รูปพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 2 พฤษภาคม 2012.

  1. Pra_THoNG

    Pra_THoNG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +739
    เอาเหอะ จะไปทางไหนก็เรื่องของพวกนาย
    ตามสบาย[ame="http://www.youtube.com/watch?v=sqIDHzq7K8o&feature=relmfu"]http://www.youtube.com/watch?v=sqIDHzq7K8o&feature=relmfu[/ame]

    คำสอนมั่วๆ ของ โล้นเษม ใครจะนับถือก็เอาเถอะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กรกฎาคม 2012
  2. Pra_THoNG

    Pra_THoNG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +739
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=zE271xbqx0E]สวดมนต์จะทำให้เขาเดือดร้อน.flv - YouTube[/ame]

    ผมไม่เชื่อโล้นเกษม ผมสวดมนต์ทุกวัน.......
    ใครจะเชื่อโล้นเกษม ก็เอานะ ไม่ว่ากัน โดยเฉพาะ อุรุเวลา
     
  3. ด้วยรัก30

    ด้วยรัก30 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    3,987
    ค่าพลัง:
    +1,223
    หลวงพ่อเกษม วัดสามแยก ท่านคือของจริง
    ท่านสอนของจริงเอาข้อมูลจากพระไตรปิฏกคือองศ์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาบอกสอน

    ผมสงสารผู้ไม่รู้นักจึงมาบอกให้ทราบ ตลอดจนผู้ที่พูดไม่ดีว่าท่านต่างๆนานเพราะฟังมาน้อยด้วยปัญญาตัวเองไม่พิจารณาให้ดีก่อนเห็นและเชื่อตามคนอื่นๆเขากันมากลับไม่เชื่อองศ์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้รู้จริงบอกสอนไว้
    จึงน่าสงสารยิ่งนักจะพาผู้ว่าไปตกนรกซึ่งไม่คุ้มกันเลย พวกที่คุณเชื่อเขาว่ามาก็ไม่รู้จริงก็ไปตกนรกด้วยกัน(ตามกันลงนรก จะไปโทษกันตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อยากโง่ไปเชื่อเขากันเอง วันนั้นคุณก็จะเสียใจมากแต่ก็ต้องก้มหน้ารับกรรมไม่ดีไปนะแต่ถึงอย่างไรก็ยังมีวันหมดบาปอยู่ดี) สงสารจริงๆจึงบอกมาให้ทราบเพราะเป็นฟังธรรมะมาน้อย (ส่วนผมที่แรกพี่เข้าไปฟังธรรมะของหลวงพ่อเกษมพี่ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันแต่พอฟังไปนานก็จะเข้าใจเพราะมีเหตุและมีผลประกอบกับพี่ฟังธรรมะมามากจากหลายที่มากนักก็เลยพอมีปัญญาให้ใช้พิจารณาได้มากนั้นเอง)ถ้าหลวงพ่อใหญ่ของเรายังอยู่ก็ไปถามไปบอก ตลอดหลวงพ่อฤษีลิงดำ ด้วย ส่วนคนอื่นๆที่ไม่รู้ก็มาว่ากันแล้วเพื่อแค่สนุกปากนิดเดียวคิดว่าสะใจแล้วหรือเพื่อนที่เห็นด้วยก็อ่านแล้วอาจจะสะใจด้วยแปบเดียวแต่เขาก็ผ่านไป แต่ผลที่ตามมาผลกรรมยิ่งใหญ่นักน่าสงสารยิ่งนักใครจะช่วยก็ไม่ได้ สงสารจึงเตือนบอกมา ผู้มีปัญญาจริงเขาจะต้องเข้าไปศึกษาธรรมะให้รู้จริงก่อนที่จะมาว่ากันจ๊ะ ไม่เชื่อก็ตัวใครตัวมันนะสัตว์โลกก็มีกรรมเป็นของตัวเองแล้วไปตามกรรมของตนเอง

    จะบอกอีกว่าเช่นการบุญทานด้วยเงินและทองกับพระและสามเณร ก็บาป พระก็จะไปนรกและผู้ให้ก็จะไปนรกด้วย คุ้มกันไหม เพราะผิดศีลข้อที่18 ส่วนเณร ข้อที่10
    ดังนั้นหากคฤหัสถ์มีการเรี่ยไรด้วยการอ้างกฐินหรือทำทานให้เงินทองถวายแก่พระภิกษุสงฆ์โดยตรง ก็เท่ากับมีความเข้าใจผิดในพระธรรมวินัยนี้มาก คนนั้นก็เสื่อมจากพระศาสนาไปเรื่อยๆ เพราะว่าผิดไปจากที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ธรรมนั้นเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งจริงๆพระบวชมาเพื่อละสละว่างเพื่อหาทางพ้นทุกข์อย่างเดียว ไม่ไช่มาสร้างวัถตุใดๆ เช่นศาลา วิหาร กุฐิ เพราะเป็นหน้าที่ของไวยาวัฏร์กรจัดการแทน ส่วนสร้างพระพุทธรูปไม่ควรทำ หากได้ศึกษาและพิจารณาอย่างจริงจังจะรู้ว่ามีประโยชน์มากจริงๆ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

    จะข้อความตอนหนึ่งจากหลวงพ่อเกษม กล่าวมาบอกให้ทราบจะได้พวกโง่อาจจะได้ฉุกคิดได้ถ้ายังไม่ได้ก็ต้องปล่อยไปดอกบัวเกิดมาไม่เท่ากัน เช่น ท่านบอกว่าทำตามท่านแล้ว ก็เพื่อต้องให้หายโรคภัยไข้เจ็บแล้วจะเชื่อท่านถ้าไม่หายไม่เชื่อ ท่านบอกว่าถ้าเอาเท่านี้ไม่ต้องมาหาท่านหรอก (กระจอกมากมันเป็นเรื่องเล็กน้อยไร้สาระ) ท่านมุ่งสอนให้ทุกคนรู้จริงในคำสอนของพระจะได้ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจริงนั้นสำคัญกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2012
  4. inzee01

    inzee01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +285
    คำพูด จะประดิษฐ์ประดอยหรือพูดให้ลึกซึ้งดีเลิศแค่ไหนก็ได้ ดูที่การปฏิบัติกันดีกว่า กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ผมจะรอดู
    ขนาดพระอรหันต์ท่านก็ยังกราบพระพุทธรูปเลย คำสอนของพระพุทธเจ้ามี 84000 พระธรรมขันธ์เพราะจริตแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่าเอาอัตตากับทิฐิมาตัดสินคนอื่นเลยครับ
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ชาวพุทธเราเวลานี้เป็นบ้าวัตถุไปหมดแล้วนะ

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

    เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๔

    สร้างพุทธะผู้รู้ขึ้นภายในใจ

    พุทธะเลยไปอยู่ตามตู้ตามหีบตามคัมภีร์ตามพระพุทธรูป ตามสถานที่เจดีย์ต่าง ๆ ไปหมดเสียแล้วพุทธะ พุทธะในหัวใจของคนที่จะได้รับความสุขความเจริญแท้ ๆ ไม่ได้สนใจสร้าง เสียตรงนี้นะ ชาวพุทธเราเวลานี้เป็นบ้าวัตถุไปหมดแล้วนะ พุทธศาสนาก็เป็นจุดศูนย์กลางเป็นเครื่องมือให้ทั้งคนดีคนชั่ว ถ้าคนดีก็มีจำนวนน้อยกราบไหว้บูชาปฏิบัติตนให้เป็นคนดีไปตามคำสอน ถ้าเป็นคนที่มืดหนาสาโหด ก็เลยเป็นเครื่องมือของพวกนี้ไปเสีย

    เช่นอย่างจะไปปล้นเขาอย่างนี้ เอาพระพุทธรูปแขวนคอไปปล้นเขา ไปปล้นเขาเขาฆ่าตายล่ะซิ พระพุทธรูปหรือเครื่องของขลังเต็มคอเห็นไหมล่ะ นี่ละมันเอาไปเป็นเครื่องมือ บ้านนี้ก็มีมาปล้นเขาล่ะซิ บ้านตาดนี้ เครื่องรางของขลังพระพุทธรูปเต็มคอมาปล้นเขา เขายิงตายแล้วไปดูมีตั้งแต่เครื่องรางของขลังเต็มคอ เป็นอย่างนั้นนะ มันเอาไปเป็นเครื่องมือได้พวกนี้ ไปปล้นเขา เขาก็คนเขาก็ยิงเอา ไม่ได้นึกว่ามีแต่เราคนเดียวในบ้านนี้เป็นเจ้าอำนาจ ไปปล้นเขา เขาเป็นเจ้าของสมบัติ เขาก็มีสิทธิมีอำนาจมีใจเหมือนกันกับเรา ไม่ได้คิดล่ะซิ นึกว่ามีใจแต่เรา มีอำนาจแต่เราคนเดียว ไปปล้นบ้านเขา คนที่ถูกปล้นก็ถูก คนที่ไม่ถูกปล้นก็ด้อมเข้ามาข้างหลังยิงใส่เปรี้ยงตายเลย พอได้ยินเอะอะก็วิ่งมาแล้ว คนมาปล้นบ้านเขา เอะอะมาปล้น มาเห็นมันก็ยิงเอาเลยจะว่าไง ตาย พระพุทธรูปเต็มคอ ของขลังไม่เห็นขลัง

    พระพุทธรูปท่านสอนคนให้ไปปล้นอย่างนี้เหรอ แล้วเอาท่านมาทำไม แล้วจะไปตำหนิพระพุทธเจ้าว่าไม่ขลังได้ยังไง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้มาขลังแบบถูกเขายิงตายอย่างนี้ ให้ไปปล้นเขาเขายิงตาย เราตถาคตจะอยู่ในคอนั่นแหละจะว่าอย่างนั้น ถ้าเป็นหลวงตาบัวเอามากี่องค์เอาหลวงตาบัวไปด้วย หลวงตาบัวก็อยู่คอพวกแกก็ตายไปเถอะ ข้าเป็นหลวงพ่อคูณข้าไม่ตาย ข้าโดดลงแต่ ๙๐ นู้นแล้ว แน่ะก็ไปอย่างนั้นถ้าเป็นหลวงตาบัวเข้าข้างหลวงพ่อคูณทันทีเลย เป็นอย่างนั้นมันขลังข้างนอก นี่เราพูดถึงเรื่องความพร้อมเพรียงสามัคคีเลยไหลไปทางไหนก็ไม่รู้นะ พลังของจิตเมื่อรวมตัวแล้วมีพลังมาก

    เดี๋ยวนี้ดูโลกมันจะดูไม่ได้นะ มองไปที่ไหนมีแต่ดีดแต่ดิ้น ดิ้นกันทั่วโลกทั่วสงสาร ไม่ใช่เฉพาะพวกเรานะ คือมันเหมือนกันหมด วิ่งไขว่โน้นคว้านี้ คว้าโน้นคว้านี้ คว้าอะไรหลุดไม้หลุดมือ ๆ ไม่มีอะไรเป็นสาระพอจะพึ่งเป็นพึ่งตายได้เลย แต่คว้ากันทั่วโลกดินแดน เพราะเขาไม่รู้จักว่าจะคว้าอะไรดี อะไรก็ว่าดีไปหมดแล้วก็เหลวไปหมด ๆ นี่มันไม่มีหลักยึด เพราะฉะนั้นเมื่อได้สอนอรรถสอนธรรมเข้าให้มีหลักใจ นี้คือมีหลักยึด ศาสดาองค์เอกมาสอนไว้แล้ว ธรรม-ธรรมอันเอกมาสอน ยึด เกาะนี้ปั๊บติด ไปได้ ๆ คนเรา มันไม่มีอันนี้นั่นซีโลกถึงได้ร้อนไม่มีหยุดมียั้งนะ ยังจะร้อนไปอีกไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ ถ้าไม่มีเกาะอันเหมาะสมเข้ายึด เช่น ธรรม ถ้าธรรมแล้วพอเป็นพอไปคนเรา

    ทุกข์ยากก็ทุกข์ด้วยกัน เกิดมาในท่ามกลางแห่งกองทุกข์จะเอาความสุขมาจากไหน ก็ต้องมี แต่สาระสำคัญที่เราจะพึ่งพิงอาศัยคือธรรมก็ให้มี สำคัญอันนี้นะ เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธเราในเมืองไทยนี้เหลวไหลเอามากจริง ๆ มองไปไหนเป็นวัตถุไปหมดเลยไม่ได้เป็นนามธรรม คือจิตใจที่สงบร่มเย็นเพราะการปฏิบัติธรรม ไม่ค่อยมีและไม่มี นั่นฟังซิ เป็นขั้น ๆ นี่เราพูดย่อม ๆ นะว่าไม่ค่อยมี เราอยากจะพูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ว่า มันไม่มีว่างั้นเลย ใครจะไปสนใจกับอรรถกับธรรม มองไปที่ไหนเห็นแต่มันดิ้น มันไม่ได้เห็นดิ้นเข้ามาหาธรรมให้พอมองเห็นว่าพอมีบ้าง

    นี่ละหลักใจคือธรรมนะ ให้พากันยึดถ้าอยากมีฝั่งมีฝา ให้ยึดอรรถยึดธรรม ยึดสิ่งภายนอกเขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา ไม่มีใครที่จะพึ่งกันได้แหละ ตายไปก็พังไปด้วยกันหมด มหาเศรษฐีตายไปก็พัง สมบัติเงินทองข้าวของพังไปด้วยกันหมด ไม่มีความหมายอะไรเลย ใจก็พังใจไม่มีที่เกาะ ยึดอันนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้ายึดธรรมแล้วอะไรจะพังไม่พังก็ตามใจกับธรรมไม่พัง นั่นไปพับเลย เศรษฐีตายก็เป็นสุขได้ คนจนตายก็เป็นสุขได้ถ้ามีธรรมในใจ ไม่ว่าคนมีคนจน คนโง่คนฉลาด เดินตามแถวของกิเลส ไอ้ฉลาด ๆ ไปตามแถวธรรมไม่ค่อยมีนะ ฉลาดก็ฉลาดเพื่อโง่ ฉลาดเพื่อสร้างกองทุกข์ใส่ตัวเองดังที่เป็นอยู่เวลานี้

    ทำให้โลกร้อนอยู่เวลานี้ มีแต่เสกสรรตัวเองว่าเป็นคนฉลาดทั้งนั้นแหละ เป็นนักวิชาการดอกเตอร์ดอกแต้ ครั้นเวลาเรียนมาแล้วก็มาถลุงพุงตัวเองนั่นแหละ ชาติตัวเองให้แหลกเหลวไปหมด มันฉลาดยังไงจึงทำอย่างนั้นล่ะ ถ้าฉลาดจริง ๆ เรียนมาแล้วก็มาพยุงชาติตัวเองให้ดีขึ้น พยุงผู้เกี่ยวข้องชาติบ้านเมืองให้ดีขึ้น ต่างคนต่างเรียนมา ต่างคนต่างเป็นนักวิชาการมาพยุงส่งเสริมตัวเองและชาติของตัวเองให้มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นลำดับ นี่เรียกว่าความรู้เป็นไปตามแถวธรรม จากนี้แล้วเป็นความรู้ของมหาภัยสังหารตนเองและผู้อื่นด้วย แล้วเวลานี้ความรู้ของพี่น้องชาวไทยเราเป็นความรู้ประเภทไหน ควรจะนำไปตั้งปัญหาถามตัวเอง เรียนมาแล้วเอามาสังหารชาติบ้านเมืองอย่างนี้หรือความรู้อย่างเอกน่ะ มันเอกอย่างนี้นะกิเลส มันเอาให้จมได้นะความรู้ประเภทนี้ ถ้าเป็นความรู้ของด้านธรรมะเรียนมามากมาน้อย มาปรับปรุงพยุงให้ดีขึ้น ๆ เรียกว่าธรรม ความรู้อย่างนี้เป็นธรรม เป็นอย่างนั้นนะ

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เอะอะวัตถุๆ มันเอาวัตถุออกหน้าวัตถุเป็นศาสนา

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
    พิจารณาเอานะที่นำมาพูดนี้

    เรื่องวัตถุมันพิลึก เอะอะวัตถุๆ มันเอาวัตถุออกหน้าวัตถุเป็นศาสนา หัวใจไม่ได้เป็นเจ้าของของศาสนานะเดี๋ยวนี้ มองเห็นนี้ เราเคารพพระพุทธเจ้า แต่ไม่เคารพวัตถุของจิตใจคนต่ำทราม เอาเท่านั้นแหละ สนใจปฏิบัติตัวเองให้ดีเยี่ยมไม่มีนี่นะ มองดูแล้วสะเทือนใจๆ ว่าเอาเสียบ้างซิ พระพุทธเจ้าท่านไม่เห็นแบกพระพุทธรูปไป สาวกไปทำความเพียรในป่าสำเร็จเป็นอรหัตอรหันต์มา ท่านไม่เห็นแบกพระพุทธรูปไป ไปไหนมีแต่พระพุทธรูป วัตถุๆ หัวใจไม่ดู มันน่าสังเวชนะเรา เอะอะวัตถุออกแล้วๆ ออกหน้าๆ ธรรมในหัวใจไม่ได้ออก
    นี่ดูแต่หัวใจ มันจ้าที่หัวใจ เลิศเลอที่หัวใจ ไม่ได้เลิศเลอกับวัตถุเหล่านี้นะ นิวเคลียร์มันก็มีเหยียบย่ำไปมาไม่เห็นวิเศษอะไร ให้ธรรมเข้าสู่ใจซิ ใครจะวิเศษไม่วิเศษตั้งยศตั้งลาภอะไรให้มา ตั้งไม่ตั้งไม่สนใจ นั่นเห็นไหมตกออกหมดเลย นินทา สรรเสริญเยินยอจะเลิศขนาดไหน ไม่เลิศเท่าจิตกับธรรมเป็นอันเดียวเป็นธรรมธาตุแล้ว นี่เลิศสุดยอดแล้ว เท่านั้นพอ เอาตรงนั้นซิ เอาละให้พร

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อะไรขัดธรรมปัดออกหมด

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
    เมื่อเช้าวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
    อะไรขัดธรรมปัดออกหมด

    (มีผู้ชายผู้หญิงสองคนนำพระพุทธรูปมาถวายหลวงตาครับ) แล้วทำไง (พระทางนี้ก็เลยรับไว้ ) จะเอาไปไหนก็เอาไปซี เอามามัดคอเราทำไม (ขออนุญาตนำไปไว้ที่วัด......ครับ) แล้วท่านจะรับไหมล่ะ ไปดูเสียก่อนซี ไปบุกท่านไม่ได้นะ อย่างที่เขามาบุกนี้ไม่ได้กับเรา ถ้าบุกเราใส่ปั๊วะเลย ไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้ ทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้กับเรา ธรรมเป็นอย่างนั้น แต่กิเลสสุ่มสี่สุ่มห้า อันนี้ก็เหมือนกันก่อนที่จะไปถวายท่าน ต้องปรึกษาปรารภเสียก่อนซี เอะอะไปบุกๆ ไม่เอานะอย่างนั้น
    ในวัดเหมือนกัน วัดป่าบ้านตาด โถ ถ้าหากว่าจะรับแล้วนี้ศาลาวัดป่าบ้านตาดจนจะไม่มีที่ไว้พระพุทธรูป มาจากไหนๆ หลั่งไหล หลั่งไหลมาไล่คืนทั้งนั้นๆ เราไม่เอา อย่ามาอุตริใส่เรานะ พระพุทธเจ้าเรากราบตลอดเวลา แต่ทำอย่างนี้เราไม่เคารพผู้ทำ ให้เอาคืนๆ อย่างนั้นนะมันทำ บุกเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้หน้าได้หลัง
    วัดป่าบ้านตาดถ้าหากว่ารับนี้ ศาลาหลังนั้นไม่มีที่ไว้พระพุทธรูปนะ เต็มหมดเลย เราปัดทั้งนั้นละ ปัดทั้งนั้น จึงไม่ค่อยมีพระพุทธรูป มีไว้เฉพาะสำหรับกราบไหว้บูชา นั่นเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ใครทำยังไงก็ทำสุ่มสี่สุ่มห้าตามนิสัยโกโรโกโสนั้นแหละ มาทำอย่างนี้ก็เลยกลายเป็นโกโรโกโสไป เราไม่เอา ไม่ว่าอะไรๆ ไหลเข้ามาในวัดนั้นนะ พวกเก้าอี้โซฟาโซแฟอะไรเหล่านี้เหมือนกัน เอามาเท่าไรให้ขนกลับคืนให้หมด เราบอก พระพุทธเจ้าไม่ได้บวชมาเพื่อเก้าอี้โซฟา พระพุทธเจ้าบำเพ็ญมีเก้าอี้มีโซฟา มีที่หลับที่นอนหมอนมุ้งตามเสด็จที่ไหน ไม่เคยมี ไอ้พวกเรามันเก่งกว่าครู ให้เอาคืน เราไม่เก่งกว่าครูเราไม่เอาละ ไล่คืนเลย

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    สายทางที่จะนำเราให้หลุดพ้นจากทุกข์

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
    เมื่อค่ำวันที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
    สายทางที่จะนำเราให้หลุดพ้นจากทุกข์

    ท่านก็บอกว่าธรรมอยู่ที่ใจ สอนลงที่ใจ สอนที่ใจ ไม่ได้สอนให้แบกพระพุทธเจ้า ไปไหนให้แบกไปนะ ท่านไม่ได้สอนอย่างนั้น นั้นเป็นด้านวัตถุ หยาบๆ ด้านธรรมะที่จะเป็นผลเป็นประโยชน์แก่ตน ท่านเน้นหนักในจุดนี้ต่างหาก ไม่มีใครละที่จะห้ามอย่างเรา เรามันไม่สนใจกับอะไรมีแต่เหตุผลอรรถธรรมเท่านั้น นอกนั้นใครจะมาใหญ่กว่าธรรมไม่ได้
    มานี้ โอ๋ย พระพุทธรูปเอาไปถวายพระ ท่านก็เกรงใจ ใครก็ขนไปๆ ให้พระท่านแบก ในห้องมีตั้งแต่พระพุทธรูปที่เขาเอาไปถวายท่านนั่นแหละ จนจะหาที่หลับที่นอนก็ไม่มี เราเห็นด้วยตานี่ เราก็ทราบว่านี้เพราะความเกรงใจอะไรๆ อาจประกอบกับท่านก็ชอบของขลังอยู่ด้วย มันก็เลยบวกขึ้นเป็นอย่างนั้น เลยเกลื่อนไปหมดเรื่องวัตถุ เอะอะปุ๊บปั๊บเอามาแล้ว ปุบปับเอามาแล้ว ปัดเรื่อยนะเรา ไม่เหมือนใคร มันไปอย่างนั้นแหละ มันไม่ได้เข้าไปข้างใน ข้างนอกยุ่งมากที่สุด ข้างในไม่สนใจปฏิบัติ ฝึกฝนทรมานตน
    อันนั้นเป็นเครื่องอาศัยเพียงเล็กน้อยภายนอก เช่น พระพุทธรูป ไปอยู่ที่ไหนพอกราบพอไหว้แล้วก็พอ อันนี้จะกลายเป็นโรงงานขายพระพุทธเจ้าทั้งองค์ๆ ทั่วประเทศเขตแดน มันเป็นอย่างนั้นแล้วนะ โรงงานขายพระพุทธเจ้า โรงงานขายพระเต็มไปหมด ใครมาก็ยื่นให้ๆ ปัดเลยเรา ไม่เอา ไม่เล่นด้วย เราคิดด้วยเหตุด้วยผลเรียบร้อยแล้ว อย่างน้อยทำให้คนลืมตัว มากกว่านั้นก็เลอะเทอะ ไม่รู้สึกตัวเลย
    จุดสำคัญ พระพุทธเจ้าท่านสอนลงนั้นนะ ไม่เคยมีตำราใดที่สอนไปที่ไหนให้แบกเราตถาคตไปด้วย ถ้าแบกไม่ได้ให้หามนะ ถ้าองค์ใหญ่ให้หามไปนะ ไม่เห็นว่า บอกศีลบอกธรรม บอกการประพฤติปฏิบัติแก้ไขข้าศึกศัตรูซึ่งมีอยู่ภายใน ให้แก้ลงภายในนี้ ดัดแปลงตัวเองนี้ให้ดี มันก็ดีขึ้นๆ กราบพระพุทธเจ้า กราบสนิทอยู่ภายในใจ นั่นกราบโดยแท้ มันเป็นอย่างนั้นนะ ในวัดจึงไม่เห็นมีเท่าไร พระพุทธรูปเห็นไหม แท่นพระเรา ใครอย่ามายุ่งไม่ได้ ให้เอาคืนต่อหน้าเลย
    ใครจะว่าเราประมาทพระพุทธเจ้า เราเทิดทูนพระพุทธเจ้านั่นเอง ตรงกันข้ามนะ เอามาเหมือนของไม่มีค่า เอามาโยนมาทิ้งไว้อย่างง่ายดายๆ สร้างง่าย สร้างพระพุทธรูป เท่าไรบาทก็แล้ว แต่จะสร้างตัวเองไม่สนใจ เอานั้นสร้างนั้นแทน มันเลยเลอะเทอะไปหมดด้วยวัตถุ อยู่ที่ไหนเกลื่อนไปหมด ไม่มีเฉพาะวัดป่าบ้านตาด มีเฉพาะองค์ที่จำเป็นๆ ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน เอาไว้ด้วยเหตุด้วยผลทุกอย่าง ไม่ได้เลอะๆ เทอะๆ

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เครื่องประดับพระให้สวยงาม

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
    เครื่องประดับพระให้สวยงาม
    หลังจังหัน
    จวนเข้าพรรษานี่ ใครมาก็เทียนพรรษาๆ เท่าต้นเสานี่ก็มี เทียนพรรษาๆ โหย ไม่ใช่ธรรมดา รถบรรทุก ๑๐ ล้อบรรทุกเทียนพรรษาก็ไม่หมด เท่าต้นเสาๆ เราดูวันดูคืนดูไปทุกวัน สักเดี๋ยวปัญหาก็ออกรับกันละซี จากนั้นมาสงบ ไม่ค่อยมีนะ มีแต่เทียนธรรมดาๆ ไม่ได้เป็นซุงทั้งท่อนๆ เหมือนแต่ก่อน นั่นละโดนเอาเสียบ้างอย่างนั้นซิจะว่าไง สอนคนต้องสอนอย่างนั้น ความเลยเถิดเลยแดนไม่มีเหตุมีผล เอาธรรมสอนเข้าไปด้วยความมีเหตุมีผล ผู้ต้องการอรรถธรรมก็ฟัง ฟังแล้วก็ดัดแปลงแก้ไขไปเรื่อยๆ มันก็ดีไป ระยะสองปีมานี้ดูไม่ค่อยมีละขอนซุง เทียนพรรษาเท่าต้นเสานี่ โถ มันกำเริบเสิบสานกันอะไรนักหนา ทำอะไรไม่มีเหตุมีผล
    อย่างพระพุทธรูปก็เหมือนกัน เราเห็นทีไรเราสลดสังเวชๆ ถ้าควรจะเตือนเราก็เตือนบ้าง ถ้าไม่ควรเตือน เดี๋ยวพวกนั้นจะหาบกรรมเอาอีก แทนที่จะได้รับผลประโยชน์จากการเตือนของเราจะกลายเป็นโทษไป เอะอะมาก็มีแต่พระพุทธรูป ซื้อพระพุทธรูปมา ขายทั่วตลาด พระพุทธเจ้าเป็นสินค้าอันใหญ่หลวง โรงงานมันก็ผลิตขึ้นๆ พระพุทธเจ้ากลายเป็นสินค้าขึ้นมา เราจริงๆ เคารพพระพุทธเจ้าแต่ไม่อยากรับไว้ เพราะเป็นการส่งเสริมในทางที่ไม่ดี เรากราบพระพุทธเจ้าอยู่ภายในใจดีกว่าที่จะมาแบกมาหามจากบรรดาศรัทธาทั้งหลายมาถวายอย่างไม่มีประมาณเช่นนี้ เราว่างั้น
    ทำง่ายนี่พระพุทธรูป ทำง่ายๆ ซื้อง่ายขายคล่องเชียว โรงงานก็ผลิตขึ้นๆ ใครจะไปคำนึงถึงอรรถถึงธรรมว่าเป็นสินค้าหากินได้ง่าย มันก็เอาๆ น่ะซิ นี่ดูอยู่ทุกวัน พิจารณาทุกวัน หากว่าจะทำเป็นการบูชาเฉพาะกาลเวลา ไม่ใช่ทำแบบสินค้านั้นก็ไม่ขัดข้องอะไรนัก นี่ทำเป็นสินค้าไปเลย พระพุทธรูปไม่มีค่ามีราคา กลายเป็นสินค้าไปหมด เราสลดสังเวชนะ ควรฟังบ้างพี่น้องทั้งหลาย ทำอะไรให้มีเหตุมีผล อย่าให้เลยเถิดเตลิดเปิดเปิงใช้ไม่ได้ ธรรมพระพุทธเจ้ามีประมาณทุกอย่างๆ เอาไปไว้ในบ้านแล้วมันก็ไม่ได้กราบนะ ทิ้งไว้โก้ๆ ดีไม่ดีเอาไปประดับบ้านประดับร้านเสียอีก เป็นอย่างนั้นนะ พระพุทธรูปกลายเป็นเครื่องประดับบ้านประดับร้าน กลายเป็นลายครามไปแล้ว
    มองไม่ทันนะ มองดูกิเลสนี้มองไม่ทัน เพราะไม่มอง ถ้าจะตั้งใจมองบ้างก็จะได้เห็นแง่ของกิเลสไปโดยลำดับ นี้คือไม่มอง ต่างคนต่างเป็นบ้าไปตามกัน เห่อไปตามกัน ไม่ได้คิดเหตุคิดผลอะไรเลย ท่านสอนไว้ว่ากระต่ายตื่นตูมในนิทานอีสป ตั้งแต่สมัยเราเรียนหนังสือเป็นเด็กเป็นนักเรียนอยู่ ครูเอานิทานอีสปมาให้อ่าน นี่ละที่ว่ากระต่ายตื่นตูม เราก็ดู เวลาบวชเวลาเรียนที่ไหนได้อยู่ในพระไตรปิฎก ธรรมะที่เอาออกมาสอนเด็กๆ นี้ เอามาเป็นคติเครื่องเตือนใจทั้งผู้ใหญ่และเด็ก เอามาจากพระไตรปิฎก เวลาอ่านไปๆ อ๋อ อยู่ตรงนี้ๆ ตรงนี้เรื่อยไปเลย

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระพุทธเจ้าไม่สอนให้เอารูปไปสวรรค์นิพพานแทน

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
    วันที่ ๒๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ [เช้า]
    พระพุทธเจ้าไม่สอนให้เอารูปไปสวรรค์นิพพานแทน

    ด้านวัตถุนี้เกลื่อนทีเดียว แต่ด้านนามธรรมคือประพฤติตัวให้เป็นคนดีไม่ค่อยปรากฏนะ นี่ละมักง่ายชุ่ย ๆ เหลือเกิน ในวัดป่าบ้านตาดไม่ค่อยเหมือนใครนะ พระพุทธรูปเอาไปให้ให้เอากลับคืน แล้วอะไรต่ออะไรที่ไม่เป็นหน้าเป็นหลังทำด้วยความมักง่ายชุ่ย ๆ นี้ศาสนาไม่ใช่ความมักง่ายให้เอาคืนเลย พระพุทธรูปไปถวายเรามากต่อมากเราไม่เอา เรากราบพระพุทธเจ้าทุกเวลา เอากลับคืนว่างั้นเลย ให้เอาคืนจริง ๆ นะเรา เลอะเทอะมากเวลานี้ ถ้าจะรับไป ๆ จะเสริมคนให้มากขึ้น จึงต้องเด็ดกันตรงนี้ให้ได้ข้อคิดบ้างนะ ไปที่ไหนมีแต่พระพุทธรูปเต็มกุฏิพระจนจะนอนไม่ได้นะ พระท่านก็เกรงใจซิ คนนั้นก็ไป คนนี้ก็เอาพระพุทธรูป คนนั้นก็เอาพระพุทธรูป คนนั้นก็ของขลัง คนนี้ก็ของขลัง ในกุฏิพระมีตั้งแต่ของขลัง ๆ แต่พระที่อยู่ในกุฏิจะขลังหรือไม่ขลังเราก็ไม่รู้นะ เต็มไปหมดนะเวลานี้
    ชาวพุทธเรามักง่ายเอาเหลือประมาณ วัดป่าบ้านตาดจึงไม่ค่อยมีพระพุทธรูป มีแต่เฉพาะองค์ที่กราบไหว้บูชาเป็นประจำเพียงองค์สององค์พอแล้ว ไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่าแบบโลกทั้งหลายทำกันนะ เขาเอาไปถวายเราให้เอาส่งคืน เราไม่รับเราบอก ให้มากต่อมาก ไม่งั้นวัดป่าบ้านตาดเต็มไปด้วยพระพุทธรูป ไม่ใช่ธรรมดานะ เราไม่รับ เราพิจารณาโดยเหตุผลทุกอย่างแล้ว ถ้ารับแล้ว ๆ มันจะเสริมคนให้มักง่ายตลอดไปเลย เราจึงไม่รับแล้วสอนด้วย ๆ ให้รู้ความพอเหมาะพอดี ไปที่ไหนมีแต่พระพุทธรูปเต็มวัดเต็มวา ใครก็ยื่น เอ้า พระ ๆ ไปอย่างงี้นะ ทำมักง่ายเหลือเกิน ไปที่ไหนมีแต่เอาพระพุทธรูปไปถวายพระ ให้พระพุทธเจ้าไปสวรรค์นิพพาน แทนพระพุทธเจ้าไปนิพพานแล้ว เจ้าของทำชุ่ย ๆ พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระองค์ชุ่ย ๆ มักง่ายสุกเอาเผากิน
    อันนี้ละอันหนึ่งนะ พี่น้องทั้งหลายจำเอานะ ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตัว ดีกว่าที่จะไปทำชุ่ย ๆ ต่อพระพุทธเจ้า อย่างที่เห็นมานี ชุ่ย ๆ ชุ่ยเอามากทีเดียว มองดูไม่ได้ นะ วัดเราไม่ค่อยจะเหมือนวัดใครง่าย ๆ เอาธรรมกางไว้เลย ขัดข้องกับธรรม เพราะธรรมเป็นเครื่องสอนคนให้ดี ทำเลอะ ๆ เทอะ ๆ มีแต่คอยเจริญพร ๆ นี่ไม่เจริญพรง่าย ๆ นะถ้าไม่ถูกไม่เจริญพร ถ้าถูกไม่บอกก็เจริญพร นั่น มันไม่ถูก มีแต่เรื่องอุบายสอนพระ หาอุบายบังคับพระไปในตัว พระท่านจะทำยังไงก็รับไว้ ๆ สุดท้ายห้องพระจนจะไม่มีที่หลับที่นอน มีตั้งแต่พระพุทธเจ้าเต็มในห้อง ดีไม่ดีมีของขลังประเภทต่าง ๆ เต็มในห้องพระอีก
    เดี๋ยวนี้ศาสนามีแต่ด้านวัตถุนะ ด้านนามธรรมคือความประพฤติตัวให้ดีงามตามหลักธรรมไม่ค่อยมี เราอยากจะพูดว่าไม่มีว่างั้นเสียเลย มันจะถึงใจดีกับความขี้เกียจขี้คร้านของชาวพุทธเรา เป็นอย่างงั้นนะ พากันพิจารณาหน่อยนะ เอะอะเอาพระพุทธรูปไปให้พระ เอาไปให้พระ ซื้อง่าย ๆ ขายคล่อง ๆ ทีเดียว พระพุทธเจ้าเป็นสินค้าอันใหญ่โตซื้อง่ายขายคล่องด้วย เอ้าพระ ๆ เรื่อยไปเลย เราจะเป็นยังไงไม่สนใจ นี่ความมักง่ายมันไม่ดีนะ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เอารูปพระพุทธเจ้าไปสวรรค์นิพพานแทน สอนให้คนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ดัดกาย วาจา ใจ ประพฤติความดีงามแก่ตัวของตัว นี้ไปสวรรค์นิพพานแทนพระพุทธเจ้าเลยก็ได้
    นี้มันมีแต่เรื่องเลอะ ๆ เทอะ ๆ จำให้ดีนะที่ฟังอยู่ทั้งหมดนี่ แล้วกลับไปนี่เข้าไปโรงเขาหล่อพระอีกนะ ให้ไปขนเอามาให้หมด โยนใส่กุฏิหลังนั้น โยนใส่กุฏิหลังนี้นะ เอ้าพระๆ เรื่อยไป ในเมืองพุทธเราให้มีแต่พระพุทธรูปเต็มบ้านเต็มเมือง หาคนดีตั้งใจปฏิบัติตามศีลธรรมไม่ค่อยมี นี่ที่มันเลอะเทอะอย่างนี้นะ เลอะเทอะจริง ๆ อย่าว่าแต่ประชาชนเลย พระก็มีคนมีกิเลสเหมือนกัน เลอะ ๆ ได้ทั้งเขาทั้งเรานั้นแหละ จึงสอนให้ดีด้วยกัน เราเป็นลูกพระพุทธเจ้าชั่วด้วยกัน สอนให้เป็นคนดีด้วยกัน ปฏิบัติดีด้วยกันได้
    ขอให้พากันจำเอานะ โห มันมีแต่เลอะเทอะเข้าไปทุกวัน ๆ ยังไงเดี๋ยวนี้มีแต่ศาสนาของกิเลสมันเหยียบหัวคนทั้งโลก ซึ่งเป็นลูกชาวพุทธแหลกไปโดยลำดับลำดา ศีลธรรมในการปฏิบัติตัวเพื่อความเป็นคนดีนี้ไม่สนใจนะ ทำเอาอย่างมักง่ายที่สุด เอาเท่านั้นละไม่พูดมาก มันมากมาพอแล้ว

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เทศน์อบรมฆราวาส
    ณ สำนักสงฆ์บุญญาวาส จ.ชลบุรี
    เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ (เย็น)

    พระพุทธเจ้าประทานไว้แล้วว่า พระธรรมก็ดี พระวินัยก็ดี นี้แลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย แทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว เมื่อเราปฏิบัติตนอยู่ด้วยศีลด้วยธรรม ด้วยสติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม อุตสาหธรรม ปฏิบัติตนด้วยความราบรื่นดีงามอยู่อย่างนี้ เราอยู่ที่ไหนก็เท่ากับเราอยู่กับศาสดา คือมีธรรมมีวินัยที่ตนรักษาดีแล้ว เป็นผู้ประกันตัวของเราไว้ด้วยดี อยู่ไหนเป็นสุขๆ นี่ละคนผู้มีศาสดาคือผู้มีธรรมมีวินัย เป็นเครื่องดำเนินความประพฤติปฏิบัติของตน
    ถ้าปราศจากหรือข้ามเกินหลักธรรมวินัยข้อใดแล้ว เท่ากับเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปทุกกระทงๆ หาสาระไม่ได้ ไม่มีศาสดาเลย จะไปกราบไหว้พระพุทธรูปพระองค์ใดกี่องค์ ก็เป็นอิฐเป็นปูนเป็นหินเป็นทรายไปหมด เพราะเรานี้มันเป็นอิฐเป็นปูนเป็นหินเป็นทรายทื่อไปหมด หาสาระไม่ได้ในตัวของเรา
    เพราะฉะนั้นจึงทำตัวของเราให้มีคุณค่ามีราคา การบำเพ็ญภาวนาปล่อยวางให้หมด เรื่องความกังวลของโลก คือโลกกิเลสโลกความวุ่นวาย อย่าให้มีสิ่งใดเข้ามาเกี่ยวข้อง ท่านผู้ที่เริ่มต้นบำเพ็ญยังไม่ได้หลักใจ ก็ขอให้ติดแนบกับคำบริกรรมเอาไว้ให้ดี อันนี้เป็นเครื่องยืนยันไว้ว่าจิตของเราจะต้องตั้งเป็นหลักเป็นฐาน เพื่อเข้าสู่ความสงบเย็นใจตลอดถึงขั้นสมาธิแน่นหนามั่นคงได้โดยไม่สงสัย ถ้าสติกับคำบริกรรมติดแนบกันตลอดไปแล้ว ได้แน่นอนไม่เป็นอื่น นี่ละหลักฐานที่เราวางในเบื้องต้น เราต้องเอาจริงจังอย่างนี้ จิตของเราจะสงบได้ ถ้าระลึกเพียงจิตเฉยๆ ระลึกแต่ผู้รู้เฉยๆ เผลอได้ตลอดไป ต้องมีคำบริกรรมผูกมัดจิตใจ แล้วมีสติบังคับเอาไว้

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  12. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อย่าตื่น เงาไม่ใช่ตัวจริง

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕
    อย่าตื่น เงาไม่ใช่ตัวจริง

    (มีพระวัดศรีจันทร์วนาราม บ้านนาผู้ ต.นาผู้ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานีมากราบเรียนเหตุการณ์ประหลาดเกี่ยวกับพระพุทธรูป หน้าตัก ๙ คืบว่า เมื่อวันที่ ๓ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นตอนเช้า ประมาณ ๑ โมงเช้า หลวงพ่อได้ไปที่โบสถ์ เปิดกุญแจเข้าไปในโบสถ์เพื่อจะไปจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูป ในขณะที่เข้าไปในโบสถ์ได้เห็นสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น คือแสงวงกลมสีขาวเกิดขึ้นที่พระพุทธรูป แสงสีขาวนั้นได้คลุมที่ศีรษะเป็นวงกลม ไปติดที่ฝาผนังปูน ห่างประมาณ ๓ ศอก หลวงพ่อดูอยู่เป็นเวลานาน ในขณะนั้นจิตใจของหลวงพ่อคิดขึ้นได้ นี่หรือคือฉัพพรรณรังสีเกิดขึ้น หลวงพ่อก็เลยนั่งกราบและได้ลุกขึ้นยืนดู ขณะนั้นแสงสีขาวเป็นวงกลมค่อย ๆ หายไป ก็เลยตกใจ รีบจุดธูปเทียนบูชา ขอความสวัสดีมงคล สถานที่นั้นเป็นโบสถ์เก่า อายุราว ๕๐๐ ปี)
    เท่านั้นละ ไม่มีอะไรเป็นเงื่อนต่อละ มันธรรมดา อันนี้มันเป็นอยู่นอก ท่านผู้เป็นด้วยจิตตภาวนายิ่งกว่านี้ไปเท่าไร ๆ นี่มาเป็นนอก ๆ นี้ยังไปตื่นบ้ากัน ให้มันเห็นภายในสักหน่อยซี พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาตรัสรู้ยังไง นี่ออกมาจากหลักใหญ่ของธรรมนั่นละ ที่มาแสดงออกต่าง ๆ เพราะฉะนั้นเรื่องของธรรมเรื่องของกรรมใครจะคาดไม่ได้ ที่แสดงนั้นเหมือนว่าเป็นปริยาย เป็นรัศมีออกจากธรรมแท้ ให้เป็นอยู่ภายในใจซิ ถ้าลงได้จ้าขึ้นนี้เป็นยังไง ไม่งั้นพระพุทธเจ้าจะสอนโลกได้เหรอ ประกาศพระองค์เป็นศาสดาของโลกได้หรือ ไม่อัศจรรย์เหนือโลกที่จะมาสั่งสอนโลกได้ ท่านจะมาสั่งสอนหาอะไร เราอยากให้เห็นภายในยังบอกแล้ว นี่วิบ ๆ แว็บ ๆ ข้างนอกก็ตื่นบ้ากัน แล้วข้างในไม่ดู
    ตัวเลวทรามก็อยู่ที่นี่ กองมูตรกองคูถทับหัวธรรมอยู่นี้ ธรรมก็ไม่เห็น ถ้าตั้งใจปฏิบัติก็จะเป็นอย่างนี้ เป็นขึ้น ๆ จนกระทั่งสว่างจ้าอัศจรรย์ทั่วแดนโลกธาตุจากหัวใจดวงนี้ที่เป็นธรรมทั้งดวงนั้น มีที่ปรากฏที่ตรงไหนเวลานี้น่ะ มีแต่มูตรแต่คูถเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มพระเต็มเณร ไม่มีใครสนใจปฏิบัติที่จะให้เห็นธรรมชาติที่เลิศเลอ ดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายได้รู้ได้เห็น ธรรมะจึงถูกเหยียบตลอดเวลาด้วยมูตรด้วยคูถคือกิเลสตัณหาต่าง ๆ นั้นแหละ มีเท่านั้นละหลวงพ่อ เอ้า ไปได้ เรื่องรัศมีอะไรมีอยู่ทั่วไปนั่นแหละ พอพูดอย่างนี้ก็ยังพูด ที่โยมทองแดง สถานีทดลอง เคยพูดแล้วไม่ใช่เหรอ
    เราบิณฑบาตมา แกนั่งอยู่ศาลาหลังเล็ก ๆ เดินเข้ามานี่โวยวายขึ้นเลย อู๊ย มองดูหลวงตามองดูรัศมีนี่จ้าหมดเลยรอบตัว ห่างไปวากว่า ๆ นี้สว่างจ้าไปหมดเลย รัศมีรัดสะหมาอะไรเป็นบ้าเหรอ เราว่าอย่างนั้น ก็มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เป็นก็จะเป็นบ้าอะไรนักหนา เพิ่มบ้าหรือนี่ เราว่า ทำให้เราระลึกได้นี่ละ โห ตื่นเต้นจริง ๆ นะไม่ใช่ธรรมดา โวยวายขึ้นเลยเพราะนิสัยแกปากเปราะ ที่เราพูด อยู่จันท์ลูกศิษย์มีหลายคนอยู่ อยู่ตราดแห่งหนึ่ง ที่เคยพูดให้ฟัง นั่นเป็นผู้หญิงชื่อ โยมหริ่ง คนนั้นไม่ค่อยชอบพูด นั่งทั้งวันแกก็ไม่พูด ส่วนคนนี้ปากเปราะหน่อย แกถึงโวยวายขึ้นเลย เราบิณฑบาตกลับมา จะเป็นอะไรของแกก็อยู่ในใจของแกนั่นแหละ แต่แสดงออกมาจนเสียมารยาท ว้ายวี้ขึ้นมา ยังชี้มือด้วยนะ เราก็เลยปราบบ้าแก ว่าเป็นบ้าหรือ เราก็ว่าอย่างนี้ โอ๋ย มันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไปอีกนะยังไม่ถอย
    เรื่องธรรมใครจะคาดไม่ได้เลย เรื่องธรรมเรื่องกรรมคาดไม่ได้ เป็นขึ้นในหัวใจเจ้าของขึ้นแล้วรู้เอง ๆ ทุกอย่างนั่นแหละ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้ปฏิบัติ แล้วจะเป็น สนฺทิฏฺฐิโก จะรู้ขึ้นมาจากการปฏิบัติของตัวเอง หายสงสัย ๆ ไม่ต้องถามใคร ๆ นั่นจึงเรียกว่าธรรมแท้ ผู้รู้ผู้เห็นธรรมใดธรรมนั้นก็เป็นสมบัติของผู้นั้น ๆ นั่นละสมบัติของตัวเอง เรียกว่าอัตสมบัติ เป็นสมบัติของผู้ปฏิบัติเอง นี่หางมไปตั้งแต่ข้างนอกซิ หางมเงา ให้มันเห็นธรรมซิ ธรรมเป็นของเลิศเลอมาแต่เมื่อไร ก็เหมือนทองคำที่ถูกพวกขี้ฝุ่นขี้ฝอยทั้งหลายปกคลุมอยู่เต็มไปหมด มิหนำซ้ำมูตรคูถยังปกคลุม มองไม่เห็นทองคำ เปิดออกไปให้เห็นจ้าแล้วเป็นยังไง ปัดออกทันที นั่นเห็นไหมล่ะ พอมองเห็นจ้านี้จะปัดสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ออกทันที ๆ
    จิตพอมองขึ้นไปเห็นแล้วจะรีบชำระตัวเองด้วยความพออกพอใจ ความพากความเพียรจะขยันหมั่นเพียร สติปัญญาทุกอย่างจะหมุนเข้าสู่ธรรม ๆ เป็นกำลังขึ้นโดยลำดับ เมื่อเห็นสิ่งแปลกประหลาดภายในใจขึ้นมาแล้ว เหมือนมองเห็นทองคำที่ถูกกลบไว้นั้น เปิดออกมาเห็น จิตใจจะเปลี่ยนทันทีเลย แต่ธรรมท่านไม่ได้เหมือนโลกไม่เหมือนกิเลส ไม่ตื่นเต้นนะ ธรรมไม่ตื่น ในขั้นไม่ตื่นแล้วไม่ตื่น ขั้นที่ตื่นมีอยู่บ้างเป็นธรรมดา คือไม่เคยรู้เคยเห็นก็ตื่น เรียกว่าตื่นเต้นดีใจ เป็นไปแปลก ๆ ต่าง ๆ ให้เป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่ภายในตัวเอง ตื่นเต้นตัวเอง ส่วนธรรมแท้แล้วไม่มีตื่น รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น สว่างอย่างที่ว่าสว่างขึ้นพระพุทธรูปอะไรเหล่านี้ มันสว่างขึ้นที่ใจของท่านเสียเอง เลิศเลอกว่านี้ขนาดไหน นั่นท่านไม่ตื่น
    เรื่องธรรมของพระพุทธเจ้านี้ ก็ไม่มีอะไรที่เป็นข้าศึกของธรรมอยู่เวลานี้ ก็คือกิเลส ก็บอกแล้ว กิเลสกับธรรมเป็นข้าศึกกันตลอดมา ๆ และจะตลอดไป จึงต้องมีศาสดามาตรัสรู้ ถ้าไม่มีศาสดาตรัสรู้แล้ว ธรรมก็ถูกเหยียบย่ำอยู่ตลอดเวลาจากกิเลส ถ้ามีธรรมขึ้นมาก็เปิดออก ๆ เป็นทางเดินพ้นทุกข์ไปเรื่อย ๆ เรื่องธรรมนี่มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์เช่นเดียวกับกิเลส มีมาด้วยกัน ไม่มีใครยิ่งใครหย่อนกว่าใคร แล้วกิเลสก็เป็นข้าศึกต่อธรรมมาตลอด แล้วธรรมก็เป็นเครื่องปราบกิเลสมาตลอด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงมาตรัสรู้เป็นครั้งเป็นคราว เพื่อให้ได้ธรรมขึ้นมาชะล้างกิเลสหรือปราบกิเลสให้สัตว์ทั้งหลาย ถ้าไม่มีผู้คิดค้นขึ้นมาได้ ธรรมก็มีแต่ไม่เกิดประโยชน์ ไม่มีผู้นำมาใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์แหละ จึงต้องมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้ก็คือตรัสรู้ธรรม นำธรรมขึ้นมาชำระล้างสัตว์ทั้งหลาย เปิดหูเปิดตาสัตว์ให้รู้บาปบุญคุณโทษทั้งหลายซึ่งมีอยู่ดั้งเดิม แต่ก่อนนั้นไม่รู้ แล้วเปิดทางให้รู้ให้เห็นสิ่งที่มีอยู่นี้ นี่เห็นไหม ๆ พระพุทธเจ้าทรงเห็นแล้วจึงนำมาประกาศสอน ว่านี้เห็นไหม ๆ
    มีผู้ปฏิบัติอยู่เมื่อไรก็เหมือนกับมีผู้ขวนขวายหาทรัพย์สมบัตินั่นแหละ ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่เต็มโลกนี้ ใครมีความขยันหมั่นเพียรในแง่ใดทางใด ก็ได้ทรัพย์สมบัติในแง่นั้นทางนั้นขึ้นมา ๆ เพราะเป็นของมีอยู่ หาเงินได้เงิน หาทองได้ทอง หาวัตถุสิ่งของก็ได้ เพราะมันมีอยู่ ไม่ใช่หาของไม่มีซึ่งหาจนวันตายก็ไม่เจอ ถ้าหาของไม่มี แต่นี้ธรรมมีอยู่ กิเลสมีอยู่มาตั้งกัปตั้งกัลป์ สิ่งที่เป็นข้าศึกก็เป็นข้าศึกตลอดมา สิ่งที่เป็นคุณก็เป็นคุณตลอดมา และปราบกิเลสได้ตลอดมา ใครจะหยิบยกหรือจะนำมาใช้ในทางใด หรือหมุนไปทางไหนมันก็เป็นไปทางนั้น หมุนทางกิเลส คนทั้งคนก็กลายเป็นเปรตเป็นผีไปได้ ถ้าหมุนทางกิเลสนะ เป็นสัตว์ไปได้ทั้ง ๆ ที่ไม่มีหางนะคนเรานี้
    จิตใจนั้นละเป็นสัตว์ เป็นเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม จนกระทั่งถึงธรรมธาตุ เป็นได้จากจิตดวงนี้ ลงนรกอเวจีเป็นได้ เพราะเจ้าของเสาะแสวงหาเอง แสวงทางชั่วเป็นชั่ว ก็ปกคลุมเจ้าของเป็นภัยต่อเจ้าของ แสวงหาความดีก็เป็นคุณแก่เจ้าของ อันใดชั่วเป็นภัยต่อเจ้าของอย่างนี้ตลอดมาและจะตลอดไป ใครจะว่ามรรคผลนิพพานไม่มี ๆ ก็มีแต่กิเลสมันปิดเอาไว้ เพื่อเปิดทางเดินของมันให้สัตว์ ลากสัตว์ทั้งหลายลงไปเท่านั้นเอง จะเป็นอื่นเป็นไรไป กิเลสเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น
    อย่างที่ว่าสว่างขึ้นนั้น เราเห็นอันนั้นเราก็ตื่นเต้นกับสิ่งนั้น มันนอกจากตัวสิ่งนั้นน่ะ เช่นเกิดในพระพุทธรูป เราก็ไปเห็นที่พระพุทธรูป แล้วยินดีก็ยินดีนั้น ตื่นเต้นก็ตื่นเต้นอยู่นอก ๆ นั้นซึ่งเป็นเงาไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริงให้จ้าขึ้นที่นี่ดูซิน่ะ เจ้าของเป็นเองจะเป็นยังไง นั่น รู้เองเห็นเองเป็นเอง แล้วเราเป็นเจ้าของอีกด้วย ทีนี้ต่างกันยังไงกับการไปชมเงาตื่นเงาอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงให้ปฏิบัติกันซี ธรรมพระพุทธเจ้ามีอยู่นี่หายไปไหน ไม่เคยหาย มีแต่กิเลสนั่นแหละมันหลอกตลอดเวลา ๆ เชื่อไม่มีวันจืดจาง ไม่มีวันอิ่มพอ ไม่มีวันเข็ดหลาบ ก็คือสัตว์ทั้งหลายเชื่อกิเลสนั่นแหละ
    เราพูดจริง ๆ นะถ้าหากว่าเป็นสิ่งที่วาดออกมาให้เห็นได้ จะเอามาให้เห็น ได้ตีหน้าผากพร้อมด้วย ตาบอดหรือ นี่เห็นไหม ตีหน้าผากพร้อมนะ หน้าผากมันมีตาอยู่ในนี้หรือเปล่า ตีเข้าไปหาตา ฟาดมันหน้าผากแตกก่อน ถ้าไม่เจอตาเอาจนหน้าผากแตกเสียก่อน เห็นไหมนี่น่า ๆ ว่างั้น ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศสอนเหมือนกับว่านี่น่า ๆ อยู่นะ สด ๆ ร้อน ๆ อย่างนั้น แต่กิเลสมันทำให้จืดให้จางตลอด มันเอาของมันสด ๆ ร้อน ๆ ขึ้นแทน ๆ สัตว์ทั้งหลายจึงหลงเป็นบ้าไปตลอดเวลานี้ จะว่ายังไงพูดให้ฟังชัด ๆ พี่น้องหลายนะ มาโกหกเหรอ โกหกหาอะไรก็จะไปชำระกิเลสซึ่งเป็นตัวโกหกในหัวใจเจ้าของต่างหากนี่นะ มาหาโกหกโลกอะไร ให้ได้ปรากฏขึ้นดูซิที่จิตนี่น่ะ จิตดวงนี้น่ะ ถ้าความเลวก็เลวตลอดหมดคุณค่าหมดราคา ก็คือจิตดวงนี้แหละ

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  13. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    วันที่ 18 มกราคม 2545 เวลา 7:30 น. ความยาว 18.1 นาที
    สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด

    ไปที่ไหน ๆ เห็นตั้งแต่สิ่งก่อสร้าง ทำไปแล้วมันทำง่ายนะ ทำไปแล้วก็ทิ้งไว้ ๆ เจ้าของจะเป็นยังไงไม่สนใจ ถือว่าได้สร้างพระพุทธรูป เอาแค่นั้นแหละ สร้างตัวเองพระพุทธเจ้าสอนอย่างเด็ดขาด สร้างลงตัวเองนี่นะ ไม่ได้ให้สร้างพระพุทธรูปอะไร พระพุทธเจ้าไม่ได้เคารพพระองค์ยิ่งกว่าเคารพธรรมนะ ถ้าลงธรรมตรงไหนพระพุทธเจ้ากราบ พระพุทธเจ้าไม่ทรงกราบอะไรในสามแดนโลกธาตุ กราบแต่ธรรมอย่างเดียว ฟังซิน่ะ พระพุทธเจ้าเคารพธรรมด้วย

    นี่เราก็ให้เคารพธรรม ธรรมอยู่กับตัวของเรา คัมภีร์ใหญ่อยู่นี้ ให้มาแก้ตัวนี้บ้าง อย่าพากันเร่ ๆ ร่อน ๆ ไปที่ไหนมองดูถ้าตาบอด-บอดมานานแล้วนะ มันอดดูไม่ได้ ใจก็เหมือนกันใจแตกแล้วนะ มันอดดูอดคิดอดฟังอดพินิจพิจารณาเรื่องเขาเรื่องเราไม่ได้ ทีนี้เมื่อมันมาเกี่ยวข้องถึงโอกาสที่จะพูดก็พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังเสียบ้าง ให้พากันแก้ไขดัดแปลงแปลนของเราเสียใหม่ แปลนน่ะถูกต้อง ตัวของเรานี้มันไม่ถูก ท่านบอกแปลนไว้อย่างหนึ่งมันไปทำอย่างหนึ่ง บอกว่าให้ไปสร้างวัดสร้างวาหรือสร้างที่ภาวนา มันไปสร้างโรงสุราขึ้นแทน มันเป็นอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

    เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๔

    ทางเดินของธรรมเพื่อแก้กิเลส

    ศาสนาพุทธของเราเวลานี้กำลังจะจมหมดแล้วนะ จะยังเหลือแต่ตำรับตำราเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มวัดเต็มวา ในบ้านในเรือนเขาไม่ใช่น้อยนะ พระไตรปิฎกเต็มอยู่นั้นมีน้อยเมื่อไร พระพุทธรูปก็เต็มบ้าน เลยเป็นเครื่องประดับร้านไปหมด พระพุทธรูปก็ประดับร้านประดับบ้านไปเสีย พระไตรปิฎก หนังสือธรรมะต่าง ๆ ก็ประดับบ้านไปเสีย ๆ สิ่งที่ออกเพ่นพ่านมีแต่กิเลส อันนี้เขาไม่มีคัมภีร์ คัมภีร์อยู่กับหัวใจคน เอาหัวใจคนพัดผันตลอดเวลา นี้คือคัมภีร์ของกิเลส ส่วนคัมภีร์ของธรรมอยู่ในตู้ ไม่ได้ตามทันแหละ ตามกันได้ยังไงก็ล็อกกุญแจไว้ออกไม่ได้ มีแต่กิเลสออกตีตลาด ทุกวันนี้กิเลสตีตลาด พี่น้องทั้งหลายเห็นแล้วยัง

    เราพูดจริง ๆ เราสลดสังเวชนะ เราพูดอยู่คนเดียวเหมือนเราเป็นบ้า ถ้าหากว่าเป็นอกแตก แตกตายมานานแล้วนะ เพราะสิ่งเหล่านี้สิ่งขวางหูขวางตาซึ่งเป็นภัยของธรรม มันกระทบกระเทือนตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทบตลอดเวลา ก่อนธรรมที่จะมีบ้างสัมผัสบ้างเล็กน้อย กิเลสต้องออกตลอดเวลา เวลาพิจารณาเข้าไป ๆ มันก็รู้เข้าไป ๆ กิเลสค่อยเบาไป ธรรมค่อยมีอำนาจขึ้น มันก็รู้เรื่องกัน ๆ แจ้งขาวดาวกระจ่างออกเรื่อย ๆ นั่นธรรมเมื่อออกไปแล้วเหมือนเราฉายไฟ จ้าออก ๆ ออกเรื่อยออกจากจิต ถ้ากิเลสเข้าแล้วปิด ๆ ดำปึ๊ด ๆ เลยละ ไม่เห็น

    นี้ละพวกปฏิบัติธรรมเราไม่ค่อยมีนะเวลานี้ ชาวพุทธของเรามันกลายเป็นเปรตเป็นผีเป็นยักษ์เป็นมารไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง หาความเจริญไม่ได้ ออกหน้าออกตาที่สุดยกย่องกัน มีแต่ยกย่องเรื่องฟืนเรื่องไฟ ไม่ได้ยกย่องเรื่องอรรถเรื่องธรรม การประพฤติตัวดิบดี ให้เป็นคนดี หญิงดีชายดี พระดีคนดี ไม่ค่อยปรากฏนะเวลานี้ มีตั้งแต่เรื่องกิเลสอวดดี ๆ ทั้ง ๆ ที่มันเลวมันก็อวดดีตลอด เมื่อความนิยมชมชอบของสัตวโลกมีต่อมันแล้วมันก็ยิ่งสนุกแสดงลวดลายออกมา จึงมีตั้งแต่ความชั่วช้าลามกเต็มบ้านเต็มเมือง หาความสงบสุขได้ที่ไหน

    กิเลสไม่เคยทำความสงบร่มเย็นให้แก่ใคร นอกจากมีมากมีน้อยเป็นไฟเผาโลกไปเท่านั้น ถ้าธรรมแล้วมีมากมีน้อยสงบร่มเย็น ไม่เฟ้อธรรม ถ้ากิเลสแล้วไปที่ไหนขวาง จึงเรียกว่าเฟ้อจะผิดไปไหน มันขวางทันที ๆ นะ ไม่มีใครดูกิเลสได้ถ้าไม่มีธรรมในใจ ถ้ามีธรรมในใจดูได้วันยังค่ำ ตาใจนี้ตารอบด้านไม่ได้เหมือนตาเรานี่นะ ตาเราอยู่ข้างหน้าเห็น อยู่ข้างหลังไม่เห็น ตาใจนี้มันรอบของมันรู้ของมันตลอดเวลา เรียกว่านักรู้ รู้รอบคือใจ กว้างแคบไม่มีประมาณสำหรับใจแล้ว ถึงวาระที่รู้เปิดเผยอย่างเต็มตัวแล้วไม่มีขอบเขต จิตนี้ทะลุได้หมดไปเลย สิ่งเหล่านั้นยังมีขอบมีเขต แต่ความรู้ของจิตนี้ไม่มี

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  15. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452
    อุรุเวลา ที่งี้ ทำไมไม่ยกพระไตรปิฏกมากล่าวอ้าง เกียวกับพุทธลักษณะ

    พระไตรปิฏกกล่าวไว้ อย่างละเอียด เกี่ยวกับพุทธลักษณะ

    หรือมหาบุรุษเจ้าชายสิทธัตถะ ว่าท่านมีความสง่างาม

    งดงามเพียงใด พระองค์เขี้ยวแก้ว รอยต่อของร่างกายไม่มี

    รอยเหี่ยวย่น นิ้วมือ นิ้วกลมเกลี้ยง ผิวเนื้อละละอียดฯล..

    และมี

    ส่วนปลีกย่อยอีก 80ประการ เข้าเสริมบุคลิกภาพ เสริมแต่ง

    ร่างกาย นี่เพราะบุญบารมี ท่านทำมากมาย


    ที่งี้ อุรุเวลา ทำไมไม่ยกพระไตรปิฏก มากล่าวอ้าง เพื่อการ


    สรรเสริญ บารมีของพระพุทธองค์

    ดันไปเอารูปจีน รูปเจ๊กจากไหนมาก็ไม่รู้ ซึ้งไม่มีในพระไตรปิฏก และมาว่านี่แหละรูปพระพุทธเจ้า


    ก็เห็นเอะอะ ก็ยกพระไตร ทำไม เรื่องเกี่ยวกับพุทธลักษณะ


    ที่มีมาในพระไตรปิฏก ทำไมแกไมยกมาไห้ได้ศึกษาหาความรู้กัน

    ยกพระไตรมาเฉพาะที่เข้า สนับสนุน คำสอนของพรรคพวกของแกทั้งนั้น

    ({) ฟันธงคราบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กรกฎาคม 2012
  16. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452
    พุทธลักษณะ หรือลักษณะของพระมหาบุรุษ 32 ประการ

    พุทธลักษณะ หรือลักษณะของพระมหาบุรุษ 32 ประการ


    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
    ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระมหาบุรุษผู้สมบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการเหล่านี้ ย่อมมีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น คือ ถ้าครองเรือน จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้าง แก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้วเป็นที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม โดยเสมอ มิต้องใช้ศัสตรา มิต้องใช้อาชญา มิได้มีเสนียด ครอบครองแผ่นดิน มีสาครเป็นขอบเขต มิได้มีเสาเขื่อน มิได้มีนิมิต ไม่มีเสี้ยนหนาม สำเร็จ แพร่หลาย มีความเกษม สำราญ ถ้าเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคา คือ กิเลสอันเปิดแล้วในโลก
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการนั้น เป็นไฉน ซึ่งพระมหาบุรุษประกอบแล้วย่อมมีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น คือ ถ้าครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ฯลฯ อนึ่ง ถ้าพระมหาบุรุษนั้น เสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระมหาบุรุษในโลกนี้
    1. มีพระบาทประดิษฐานเป็นอันดี ภิกษุทั้งหลาย การที่พระมหาบุรุษมีพระบาทประดิษฐานเป็นอันดี นี้เป็นมหาปุริสลักษณะของมหาบุรุษ ฯ
    2. ณ พื้นภายใต้ฝ่าพระบาท ๒ ของพระมหาบุรุษ มีจักรเกิดขึ้น มีซี่กำข้างละพัน มีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง ภิกษุทั้งหลาย แม้การที่พื้นภายใต้ฝ่าพระบาททั้ง ๒ ของพระมหาบุรุษ มีจักรเกิดขึ้น มีซี่กำข้างละพัน มีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง นี้ก็มหาปุริสลักษณะของพระมหาบุรุษ ฯ
    3. มีส้นพระบาทยาว ฯ
    4. มีพระองคุลียาว ฯ
    5. มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม ฯ
    6. มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทมีลายดุจตาข่าย ฯ
    7. มีพระบาทเหมือนสังข์คว่ำ ฯ
    8. มีพระชงฆ์รีเรียวดุจแข้งเนื้อทราย ฯ
    9. เสด็จสถิตยืนอยู่มิได้น้อมลง เอาฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองลูบคลำได้ถึงพระชาณุทั้งสอง ฯ
    10. มีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก ฯ
    11. มีพระฉวีวรรณดุจวรรณะแห่งทองคำ คือ มีพระตจะ ประดุจหุ้มด้วยทอง ฯ
    12. มีพระฉวีละเอียด เพราะพระฉวีละเอียด ธุลีละอองจึงมิติดอยู่ในพระกายได้ ฯ
    13. มีพระโลมชาติเส้นหนึ่งๆ เกิดในขุมละเส้นๆ ฯ
    14. มีพระโลมชาติมีปลายขึ้นช้อยขึ้นข้างบน มีสีเขียว มีสีเหมือนดอกอัญชัญ ขดเป็นกุณฑลทักษิณาวัฏ ฯ
    15. มีพระกายตรงเหมือนกายพรหม ฯ
    16. มีพระมังสะเต็มในที่ ๗ สถาน ฯ
    17. มีกึ่งพระกายท่อนบนเหมือนกึ่งกายท่อนหน้าของสีหะ ฯ
    18. มีระหว่างพระอังสะเต็ม ฯ
    19. มีปริมณฑลดุจไม้นิโครธ วาของพระองค์เท่ากับพระกายของพระองค์ พระกายของพระองค์ก็เท่ากับวาของพระองค์ ฯ
    20. มีลำพระศอกลมเท่ากัน ฯ
    21. มีปลายเส้นประสาทสำหรับนำรสอาหารอันดี ฯ
    22. มีพระหนุดุจคางราชสีห์ ฯ
    23. มีพระทนต์ ๔๐ ซี่ ฯ
    24. มีพระทนต์เรียบเสมอกัน ฯ
    25. มีพระทนต์ไม่ห่าง ฯ
    26. มีพระทาฐะขาวงาม ฯ
    27. มีพระชิวหาใหญ่ ฯ
    28. มีพระสุรเสียงดุจเสียงแห่งพรหม ตรัสมีสำเนียงดังนกกรวิก ฯ
    29. มีพระเนตรดำสนิท [ดำคม] ฯ
    30. มีดวงพระเนตรดุจตาแห่งโค ฯ
    31. มีพระอุณณาโลมบังเกิด ณ ระหว่างพระขนง มีสีขาวอ่อน ควรเปรียบด้วยนุ่น ฯ
    32. มีพระเศียรดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้การที่พระมหาบุรุษ มีพระเศียรดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์นี้ ก็เป็นมหาปุริสลักษณะของพระมหาบุรุษนั้น ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการเหล่านี้แล ที่มหาบุรุษมีลักษณะอันประกอบแล้ว ย่อมเป็นเหตุให้มีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น คือ ถ้าครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ฯลฯ อนึ่งถ้าพระมหาบุรุษนั้นออกจากเรือนทรงผนวชเป็นบรรพชิต จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก
    ภิกษุทั้งหลาย พวกฤาษีแม้เป็นภายนอก ย่อมทรงจำมหาปุริสลักษณะของพระมหาบุรุษ ๓๒ ประการเหล่านี้ได้ แต่ฤาษีทั้งหลายนั้น ย่อมไม่ทราบว่า เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก สัตว์ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนี้ อันตนทำสั่งสมพอกพูนไพบูลย์ สัตว์ที่บำเพ็ญกุศลกรรมนั้น ย่อมครอบงำเทวดาทั้งหลายอื่นในโลกสวรรค์ โดยสถาน ๑๐ คือ อายุทิพย์ วรรณทิพย์ ความสุขทิพย์ ยศทิพย์ ความเป็นอธิบดีทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ และโผฏฐัพพทิพย์ ครั้นจุติจากโลกสวรรค์นั้นแล้ว มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ย่อมได้เฉพาะ ซึ่งมหาปุริสลักษณะนี้ ดังนี้ฯ


    ({) ฟันธงคราบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กรกฎาคม 2012
  17. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมโพสต์ไว้ตั้งแต่โพสต์ที่ ๒ ครับ
     
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    "เรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้ตรัสสอนเราว่า
    อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า
    ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม
    ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น"

    "อย่าเลย วักกลิ ร่างกายอันเปื่อยเน่าที่เธอเห็นนี้ จะมีประโยชน์อะไร?
    ดูกรวักกลิ ผู้ใดแล เห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม.
    วักกลิเป็นความจริง บุคคลเห็นธรรม ก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม"

    คัดลอกมาจาก พระไตปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย)
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย ฯลฯ
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๗ หน้าที่ ๓๓/๓๑๐
    ๑. นตุมหากสูตรที่ ๑
    ว่าด้วยการละขันธ์ ๕ อันไม่ใช่ของใคร
    [๗๑] พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย
    เธอทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย สิ่งนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย. รูปไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละรูปนั้นเสีย
    รูปนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อสุข.
    เวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละวิญญาณนั้นเสีย
    วิญญาณนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อสุข.
    [๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนชนพึงนำไป พึงเผา หรือพึงกระทำตามปัจจัยซึ่งหญ้า
    ไม้ กิ่งไม้ และใบไม้ ในเชตวันวิหารนี้ ก็เธอทั้งหลาย พึงคิดอย่างนี้หรือว่า ชนย่อมนำไป ย่อมเผา
    หรือย่อมกระทำตามปัจจัยซึ่งเราทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลว่า ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
    พ. ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร?
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะสิ่งนั้น ไม่ใช่ตน หรือสิ่งที่นับเนื่องในตนของข้าพระองค์ทั้งหลาย.
    พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน รูปไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงละรูปนั้นเสีย
    รูปนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข.
    เวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงละ
    วิญญาณนั้นเสีย วิญญาณนั้น อันเธอทั้งหลายละได้แล้วจักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข.
    จบ สูตรที่ ๑.

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ว่า

    "รูปไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละรูปนั้นเสีย
    รูปนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข"

    "เวทนาไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละเวทนานั้นเสีย
    เวทนานั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข"

    "สัญญาไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละสัญญานั้นเสีย
    สัญญานั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข"

    "สังขารไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละสังขารนั้นเสีย
    สังขารนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข"

    "วิญญาณไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละวิญญาณนั้นเสีย
    วิญญาณนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข"
     
  20. JAMESBOND1966

    JAMESBOND1966 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +100

    ที่คุณ NARKA อ้างนั้นมาจากหนังสือประวัติพระอาจารย์มั่นที่เขียนโดยท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด ก็เลยอยากถือโอกาสหยิบยกข้อความบางตอน ช่วงที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต บรรลุธรรมใหม่ๆ แล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จมาแสดงความยินดีพร้อมเหล่าอริยสาวกต่อหน้าท่านพระอาจารย์มั่น(เห็นทางนิมิตภายใน) จนหลวงปู่มั่นเกิดความฉงนสนเท่ห์ว่าพระองค์นิพพานไปนานแล้วทำไมยังมีรูปกายปรากฎให้เห็นได้....ลองพิจารณาจากบทสนทนาข้างล่างดังนี้ ครับ

    พระพุทธเจ้า : "พระตถาคตแท้คืออะไร คือความบริสุทธิ์แห่งใจที่เธอเห็นแล้วนั้นแลที่พระตถาคตมาในร่างนี้มาในร่างแห่งสมมติต่างหากเพราะพระตถาคตและพระอรหันต์อันแท้จริงมิใช่ร่างแบบที่มากั้นนี้นี่เพียงเป็นเรือนร่างของตถาคตโดยทางสมมติต่างหาก

    หลวงปู่มั่น :ข้าพระองค์ทราบพระตถาคตและพระสาวกอรหันต์อันแท้จริงไม่สงสัย ที่สงสัยก็คือพระองค์ทั้งหลายกับพระสาวกท่านที่เสด็จไปด้วยอนุปาทิเสสนิพพานไม่มีส่วนสมมติยังเหลืออยู่เลยแล้วเสด็จมาในร่างนี้ได้อย่างไร?

    พระพุทธเจ้า :ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งแม้มีความบริสุทธิ์ทางใจด้วยดีแล้วแต่ยังครองร่างอันเป็นส่วนสมมติอยู่ ฝ่ายอนุปาทิเสสนิพพานก็ต้องแสดงสมมติตอบรับกันคือต้องมาในร่างสมมติซึ่งเป็นเครื่องใช้ชั่วคราวได้ถ้าต่างฝ่ายต่างเป็นอนุปาทิเสสนิพพานด้วยกันแล้วไม่มีส่วนสมมติยังเหลืออยู่ตถาคตก็ไม่มีสมมติอันใดมาแสดงเพื่ออะไรอีก ฉะนั้นการมาในร่างสมมตินี้จึงเพื่อสมมติเท่านั้น ถ้าไม่มีสมมติเสียอย่างเดียวก็หมดปัญหาพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงทราบเรืองอดีตอนาคตก็ทรงถือเอานิมิต คือสมมติอันดั้งเดิมของเรื่องนั้นๆเป็นเครื่องหมายให้ทราบ เช่นทรงทราบอดีตของพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่าทรงเป็นมาอย่างไรเป็นต้นก็ต้องถือเอานิมิตของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น และพระอาการนั้นๆเป็นเครื่องหมายพิจารณาให้รู้ ถ้าไม่มีสมมติของสิ่งนั้นๆเป็นเครื่องหมายก็ไม่มีทางทราบได้ในทางสมมติ ..........เพราะ.......วิมุตติล้วนๆไม่มีทางแสดงได้......ฉะนั้นการพิจารณาและทราบได้ต้องอาศัยสมมติเป็นหลักพิจารณาดังที่เราตถาคตนำสาวกมาเยี่ยมเวลานี้ก็จำต้องมาในรูปลักษณะอันเป็นสมมติดั้งเดิม เพื่อผู้อื่นจะพอมีทางทราบได้ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ และพระอรหันต์องค์นั้นๆมีรูปลักษณะอย่างนั้นๆถ้าไม่มาในรูปลักษณะนี้แล้ว ผู้อื่นก็ไม่มีทางทราบได้เมื่อยังต้องเกี่ยวกับสมมติในเวลาต้องการอยู่วิมุตติก็จำต้องแยกแสดงออกโดยทางสมมติเพื่อความเหมาะสมกัน ..........ถ้าเป็นวิมุตติล้วนๆ.....เช่นจิตที่บริสุทธิ์รู้เห็นจิตที่บริสุทธิ์ด้วยกันก็เพียงแต่รู้อยู่เห็นอยู่เท่านั้นไม่มีทางแสดงให้รู้ยิ่งกว่านั้นไปได้เมื่อต้องการทราบลักษณะอาการของความบริสุทธิ์ว่าเป็นอย่างไรบ้างก็จำต้องนำสมมติเข้ามาช่วยเสริมให้วิมุตติเด่นขึ้น พอมีทางทราบกันได้ว่า "วิมุตติมีลักษณะว่างเปล่าจากนิมิตทั้งปวง " มีความสว่างไสวประจำตัวมีความสงบสุขเหนือสิ่งอื่นใดๆเป็นต้นพอเป็นเครื่องหมายให้ทราบได้โดยทางสมมติทั่วๆไป ผู้ทราบวิมุตติอย่างประจักษ์ใจแล้วจึงไม่มีทางสงสัยทั้งเรื่องวิมุตติแสดงตัวออกต่อสมมติในบางคราวที่ควรแก่กรณีและทรงตัวอยู่ตามสภาพเดิมของวิมุตติไม่แสดงอาการ ที่เธอถามเราตถาคตนั้นถามด้วยความสงสัยหรือถามพอเป็นกิริยาแห่งการสนทนากัน

    หลวงปู่มั่น :ข้าพระองค์มิได้มีความสงสัยทั้งสมมติและวิมุตติของพระองค์ทั้งหลายแต่ที่กราบทูลนั้นก็เพื่อถวายความเคารพไปตามกิริยาแห่งสมมติเท่านั้นแม้พระองค์กับพระสาวกจะเสด็จมาหรือไม่ก็มิได้สงสัยว่า พระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ อันแท้จริงมีอยู่ ณ ที่แห่งใด แต่เป็นความเชื่อประจักษ์ใจอยู่เสมอว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต" อันแสดงว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์มิใช่ธรรมชาติอื่นใดจากที่บริสุทธิ์หมดจดจากสมมติในลักษณะเดียวกันกับพระรัตนตรัย

    พระพุทธเจ้า : การที่เราตถาคตถามเธอก็มิได้ถามด้วยความเข้าใจว่าเธอมีความสงสัยแต่ถามเพื่อเป็นสัมโมทนียธรรมต่อกันเท่านั้น

    หลวงตามหาบัวท่านยังเล่าต่อไปว่า "บรรดาพระสาวกที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาแต่ละพระองค์และแต่ละครั้งนั้นมิได้กล่าวปราศรัยอะไรกับท่านพระอาจารย์มั่นเลยมีพระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทพระองค์เดียวส่วนพระสาวกทั้งหลายเป็นเพียงนั่งฟังอยู่อย่างสงบเสงี่ยมน่าเคารพเลื่อมใสมากเท่านั้น.........

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...