จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. อัญญะมณี

    อัญญะมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +2,169
    เคยสนทนาธรรมกับพระอรหันต์รูปหนึ่ง (พระสงฆ์)
    ท่านถามว่าโยมเคยมีพระมาขอตังค์มั้ย แล้วโยมทำอย่างไรล่ะ
    ก็ตอบท่านว่าเจอบ่อยค่ะ แต่ก็ให้ทุกครั้ง หลังจากนั้นก็จะคิดว่าพระจริงหรือพระปลอม
    ท่านสอนว่าให้ดูที่ใจเราเป็นหลัก ถ้าใจเราพร้อมจะทำก็ให้ แต่ถ้าใจเราไม่พร้อม หรือทรัพย์เราไม่พร้อมให้พูดกับท่านดีๆว่า "โยมยังไม่พร้อม ขอนิมนต์พระคุณเจ้าไปข้างหน้าก่อนค่ะ" พูดอย่างนี้ไม่บาปนะโยมเพราะเรายังไม่พร้อม ไม่พร้อมที่ไหนล่ะ แล้วท่านก็ชี้ไปที่ใจ
    แต่อาตามาจะอดยังงัย ไม่มียังงัย ไม่เคยเอ่ยปากขอตังค์นะโยม

    ทำบุญทำทานทุกอย่างได้บุญหมดค่ะ แต่ว่าจะได้มากได้น้อยเท่านั้นเอง
    ถ้าคุณwatjojoj ยังไม่พร้อมที่จะทำก็ไม่เป็นไร เมื่อตัดสินใจไม่อยากบริจาคแล้วก็จบ เมื่อเก็บมาคิดต่อก็ให้ดูความคิดของเราไปค่ะ
    เพราะว่าเราโง่คบกิเลสเราจึงต้องมาเกิด มาทุกข์
    ทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่ที่ใจเราเอง
    แล้วใครทำให้เกิดทุกข์ ก็ตัวเราเองที่ไปเก็บสิ่งต่างๆ มาคิดให้เป็นทุกข์
    แล้วเราจะหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างไร ก็หยุดที่ใจเราเอง
    เมื่อรู้แล้วก็ วาง
    อย่าลืมนึกถึงพระบ่อยๆ นะคะ
     
  2. อัญญะมณี

    อัญญะมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +2,169
    เรามีเจตนาจะให้เราก็ได้บุญแล้วค่ะ แต่ว่าเขาจะเอาไปทำอะไรนั้นเป็นส่วนของเขา เราไม่ต้องไปคิดต่อ เมื่อเราคิดต่อ แสดงว่าสติเรายังไม่ทันความคิด ความคิดมันจึงไหล ฟุ้งไปเรื่อย ให้คุณwatjojoj ฝึกสติบ่อยๆค่ะ ด้วยการนึกถึงภาพพระ

    เมื่อมีสิ่งมากระทบ สติจะรู้ตัวเร็วขึ้นค่ะ แล้วก็ให้พิจารณาลงกฎไตรลักษณ์แต่ว่าถ้ายังไม่ชินกับการพิจารณาก็ให้นึกถึงภาพพระทันทีค่ะ นึกถึงท่านบ่อยๆ เป็นการฝึกสติ ไม่ให้ไหลไปตามกระแสโลกค่ะ
     
  3. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    เข้าใจแจ่มแจ้งเลยล่ะครับ
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาบุญกับคุณwatjojoj ด้วยนะครับ
    ขอบใจจริงๆ คุณนี่ก็มีสีสันต์ดีจริง
    ทุกท่านรู้มั๊ย งานนี้ใครได้บุญมากตอนนี้
    ผมเห็นบุญเต็มๆกำลังหลั่งไหลเข้าไปในจิตของคุณwatjojoj
    ทำไมหรอ? อย่าสงสัยไปเลย
    ผู้ที่กล้าเปิดใจเพื่อเป็นธรรมาทานให้กับผู้อื่นนั้น นับว่ายอดเยี่ยม
    นี่คุณได้กำไรสองต่อเลย คือ หนึ่งได้ยกระดับจิตตนให้สูงขึ้น
    สอง ที่คุณยกตัวอย่างมานี้ ก็ถือว่าเป็นธรรมให้แก่ผู้อื่น
    กระทู้นี้วันนึงๆ มีคนเข้ามาอ่านจำนวนไม่น้อย
    ผมว่าดีกว่าไปส่ง PMถามคนเดียว คุณก็ได้บุญคนเดียว
    นี่คุณได้บุญจากธรรมาทานครั้งนี้ ไม่รู้เท่าไหร่
    สรุปแล้ว คุณWatjojoj กำไรกับกำไร
    ขอบใจน้องอัญญะมณี กับน้องสู่วันใหม่มากนะครับ ที่ช่วยนำธรรมะดีๆให้กับพวกเรา

    แต่เรื่องนี้ผมอยากให้ครูอีกท่านนึงตอบนะ ก็คือ ครูแสงจันทร
    ผมจะรอครับคุณแสงจันทร ท่านจะมีอะไรมาบอกกับพวกเรา
    ขอเชิญครับ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กรกฎาคม 2012
  5. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สวัสดีค่ะ ครูภู ครูเพ็ญ ครูดัช ครูน้องหนู ครูวิทย์ ครูลูกพลัง ครูนิวเวป ครูนก ครูลูกหว้า ครูจารุณี และทุกท่าน

    เหมือนครูภูจะรู้ก่อนเลยว่าวันนี้มีเรื่องที่อยากจะบอก เนื่องจากวันนี้ได้ฟังธรรมเกี่ยวกับการปล่อยวาง แต่ยังฟังไม่จบ รายการหมดเวลาเสียก่อน ฟังไปคิดไปอืมใช่เลย การปล่อยวางคืออะไร การปล่อยวางคือเมื่อจิตรับรู้สิ่งที่มากระทบขันธ์5ให้เกิดความทุกขเวทนาขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว จิตควรปล่อยวางความทุกข์นั้น เช่น เวลาปวดท้อง จิตรับรู้ว่าตอนนี้ปวดท้องนะ ต้องปล่อยวางให้ได้นะ อย่านึกถึงเจ้าความปวดนี่ ไปสวดมนต์ ภาวนาสิ จะได้ไม่จดจ่อกับความเจ็บปวด แต่ถามว่าเวลาปวดมากๆๆ จะทำได้สักแค่ไหน บอกให้ปล่อยวางแล้วหนิ ทำไมความปวดยังมีอยู่ เพราะอะไร ก็เพราะการที่จิตบอกให้ปล่อยวางความปวด เสมือนบังคับหรือพยายามให้ความปวดน้อยลง อันนี้มิใช่การปล่อยวางที่ถูกต้อง ถามว่าแล้วการปล่อยวางคืออะไรกันแน่ การปล่อยวางคือการยอมรับการเจ็บปวดให้ได้ ว่าตอนนี้ปวดท้องอยู่นะ เราจะไม่กดดันความปวดนี่ เพราะความเจ็บปวดเกิดขึ้นได้ สักพักความปวดก็จะนั้นจะทุเลาลงได้เอง เป็นอนิจจัง ความจริงมันเหมือนที่ตัวแสงจันทรเป็นเมื่อหลายวันก่อน ความเจ็บปวดเกิดขึ้นหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ทำอย่างไรดีหละ อ้อ...ก็แค่ปล่อยให้เค้าเจ็บไปปวดไปเดี๋ยวมันก็บรรเทาไปเอง ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา แม้ตามความจริงเราจะใช้ตัวช่วยบ้างก็ไม่ผิด เช่นใช้ยาแก้ปวด ลดไข้ กาแฟ แต่ตัวช่วยนี่ใช้แล้วยังไม่หาย หลายวัน ถึงตอนนี้อาการที่ปวดก็บรรเทาลงไปมาก เวลาที่ปวดก็(จิต)เฉยๆๆ ปล่อยให้ขันธ์5 รับทุกขเวทนาไปเท่านั้น เกิดขึ้น รู้แล้ว วางไว้ ในที่สุดก็ดับลง ชีวิตมีแค่นี้จริงๆๆค่ะ

    ส่วนเรื่องการทำบุญ ตัวแสงจันทรเองไม่เคยคิดมาก ทำกับพระรูปไหนก็ได้ ที่วัดไหนก็ได้ เพียงแค่ตั้งใจ อยากทำ ไม่ว่าจะหยอดเงินลงตู้ของวัดหรือตู้ที่รอรับบริจาคช่วยสุนัข เด็กพิการ มูลนิธิใดๆ ใครบอกว่าให้ทำบุญกับพระดีที่สุด ส่วนตัวคิดว่าทำบุญกับสัตว์ คนหรือพระ บุญอาจจะได้ไม่เท่ากัน แต่ตรงนั้นมิใช่เรื่องสำคัญ เราเกิดมามีความสามารถที่จะช่วยสิ่งมีชีวิตใดได้ก็ช่วยไปเท่าที่สามารถจะช่วยได้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องไปสนใจเรื่องผลบุญจะได้รับมากหรือน้อย แค่ให้ด้วยใจที่เมตตา สิ่งที่เราได้รับคือความสุขใจก็คุ้มแล้วมิใช่หรือ? มิได้ทำเพื่อหวังผลหรือสิ่งใดตอบแทน เช่นคิดว่าทำบุญต้องได้บุญ ถ้าไม่ได้บุญก็ไม่ทำ ความคิดเช่นนี้จะทำให้ได้บุญหรือ? เพราะเท่ากับเป็นอกุศล ดังนั้นส่วนตัวคิดว่า การทำบุญทำทานทุกอย่างทำเท่าที่ทำได้ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นแล้ว ก็ทำด้วยใจที่เมตตา การให้ที่เป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ สัตว์หรือเพื่อการดำรงสืบไปของพุทธศาสนา ย่อมดีและยิ่งใหญ่เสมอค่ะ
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะสวัสดี
    คุณแสงจันทร สุขกาย สบายใจดีแล้วนะ
    คนที่ไม่รู้ นึกว่าเราเตี้ยมกันนะเนี๊ย คุณแสงจันทร
    อันที่จริงเราสองคน ก็ยังไม่เคยเห็นตัวเป็นๆ กันสักที
    เอาละผมจะไม่ขอพูดมาก กับเรื่องปัจจัตตัง ผู้ปฎิบัติเท่านั้นที่จะรู้
    คืนนี้ผมนอนตาหลับแล้ว ที่ผมอยากฟังธรรมะจากคุณแสงจันทร
    จิตคุณแสงจันทรคมขึ้นทุกวันเลย
    ผมภูมิใจกับจิตของคุณมากเลย รู้ไหม

    แอบปลื้มซะงั้น! ปลื้มเสร็จ รู้ปลื้มก็วาง เมื่อจิตเราไปรับรู้อะไร ก็วาง
    และวางเดี๋ยวนั้นด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กรกฎาคม 2012
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะพยายาม
    พยายามธรรมะ

    ถ้าประหยัดไฟ ต้องขยันปิด
    แต่ถ้าประหยัดพลังงานจิต ต้องหยุดความคิด หยุดความฟุ้งซ่าน
    แต่ถ้าสะสมบุญ สะสมบารมี ต้องทำจิตให้นิ่ง จิตทรงสมาธิ หรือทรงฌาน
    แต่ถ้าจะหลุดพ้นทุกข์ ต้องเจริญสติภาวนา
    แต่ถ้าจะไปพระนิพพาน ต้องเจริญมรรคมีองค์แปด ต้องธรรมปฎิบัติ
    ต้องเดินสายกลาง

    อุปนิสัยของจิตอรหันต์ หรือดวงจิตที่อยู่ข้างบนพระนิพพานนั้น เขาเป็นเช่นไร
    พวกเราไม่ต้องไปนึกเสียให้ยุ่งยาก ขอให้ดูตัวอย่างของพระพุทธองค์กันเสีย
    จิตของพระองค์เป็นอย่างไร พระองค์ท่านก็ทำให้พวกเราดูกันหมดแล้ว โดยไม่ต้องไปลองผิด ลองถูก ไม่ตึงไม่หย่อน เดินสายกลางดีที่สุด
    เราก็หมั่นฝึกฝน และพยายามปฎิบัติตามกันเสียแต่เนินๆ ก่อนจะหมดลมหายใจ
    ใครรู้วันตายของตนเองบ้าง ไม่มีใช่ไหม มีแต่รู้ มีแต่เห็น คนอื่นตาย ใช่ไหม หรือเขาเรียกว่า รู้วันตายแต่คนอื่น แต่ไม่รู้วันตายของตนเอง
    ขอให้ทุกท่านจงถามใจตนเองดู ถ้าหากเราตายแล้ว เราจะไปที่ไหน
    กำหนดจุติดวงจิตกันหรือยัง ยังใช่ไหม
    ทำซะ กำหนดซะ พวกเราอย่าปล่อยไปตามยกรรมกันเลย มันน่ากลัว

    ไหนพวกเราลองหลับตากันดูสิว่า มองอะไรเห็นไหม ไม่เห็นใช่ไหม
    งั้นก่อนตายจริงๆ พวกเรามาฝึกจิต ใช้จิตมองเห็นแทนตาเราดีไหม
    ดีจ้า(ตอบแทนซะงั้น)

    คนที่มีดวงตาเห็นธรรมนั้น เขาเห็นอย่างไร รู้ไหม ไม่รู้(ตอบแทนอีกหล่ะ พี่ภูนิ)
    เขาเอาส่วนไหนของร่างกายเห็นธรรมที่ว่ามานั้น เอารูปหรือว่าเอานามไปดู ตอบว่า นาม
    อะไรคือนาม กายหรือจิต ตอบว่าจิต(พี่ภูตอบแทนให้หมด)
    ถามต่อๆ ลักษณะของจิตแบบไหนที่สามารถเห็นธรรม ตอบว่าจิตที่นิ่งมากๆ จิตที่ทรงฌานลึกๆ จิตที่ผ่านการวิปัสสนา จิตที่เกิดญาณหยั่งรู้
    จิตที่เดินไปพบความจริง จิตที่ไปพบสภาวะธรรม หรือจิตที่เป็นปรมัตถธรรม

    ก่อนจิตจะนิ่งนั้น เขาทำกันอย่างไร กรรมฐาน40กอง นั่นไง พวกเราเลือกมาปฎิบัติสักหนึ่งอย่าง หรือจะทำจิตเกาะพระกันก็ได้ สะดวกดี
    จิตนิ่ง จิตรวมไวดี
    การเจริญสติภาวนา การสร้างสติแบบง่ายๆ โดยการระลึกถึงพระบ่อยๆ
    สติจะได้ต่อเนื่อง ผลก็คือ จิตจะได้นิ่งไว จิตรวมไว จิตสงบไว

    ใครไม่ยากเป็นบัวใต้โคลนตมกันบ้าง? ไม่อยากเป็นเหยื่อของปลาและเต๋ากันบ้าง?
    ขอให้รีบกันซะ ฝึกจิต พัฒนาจิต ยกจิตกันซะไวๆ

    ธรรมะชาวบ้าน
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=mAxdytFdry8&feature=related]บัวเหนือน้ำ - YouTube[/ame]​

    จิตผู้ใดติดธรรม ใกล้นิพพาน
    จิตผู้ใดติดโลก ใกล้นรก ใกล้อบายภูมิ
    พวกเรามีสติ หยุดคิด และตรองกันดูให้ดี

    ฝากกายกับทางโลก ฝากจิตกับทางธรรมกันนะะะ
    ไปแร๊ะ! เห็นครูเพ็ญ เตรียมไม้เรียวคู่แย้ววว
     
  9. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    ความว่าง

    บังเอิญเจอบทความเรื่อง "ความว่าง" ของผู้ปฎิบัติธรรมท่านนึง
    เห็นว่าเข้าท่าดี ก็เลยคัดลอกมาให้อ่านกันเล่น..

    ----------------------------------------------
    ความว่างที่ผมพบมาในการปฏิบัติ

    ในข้อเขียนนี้ ผมจะเขียนขึ้นจากสิ่งที่ผมประสบมาจากการปฏิบัติธรรมในเรื่องความว่าง 

    1. ความว่างในบทความนี้ คืออะไร
    ความว่าง มันก็คือว่าง ไม่มีอะไรเลย สำหรับสภาวะธรรมแล้ว
    ความว่างนี้ จะหมายถึง จิตใจที่กำลังว่างเปล่า ปราศจากการปรุงแต่งใด ๆ ทั้งสิ้นในจิตใจ แต่ยังพร้อมอยู่ด้วยสภาวะของการรู้

    2. เมื่อใครก็ตามที่ได้เจริญสติปัฏฐาน 4 อย่างถูกต้องถูกทาง เขาจะพบสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจของตนเองก็คือ เมื่อมีการปรุงแต่งเกิดขึ้นในจิตใจ ไม่ว่า สิ่งปรุงแต่งนั้นจะดีหรือเลว เป็นบุญหรือว่าเป็นบาป จะมีพลังงานอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในจิตใจ ที่ผู้ปฏิบัติจะสัมผัสพลังงานนั้นได้ พลังงานนี้จะมีลักษณะเป็นก้อนเป็นดวงขึ้นมา บอกไม่ได้ว่า ก้อนเล็กหรือก้อนใหญ่ บอกไม่ได้ว่า ตั้งอยู่ที่ใด แต่สามารถสัมผัสถึงก้อนพลังงานนี้ได้ เมื่อก้อนพลังงานอันเกิดจากการปรุงแต่งของจิตใจปรากฏขึ้น เมื่อนั้น จิตใจก็จะไม่ว่างเสียแล้ว

    3.ผู้ปฏิบัติธรรมที่ปฏิบัติมาถูกทาง เมื่อเขาได้พบกับความว่าง เขาก็จะเข้าใจได้ว่า ความว่างนั้น ก็สักแต่ว่าเป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่ง มันไม่ใช่ของเรา มันไม่ใช่ตัวเรา ไม่ยินดียินร้ายในสภาวะธรรมที่เป็นความว่างนี้

    4 แต่สำหรับผู้ปฏิบัติที่ปฏิบัติมาไม่ตรงทาง เขาจะไปสร้างความว่างขึ้น เกิดความอยากต้องการให้จิตว่าง เพราะมักจะได้ยินสรรพคุณความสุขอันมากจากจิตที่ว่าง เขาจะสร้างจิตว่างขึ้นมาโดยการบังคับจิต กดข่มจิต ไม่ให้จิตใจรับรู้อะไรเลย และเขาเข้าใจว่า จิตใจที่เขาสร้างนี่เป็นความว่าง แต่เขาไม่รู้หรอกว่า อันว่าความว่างชนิดนี้ เป็นความว่างที่ประกอบด้วยความหลง (อันเป็น โมหะ) และ ความต้องการที่จะบังคับจิต และความอยากได้ความว่าง (อันเป็น โลภะ)
    มันจึงไม่ใช่ความว่างที่เป็นจิตใจที่ว่างอยู่ตามธรรมชาติมันเอง ผู้ปฏิบัติที่สร้างความว่างชนิดนี้ขึ้นมา มักจะบูชาความว่างนั้น และยอมรับว่า ความว่างนี่เป็นเขา เป็นของเขา เมื่อใครมาทำให้จิตใจของเขาสูญเสียความว่างขึ้นมา เขาก็จะโกรธเป็นอันมาก ความว่างชนิดนี้ มักจะอยู่ได้ในขณะที่กำลังนั่งสมาธิตัวนิ่งแข็ง ไม่ไหวติง ถ้าเมื่อใดที่สมาธิของเขาถอนออก ความว่างชนิดนี้ก็จะหายไปทันที

    5.การเข้าถึงความว่างเองตามธรรมชาตินั้น จะได้มาจากการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ อย่างถูกต้องและมีกำลังสัมมาสมาธิค่อนข้างมั่นคงแล้ว 
    ดังนั้น ความว่างชนิดนี้ จะเกิดอยู่ได้เองถึงแม้ว่าจะไม่ได้นั่งสมาธิ หรือเกิดอยู่ได้เองในขณะที่กำลังทำกิจวัตรประจำวันส่วนตัวอยู่
    เมื่อผู้ปฏิบัติที่ยังไม่เคยพบกับความว่างตามธรรมชาติแห่งจิตใจ เขาจะมองไม่ออก จะดูไม่เห็น แต่เขาจะเห็นได้แต่พลังงานจิตปรุงแต่ง (ดังที่เขียนในข้อ 2 ) ที่มันเกิด-หยุด เกิด-หยุด เป็นพัก ๆ ไป ต่อเมื่อเขาเห็นพลังงานจิตปรุงแต่งเกิด-หยุด เกิด-หยุด ได้บ่อย ๆ จนชำนาญ เขาจะพบและเห็นความว่างของจิตใจได้เองสักวันหนึ่ง เมื่อเขาได้พบความว่างแห่งจิตใจได้ 1 ครั้งแล้ว เขาจะไม่มีความลำบากที่จะเห็นความว่างแห่งจิตใจอีกเลย เขาจะเห็นจิตใจที่ว่างได้บ่อย ในทุกอิริยาบท ไม่ใช่เห็นได้แต่เพียงขณะนั่งสมาธิ ตราบเท่าที่สัมมาสมาธิยังตั้งมั่นอยู่ได้

    6.อาจมีผู้สงสัยว่า ความว่างที่ผมพูดนี้คือนิพพานใช่หรือไม่ เรื่องนี้ผมไม่อาจเฉลยได้ อันเนื่องจากว่า นิพพาน ก็เป็นชื่อสภาวะธรรมทางจิตใจอย่างหนึ่งที่ไม่มีการแปรเปลี่ยน แต่ผมขอคาดเดาว่า ถ้าใครก็ตามที่สามาถปฏิบัติธรรมจนเห็นจิตใจที่ว่างเปล่าได้อยู่ตลอดเวลาแล้ว เขาก็คงสัมผัสกับนิพพานเช่นเดียวกัน

    7.อย่าหลงใหลความว่าง อย่าอยากได้ความว่าง อย่าสร้างความว่างขึ้นมาจากความอยาก 
    ถ้าหลงไหล ถ้าอยากได้ ถ้าสร้างขึ้นมา จิตใจมันก็ไม่ว่างแล้วแล้วท่านจะได้ความว่างได้อย่างไรกัน

    8.เรื่องความว่างพูดมากไม่ได้ เพราะคนที่ว่าเขาได้พบความว่างแล้ว เขาก็จะมีทิฐิประจำตัวที่เชื่อว่าสิ่งที่เขาพบนั้นเป็นความว่างจริง ไม่ใช่ของเก๊ แต่เมื่อใดที่เขาได้พบทั้งของจริงและของเก๊ เขาจะรู้ทันทีเลยว่า อันไหนจริง อันไหนเก๊ 

    ขอจบเรื่องนี้เพียงเท่านี้ อย่าได้เชื่อผม จนกว่าท่านจะพบเองทั้ง ว่างจริง ว่างเก๊ นั้นแหละ 

    ----------------------------------------------
    อ่านจบก็ให้ รู้-วาง เกิด-ดับ อย่าไปปรุงแต่งต่อยอด อย่าไปยึดมั่นถือมั่น..
    เพราะว่าความว่าง ก็คือ ความว่างเช่นเดียวกัน..
    เห็นธรรมในธรรม..

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  10. jprabs

    jprabs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +1,229
    วันนี้เกิดวิปัสสนาขึ้นมาเรื่องนึงจึงอยากนำมาเล่าสู่กันฟัง

    แบงค์เก่า แบงค์ใหม่

    [​IMG]

    ปกติในกระเป๋าตังค์ของเราจะมีทั้งแบงค์เก่าและแบงค์ใหม่ปะปนกันอยู่ คนที่มีนิสัยพิถีพิถันก็จะหมั่นจัดเรียงแบงค์อยู่บ่อยๆ แน่นอนว่าเป็นธรรมดาที่เราจะคัดเอาแบงค์ดีหรือแบงค์ใหม่เก็บไว้ ส่วนแบงค์เก่าๆ เหม็นๆ ก็จะแยกไว้ต่างหากเพื่อจะได้นำไปใช้จับจ่ายซื้อของก่อน นี่แหล่ะกลไกธรรมชาติ มนุษย์ย่อมเลือกหาแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง สิ่งไม่ดีก็ปัดออก เรียกได้ว่าความดีเอาใส่ตัว ความชั่วให้คนอื่น

    แต่เคยสังกตกันไหมว่า ทั้งแบงค์เก่าและแบงค์ใหม่สุดท้ายเราเอาไปใช้จนหมดอยู่ดี ไม่เห็นว่าแบงค์เหล่านั้นจะอยู่ในกระเป๋าได้นานสักเท่าไหร่เลย
    แล้วจะมัวมานั่งแยกแบงค์ออกจากกันทำไม ในเมื่อสุดท้ายก็เหลือแต่กระเป๋าที่ว่างเปล่า

    ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะผิดชอบชั่วดี ถูกต้องตามหลักเกณฑ์-ผิดระเบียบประเพณี ความพอใจ-ไม่พอใจ ความยินดี-ไม่ยินดี เป็นต้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นอนัตตาไม่มีตัวตนในที่สุดท้ายปลายทาง ไม่ว่าเราจะยึดว่าเป็นของดีเป็นของถูกต้องสักเพียงใด มันก็ไม่เที่ยง ตรงกันข้ามแม้จะเป็นของไม่ดีเป็นสิ่งที่ผิด มันก็ไม่เที่ยงเช่นกัน อะไรๆก็ไม่เที่ยงทั้งสิ้น ไม่มีตัวตน สุดท้ายก็หายไปหมดเลยจริงๆ

    ต่อไปนี้อย่ามัวหลงใหลได้ปลื้มกับเงินในกระเป๋าอีกเลย แบงค์เก่าแบงค์ใหม่เอาออกมาใช้ให้หมด อย่าเก็บไว้ :cool:
     
  11. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214

    ขอบคุณพี่ลูกพลังที่ช่างไปสรรหาธรรมะมาเติมจิตเติมใจกันอยู่เสมอ

    งั้นเอาความว่างของเพ็ญไปขยายดูบ้างนะ

    ความว่างเกิดขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป...

    คือว่างแบบลืมตัวลืมตน (ลืมว่ามีตัวมีตนอยู่)

    มันว่างชนิดที่ว่าทั้งโลกนี้ไม่มีการไม่มีงานอะไรให้ฉันทำเลยเหรอทั้งที่ขันธ์ห้ามันยุ่งจะตายอยู่แล้ว นั่นเป็นเพราะจิตมันว่าง แต่ขันธ์ห้าไม่ว่าง 555 งงล่ะสิ ปล่อยให้งงกันต่อไป ^^

    ยิ่งจิตท่านเดินมรรคสูงขึ้นมากเท่าไร ในจิตของท่านก็จะยิ่งว่างขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มเห็นความมีตัวมีตนมีร่างกายน้อยลงไปทุกที

    ความว่างระดับพระสิทาคามี...

    คือว่างแบบตัวตนไม่มีความสำคัญกับจิตอีกต่อไป

    ความว่างระดับอนาคามี...

    คือว่างแบบตัวตนนั้นมีอยู่แต่จิตไม่เอากับตัวตน (จะเห็นว่าระดับอนาคามีเริ่มแยกกายแยกจิตออกจากกันได้บ้างแล้ว)

    ความว่างระดับอรหันต์...

    คือว่างแบบตัวตนหายไปจากจิต ความรู้สึกว่ามีร่างกายนั้นมีอยู่ แต่จิตไม่เอากับร่างกาย จิตไม่เอากับการงานในขันธ์ห้า จิตจึงว่างจากกิเลส จิตแยกเป็นอิสระจากขันธ์ห้าโดยสิ้นเชิง

    ความว่างนอกเหนือจากนี้เป็นการปรุงแต่งของจิตให้เกิดเป็นสมมุติว่าว่าง เป็นความว่างที่เป็นลักษณะอุปกิเลส ผู้ปฏิบัติที่ยังไม่ได้เข้าสู่มรรควิธีในองค์ 8 จึงได้พบเพียงความว่างที่เกิดจากความ "อยาก" ให้ว่าง โดยใช้วิธีกด ทับ ข่ม ความรู้สึกของอารมณ์

    แต่ความว่างอันแท้จริงเกิดจากการละวาง/ปล่อยวางในอัตตา อันเป็นผลจากการปฏิบัติตามมรรควิธีในองค์ 8 เท่านั้น

    จบรายงานหยาบ ๆ ในเรื่องของความว่าง

    จบ.3
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2012
  12. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    แหม๊ วันนี้มีแต่ธรรมะโดนใจ

    เรื่องนี้ก็เข้าแก๊ปพี่เพ็ญอีก

    ขณะอยู่ในช่วงปฏิบัติมรรคมีองค์แปดขอบอกว่าทั้งจิตทั้งกายของพี่เพ็ญนี้ประหยัด มัธยัสถ์ สมถะสุด ๆ มันสุดของสุดและอีกหลายสุด นึกต่อเอาเองก็แล้วกันว่าจะโลว์ขนาดไหน

    แต่พอผ่านมรรคมีองค์แปดไปแล้ว ทุกอย่างเป็นไปแบบธรรมดา ไม่ประหยัดแต่ก็ไม่ฟุ่มเฟือย ทุกอย่างกินใช้อยู่ในระดับเป็นกลาง ถามว่าเงินเดือนพออยู่พอกินไหม? ตอบว่าไม่ แล้วทำไงให้อยู่ได้? ก็อยู่ที่ปัญญาไงคร้าบพี่น้อง
    ^/\^

    จบ.3
     
  13. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    เพราะเราคู่กันไงพี่ภู ไม้เรียวจึงมาเป็นคู่ ๆ เหมือนตะเกียบ 555

    ขอให้ผู้ปรารถนาจะพบพระนิพพาน จงฝากจิตไว้กับพระ

    การฝากจิตไว้กับพระไม่ใช่ฝากแบบเผื่อเรียกกันนะ

    การฝากจิตไว้กับพระต้องฝากแบบประจำ-ถอนก่อนกำหนดไม่ได้จนกว่าจิตจะเดินทางถึงพระนิพพาน

    แต่ถ้าใครถอนจิตก่อนกำหนดคนนั้นขาดทุน ไม่ได้ดอกเบี้ยแถมเสียดอกเบี้ยค่าไถ่ถอนก่อนครบกำหนดอีกนะจะบอกให้

    ครูดัชมายัง?

    จบ.3
     
  14. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    อ่า ขอบคุณ สำหรับเรื่องความว่าง เข้าทางพอดีค่ะ:d
     
  15. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    นึกแล้วเชียวว่าเดี๋ยวต้องมีคนออกมารับมุข มาจริง ๆ ด้วย
    โมทนา สาธุค่ะคุณลินดา
    อีดนิ๊ดดดดดดดดดหนึ่ง
    แข็งใจเบ่ง เอ้ย ไม่ใช่
    แข็งใจปลอกเปลือกชั้นสุดท้ายออกให้หมดนะอย่าให้เหลือแม้แต่เศษบาง ๆ
    ต้องปลอกออกให้หมดจากจิตจากใจ
    เอาไปเลย จิตแก่น จิตแท้ จิตทรงภูมิปัญญา
    พี่เพ็ญอุทิศให้ทั้งหมดเลยค่ะ
     
  16. camrymax

    camrymax นายองครักษ์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    468
    ค่าพลัง:
    +1,257
    สวัสดีพี่ๆแห่งกระทู้ นี้ นะครับ..พอดีพี่เกษ(Dhammanee) PM มาทัก ทักมาไห้รู้จักห้องนี้..ยินดีที่ได้รู้จักพี่ๆ ทุกๆท่านนะครับ..

    อาจจะไม่ได้เข้าแวะเวียนมาบ่อยแต่ว่างๆจะเข้ามาทักทายพีุ่ทุกๆ่ท่านนะครับ..พอดีช่วงนี้น้องทำโครงการงานบุญ อยู่กระทู้บรอ์ด


    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="297" height="125"><tbody><tr><td>
    </td> <td>[​IMG]</td> <td> พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง

    คืองานบุญ
    ร่วมสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุกับหลวงปู่"หมาน อัตตะฉัตโต”พร้อมรับวัตถุมงคล

    สามารถเข้ามาทัก.ได้ที่กระทู้นี้เช่นกันนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักพี่ๆทุกๆคนนะครับ. ^_^ ผู้ปราถนา" นิพพาน "

    </td></tr></tbody></table>
     
  17. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ยินดีต้อนรับน้อง <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->camrymax ค่ะ
    โมทนากับคุณเกษด้วยค่ะ
    ต่อไปพี่เพ็ญขอยกตำแหน่งเจ๊ดันให้คุณเกษค่ะ
    เจ๊แกดันจนได้ดีไปหลายคน
    ยังไงก็เพียรดันจิตตัวเองด้วยน๊า
    อย่าส่งจิตออกนอกบ่อยนัก
    รู้สึกตัวก็ให้รีบดึงจิตเข้ามาข้างใน
    เร่งเพียรปฏิบัติที่จิตเราให้ดีก่อน
    เมื่อเจ๊เกษสำเร็จวิชาจิตเกาะพระแล้ว
    เดี๋ยวเจ๊เกษจะมีงานเข้าอีกเพียบ
    เชื่อพี่เพ็ญสิ เอิ้กๆ

    อ้าว พี่ภูมาเข้าเวรแล้วเหรอ
    งั้นหนูออกเวรก่อนนะ
    ขอไม้เรียวคืนด้วย อิอิ
    โห ยังมีคนอยู่เวรเป็นเพื่อนพี่ภูอีกเพียบเลย 555

    natthapatpun, ภูทยานฌาน2, พวิน, champ11110, ลูกพลัง, สู่วันใหม่, aosanti, gibbgubb, newwave1959

    ราตรีสวัสดิ์ค่ะทุกท่าน ขอให้ทุกท่านทำจิตเกาะพระได้แนบแน่นยิ่งขึ้นค่ะ
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    วิธีดูจิต หาจิต
    ของหลวงปู่เทสก์ ​


    ความรู้สึกความนึกความคิดนั่นแหละ คือ ตัวจิต
    กิเลสทั้งหลายทั้งปวงหมดเกิดจากจิตทั้งนั้น
    ที่ท่านพูดถึงเรื่อง เจตสิก ก็คืออาการของจิต
    ทำอย่างไรจึงจะเห็นจิต
    จิตมันต้องเป็นหนึ่ง ถ้าไม่ใช่หนึ่งแล้วก็ไม่ใช่จิต
    จิตเป็นหนึ่งกลายเป็นใจละคราวนี้
    ตัวจิตนั่นแหละกลายเป็นใจ อันที่นิ่ง เฉย ไม่คิดไม่นึก ไม่ปรุงไม่แต่ง
    ความรู้สึกเฉยๆ นั่นแหละมันกลายเป็นใจ

    จิต ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุ เกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ
    จิตเป็นของประสัสสร คือมันผ่องใสสะอาดอยู่ตลอดเวลา อาคันตุกกิเลสต่างหาก มันเศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา
    จิตกับใจเข้ามารวมกันแล้ว คราวนี้มารวมกันเข้าเป็นใจ เมื่อมันเป็นประภัสสรมันรวมกันเป็นใจ
    ประภัสสรนั้นหมายความถึง
    จิตไม่คิดไม่นึกไม่ปรุงไม่แต่ง จึงจะเห็นจิต เรียกว่าใจ
    ถ้าหากยังคิดนึกปรุงแต่งอยู่มันเศร้าหมอง ถ้าจิตผ่องใสแท้มันต้องสะอาดปราศจากความคิดความนึกความปรุงความแต่งจึงเรียกว่าใจ
    เรามาพยายามขัดเกลากิเลสตรงนั้นแหละ
    ไม่ให้มันมีไม่ให้มันเกิดขึ้นในที่นั้น
    จึงจะรู้เห็นสิ่งต่างๆ คำว่าใสสะอาดมันก็เห็นนะซี มันจะไม่เห็นอย่างไร น้ำใสสะอาดบริสุทธิ์ ย่อมมองเห็นเงาตนเองได้
    จิตของคนเราเป็นของใสสะอาดมาแต่เดิม เหตุนั้นขัดเกลากิเลส ออกหมด มันจึงเห็นความใสสะอาด จึงเรียก ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ
    คราวนี้จะไม่เรียกว่าจิต จะเรียกว่าใจ เราเรียกธรรมชาติของที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ว่าใจ
    ในขณะที่เราทำความเพียรภาวนา ทำใจให้เป็น กลางๆ เฉยๆ สบาย มันก็ถึงใจ
    ความสบาย นั่นแหละเป็นใจ
    ความเฉยๆ นั่นแหละ เป็นใจ
    ไม่มีอดีตอนาคต ไม่มีบาปไม่มีบุญ ตัวเฉยๆ นั่นแหละ ไม่มีอะไรทั้งหมด ความคิดความนึกความปรุงความแต่ง มัน ออกไปจากใจ เรียกว่าจิต
    จิตคือผู้คิดนึก ปรุงแต่ง จิตเป็นคนสั่ง
    ส่วนใจสงบคงที่
    เหตุนั้นพระพุทธศาสนาจึงสอนเข้าถึงใจ คือสอนถึงที่สุด คือเข้าถึงความบริสุทธิ์นั่นเอง
    ถ้าเข้าถึงใจแล้ว ไม่มีทุกข์ไม่มีร้อน ไม่ปรุงไม่แต่ง ไม่คิดไม่นึก ก็หมดเรื่องเท่านั้นละ
    พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าถึงตัวหนึ่ง ตัวใจนี่แหละ
    คนเราลืมหนึ่งเสีย ไปนับสอง สาม สี่ ห้า ถ้านับหนึ่งแล้วหมดเรื่อง
    เหตุนั้นการทำสมาธิภาวนาคุมจิตให้ถึงใจรวมเป็นหนึ่ง นี่แหละ

    ***สำหรับผู้ที่มีกำลังใจยังไม่มากพอ
    หรือผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงการปฎิบัติกัน ก็ให้อ่าน/ฟังธรรมะไปก่อน
    เดี๋ยวถ้าวาระกรรมใกล้จะหมดกัน หรือพวกเราใกล้จะเลิกหลงกัน นั่นแหล่ะ! พวกเราถึงจะมีกำลังใจ ที่อยากจะปฎิบัติธรรมกัน
    ถึงธรรมะอย่างดี พวกเราก็แค่อ่านไปอย่างนั้นแหล่ะ มิได้ซาบซึ้งในรสพระธรรม หรือธรรมะอะไร เพราะถ้าคนไม่ปฎิบัติกันด้วยแล้ว ก็ยังห่างนัก
    จนเมื่อไหร่ พวกเรามีกำลังใจเมื่อไหร่ เราก็อยากที่จะลงมือปฎิบัติ
    หรือทำจิตเกาะพระแบบง่ายที่สุดแล้ว พวกเราก็ยังทำกันไม่ได้
    เพราะพวกเรายังขาดความเพียร หรือวาระกรรมของพวกเรายังไม่หมด นั่นเอง
    โดยเฉพาะกรรมไม่ดีนั้น จะส่งผลให้เราไปรับความลำบากก่อน เป็นทุกข์ก่อน เขาเรียกว่า ดีประเภท2 พวกที่ต้องพบเจอกับความทุกข์กันเยอะๆก่อน แล้วจึงค่อยหันหน้าไปหาธรรม หรือไปปฎิบัติธรรม

    แต่ประเภทดีหนึ่งนั้น ถือว่าเป็นผู้ที่เกิดมาเพื่อบำเพ็ญเพียรบารมีของตนเองต่อไปเลย โดยไม่ต้องไปรับทุกข์ก่อน ก็สามารถปฎิบัติธรรมกันได้เลย เหมือนดีประเภท2

    แต่เป็นที่สงสารประเภทสาม คือ ความดีไม่ปรากฎ คือตั้งหน้า ตั้งตาสร้างแต่เรื่องบาป สร้างแต่อกุศลกรรมกัน หน้ามืดตามัวกันต่อไป
    แล้วอีกเมื่อไหร่จิตจะโผล่ขึ้นมาพบแสงแดด แสงสว่าง หรือแสงธรรมกับเขาบ้าง
    แต่เปรียบเป็นบัว ก็เป็นบัวใต้โคลนตม โผล่มาเมื่อไหร่ มีแต่จะเป็นเหยื่อของพวกปลาและเต่า เท่านั้นเอง

    (เรียนป.ตรี 4-6ปี_ป.โท2-5_ป.เอก3-5) แต่เรียนเฉพาะเรื่องสติ+จิตนั้น ทำไมพวกเรา เรียนกันไม่รู้จักจบ บางท่านจบไว แต่บางท่านเรียนกันตลอดชีวิตก็ยังไม่จบ เผลอๆเรียนกันไม่รู้กี่ภพ/ชาติถึงจะจบ
    เห่อๆ...อุเบกขารมณ์


    "ดูความเคลื่อนไหวของจิตนี่อันดับแรก รากศาสนาอยู่ตรงนี้"
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กรกฎาคม 2012
  19. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    คำนี้เล่นเอาจิตหลุด วิ่งตามกลับมาแทบไม่ทัน
    คำนี้สั้นๆ แต่ลึกซึ้งมากครับ
     
  20. ธัมมัง

    ธัมมัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +140
    สาธุค่ะพี่ภู อ่านแล้วเหมือนโดนหวดแรงๆยังไงก็ไม่ทราบ ตอนนี้ไม่ทราบว่าตัวนี้มันโผล่มาจากไหนค่ะ เมื่อก่อนไม่เห็นค่ะ แต่ตอนนี้เห็นมันชัดมากแล้วเหมือนมันมีกำลังมากกว่าเราค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...