วินาทีที่คุณจะจากโลกนี้ไป คลิปวีดีโอนี้ จะให้สติคุณได้ก่อนที่จะถึงเวลานั้น

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 15 พฤษภาคม 2012.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    นาทีที่ 37 ครับ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=OI69FQRIGkI]แม่...ไม่ต้องร้องไห้ ตอนที่ 2 - YouTube[/ame]

    ที่มา PANTIP.COM : Y12092932
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระพุทธเจ้าสอนว่าตายแล้วเกิด หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
    พระพุทธเจ้าสอนว่าตายแล้วเกิด
    ให้ได้ยินเสียเถอะว่าหมอมาทำบุญ ชอบไปวัดไปวา เราอยากได้ยินเหลือเกินส่วนมากหมอไม่ค่อยเข้าวัด เอาธรรมออกเตือนถ้าหากยังมีอุปนิสัยวาสนาอยู่บ้างให้เข้าวัดเข้าวา หมอนั่นมันพลิกเป็นหมาก็ได้นะ อ้าว เป็นได้ หมอเป็นหมาก็ได้ ความคิดนั่นละมันพาให้เป็นหมอเป็นหมา คือเรียนสรีรศาสตร์เรียนวิชาหมอนี้เพื่อแก้โรคแก้ภัย ประสาทส่วนต่างๆ มันทำงานของมันอย่างไรๆ แล้วกระทบกระเทือนอะไร เกิดโรคภัยอย่างไร จะควรแก้ไขอย่างไร นี่หมอเรียนทางสรีรศาสตร์ไปทางแก้โรคแก้ภัย
    ส่วนพระพุทธเจ้าและสาวก ตลอดพระทั้งหลายเรานี้เรียนสรีรศาสตร์เพื่อลงในกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ความเป็นของไม่จีรังถาวรอะไร แล้วถอนจิตจากความยึดมั่นถือมั่นเลิศตรงนี้ ผู้เรียนสรีรศาสตร์ทางแก้กิเลสนี่เลิศ เรียนทางแก้โรคแก้ภัยก็เป็นธรรมดา แต่เรียนแก้กิเลสนี่เลิศ เราได้เห็นหมอห่างๆ หมอที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับวัดกับวาเชื่อบุญเชื่อกรรมจริงๆ รู้สึกว่ามีน้อยมาก ส่วนประชาชนน่าจะมีเต็มบ้านเต็มเมือง มันไม่ค่อยเชื่อบุญเชื่อกรรมแหละ เข้าใจไหมล่ะ
    นี่ละมันทำสัตว์ให้จม กิเลสมันบีบบังคับให้เชื่อมัน ความไม่เชื่อบุญเชื่อกรรม เชื่อบาปมีบุญมีก็คือกิเลสมันไม่ให้เชื่อ ตายแล้วเกิด-เชื่อบุญเชื่อกรรมนี้เป็นฝ่ายธรรมะมีวาสนาอยู่พอสมควร ตายแล้วสูญนี้จม พวกตายแล้วสูญจม ขัดต่อหลักธรรมชาติความจริงมากทีเดียว คือตายแล้วมันไม่สูญ แต่กิเลสมันบอกว่าสูญ ตายแล้วสูญไม่มีอะไรต่อไปอีก สูญหมดเลย เรียกว่าผิดเสียเต็มเหนี่ยว
    อันนี้นักภาวนายันกันได้เลย เราลงร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าตายแล้วเกิด ลงร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยจิตตภาวนาตามทางของศาสดา พระพุทธเจ้าสอนว่าตายแล้วเกิด เกิดเป็นนั้นเป็นนี้ อันนี้เป็นอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วของสัตว์แต่ละรายๆ พระพุทธเจ้าแหละสอน ทุกพระองค์สอนแบบเดียวกันหมด ไม่ขัดไม่แย้งกัน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สอนว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี ตายแล้วเกิด กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เป็นต่างๆ กัน ให้ประณีตเลวทรามต่างกัน นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
    พระพุทธเจ้าไม่มีเพียงองค์เดียวเรานี่นะ ถ่ายทอดกันมาเรื่อยๆๆ แต่ก็เป็นธรรมชาติของท่านเอง ท่านไม่ได้ไปเรียนจากกันนะ พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ ที่ได้ตรัสรู้ขึ้นมาจากความปรารถนาที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ดำเนินตามแนวทางที่ปรารถนาแล้วนั้นมันก็ไปตามเส้นทางนั้นละ เมื่อเต็มที่แล้วก็เป็นพระพุทธเจ้าเต็มองค์ขึ้นมา สาวกภูมิคือสาวกผู้ได้ยินได้ฟังจากพระพุทธเจ้าแล้วมาปฏิบัติก็เป็นสรณะของโลกได้ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นี่เรียกว่าเป็นสรณะของโลกได้ เป็นสรณะของตัวได้แล้วก็เป็นสรณะของโลกได้
    คำว่าตรัสรู้ธรรม-บรรลุธรรมนี้ ไม่มีใครจะมีอำนาจเหนือกรรมของผู้บำเพ็ญไปได้เลย ผู้บำเพ็ญอย่างไรๆ นั้นละการสร้างกรรม ปรารถนาเช่นอย่างเป็นพระพุทธเจ้านี้ก็ต้องดำเนินตามความปรารถนาเรื่อยๆ พอเต็มภูมิแล้วก็เป็นศาสดาขึ้นมาได้ แต่ส่วนมากล้มเหลวนะ คือมันลำบากมาก ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านี่ลำบากมากที่สุดเลยกว่าจะได้มาเป็นศาสดาสอนโลก
    เพราะฉะนั้นคำว่าพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เวลาได้มาแล้วสอนแม่นยำ เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบทุกบททุกบาท ทุกขั้นทุกภูมิ ทั้งดีและชั่ว นรก-สวรรค์-พรหมโลก-นิพพาน ตลอดเปรตผีสัตว์ประเภทต่างๆ ออกจากพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าทั้งนั้นแหละ นั่นละเรียกว่าภูมิของศาสดา โลกวิทูรู้แจ้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง โลกผีโลกคนไม่เลือก รู้ได้หมด กว่าจะได้มาเป็นศาสดาของง่ายเมื่อไร
    คำสอนของพระพุทธเจ้าแน่นอนมากทีเดียว ไม่มีผิดมีเพี้ยน จึงเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ดังที่เราสวดทุกวัน สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วหรือตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่ว่าธรรมขั้นใดๆ ตลอดภูมิของสัตว์ ขั้นใดภูมิใดของสัตว์รู้หมด นรกอเวจีมีกี่หลุมรู้หมด สัตว์ที่ไปตกนรกแต่ละรายๆ สร้างกรรมอะไรมาๆ รู้หมด แต่ท่านไม่ค่อยพรรณนา เพราะไม่ค่อยเกิดประโยชน์ สอนเท่าที่จะเกิดประโยชน์ ว่าให้ชำระชั่วทำดี แล้วมันจะไปทางดี จะไม่ไปทางชั่ว นี่ละที่ว่าพระพุทธเจ้าโลกวิทูรู้ตลอดทุกตัวสัตว์ ที่ไปตกนรกหมกไหม้ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมอะไร มาจากอะไรๆ รู้หมด นี่ละศาสดาแท้จึงเรียกว่าโลกวิทู รู้แจ้งรอบ โลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง
    ให้พากันจำเอานะ คำสอนของพระพุทธเจ้าแน่นอนสุดยอดแล้ว จะไปหาคำสอนอื่นใดไม่มีแล้ว พิสูจน์กันทางด้านจิตตภาวนา จะทราบกันตามกำลังของตัวเอง มาลงภาวนานะ การทำบุญให้ทานทุกประเภทลงทำนบใหญ่คือภาวนา ยกสัตว์ให้พ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง ให้เชื่อเถิดเชื่อพระพุทธเจ้า ไม่มีใครจะพูดได้ถูกต้องแม่นยำเหมือนศาสดาองค์เอก ทั่วโลกนี่งูๆ ปลาๆ ทั้งนั้นแหละ ไม่มีคำสัตย์คำจริง หลอกตัวเองแล้วก็หลอกคนอื่น หลอกตัวเองหลอกวันยังค่ำ ถ้าว่าจะไปทางดิบทางดีแล้วยุ่งนั้นยุ่งนี้ ถ้าว่าจะลงเหวลงบ่อ โอ๋ย เร็วยิ่งกว่าลิงร้อยตัวสู้ไม่ได้ มันเร็วทางชั่วเร็ว ทางดีไปยาก
    คำว่าทางดีไปยากนี้หมายถึงเริ่มต้นทำบุญให้ทานยาก ความตระหนี่นั่นละเข้าไปกีดขวาง เจ้าของกินมาเท่าไรๆ ถ้าจะแบ่งกินแบ่งทานมันหวงอันนั้นละ ส่วนที่เจ้าของจะกินนี้กินจนท้องแตกมันก็หวงตลอด ท้องแตกไปหาท้องใหม่มาอีกถ้าหาได้นะ แต่นี้เขาไม่มีท้องขายละซิ ตามตลาดลาดเลใครกินมากท้องแตกไปซื้อท้องใหม่มาไม่มี เพราะฉะนั้นจึงต้องสงวนท้อง อย่ากินมากเกินไป กินมากใช้มากสุรุ่ยสุร่าย ให้มีประหยัดมัธยัสถ์ รู้จักขอบเขต รู้จักฐานะของตัวเอง การใช้สอยกินอยู่ปูวายทุกอย่าง อย่าเห็นเขาทำอะไรก็ทำตามเขา ฐานะของเจ้าของไม่เป็นอย่างนั้นมันก็เป็นไปไม่ได้ละ
    วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละพากันจำเอา ให้ไปปฏิบัติ นี่อีกวันสองวันก็ทำบุญช่วยโลกธาตุ ไม่มีญาติมีวงศ์ก็ตาม ธรรมดาเขาทำบุญให้ทานเขาจะเจาะจงสำหรับญาติวงศ์ เวลาญาติวงศ์มาทำบุญให้ทานนี้ก็ได้รับจากนั้นๆ จากญาติจากวงศ์ อันนี้เรียกว่าสาธารณะเลย ให้ได้ด้วยกันหมด ส่วนบุญส่วนกุศลที่ทำบุญเพื่อโลกธาตุไม่ว่าผู้ใดได้รับส่วนบุญได้ทั้งนั้น ได้ด้วยกัน นี่เรียกว่าทำบุญเพื่อโลกธาตุ เอาละพอ จะให้พร

    ที่มา Luangta.Com -
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=qUipQSTzUdE]ธิดาช่างหูก.wmv - YouTube[/ame]
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย มรณัสสติอันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๒ หน้าที่ ๒๗๙/๔๐๗
    ๙. มรณัสสติสูตรที่ ๑
    [๒๙๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปราสาทสร้างด้วยอิฐใกล้บ้านนาทิก
    คาม ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น
    ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย มรณัสสติอันภิกษุเจริญ
    แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด ดูกร
    ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายย่อมเจริญมรณัสสติหรือ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้
    ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดคืน
    หนึ่งวันหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ข้าแต่
    พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดวัน
    หนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ข้าแต่พระองค์
    ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ชั่วขณะที่ฉัน
    บิณฑบาตมื้อหนึ่ง เราพึงมนสิกาคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ชั่วขณะที่
    เคี้ยวคำข้าวสี่คำกลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ชั่วขณะที่
    เคี้ยวข้าวคำหนึ่งกลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเราพึงกระทำกิจให้มาก
    หนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะ
    ที่หายใจเข้าแล้วหายใจออก หรือหายใจออกแล้วหายใจเข้า เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้
    มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติ
    อย่างนี้แล ฯ
    เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดคืนหนึ่งวันหนึ่ง เราพึง
    มนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติ
    อย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดวันหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค
    เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่าโอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่ว
    ขณะที่ฉันบิณฑบาตมื้อหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเราพึงกระทำกิจให้มาก
    หนอและภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่เคี้ยวคำข้าวสี่คำ
    กลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้เรากล่าวว่า เป็นผู้ประมาท เจริญมรณัสสติเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะ
    ทั้งหลายช้า ส่วนภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่เคี้ยว
    ข้าวคำหนึ่งกลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
    และภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่หายใจเข้าแล้วหายใจ
    ออก หรือหายใจออกแล้วหายใจเข้า เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำ
    กิจให้มากหนอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้ เรากล่าวว่าเป็นผู้ไม่ประมาท ย่อมเจริญมรณัสสติ
    เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลาย
    พึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลาย จักเป็นผู้ไม่ประมาท จักเจริญมรณัสสติเพื่อความสิ้นไปแห่ง
    อาสวะทั้งหลายอย่างแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ
     
  6. หนีทุกข์

    หนีทุกข์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +70
    อนุโมทนาสาธุค่ะ พวกเราเดินทางเข้าหาความตายกันทุกคน ในขณะที่ยังหายใจอยู่ ไม่ควรประมาทและทำบุญ ทำสิ่งดีๆเยอะๆ เพราะเราไม่อาจรู้ได้แน่นอนว่าเมื่อไหร่ความตายจะมาถึงเรา.....
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ตายแล้วไปไหน?

    ภิกษุทั้งหลาย !
    ถ้าบุคคลย่อมคิดถึงสิ่งใดอยู่ (เจเตติ)
    ย่อมดำริถึงสิ่งใดอยู่ (ปกปฺเปติ)
    และย่อมมีจิตฝังลงไปในสิ่งใดอยู่ (อนุเสติ)
    สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาณ.
    เมื่ออารมณ์ มีอยู่,
    ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณ ย่อมมี;
    เมื่อวิญญาณนั้น ตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว,
    ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไป ย่อมมี;
    เมื่อความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไป มี,
    ชาติชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วนต่อไป :
    ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
    นิทาน. สํ. ๑๖/๗๘/๑๔๕.

    พระสูตรนี้คือ ก่อนลมสุดท้ายจิตคิดถึงสิ่งใด ก็จะไปเกิดในสิ่งนั้น...


    ***ถามว่าถ้าไม่ฝึกจิตวันนี้ แล้วเมื่อถึงนาทีนั้นจิตสุดท้ายจะเป็นอย่างไร?


    พุทธบริษัทที่ดี..ต้องไม่ประมาท

    ที่มา ตายแล้วจะไปไหน?...อยากทราบต้องเข้ามาอ่าน
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ตายแล้วเกิด-ตายแล้วไม่เกิด

    ในโอกาสวันล้ออายุปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ท่านอาจารย์พุทธทาสได้แสดงธรรมในช่วงบ่ายของวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๔ เป็นส่วนหนึ่งในหัวข้อธรรมบรรยายที่ท่านตอบผู้ข้องใจ หรือ ตอบผู้โจษจ้วงท้วงกล่าวหาท่านที่มีมาในสังคมไทย.


    ๔. ตายแล้วเกิด-ตายแล้วไม่เกิด

    ปรัศนี: เขากล่าวหาท่านอาจารย์ว่า ได้พูดว่าพระพุทธเจ้าท่านห้าม ไม่ให้พูดว่า ตายแล้วเกิด หรือตายแล้วไม่เกิด.. คือพระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ใครพูดว่าตายแล้วเกิดก็บาป ใครพูดว่าตายแล้วไม่เกิดก็บาป นี่มันอย่างไรกันครับ?

    พุทธทาส: นี่สำนวนพูดที่เขาเอาไปพูดใหม่ เราไม่ได้ใช้สำนวนอย่างนี้ แต่ใจความอย่างนี้ที่ว่า ตามหลักของพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านมีบัญญํติสัมมาทิฎฐิ ว่ามีแต่สังขาร หรือธรรมชาติล้วนๆ ปรุงแต่งกันไป ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่มีใครตายแล้วเกิด คือไม่มีคน นี่จึงพูดไม่ได้ว่า ตายแล้วเกิด หรือตายแล้วไม่เกิด นี้เขาพูดกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า คือ ก่อนพระพุทธเจ้านั้น เขามีการเชื่อว่า มีสัตว์ มีบุคคล มีวิญญาณ มีเจตภูต ที่เข้าร่างออกร่าง แล้วก็นี่แหละตายแล้วก็ไปเกิด ทีนี้บางพวกก็ว่าไม่เกิด มันเถียงกันเองอยู่แล้ว ก่อนพุทธกาล

    พวกหนึ่งเหวี่ยงซ้ายสุดว่า ตายแล้วเกิด อีกพวกหนึ่งเหวี่ยงสุดขวาว่า ตายแล้วไม่เกิด มันก็ทะเลาะกันมาอย่างนี้อยู่แล้ว ก่อนพุทธกาล

    พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาในโลกนี้ ก็พบว่า พูดอย่างนั้นมันไม่ถูก ถ้าแกจะเชื่อ จะใช้คำว่า ตายแล้วเกิดนี้ ก็ยังพูดอย่างนั้นไม่ได้ จะต้องพูดว่า ถ้าเหตุปัจจัยสำหรับให้เกิดมันมี มันก็จะเกิดแหละ; ถ้าเหตุปัจจัยสำหรับให้เกิดไม่มีมันก็ไม่เกิดแหละ นี่เรียกว่า พูดอย่างสมมติโลกียโวหาร ถ้าพูดให้อย่างถูกต้องเป็นโลกุตตรโวหารละก็พูดว่า ไม่มีคนโว้ย ไม่มีคน ไม่มีคนตะโกนให้ลั่นไปหมดว่า ไม่มีคน

    ดังนั้น จึงพูดไม่ได้ว่าใครตาย หรือใครเกิดหรือตายแล้วเกิด หรือตายแล้วไม่เกิด นี่พูดไม่ได้ทั้งนั้น พูดว่าไม่มีคน นั่นแหละถูกที่สุด จะเป็นลัทธิอปัตตาสุญญตา สอนให้เห็นว่ามี ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรมีเยอะแยะไป แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงกระแสปรุงแต่งแห่งสังขาร ตามกฎของอิทัปปัจจยตา
    มันเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของสังขารไปตามกฎแห่งสังขาร ไม่มีคน ไม่มีคนแลว้จะมาใช้คำว่า ตาย-เกิด ใครตายใครเกิด มันก็ไม่ถูก บอกว่าไม่มีคน มีแต่กระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงของสังขาร อย่างนี้ไม่เป็นนัตถิกทิฎฐิ ซึ่งปฏิเสธว่าไม่มีอะไรเลย นี่ยังยอมรับว่า มีกระแสแห่งการปรุงแต่งแห่งสังขาร ที่คนมันไม่รู้น่ะมันไปยึดเอาตอนใดตอนหนึ่ง มาสมมติเรียก ว่าคน ว่าสัตว์ นี้ก็เป็นการพูดอย่างสูง คือ โลกุตตรโวหาร

    ถ้าพูดให้ถูกอย่างโลกียโวหารชั้นต่ำ ก็พูดว่า มันแล้วแต่ปัจจัย ถ้าปัจจัยมันเกิด ถ้าปัจจัยให้เกิดมันไม่มีมันก็ไม่เกิด นี่ก็ถูกไปชั้นหนึ่ง เป็นชั้นต่ำ เป็นโลกียโวหาร แต่ถ้าเป็นชั้นสูง เป็นชั้นโลกุตตรโวหาร ก็พูดว่า ไม่มีคนโว้ย! พูดเท่านี้ก็พอ แล้วไม่ต้องพูดว่าตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด มันไม่มีคนที่จะตายหรือเกิด นี่พูดว่า ไม่มีใครตาย-ไม่มีใครเกิด คนใดไม่เข้าใจคำพูดนี้ มันเป็นพุทธบริษัทเด็กอมมือเกินไป ก็ไปเอาซิไปเอาอย่างโลกียโวหาร แต่เขาก็ต้องพูดว่า ถ้ามีเหตุปัจจัยมันจึงจะเกิด ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย มันก็ไม่เกิด นี่คือคำพูดที่ถูกต้อง

    สำนวนที่ว่า “ใครพูดว่าตายแล้วเกิดก็บาป ตายแล้วไม่เกิดก็บาป” ตรงนี้ไม่ได้ใช้คำว่า “บาป” แม้พระพุทธเจ้าตรัสก็ไม่ได้ใช้คำว่าบาป ท่านใช้คำว่า มันเป็นมิจฉาทิฎฐิ เป็นมิจฉาทิฎฐิ ประเภทเหวี่ยงสุดโต่ง เหวี่ยงไปทางเกิดก็ว่าเกิด เหวี่ยงไปทางไม่เกิดก็ไม่เกิด จึงเรียกว่า อันตคาหกิทิฎฐิ ทิฎฐิที่ถือเอาสุดโต่ง ข้างใดข้างหนึ่ง จึงได้พูดว่า เกิดบ้าง ไม่เกิดบ้าง ไม่ได้ใช้คำว่า “บาป” ไม่ถึงปรับเป็นบาป แล้วก็ไม่ได้ปรับ ให้ตกนรกรุนแรงอะไรนัก แต่มันจะไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน ผู้มีมิจฉาทิฎฐิ นั่นจะไม่ถึงกับตกนรกรุนแรงร้ายกาจอะไร แต่มันไม่บรรลุมรรคผล นี่เข้าใจกันไว้ให้ดีว่า มันเป็นแง่ของภาษาบ้าง เป็นการตีความหมายผิดบ้างถูกบ้าง เอ้ามีอะไรว่าต่อไป

    ที่มา ปุจฉา-วิสัชนา4
     
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระพุทธเจ้าสอนว่าตายแล้วเกิด หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
    พระพุทธเจ้าสอนว่าตายแล้วเกิด
    ให้ได้ยินเสียเถอะว่าหมอมาทำบุญ ชอบไปวัดไปวา เราอยากได้ยินเหลือเกินส่วนมากหมอไม่ค่อยเข้าวัด เอาธรรมออกเตือนถ้าหากยังมีอุปนิสัยวาสนาอยู่บ้างให้เข้าวัดเข้าวา หมอนั่นมันพลิกเป็นหมาก็ได้นะ อ้าว เป็นได้ หมอเป็นหมาก็ได้ ความคิดนั่นละมันพาให้เป็นหมอเป็นหมา คือเรียนสรีรศาสตร์เรียนวิชาหมอนี้เพื่อแก้โรคแก้ภัย ประสาทส่วนต่างๆ มันทำงานของมันอย่างไรๆ แล้วกระทบกระเทือนอะไร เกิดโรคภัยอย่างไร จะควรแก้ไขอย่างไร นี่หมอเรียนทางสรีรศาสตร์ไปทางแก้โรคแก้ภัย
    ส่วนพระพุทธเจ้าและสาวก ตลอดพระทั้งหลายเรานี้เรียนสรีรศาสตร์เพื่อลงในกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ความเป็นของไม่จีรังถาวรอะไร แล้วถอนจิตจากความยึดมั่นถือมั่นเลิศตรงนี้ ผู้เรียนสรีรศาสตร์ทางแก้กิเลสนี่เลิศ เรียนทางแก้โรคแก้ภัยก็เป็นธรรมดา แต่เรียนแก้กิเลสนี่เลิศ เราได้เห็นหมอห่างๆ หมอที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับวัดกับวาเชื่อบุญเชื่อกรรมจริงๆ รู้สึกว่ามีน้อยมาก ส่วนประชาชนน่าจะมีเต็มบ้านเต็มเมือง มันไม่ค่อยเชื่อบุญเชื่อกรรมแหละ เข้าใจไหมล่ะ
    นี่ละมันทำสัตว์ให้จม กิเลสมันบีบบังคับให้เชื่อมัน ความไม่เชื่อบุญเชื่อกรรม เชื่อบาปมีบุญมีก็คือกิเลสมันไม่ให้เชื่อ ตายแล้วเกิด-เชื่อบุญเชื่อกรรมนี้เป็นฝ่ายธรรมะมีวาสนาอยู่พอสมควร ตายแล้วสูญนี้จม พวกตายแล้วสูญจม ขัดต่อหลักธรรมชาติความจริงมากทีเดียว คือตายแล้วมันไม่สูญ แต่กิเลสมันบอกว่าสูญ ตายแล้วสูญไม่มีอะไรต่อไปอีก สูญหมดเลย เรียกว่าผิดเสียเต็มเหนี่ยว
    อันนี้นักภาวนายันกันได้เลย เราลงร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าตายแล้วเกิด ลงร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยจิตตภาวนาตามทางของศาสดา พระพุทธเจ้าสอนว่าตายแล้วเกิด เกิดเป็นนั้นเป็นนี้ อันนี้เป็นอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วของสัตว์แต่ละรายๆ พระพุทธเจ้าแหละสอน ทุกพระองค์สอนแบบเดียวกันหมด ไม่ขัดไม่แย้งกัน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สอนว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี ตายแล้วเกิด กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เป็นต่างๆ กัน ให้ประณีตเลวทรามต่างกัน นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
    พระพุทธเจ้าไม่มีเพียงองค์เดียวเรานี่นะ ถ่ายทอดกันมาเรื่อยๆๆ แต่ก็เป็นธรรมชาติของท่านเอง ท่านไม่ได้ไปเรียนจากกันนะ พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ ที่ได้ตรัสรู้ขึ้นมาจากความปรารถนาที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ดำเนินตามแนวทางที่ปรารถนาแล้วนั้นมันก็ไปตามเส้นทางนั้นละ เมื่อเต็มที่แล้วก็เป็นพระพุทธเจ้าเต็มองค์ขึ้นมา สาวกภูมิคือสาวกผู้ได้ยินได้ฟังจากพระพุทธเจ้าแล้วมาปฏิบัติก็เป็นสรณะของโลกได้ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นี่เรียกว่าเป็นสรณะของโลกได้ เป็นสรณะของตัวได้แล้วก็เป็นสรณะของโลกได้
    คำว่าตรัสรู้ธรรม-บรรลุธรรมนี้ ไม่มีใครจะมีอำนาจเหนือกรรมของผู้บำเพ็ญไปได้เลย ผู้บำเพ็ญอย่างไรๆ นั้นละการสร้างกรรม ปรารถนาเช่นอย่างเป็นพระพุทธเจ้านี้ก็ต้องดำเนินตามความปรารถนาเรื่อยๆ พอเต็มภูมิแล้วก็เป็นศาสดาขึ้นมาได้ แต่ส่วนมากล้มเหลวนะ คือมันลำบากมาก ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านี่ลำบากมากที่สุดเลยกว่าจะได้มาเป็นศาสดาสอนโลก
    เพราะฉะนั้นคำว่าพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เวลาได้มาแล้วสอนแม่นยำ เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบทุกบททุกบาท ทุกขั้นทุกภูมิ ทั้งดีและชั่ว นรก-สวรรค์-พรหมโลก-นิพพาน ตลอดเปรตผีสัตว์ประเภทต่างๆ ออกจากพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าทั้งนั้นแหละ นั่นละเรียกว่าภูมิของศาสดา โลกวิทูรู้แจ้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง โลกผีโลกคนไม่เลือก รู้ได้หมด กว่าจะได้มาเป็นศาสดาของง่ายเมื่อไร
    คำสอนของพระพุทธเจ้าแน่นอนมากทีเดียว ไม่มีผิดมีเพี้ยน จึงเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ดังที่เราสวดทุกวัน สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วหรือตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่ว่าธรรมขั้นใดๆ ตลอดภูมิของสัตว์ ขั้นใดภูมิใดของสัตว์รู้หมด นรกอเวจีมีกี่หลุมรู้หมด สัตว์ที่ไปตกนรกแต่ละรายๆ สร้างกรรมอะไรมาๆ รู้หมด แต่ท่านไม่ค่อยพรรณนา เพราะไม่ค่อยเกิดประโยชน์ สอนเท่าที่จะเกิดประโยชน์ ว่าให้ชำระชั่วทำดี แล้วมันจะไปทางดี จะไม่ไปทางชั่ว นี่ละที่ว่าพระพุทธเจ้าโลกวิทูรู้ตลอดทุกตัวสัตว์ ที่ไปตกนรกหมกไหม้ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมอะไร มาจากอะไรๆ รู้หมด นี่ละศาสดาแท้จึงเรียกว่าโลกวิทู รู้แจ้งรอบ โลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง
    ให้พากันจำเอานะ คำสอนของพระพุทธเจ้าแน่นอนสุดยอดแล้ว จะไปหาคำสอนอื่นใดไม่มีแล้ว พิสูจน์กันทางด้านจิตตภาวนา จะทราบกันตามกำลังของตัวเอง มาลงภาวนานะ การทำบุญให้ทานทุกประเภทลงทำนบใหญ่คือภาวนา ยกสัตว์ให้พ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง ให้เชื่อเถิดเชื่อพระพุทธเจ้า ไม่มีใครจะพูดได้ถูกต้องแม่นยำเหมือนศาสดาองค์เอก ทั่วโลกนี่งูๆ ปลาๆ ทั้งนั้นแหละ ไม่มีคำสัตย์คำจริง หลอกตัวเองแล้วก็หลอกคนอื่น หลอกตัวเองหลอกวันยังค่ำ ถ้าว่าจะไปทางดิบทางดีแล้วยุ่งนั้นยุ่งนี้ ถ้าว่าจะลงเหวลงบ่อ โอ๋ย เร็วยิ่งกว่าลิงร้อยตัวสู้ไม่ได้ มันเร็วทางชั่วเร็ว ทางดีไปยาก
    คำว่าทางดีไปยากนี้หมายถึงเริ่มต้นทำบุญให้ทานยาก ความตระหนี่นั่นละเข้าไปกีดขวาง เจ้าของกินมาเท่าไรๆ ถ้าจะแบ่งกินแบ่งทานมันหวงอันนั้นละ ส่วนที่เจ้าของจะกินนี้กินจนท้องแตกมันก็หวงตลอด ท้องแตกไปหาท้องใหม่มาอีกถ้าหาได้นะ แต่นี้เขาไม่มีท้องขายละซิ ตามตลาดลาดเลใครกินมากท้องแตกไปซื้อท้องใหม่มาไม่มี เพราะฉะนั้นจึงต้องสงวนท้อง อย่ากินมากเกินไป กินมากใช้มากสุรุ่ยสุร่าย ให้มีประหยัดมัธยัสถ์ รู้จักขอบเขต รู้จักฐานะของตัวเอง การใช้สอยกินอยู่ปูวายทุกอย่าง อย่าเห็นเขาทำอะไรก็ทำตามเขา ฐานะของเจ้าของไม่เป็นอย่างนั้นมันก็เป็นไปไม่ได้ละ
    วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละพากันจำเอา ให้ไปปฏิบัติ นี่อีกวันสองวันก็ทำบุญช่วยโลกธาตุ ไม่มีญาติมีวงศ์ก็ตาม ธรรมดาเขาทำบุญให้ทานเขาจะเจาะจงสำหรับญาติวงศ์ เวลาญาติวงศ์มาทำบุญให้ทานนี้ก็ได้รับจากนั้นๆ จากญาติจากวงศ์ อันนี้เรียกว่าสาธารณะเลย ให้ได้ด้วยกันหมด ส่วนบุญส่วนกุศลที่ทำบุญเพื่อโลกธาตุไม่ว่าผู้ใดได้รับส่วนบุญได้ทั้งนั้น ได้ด้วยกัน นี่เรียกว่าทำบุญเพื่อโลกธาตุ เอาละพอ จะให้พร

    ที่มา Luangta.Com -
     

แชร์หน้านี้

Loading...