กรรมของพระอรหันต์

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย โมกขทรัพย์, 20 มิถุนายน 2012.

  1. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849
    บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


    [​IMG]


    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้ขอนำเรื่องราวกรรมเก่าของพระโมคคัลลานะ มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะเห็นว่า ท่านที่มีบุญใหญ่ คือ พระโมคคัลลานะ เป็นถึงอัครสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นพระสาวกฝ่ายซ้ายที่มีฤทธิ์มาก ไม่น่าจะถูกคนฆ่าตาย นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าเรื่องกฎของกรรมที่ท่านทั้งหลายชอบบ่นกัน บอกว่าทำบุญทำทานมามาก ทำไมบุญที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ทำดีจะได้รับผลดี แต่ว่าพวกเรานี้กลับได้รับผลร้าย ถ้าคิดอย่างนี้ละก็ นึกถึงเรื่องราวของกฎของกรรมเก่า ๆ ที่เล่าสู่กันฟัง เอาเข้ามาคิด จงคิดว่า ชาตินี้เราไม่ได้ทำ แต่ว่าชาติก่อน ๆ เราอาจจะทำก็ได้ เพราะเราเองก็ทราบไม่ได้เหมือนกันว่า ชาติก่อน ๆ เราทำอะไรไว้บ้าง

    ถ้าหากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ การระลึกชาติหนหลังได้ มันก็เป็นของไม่ยาก แล้วการบำเพ็ญปุพเพนิวาสานุสสติญาณให้ปรากฎนี้ ความจริงมันก็ไม่ยากเหมือนกัน ทำไมจึงกล่าวว่าไม่ยาก ถ้าหากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติหนหลัง ท่านจะมีความรู้สึกเหมือนกับเรียนหนังสือชั้นประถมเท่านั้นเอง ยังไม่ใช่ใหญ่โตมโหฬารอะไรนัก แต่ทว่าเรื่องของการปฏิบัติ บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังกันในเรื่องของการเจริญพระกรรมฐานดีกว่า ถ้ามีเวลา จะอธิบายให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังว่า การที่จะได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้นั้น เขาทำกันอย่างไร เอาไว้ฟังกันในเรื่องของพระกรรมฐาน นี่เราคุยกันเรื่องของพระสูตร เล่านิทานสู่กันฟัง แต่เป็นนิทานเรื่องจริง ๆ ไม่ใช่นิทานเล่าโกหกกันเล่น เว้นไว้แต่ว่า ไปหยิบเอาตัวนิทานมาแสดงให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้าไม่ได้ แต่เรื่องขององค์สมเด็จพระจอมไตร พระองค์ก็ทรงรับรองอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระประทีบแก้วบอกว่า ถ้าใครไม่เชื่อเชิญมาพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติตาม ฉะนั้น ขอบัณฑิตทั้งหลายที่ทรงความเป็นบัณฑิต ประเภทไหนก็ช่าง ถ้าอยากจะรู้ความจริงเรื่องกฎของกรรมเก่า ๆ ก็ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะรู้เรื่องได้ไม่ยากไม่ลำบากอะไร ต่อไปนี้ มาคุยกันถึงเรื่องบุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ


    ในสมัยนั้น เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงได้พระมหาโมคคัลลานะและพระสารีบุตรมาเป็นคู่อัครสาวกซ้ายขวา อัคร แปลว่า ผู้เลิศ พระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญาชั้นเลิศ ประเสริฐ ไม่มีใครเสมอเหมือน นอกจากพระพุทธเจ้า พระมหาโมคคัลลานะก็เช่นเดียวกัน เรื่องการมีฤทธิ์แล้ว ใครไม่ยิ่งไปกว่าพระมหาโมคคัลลานะ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า เป็นผู้เลิศเรื่องมีฤทธิ์

    อาศัยความมีฤทธิ์ของพระมหาโมคคัลลานะ ท่านเป็นพระขยัน เวลากลางคืน ท่านมักจะไปเที่ยวสวรรค์บ้าง ไปเที่ยวเมืองนรกบ้าง ไปพบเทวดาก็ดี ไปพบพรหมก็ดี ไปพบสัตว์นรก เปรต อสุรกายก็ตาม ท่านก็ถามถึงประวัติเดิม เกิดที่ไหน ใครเป็นพ่อ ใครเป็นแม่ ใครเป็นดี่ ใครเป็นน้อง ทำความดี ทำความชั่วอะไร จึงมาเกิดในแดนนี้ เมื่อท่านทราบแล้ว ก็มาถามองค์สมเด็จพระชินสีห์ ให้ประกาศแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท
    เมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ทรางทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า เรื่องนี้พระโมคคัลลานะไม่ได้กุขึ้น พระพุทธเจ้าเมื่อทราบว่าจริง ก็ทรงรับรอง แล้วประกาศให้เขาทราบ แล้วในสถานที่ใดเป็นที่ยากลำบาก คนเจริญศรัทธาไม่ดีพอ พระอื่นมีความสามารถไม่พอ พระพุทธเจ้าก็ทรงส่งพระมหาโมคคัลลานะไป



    เมื่อพระมหาโมคคัลลานะไปถึงแล้ว ก็แสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ด้วยความชำนาญในการแสดงฤทธิ์ เป็นการน้อมจิตให้บุคคคลทั้งหลายเหล่านั้นมีความเชื่อถือ เห็นเป็นอัศจรรย์ แล้วองค์สมเด็จพระภควันต์ก็เสด็จตามไปทีหลัง ตอนนี้พระพุทธเจ้าเทศน์ธรรมะโปรดบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้น ก็พากันบรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน

    เรื่องพระมหาโมคคัลลานะมีความสามารถเป็นอัจฉริยบุคคล เลิศกว่าบุคคลอื่น แม้แต่พวกเดียรถีย์ทั้งหลายก็เศร้าสร้อยหงอยใจ บรรดาบริษัทบริวารของเดียรถีย์ทั้งหลายพากันมาเคารพในพระพุทธเจ้า สร้างความยากสร้างความลำบากให้เกิดแก่เดียรถีย์ เพราะเขาทั้งหลายเหล่านั้นมีความสามารถไม่พอ และก็ดีไม่จริง เป็นเหตุให้บริษัทชายหญิงของเขามาติดพระพุทธเจ้ากันเสียเกือบหมด
    เขาจึงได้พากันพิจารณาว่า องค์สมเด็จพระบรมสุคตที่มีคนนับถือมาก มีลาภสักการะมาก ก็เพราะอาศัยพระโมคคัลลาน์เป็นกำลังสำคัญ เพราะท่านเที่ยวไปยังที่ต่าง ๆ เที่ยวเมืองนรกบ้าง เมืองสวรรค์บ้าง ปลุกใจประชาชนให้มีความเคารพในองค์สมเด็าจพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุ


    เขาจึงคิดกันต่อไปว่า ถ้าเราจะทำลายองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ คือพระพุทธเจ้า ทำลายไม่ได้แน่ เพราะคิดทำลายมาหลายวาระแล้ว เคยใช้นางจิญจมาณวิกา แกล้งทำเป็นคนท้องไปประกาศให้คนทราบว่า พระพุทธเจ้าทำให้ท้อง แต่หนูจัญไรกลับไปกัดเอาเชือกที่ผูกไม้ที่แกล้งทำเป็นคนท้องให้ขาดลงมา เป็นเหตุให้นางจิญจมาณวิกาได้รับโทษลงอเวจีทั้งเป็น

    แล้วก็พระเทวทัตได้หาทางกลั่นแกล้งพระพุทธเจ้า สั่งนายขมังธนูยิงบ้าง ปล่อยช้างนาฬาคีรีให้ไล่แทงพระพุทธเจ้าบ้าง กลิ้งหินให้ทับบ้าง พระพุทธเจ้าก็ไม่มีอันตราย
    การที่คิดจะฆ่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นของทำได้ยาก แต่ว่าถึงกระไรก็ดี ถ้าตัดแขนขาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสียได้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็จะต้องเศร้าไป แขนขาที่สำคัญขององค์สมเด็จพระจอมไตรก็คือ พระมหาโมคคัลลานะ ที่มีฤทธิ์มาก และปลูกศรัทธาคนได้ดี
    บรรดากลุ่มเดียรถีย์ทั้งหลายพร้อมใจกัน แต่ความจริงเขาประกาศว่า เขาเป็นพระอรหันต์ แต่กลับมีอารมณ์จิตอิจฉาพระพุทธเจ้า คิดจะฆ่าสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูเอาเถิดบรรดาท่านพุทธบริษัท เขาประกาศตนว่า เขาเป็นคณาจารย์ใหญ่สอนให้บุคคลอื่นทำความดี แต่ว่าจิตใจของตัวนี้เลวทรามยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะอะไร เพราะสัตว์เดรัจฉานมันยังมีความกตัญญูรู้ความดีของคน แต่ว่าบรรดาเดียรถีย์หน้ามนพวกนี้ เขาไม่เคยเห็นความดีของพระพุทธเจ้าและพระมหาโมคคัลลานะ มีอย่างเดียวท่านทั้งหลายเหล่านี้ดีกว่าเขา เขาต้องคิดทำลาย สมัยนี้มีบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ บรรดาท่านพุทธบริษัทที่คณาจารย์ทั้งหลายตั้งสำนักกันขึ้นมา แต่เห็นว่าสำนักอื่นเขาดีกว่า มีอารมณ์อิจฉาริษยา มีหรือเปล่าอาตมาไม่ทราบ ถ้าบังเอิญมีก็รู้สึกว่าน่าสลดใจ แต่เข้าใจว่าไม่มี แต่ก็ไม่แน่นัก เพราะเคยพบท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่ง ท่านตั้งสำนักสมถวิปัสสนาของท่านขึ้นมา ปรากฎว่าคนอื่นเขาตั้งทีหลัง ท่านเป็นพระ เป็นพระราชาคณะ เป็นเจ้าคณะจังหวัด เห็นว่าคนอื่นเขาดีกว่าตนทนไม่ไหว แทนที่จะมีมุทิตาในพรหมวิหาร 4 กลับหาทางย่ำยีกลั่นแกล้งด้วยประการทั้งปวง เป็นที่น่าสงสาร ปรากฎว่าท่านผู้นี้เมื่อตายลงไป เวลาก่อนจะตายถูกทุกขเวทนาครอบงำมากต้องทุรนทุรายไค้สติสัมปชัญญะ ตายแล้วลงอเวจีมหานรก กฎของกรรมนี้ผ่านมาแล้วไม่นาน


    ความจริงเรื่องราวในสมัยที่องค์สมเด็จพระพิชิตมากทรงพระชนม์อยู่ ก็มีตัวอย่างมากมาย ท่านบวชภายหลัง มีตำรามากเรียนได้ครบ เรียนจบเป็นมหาเปรียญ แล้วก็เป็นเจ้าคุณฯ เป็นเจ้าคณะจังหวัด ไม่น่าจะประพฤติความชั่วแบบนั้น แต่ทั้งนี้ไม่ใช่อะไร บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เพราะว่าการปฏิบัติธรรมของท่านนั้น ไม่ได้เข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ท่านตั้งสำนักหลอกชายและหญิงเพื่อนำทรัพย์สินไปให้เท่าเท่านั้น ลูกศิษย์ของท่านอาจจะดีได้ แต่ตัวของท่านเองลงอเวจีมหานรก ที่พูดอย่างนี้ก็พูดตามสำนักของท่านอาจารย์ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งพวกเรายกย่องกันว่าท่านเป็นผู้ประเสริฐ เมื่อท่านกล่าวขึ้นมาอย่างนั้นก็สร้างความแน่ใจว่า คงจะเป็นแบบนั้น เพระาว่าดูจริยาของท่านผู้นั้น ก็คงจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน




    บรรดาเดียรถีย์เหล่านั้น เมื่อฆ่าพระมหาโมคคัลลานะแล้ว ต่อมาองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ไม่ได้ทรงว่าอะไร และก็กรรมของเดียรถีย์ทั้งหลายเหล่านั้นคือ โจรที่รับอาสา 500 คนถูกฆ่าหมด พวกเดียรถีย์ถูกปลดจากความดี การที่พระมหาโมคคัลลานะถูกฆ่าในคราวนี้ ความจริงท่านทราบก่อน เพราะมีญาณพิเศษ ประเดี๋ยวจะมานั่งสงสัยกันว่า มีฤทธิ์ขนาดนั้น มีญาณขนาดนั้น ทำไมไม่หนีพวกโจรที่เข้าไปฆ่าตัวเอง ความจริงโจรมาล้อมแล้ว 2 ครั้ง ท่านรู้ เมื่อรู้ตัวแล้ว ท่านก็เหาะหนีไป โจรเข้ามาล้อมครั้งที่ 3 ท่านก็มานั่งพิจารณาว่า นี่มันเรื่องอะไร ถอยหลังชาติเข้าไป ด้วยอำนาจปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ก็ทราบว่ากรรมเก่าของท่านที่ทำไว้แล้วในกาลก่อน



    เรื่องนี้ องค์สมเด็จพระชินวรเคยเทศน์ให้พระฟัง เพราะพระท่านมีความสงสัยว่า พระมหาโมคคัลลานะนี้มีบุญใหญ่ ทำไมจึงได้ถูกโจรทุบตาย แต่ความจริงระหว่างที่ถูกโจรทุบนั้นท่านไม่ตาย เขาทุบแล้วก็คิดว่าท่านตาย กระดูกแหลกเหลวหมด เขาลากท่านไปทิ้งไว้ที่กอไผ่ เมื่อโจรไปแล้วท่านก็อธิษฐานจิต ด้วยอำนาจของกำลังฤทธิ์ ประสานกระดูกทั้งหมดให้ติดกัน แล้วก็เหาะมาเฝ้าองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอลาเข้าสู่พระนิพพาน เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงอนุญาตแล้ว จึงได้กราบลาพระประทีปแก้วไปนิพพานในที่สมควร

    เมื่อพระมหาโมคคัลลานะนิพพานแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงพาพระสงฆ์ทั้งหลายนำอัฐิธาตุของพระมหาโมคคัลลานะ บรรจุเข้าไว้ในสถูปให้เขาสร้างสถูป เป็นที่บรรจุกระดูกไว้ สถูปนั้นก็ทำเหมือนกับบาตรคว่ำ คือทำดินนูนขึ้นมาเป็นโคก เป็นสัญญลักษณ์ คนจะได้ไม่เดินข้าม และท่านกล่าวกฎของกรรมว่า ถอยหลังไปประมาณ 1,000 ชาติ เรื่องนี้พระมหาโมคคัลลานะก็ทราบตอนโจรมาล้อมครั้งหลังว่า
    พระมหาโมคคัลลานะเป็นลูกชายของพ่อแม่ ที่ทั้งพ่อและแม่ตาบอดทั้งคู่ โฉมตรูโมคคัลลานะในเวลานั้น เป็นคนที่ประกอบไปด้วยความกตัญญูรู้คุณบิดาและมารดา เลี้ยงดูบิดามารดาด้วยดีทุกประการ เมื่อทำงานกลับมาแล้วก็ต้องมาหุงข้าวเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ คนดีอย่างนี้หายาก
    ต่อมาท่านพ่อท่านแม่เห็นว่าลูกชายลำบาก ก็อยากจะหาเมียให้จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระ แต่ทว่าพระมหาโมคคัลลานะก็คัดค้านว่า อย่าเลย หญิงที่นำมา ดีไม่ดีเขาจะไม่รักพ่อไม่รักแม่ก็เป็นได้ แต่ว่าบิดาและมารดาทั้งสองนั้นไซร้ก็บอกว่า ไม่เป็นไรลูก จะหาคนที่มีตระกูลเสมอกัน คือตำแหน่งของท่านก็เป็นเศรษฐี เป็นคนมั่งมีทรัพย์มาก จึงไปขอหญิงในตระกูลอื่นเข้ามา
    ในตอนแรก ๆ แม่ลูกสะใภ้คนดี ก็มีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาของผัวเป็นอย่างดี แต่ว่าพระมหาโมคคัลลานะท่านมีความรักในพ่อและแม่ท่านมาก เวลากลับมาจากทำงาน แทนที่จะเข้าไปจู๋จี๋กับเมียก่อน แต่กลับเข้าไปจู๋จี๋กับพ่อแม่เสียก่อน เหตุนี้เองเป็นเหตุให้นางเมียไม่พอใจ คิดจะฆ่าทั้งสองคนเสีย จึงได้หาอุบายด้วยประการทั้งปวง



    ในที่สุด ก็บอกกับพระมหาโมคคัลลานะว่า บิดามารดาของท่านเป็นคนใจร้าย หุงข้าวให้กินก็ไม่กิน แต่ความจริงเวลาที่ทำอาหารให้ผัวมีรสอร่อย แต่ทำอาหารให้แก่พ่อผัวแม่ผัว บางทีก็เค็มจัดเกินไป เผ็ดจัดเกินไป เปรี้ยวจัดเกินไป พ่อผัวแม่ผัวกินไม่ไหวก็เลยไม่กิน นางก็ฟ้องบอกว่า นี่แหละ อาหารมันเหมือนกัน แต่ว่าท่านทั้งสองไม่ยอมกิน ท่านลูกชายก็ยังไม่ว่าอะไร

    ต่อมา นางในก็เอาใหม่อีก ทำอาหารรสจัด ในเมื่อท่านทั้งสองไม่กิน นางก็เทราดไปเต็มบ้าน เมื่อลูกชายกลับมาก็ฟ้องบอกว่า ท่านผู้เฒ่าทั้งสองคนทำอาหารให้ก็ไม่กิน แล้วก็เทราดไปบนบ้านเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ฉันปัดกวาดไม่ไหว เช็ดถูไม่ไหว อย่างนี้ไม่ไหวแล้ว ฉันขอลากลับบ้าน


    อาศัยที่จอมนงคราญอกตัญญูไม่รู้คุณคน ทำให้พระโมคคัลลาน์หน้ามนซึ่งเป็นคนกตัญญู รู้คุณ เป็นคนอกตัญญูไป เพราะการนั่งทูลนอนทูลของเมียสาว มันก็มีความสำคัญเหมือนกัน นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ฟังไว้แล้วก็คิดด้วยว่า ความดีที่เรามีอยู่ เราจงอย่าเชื่อคนอื่น อย่างไร ๆ ก็สอบสวนให้ดีเสียก่อน เป็นเหตุให้พระมหาโมคคัลลานะคิดผิดในตอนนั้น เพราะอาศัยเมียออดอ้อนสนับสนุน หาทางกลั่นแกล้งด้วยประการทั้งปวง จนเห็นว่าบิดามารดาของตนนี้เป็นคนไม่ดี

    วันหนึ่ง คิดจะฆ่าพ่อฆ่าแม่เสียในป่า จึงได้บอกกับบิดาและมารดาว่า ญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ทางฝั่งป่าทางโน้นเป็นญาติกัน ความจริงบิดามารดาก็รู้จัก ท่านสั่งให้ท่านทั้งสองไปเยี่ยมและเวลานี้ท่านก็เตรียมเกวียนไว้แล้ว จะให้บิดามารดาทั้งสองนั่งไปในเกวียน ท่านจะเป็นคนบังคับเกวียนไป เมื่อท่านบิดามารดาทั้งสองได้ฟังก็เห็นใจ คิดว่าลูกชายของเรานี้เป็นคนดี จึงให้ลูกชายประคองบิดามารดาทั้งสองศรีนั่งบนเกวียน
    พอเข้าไปถึงป่าลึก ท่านพระมหาโมคคัลลาน์คิดจะฆ่าพ่อฆ่าแม่ในป่า จึงได้บอกกับท่านบิดาว่า คุณพ่อช่วยจับเชือกบังคับวัวไว้ให้ที กระผมนี้กำลังปวดอุจจาระ จะไปถ่ายอุจจาระ ท่านพ่อก็จับเชือกเข้าไว้ บังคับวัวให้เดินตรง


    ท่านมหาโมคคัลลานะไปแล้ว ก็ทำเสียงดังเหมือนกับโจรจะเข้ามาปล้น ท่านพ่อท่านแม่ทั้งสองคนได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย เข้าใจว่าโจรร้ายมาปล้น ห่วงลูกชายของตนคือพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นลูกชาย ท่านทั้งสองจึงได้ร้องประกาศไปว่า ลูกเอ๋ย พ่อแม่ทั้งสองคนแก่แล้ว ปล่อยให้พ่อแม่ตายเถิด ลูกยังมีความเป็นหนุ่มอยู่ หนึเอาตัวรอดไปก่อน ไม่ต้องห่วงพ่อห่วงแม่

    นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท น้ำใจของบิดามารดาย่อมมีความสำคัญแก่บุตรเพียงนี้ ยอมตายแทนลูก แต่ว่าลูกคนนี้สิ บรรดาท่านพุทธบริษัท พระโมคคัลลานะเองที่ปลอมมาเป็นโจร เมื่อพ่อแม่พูดอย่างนั้น ใจไม่ยักอ่อน พ่อบังอรใช้ไม้ทุบพ่อและแม่ตายทั้งคู่ เมื่อพ่อโฉมตรูฆ่าพ่อและแม่ตายแล้ว ก็แจวอ้าวกลับบ้าน


    องค์สมเด็จพระพิชิตมารกล่าวว่า เขาก็ไม่มีความสุข เพราะกฎของกรรมที่ทำกับบิดามารดา เมื่อตายแล้วจากชาตินั้น ต้องไปเกิดในอเวจีมหานรก เมื่อตกอเวจีมหานรกสิ้นเวลากัปหนึ่ง พ้นจากนั้นก็มาเกิดเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร คือเป็นมนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง เป็นพรหมบ้าง เฉพาะเป็นมนุษย์ 1,000 ชาติพอดี ต่อมาก็พบองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า อาศัยบุญเก่าที่เคยบำเพ็ญบารมีร่วมกันมาในสมัยที่องค์สมเด็จพระศาสดาเป็นสุเมธาบส



    ตอนนั้น องค์สมเด็จพระบรมสุคตบูชาพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระปทุมุตตระ ท่านอยู่ในป่า เมื่ออาราธนาพระพุทธเจ้ามาถึงลำรางเล็ก ๆ ท่านก็ทอดกายเป็นสะพานให้พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เดิน เมื่อมาสู่สำนักของท่านแล้ว ท่านก็ประกาศตนปรารถนาพระโพธิญาณ ก่อนที่จะถวายอาหารให้พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ พระปทุมุตตระจึงได้เข้านิโรธสมาบัติ พระอรหันต์ทั้งหมดเข้าผลสมาบัติ สมาบัติทั้งสองนี้มีกำลังมาก เพราะดลบันดาลให้บรรดาท่านพุทธบริษัทที่บำเพ็ญกุศล เมื่อออกจากสมาบัติทั้งสอง จะมีการคล่องในกิจการของตน คือในความเป็นอยู่ ถ้าปรารถนาความร่ำรวย ก็จะร่ำรวยสมความปรารถนา ถ้าปรารถนาความสำเร็จมรรคผล ก็จะสำเร็จมรรคผลสมความปรารถนา เมื่อองค์สมเด็าจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว ทรงรับพระกระยาหาร หลังจากนั้นแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงให้พร และก็ทรงพยากรณ์ว่า นับตั้งแต่นี้ไปอีก 91 กัป ท่านสุเมธดาบสจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า มีพระนามว่าพระสมณโคดม

    ในขณะนั้นเองพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร ทั้งสองท่านเป็นสาวกของสุเมธดาบส จึงได้เข้ามากราบองค์สมเด็จพระบรมสุคตองค์หนึ่งบอกว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอเป็นอัครสาวกเบื้องขวา อีกองค์หนึ่งประกาศกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระสมณโคดม
    เป็นอันว่า อาศัยบุญบารมีที่ติดตามกันมาอย่างนี้ สิ้นเวลา 91 กัป แต่ความจริงมากกว่านั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์จึงกล่าวว่า มหาโมคคัลลานะชาตินี้มาพบเรา จึงได้กลายเป็นคนมีฤทธิ์มาก เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย แต่ว่าโมคคัลลานะถึงแม้ว่าจะตาย ท่านก็ไปนิพพาน ไม่มีความทุกข์อะไร


    แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้ตรัสแก่บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลายว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลายจงอย่าประมาทในกรรมเล็กน้อยว่าจะไม่ให้ผล ดูตัวอย่างพระมหาโมคคัลลานะเป็นสำคัญ ท่านเป็นอริยสงฆ์ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย มีฤทธิ์มาก แต่ก็ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงกฎของกรรมได้ ขึ้นชื่อว่ากรรมใดที่เราทำไว้แล้ว ถ้าไม่ให้ผลในชาตินี้ ก็จะให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป

    ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ที่เคยบ่นบอกว่าทำบุญให้ทานแล้ว ก็มีความไม่สบาย เมื่อฟังเรื่องราวของพระมหาโมคคัลลานะแล้วไซร้ ก็โปรดทราบว่า กฎของกรรมเก่าของเราทำไว้มากเพียงใด เราไม่ทราบ ฉะนั้น ถ้ากรรมใดที่มันเกิดขึ้นกับเรา ทำให้เราได้รับความลำบาก ก็คิดไว้ในใจว่า เราจะใช้หนี้มัน
    นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ขึ้นชื่อว่ากฎของกรรมเราหนีไม่พ้น สำหรับตอนนี้ก็ขอยุติเรื่องราวของพระมหาโมคคัลลานะในเรื่องบุพกรรม คือกรรมเก่าไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สวัสดี

    ประวัติและบุพพกรรมของพระสีวลีเถระ(พระอรหันต์ผู้เป็นเลิศทางมีลาภมาก)


    ประวัติพระสีวลีเถระ

    พระ สีวลีเถระ เป็นพระมหาเถระที่มีประวัติค่อนข้างแปลกไปกว่าพระมหาเถระองค์อื่น ๆ ท่านต้องอยู่ในครรภ์พระมารดาอยู่ถึง ๗ ปี กับอีก ๗ วัน ด้วยอำนาจบุรพกรรมตามมาส่งผล และพระพุทธองค์ทรงยกย่องให้เป็นตำแหน่งเอตทัคคะในบรรดาภิกษุผู้เลิศด้วยลาภ และเลิศด้วยยศทั้งหลาย ในศาสนาของพระองค์ แม้พระมารดาคือ พระนางสุ ปฺปวาสา ผู้เป็นราชบุตรีของเจ้าโกลิยะ.ก็ทรงเป็นเอตทัคคะผู้กว่าพระสาวิกาทั้งหลาย ผู้ถวายสิ่งของอันประณีต การที่พระพุทธองค์ได้ทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะดังกล่าวก็เป็นไปตาม ความปรารถนาของท่านมาแต่ในอดีต

    ความปรารถนาในอดีต

    ในกัปที่แสน
    แต่ กัปนี้ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ในครั้งนั้น ท่านได้เกิดเป็นกษัตริย์ในพระนครหงสวดี ได้ยินพระพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งสาวกของพระองค์ชื่อสุทัสสนะ ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้มีลาภมาก ดังนั้น ทรงปรารถนาในตำแหน่งนั้นบ้าง จึงได้นิมนต์ พระชินสีห์พร้อมทั้งพระสาวก ให้เสวยและฉันถึง ๗ วัน ครั้น ถวายมหาทานแล้วก็ได้ตั้งความปรารถนาว่า ขอให้ท่านเป็นเอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีลาภในอนาคตกาล.พระปทุ มุตตระบรมศาสดา จึงทรงพยากรณ์ว่าความปรารถนาของท่านนี้จะสำเร็จในกัปที่แสนแต่กัปนี้ไป ท่านจะบังเกิดในนาม สีวลี ได้บวชในสำนักของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าโคตมะ ซึ่งสมภพในวงศ์ของพระโอกกากราช ดังนี้แล้ว เสด็จหลีกไป
    ต่อ จากนั้น ท่านก็กระทำกุศลจนตลอดชีวิต ครั้นสิ้นชีวิตแล้วก็ท่องเที่ยวไปกำเนิดในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ครั้นในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ ในกาลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี ท่านได้ถือปฏิสนธิในหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลพระนครพันธุมดี ในสมัยนั้น ท่านเป็นคนโปรดปรานของสกุลหนึ่งในพระนคร และเป็นคนที่หมั่นขยันขวนขวายในกิจการงาน
    สมัยหนึ่งหลังจากที่พระบรมศาสดาเสด็จเที่ยวจาริกไปในชนบท กลับมาสู่พระนครพันธุมดี ครั้งนั้น พระเจ้าพันธุมะซึ่งเป็นพุทธบิดา ได้ทรงเตรียมอาคันตุกทาน เพื่อภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ทรงปรารถนาจะทำมหาทานแข่งกับชาวเมือง ในวันใดที่พระราชาเป็นผู้ถวายทาน เหล่ามหาชนก็จะสังเกตดู และในวันรุ่งขึ้นก็จะเตรียมทานให้ยิ่งกว่านั้น และในวันถัดไป พระราชาก็จะถวายให้ยิ่งขึ้นไปอีก จนกระทั่งถึงวันที่ ๖ ซึ่งเป็นวันของชาวเมือง ชาวเมืองเหล่านั้นทั้งหมดได้จัดเตรียมสิ่งของไว้ทุกสิ่ง โดยตั้งใจจะไม่ให้มีสิ่งใดที่ขาดแม้สักสิ่งเดียว จึงได้ตรวจดูทานที่ตนได้เตรียมไว้ก็ไม่เห็นน้ำผึ้งสด มีเพียงน้ำผึ้งที่เคี่ยวแล้ว ชนเหล่านั้นจึงให้คนถือเอาทรัพย์คนละ ๑ พันกหาปนะแล้วส่งไปเฝ้ายังประตูพระนครทั้ง ๔ เพื่อขอซื้อจากผู้ที่มาจากชนบทนอกพระนคร
    ใน วันนั้นเอง ท่านเดินทางเข้ายังพระนครด้วยปรารถนาจะเยี่ยมนายบ้าน ในระหว่างทางท่านเห็นรวงผึ้งที่ปราศจากตัวอ่อน ขนาดเท่างอนไถ จึงไล่ตัวผึ้งให้หนีไป แล้วตัดกิ่งไม้ถือรวงผึ้ง ด้วยตั้งใจว่าจะนำไปให้แก่นายบ้าน ฝ่ายผู้ที่ชาวเมืองมอบเงินไปเพื่อหาซื้อน้ำผึ้ง พบท่านถือรวงผึ้งสดเข้ามาจึงขอซื้อในราคาหนึ่งกหาปนะ
    ท่าน เกิดความคิดว่า ธรรมดารวงผึ้งนี้ย่อมไม่ถึงค่าน้อยกว่าหนึ่งกหาปนะมาก แต่บุรุษนี้ให้ทรัพย์กหาปณะหนึ่ง เห็นจะมีเหตุเบื้องหลังอยู่ จึงตอบปฏิเสธไป บุรุษนั้นจึงขึ้นราคาให้เป็นสองกหาปนะ ท่านก็ยังปฏิเสธอีก บุรุษนั้นก็ขึ้นราคาไปเรื่อย ๆ จนถึงพันกหาปนะ
    ท่าน ได้พิจารณาเห็นเป็นเรื่องผิดปกติมากที่ขอซื้อรวงผึ้งสดด้วยราคาถึงพันกหาปนะ จึงได้สอบถามถึงเหตุผล บุรุษผู้นั้นจึงให้เหตุผลว่า พวกชาวพระนครได้ตระเตรียมมหาทาน เพื่อถวายพระวิปัสสีสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีสมณะ ๖ ล้าน ๘ แสนเป็นบริวาร ในมหาทานนั้นยัง ไม่มีน้ำผึ้งดิบอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงขอซื้อ ในราคาเช่นนั้น.
    ท่าน เห็นเป็นโอกาสที่จะได้ทำบุญอันยิ่งใหญ่ จึงขอมีส่วนร่วมในมหาทานนั้น บุรุษนั้นไปบอกเนื้อความแก่ชาวเมือง. ชาวเมืองทราบในศรัทธาของเขาจึงอนุโมทนา ท่านจึงได้เอากหาปณะที่ตนเก็บไว้เพื่อเสบียงเดินทางจากบ้านไปซื้อเครื่องเทศ ๕ อย่างแล้ว ทำให้ป่น นำเอาน้ำส้มมาจากนมส้มแล้ว คั้นรังผึ้งลงในนั้น ปรุงด้วยจุณเครื่องเทศ ๕ อย่างแล้ว ใส่ลงในบัวตระเตรียมสิ่งนั้นเรียบร้อยแล้ว ถือไปนั่งในที่ไม่ไกลพระทศพล เมื่อมหาชนเป็นอันมากนำเอาสักการะไป เขามองดูวาระที่จะถึงแก่ตนในลำดับ รู้ช่องทางแล้วจึงเข้าเฝ้าพระศาสดา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สักการะอันยากไร้นี้เป็นของข้าพระองค์ ขอพระองค์โปรดอาศัยความอนุเคราะห์ข้าพระองค์ รับสักการะนี้เถิด พระศาสดาทรงอนุเคราะห์เขา ทรงรับสักการะนั้นด้วยบาตรศิลา อันท้าวมหาราชทั้ง ๔ ถวายแล้ว ได้ทรงอธิษฐานให้ไทยธรรมที่ถวายเพียงพอแก่ภิกษุ ๖,๘๐๐,๐๐๐ รูป ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า.น้ำผึ้งนั้นก็มีเพียงพอแก่พระสาวกทั้งสิ้น
    ครั้น แล้วท่านถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้กระทำภัตกิจ เสร็จแล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ด้วยผลแห่งกรรมนี้ ขอข้าพระองค์ พึงเป็นผู้ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความเป็นผู้มีลาภ ในภพที่เกิดแล้ว ๆ ดังนี้ พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนกุลบุตร ความปรารถนาของท่านจงสำเร็จอย่างนั้น ดังนี้แล้ว ทรงกระทำภัตตานุโมทนาแก่เขาและชาวเมืองแล้วเสด็จหลีกไป.


    บุรพกรรมที่นำไปสู่อเวจีและต้องอยู่ในครรภ์พระมารดา ๗ ปี ๗ วัน

    เมื่อ ท่านได้สิ้นอายุในสมัยนั้นแล้ว ท่านก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวอยู่สิ้นกาลนาน ต่อมาในสมัยหนึ่งท่านได้จุติจากเทวโลก บังเกิดเป็นราชโอรสแห่งพระเจ้ากาสี (อรรถกถาบางแห่งว่า พระเจ้าพรหมทัต) ผู้ครองกรุงพาราณสี ต่อมาพระ เจ้าโกศลทรงกรีธากองพลใหญ่มายึดกรุงพาราณสี ทรงปลงพระชนม์พระเจ้ากาสีและได้สถาปนาพระอัครมเหสีของพระราชานั้นให้เป็น อัครมเหสีของพระองค์. ฝ่ายพระราชโอรสของพระเจ้าพาราณสี ในเวลาที่พระบิดาถูกปลงพระชนม์ ได้ทรงหนีออกทางประตูระบายน้ำ รวบรวมญาติมิตรและพวกพ้องของพระองค์ไว้เป็นอันเดียวกัน รวมกำลังโดยลำดับแล้วเสด็จมายังกรุงพาราณสี ตั้งค่ายใหญ่ไว้ในที่ไม่ไกล ทรงส่งพระราชสาสน์ถึงพระราชาองค์นั้นว่า จะคืนราชสมบัติหรือจะรบ.
    พระ มารดาได้สดับสาสน์ของพระราชกุมารแล้ว จึงส่งพระราชสาสน์ลับแนะนำไปว่า จงอย่ามีการต่อสู้ จงตัดขาดการสัญจรทั่วทุกทิศ โดยการล้อมกรุงพาราณสีไว้ พวกคนในกรุงก็จะพากันลำบากเพราะหมด ไม้ น้ำและอาหาร และจะจับพระราชามาถวายเอง พระราชกุมารได้สดับสาสน์ของพระมารดาแล้ว จึงล้อมประตูใหญ่ทั้ง ๔ ด้านไว้ ๗ ปี.แต่การณ์ก็มิได้เป็นอย่างที่ทรงดำริ เนื่องจากพวกคนในกรุงพากันออกทางประตูเล็ก นำเอาไม้และน้ำเป็นต้น มาทำกิจทุกอย่าง.
    ครั้นพระ มารดาของพระราชกุมารทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว จึงส่งพระราชสาสน์ลับถึงพระโอรส ตำหนิพระโอรสว่า ลูกเราโง่เขลาไม่รู้อุบาย จงปิดประตูน้อยล้อมกรุงไว้. พระราชกุมารทรงสดับพระราชสาสน์ของพระมารดา จึงได้ทรงกระทำอย่างนั้นถึง ๗ วัน ชาวพระนครเมื่อออกไปข้างนอกไม่ได้ วันที่ ๗ จึงได้เอาพระเศียรของพระราชานั้นไปมอบแต่พระราชกุมาร พระราชกุมารได้เสด็จเข้ากรุงยึดราชสมบัติ.
    ท่านได้กระทำกรรมนี้แล้ว ในกาลที่สุดแห่งอายุ ไปบังเกิดในอเวจี หมกไหม้อยู่ในนรกตราบเท่ามหาปฐพีนี้หนาขึ้นได้ประมาณโยชน์หนึ่ง
    เพราะ ผลกรรมที่ล้อมพระนครไว้ถึง ๗ ปีในครั้งนั้น บัดนี้พระองค์จึงอยู่ในโลหิตกุมภี กล่าวคือพระครรภ์ของมารดา ๗ วัน. แต่เพราะล้อมกรุงไว้ถึง ๗ วันโดยเด็ดขาด จึงถึงความเป็นผู้หลงครรภ์ถึง๗ วัน. ส่วนในอรรถกถาชาดกท่านกล่าวว่า เพราะผลกรรมที่ล้อมกรุงยึดไว้ถึง ๗ วัน. พระองค์จึงอยู่ในโลหิตกุมภีถึง ๗ ปีแล้วถึงความเป็นผู้หลงครรภ์ถึง ๗ วัน. ก็พระองค์เป็นผู้เลิศด้วยลาภเพราะอานุภาพที่ถวายมหาทานแล้วตั้งความปรารถนา ที่บาทมูลของพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ขอเป็นผู้เลิศด้วยลาภ และที่ถวายน้ำอ้อยและนมส้มมีค่า ๑,๐๐๐ กหาปณะพร้อมชาวเมือง แล้วได้ตั้งความปรารถนาในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี. ฝ่ายพระนางสุปปวาสา อุ้มครรภ์อยู่ถึง๗ ปี หลงครรภ์อยู่ถึง ๗ วัน เพราะที่ส่งสาสน์ไปว่า พ่อจงล้อมพระนครยึดไว้. พระมารดาและบุตรเหล่านั้น ได้เสวยทุกข์เช่นนี้อันสมควรแก่กรรมของตน ด้วยประการฉะนี้.
    กำเนิดในพุทธกาล
    ครั้น พ้นจากนรกอเวจีแล้ว ก็เที่ยวเกิดไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จนถึงสมัยพระพุทธเจ้าของเรานี้ จึงได้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของ พระนางสุปปวาสา ราช บุตรีของเจ้าโกลิยะ กษัตริย์พระนครโกลิยะ ซึ่งทรงอภิเษกกับเจ้าศากยวงศ์พระองค์หนึ่ง พระนางนั้นพระบรมศาสดาได้ทรงสถาปนาพระนางไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่า พวกอุบาสิกาผู้ถวายของมีรสประณีต และได้ทรงปฏิบัติธรรมจนบรรลุโสดาบันปัตติผล
    ด้วย กุศลกรรมแห่งการที่ท่านเป็นผู้เลิศด้วยลาภเพราะอานุภาพที่ถวายมหาทานแล้ว ตั้งความปรารถนาในสมัยแห่งองค์พระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ขอเป็นผู้เลิศด้วยลาภ และอานิสงส์ที่ถวายน้ำอ้อยและนมส้มมีค่า ๑,๐๐๐ กหาปณะพร้อมชาวเมือง แล้วได้ตั้งความปรารถนาในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี.นับแต่ วันที่ท่านถือปฏิสนธิ ก็มีคนถือเอาเครื่องบรรณาการมาให้พระนางสุปปวาสา วันละร้อยเล่มเกวียน ทั้งในเวลาเย็นและในเวลาเช้า
    ครั้ง นั้น คนทั้งหลายด้วยความปรารถนาจะลองบุญนั้น จึงให้นางเอามือจับกระเช้าพืช.พืชแต่ละเมล็ด ผลิตผลออกมาเป็นพืชตั้งร้อยกำ พันกำ พืชที่หว่านลงไปในที่นาแต่ละกรีส (หน่วยวัดที่นาในสมัยพุทธกาล) ก็เกิดผลประมาณ ๕๐ เล่มเกวียนบ้าง ๖๐ เล่มเกวียนบ้าง แม้ในเวลาขนข้าวใส่ยุ้ง คนทั้งหลายก็ให้นางเอามือจับประตูยุ้ง ด้วยบุญของราชธิดาเมื่อมีคนมารับของไป ของที่พร่องไปนั้นก็กลับเต็มเหมือนเดิม เมื่อคนทั้งหลายพูดว่า บุญของราชธิดา แล้วให้ของแก่ใคร ๆ จากภาชนภัตรที่เต็มบริบูรณ์ ภัตรย่อมไม่สิ้นไป จนกว่าจะยกของพ้นจากที่ตั้ง
    ด้วย ผลกรรมของพระนาง ที่ได้ส่งสาส์นลับไปแนะนำพระราชโอรส ร่วมกับวิบากกรรมของพระโอรสในอดีตที่ได้ล้อมกรุงพาราณสีไว้เป็นเวลาถึง ๗ ปี ทำให้เวลาล่วงไปถึง ๗ ปี.ก็ยังไม่มีพระประสูติกาล
    ครั้น เมื่อครบกำหนด ๗ ปีแล้ว ด้วยวิบากกรรมร่วมกันของพระนาง กับ พระโอรสที่ได้ปิดล้อมประตูเล็กของกรุงพาราณสีไว้เป็นเวลา ๗ วัน ทำให้ชาวเมืองไม่สามารถออกจากเมืองมาหาอาหารและสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ได้รับความลำบากมาก ทำให้พระนางเสวยทุกข์หนักตลอด ๗ วัน
    พระ นางปรารภกับพระสวามีปรารถนาจะถวายทานก่อนที่จะตาย จึงส่งพระสวามีไปเฝ้าพระศาสดาเพื่อไปกราบทูลเรื่องนี้ แล้วนิมนต์พระบรมศาสดา และถ้าพระบรมศาสดาตรัสคำใด ขอให้ตั้งใจจดจำคำนั้นให้ดีแล้วกลับมาบอกพระนาง พระสวามีจึงเดินทางไปแล้วกราบทูลข่าวแด่พระพุทธองค์ พระบรมศาสดาทรงตรัสว่า พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดาจงมี ความสุข จงมีความสบาย ไม่มีโรค จงคลอดบุตรที่หาโรคมิได้เถิด พระสวามีได้ยินดังนั้นจึงถวายบังคมพระศาสดา ทรงมุ่งหน้าเสด็จกลับพระราชนิเวศน์
    ใน เวลาเมื่อพระบรมสุคตตรัสเสร็จ พระกุมารก็คลอดจากพระครรภ์ของพระนางสุปปวาสาอย่างสะดวก เหล่าพระญาติและบริวารที่นั่งล้อมอยู่เริ่มหัวเราะ ทั้งที่หน้านองด้วยน้ำตา มหาชนยินดีแล้ว ร่าเริงแล้ว ได้ไปกราบทูลข่าวที่น่ายินดีแด่พระสวามีที่กำลังเดินทางกลับ พระราชาทรงเห็นอาการของชนเหล่านั้นทรงดำริว่า พระดำรัสที่พระทศพลตรัสเห็นจะเป็นผลแล้ว พระองค์จึงกราบทูลข่าวของพระทศพลนั้นแด่พระราชธิดา พระราชธิดาตรัสให้พระสวามีไปนิมนต์พระทศพล ตลอด ๗ วัน พระสวามีทรงกระทำดังนั้นและได้มีการถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้า เป็นประธานตลอด ๗ วัน การประสูติของทารก ได้ดับจิตที่เร่าร้อนของพระประยูรญาติทั้งหมด เพราะฉะนั้น พระประยูรญาติจึงเฉลิมพระนามของกุมารนั้นว่า “สีวลีทารก”

    พระสีวลีบวชเมื่อเกิดได้ ๗ วัน

    ตั้งแต่ เวลาที่ได้เกิดมาแล้ว ทารกนั้นได้เป็นผู้แข็งแรง อดทนได้ในการงานทั้งปวง เพราะค่าที่อยู่ในครรภ์มานานถึง ๗ ปี ครั้นถึงวันที่ ๗ พระนางสุปปวาสาตกแต่งพระสีวลีกุมารผู้โอรส ถวายบังคมพระศาสดา และพระภิกษุสงฆ์ เมื่อพระกุมารถูกนำเข้าไปสักการะพระสารีบุตรเถระเจ้านั้น พระเถระเจ้าได้กระทำปฏิสันถารกับเธอว่า สีวลี เธอยังจะพอทนได้หรือ ? สีวลีกุมาร ได้ตรัสตอบพระเถระเจ้าว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ กระผมจะมีความสุขที่ไหนได้เล่า กระผมนั้นต้องอยู่ในโลหกุมภีถึง ๗ ปี
    พระ เถระได้กล่าวกะสีวลีทารกนั้นอย่างนี้ว่า ก็ถ้าเธอได้รับความทุกข์ถึงขนาดนั้นแล้ว บวชเสียไม่สมควรหรือ สีวลีตอบว่าถ้าบวชได้ก็จะบวช พระนางสุปปวาสาเห็นทารกนั้นพูดอยู่กับพระเถระ ก็คิดว่าบุตรของเราพูดอะไรหนอกับพระธรรมเสนาบดี จึงเข้าไปหาพระเถระถามว่า บุตรของดิฉันพูดอะไรกับพระคุณเจ้า เจ้าคะ พระเถระกล่าวว่า บุตรของท่านพูดถึงความทุกข์ที่อยู่ในครรภ์ที่ตนได้รับ แล้วกล่าวว่า ถ้าท่านอนุญาต ก็จะบวช
    พระ นางสุปปาวาสาตรัสว่า ดีละเจ้าข้า โปรดให้เขาบรรพชาเถิด พระเถระนำทารกนั้นไปวิหาร ให้ ตจปัญจกกัมมัฎฐาน (กรรมฐาน 5 กอง คือ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ) และได้กล่าวว่า สีวลี เราไม่จำต้องให้โอวาทดอก เธอจงพิจารณาทุกข์ ที่เธอเสวยมาถึง ๗ ปีนั่นแหละ ในขณะที่โกนผมปอยแรก พระสีวลีก็บรรลุโสดาปัตติผล และในขณะโกนปอยที่ที่ ๒ ก็บรรลุสกทาคามิผล และในขณะโกนผมปอยที่ ๓ ก็บรรลุอนาคามิผล และก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมกันกับที่โกนผมหมด
    ส่วน อาจารย์บางพวก กล่าวถึงการบรรลุพระอรหัตของพระเถระนี้ไว้ดังนี้ว่า เมื่อพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ให้โอวาทโดยนัยดังกล่าวแล้วข้างต้น เมื่อสีวลีกุมารกล่าวว่า กระผมจักรู้กิจกรรมที่กระผมสามารถจักกระทำได้ (ด้วยตนเอง) ดังนี้ แล้วจึงบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน เห็นกุฏิหลังหนึ่งว่าง (สงบสงัด) จึงเข้าไปสู่กุฏินั้นในวันนั้นแหละ ระลึกถึงทุกข์ที่ตนเสวยแล้วในท้องมารดาตลอด ๗ ปี แล้วพิจารณาทุกข์นั้น ในอดีตและอนาคต โดยทำนองนั้นแหละอยู่ ภพทั้ง ๓ ก็ปรากฏว่า เป็นเสมือนไฟติดทั่วแล้ว สีวลีสามเณรหยั่งลงสู่วิปัสสนาวิถี เพราะญาณถึงความแก่รอบ ทำอาสวะแม้ทั้งปวงให้สิ้นไป ตามลำดับมรรค บรรลุพระอรหัตแล้ว ในขณะนั้นเอง ส่วนพระเถระก็เป็นผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา ได้อภิญญา ๖


    พระสีวลีทดลองบุญ
    ใน เวลาต่อมา พระบรมศาสดาได้เสด็จไปยังพระนาครสาวัตถี พระสีวลีเถระถวายอภิวาทพระบรมศาสดาแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักทดลองบุญของข้าพระองค์ ขอพระองค์จงมอบภิกษุ ๕๐๐ รูปแก่ข้าพระองค์ พระศาสดาตรัสสั่งว่า จงรับไปเถิด สีวลี.ท่านพาภิกษุ ๕๐๐ รูป เดินทางบ่ายหน้าไปสู่หิมวันตประเทศ เดินทางผ่านดง เทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นไทร ที่ท่านเห็นเป็นครั้งแรก ได้ถวายทานตลอด ๗ วัน เทวดาทั้งหลายได้ถวายทานทุก ๆ ๗ วัน ในสถานที่ทั่ว ๆ ไป ที่ท่านเห็นต่างกรรม ต่างวาระ กันดังนี้ คือ
    ท่าน เห็นต้นไทรเป็นครั้งแรก เห็นภูเขาชื่อว่าปัณฑวะเป็นครั้งที่ ๒ เห็นแม่น้ำอจิรวดี เป็นครั้งที่ ๓ เห็นแม่น้ำวรสาครเป็นครั้งที่ ๔ เห็นภูเขาหิมวันต์เป็นครั้งที่ ๕ ถึงป่าฉัททันต์ เป็นครั้งที่ ๖ ถึงภูเขาคันธมาทน์เป็นครั้งที่ ๗ และพบพระเรวตะ เป็นครั้งที่ ๘.
    ประชาชนทั้งหลาย ได้ถวายทานในที่ทุกแห่งตลอด ๗ วันเท่านั้น.ก็ในบรรดา ๗ วัน นาคทัตตเทวราช ที่ภูเขาคันธมาทน์ ได้ถวายบิณฑบาตชนิดน้ำนม (ขีรบิณฑบาต) สลับวันกับ ถวายบิณฑบาตชนิดเนยใส (สัปปิบิณฑบาต) วันเว้นวัน ลำดับนั้นภิกษุสงฆ์จึงถามท่านเทวราช ว่า ของที่ท่านนำมาถวายนั้นเกิดขึ้นได้อย่าไร ในเมื่อ แม่โคนมที่เขารีดนมถวายแด่เทวราชนี้ก็มิได้ปรากฏ การบีบทำน้ำนมส้มก็มิได้ปรากฏ .เนาคทัตตเทวราชตอบว่า นี้เป็นอานิสงส์แห่งการถวายสลากภัตรน้ำนมในกาลแห่งพระกัสสปทศพล.
    ใน กาลต่อมา พระศาสดาทรง เอาเหตุแห่งการที่พระขทิรวนิยเถระจัดการต้อนรับ ให้เป็นอัตถุปบัติ (เหตุเกิดแห่งเรื่อง) ในการที่ทรงแต่งตั้งพระสีวลีเถระไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศ ในบรรดาภิกษุผู้เลิศด้วยลาภ และเลิศด้วยยศทั้งหลาย ในศาสนาของพระองค์ ในเรื่องนี้ มีเหตุเกิดขึ้นอย่างนี้


    เหตุ เกิดแห่งเรื่องที่ทรงแต่งตั้งพระสีวลีเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะในบรรดาภิกษุ ผู้เลิศด้วยลาภ และเลิศด้วยยศทั้งหลาย ในศาสนาของพระองค์
    ในสมัยหนึ่ง พระขทิรวนิ ยเรวตเถระ ซึ่งเป็นน้องชายของพระสารีบุตร ได้หนีการแต่งงานที่บิดามารดาจัดการให้ มาขอบวชในสำนักพระภิกษุ ซึ่งมีภิกษุอยู่ประมาณ ๓๐ รูป เหล่าพระภิกษุสอบถามดู ทราบว่าเป็นน้องชายของพระสารีบุตร ที่ท่านได้เคยแจ้งไว้ก่อนว่าถ้าน้องชายมาขอบวชก็อนุญาตให้บวชได้ จึงได้ทำการบวชให้แล้วส่งข่าวมายังท่านพระสารีบุตร
    ครั้ง นั้น เมื่อพระสารีบุตรทราบข่าวดังนั้น จึงกราบทูลพระศาสดาเพื่อขอไปเยี่ยม พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบว่าพระเรวตะเริ่มทำความเพียรเจริญวิปัสสนา จึงทรงห้ามพระสารีบุตรถึง ๒ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ เมื่อพระสารีบุตรทูลอ้อนวอนอีก ทรงทราบว่า พระเรวตะบรรลุพระอรหัตแล้วจึงทรงอนุญาตและตรัสว่าจะทรงไปด้วยพร้อมเหล่าพระ สาวกอื่น
    ดัง นั้น พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร ก็ได้เสด็จออกไปด้วยพระประสงค์ว่าจะไปเยี่ยมพระเรวตะ.ครั้นเดินทางมาถึง ณ ที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นหนทาง ๒ แพร่ง
    พระอานนเถระกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญตรงนี้มีหนทาง ๒แพร่ง ภิกษุสงฆ์จะไปทางไหน พระเจ้าข้า
    พระศาสดาตรัสถามว่า อานนท์หนทางไหน เป็นหนทางตรง
    พระ อานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญหนทางตรงมีระยะประมาณ ๓๐ โยชน์ แต่เป็นหนทางที่มีอมนุษย์ ส่วนหนทางอ้อมมีระยะทาง ๖๐ โยชน์ เป็นหนทางสะดวกปลอดภัย มีภิกษาดีหาง่าย.
    พระศาสดาตรัสว่า อานนท์ สีวลีได้มาพร้อมกับพวกเรามิใช่หรือ
    พระอานนท์กราบทูลว่า ใช่ พระสีวลีมาแล้วพระเจ้าข้า
    พระศาสดาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นพระสงฆ์จงไปตามเส้นทางตรงนั้นแหละ เราจักได้ทดลองบุญของพระสีวลี.
    พระศาสดามีพระภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร เสด็จขึ้นสู่เส้นทาง ๓๐ โยชน์ เพื่อจะทรงทดลองบุญของพระสีวลีเถระ.
    จำเดิมแต่ที่ได้เสด็จไปตามหนทาง หมู่เทวดาได้เนรมิตพระนครในที่ทุกๆ โยชน์ ช่วยกันจัดแจงพระวิหารเพื่อเป็นที่ประทับและที่อยู่แด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
    พวกเทวบุตร ได้ถือเอาข้าวยาคูและของเคี้ยวเป็นต้น ไปเที่ยวถามอยู่ว่า พระผู้เป็นเจ้าสีวลีไปไหน ดังนี้แล้ว จึงไปหาพระเถระ พระเถระจึงให้นำเอาสักการะและสัมมมานะเหล่านั้นไปถวายพระศาสดา พระศาสดาพร้อมทั้งบริวารเสวยบุญของพระสีวลีเถระผู้เดียว ได้เสด็จไปตลอดทางกันดารประมาณ ๓๐ โยชน์
    ฝ่าย พระเรวตเถระทราบการเสด็จมาของพระศาสดา จึงนิรมิต พระคันธกุฎีเพื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า นิรมิตเรือนยอด ๕๐๐ ที่จงกรม ๕๐๐ และที่พักกลางคืนและที่พักกลางวัน ๕๐๐ พระศาสดาประทับอยู่ใน สำนักของเรวตะเถระนั้นสิ้นกาลประมาณเดือนหนึ่งแล แม้ประทับอยู่ ในที่นั้น ก็เสวยบุญของพระสีวลีเถระนั่นเอง แม้พระศาสดาทรงพาภิกษุสงฆ์ไป เสวยบุญของพระสีวลีเถระ ตลอดการประมาณเดือนหนึ่งนั่นแลอีก เสด็จเข้าไปสู่บุพพาราม ลำดับ
    ใน กาลต่อมา พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่พระอริยเจ้าแล้ว ทรงสถาปนาพระเถระนั้นไว้ในตำแหน่งอันเลิศว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระสีวลีเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีลาภ.



    เกิดร่วมสมัยกับพระโพธิสัตว์
    ท่านได้เกิดร่วมชาติกับพระโพธิสัตว์ ดังที่ปรากฏในชาดก คือ
    เกิดเป็นราชกุมารผู้ล้อมพระนครแล้วสืบราชสมบัติ พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าพาราณสีผู้เป็นพระราชบิดา ใน อสาตรูปชาดก
    ที่มา:

    http://www.dharma-gateway.com/monk/great_monk/pra-sivalee.htm





    ประวัติพระพาหิยทารุจีริยเถระ
    เอตทัคคมหาสาวกผู้ผู้ตรัสรู้เร็ว





    พระพาหิยทารุจีริยเถระผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของภิกษุสาวกผู้ตรัสรู้เร็ว สำหรับพระเถระองค์นี้ แม้ว่าตามพระไตรปิฎก พระพุทธองค์จะทรงสถาปนาเป็นเอตทัคคะของภิกษุสาวกผู้ตรัสรู้เร็วก็จริงอยู่ แต่ถ้าจะว่าตามตัวอักษรที่ปรากฏในพระไตรปิฎกแล้ว ท่านได้บรรลุพระอรหัตตั้งแต่ยังเป็นคฤหัสถ์ และได้ฟังพระธรรมเทศนาอย่างย่อจากพระพุทธองค์ที่กลางถนนในกรุงสาวัตถีแล้ว แต่ก่อนที่ท่านจะได้บรรพชาเป็นพระภิกษุท่านก็ถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิดและเสียชีวิต และการที่พระพุทธองค์ทรงแต่งตั้งท่านให้เป็นเอตทัคคะของภิกษุสาวกผู้ตรัสรู้เร็วนั้น นอกจากเหตุที่ท่านสามารถบรรลุธรรมได้เพียงแค่ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์เพียงย่อ ๆ เท่านั้น แต่ยังเนื่องจากท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป อีกด้วย ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปดังนี้





    ความปรารถนาในอดีต
    กระทำมหาทานแด่พระปทุมุตตระพุทธเจ้า
    ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ แห่งหังสวดีนคร เมื่อเติบใหญ่ก็ได้เล่าเรียนจนถึงความสำเร็จในศิลปะของพวกพราหมณ์แล้ว เป็นผู้มีความรู้ไม่ขาดตกบกพร่องในเวทางคศาสตร์ทั้งหลาย วันหนึ่งท่านได้ไปยังสำนักของพระปทุมมุตตระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม ได้เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปาภิญญา (ตรัสรู้ได้เร็วไว) ท่านปรารถนาจะได้ตำแหน่งนั้นบ้าง จึงได้ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานตลอด ๗ วัน ครั้นเมื่อครบ ๗ วันแล้ว จึงหมอบลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลขอพรโดยเริ่มว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อ ๗ วันก่อนนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงได้สถาปนาภิกษุองค์ใดไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุขิปปาภิญญา ในอนาคตกาล ข้าพระองค์ก็พึงเป็นเหมือนภิกษุรูปนั้น คือ พึงเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปาภิญญา ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูด้วยอนาคตังสญาณแล้ว ทรงทราบว่าความปรารถนาของเขาจักสำเร็จผล จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล เขาบวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโคดม จักเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุขิปปาภิญญาแล
    เขาได้ทำบุญไว้เป็นอันมากจนตลอดอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้บังเกิดในเทวโลก ได้เสวยสมบัติในกามาวจร ๖ ชั้นในเทวโลกนั้นแล้ว ก็ได้เสวยสมบัติมีจักรพรรดิสมาบัติ เป็นต้น ในมนุษยโลกอีกหลายร้อยโกฏิกัป จนสิ้นพุทธันดรหนึ่ง





    บุรพกรรมในสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ต่อมา ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เขาได้บังเกิดในตระกูลแห่งหนึ่ง ได้ออกบวชหลังจากที่พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ในเวลาต่อมาเมื่อพระศาสนาใกล้จะเสื่อมสิ้นลง เขาและภิกษุอีก ๖ รูป มองเห็นความเสื่อมในการประพฤติของบริษัท ๔ ก็พากันสังเวชสลดใจ คิดว่า ตราบใดที่พระศาสนายังไม่เสื่อมสิ้นไป พวกเราจงเป็นที่พึ่งแก่ตนเองเถิด จึงพากันไปสักการะพระสุวรรณเจดีย์สูงหนึ่งโยชน์ที่มหาชนได้ร่วมกันสร้างเมื่อครั้งพระกัสสปพุทธเจ้าทรงปรินิพพานแล้ว ได้มองเห็นภูเขาสูงชันลูกหนึ่ง จึงชวนกันขึ้นไปปฏิบัติธรรมอยู่บนภูเขาลูกนั้น โดยตั้งใจว่าถ้าไม่สำเร็จมรรคผลอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะยอมสิ้นชีวิตอยู่บนนั้น แล้วจึงตัดไม้ไผ่มาทำเป็นพะอง (บันไดไม้) เพื่อปีนป่ายขึ้นไปตามหน้าผาของภูเขานั้น เมื่อทั้งหมดพากันขึ้นไปยังยอดสูงของภูเขาลูกนั้นแล้ว ก็ผลักพะองให้ตกหน้าผาไปเพื่อไม่ให้มีทางกลับลงมาได้ แล้วต่างก็บำเพ็ญสมณธรรมอยู่บนนั้น




    ในบรรดาภิกษุทั้ง ๗ รูปเหล่านั้น พระเถระผู้อาวุโสสูงสุด ก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยอภิญญา ๖ ในคืนนั้นเอง ครั้นรุ่งเช้าพระมหาเถระจึงไปสู่ หิมวันตประเทศด้วยฤทธิ์ ล้างหน้าที่สระอโนดาต เที่ยวไปบิณฑบาตในอุตตรกุรุทวีป ฉันอาหารเสร็จแล้วได้ไปยังที่อื่นต่อไป ได้ภัตตาหารเต็มบาตรแล้ว เอาน้ำที่ สระอโนดาตล้างหน้าแล้วและเคี้ยวไม้สีฟันชื่อ อนาคลดา แล้วจึงนำภัตและสิ่งของเหล่านั้นมายังพระภิกษุเหล่านั้นที่ยังไม่บรรลุธรรมอันวิเศษ แล้วกล่าวว่า อาวุโส ทั้งหลาย บิณฑบาตนี้ผมนำมาจากแคว้นอุตรกุรุ น้ำและไม้สีฟันนี้นำมาจากหิมวันตประเทศ ท่านทั้งหลายจงฉันภัตตาหารนี้บำเพ็ญ สมณธรรมเถิด ผมจะอุปัฏฐากพวกท่านอย่างนี้ตลอดไป ภิกษุเหล่านั้นได้ฟัง แล้วจึงกล่าวว่า พระคุณเจ้าขอรับ พระคุณเจ้าทำกิจเสร็จแล้ว พวกกระผม แม้เพียงสนทนากับพระคุณเจ้าก็เสียเวลาอยู่แล้ว บัดนี้ ขอพระคุณเจ้าอย่ามาหา พวกกระผมอีกเลย พระมหาเถระนั้นเมื่อไม่สามารถจะให้ภิกษุเหล่านั้นยินยอม ได้โดยวิธีใด ๆ ก็หลีกไป
    แต่นั้นบรรดาภิกษุเหล่านั้นรูปหนึ่ง โดยล่วงไป ๒-๓ วันได้เป็น พระอนาคามีได้อภิญญา ๕ ภิกษุนั้นก็ได้ทำเหมือนอย่างเช่นที่พระเถระที่บรรลุพระอรหัตทำเหมือนกัน ครั้นถูกภิกษุที่เหลือที่ยังไม่บรรลุธรรมใด ๆ ห้ามก็กลับไปเช่นเดียวกัน ภิกษุที่เหลือ ๕ องค์นั้น ครั้นถึงวันที่ ๗ จากวันที่ขึ้นไปสู่ภูเขาก็ยังไม่บรรลุคุณวิเศษไร ๆ จึงมรณภาพแล้วก็ไปเกิดในเทวโลก ฝ่ายพระเถระผู้เป็นขีณาสพก็ปรินิพพานในวันนั้นนั่นเอง ท่านที่เป็นพระอนาคามีได้บังเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาส เทพบุตรทั้ง ๕ เสวยทิพยสมบัติใน สวรรค์ชั้นกามาวจร ๖ ชั้นกลับไปกลับมา







    กำเนิดเป็นพ่อค้าชื่อพาหิย ในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า
    ในพุทธุปบาทกาลนี้ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว บังเกิดในมนุษยโลก
    ในบรรดาชน ๕ คนเหล่านั้น คนหนึ่งไปเป็น โอรสเจ้ามัลละนามว่าปุกกุสะ (ต่อมาได้พบพระพุทธองค์ ได้ฟังธรรมและประกาศตนเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต) คนหนึ่งชื่อว่ากุมารกัสสปะ อยู่ในกรุงตักกสิลา แคว้นคันธาระ (ต่อมาได้บวชและบรรลุอรหัต และได้รับการสถาปนาเป็นเอตทัคคะผู้กล่าวธรรมได้วิจิตร) คนหนึ่งชื่อว่า พาหิยทารุจิริยะ คนหนึ่งชื่อว่าทัพพมัลลบุตร (ต่อมาได้ออกบวชและบรรลุเป็นพระอรหัตเป็นเอตทัคคะเลิศกว่าภิกษุผู้จัดแจงเสนาสนะ ) และคนหนึ่งชื่อว่า สภิยปริพพาชก (ต่อมาได้พบพระพุทธองค์ ทูลขอบรรพชาและได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง)
    ในบรรดาชน ๕ คนเหล่านั้น พาหิยทารุจิริยะคนนี้ ได้บังเกิดในตระกูลพ่อค้าในพาหิยรัฐ ได้ชื่อว่า พาหิยะ เพราะเกิดในพาหิยรัฐ เขาเจริญวัยแล้วก็ประกอบอาชีพโดยเอาเรือบรรทุกสินค้ามากมายแล่นไปค้าขายยังคาบสมุทรอื่น กลับไปกลับมา สำเร็จความประสงค์ ๗ ครั้งจึงกลับนครของตน ครั้นครั้งที่ ๘ คิดจะไปสุวรรณภูมิ จึงขนสินค้าแล่นเรือไป เรือแล่นเข้ามหาสมุทรยังไม่ทันถึงถิ่นที่ตั้งใจ เรือก็ต้องพายุอับปางลงในท่ามกลางสมุทร ผู้คนที่เหลือ ก็เสียชีวิตไปทั้งหมดเหลือเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น เขาได้เกาะไม้กระดานแผ่นหนึ่ง ลอยตัวอยู่ท่ามกลางคลื่น ในวันที่ ๗ ก็เข้าถึงฝั่งใกล้ท่าสุปปารกะ ท่านนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาดเพราะเสื้อผ้าถูกน้ำซัดไปหมด ด้วยความละอายเขาจึงได้ลุกขึ้นเข้าไประหว่างพุ่มไม้มองไม่เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะใช้มาเป็นเครื่องนุ่งห่มได้ จึงหักก้านไม้รัก เอาเปลือกพันกาย ทำเป็นเครื่องนุ่งห่มปกปิดไว้ แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เจาะแผ่นกระดาษเอาเปลือกไม้ร้อยทำเป็นเครื่องนุ่งห่มปกปิดไว้ ท่านจึงได้ชื่อใหม่ว่า พาหิยทารุจีริยะ เพราะนุ่งผ้าทำด้วยไม้






    เขานั้นก็เที่ยวถือชามกระเบื้องอันหนึ่ง เดินขอข้าวที่ท่าสุปปารกะ ชาวบ้านเห็นเข้าจึงคิดว่า ถ้าพระอรหันต์ยังมีในโลกอยู่ ท่านก็คงประพฤติอย่างนี้แหละ พระผู้เป็นเจ้าองค์นี้ จะรับผ้าที่เขาให้เอาไว้หรือไม่ หรือไม่รับเพราะความมักน้อย ก็ประสงค์จะทดลองใจดังนี้ เมื่อจะลองใจ จึงนำเอาผ้าจากที่ต่างๆ เข้าไปถวาย พาหิยทารุจีริยะคิดว่า ถ้าเราจะนุ่งหรือจะห่มผ้าไซร้ พวกเหล่านี้ก็จะไม่เลื่อมใสเรา ลาภและสักการะของเราก็จักเสื่อมสิ้นไป ฉะนั้นเราจำต้องไม่รับ ถ้าเราทำเช่นนี้ลาภสักการะก็จักเกิดขึ้นแก่เรา เมื่อเขาคิดอย่างนี้แล้ว จึงไม่ยอมรับผ้าที่พวกชาวบ้านนำมาถวาย ใช้สอยเฉพาะแต่ผ้าเปลือกไม้อย่างเดียว พวกชาวบ้านก็เกิดความเลื่อมใสว่า พระผู้เป็นเจ้านี้มักน้อยแท้ จึงกระทำสักการะเป็นอันมาก ฝ่ายเขารับประทานอาหารแล้ว ได้ไปยังเทวสถานแห่งหนึ่งในที่ไม่ไกล ฝูงชนก็ไปกับเขาเหมือนกัน และได้ทำการซ่อมแซมเทวสถานนั้นให้ เขาคิดว่า คนเหล่านี้เลื่อมใสเราเพียงเพราะเรานุ่งผ้าเปลือกไม้ จึงพากันทำสักการะถึงอย่างนี้ เราควรจะมีความประพฤติอย่างสูงสำหรับคนเหล่านี้ เขาจึงทำตัวเป็นผู้มีบริขารไม่มาก เป็นผู้มักน้อยอยู่ และเขาเมื่อถูกคนเหล่านั้นยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์ ก็เลยสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ ตั้งแต่นั้นการทำสักการะและทำความเคารพ ก็มีมากยิ่งๆ ขึ้น และท่านก็ได้มีปัจจัยมากมาย







    พระเถระที่เป็นพระอนาคามีและไปเกิดเป็นพรหมมาเตือน
    กล่าวถึงพระเถระที่ร่วมปฏิบัติธรรมอยู่บนยอดเขาในครั้งกระโน้น และบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี เมื่อสิ้นชีวิตลงก็ได้ไปบังเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ตรวจดูพรหมสมบัติของตน ก็นึกรำลึกถึงเรื่องราวก่อนที่ตนจะมาเกิดในพรหมโลก รำลึกถึงเรื่องที่ตนขึ้นไปยังภูเขาก็เพื่อนสหธรรมิก เห็นที่บำเพ็ญสมณธรรมแล้ว จึงนึกถึงสถานที่ที่คนที่เหลืออีก ๖ คนไปเกิด ก็รู้ว่าท่านหนึ่งปรินิพพานแล้ว และรู้ว่า นอกนี้อีก ๕ คนไปบังเกิดในเทวโลกชั้นกามาวจร
    ครั้นเวลาต่อมาก็ได้รำลึกถึงคนทั้ง ๕ เหล่านั้นอีก ก็สงสัยว่าเวลานี้คนทั้ง ๕ เหล่านั้นไปบังเกิดในที่ไหนหนอ เมื่อตรวจดูจึงได้เห็นทารุจิริยะ ผู้อาศัยท่าสุปปารกะเลี้ยงชีวิตด้วยการการหลอกลวงจึงคิดว่า เมื่อก่อน เขาผู้นี้พร้อมกับพวกเรา ผูกบันไดขึ้นภูเขาทำสมณธรรม ไม่อาลัยในชีวิต เพราะประพฤติกวดขันอย่างยิ่ง แม้พระอรหันต์จะนำบิณฑบาตมาให้ก็ไม่ฉัน บัดนี้เพียงแค่ประสงค์แต่จะให้เขายกย่อง ตัวเองไม่เป็นพระอรหันต์เลย ก็ยังเที่ยวประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะมีความปรารถนาลาภ สักการะและชื่อเสียง อีกทั้งไม่รู้ว่าพระทศพลอุบัติขึ้นแล้ว เอาเถอะเราจักทำเขาให้สังเวชสลดใจแล้วให้รู้ว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว ดังนี้






    ทันใดนั้นเองจึงลงจากพรหมโลก ปรากฏตรงหน้าท่านทารุจีริยะ ที่ท่าสุปปารกะ ตอนกลางคืน ท่านพาหิยะเห็นแสงสว่างโชติช่วงในที่อยู่ของตน จึงสงสัยว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น แล้วได้ออกไปข้างนอกเพื่อตรวจดูอยู่ ครั้นเมื่อออกมาแล้วก็แลเห็นท้าวมหาพรหมลอยอยู่ในอากาศ จึงยกมือขึ้นสักการะแล้วถามว่า ท่านเป็นใคร ? ท้าวมหาพรหมตอบว่า เราเป็นสหายเก่าของท่าน เมื่อครั้งนั้นเราบรรลุอนาคามิผล ตายแล้วไปบังเกิดในพรหมโลก แต่ตัวท่านไม่สามารถจะทำคุณวิเศษอะไรให้บังเกิดได้ ท่านทำตัวเป็นเดียรถีย์ ตนไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลย ยังเที่ยวคิดว่า ตนเป็นพระอรหันต์
    ดูก่อนพาหิยะ เรารู้ดังนี้จึงได้มาหาท่าน เพื่อจะเตือนท่านว่า ท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์ หรือไม่เป็นผู้ถึงอรหัตตมรรคอย่างแน่นอน ท่านไม่มีปฏิปทาเครื่องให้เป็นพระอรหันต์หรือเครื่องเป็นผู้ถึงอรหัตตมรรค ท่านจงสละทิฏฐิอันลามกเช่นนั้นเสียเถิด ท่านอย่าได้ทำตนให้เกิดความฉิบหาย ทำตนเพื่อให้เกิดทุกข์ตลอดกาลนานเลย
    ฝ่ายพาหิยะ มองดูท้าวมหาพรหมผู้ยืนกล่าวอยู่ในอากาศแล้ว คิดว่า โอ เราได้กระทำกรรมหนักหนอ เรามิได้เป็นพระอรหันต์ แต่คิดว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว ท้าวมหาพรหมนี้กล่าวกะเราว่า ท่านไม่ใช่เป็นพรอรหันต์เลย ทั้งท่านก็มิได้ปฏิบัติตามหนทางพระอรหัตด้วย






    ลำดับนั้น พาหิยะจึงถามท่านท้าวมหาพรหมนั้นว่า
    เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกใครเล่า เป็นพระอรหันต์ หรือว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามหนทางพระอรหัต ลำดับนั้น ท้าวมหาพรหมจึงบอกเขาว่า พาหิยะ ในอุตตรชนบทมีพระนครหนึ่ง ชื่อสาวัตถี บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น กำลังประทับอยู่ในพระนครนั้น พระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ และทรงแสดงธรรมเพื่อให้คนเป็นพระอรหันต์ ท่านจงเข้าไปเฝ้าพระองค์เถิด
    ในราตรีนั้นเอง พาหิยะด้วยความสังเวชสลดใจ จึงได้ออกจากท่าสุปปารกะ แล้วได้เดินทางไปยังกรุงสาวัตถีระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ โดยคืนเดียวด้วยอานุภาพแห่งเทวดา




    เมื่อเขาถึงกรุงสาวัตถี ก็เป็นเวลารุ่งเช้า ในเวลานั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า พาหิยะมาถึง ทรงพระดำริว่า ชั้นแรก อินทรีย์ของท่านพาหิยะยังไม่แก่กล้า แต่ในระหว่างชั่วครู่หนึ่งจักถึงความแก่กล้า ดังนี้แล้ว จึงต้องรอคอยให้ท่านมีอินทรีย์แก่กล้าเสียก่อน จึงเสด็จทรงบาตรยังกรุงสาวัตถีในขณะนั้น พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ส่วนท่านพาหิยะนั้นก็เข้าไปยังพระเชตวัน เห็นภิกษุเป็นอันมากฉันภัตตาหารเช้าแล้ว จงกรมอยู่ในที่กลางแจ้ง จึงถามว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ไหน ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบาตรยังกรุงสาวัตถี แล้วถามว่า ก็ท่านเล่ามาแต่ไหน ? ท่านตอบว่า มาจากท่าสุปปารกะ ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ท่านมาไกล เชิญนั่งก่อน จงล้างเท้า ทาน้ำมัน แล้วพักสักหน่อยหนึ่ง ในเวลาพระองค์กลับมา ก็จะเห็นพระองค์
    ท่านพาหิยะกล่าวว่า ท่านขอรับ กระผมไม่รู้ว่าชีวิตของกระผมจะสิ้นไปเมื่อใด กระผมเดินทางมาโดยไม่พักนานตลอดระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ เพียงขอให้ได้เฝ้าพระศาสดาแล้วจึงจะพักผ่อน






    เขาพูดอย่างนั้นแล้วก็รีบร้อน เดินทางเข้าไปยังกรุงสาวัตถี ได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งกำลังเสด็จจาริกไป เมื่อท่านพาหิยะได้แลเห็นพระพุทธเจ้า ด้วยพระพุทธสิริอันหาที่เปรียบมิได้ ก็บังเกิดปิติขึ้นท่วมท้น แล้วก็น้อมสรีระไปแล้ว กราบลงที่ระหว่างถนนด้วยเบญจางคประดิษฐ์จับที่ข้อพระบาทไว้มั่นแล้ว กราบทูลว่า อาราธนาพระพุทธองค์ให้แสดงธรรมโปรด
    ลำดับนั้น พระศาสดาทรงตรัสห้ามเขาไว้ด้วยเหตุว่ามิใช่เวลาเหมาะ เพราะเป็นเวลาที่พระพุทธองค์จะทรงบิณฑบาต พาหิยะ ก็ได้กราบทูลวิงวอนซ้ำอีก พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสห้ามอีกเป็นครั้งที่สอง ในครั้งที่สามเมื่อท่านพาหิยะทูลวิงวอนอีก พระศาสดาได้มีพระดำริว่า ที่ท่านห้ามท่านพาหิยะถึงสองครั้งก็ด้วยเหตุว่า นับตั้งแต่เวลาที่ท่านพาหิยะเห็นพระพุทธองค์แล้ว เขาก็มีปิติท่วมท้นไปทั้งร่างกาย ในช่วงเวลาที่ปิติมีกำลังมากนี้ แม้จะได้ฟังธรรม ก็จักไม่ทำให้ท่านสามารถบรรลุธรรมได้เลย อีกประการหนึ่งเป็นเพราะทรงเห็นว่าพาหิยะมีความกระวนกระวายในการฟังธรรมมาก ซึ่งก็เป็นเหตุให้ไม่สามารถบรรลุธรรมได้เช่นกัน เพราะเหตุนั้นพระศาสดาจึงตรัสห้ามถึง ๒ ครั้ง ครั้นเมื่อเขาทูลขอในครั้งที่ ๓ ทรงพิจารณาเห็นความแกร่งกล้าในอินทรีย์ของท่านพาหิยะพร้อมแล้ว จึงทรงประทับยืนอยู่ในระหว่างทางและได้ทรงแสดงธรรมโดยย่อว่า
    <table class="Table1" width="80%"><tbody><tr><td> ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง
    ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล
    ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้าย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
    </td> </tr> </tbody></table> ​




    พาหิยะนั้นขณะกำลังฟังธรรมของพระศาสดาอยู่นั่นแล ได้ทำอาสวะทั้งปวงให้หมดสิ้นไปแล้ว ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔ ครั้นแล้วท่านจึงได้ทูลขอบรรพชากะพระผู้มีพระภาคเจ้าในขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านว่า ท่านนั้นได้มีบาตรและจีวรครบแล้วหรือ ? ท่านพาหิยะกราบทูลว่า ยังไม่มี พระเจ้าข้า พระศาสดาจึงตรัสให้ท่านไปแสวงหาบาตรและจีวรมาก่อน แล้วก็เสด็จหลีกไป
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า บาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ จักไม่เกิดขึ้นแก่เขาแน่จึงมิได้ประทานการบรรพชาด้วยเอหิภิกขุ
    ได้ทราบมาว่า ในอดีตที่ท่านพาหิยะบำเพ็ญสมณธรรมมาสิ้น ๒ หมื่นปี ท่านไม่ได้ทำการสงเคราะห์บาตรหรือจีวรแก่ภิกษุแม้รูปหนึ่งเลย อรรถกถาจารย์บางท่านกล่าวว่า ในอดีต เมื่อสมัยโลกว่างจากพระพุทธศาสนา ท่านเป็นโจร เที่ยวไปในป่า เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เพราะความโลภในบาตรและจีวร จึงใช้ธนูยิงท่านแล้วถือเอาบาตรและจีวรไป ด้วยเหตุนั้น บาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์จึงมิปรากฏ
    ในเวลาที่ท่านพาหิยทารุจิยะกำลังแสวงหาบาตรและจีวร จากกองขยะอยู่นั้น ขณะที่ท่านกำลังดึงเอาเศษผ้าออกจากกองขยะอยู่ นางยักษิณีผู้มีเวรกันในกาลก่อน เข้าสิงในร่างของโคแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่ง วิ่งเข้าขวิดท่านที่โคนขาข้างซ้าย ล้มลงเสียชีวิตอยู่ในกองขยะนั่นเอง




    บุรกรรมของพาหิยทารุจิยะและนางยักษิณี
    ได้ยินว่า โคแม่ลูกอ่อนนั้น เป็นยักษิณีตนหนึ่ง เป็นแม่โค ปลงชีวิตคนทั้ง ๔ นี้ คือ กุลบุตรชื่อปุกกุสาติ ๑ พาหิยทารุจิยะ ๑ นายโจรฆาตกะชื่อตัมพทาฐิกะ ๑ สุปปพุทธกุฏฐิ ๑ จากชีวิตคนละร้อยชาติ เรื่องในอดีตมีอยู่ว่า ชนเหล่านั้น เป็นบุตรเศรษฐีทั้ง ๔ คน นำหญิงแพศยาผู้เป็นนครโสเภณีคนหนึ่งไปสู่สวนอุทยาน ร่วมภิรมย์กันตลอดวันแล้วได้มอบทรัพย์หนึ่งพันกหาปนะและเครื่องประดับอันมีค่าให้เป็นค่าจ้าง ครั้นตกเย็น ได้ปรึกษากันอย่างนี้ว่า “ในที่นี้ไม่มีคนอื่น เราทั้งหลาย จักฆ่าหญิงนี้เสียกันเถิด แล้วเอาทรัพย์ และเครื่องประดับทั้งหมดนั้นคืนมาเถิด
    ” หญิงนั้นเมื่อฟังถ้อยคำของบุตรเศรษฐีเหล่านั้นแล้ว คิดว่า “ชนพวกนี้ไม่มียางอาย อภิรมย์กับเราแล้ว บัดนี้ ปรารถนาจะฆ่าเรา เราจักอาฆาตชนเหล่านั้น” เมื่อถูกชนเหล่านั้นฆ่าอยู่ ได้กระทำความปรารถนาว่า “ขอเราพึงเป็นยักษิณี ผู้สามารถฆ่าชนเหล่านั้น เหมือนอย่างที่พวกนี้ฆ่าเราฉะนั้น”




    พระพุทธองค์ทรงให้ปลงศพและก่อสถูป
    พระศาสดา เสด็จจาริกไปบิณฑบาตแล้วทรงกระทำภัตรกิจเสร็จแล้ว ขณะกำลังเสด็จออกพร้อมกับพวกภิกษุมากรูป ได้ทอดพระเนตรเห็นร่างของพาหิยะ ซึ่งฟุบจมกองขยะแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพื่อนสพรหมจารีของพวกเธอปรินิพพานแล้ว และตรัสให้พระภิกษุนำร่างของท่านพาหิยะขึ้นเตียงนำออกไปทางประตูเมือง และให้ทำการฌาปนกิจ เก็บเอาธาตุไว้ก่อเป็นสถูป พวกภิกษุเหล่านั้น ดำเนินการตามที่พระบรมศาสดาทรงตรัส แล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ได้กราบทูลให้ทรงทราบถึงการงานที่ตนได้ทำเสร็จแล้ว และทูลถามพระพุทธองค์ถึงคติภพ (ภพเบื้องหน้า) ของท่านพาหิยะ




    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสบอกแก่ภิกษุเหล่านั้นว่าท่านพาหิยะปรินิพพานแล้ว ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงตรัสบอกว่า ท่านพาหิยทารุจีริยะบรรลุพระอรหัตที่ไหน และเมื่อตรัสว่า ในเวลาที่ฟังธรรมของเรา พวกภิกษุจึงทูลถามว่า ก็พระองค์แสดงธรรมแก่ท่านในเวลาไหน พระศาสดาตรัสว่า เมื่อเรากำลังบิณฑบาตยืนอยู่ระหว่างถนนวันนี้เอง ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมที่พระองค์ยืนตรัสในระหว่างถนนนั้นมีประมาณน้อย ท่านทำคุณวิเศษให้เกิดด้วยเหตุเพียงเท่านั้นได้อย่างไร พระศาสดาเมื่อทรงแสดงว่า ภิกษุทั้งหลายเธออย่าประมาณธรรมของเราว่ามีน้อยหรือมาก แม้คาถาตั้งหลายพันแต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ไม่ประเสริฐเลย ส่วนบทคาถาแม้บทเดียวซึ่งประกอบด้วยประโยชน์ยังประเสริฐกว่า
    พระศาสดาทรงทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ (เหตุเกิดเรื่อง) จึงสถาปนาท่านพาหิยะทารุจิริยะไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าภิกษุสาวกทั้งหลาย ผู้ตรัสรู้ได้โดยพลัน


    [​IMG]




    กรรมของหลวงพ่อฤาษีหลังลาพุทธภูมิ
    โดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

    ผมขอสรุปข้อๆ มีความสำคัญดังนี้

    1. ท่านเหนื่อยมาตลอดตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มอยู่ สมัยตอนบวชใหม่ๆ ท่านก็ต้องทำงานหนักด้านก่อสร้าง ร่วมกับเพื่อนสนิทของท่าน2องค์ (ท่านฤาษีองค์เล็กและท่านฤาษีองค์ขาว) มาโดยตลอด แต่ท่านใช้วิธีเอากายทำงานทางโลก เอาจิตทำงานทางธรรมเป็นพระกรรมฐาน ท่านสามารถทำได้พร้อมกันโดยใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด (ข้อนี้ฟังท่านพูดสอนแล้ว รู้สึกอายท่าน เพราะส่วนมากพวกเราใช้เวลาท่องเที่ยว กินและนอนเสียเป็นส่วนใหญ่ หากเกิดตายไปในระหว่างนั้น มีหวังเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะตายในอารมณ์หลงโมหะจริต)

    2.ท่านว่าพุทธภูมิต้องเหนื่อย ยิ่งลาแล้วยิ่งเหนื่อยกว่าเดิม เพราะเจ้ากรรมนายเวรเขาตามทวงหนัก (ในข้อนี้มีความจริงอยู่ว่า ท่านบำเพ็ญวิริยะธิกะ ซึ่งต้องใช้เวลานานถึง 16 อสงไขย กำแสนกัป ท่านบำเพ็ญมาเหลืออีก 7 ชาติสุดท้ายแล้ว เข้าขั้นปรมัตถบารมี เพราะเหลืออีก 10 ชาติสุดท้าย จัดเป็นปรมัตบารมี แต่ท่านตัดสินใจลาพุทธภูมิในชาติปัจจุบันนี้ดังนั้นกรรมชั่วต่างๆ ที่ท่านทำไว้ในอดีต ก็จะรวมตัวกันตามทวงท่านในชาติสุดท้าย กรรม จึงหนักเป็น 7 เท่า พวกเราซึ่งอธิฐานขอเป็นสาวกของท่าน ก็ขอลาตามท่าน ผลของกรรมชั่วที่พวกเราทำไว้รวมตัว ทวงพวกเราหนักเป็น 7 เท่าเช่นกัน ไม่มีใครได้รับการยกเว้น คิดถึงจุดนี้แล้วรู้สึกหนาวๆร้อนๆ แต่ก็ต้องทนให้ได้แบบท่านซึ่งเป็นเป็นผู้นำ เพราะเป็นชาติสุดท้ายแล้วกรุณากลับไปอ่านคำสอนของสมเด็จปฐม ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ 3 เรื่องอุบายการละสักกายทิฏฐิ ความไม่ประมาท และความตาย กับความเจ็บไข้โดยเฉพาะใน หน้าที่ 26 ข้อที่ 9 แล้วท่านจะเข้าใจได้ดี

    3.การ เจริญกรรมฐานก็หนัก เพราะต้องเร่งรัดตนเองมากกว่าสาวกปกติ (ในข้อนี้จะเห็นได้จากหลักฐาน คำสอนของท่านซึ่งมีอยู่ในเทปธรรมะท่านเป็นพันๆม้วน บรรดาศิษย์ของท่านก็เมตตาถ่ายทอดถอดออกเป็นหนังสือธรรมะของหลวงพ่อ แจกพวกเรามาตลอด 15 ปี ที่ผ่านมาก็หลายสิบเล่มแล้วก็ยังไม่หมด)

    4.พวกพุทธจริต ก็คือพวกที่ลาพุทธภูมินั้นเอง ดังนั้นการจบกิจก็ต้องเรียนรู้หมด ตามจริตของตนจึงจะผ่านได้ เพราะฉะนั้นเอ็งและหมอห้ามบ่นเรื่องเหนื่อย แล้วหนักในการปฏิบัติเพราะเราเสือกเลือกกันมาเองกันทั้งนั้น อยากไปทางลัดก็ต้องเร่งรัดกันอย่างนี้แหละ (ใน ข้อนี้พวกเราเกือบทุกคนล้วนเคยปรารถนาพุทธภูมิกันมาก่อนทั้งสิ้น เมื่อลาพุทธภูมิจึงมีพุทธจริต จัดเป็นพวกฉลาด มีปัญญาจึงไม่มีใครอยากจะเกิดมามีร่างกายให้พบกับทุกข์ โทษและภัยการเกิดอีก หลักสูตรมีอยู่พร้อมแล้วอยู่ที่ความเพียรของแต่ละคน ใครเพียรมากพักน้อยก็จบเร็ว ใครเพียรน้อยก็จบช้า ขอย้ำอีกครั้งให้อ่านคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม ที่เขียนไว้ในข้อที่ 2 ในเรื่องนี้แล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดมรรคผล)

    5.ทั้งหมดล้วนเป็นกฎของกรรม ซึ่งเราทำเอาไว้เอง ถ้าเราไม่ยอมรับผลกรรมตามนี้ ก็ยากที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ (ข้อนี้ชัดเจนอยู่แล้ว

    6.พุทธภูมิมีงาน3ลำดับ คืองานศึกษา งานโยธาและก่อสร้าง งานสอนพระกรรมฐานซึ่งหนักที่สุด เพราะมีบริวารมาก เป็นกรรมที่ร่วมกันมา ศิษย์จึงมากตอนเร่งรัดบารมีต้องมาเหนื่อยและหนักด้านโยธาจนกว่าจะตาย (ในข้อนี้ท่านจะเน้นงานสอนกรรมฐานซึ่งหนักที่สุด ก่อนท่านจะทิ้งเปลือกหรือ ขันธ์ 5 ที่ท่านอาศัยชั่วคราวไปพระนิพพาน ท่านได้มอบหมายหน้าที่ตอบปัญหากับผมไว้ ให้ผมทำหน้าที่แทนท่าน เมื่อท่านไม่อยู่ ท่านเคยเล่าให้ผมฟังเป็นการส่วนตัวว่า พอท่านกลับจากซอยสายลมถึงวัด วันแรกท่านหมดแรง นอนแผ่หลาทุกทีกรรมนี้ขณะนี้มาอยู่กับผมแล้วซึ่งต้องอดทนและทนและต้องทนให้ ได้เพราะเป็นชาติสุดท้ายแล้ว แต่ที่สำคัญกว่านั้น เป็นการตอบแทนพระคุณของพระพุทธองค์ และของหลวงพ่อท่านอันหาค่ามิได้ ผมไม่ขอเขียนรายละเอียด ผู้ใดสงสัยกรุณากลับไปอ่านเรื่องอารมณ์อีโก้ ซึ่งสมเด็จองค์ปัจจุบันตรัสสอนไว้อีกครั้งแล้วท่านจะเข้าใจดี)

    7.ขนาดจบกิจพระศาสนาแล้ว งานยิ่งหนักขึ้น เพราะท่านมีลูก หลานบริวารมาก การถวายเงินก็เข้ามามาก ทำให้ก่อสร้างยิ่งมาก เพื่อเป็นวิหารทาน อันเป็นบันไดให้เขาไปสู่สวรรค์ (ทานัง สักกะโส ปานัง ทานเป็นบันไดให้สู้สวรรค์ ) เป็นกำลังใจขั้นต้นของการปฏิบัติบูชาในศาสนา ขั้นต่อไปก็รักษาศีลและเจริญภาวนาตามทลำดับ ตามกำลังใจของแต่ละคน เพื่อก้าวเข้าสู่พระนิพพาน (ในข้อนี้ยังมีผู้ไม่เข้าใจอยู่มาก ทำให้สงสัยว่าหลวงพ่อก็อายุมากแล้ว กิจที่จะต้องตัดกิเลส-ตัณหา-อุปาหานและอกุศลกรรมก็ไม่มีแล้ว ทำไมท่านถึงยังเหนื่อยเรื่องสร้างวัดอยู่อีก ผมขออธิบายว่า เงินที่ถวายเข้ามา บางคนเน้น สร้างนี่ แต่บางคนก็ไม่เน้น หลวงพ่อท่านฉลาดจึงเอาเงินที่ถวายท่านส่วนใหญ่สร้างเป็นวิหารทาน เพราะเป็นบุญสูงสุดในวัตถุทาน ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ขออธิบายย่อๆว่า อานิสงส์ผมบุญจากการถวายสังฆทาน 100 ครั้ง ยังสู้ถวายวิหารทานครั้งเดียวยังไม่ได้ วิหารเป็นบุญสูงสุดในวัตถุทาน อัน เป็นอริยทรัพย์ที่พวกเราเอาติดตัว (ติดใจ)ไปได้ พวกเราโชคดี มีวิมารที่สวยงามผิดธรรมดา มิใช่มีวิมานงดงาม ซึ่งแปลว่าไม่สวย ไม่งาม ไม่ได้เรื่อง ไม่น่าดู วิมานพวกเราทุกคนจึงประดับหรือสร้างด้วยเพชร 7ประการบ้าง 9 ประการบ้าง มิใช่สร้างด้วยทองคำหรืออย่างอื่น รายละเอียดยังมีมาก ขอเขียนย่อๆ เพียงแค่นี้

    จึง ขอสรุปว่าหลวงพ่อท่านเหนื่อยเพื่อพวกเราโดยตรง ขอให้เข้าใจไว้ด้วย เพราะบุญทั้งหลายเต็มแล้วสำหรับท่าน จะทำบุญอีกเท่าไหร่ก็ไม่เพิ่มยิ่งไปกว่านั้น และประการสำคัญพระอรหันต์ทุกท่านไม่ประมาท แม้ท่านจะจบกิจแล้ว บุญเต็มแล้ว ท่านก็ไม่ประมาท ตราบใดที่มีชีวิตหรือร่างกายยังทรงอยู่ ท่านก็ไม่เว้นจาการทำบุญ ทำทาน ทำความดีตลอดเวลา ขอให้พวกเราซึ่งเป็นศิษย์ของท่าน จงเอาท่านเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติธรรมเพื่อไปสู่ความหลุดพ้น องค์สมเด็จท่านเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติธรรมเพื่อหลุดพ้น องค์เด็จท่านตรัสไว้ชัดเจน ตามเอกสารที่แจกให้ท่านไปแล้ว



    โดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน ผู้รวบรวม

    แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ซึ่งเป็นใหญ่ในสามโลกนั้น พระองค์ยังหนีกรรมไม่พ้น หรือแม้แต่ พระสาวกผู้ซึ่งตัดกิเลสได้เด็ดขาดแล้วไซร้ ยังต้องรับผลกรรมนั้น เราผู้เป็นปุถุชนจะไม่ยิ่งต้องรับผลกรรมแสนสาหัสกว่าเป็นหลายเท่าเชียวหรือ เร่งกันสร้างบุญบาีรมีกัีนเถิดครับ ชีวิตจักได้ไม่เข้าสู่อบายภูมิ



    โมทนาสาธุในกุศลกรรมของทุกท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2012
  2. โอกระบี่

    โอกระบี่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,477
    ค่าพลัง:
    +1,651
    ขอขอบพระคุณ เจ้าของกระทู้ ที่ได้นำทความดี ๆ เกี่ยวกับพุทธะสาวกมาให้อ่าน
     
  3. mu-nice

    mu-nice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +650
    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะต้องขยันให้มากขึ้นอีก ไม่อยากเกิดแล้วน่าเบื่อชีวิต
     
  4. phak

    phak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    473
    ค่าพลัง:
    +458
    :cool:Anumo..tana..satu..naka.
     
  5. baimaingam

    baimaingam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    634
    ค่าพลัง:
    +880
    ขอโมทนาสาธุครับ...
    ...หันหลังคืนฝั่ง พ้นจากทะเลทุกข์...
    ...ทุกสิ่งอยู่ที่จิต ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่า...
    ...ปลูกพืชฉันใด ย่อมได้ผลฉันนั้น...
     
  6. Nirvanaja

    Nirvanaja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +162
    พระพุทธองค์และพระอรหันต์มีพระคุณสุดจะพรรณนาได้ สาธุ ๆ ๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...