อนัตตา แต่เดิมไม่เคยมี หากแต่เป็นเพราะชนรุ่นหลังว่ากันเอง แต่อัตตานั้นมีจริง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 7starshido, 1 มิถุนายน 2012.

  1. 7starshido

    7starshido สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +7
    ในความหมายของกระทู้นี้ หมายความว่า แต่เดิม พุทธพจน์ ไม่ได้ว่าอย่างนั้นครับ

    ส่วนในความเป็นจริงนั้น อนัตตา ก็มีในเชิงสัมพัทธ์ คือไม่มีอยู่จริง เพราะสัมผัสไม่ได้ อย่างวิญญาณ ก็ถือว่ามีตัวตน แต่ไม่มีรูป วิญญาณ จึงเป็นอัตตา จิตก้เป็นอัตตา ไม่ใช่อนัตตา ต่อเมื่อจิตดับแล้วโดยสนิท นั่นจึงเป็น อนัตตา


    yimm
     
  2. 7starshido

    7starshido สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +7

    พุทธพจน์เป็นรูปแบบที่มีเหตุและผล อาทิ

    อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ = ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน,
    โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส ม ํ ปสฺสติ = ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเราตถาคต,
    โย ม ํ ปสฺสติ โส ธมฺมํ ปสฺสติ = ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม,
    โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส ปฏิจจสมุปฺปทามํ ปสฺสติ = ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท,
    โย ปฏิจจสมุปฺปทามํ ปสฺสติ โส ธมฺมํ ปสฺสติ = ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นย่อมเห็นธรรม ฯลฯ

    ลงไปค้นดูนะครับว่า เป็นแบบนี้จริงหรือเปล่า?

    พุทธพจน์ ไม่มีคำโดด 3 คำ จะเป็นไปในรูปแบบประกอบด้วยเหตุและผล ดังนั้น ทุขขํ อนิจจํ อนัตตา จึงเป็นดังที่ผมว่าไปแล้วในกระทู้


    yimm
     
  3. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    - อย่างที่คุณยกมา
    อัตตา หิ อัตตาโน นาโถ
    = ตน เป็น แห่งตน ที่พึ่ง


    แต่ถ้าคุณแปล อนิจจัง ทุกขัง อนั?ตา ว่า ยึดติดกับสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่สิ้นสุด
    ทำไมจึงมีเพียง ไม่เที่ยง ทุกข์ ไม่สิ้นสุด
    แทนที่จะเป็น ยึดติด ไม่เที่ยง ทุกข์ ไม่สิ้นสุด
    คำว่ายึดติดหายไปไหน

    ผมจึงสรุปว่า คุณนั่นแหละที่มาแต่งเติมเสริมแต่ง บิดเบือนความหมาย

    - ที่ผมบอกว่าเป็นคำโดด 3 คำ ไม่ใช่ดูแค่การเว้นวรรคครับ แต่ต้องดูรูปคำ
    ภาษาบาลีต่างกับไทยที่มีการเปลี่ยนรูปคำตามหน้าที่ของแต่ละคำในประโยค แต่เปลี่ยนยังไงรอผู้รู้มาตอบละกัน

    ยกตัวอย่างภาษาอังกฤษก็ได้ อาจเห็นภาพมากขึ้น
    เช่น good = ดี
    ถ้าภาษาไทย เขาเป็นคนดี, ความดี, สวยดี ใช้คำว่า ดี เหมือนเดิม
    แต่ภาษาอังกฤษ
    He is good.
    He is a well person. พอเป็นคุณศัพท์เปลี่ยนจาก good เป็น will
    เป็นต้น
    ดังนั้น ถ้าเอา อนันตาไปขยายทุกขัง(อย่างที่คุณแปล) จะตัดสระอาออกไป กลายเป็น เป็นอนันตทุกขัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2012
  4. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    เมื่อเห็นแล้วว่าพระไตรปิฎกกล่าวถูกต้อง
    ผมก็เชื่อว่าสรรพสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตาตามที่พระพุทธเจ้ากล่าวดังจะยกตัวอย่างให้ดูต่อไป
    ก่อนอื่นต้องแยกระหว่าง คำว่า ไม่มีอยู่/ไม่ปรากฏ กับ ไม่มีตัวตน
    เพราะพระพุทธเจ้าบอกว่า สรรพสิ่งต่างๆเป็นอนัตตา แต่ขณะเดียวกันพระพุทธศาสนาเห็นว่าทุกสิ่งเป็นของดำรงอยู่ มีอยู่จริง ทางวิทยาศาสตร์ก็กล่าวว่าสรรพวัตถุมิได้ศูนย์หายไปจากโลก ภายใต้รัศมีแห่งแสงจันทร์ไม่มีอะไรเป็นของใหม่
    อย่างเช่น เรามีจานเปล่าหนึ่งใบ ต่อให้มีหยดน้ำหนึ่งหยดในจานก็ยังเรียกจานเปล่า เพราะเรารู้ว่าอีกไม่นานน้ำนั้นก็จะระเหยหมดไป แต่ถ้าหยดน้ำนั้นไม่มีทางระเหย เราก็ย่อมไม่เรียกจานใบนั้นว่าจานเปล่า

    ดังนั้น คำว่า อนัตตา คงไม่ได้แปลว่า ไม่มี /ไม่ปรากฏ/ไม่เกิดขึ้น

    ลอง search จากวิกิ
    อนัตตา หมายถึง
    - 1. เป็นสภาพว่างเปล่า คือหาสภาวะที่แท้จริงไม่ได้
    เช่น จิต วิญญาณ พลังงาน แสงแดด เงา (มีอยู่จริง แต่จับต้องไม่ได้ ไม่ใช่สสาร)
    - 2. หาเจ้าของมิได้ คือไม่มีใครเป็นเจ้าของแท้จริง สงวนรักษามิให้เปลี่ยนแปลงไม่ได้
    จึงไม่ได้ดูแค่ปัจจุบัน แต่ต้องมองระยะยาวตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคต
    เช่น กระถางต้นไม้ที่บ้านของเราเกิดจากดิน สุดท้ายก็แตกสลายโดยปัจจัยต่างๆกลายเป็นดินดังเดิม หรือไปอยู่บ้านคนอื่นก็เป็นของคนอื่น
    แม้แต่ดินก็ประกอบด้วยโมเลกุล โมเลกุลก็ประกอบด้วยอะตอมของธาตุต่างๆ ซึ่งธาตุหนึ่งก็เปลี่ยนไปเป็นอีกธาตุหนึ่งได้
    - 3. ไม่อยู่ในอำนาจ คือไม่อยู่ในบัญชาของใคร ใครบังคับไม่ได้ เช่น บังคับมิให้ร่างกายแก่ไม่ได้
    - 4. แย้งต่ออัตตา คือตรงข้ามกับอัตตา เช่น ไม่ใช่เรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...