สิ่งเร้นลับมหัศจรรย์(พบพระพุทธเจ้าที่นิพพานไปแล้ว)...และท่องยมโลก (มีคลิปครับ)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ผู้เตือน warn, 17 พฤษภาคม 2012.

  1. bosssky

    bosssky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +679
    พระท่านบอกว่า
    "พระนิพพาน ไม่ใช่ภาษาพูด
    พระนิพพาน ไม่ใช่ภาษาเขียน
    พระนิพพาน เป็นภาษาปฏิบัติ"
     
  2. หนุ่มทิพย์

    หนุ่มทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +152
    โดนนิมิต หลอกแล้วละ พบพระพุทธเจ้าที่นิพพานไปแล้ว <--- พระพุทธเจ้า ท่านนิพพานไปแล้ว จะมีอะไรอีก นิพพานเป็นอนัตตา ถ้า จขกท.บอกว่าเจอ ส่งสัยเจอนิมิตหลอกเอาแล้วแน่นอน

    ตามหลักพระอภิธรรม แล้วพระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ว่า จะไม่มีตัวเราอีกเมื่อนิพพาน ไป จะมีแต่หลักธรรม ที่ท่านได้ประกาศไว้ กับ พระสารีริขธาตุ เท่านั้น ในส่วนที่ปรากฏให้เห็นอาจจะเป็น เทวบุตรมาร ที่สามารถแปลงกายได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2012
  3. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ถ้าใครพบพระพุทธเจ้าพระองค์จริงในแดนนิพพานนะ ฝากถามพระองค์ท่านทีว่า ก่อนที่พระองค์จะดับขันธปรินิพพาน พระองค์ท่านตรัสไว้อนุญาตให้ "สงฆ์พึงถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้" ไม่ทราบว่าสิกขาบทเล็กน้อยที่พระองค์ตรัสถึงนี่คืออะไรบ้าง??

    เพราะขนาดพระอรหันต์ 500 รูปที่ทำสังคายนากันครั้งแรกยังตกลงกันไม่ได้เลย (แต่ที่แน่ๆ คือ ปาราชิก 4 ข้อนี่พระเถระทั้ง 500 รูปนั้นไม่มีใครเห็นว่าเล็กน้อย) และก็เป็นประเด็นที่ทำให้พระอานนท์โดนปรับอาบัติด้วยว่า ทำไมไม่ถามพระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพาน พระกัสสปะจึงเสนอให้สงฆ์ไม่ถอนสิกขาบทแม้แต่ข้อเดียว และเรื่องสิกขาบทเล็กน้อยนี้ก็เป็นประเด็นที่ทำให้สงฆ์แคว้นวัชชีประพฤติย่อหย่อนในอีกประมาณ 100 ปีหลังจากพระพุทธเจ้านิพพานเพราะเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าอนุญาตให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ จึงทำให้เกิดสังคายนาครั้งที่ 2 และทำให้สงฆ์แยกเป็น 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายที่เข้าข้างสงฆ์แคว้นวัชชี กับฝ่ายที่ไม่เข้าข้าง

    แต่ก็น่าคิดนะว่า ในเมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ คณะสงฆ์ที่ทำสังคายนาครั้งแรกซึ่งเป็นพระอรหันต์ 500 รูป ผู้ซึ่งเข้าถึงนิพพานอยู่ตลอดเวลาและบางรูปก็เป็น พระอรหันต์ประเภทวิชชา 3 , อภิญญา 6 , ปฏิสัมภิทา 4 , เอตทัตคะในด้านต่างๆ ซึ่งมีอิทธิฤทธิ และความแตกฉาน มากมาย ทำไมจึงไม่มีใครเข้าไปทูลถามปัญหาที่สงสัยกันว่า "สิกขาบทเล็กน้อยคืออะไร?" กับพระพุทธเจ้าที่ดับขันธปรินิพพานไปแล้วเลยทั้งๆ ที่ท่านเหล่านั้นทำสังคายนากันตั้งหลายเดือน
     
  4. Pra_THoNG

    Pra_THoNG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +739
    นิพพาน ครูบาอาจารย์ หลายท่าน บอก ว่า กิเลสตัณหา ที่มันดับ แต่จิต มัน ไม่ดับ

     
  5. isacice

    isacice สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2012
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +8
    ฮึ ฮึ ฮึ ฮึ ฮึ ฮึ ฮึ
     
  6. Chinaphat

    Chinaphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +157
    นิพพานมีจริง นิพพานมีสถานที่ที่มีความสุข ไม่เชื่อให้ไปลองปฏิบัติเองได้ครับ .. นิพพานไม่สูญ แต่คนที่คิดว่านิพพานสูญ ผู้นั้นจะสูญจากนิพพาน .. หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยบอกเอาไว้ ^^
     
  7. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    กายหยาบ ไม่ใช่ตัวตนแท้ อันนี้ตายไปก่หมดเชื้อ คือ ท่อนไม้ ดินน้ำลมไฟหมดเชื้อ หมดประโยชน์

    กายทิพย์ เป็นตัวตนอีกกายหนึ่ง ที่จะต้องได้รับการพัฒนาให้เป็น
    ตัวตนที่แท้ คือ เป็นอิสระจากการผูกมัด

    แต่สิ่งที่เราอยู่และฝึกกันคือ ฝึกกับกายหยาบ ซึ่งไม่ถูกต้อง ทั้งหมด
    จึงไม่ได้ไปไหน สิ่งที่จะฝึกกันให้ถูกต้องคือ การสัมผัสรู้ภายในจริงแท้ของ
    ใจ ซึ่งจะสัมพันธ์กับกายทิพย์ ฝึกรู้ว่ากายทิพย์(ใจ)ตนเป็นอย่างไร เศร้า
    แช่มชื่นหรือไม่อย่างไร แบบนั้น....จึงจะถูกต้องอย่างที่สุด

    ฝึกรู้กายหยาบ มันจะไม่ได้เรื่องอะไร....เพราะมันเป็น ของปลอม ของอาศัย
    ชั่วคราว

    ที่บอกว่ากายทิพย์ไม่เที่ยงด้วย เพราะรูปร่างของกายทิพย์จะแปรผันไปตาม
    อารมณ์ที่เกิด อารมณ์โกรธ ก่ รูปเป็นยักษ์ หรือมีเปลวไฟครอบส่งรังสีร้อนแรงเผาไหม้ อารมณ์ราคะ ก่ มีรูปเป็นยักษ์หืนกาม มีกลิ่นคาวๆ (แล้วแต่ภาวะอารมณ์) แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน บางคนอารมณ์สุนทรีหน่อย ก่มีรูปเป็นสัตว์ในตำนานเกี่ยวก้อยรัดกันนัวเนีย

    เรียกว่าแปรไปตามอารมณ์....พึงพออารมณ์ใดก่จะแปรเป็นรูปตามนั้น ตามปัจจุบันอารมณ์...

    ดังนั้นใครอยากเป็นอะไรก่ รักษาอารมณ์ นั้น ๆ

    เรียกว่า ความไม่เที่ยงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

    แต่สำหรับ เมื่อมนุษย์(กายทิพย์) ได้พัฒนากายตนเอง จนเป็นกายธรรมแล้ว ความทรงในรูป จะเสถียร จะไม่เปลี่ยนแปลง จะเรียกว่า มีความมั่นคง
    ในรูป จะเรียกว่า เที่ยงในรูป ก่ว่าได้

    จึงเป็นเช่นนี้

    กายธรรมของแต่ละคน ก่ จะแตกต่างกันตามบารมี

    จะไม่เหมือนกัน .... ความสวยงามแตกต่างกัน

    แตกต่างที่ ความดี ในคุณประโยชน์ที่เคยทำในอดีต

    แตกต่างกัน ....

    ความดี กับ บุญ แตกต่างกัน บุญ คือความสุขแบบโลกีย์

    ความดี คือ สิ่งดีงามที่มีเจตจำนงคือ การให้ ให้คือให้ ไม่หวังในการตอบแทน เพราะต้องการสร้างให้เกิดคุณประโยชน์แก่ผู้อื่น ธรรมชาติ และทุกสิ่ง นี่คือความดีที่แท้

    แต่บุญ คือ การให้เหมือนกัน แต่เป็นการหวังในสิ่งตอบแทน เป็นการให้ระดับต่ำมากๆ
     
  8. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    การให้ทานแก่ผู้ทรงศีลหรือนักบวช ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นอย่างไร

    คิดอย่างไรจึงจะเป็นความดี

    การให้เพื่อมุ่งหวังให้ผู้ทรงศีลผู้นั้น หรือนักบวชผู้นั้น ได้ไปสั่งสอนสัตว์โลก
    ให้สัตว์โลกนั้น ๆ ปฏฺิบัติอยู่ในศีลธรรมอันดีต่อไป ... (แทนเรา)

    นี่คือการให้ เพื่อให้ เพื่อรักษาความดีของโลกให้เจริญยิ่งขึ้น

    หากให้เพื่อศาสนาใด ศาสนาหนึ่งดำรงอยู่ คือการให้ที่ยังไม่บริบูรณ์
    สมบูรณ์ เพราะอารมณ์ขณะที่ให้คือการยึดมั่น ถือมั่นใน องค์กรศาสนา นั้นๆ
    ซึ่งองค์กรศาสนา นั้นๆ เป็นเพียงฉากตบตามวลมนุษย์ เท่านั้น เป็นเพียง
    สิ่งที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเรียกถึงเท่านั้้น

    ของจริงคือ การพัฒนาตัวตนของมนุษย์ (ตัวตนแท้) คือ พัฒนาตนเองให้ดำรง
    มีความเป็นเสถียรภาพทางอารมณ์ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยแวดล้อมที่จะทำ
    ให้ตนเองรู้สึกทุกข์ .... เปลี่ยนแปลงก่ทุกข์แล้ว ....

    ทุกข์เพราะมีเหตุ...อื่นอีกมากมาย ...
     
  9. ผู้เตือน warn

    ผู้เตือน warn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +688
    ควมาสุขที่แท้จริงของพวกท่านคืออะไร

    ลองค้นหากันสิ
     
  10. dede999

    dede999 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +12
    ดังที่หลวงปู่ชาสอนว่า
    "นิพพานก็อยู่กับวัฎฎสงสาร วัฎฎสงสารก็อยู่กับนิพพาน เหมือนกันกับความร้อนกับความเย็น มันก็อยู่ที่เดียวกันนั่นเอง ความร้อนก็อยู่ที่มันเย็น ความเย็นก็อยู่ที่มันร้อน เมื่อมันร้อนขึ้น มันก็หมดเย็น เมื่อมันหมดเย็นมันก็ร้อน"
    ทุกคนเข้าถึงได้ด้วยการปฏิบัติของตัวเอง ตามคติธรรมของท่านที่ว่า
    "ปฏิบัติให้มาก ทำให้มาก แล้วจะสิ้นสงสัย"
     
  11. dede999

    dede999 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +12
  12. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ใครเข้าใจว่านิพพานเป็นการสูญ นั้ันแลมิจฉาทิฏฐิ
    พระพุทธศาสนาไม่เคยสอนเช่นนี้ นี้คือคำสอนของจารวาก(หรือลัทธิวัตถุนิยม)
    ส่วนใครเข้าใจว่านิพพานมีตัวมีตน เป็นดินแดนนั้นนี่จนถึงกลับเรียกดินแดนพระนิพพาน หรือ เป็นสภาวะเหนือโลกบางอย่าง
    ให้จิตผู้ปฏิบัติธรรมนั้นเข้าถึงเป็นอะไรก็แล้วแต่ที่มีตัวมีตนนั้นแหละ นี่ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ
    นี้คือคำสอนของฮินดูสอนกัน ไม่ใช่พุทธศาสนา
    พึงเอาพรหมชาลสูตร สุตตันตปิฏก เล่มเก้า สูตรแรก มาตรวจสอบดูเถิดก็จะรู้ว่ามีทิฏฐิใดบ้างที่ไม่ใช่จุดมุ่งหมายสูงสุดของคำสอน
    ในพระพุทธศาสนาบ้าง ก็จะรู้เอง เข้าใจเอง

    แล้วทำอย่างไรจึ่งจักเข้าใจนิพพานในความหมายของพระพุทธเจ้า
    ก็ต้องพิจารณา เรื่องเหตุและปัจจัย ตามหลักอิทัปปัจจยตา
    ก็จักเข้าใจเอง ว่านิพพานนั้นเป็นเช่นไร?
    ดั่งพระพุทธองค์ตรัสสอนเรื่องนิพพานพระองค์ก็ทรงยกหลักธรรมนี้มาแสดง มิเคยอธิบายนิพพานเลยสักครั้ง แต่เมื่ออธิบายเรื่องนี้ผู้ฟังก็จะเข้าใจได้เองว่านิพพานที่พระองค์ทรงชี้ให้เห็นเป็นเช่นไร? แลกลายมาเป็นที่เราเรียกติดปากกันว่านิพพานคือการดับไม่เหลือเชื้อบ้าง นิพพานคือความว่างบ้าง คำเปรียบเปรยเหล่านี้เกี่ยวกับนิพพาน ก็ยืนพื้นมาจากการสอนเรื่องอิทัปปัจจยตาที่พระพุทธองค์แสดงทุกครั้งที่มีคนถามเรื่องนิพพานนี้ นั้นแล
    อย่างคำของพระอ.ชา
    "นิพพานก็อยู่กับวัฎฎสงสาร วัฎฎสงสารก็อยู่กับนิพพาน เหมือนกันกับความร้อนกับความเย็น มันก็อยู่ที่เดียวกันนั่นเอง ความร้อนก็อยู่ที่มันเย็น ความเย็นก็อยู่ที่มันร้อน เมื่อมันร้อนขึ้น มันก็หมดเย็น เมื่อมันหมดเย็นมันก็ร้อน"

    แท้จริงแล้วก็ชี้ให้เห็นนิพพาน ผ่านคำสอนเรื่องสุญญตา(ว่างจากความคิดทวิลักษณ์แบบคู่ๆๆ เช่น เกิดกับตาย ดีกับชั่ว มีกับไม่มี นิพพานกับสังสาระ) นั้นแล ซึ่งอย่างที่รู้กันดีว่าสุญญตาก็คือการสรุปย่อลงไปอีกขั้นของเรื่อง อิทัปปัจจยตานั้นแล

    อันตัวลุงนี้หรือจักไม่อธิบาย เพราะพูดไปก็เท่านั้น คนเข้าใจก็ดีไปคนไม่เข้าใจก็จักด่าเอาว่า กล่าวตรู่พระธรรม จนถึงกลับชังน้ำหน้ากันเอา แลเข้าทำนองว่าพูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียตำลึงทอง แลพูดแค่นี้ คนที่เข้าใจหลักพุทธธรรมบ้างก็จักรู้เองว่า อันตัวข้ากำลังบอกสิ่งใด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 พฤศจิกายน 2012
  13. นะโม12

    นะโม12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +245
    ^

    นี่ขนาดจักไม่อธิบาย นะป๋าเทพ
    ฟาดไปหลายบรรทัดเลย ^^
     
  14. รักษ์11

    รักษ์11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +516
    นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...