สอบถามท่านผู้รู้คะ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Patsa P, 20 มิถุนายน 2012.

  1. Patsa P

    Patsa P Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +75
    ขอบคุณทุกๆกำลัชใจนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ให้คำแนะนำ ขอบคุณคะ
     
  2. pim_jai

    pim_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +568
    สรุปว่าไม่บาป และไม่ได้เป็นอนันตริยกรรมค่ะ เพราะหมอมาแจ้งแล้วว่าอาการหนักมาก อยู่ได้ไม่น่าจะถึงเช้า ตอนนี้อยู่ได้เพราะเครื่องช่วยหายใจ ยังงัยคนไข้ก็ตายแน่ และอีกอย่างนึงคุณเจ้าของกระทู้ไม่ได้มีเจตนาฆ่ามารดาให้ตายค่ะ ผิดศีลหรือไม่มันอยู่ที่เจตนา แต่ถ้าครั้งต่อไปเกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก คุณเจ้าของกระทู้ก็ไม่ควรทำเพราะ ทำไปแล้วคิดมาก จิตเศร้าหมอง อะไรที่ทำแล้วไม่สบายใจก็อย่าไปทำเลยค่ะ
     
  3. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    การฆ่าสัตว์และเบียดเบียนสัตว์ ต้องเป็นบาบเพราะได้ทำให้สัตว์เหล่านั้น ได้รับความเจ็บปวด ทุขเวทนา และเป็นบาบเนื่องด้วยเป็นการพรากชีวิตอันเป็นที่รักของญาติพี่น้องหรือบุคคลอื่นๆอันเป็นที่รักผู้มีความเกี่ยวพันธ์อยู่

    ทีนี้ มาดูว่า การฆ่า หมายถึงอะไร การตายหมายถึงอะไร การดับจิต กายธาตุแตกดับหมายถึงอะไร ลองพิจารณาดูให้ดีนะครับ กรณีนี้้การตายลักษณนี้มิใช่การฆ่าครับ ไม่ได้ทำบาบกรรมอะไรนะครับ อย่าไปกังวล และพิจารณาดูแล้ว ไม่ได้ก่อให้เกิดการเบียดเบียนอะไร และก็ไม่เห็นโทษที่จะมีตามมาครับ

    ทีนี้ ปัจจุบันนี้เราควรรู้นะครับว่าเราควรตอบแทนคุณท่านอย่างไร ใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ขอให้คุณมีจิตใจที่ดี ทำดีย่อมได้รับผลที่ดีเกิดขึ้นกับคุณแน่นอนครับ
     
  4. กาน้ำ

    กาน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +153
    ถ้าแม่จิตใจปกติและเซ็นต์ยินยอมไว้ล่วงหน้า ก็คงเป็นไปตามคำสั่งเสียนั้น

    แต่ในความเป็นจริงของความเป็นลูกนั้น ทำไม่ได้ เพราะการดึงสายออกซิเจน และเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อช่วยชีวิต
    เป็นการทรมานมากกว่า เพราะถ้าท่านหายใจได้เอง โดยไม่ติดขัดคุณหมอคงไม่ต่อสายออกซิเจนให้
    แต่เพราะท่านหายใจลำบาก เครื่องมือทางการแพทย์เลยต้องเข้ามามีบทบาท

    เรื่องพาแม่กลับบ้านไม่ทราบว่าแม่รับรู้ด้วยรึเปล่า ถ้าแม่รับรู้แม่อาจดีใจ แต่ความดีใจคงอยู่ได้ไม่นาน
    เพราะขาดออกซิเจน หายใจลำบากท่านคงทรมานน่าดู ขึ้นรถก็นอนกระเทือนบนรถ ถึงบ้านได้ครึ่งชั่วโมงขาดใจตาย
    ตายเร็วกว่าเวลาที่คุณหมดคาดการณ์เอาไว้ว่าจะไปตอนเช้าเสียอีก
    -------------------------------------------------------------------------
    แมวอีกตัว ตอนเจ้าของมารับเอาออกจากตู้ออกซิเจน ตาเหลือกเลย สรุปเจ้าของต้องสั่งเครื่องออกซิเจนพร้อมตู้
    ถึงได้รับแมวกลับบ้านได้ กลายเป็นแมวตู้ หมอบอกว่าตราบใดที่อยู่ในตู้เค้าจะอายุยืน
    แต่ถ้าตอนป้อนอาหารต้องเอาออกจากตู้ลำบากหน่อยคือต้องใช้คนป้อนกับคนจ่อท่อออกซิเจนเข้าจมูก
    -------------------------------------------------------------------------
    แมวที่บ้านช่วงใกล้ตาย ตอนเอาออกมาอุ้มจากตู้ออกซิเจนเพื่อเปลี่ยนผ้ารองซับและเปลี่ยนด้านเพื่อกันแผลกดทับ
    ตอนอยู่ในตู้ออกซิเจน กับอยู่นอกตู้ ลักษณะการหอบหายใจต่างกัน
    หมายความว่า การหายใจตอนไม่มีออกซิเจนช่วยทรมานกว่า

    ในมรณาสันวิถี จิตดวงสุดท้ายจะเป็นตัวกำหนดให้ไปเกิดสวรรค์ นรก มนุษย์ภูมิ อย่างแมวที่บ้าน
    จะบอกคุณหมอสัตว์เจ้าของไข้ไว้เลยว่าให้ดูแลเหมือนคนใกล้ตาย ให้ไปสบาย ไม่ให้ทรมาน
    เพราะการรู้สึกทรมาน หมายความว่าเกิดทุกขเวทนา ในจิตของแมวจะเกิดอกุศลจิตโทสะก่อนตาย ที่หมายคืออบายภูมิ

    เพราะอยากให้แมวเลื่อนภพภูมิที่ดีกว่านี้ จึงเปิดอภิธรรมให้ฟังตั้งแต่ต้นปี เพื่อใกล้ตายจิตจะสงบ
    กายไม่ทรมานเนื่องจากให้หมอฉีดยาระงับปวด หายใจไม่ลำบากเนื่องจากอยู่ในตู้ออกซิเจน
    ไม่ขาดอาหารเนื่องจากให้น้ำเกลือและสารอาหารผ่านเส้นเลือด นอนอยู่บนวอร์มแพคอุ่นสบายปูผ้านวมทับ

    ฟังอภิธรรมทุกวัน วันละหลายชั่วโมง ตอนไปเฝ้าไข้
    ถามอาจารย์สอนอภิธรรมบอกว่ามีโอกาสไปเิกิดเป็นเทวดา หรือมาเกิดเป็นมนุษย์ค่ะ
     
  5. hydraxis

    hydraxis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +529
    ผมว่านะ จะบาปไม่บาปอยู่ที่เจตนาของพวกท่านด้วย เคยถามท่านมั้งไหมว่าอยากไปสงบไหมแบบว่าจะถอดเครื่องหายใจไม่ใช่ ถอดเองเออเอง ถ้างี้ก็เรียกว่ากรรมมากกว่า ถ้าท่านเต็มใจเราก็อนุโมทนา ให้ท่านไปสู่สุขติภูมิ จะดีกว่าไหม ตามนั้นไป บางคนเรานอนป่วยได้ไปคุยกับ ยมทูต มารับแต่อยากอยู่ต่อทำอะไรนิดหน่อย ก็กลับมาเดินเหินได้ปกติ เลย ทำทุกอย่างเรียบร้อย หลังจากนั้นนอนตายอย่างสงบ :z15
     
  6. มังคละมุนี

    มังคละมุนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +608
    ชาวพุทธเรา ย่อมเชื่่อ ในกฎแห่งเหตุปัจจัย

    สมมุติว่าผู้ป่วยนอนป่วยอยู่ ด้วยลมหายใจ รวยรินใกล้สิ้นชีพเต็มที่
    จิตของเธอ กำลังระลึกถึงบุญกุศล ของตน และ สุคติภูมิ ที่ตนกำลังจะดำเนินไป

    ทันใดนั้น ลูก-หลาน เหลือบไปเห็น มอร์นิเตอร์สัญญาณชีพจร ที่แผ่วลง
    จึงตะโกนเรียก หมอและพยาบาล
    ทีมงาน หมอและพยาบาล ได้ทำการปั๊มหัวใจ ด้วยเครื่องช็อดไฟฟ้า(เพื่อช่วยชีวิต)

    แต่ด้วยความเจ็บปวดที่รุนแรง จากกำลังไฟไฟ้า
    จิตใจของผู้ป่วยที่กำลังจะทิ้งกายตน ก็หันมายึดเหนี่ยวร่างกายเป็นอารมณ์ ด้วยความหวงแหนชีวิตอีกครั้ง
    จิตระคนด้วยอกุศล จิตของเธอเศร้าหมองอย่างยิ่ง แล้ว เธอก็สิ้นใจลง ด้วยจิตที่เศร้าหมองนั้น

    จิตที่เศร้าหมอง ย่อมมีทุคติ เป็นที่หมาย

    เราจะโทษใครดี ในการไปสู่ ทุคติภูมิของผู้ตาย
    จะโทษ ญาติ
    จะโทษ หมอ
    หรือ จะโทษ จิตใจของผู้ตายเอง ที่ไม่มั่นคง ต่อกุศลจิต ของตน

    อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยได้เสียชีวิตลงแล้ว
    สิ่งที่ผู้มีชีวิตอยู่พึงกระทำได้คือ การอุทิศบุญ ให้แก่ผู้ตาย

    ผู้ที่มีชีวิตอยู่ควรศึกษา เรื่องการอุทิศบุญที่ถูกต้อง เพื่อที่ผู้ที่จากไปในภพอื่นจะได้รับบุญ ที่ส่งไปให้
    ลองศึกษา เรื่องการอุทิศบุญ เพราะเป็นเหตุปัจจัย ที่ผู้มีชีวิตพึงกระทำให้แก่ผู้ตายได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2012
  7. Patsa P

    Patsa P Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +75
    ขอบคุณนะคะที่แนะนำ ขอบคุณที่ไม่ถือโทษโกรธกันคะ
     
  8. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134

    การทำดีกับทุกสรรพสัตว์ ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้สัตว์ทั้งหลาย สะสมสัญญาที่ดีๆ เอาไว้ในสมอง สัตว์บางตัวอาจจะจดจำสัญญาเอาไว้ว่า มนุษย์นั้นใจดี อบอุ่น ชาติหน้าเขาจะได้เกิดไปเป็นมนุษย์ บางตัวอาจจะได้พบความสงบบางอย่างก่อนตาย อาจจะได้ไปเป็นเทวดา ตามกำลังบุญที่เคยทำไว้ก่อน

    สาธุๆๆ ผู้มีเมตตาอย่างแท้จริง
     
  9. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    กรณีนี้ไม่ต้องโทษใครหรอกครับ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยก่อนหน้าต่างๆ ที่ร้อยเรียงกันเท่านั้นเอง ไม่มีใครผิด เพราะมันคือวิบาก ของกรรมต่างๆ ทั้งดี และ ไม่ดี ที่เกิดมาก่อนหน้า
     
  10. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    แมวของตาปลา คงเก่งอภิธรรม อย่างตาปลาแน่ทีเดียว
    ที่เรากดไม่เห็นด้วย เพราะคุณไปว่าเขาทำอนันตริยกรรม
    แล้วใจของเขาจะเป็นอย่างไรไม่ทราบ??

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2012
  11. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682
    ผมมพิมพ์ก่อน ที่คนจะเอาคำสอนของหลวงพ่อมาโพส สรุปแล้วคือไม่บาป

    ผมมพิมพ์ก่อน ที่คุณ pim_jaiจะเอาคำสอนของหลวงพระเดช พระคุณของหลวงพ่อ

    มาโพส สรุปแล้วคือไม่บาป สรุปไปในทิศทางเดียวกัน ผมดีใจที่มาก

    ที่พูดไปแล้วไม่ขัดกับพระท่านสอน

    ส่วนของคุณ เลอะเทอะ!

    ไม่มีอะไรเป็นสาระ พูดวกไปวนมา

    อย่าเล่นคำให้มากนัก ธรรมะต้องตรงไป ตรงมา

    ผิดว่าเป็นผิด ถูกเป็นถูก ชี้ชัด อย่างที่ผม บอกเลยว่าไม่ผิด

    จะคุยอะไร ให้เป็นกรณีไป เป็นประเด็นไป

    โพสนี้ ผมคุยประเด็น ว่า การ เอาสายออกซิเจนออกบาป หรือไม่?

    แล้วผมก็ยกตัวอย่างมาเสริมเล็กน้อย

    ว่าเป็นกรณี กรณีไป ว่าไปเป็น case cace
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2012
  12. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    อนุโมทนา

    ...

    ใครสนใจ ภาวะของคนใกล้ตาย
    ลองศึกษาจากพระอาจารย์ ไพศาล วิสาโล
    ท่านช่วยเรื่องนี้มานานแล้ว คือช่วยให้สติคนป่วยที่กำลังจะตาย
    และสอนเรื่องความตายของผู้ที่เข้าภาวะที่จะต้องตายแน่นอน เป็นอย่างไร
    เราอาจไปคิดเอง ว่าเขาจะต้องทรมาน หรือไม่ก็ร้องห่มร้องไห้
    ทำให้ผู้ตายไม่อาจจากไปได้อย่างสงบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2012
  13. ศุภกร_ไชยนา

    ศุภกร_ไชยนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    627
    ค่าพลัง:
    +1,122
    คุณพิมใจ นำคำสอนของหลวงพ่อมาแล้ว เห็นชอบตามนั้น ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าเราเคยฟังหลวงพ่อพูดนะ กำลังจะหาว่าได้ยินได้รับฟังจากไหน พอเลื่อนมาข้างล่างเจอคุณพิมใจ ตอบไว้แล้ว
     
  14. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    แม้นร่างกายหมดความรู้สึกแล้ว เหลือแต่เพียงลมหายใจ
    เราก็ควรให้สติกับผู้ตาย เพราะจิตอาจยังรับรู้ได้
    หรือหมดลมหายใจภายนอก แต่ยังมีลมหายใจภายใน
    ไม่ใช่มัวแต่ไปยืดชีวิตให้ร่างกาย ทั้งที่เขาต้องตายแน่นอนแล้ว
    ..

    ปัจจุบันผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเสียชีวิตที่โรงพยาบาลขณะที่ร่างกายถูกพันธนาการไว้ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์เช่นเครื่องปั๊มหัวใจเป็นต้น อย่างนี้จิตใจจะนิ่งสงบได้อย่างไรครับ
    อันนี้คือปัญหา เพราะหมอ ญาติคนไข้ แม้กระทั่งผู้ป่วยก็ดี ส่วนมากมีความคิดว่าต้องการยืดชีวิตให้ได้มากที่สุด เห็นความตายแต่มิติด้านกายภาพ ทำอย่างไรถึงจะให้มีลมหายใจได้นานที่สุด ดังนั้นจึงคิดแต่จะหาทางปั๊มหัวใจ ฉีดยาและกระตุ้นทุกวิถีทาง แม้วิธีนั้นจะทำให้เจ็บปวดและรบกวนจิตใจ เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อว่าทางออกในยามนี้มีทางเดียวคือต้องยืดชีวิตให้ได้นานที่สุด แต่พุทธศาสนาบอกว่า จะยืดชีวิตให้ได้มากหรือน้อย ไม่สำคัญเท่ากับการรักษาใจให้สงบและเกิดปัญญา มันเป็นมิติด้านจิตใจซึ่งการแพทย์สมัยใหม่มองข้ามไป การแพทย์สมัยใหม่เขาไม่สนใจเรื่องจิตใจ เขาสนใจเพียงแต่ว่าจะยืดลมหายใจได้นานเท่าไหร่ เขาทำทุกวิถีทางแม้จะรู้ว่าต้องแพ้ ต้องตาย ก็ขอยืดให้ได้สักหนึ่งวัน สองวันก็ยังดี แต่ไม่ได้นึกว่าสิ่งสำคัญกว่านั้นคือทำยังไงจิตใจจะสามารถเผชิญความสงบได้ สามารถประคองจิตให้มีสติ ถ้าหากญาติผู้ป่วยและตัวผู้ป่วยเห็นตรงนี้ เขาก็จะถอดเครื่องมือทั้งหลายออก แล้วกลับไปตายที่บ้าน ถ้าเป็นคนป่วยที่มีฐานะอาจจะขอตายในห้องพิเศษที่โรงพยาบาลนั่นแหละ แล้วก็ค่อย ๆ รับความตายอย่างมีสติ เดี๋ยวนี้ก็มีหลายคน พอรู้ว่าจะต้องตาย เขาก็กลับไปตายที่บ้าน โดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่ หลายคนเขาเลือกไปตายที่บ้าน เพราะว่าหนึ่ง มันเป็นที่ที่เขาคุ้นเคย สอง เป็นที่ที่เขาจะได้อยู่กับลูกหลาน การได้อยู่กับลูกหลานเป็นความสุขในช่วงสุดท้ายของชีวิต รวมทั้งได้สั่งเสียอะไรต่างๆ หลายอย่าง
    อันนี้เป็นเรื่องที่ถ้าหากผู้ป่วยมีสติรู้ตัวอยู่ ก็ไม่ยาก แต่ถ้าอยู่ในภาวะโคม่า ญาติพี่น้องจะกล้าทำหรือเปล่า ถ้าญาติพี่น้องไม่เข้าใจเรื่องตรงนี้ และไม่เคยได้คุยกับผู้ป่วยมาก่อน ก็อาจไม่กล้า เพราะกลัวจะถูกหาว่าอกตัญญู คือคนมักคิดว่าถ้ารักพ่อรักแม่ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตายช้าที่สุด จะลงทุนเท่าไหร่ก็ยอม ต้องทำให้เต็มที่ เพราะถือว่าเป็นโอกาสสุดท้าย เรื่องนี้หมอมีบทบาทสำคัญในการชี้แนะ ถ้าเป็นหมอที่มีความรู้ความเข้าใจ หากคนไข้ไม่รอดแน่ หมอก็น่าจะแนะนำให้ไปตายอย่างสงบที่บ้านดีกว่า

    ในทางพุทธศาสนา การหมดลมหายใจหรือสมองไม่ทำงาน ถือว่าตายสนิทแล้วหรือยังครับ
    เป็นแค่ตายทางกาย ในทางพุทธศาสนาเชื่อว่า จิตอาจยังอยู่ บางทีหมดลมแล้ว จิตอาจยังไม่รู้ว่าตายด้วยซ้ำ เราเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ตายแล้วแต่ไม่รู้ว่าตาย เพราะมันเหมือนกับฝันไป เวลาคุณฝัน คุณไม่รู้หรอกว่าคุณหลับอยู่ คนตายแล้วบางทีเขาเหมือนกับคนฝัน เขาอาจจะเห็นโน่นเห็นนี่ แต่เขานึกว่าไอ้ที่เห็นมันเป็นความฝัน แต่ที่จริงที่เขาเห็นมันไม่ใช่ฝันแล้วนะ คือเห็นจริง ๆ แต่เห็นในภาวะที่จิตออกจากร่างแล้ว
    ทางทิเบตพูดเรื่องนี้ไว้ชัดเลยว่า ถึงแม้จะหมดลมแล้ว แต่จิตยังไม่ออกจากร่างทันที ต้องผ่านกระบวนการแตกดับภายใน จนถึงขั้นที่เรียกว่า "แสงกระจ่าง" ถึงตอนนั้นจึงจะตายอย่างแท้จริง แต่ก็มีนักปฏิบัติธรรมจำนวนไม่น้อยที่หมดลมไปแล้วหลายวัน แต่จิตยังไม่แตกดับอย่างถึงที่สุด เพราะจิตยังไม่ออกจากร่าง อย่างนี้เรียกว่าลมหายใจภายในยังไม่หมด แม้ลมหายใจภายนอกจะหมดไปแล้วก็ตาม ในทิเบตเวลามีใครตาย เขาจะไม่แตะหรือเคลื่อนย้ายร่างเลย เพราะไม่ต้องการรบกวนจิตที่กำลังอยู่ในภาวะที่ละเอียดอ่อน มีการปล่อยไว้ถึง ๓ วัน ๗ วัน หรือ ๑๐ วันก็มี ปรากฏว่าร่างไม่เน่าไม่ส่งกลิ่น หมอฝรั่งก็แปลกใจว่าทำไมไม่เน่า ที่ไม่เน่าเพราะยังไม่ตาย ถึงแม้ว่าลมหายใจหมดแล้ว นี่เป็นกรณีนักปฏิบัติธรรม แต่ถ้าไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม จิตจะแตกดับและหลุดจากร่างเร็วมาก อย่างไรก็ตาม เวลาใครตายญาติน่าจะปล่อยไว้นิ่ง ๆ สักครึ่งวันหรือหนึ่งคืน แล้วก็ร่วมกันสวดมนต์ภาวนา ทำสมาธิรอบ ๆ เตียงคนตาย ส่งจิตให้เขาได้รับกุศล แผ่เมตตาให้เขาได้รับความสงบเย็น
    อย่างกรณี สุภาพร พงศ์พฤกษ์ หลังจากหมดลมแล้ว เพื่อนก็ยังทำสมาธิและตีระฆังให้จิตรับรู้ เพราะตอนมีชีวิตอยู่เขาคุ้นกับเสียงระฆัง ถ้ามีเสียงแบบนี้ช่วย จิตก็จะน้อมไปในทางที่เป็นกุศลได้ง่าย อันนี้เป็นเรื่องที่คนไม่ค่อยได้คิด พอหมดลม ใครต่อใครก็พากันทำโน่นทำนี่กับศพ เตรียมทำความสะอาดศพบ้าง ฉีดน้ำยากันเน่าบ้าง บรรยากาศดูวุ่นวาย ไม่เอื้อต่อความสงบในขั้นสุดท้าย ที่จริงแม้กระทั่งตอนจัดงานศพแล้ว กระบวนการดังกล่าวก็ยังสำคัญอยู่ เพราะจิตก็อาจจะยังรับรู้ได้

    การรักษาของแพทย์แผนปัจจุบันดูเหมือนไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องของจิตใจใช่ไหมครับ
    ที่ผ่านมาไม่ค่อยมี แต่ตอนนี้เริ่มให้ความสำคัญแล้ว อย่างเช่นในหลายโรงพยาบาลในอเมริกาตอนนี้ เขาสนับสนุนให้ผู้ป่วยทำสมาธิภาวนาหรือสวดมนต์ เพราะจากการวิจัยพบว่า ผู้ที่สวดมนต์ภาวนาหรือสนใจศาสนา เวลาผ่าตัดใหญ่ พวกนี้จะหายไวกว่า โอกาสรอดมากกว่า ใช้ยาน้อยกว่า เคยมีการทดลองถึงขั้นว่าให้คนอื่นสวดมนต์ภาวนา แผ่เมตตาให้แก่ผู้ป่วย ปรากฏว่าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ใช้ยาน้อยลง เมื่อเทียบกับผู้ป่วยอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีใครสวดมนต์ภาวนาให้ หลายแห่งในยุโรปและอเมริกาจึงให้ความสนใจกับเรื่องจิตใจมากขึ้น ทำให้โรงพยาบาลสมัยใหม่เริ่มที่จะให้ความสนใจกับการดูแลรักษาจิตใจของคนใกล้ตาย แต่ก็ยังถือว่าเป็นกระแสรอง ไม่ใช่กระแสหลัก กระแสหลักก็เป็นอย่างที่เห็น คือพยายามช่วยยืดชีวิตเต็มที่ ใช้มาตรการทางการแพทย์ทุกอย่างเพื่อที่จะต่ออายุ ยืดลมหายใจ แต่สุดท้ายก็เป็นการยืดการตายมากกว่ายืดชีวิต ตอนนี้ในเมืองไทยก็มีหลายโรงพยาบาลที่ให้ความสนใจเรื่องนี้ อย่างเช่นที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ มีกลุ่มหมอและพยาบาลที่พยายามอนุเคราะห์ผู้ป่วยในเรื่องของจิตใจด้วย ไม่ว่ามุสลิมหรือพุทธ เพราะเขาเห็นเลยว่าหลายคน พอเอามิติทางศาสนาเข้าไป อาการกลับดีขึ้น ไม่ใช่แค่ตายอย่างสงบด้วยซ้ำ คือหายด้วย มีผู้ป่วยบางคนเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย รักษายังไงก็ไม่หาย บอกหมอว่าอยากอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน หมอก็ตอบสนองตามความต้องการ ปรากฏพอได้อ่านคัมภีร์อาการก็ดีขึ้นมาก จนออกจากโรงพยาบาลได้ ที่โรงพยาบาลรามาฯ ก็มีพยาบาลบางคนให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก ช่วง ๓-๔ เดือนที่ผ่านมา อาตมาได้รับนิมนต์ให้ไปพูดเรื่องนี้หลายที่ เช่น ที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี รวมทั้งในการประชุมของสมาคมพยาบาล ล่าสุดไปพูดที่คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในแวดวงพยาบาลมีการตื่นตัวมากขึ้นในเรื่องการช่วยเหลือทางจิตใจแก่ผู้ป่วยระยะสุดท้าย นี่เป็นนิมิตที่ดี

    คนปัจจุบันค่อนข้างรังเกียจความตาย แตกต่างจากคนสมัยโบราณหรือไม่
    คิดว่าต่างนะ เพราะความตายสำหรับคนสมัยใหม่ถือเป็นเรื่องที่ต้องห้ามมาก บางทีคำว่า "ตาย" ก็พูดไม่ได้ ต้องใช้คำว่า "จากไป" ในโรงพยาบาลฝรั่งเขาไม่เรียกว่าตาย เขาเรียก "expire" คือหมดอายุ ไม่กล้าพูดว่า "ตาย" เพราะถือเป็นเรื่องต้องห้าม คนไทย คนจีน เดี๋ยวนี้ก็เหมือนกัน พูดแล้วกลัวว่าจะเป็นลางไม่ดี อัปมงคล เพราะความคิด วิถีชีวิต โลกทัศน์ของคนสมัยนี้มองชีวิตและความตายแยกจากกัน
    [SIZE=-1]คนสมัยก่อน ความตายเป็นเรื่องที่เขาคุ้นเคย เพราะใคร ๆ ก็ตายที่บ้าน ตั้งแต่เล็กจนโต ก็คุ้นกับความตาย เวลาใครใกล้ตาย คนในหมู่บ้านก็จะไปช่วยเป็นเพื่อน เวลาตายก็ตั้งศพที่บ้าน สวดมนต์ที่บ้าน ต่อเมื่อจะเผาจึงหามไปเผาที่ป่าช้าหรือที่วัด แต่เดี๋ยวนี้ผู้คนจะถูกปิดกั้นไม่ให้รับรู้เรื่องความตาย เช่นไปตายที่โรงพยาบาล หรือในห้องไอซียู ซึ่งคนไม่ค่อยได้เห็น เมื่อตายแล้วก็ไม่ได้เห็นศพ เพราะว่าศพอยู่ในโลงและเผากันแบบมิดชิด เรียกว่าเป็นชีวิตที่ถูกแยกขาดจากความตาย เลยไม่คุ้นเคยกับความตาย เห็นความตายเป็นเรื่องน่ากลัว ทั้ง ๆ ที่สื่อมวลชน วิทยุ โทรทัศน์ ก็มีเรื่องความตาย แม้กระทั่งในวิดีโอเกมก็มีเรื่องความตาย แต่เป็นความตายแบบ second hand คือผ่านสื่ออีกทีหนึ่ง เป็นความตายแบบเทียม ๆ อิทธิพลของสังคมตะวันตกก็มีส่วนในการบ่มเพาะทัศนคติแบบนี้ วัฒนธรรมตะวันตกในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา เป็นวัฒนธรรมที่มองความตายว่าเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจมาก พอมันเข้ามามีอิทธิพลในสังคมไทย เราก็พลอยรับค่านิยมแบบนี้ไปด้วย [/SIZE]

    http://www.visalo.org/columnInterview/sarakadee.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2012
  15. pim_jai

    pim_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +568
    ในปัจจุบันนี้ถ้ามีผู้ป่วยในร.พ.อาการหนักมาก ดูท่าจะไม่รอด แพทย์ก็จะไปคุยกะญาติๆว่าจะให้ปั๊มหัวใจไหมถ้าชีพจรหยุดเต้น ซึ่งญาติผู้ป่วยก็เลือกได้ว่าจะให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบหรือว่าจะให้ช่วยปั๊มหัวใจ (CPR)เดี๋ยวนี้เลือกได้แล้วค่ะ
     
  16. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452

    ไม่เห็นจะตรงกับ กระทู้ที่ตั้งเลย

    ฟันธงครับ

     
  17. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452
    ผมมพิมพ์ก่อน ที่คนจะเอาคำสอนของหลวงพ่อมาโพส สรุปแล้วคือไม่บาป<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พรานยึ้ม [​IMG]
    หลักง่ายๆ
    ถ้าคุณฆ่าแม่คุณจริงๆ คุณน่ะติดคุกแล้ว ไม่มีทางพ้นมือกฏหมายไปได้

    เลิกกังวลได้แล้วครับ

    ให้ดูกฏหมาย กับ กฏคุณธรรม จะสอดคล้องกันอยู่เสมอ

    ผิดกฏหมายก็จะผิดธรรมไปด้วย แต่กฏหมายนั้นหยาบกว่า

    บางครั้งผิดทางธรรมแต่ไม่ผิดกฏหมาย

    แบบนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า คุณไม่ได้กระทำความผิดใดๆทั้งสิ้น

    สบายใจใด้...
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ pim_jai [​IMG]
    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    ถ้าลูกจะทำกับพ่อบาปไหม

    ผู้ถาม ลูกอยากถามหลวงพ่อเจ้าคะ คือผู้ป่วยที่อาการต้องตายแน่ มีเครื่องช่วยหายใจอยู่ แพทย์เขาสั่งให้เอาเครื่องช่วยหายใจออก เมื่อเอาออกแล้วเขาตาย จะบาปไหมคะ?
    หลวงพ่อ คนจะตายจะบาปยังไง ไม่ได้ฆ่าให้ตาย นั่นเครื่องช่วยหายใจ ถึงขืนช่วยไปก็ไม่ไหวแล้วเขาก็ต้องตาย ก็ไม่มีความสำคัญ คำว่าบาปก็ไม่มี ไม่ใช่ถ้ายังช่วยอยู่มีหวังจะฟื้นเราแกล้งเอาออก ไอ้นั่นจึงจะบาป เพราะมีเจตนานะ และไอ้การที่จะบาปนี่ ต้องมีการตั้งใจกลั่นแกล้ง หรือทำให้ตาย
    ผู้ถาม หลวงพ่อครับ ถ้าอย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นลูกกระทำ ถือว่าเป็น อนันตริยกรรม ไหมครับ?
    หลวงพ่อ เขาไม่บาป คุณฟังให้ดี...อย่าโง่ เรื่องไม่บาปก็ไม่เป็นอนันตริยกรรม ตัดคำว่าบาปนั้น ไม่มีเสียแล้ว เวลาฟังคำพูดต้องคิดตามเขาพูดเรื่องไหน จำหัวข้อคำพูดไว้
    หลวงพ่อ เอ้า...หมวด มีอะไรคุยไหมล่ะ เดี๋ยวต้องถามตำรวจยิงผู้ร้ายตายบาปไหม...บาปไม่บาป?
    ผู้ถาม บาปครับ
    หลวงพ่อ ฉันถามว่าตำรวจยิงผู้ร้ายตาย ฉันไม่ได้ถามว่าตำรวจยิงผู้ร้ายเฉยๆ (หัวเราะ) สอบตกแล้ว ผู้ร้ายมันตายแล้ว ไอ้นี่งานก็งาน การปราบปรามผู้ร้าย ถ้าเป็นผู้ร้ายจริงเขาจำเป็นต้องยิง ยิงให้ตายใช่ไหม ถ้าถามว่ามีโทษไหม...ต้องตอบว่ามีโทษ ถ้าถามว่าโทษทำบาปหนักไหม...ต้องตอบว่าไม่หนักมันมีนิดเดียวเพราะกำลังบาปนี่ไม่เท่ากัน ถ้าคนที่มีคุณมาก เราฆ่า...มีโทษมาก คนที่มีคุณน้อย เราฆ่า...มีโทษน้อย ไอ้คนจัญไรประเภทนั้นมันไม่มีคุณเลย แต่ว่าดับคนประเภทนั้นไปได้คนหนึ่ง คนอีกกี่คนที่มีความสุข
    ถ้าถามบาปมากไหม...คนเหมือนกันมันบาปไม่เท่ากัน หมวดนะ อย่างฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ นี่ไม่ต้องห่วงหรอกลงอเวจีดิ่งเลยใช่ไหม ถ้าฆ่าคนที่มีคุณน้อยไปกว่านั้น ยังไม่ถึงขั้นอเวจี และฆ่าคนที่มีคุณน้อยกว่านั้นอีก ก็เบากว่านั้นอีก ถ้าฆ่าคนจัญไรแบบนั้น มันมีบ้างเหมือนกัน มันแค่มีบ้างนะโยมนะ
    แต่ว่าทีนี้ถ้าตำรวจทำด้วยเจตนาดีคิดว่า ถ้าทำลายคนประเภทนี้เสีย คนอีกหลายแสนคนจะมีความสุข เพราะถ้าคนคนนี้อยู่คนเดียว มีความทุกข์ใช่ไหม บุญส่วนนี้เขามี บาปส่วนนั้นเขามีนิดเดียว นี่พูดกันตรงไปตรงมานะ จะคิดว่ายิงคนเหมือนกัน มีโทษเท่ากันนั้น...ไม่เท่า ก็ว่าตามธรรมนะ (ให้อ่านหัวข้อ ช่วยสงเคราะห์กระต่าย เปรียบเทียบด้วย-ผู้พิมพ์)


    ที่มา: ตอบปัญหาธรรมะ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำวัดท่าซุง
    http://www.larnbuddhism.com/grammathan/toppanha.html
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปุณบพิธ [​IMG]
    3 ประโยคนี้มันขัดกันเองครับ

    1. ถ้าคุณทำเช่นนั้นแล้ว คุณผิดกฎหมาย แต่ที่คุณทำ ไม่ได้ผิดกฎหมาย
    2. ผิดกฎหมาย คือผิดทางธรรมด้วย
    3. แต่ผิดทางธรรม อาจจะไม่ได้ผิดกฎหมาย

    เอา 3 ข้อมารวมกัน สรุปได้อย่างไร ว่า ไม่ได้ผิดกฎหมาย แปลว่าไม่ได้ผิดใดๆ ทั้งสิ้น

    ตรรกศาสตร์ขัดกันเองครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ผมมพิมพ์ก่อน ที่คุณ pim_jaiจะเอาคำสอนของหลวงพระเดช พระคุณของหลวงพ่อ

    มาโพส สรุปแล้วคือไม่บาป สรุปไปในทิศทางเดียวกัน ผมดีใจที่มาก

    ที่พูดไปแล้วไม่ขัดกับพระท่านสอน

    ส่วนของคุณ เลอะเทอะ!

    ไม่มีอะไรเป็นสาระ พูดวกไปวนมา

    อย่าเล่นคำให้มากนัก ธรรมะต้องตรงไป ตรงมา

    ผิดว่าเป็นผิด ถูกเป็นถูก ชี้ชัด อย่างที่ผม บอกเลยว่าไม่ผิด

    จะคุยอะไร ให้เป็นกรณีไป เป็นประเด็นไป

    โพสนี้ ผมคุยประเด็น ว่า การ เอาสายออกซิเจนออกบาป หรือไม่?

    แล้วผมก็ยกตัวอย่างมาเสริมเล็กน้อย

    ว่าเป็นกรณี กรณีไป ว่าไปเป็น case cace<!-- google_ad_section_end -->


    อยู่ในเนื้อเรื่อง อยู่ในงาน อยู่ในข้อความที่คุยกัน

    อยู่ในธรรม ดีมากครับ สุดยอดครับ

    ตัวจริงชัดเจนครับ

    ({) ฟันธงคราบ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มิถุนายน 2012
  18. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452

    โปรดกรุณาอยู่ในเนื้อหาด้วย

    จะไปไหน???

    หรือจะเปิดประเด็นไม่จบสิ้น

    (ผมมึนตรึบกับท่านจริงๆ)

    มั่วไปเรื่อย

    ({) ฟันธงครับ


     
  19. กาน้ำ

    กาน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +153
    กดซ้ำอีกพันครั้งก็ได้ค่ะ ไม่เป็นไร ต่างคนต่างความคิด ดูกันที่เจตนาเอาแล้วกัน
    ที่กล่าวเรื่องอนันตริยกรรมอย่างนั้นเพราะ อย่างที่ทราบ อย่างไรแม่ก็ตายแน่ และหมอบอกแล้วว่าจะตายช่วงเช้า
    เหตุการณ์มันจะดำเนินไปอย่างนั้น จนแม่ตายแล้วรับศพกลับบ้าน

    คุณจะไม่มาข้องเกี่ยวด้วยเลย อย่างดีก็อยู่ข้างเตียง คอยให้กำลังใจแม่ เปิดธรรมหรือบทสวดให้ฟัง
    เพื่อให้แม่หมดห่วงไปสบาย(โดยไม่ร้องไห้ฟูมฟาย จนแม่จิตใจห่อเหี่ยว จิตตกจนกลายเป็นห่วงกังวลลูกหลานขึ้นมา)
    -------------------------------------------------------------------------
    แต่คุณดันไปเร่งเวลาตายให้เร็วขึ้น
    ๑ โดยถอดสายออกซิเจน สายน้ำเกลือ เครื่องกู้ชีพทั้งหมด เพียงเพราะต้องการพาแม่กลับบ้าน
    ๒ อาการแม่หลังการถอดเครื่องกู้ชีพทั้งหมดออกแล้วเป็นอย่างไร
    ๓ นอนอยู่บนรถระหว่างทาง หน้าแม่ยิ้มแย้มมีความสุขไหม
    ๔ ถึงบ้านอีกครึ่งชั่วโมงตาย ตายอย่างสงบหรือทุรนทุราย
    -------------------------------------------------------------------------
    รายละเอียดก็ต้องถามใจเจ้าของกระทู้เอง ว่าความจริงมันเป็นอย่างไร ไม่ต้องตอบออกมาหรอก
     
  20. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    ขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียครับ

    -------------------------------------

    ในกรณีนี้ ผมเห็นว่าไม่เป็นบาปครับเพราะแม่คุณเสียชีวิตเอง ไม่เกี่ยวกับคุณ

    เครื่องช่วยหายใจ เป็นเครื่องยื้อชีวิต เพื่อให้ร่างกายผู้ป่วยฟื้นสภาพ

    แต่ถ้าแพทย์เห็นว่า ผู้ป่วยตายแล้ว(ศพที่ต่อเครื่องช่วยหายใจก็ดูเหมือนคนหายใจ) หรือหมดความสามารถในการฟื้นตัว (สมองตาย หรือ เสียความสามารถในการหายใจด้วยตนเองอย่างถาวร โดยไม่สามารถกู้กลับมาได้) แพทย์ก็จะให้ญาติถอดเครื่องช่วยหายใจเพราะใส่ไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...