเชื่อได้เห็น(เช่นผม)

    ทีนี้มาวิเคราะห์สิ่งนี้กัน ผมเเคยอ่านหนังสือกรรมฐาน เวลาจิตเป็นสมาธิ เช่นอุปจาระ สมาธินี่ยังไม่ถึงฌานยังอยู่ในคำภาวนา รู้จดจำทุกคำภาวนา(จิตใจจดจ่อกับคำภาวนา) ว่าถูกต้องหรือไม่ ปิติกับคำภาวนา หูนี่ได้ยินเสียงภายนอกแต่ไม่รำคาญ อาจจะได้ยินเเว่วๆแต่ไม่ดไ้รำคาญไม่รู้เขาพูดอะไร ใจไม่ได้เข้าไปยุ่งเพียงแต่ได้ยินเฉยๆ ไม่เอาใจรับรู้((เคยฟังเทปหลวงตาม้าท่านว่าสมาธิเเค่อุปจาระสมาธิ ก็สามารถ เห็นวิญญาณได้เหมือนกัน)) จนถึงระดับที่เรียกว่าฌาณ เช่น ฌาน1 2 3 4เป็นต้น
    ทีนี้ฌาณต้นๆ นี่จิต ก็ เริ่มแยกออกจากกายนิดนึงแล้ว แต่แยกไม่เด็ดขาด (ฌาณ4 จิตกับกายจึงจะเเยกออกจากกันโดยเด็ดขาด)
    ผมลองมาคิดว่าหากสมาธิระดับฌาณต้นๆ เช่นฌาณ1นี่ จิตเริ่มแยกจากกายนิดนึง หากเป็นเช่นนั้น การที่ตัวแข็งบังคับไม่ได้นี่ ก็น่าสงสัยนะ
    ข้อแนะนำ พี่thanaku ลองภาวนาไปเรื่อยๆนะครับ อย่าไปอยากได้หรืออยากเห็นใดๆ อย่าไปกังวน หรือไปมีความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ...มันจะฟุ้งซ่านครับ อีกอย่างมันเป็นนิวรณ์ครับ
    นิวรณ์มี 5ประการ
    1.มีความรู้สึก ชอบใจ
    2.มีความรู้สึกไม่ชอบใจ
    3.ฟุ้งซ่าน (คิดนอกเรื่องนอกจากองค์ภาวนา)
    4.ง่วง ขณะปฏิบัติ
    5.ลังเลสงสัยในการปฏิบัติว่าจะได้ผลจริงหรือไม่
    มีนิวรณ์ ข้อหนึ่งข้อใดเกิดขึ้นมาในระหว่างปฏิบัติ...การปฏิบัตินั้นไม่เป็นผล
    ผมจึงมีความเห็นว่าพี่thanaku ภาวนาไปเรื่อยๆ ครับ ผมว่าเริ่มดีเเล้วนะครับ ภาวนาบ่อยๆ ระหว่างวัน ...ก่อนนอน..ระหว่างนอนจนหลับ...ตื่นนอน เรามีสติไม่ต้องไปกลัวครับ มีโอกาสเข้าหาครูบาอาจารย์ ก็จะได้ขอความอนุเคาราะห์จากท่านได้ครับ
    หากเราไม่ได้ ปฏิบัติ เเละไม่ได้เกิดปัญหา หรือไม่มีความสงใสใดๆที่ เกิดขึ้นในการปฏิบัติ....แล้วท่านจะตอบ หรือจะเเก้อะไรให้เราใช่ไหมครับ ก็เราไม่มีอะไรถามนี่
    ปล.ดีใจครับที่มีคนตัวเเข็ง เหมือน......5555+

    สุดท้ายนี้ ต้องขออภัย พี่thanaku เเละเพื่อนสมาชิกทุกท่าน หากที่ผมว่ามาทั้งหมดนี้ ไม่ค่อยจะมีสาระหรือประโยชน์
    ขอโทษด้วยครับ(deejai)(deejai)(deejai)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กรกฎาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...