จิตนี่มีหลับไหม และคําถามเกี่ยวกับจิตไหม ยากมาก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 13 มีนาคม 2012.

  1. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ผมมาสงสัยเรื่องจิต แต่อาจจะเป็นเรื่องยาก เพราะจิตนี่มันซับซ้อนมาก ผมเลยสงสัย พอตอนเราหลับ แล้วจิตจะหลับไหม แล้วถ้าเราออกกําลังกาย แล้วเหนื่อย จิตจะเหนื่อยไหม หรือรู้แค่ว่าเหนื่อยก็แค่นั้น


    คนเราควรจะยึดถือจิตเป็นของเราไหม หรือว่าเป็นอนิจจัง ทุกขังค์ อนัตตา

    ผมมีคําถามลองคิดเล่นๆ ผมก็ไม่รู้คําตอบไม่รู้จะถามใครดี กลัวตอบไม่ได้

    คําถามคือ จิตนี่เป็นของเรารึเปล่า ถ้าไม่เป็น แล้วที่พระพุทธองค์สอนให้ทําจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส นี่ จิตใคร แล้วถ้าเป็นของเราทําไมทําตามความสั่งไม่ได้

    จิตนี่ เที่ยงหรือไม่เที่ยง ผมอ่านมา จิตไม่มีสูญเป็นอมตะ จริงไหมแต่ก็อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผมอ่านมาอีกที
    อีกสักคําถาม จิตนี่มีสภาพรู้ แล้วสติหละ สติคือการละลึกรู้ ผมไม่ค่อยเข้าใจ ความหมาย จิตรู้ สติละลึกรู้ มันไม่เหมือนกันเหรอ สติกับจิตไม่ใช่อันเดียวกันเหรอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2012
  2. เฟลม

    เฟลม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +15
    จิต เป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์

    สติ คือ ความตามระลึก ความหวนระลึก สติ กิริยาที่ระลึก ความทรงจำ ความไม่เลื่อนลอย ความไม่ลืม สติ สตินทรีย์ สติพละ สัมมาสติ อันใดนี้เรียกว่า สติ

    จิต และ สติ เป็นสังขตธรรม มีความเกิดปรากฎ มีความดับปรากฎ
    ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา
     
  3. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมขอตอบเป็นข้อๆตามที่คุณถามครับ

    ๑.จิตมีการหลับครับ ในขณะที่มนุษย์หลับลึก นั่นคือจิตหลับครับ จิตจะหลับประมาณ 2-3 ชั่วโมงครับ

    ๒.จิตจะรับรู้ความรู้สึกของร่างกายว่า ร่างกายมีอาการเหน็ดเหนื่อย แต่จิตไม่เหนื่อยครับ

    ๓.จิตนี้ควรยึดให้เห็นชัดเจนก่อน ก่อนที่จะทำการต่อไป เมื่อจิตเป็นหนึ่งเดียวชัดเจนแล้ว จะสามารถแยก กาย๑ ใจ๑ จิต๑ ได้อย่างชัดเจนอีกทีหนึ่งครับ

    ๔.จิตนี้เป็นของเราครับ ควรเจริญให้บริสุทธ์ ปราศจากความมัวหมองครับ ที่บังคับไม่ได้เพราะจิตเคยเสพคุ้นกับอารมณ์ที่จรเข้ามา จนเป็นความเคยชินครับ

    ๕.จิตที่เป็นอยู่นี้ โดยปกติของมนุษย์นั้นไม่เที่ยง มนุษย์จึงต้องฝึกให้จิตเที่ยงครับ เที่ยงจนสามารถบังคับบัญชาได้ครับ

    ๖.สติ เป็นเพียงอาการของจิตครับ จิตนั้นจะมีอากร หรือ พลังงานอยู่ด้วยกันสองแบบ ๑.สติ ๒.สัมปชัญญะ นอกจากจะระลึกได้แล้ว ยังรู้ตัวทั่วพร้อมครับ

    ๗.จิตรู้ กับ สติระลึก ไม่เหมือนกันครับ จิตรู้เป็นปัจจุบันธรรม แต่สติระลึกรู้เป็นการระลึกรู้สิ่งที่จิตรู้ก่อนหน้าครับ อาการ หรือ พลังงาน จะตามมาทีหลัง เปรียบดั่งการกำกับ เป็นเหตุให้จิตพ้นจากสภาวะการผูกมัดครับ

    ที่ผมกล่าวมาทั้งหมด สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ด้วยการเฝ้าดูจิตจนเป็นนิสัย จะเห็นตามที่ผมได้บอกกล่าวครับ

    สาธุครับ
     
  4. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ไปอ่าน ในบล็อคท่าน ธรรมภูติ..ครับกระจ่างเลย
     
  5. Ricky

    Ricky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +682
    เพราะเหตุเกิด ผลจึงเกิด เพราะเหตุดับ ผลจึงดับ สภาวะธรรมทั้งมวลเป็นอนัตตา พึงทำลายต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวลเถอด แล้วธรรมอันผ่องใสจักปรากฏออกมาเอง
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    พิจารณาในกรอบของ ทุกขสัจจ เข้าไว้ คำตอบจะไม่หลุดออกนอกศาสนา คำสอนอื่น

    ทุกข์สัจจที่ควร หยิบมาพิจารณามากๆ เพื่อให้เกิดการ สวนกระแส เข้าพิจารณาเห็นสิ่ง
    ที่เรียกว่า "จิต" ก็คือ ชาติ ชรา มรณะ ซึ่งจะอาศัย สัญญา10 เช่น อสุภสัญญา
    ...มรณะสัญญา......มี10อย่าง ลงท้ายด้วย อานาปานสติสัญญา

    ทีนี้ก็ลองพิจารณาง่ายๆ ของ ทุกอย่างที่แปรปรวนไป ที่มี ชาติ ชรา มรณะ ก็คือ
    กายเรานี้ มันจะมี ขี้มูก ขี้ไคร ขี้หู ขี้ตา ขี้ขี้ สารพัดขี้ ในกายในลำไส้ก็มี ส่วนใหญ่
    เรียก ขี้คอเลสเตอรอล ขี้แอนตี้ออกซิไดซ์ และ ที่สุดยอดของขี้ภายในคือ ขี้มะเร็ง

    เหล่านี้ออกมาจากจิต สร้างโดยจิต แปรผันไปตามจิต ไม่ใช่ใครอื่น สิ่งอื่นมาทำเรา

    แต่มันเป็น สิ่งทีเรียกว่า จิต ที่เรารักนักหนา หวงแหนว่า มันคือ เรา ที่นำสุขมาให้
    จริงๆ จิตมันไม่ได้รับการอบรมซักฟอก มันมัวไปยุ่งเกี่ยวกับ สังสารวัฏ แล้วก็กอบ
    โกยชาติ ชรา มรณะ มาผันแปรตัวมันเอง เพื่อ หลบเลี่ยงการเห็นทุกข์ไปในแต่ขณะ
    ของ จิตต่อจิต

    ช่วงเวลาผลิกฝ่ามือ จิตแปรปรวนสร้างนู้นสลายนี่ ยึดนั่นยึดนี่ เจริญ
    และเสื่อมเป็นจำนวน แสนโกฏิขณะจิตต่อจิต เช่น ในหนึ่งลมหายใจที่ออก มีการสันดาบ
    ของอากาศกับธาตุ4 ในกายเพื่อปรุงเป็น เนื้อเยื่อฮีมแอนโกลบินฮูด เป็นจำนวนมากกกก

    ขบวนการเหล่านี้ พ้นการควบคุมจากเรา

    อะไรก็ตามที่เป็น ขบวสนการพ้นการควบคุมจากเรา อันนั้นเรียกว่า ออกจากจิต มีจิต

    แต่....หากเราระลึกได้ ในสภาพธรรมที่พ้นการควบคุมเหล่านี้ มีอยู่ในเรา เรียกว่า มีสติ

    ก็คือ............การล้อมกรอบพิจารณาทุกขสัจจ เพื่อให้เกิดการ จิตเห็นอาการของจิต
    (เป็นมรรค) ผลของจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง(เป็นนิโรธ หรือ อารมณ์นิพพาน)

    การทรงอารมณ์นิพพาน เกาะนิพพาน จึงใช้ สัญญา10 เพื่อให้ จิตงอกลับมาพิจารณา
    เห็นตัวมันเองเนืองๆ

    *************

    ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ ศาสนาของการมุ่งทำลาย การบอกว่า "เราไม่สำคัญว่าจิต
    เป็นเรา" จึงไม่ใช่เรื่องของคนโง่ที่จะคิดไปว่า ต้องไปทำลายจิตแบบ พ่อบึ้ม
    แม่บึ้ม แต่เราเพียงแค่ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในจิตด้วยการปฏิบัติ รู้แจ้งเห็นจริง ตาม
    ความเป็นจริง ไม่ใช่ใช้คิดแล่นไปแบบคนขี้ฉ้อ แล้ว ก็อยู่กับจิตไปแบบสันติ ไม่
    โทษจิต ไม่โทษขันธ์ ไม่โทษสิ่งไรๆ เพราะ เหล่านั้น ล้วนแต่ตกอยู่ใต้ อวิชชา
    ความไม่รู้ การขาดการสดับธรรมะของพระพุทธองค์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2012
  7. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    จิตหลับ คือจิตอยู่ในภวังค์ ขณะนอนหลับสนิท ถึงแม้ว่าจะอยู่ในภวังค์
    แต่จิตก็ยังมีการรู้อารมณ์แม้อยู่ในภวังค์ จิตจะไปรู้อารมณ์เก่าๆ ที่เคยมี
    แต่ตัวเราจะนอนหลับสนิท เป็นภวังค์ต้องไม่มีการฝันด้วยนะคะ
    เราไม่สามารถรู้ได้ว่า จิตไปรู้อารมณ์อะไรขณะที่เป็นภวังค์

    และในขณะที่ลืมตาไม่ได้นอนหลับ จิตก็แอบหลับอยู่ประจำค่ะในชีวิตประจำวัน
    รู้ได้จากวิถีจิตทุกๆ วิถี จะขึ้นต้นด้วยภวังค์ และจบลงที่ภวังค์ ค่ะ
     
  8. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    <TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=700><TBODY><TR><TD height=56>[FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC][/FONT]</TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    จิตหลับคือตรงภวังคจิตครับ .... จิตหลับกระทั้งที่ๆเราตื่นนั่นแหละครับ ตรงที่ ภภ หน้าและหลังวิถี
     
  9. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    ก้ต้องจิตตัวเราเองสิ ใครทำใครได้ จะใ้ห้คนอื่นทำแทนคงไม่ได้หรอกนะ จานข้าวใครจานข้าวมันจะให้ใครมากินแทนคงไม่ได้เหมือนกัน
    พระพุทธองค์สอนเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา นีืคือหนทางที่ทำจิตให้ผ่องใส แต่ที่ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะผู้ปฏิบัติยังขาดความชำนาญในการฝึกจิต หมายถึง ยังรักษาศีลไม่ได้ ถ้ารักษา ย่อมชนะใจตนเองได้ ชนะใจตนก้ย่อมชนะกิเลสอย่างหยาบได้ และอื่นๆตามมา ก้เหตุ
    เพราะชนะใจตนได้ ชนะตนได้ก้เกิดจากบังคับจิตใจตัวเองได้นั่นแหละ ก้ได้จากฝึกฝนทุกๆวันให้เปนผู้มีศีล แต่ถึงอย่างนั้นจิตก้ยังเปนไรที่ควบคุมได้ยาก เพราะคิดได้108 1009 ฟุ้งไปได้ทุกสถานการณ์ ในโลกนี้ไม่มีสิ่งไหนหรืออะไรที่รวดเร็วและควบคุมได้ยากยิ่งไปกว่าจิตของตัวเองอีกแล้ว ดังนั้นมนุษย์ผู้สามารถฝึกฝนได้ จงหัดชนะใจตนและับังคับใจตนให้ตั้งมั่นอยู่ด้วยรักษาศีลให้ได้นั่นแหละจะถือว่าดีเยี่ยม เปนสมบัติของ "นักกรรมฐาน"
     
  10. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    รู้ตัวหรือไม่รู้ว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่?

    น้องคนนี้ก็ยังตั้งคำถามซ้ำๆซากๆ อยู่อย่างมิเลิกรา

    จิตเป็นธาตุรู้ รู้แล้วเป็นอย่างไรต่อไป?

    รู้ว่า รู้
    รู้ว่า ไม่รู้
    ไม่รู้ว่า รู้
    ไม่รู้ว่า ไม่รู้

    วุ่นวายจริงๆ เลยนะ

    ผมยังมีความรู้สึกเหมือนเดิมว่า อย่างคุณเจ้าของกระทู้อย่าเพิ่งไปฝึกอบรมตัวเองในสายสุกขวิปัสโกเลย จะเสียงาน เสียการเปล่าๆ

    สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้วางแนวทางไว้ชัดเจนแล้วว่า บุคคลจริตแบบใด จะฝึกแนวทางแบบใด ถ้าเป็นคนช่างสงสัยอย่างคุณ ครูบาอาจารย์แต่โบราณท่านจะไม่ให้ฝึกในแนวสุกขวิปัสสโก เพราะจะอึดอัด อั้นใจไปเรื่อย อัธยาศัยของท่านที่ช่างสงสัย ให้ฝึกในแบบของเตวิชโชหรือฉฬภิญโญ ฝึกไปพร้อมกับพิสูจน์คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปพร้อมๆกัน อย่างนี้จะตอบสนองอุปนิสัยช่างสงสัยของผู้ฝึกได้

    เรื่องของครูบาอาจารย์ก็มีความสำคัญ บรรดาพี่ๆ ที่เข้ามาตอบกระทู้ของเจ้าของกระทู้ หลายท่านก็ได้วิชาความรู้จากครูบาอาจารย์ จนสามารถนำมาแบ่งปันความรู้ให้กับเจ้าของกระทู้ได้

    แต่ก็นะ การถามตอบในกระทู้บนบอร์ด คำตอบที่ได้ ก็ต้องผ่านการกรองก่อนค่อนข้างมาก ถึงจะตกผลึกเป็นหลักการอีกที

    อย่างนี้ค่อนข้างเสียเวลา ปัญหาคือ เจ้าของกระทู้ ควรจะหา "ครู" ไว้แนะนำ สั่งสอน ในเชิงการปฏิบัติจะดีกว่า อยากมีครูไว้ใกล้ๆ ตัวบ้างไหม?

    อยู่ที่เดนมาร์ก หาครูได้ยากนัก ถ้าอยากมีก็จะชี้ช่องสักเล็กน้อย (อันนี้ก็เป็นวิธีที่เขาใช้กันทั่วไปนั่นล่ะนะ)

    1.ย้อนไปอ่านกระทู้ที่ผมขอคุยกับคุณเมื่อก่อนหน้านี้ก่อน
    2.เรื่องฌาน ฝึกให้คงตัวไว้ ฌาน 1 ที่บอกว่าเคยได้ เคยถึงแล้ว ก็ฝึกให้คล่อง ตามที่คุยกันในข้อ 1 แล้วจะชี้ช่องสักเล็กน้อย ไปยังฌาน 2 , 3 ,4 กันต่อไป
    3.ฝึกทิพจักขุญาณ ให้คล่อง ให้ทรงตัว (อันนี้สำคัญ) แล้วจะชี้ช่องในการหา "ครู" ให้ต่อไป (แต่ถ้าคล่องแล้ว การหา "ครู" ไม่ใช่เรื่องยาก เผลอๆ เจ้าของกระทู้อาจจะหาเองได้เลยด้วยซ้ำไป)

    การเรียนกับครูแบบนี้ เรียนกันโดยตรง รับความรู้แบบตรงๆ ที่สำคัญเรียนฟรี ไม่ต้องเสียสตางค์เป็นค่าลงทะเบียนเรียน ไม่ต้องเสียค่าชั่วโมงให้ครู เพียงแต่ต้องมีความตั้งใจจริงและลงแรงฝึกพื้นฐานวิชาให้คล่องก่อนแค่นั้น

    การฝึกพื้นฐานเพื่อเตรียมตัว ฟังดูน่าเหนื่อย ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าเหนื่อย สำหรับผู้ที่ไม่เอาจริง เอาจัง แต่สำหรับท่านที่มีอิทธิบาทสี่แล้ว ท่านไม่เหนื่อย ท่านสนุก!

    พระโพธิสัตว์ จะต้องมีความเด็ดขาด มีทีเด็ดทีขาด การฝึกต้องเข้มงวดกับตัวเอง เพราะต้องไปเป็นครูของผู้อื่น อย่างน้อยๆ ระหว่างที่ยังไม่บรรลุ "สัมมาสัมโพธิญาณ" จะต้องทรงกรรมฐาน 40 สองในวิชชาสาม ห้าในอภิญญาหก และสมาบัติแปดให้คล่องแคล่ว

    ถามตัวเองว่า ทุกวันนี้กำลังทำอะไรอยู่ จะมามัวเสียเวลาไปเพื่อสิ่งใดกัน? ทางสายพุทธภูมิ ยังต้องเดินทางอีกยาวไกล ต้องลำบากตรากตรำอีกมาก ถ้าแค่ที่คุยกันนี้ ยังบังคับตัวเองไม่ได้ ก็ค่อนข้างลำบากที่จะไปคิดเรื่องอื่นๆ ต่อไป

    ฝากไว้ให้พิจารณาครับ
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ลองแวะไปตามที่ คุณ สับสน! แนะนำมาเห็นว่ามีประโยชน์ดีครับ

    การดูจิตให้รู้เห็นตามความเป็นจริงนั้น เป็นอย่างไร?​




    ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว เรื่องการรู้จักจิตผิดๆ ทำให้การศึกษาพระพุทธศาสนาผิดตามไปด้วยตลอดแนวนั้น ก็เป็นที่เด่นชัดแล้วว่า คนส่วนใหญ่ที่ศึกษาพระพุทธศาสนาอยู่นั้น ยังรู้จักจิตผิดไปจากความเป็นจริง

    เป็นการรู้จักจิตแบบจำจากตำรับตำรา ที่มีผู้เขียนขึ้นมาอย่างมากมายหลายเวอร์ชั่น เพื่อให้ศึกษา โดยที่ผู้เขียนเองก็ไม่เคยเข้าถึงสภาวะจิตที่แท้จริงมาก่อนเลยเช่นกัน หรืออาจได้ยินได้ฟังมาจากอัตโนมัติอาจารย์ ที่มีท่าทางดี พูดจาไพเราะ มีบุคลิกภาพน่าเชื่อถือ จึงเชื่อไปโดยไม่เคยนำกลับมาพิจารณาว่าเป็นไปได้แค่ไหน???

    อัตโนมัติอาจารย์บางท่าน ตัวท่านเอง ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องสภาวะจิตที่แท้จริงดีพอ ท่านเองก็รู้จักจิตมาจากการจดจำตำรับตำราหรือปฏิบัติมาบ้างเพียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้น แล้วนำมาขบคิดพิจารณาต่อ จนตกผลึกทางความคิดที่ตนเองเห็นว่าอย่างนั้น จึงนำเอามาสอนโดยแอบอ้างว่า ความรู้ที่นำมาสอนเหล่านั้น เป็นความรู้ที่เกิดจากผลแห่งการปฏิบัติของตนเอง โดยไม่เคยสนใจ ที่จะนำมาเปรียบเทียบ เทียบเคียงกับพระพุทธพจน์ หรือพ่อแม่ครูบาอาจารย์สายปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา “พุทโธ”ก่อนเลย


    และที่มีการสอนอยู่ในปัจจุบันนั้น เป็นการสอนแบบนำเอาความรู้สึกนึกคิดในทางโลก มาเป็นแนวทางในการสอน เพื่อชี้นำให้คล้อยตาม ถ้าผู้ฟังมีความเชื่อถือในผู้สอนอยู่ก่อนแล้ว ย่อมคล้อยตามไปได้ง่าย โดยที่ไม่เคยนำกลับมาพิจารณาอย่างจริงจังว่า คำสอนเหล่านั้นมีเหตุมีผลน่าเชื่อถือได้หรือไม่ ในส่วนที่ตนเองฟังไม่เข้าใจหรือรู้สึกกำกวม ก็พาลคิดเองเออเองไปว่า เพราะภูมิธรรมของตนยังมีไม่ถึง

    ซึ่งความจริงแล้ว ผู้พูดเองก็พูดวกไปเวียนมาเหมือนน้ำในอ่าง มีข้อให้สงสัยเกิดขึ้นมาตลอดเวลาในคำสอนเหล่านั้นเช่นกัน เมื่อฟังๆไปเราจะรู้สึกได้ว่า คำสอนเหล่านั้นมีการขัดแย้งกันเองในตัว ประเดี๋ยวมี ประเดี๋ยวไม่มี ประเดี๋ยวใช่ ประเดี๋ยวไม่ใช่ ที่ใช่ก็ไม่มี ที่มีก็ไม่ใช่
    อ้างอิงจาก บล๊อกคุณ ธรรมภูต เห็นว่ามีประโยชน์ดี ติดตามอ่านได้ต่อข้างล่างครับ
    Bloggang.com : 㹤����ѹ�ͧ����ѡ��

    หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ..สำหรับผู้ที่กำลังหลงทางอยู่
    อนุโมทนาสาธุครับ
     
  12. jamwattana

    jamwattana สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +1
    ลองศึกษาเรื่องปรมัตถ์ธรรม (จิต เจตสิก รูป นิพพาน) ดูครับ
    จนเข้าใจว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา (จิต เจตสิก รูป นิพพาน) ควบคุม บังคับบัญชา ไม่ได้ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย
     
  13. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    สอบถามเรื่องจิต...

    อณุโมทณาด้วยครับ และผมอยากเรียนถามว่า อายตนะทั้ง 5 คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นวิถีของจิต หรือเป็นตัวจิตด้วย หรือเป็นอายตนะของจิตครับ คุณขันธ์ด้วยนะครับ คุณ patrix ด้วย เป็นต้น.........
     
  14. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    จิต มโน วิญญาณ เป็นชื่อเรียกสิ่งเดียวกัน
    ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอายตนะภายใน เมื่อผัสสะกับ อายตนะภายนอก
    รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ สิ่งที่เชื่อมต่อขณะผัสสะ เรียก ว่า วิญญาณ เช่น จักษุวิญญาณ โสตะวิญญาณ ฆานวิญาณ ..ฯ หากมองไปที่รูป รู้ เห็นรูป จิต ก็อยู่ในรูปที่เห็น นั่นเอง

    จักษุวิญญาณ ที่เกิดขณะผัสสะ ระหว่าง ตา กับ รูป
    เป็นการเข้าไป รู้ รูปของจิต หากไม่เข้าไปรู้ ก็อาจมองไม่เห็น เช่น การเหม่อลอย
    การไม่ตั้งใจฟัง แล้วมีการคิดไปในเรื่องอื่น ขณะคุยกัน อาจไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร จึงมี...ว่าไงนะ เกิดขึ้น เพราะการที่จิตไม่ได้เข้าไปรับรู้ ไม่ตั้งใจที่จะฟัง จิตก็เลยไม่รับรู้ ฟังไม่ได้ยินว่าพูดอะไร ขณะนั้น....ก็มีอาการหา ..ว่าใหม่ซิ

    เห็นจิตที่เป็นผู้รู้หรือยัง ....เพราะ การไม่เข้าไปตั้งใจ ดู ฟัง ฯ..(อาการอื่นก็เหมือนกัน)
    ขันธ์ 5 ไม่ใช่ของเรา เพราะเราบังคับไม่ใด้ ห้ามไม่ให้คิดก็ไม่ฟัง เกิด ดับ ในเรื่องอดีต
    อนาคต ฟุ้งซ่านไปในเรื่องอื่น ๆ คิดโน่น คิดนี้ สารพัด วิญญาณ มันก็คือ ส่วนหนึ่งของขันธ์ 5 ตายไปก็สลายหมด สัตว์โลกก็ไปเกิดตามกรรมของตน ไม่ใช่วิญญาณไปเกิด

    เรื่องทำจิตให้ผ่องใส เป็นเพียงการทำอารมณ์ให้แจ่มใส จิตที่ไม่คิดวุ่นวายไปในเรื่องที่ทำให้เกิดการเศร้าหมอง มันก็มีความสบายตามอัตตภาพ ไม่น่าจะเป็นเรื่องการทำจิต แต่เป็น
    ผลมาจากการคิดในเรื่องที่วุ่นวาย อารมณ์ก็เกิดวุ่นวายไปตามเรื่องที่คิดไป.
     
  15. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    จิต ในหลักพระอภิธรรมปิฏก หมายถึง ธรรมชาติการรับรู้อารมณ์ ซึ่งย่อมหมายถึง ระบบการทำงานของสรีระร่างกาย ทุกส่วนนับตั้งแต่ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเป็นร่างกาย ก็นับตั้งแต่ ผิวหนังเป็นต้นไป
    เมื่อคุณรู้แล้วว่า จิต คือ อะไร แล้วเทียบกับ หลักระบบการทำงานของสรีระร่างกายแล้ว การที่บุคคลจะรับรู้สิ่งต่างๆได้ ก็ต้อง อาศัย หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่ง ก็ต้องอาศัยการทำงานร่วมกัน ของหัวใจ และสมอง และระบบประสาท รวมไปถึงระบบการทำงานของร่างกายระบบอื่นๆรวมอยู่ด้วย
    เวลานอนหลับ จิตบางส่วนก็จะหลับ นั่นก็คือ สมองพักการทำงานเป็นบางส่วน แต่หัวใจและระบบการหายใจยังทำงานอยุ่ นั่นก็หมายความว่า จิตของมนุษย์ขณะนอนหลับ ยังคงทำงานอยู่เป็นบางส่วน
    การออกกำลังกาย ก็ทำให้ประสาทการรับรู้อารมณ์เหนื่อยไปด้วยขอรับ
    คุณมีร่างกาย แล้ว่ ธรรมชาติการรับรู้อารมณ์เป็นของใครหรือขอรับ มันคนละเรื่องกันนะขอรับ คุณลองหาบทความธรรมะในเวบฯนี้ เรื่อง "ไตรลักษณ์ ทางล้ดของผู้ที่ไม่ต้องการคิดมาก"อ่านดูซิขอรับ
    จิต หรือ ธรรมชาติการรับรู้อารมณ์ ของคนเรา มีทั้งเที่ยงและไม่เที่ยงขอรับ นี้กล่าวตามหลักสรีระร่างกายของมนุษย์ และตามหลักพุทธศาสนาพร้อมกันเลยขอรับ
    จิตมีสูญหรือไม่สูญ คุณอย่าคิดไกลขอรับ เอาเป็นว่า คนที่ตายไป สามารถรับรู้อารมณ์อะไรได้บ้างคิดแค่นี้ก็พอแล้วขอรับ
    สติ ก็ย่อมสัมพันธ์ กับจิต หากจะอธิบายให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้น
    จิต นับได้ว่าเป็นระบบประสาทของร่างกายเรา พอเรารับรู้อารมณ์ปุ๊ป เราก็จะระลึกได้ปั๊ปว่า การรับรู้อารมณ์นั้น คือ อะไร หรือสิ่งใด ควรทำอย่างไร ฯลฯ
     
  16. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    จิตเป็นภูมิธรรมขั้นใด

    1.จิตเป็นธรรมะขั้นใดครับ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี หรือพระอรหันต์...
    2.ยังไม่เข้าใจธรรมะเรื่องจิตครับ...
    3.ผมเข้าใจว่า ชีวิตเรานอกจากภาวนาขันธุ์ 5 แล้ว ในการพิจรณาอีกแง่หนึ่ง ผมภาวนาว่า รูปร่างกายเป็นอนัตตา กายภายในคือกายทิพย์ หรือกายวิญญาณ หรือกายพระนิพพาน หรือจิตวิญญาณ เหล่านี้เป็นอัตตาใช่หรือไม่ครับ ท่านผู้รู้ ผมภาวนาอย่างนี้...
    4.จากคำถามข้อที่ 3 จัดเป็นธรรมะขั้นใดครับ...
    5.ยังงงๆอยู่ ช่วยชี้แนะด้วย ผมไปช้าครับ เพราะคิดมากกกกกกกกกกก.........
     
  17. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    จะทนฟังได้หรือเปล่า !?

    1. เรื่อง "จิต" หรือ จิตสิกขา เป็นภูมิของ ปุถุชนผู้มากด้วยการสดับ(พหูสูต)
    หรือ เรียกอีกอย่างว่า โยคาวจร หรือ โคตรภู แล้วแต่ปริมาณ
    การน้อมนำไปปฏิบัติ

    ทั้งนี้เนื่องจาก การศึกษาเรื่อง "จิต" ก็เพื่อให้แยก ออกจาก "ขันธ์"

    เราฟังธรรมเพื่อให้รู้วิธีการแยก "จิต" ออกจาก "ขันธ์" แล้วเห็นด้วยปัญญา
    ญาณ ไม่ใช่เห็นด้วย นิมิต นึกๆคิดๆ หรือไปทำให้มัน แยกออกไปเดิน
    หรือ แยกออกเป็นดวงซ้อนดวง18ดวง 16กิจ

    เมื่อแยก "จิต" ออกจาก "ขันธ์" ก็จะรู้ว่า จิตเป็นอย่างไร ทำหน้าที่อะไร
    มีผลอย่างไรหากยึดถือจิต และ ก็จะรู้ว่า ขันธ์เป็นอย่างไร ทำหน้่าที่อะไร
    และ มีผลอย่างไรหากเอาขันธ์แสวงหาจิต

    คนที่แยก จิต ออกจาก ขันธ์ ได้เนืองๆ คือ โคตรภู

    คนที่สำเร็จการแยก จิต ออกจาก ขันธ์ ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่กลับไป
    รวมกันอีก เรียก โสดาบันปฏิมรรคขึ้นไป

    จะเห็นว่า หากสำคัญผิดว่า กายทิพย์ กายดวง เป็นจิต ที่แยกจากขันธ์
    วลีที่ว่า แยกกันแล้วไม่กลับไปรวมกันอีก จะไม่สามารถอ้างได้เต็มปากขณะ
    ที่ยังมีชีวิตอยู่ จะกลายเป็นพวกนั่งรอความตาย เพราะไปสำคัญว่า เวลานั้น
    จะเป็นเวลาที่ จิตแยกออกไปจากขันธ์ (เนี่ยะ โดนเขาหลอก) ให้นั่งรอความ
    ตายอย่างคนโง่ที่โดนสนตพาย

    *******************

    2. ไม่ใช่ไม่เข้าใจเรื่องจิต คุณเข้าใจเรื่องจิตดีแล้ว แต่ทว่า ยังไม่เข้าใจเรื่อง
    ขันธ์ พอไม่ได้พิจารณาขันธ์ ก็อาจจะไม่รู้ว่า กำลังเอาขันธ์แสวงหาจิต คือ
    ไปถอดกายทิพย์แสวงหาจิต ไปทำจิตเป็นดวงใสดวงแก้วเพื่อแสวงหาจิต ก็
    เลยทำให้ เรียนเท่าไหร่ ก็รู้เรื่องจิต แต่ ไม่แจ้งในจิต ในขันธ์


    ********************

    3. ก็เหมือนกับที่บอกไปในข้อ 2 คือ ถ้าเราไม่รู้ว่า ขณะนั้นกำลังเอาขันธ์5
    ไปแสวงหาจิต มันก็จะได้แต่ต้องหาอะไรมาเติมเต็ม ทำสมาธิแทบตาย ถอดจิต
    จนพ้นมหาจักรวาลมากมาย กลับมาที่โลก ก็ต้องมานั่งนึกๆคิดๆ เอาความ
    คิดไป ถม ความว่างเปล่าจากการรู้ แสวงหาจิตเท่าไหร่ก็กลับกลายมาเป็น
    "นักคิดชั้นเลิส" เท่านั้น

    ดังนั้น พึงทราบว่า ทุกสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปร่าง มีหู มีตา มีจมุก มีปาก หรือ
    ไม่มีอวัยวะแต่เป็นดวง แต่ในความเป็นดวงนั้นกลับรู้ได้ถึง สี กลิ่น
    รส สัมผัส เหล่านี้คือ ขันธ์5

    ขันธ์5เท่านั้นที่มีการแปรปรวนไปตามเหตุ ปัจจัย

    ขันธ์5เท่านั้นที่ท่องเที่ยวไปในภพ ภูมิ ไปเห็นสัตว์ ตัวตน บุคคล เราเขา

    หากเมื่อไหร่ เอาสิ่งเหล่านี้ไปแสวงหา จิต ย่อมไม่มีวันเจอ

    แต่ถ้า ผลิกกลับเล็งเห็นว่า กายทิพย์ก็ดี กายวิญญาณก็ดี กายนิพพานก็ดี
    คือสิ่งที่ผันแปรไปตามเหตุปัจจัย ตกใต้อำนาจของกรรมบันดาล ไม่อิสระ ไม่
    ชื่อว่าพ้น มีความไม่เที่ยง แปรปรวนไปตามผลบุญพลกรรม แบบนี้จะค่อยๆ
    ถอยออกการใช้ ขันธ์5 แสวงหา จิต ได้

    เมื่อถอยออกมาแล้ว จิต กับ ขันธ์ จะปรากฏ และ แสดงหน้าที่ และแจง
    ให้ทราบได้ว่า หากยึดถือจิตจะไม่พ้นไปจากกฏแห่งกรรม และ หากยึดถือ
    ขันธ์ก็จะไม่พ้นไปจากวัฏฏะเช่นเดียวกัน

    ****************

    4. จากคำถามข้อ 3 เป็น ธรรมชั้น ผู้มากการสดับ ก็คือ พหูสูต หรือ
    โคตรภู ธรรมดาๆ ถ้าเป็นผู้รู้ชัดใน จิต และ ขันธ์ แยกได้เด็ดขาดไม่
    ไปรวมกันอีก ไม่ไปเอามารวมเพื่อแสวงหาจิตอีก ก็จะค่อยเรียกได้ว่ามี มรรค
    ญาณ หรือมี โสดาปฏิมรรคขึ้นไป

    ****************

    5. คุณไม่ได้ไปช้า แต่ ไปเร็วเกินไป ให้ใจเย็นๆ แล้ว ค่อยๆพิจารณาให้
    ช้าลงกว่านั้น อย่ารีบร้อนไปรู้ถ้วนเรื่องจิต ในขณะที่ ยังแยก ขันธ์5 ออก
    จากความเป็นตน เป็นของตนไม่ได้

    เมื่อไหร่ยังเห็นความแปรปรวนว่า กายทิพย์ กายวิญญาณ และ กายนิพพาน
    เป็นของแปรปรวนไปตามเหตุปัจจัยไม่ได้ ยังไม่เข้าใจว่า กายเหล่านั้นเกิดขึ้น
    ตามผลของวัฏฏจักร เผลอเพลินใน ราชรถอันวิจิตร(กายทิพย์ เป็นต้น) ก็
    ชื่อว่า เป็นผู้ขาดการสดับธรรม ไม่มากด้วยการสดับธรรม

    เป็นได้แค่ นักท่องเที่ยวผู้มีประสบการณ์รอวันลืมหมด เท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2012
  18. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    จิตมิอาการหลับไหม จิตจะว่างเมื่อเราว่าง ว่างจากอายาตนะเลยดีกว่านะตรับ กายนี่เอาอายาตนะไปสื่อกับอะไรมาตลอดเวลาเลยครับ เมื่อหลับความจำก็เอาไปฝันอีก จิตมีอยู่ตลอดเวลาและเกาะอยู่กับวิญญาณนะครับ ตายไปแล้วยังมีอยู่
    จิตไม่เที่ยงครับ อารมณ์ปัจุบันบรรทุกอะไรไว้เท่าใด เวรต่อไปเหลือเท่าใดมากหรือน้อย
    สติคือการรู้ติดต่อของความคิด ของอารมณ์ ขาดสติคือไม่รู้ดีซั่ว สตินี่เป็นสาย จิตเป็นดวงครับ
    กายคือณานสี่ถอดวิญญานได้ถึงรู้กายนี้ไม่ใช่ของเรา อย่าถอดบ่อยๆละครับเหนือฟ้ายังมี
    เวทนานี่รู้สึก ว่ามี ว่าหาย
    จืตใครทำให้ประภัสระได้
    ธรรมคือออะไร รู้ธรรมคือปรมัติแล้วหรือไม่คือแปดครับ
    เก้าครอบ รอบครอบ
    สิบคลุม ควบคุม
    สุดท้ายคือโลกกลมๆใบนื้หรือเปล่าครับ
     
  19. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ก็นะ บอกแล้วว่า ฟังยาก

    ก็เป็น อนาคามีที่ไม่รู้ว่า "จิตเป็นขั้นไหนครับๆ" ต่อไป
    ไม่ได้ยากอะไรอย่างที่ไม่เข้าใจเลยนี่
     
  20. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    เอ แล้ว NICKAS อะไรนั่น เขาคุยกับ balbeamboy ไม่ใช่เหรอ

    สงสัยจะ quote ผิด คุณ NICKAS ก็น่าจะเดาออกเนาะ เขาคง
    จะด่าพ่อผมนั่นแหละ คงจะติดพัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...