.oO เรื่องสั้น ปั้นแต่ง Oo.

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย สร้อยฟ้ามาลา, 22 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    เรื่องที่ ๑๐


    ตามหาความทรงจำที่ขาดหาย ตอน พระราชวังบางปะอิน

    จากกระทู้ ตามหาความทรงจำที่ขาดหาย ตอน พระราชวังพญาไท ที่สร้อยฟ้ามาลา ได้ร่วมรำลึกโดยมี คุณหญิงพี่พิชญ์ และน้องภัค มารำลึกด้วยนั้น ก็ขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกท่านที่เข้ามาอ่านและเป็นกำลังใจให้เสมอๆ มิขาด อยากจะเอ่ยนามในที่นี่แต่ก็เกรงว่าจะเอ่ยไม่ครบถ้วนจะกลายเป็นสร้างความน้อยเนื้อต่ำใจ จึงไม่ขอเอ่ยนาม แต่ขอฝากคำขอบคุณอย่างสูงไปยังทุกท่านด้วย


    มาถึงกระทู้ ตามหาความทรงจำที่ขาดหาย ตอน พระราชวังบางปะอิน ในครั้งนี้ สร้อยฟ้ามาลา มีความตั้งใจที่จะไป เคยไปเมื่อครั้งยังเด็ก ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยม ก็แปลกที่จำชื่อพระที่นั่งได้เกือบทุกพระที่นั่ง ยังรฤกถึงเสมอมาจนบัดนี้ จะหาเวลากลับไปให้หายคิดถึงก็ไม่มีโอกาสสักที มาครั้งนี้ได้มีโอกาสไปเสียที ก็ชวนแต่แมงปอแก้วกับหลานของแมงปอแก้วอีก ๑ คน ไปเป็นเพื่อนด้วย

    วันอาทิตย์ที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒ สร้อยฟ้ามาลา ขับรถมาถึง พระราชวังบางปะอิน ประมาณ ๑๒.๒๐ น. เสียค่าจอดรถ ๒๐ บาท จอดรถเสร็จ ก็เดินไปซื้อบัตรเข้าในราคาผู้ใหญ่ ๓๐ บาท ๒ ใบ และเด็กอีก ๑ ใบ แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่เก็บค่าบัตรของเด็ก จึงเสียค่าผ่านแค่ ๖๐ บาท....

    a.jpg

    เดินผ่านเข้ามาก็เจอกับ รถไฟฟ้า หรือ รถกอล์ฟ สำหรับให้เช่ารู้สึกว่าค่าเช่าคันละ ๒๐๐ กว่าบาท แต่สร้อยฟ้ามาลา ไม่เช่าเพราะว่าเดินดีกว่าจะได้สูดอากาศของพระราชวังบางปะอินให้เต็มปอดไปเลย....

    a.jpg

    ระหว่างเดินอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอกนี้ ก็ขอเล่าถึงประวัติความเป็นมาของ
    พระราชวังบางปะอิน ในเบื้องต้นก่อน



    พระราชวังบางปะอิน ตั้งอยู่ในตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่ห่างจากเกาะเมืองลงมาทางทิศใต้ประมาณ ๑๘ กิโลเมตร เป็นพระราชวังโบราณตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เนื่องจากเป็นที่ประสูติของพระองค์ ใช้เป็นสถานที่ที่ทรงใช้ประทับแรม ของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ด้วยเป็นพระราชวังใกล้พระนครนั่นเอง


    เมื่อครั้งเสียกรุงแก่พม่าครั้งที่สอง พระราชวังบางปะอินถูกปล่อยให้รกร้างมาระยะหนึ่ง พระราชวังบางปะอินกลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้งเมื่อสุนทรภู่ ซึ่งได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชไปนมัสการ พระพุทธบาทสระบุรี ได้ประพันธ์ถึงพระราชวังบางปะอินไว้ในนิราศพระบาท จนกระทั่ง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เริ่มการบูรณะพระราชวังขึ้น และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้บูรณะครั้งใหญ่ โดยสร้างพระที่นั่ง พระตำหนัก และตำหนักต่าง ๆ ขึ้นมากมายเพื่อใช้เป็นที่ประทับ รับรองพระราชอาคันตุกะ และพระราชทานเลี้ยงในโอกาสต่าง ๆในบรรดาพระราชวังทั้งหมดที่สร้างขึ้น ตลอดช่วงรัชสมัยอันยาวนานกว่าสี่ทศวรรษ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น "พระราชวังบางปะอิน" ถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่รับเอาอิทธิพลตะวันตกเข้ามารุ่นแรกสุด เพราะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในปี ๒๔๑๕ เมื่อทรงมีพระชันษาเพียง ๑๙ พรรษา หลังจากเสด็จครองราชย์ได้แค่ ๔ ปีเท่านั้น


    พระราชวังบางปะอินได้รับแรงดาลใจ มาจากพระราชวังทรงยุโรปที่เคยทอดพระเนตร ณ กรุงปัตตาเวียอย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากปีที่เริ่มก่อสร้างพระราชวังบางปะอินนั้น เป็นปีรุ่งขึ้นภายหลังจากการเสด็จประพาสชวา และสิงคโปร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๔ เพียงปีเดียว


    ฉะนั้นพระราชวังบางปะอินจึงเป็นสถาปัตยกรรมที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ ตอบสนองความใฝ่ฝันขององค์ยุวกษัตริย์ที่ปรารถนาจะยกระดับประเทศขึ้นสู่ความเป็น "ศิวิไลซ์" ทัดเทียมโลกตะวันตกรวมทั้งเพื่อนบ้าน บนเงื่อนไขของการที่ยังไม่เคยเสด็จประพาสยุโรปมาก่อน (ผิดกับการก่อสร้างพระราชวังดุสิตในตอนปลายรัชกาล) อีกทั้งยังไม่ได้มีการจ้างวานนายช่างชาวตะวันตกให้มาทำงานในราชสำนักสยาม (ผิดกับพระที่นั่งอีกหลายองค์ในช่วงกลางรัชกาล)
    การกำเนิดพระราชวังบางปะอิน จึงเป็นไปในลักษณะของการมอบหมายให้บริษัทรับเหมาของชาวต่างชาติ ซึ่งมีเพียงไม่กี่รายในยุคนั้น เป็นผู้ดำเนินการออกแบบและก่อสร้าง บริษัทนี้มีชื่อว่า Grassi Brothers & Co. มีนายโจคิม หรือจาโคโม กับนายอันโตนิโย กราซี สองพี่น้อง ซึ่งตั้งห้างอยู่ที่ฝั่งธนบุรีใกล้กับปากคลองสาน โดยพวกเขามีประสบการณ์ในสยามมาแล้วเป็นเวลา ๒ ปี ก่อนหน้าที่จะได้รับการไว้วางพระราชหฤทัย ให้ดำเนินการก่อสร้างพระราชวังบางปะอิน


    สัญชาติของพี่น้องตระกูลกราซีนี้ค่อนข้างคลุมเครือ เนื่องจากพวกเขาพูดภาษาอิตาเลียน และมีความเจนจัดในรูปแบบสถาปัตยกรรมของอิตาลีมากเป็นพิเศษ แต่แดนเกิดนั้นอยู่ในรอยต่อระหว่างจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งต่อมาตกเป็นของอิตาลี (ปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของสโลเวเนีย) เมื่อแรกเข้ามายังกรุงสยามพวกเขาถือสัญชาติออสเตรียน แต่แล้วในที่สุดก็ได้โอนสัญชาติเป็นคนบังคับของฝรั่งเศสเนื่องด้วยเหตุผลทางธุรกิจ อย่างไรก็ดี ในความรู้สึกของชาวไทยสมัยนั้น ยังคงมองว่าพี่น้องตระกูลนี้เป็นนายช่างอิตาเลียนอยู่นั่นเอง เห็นได้จากการเรียกพวกเขาว่า "ซินยอร์กราซี"


    a.jpg


    พระราชวังบางปะอิน

    พระราชวังมีแต่ครั้ง..............บุราณมา
    จอมกษัตริย์อยุธยา..............ท่านสร้าง
    เรืองนามทั่วทิศา.................บางปะ อินแล
    ริมฝั่งลำน้ำกว้าง.................แจ่มหล้า จรัสศรีฯ



    ในปัจจุบัน พระราชวังบางปะอินอยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวัง และยังใช้เป็นสถานที่แปรพระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงประกอบพระราชพิธีสังเวยพระป้าย แต่ได้เปิดให้ประชาชน และนักท่องเที่ยวเข้าชมได้ โดยต้องแต่งกายให้สุภาพ


    มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเอกาทศรถ ยังทรงดำรงพระยศพระมหาอุปราช วันหนึ่งพระองค์ได้เสด็จประพาสทางชลมารค เมื่อถึงบริเวณเกาะบางปะอิน เรือพระที่นั่งถูกพายุใหญ่พัด ทำให้เรือพระที่นั่งล่มลง สมเด็จพระเอกาทศรถทรงว่ายน้ำขึ้นไปบนเกาะนี้ ซึ่งเดิมชื่อ "เกาะบ้านเลน" และประทับอยู่กับชาวบ้าน


    ในระหว่างประทับอยู่ ณ ที่นี้ สมเด็จพระเอกาทศรถได้หญิงชาวเกาะเป็นบาทบริจาริกา มีนามว่า "อิน" จึงเป็นเหตุให้คนทั่วไปเรียกเกาะนี้ต่อมาว่า "เกาะบางปะอิน" ต่อมาเมื่อพระองค์จะเสด็จกลับ พระองค์ก็ทรงพานางอินนี้กลับไปกรุงศรีอยุธยาด้วย นางอินผู้นี้จึงเป็นพระสนมในเวลาต่อมา และมีพระราชโอรสด้วยกัน เล่ากันว่าพระราชโอรสพระองค์นั้น คือ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง

    ปี พ.ศ. ๒๑๗๕ หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นตรงบริเวณนิวาสสถานเดิมของพระมารดา และได้พระราชทานนามว่า "วัดชุมพลนิกายาราม" และได้สร้างพระที่นั่งองค์หนึ่งเพื่อฉลองการที่พระราชเทวีประสูติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระนารายณ์ราชกุมาร พระราชทานนามว่า "พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์" พระราชวังบางปะอินจึงเป็นสถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์ในฤดูร้อนสืบเนื่องกันมา จนกระทั่ง กรุงศรีอยุธยาได้เสียแก่พม่าเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ซึ่งทำให้พระราชวังแห่งนี้ถูกปล่อยให้รกร้างไป

    พระราชวังบางปะอินกลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้ง เมื่อสุนทรภู่ได้ตามเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชไปนมัสการพระพุทธบาทสระบุรี ซึ่งได้เดินทางผ่านพระราชวังบางปะอิน และได้ประพันธ์ถึงพระราชวังแห่งนี้ในนิราศพระบาท ว่า

    รำพึงพายตามสายกระแสเชี่ยว
    ยิ่งแสนเปลี่ยวเปล่าในฤทัยถวิล
    สักครู่หนึ่งก็มาถึงบางเกาะอิน
    กระแสสินธุ์สายชลเป็นวนวัง
    อันเท็จจริงสิ่งนี้ไม่รู้แน่
    ได้ยินแต่ยุบลในหนหลัง
    ว่าที่เกาะบางอออินเป็นถิ่นวัง
    กษัตริย์ครั้งครองกรุงศรีอยุธยา



    ครั้นมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังกรุงศรีอยุธยา ประพาสผ่านพระราชวังบางปะอิน ทอดพระเนตรเห็นความร่มรื่นโดยรอบเป็นที่ต้องพระราชหฤทัย อีกทั้งยังเป็นเขตพระราชวังเก่าในสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะพระราชวังบางปะอิน โดยสร้างพระที่นั่งองค์หนึ่งเป็นที่ประทับ เรือนแถวสำหรับเจ้านายฝ่ายในหนึ่งหลัง พลับพลาริมน้ำ และพลับพลากลางเกาะ พร้อมทั้งปฏิสังขรณ์วัดชุมพลนิกายารามขึ้นใหม่


    ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า บางปะอินเป็นเกาะกลางน้ำ มีความเงียบสงบ มีเส้นทางการเดินเรือได้หลายทาง สมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร และเป็นสถานที่เสด็จประพาสของพระบรมชนกนาถ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ สำหรับแปรพระราชฐานดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2018
  2. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    คราวนี้ก็ได้ทราบประวัติพระราชวังบางปะอินมาพอสมควรแล้ว

    ในเขตพระราชฐานชั้นนอกที่สร้อยฟ้ามาลากำลังเดินชมอยู่นี้นั้น เป็นบริเวณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้สำหรับการออกมหาสมาคมหรือประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ


    แล้วก็เดินมาถึง หอหอเหมมณเฑียรเทวราช หรือ ศาลพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งจะอยู่ทางด้านซ้ายมือ ไปไหวพระเจ้าปราสาททองพร้อมๆ กัน




    [​IMG]


    หอเหมมณเฑียรเทวราช หรือ ศาลพระเจ้าปราสาททอง สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๑๕ - ๒๔๑๙ มีลักษณะเป็นปรางค์ศิลา ซึ่งจำลองแบบจากปรางค์ขอม ภายในประดิษฐานเทวรูปพระเจ้าปราสาททอง ตั้งอยู่ ณ ริมสระน้ำใต้ต้นโพธิ์


    [​IMG]

    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอเหมมณเฑียรเทวราชขึ้นในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๑๕ - ๒๔๑๙ ต่อมา มีการสร้างในครั้งที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๓ เนื่องจากเหตุการณ์เรือพระประเทียบของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ล่ม เป็นเหตุให้พระองค์สิ้นพระชนม์พร้อมพระราชธิดาและพระราชโอรส(ธิดา)ในพระครรภ์ ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระราชวิตกว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ จะทรงได้รับอันตรายจึงทรงบนว่าถ้าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศปลอดภัยจากการเดินทางในครั้งนี้จะทรงสร้างศาลถวายใหม่


    [​IMG]


    [​IMG]

    ภายในหอเหมมณเทียรเทวราช มีเทวรูปของพระเจ้าปราสาททองประดิษฐานอยู่ด้วย ซึ่งมีผู้พิมพ์คำถวายสักการะไว้ ก็ขออนุญาตพิมพ์ไว้ในกระทู้นี้ด้วยเลยโดยขอลงชื่อ และนามสกุลของผู้พิมพ์คำถวายสักกระไว้ด้วยนะเจ้าคะ


    ถวายแด่บรมครู


    สมเด็จพ่อพระเจ้าปราสาททอง


    คาถาบูชาสมเด็จพ่อ


    โอม นะโม สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง นะมะพะทะ


    ขอพระราชาอนุญาตถึงเทพไท้........................ผู้เป็นใหญ่อยู่ในแดนกรุงศรี
    ผ่านมาแล้วประมาณสามร้อยกว่าปี.................เทพองค์นี้สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
    พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ปราดเปรื่อง...........ความรุ่งเรืองเสริมได้เพราะโหรหลวง
    เข้ายุคทองสุดยิ่งใหญ่ในทั้งปวง.......................ลุสรวงสวรรค์แดนมนุษย์สุดบาดาล
    เหล้าข้าพระพุทธเจ้าขอกราบพระบาท............ทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้าและสรรหา
    จัดธูปเหมือนตั้งเคารพและบูชา.......................ด้วยศรัทธา ธ. ประสาทพร
    ขอเทิดทูลเกียรติยศอันลือลั่น...........................อเนกอนันต์สมโภชสโมสร
    ให้เกรียงไกรยิ่งใหญ่ไม่อมรณ์...........................ขอวิงวอนกราบบังคมและบูชา


    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
    ข้าพระพุทธเจ้า
    นายวิเชียร นางไสว ศรีวิศาลภพ และลูกหลาน
    ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๑
    แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๑


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2013
  3. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    พอกราบพระเจ้าปราสาททองเสร็จแล้ว สร้อยฟ้ามาลาก็เดินตรงมาเรื่อยๆ ก็จะพบกับสะพานตุ๊กตา และกระโจมแตร


    [​IMG]
    สะพานตุ๊กตา



    [​IMG]


    [​IMG]
    กระโจมแตร

    มองจากกระโจมแตรก็จะเห็น พระที่นั่งพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์อยู่ตรงกลางสระน้ำ ทางด้านขวามือจะเห็นประตูเทวราชครรไล ส่วนทางด้านซ้ายมือจะเห็นพระที่นั่งวโรภาษพิมาน

    กระโจมแตร สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๖

    พระราชวังบางปะอินนี้ ถือว่าเป็นตำหนักยอดนิยมของกษัตริย์กรุงรัตนโกสินทร์ตอนกลางเป็นอันมาก เพราะนอกจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงโปรดปรานพระราชวังนี้มากจนถึงกับเสด็จประพาสอยู่บ่อยครั้งต่อปี พอมาถึงพระราชโอรสคือพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ฯ ต่อนั้น พระองค์ก็โปรดที่จะเสด็จพระราชดำเนินมาพักพระอิริยาบทที่พระราชวังนี้อยู่เนืองๆ เช่นกัน ดังที่กล่าวไว้ว่าพระราชวังที่เป็นคล้ายสัญลักษณ์ของรัชกาลที่ ๕ อีกทั้งพระที่นั่งและสิ่งก่อสร้างในที่นี่เกือบจะทั้งหมดสร้างเป็นครั้งแรกในรัชกาลที่ ๕ นั้น ก็ยังมีสิ่งก่อสร้างบางอย่างเหมือนกันที่ถูกสร้างขึ้นหลังยุคพระพุทธเจ้าหลวง และหนึ่งในสิ่งก่อสร้างนั้นมี “กระโจมแตร” รวมอยู่ด้วย


    กระโจมแตร สิ่งก่อสร้างทรงยุโรปที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากประตูเทวราชครรไลและพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์นั้น เป็นกระโจมขนาดกลางที่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าพระองค์เองก็เป็นผู้ที่โปรดปรานงานศิลปะแบบตะวันตกเหมือนพระราชบิดา โดยความคิดที่สร้างกระโจมแตรมาจากความคิดที่จะสร้างศาลาพักกลางแจ้งที่โล่งโปรงเพื่อใช้เป็นที่สังสรรค์กัน ยืนจิบชาโดยมีวงดนตรี ๓ - ๔ ชิ้นบรรเลงขับกล่อมแขกผู้มีเกียรติอยู่ใกล้ตามแบบธรรมเนียมนิยมของพวกผู้ดีในยุโรป เมื่อดำริเช่นนี้แล้ว รัชกาลที่ ๖ จึงโปรดให้สร้างกระโจมให้เป็นทรง Gazebo ซึ่งเป็นลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบเยอรมันที่เป็นที่นิยมกันอย่างสูงในปลายศตวรรษที่ ๑๙


    กระโจมแตรทรงโปร่งกลางแจ้งนี้กลายมาเป็นสถานที่โปรดของรัชกาลที่ ๖ เพราะข้าราชบริพารทั้งหลายมักจะเห็นพระองค์ทรงงานอยู่ที่กระโจมหลังงามนี้จนเจนตา และมีบทพระราชนิพนธ์ที่สำคัญๆ มากมายที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ภายใต้กระโจมหลังนี้ มาในปัจจุบัน กระโจมแตรนี้ก็เป็นที่พักพิงยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาทัศนาพระราชวังบางปะอินนี้เช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2013
  4. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    [​IMG]


    พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ เป็นพระที่นั่งปราสาทโถงกลางน้ำ สร้างในแบบจตุรมุข พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จำลองแบบมาจาก พระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๑๙ และพระราชทานนามว่า "พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์" ตามนามพระที่นั่งองค์แรก ซึ่งสมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ณ พระราชวังบางปะอินแห่งนี้


    พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์จัดได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเคยได้รับเกียรติให้สร้างจำลองแบบไปแสดงในงานมหกรรมนานาชาติ ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑


    แต่เดิมนั้นพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ เป็นพระที่นั่งที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อฉลองการที่พระราชเทวีประสูติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระนารายณ์ราชกุมาร โดยพระราชทานนามว่า "พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์" ซึ่งหมายความว่า พระองค์ได้มีพระราชสมภพที่นี่ และได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระที่นั่งองค์นี้ใช้เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่ง เสียกรุงให้แก่พม่าเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ พระที่นั่งองค์นี้จึงถูกปล่อยให้รกร้างไป


    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านพระราชวังบางปะอิน เมื่อครั้งเสด็จฯ ประพาสพระนครศรีอยุธยา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์พระที่นั่งขึ้นใหม่ โดยใช้เครื่องไม้สร้างพระที่นั่งขึ้นใหม่ ณ บริเวณที่ตั้งเดิมของพระที่นั่งในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง โดยยังคงใช้ชื่อ "พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์" ดังเดิม


    ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้รื้อพระที่นั่งองค์เดิมลง เพื่อขยายสระน้ำให้กว้างขวางยิ่งขึ้น พร้อมทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งองค์ใหม่ ซึ่งเป็นพระที่นั่งที่สร้างจากเครื่องไม้บริเวณกลางสระน้ำ โดยให้จำลองแบบพระที่นั่งมาจากพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาทในพระบรมมหาราชวัง และพระราชทานนามว่า "พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์" ซึ่งยังคงชื่อพระที่นั่งไว้ดังเช่นในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง


    พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์เคยเป็นที่ประดิษฐานพระศพและงานบำเพ็ญพระราชกุศลพระศพของพระองค์เจ้าหญิงศรีวิลัยลักษณ์

    พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีวิลัยลักษณ์ กรมขุนสุพรรณภาควดี ทรงเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งประสูติก่อนที่พระองค์จะเสด็จฯ ขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ ทรงเป็นพระราชธิดาคู่ทุกข์คู่ยากของรัชกาลที่ ๕ หลังจากการทรงกรมเป็น "กรมขุนสุพรรณภาควดี " ได้เพียง ๑ ปี ก็สิ้นพระชนม์ รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานบำเพ็ญพระราชกุศล ณ พระราชวังบางปะอิน โดยใช้พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์เป็นที่ประดิษฐานพระศพ และโปรดให้จัดงานพระราชทานเพลิงพระศพ ณ วัดนิเวศธรรมประวัติ ซึ่งถือเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก จนเป็นที่กล่าวขานในหมู่ชาววังว่า ใครไม่ได้มาร่วมงานในครั้งนี้ถือเป็นคนนอกสังคมชาววัง

    ในระหว่างการจัดงานพระราชทานเพลิงพระศพของพระองค์เจ้าหญิงศรีวิลัยลักษณ์ นั้น สมเด็จเจ้าฟ้าจันทราสรัทวาร ซึ่งทรงสนิทกับพระองค์เจ้าศรีวิลัยลักษณ์มาก ทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์ ณ วรนาฎเกษมสานต์ ภายในพระราชวังบางปะอินนั่นเอง ซึ่งในนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้ไว้ว่า “เชิญพระศพพระเจ้าลูกเธอพระองค์หนึ่งขึ้นไป แล้วก็กลับต้องเชิญพระศพอีกพระองค์หนึ่งลงมา ”


    ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้บูรณปฏิสังขรณ์พระที่นั่งอีกครั้ง โดยได้เปลี่ยนพื้นและเสาเป็นแบบคอนกรีต แทนเครื่องไม้ซึ่งผุง่ายเมื่ออยู่ในน้ำ พร้อมทั้งให้สร้างพระบรมรูปหล่อสัมฤทธิ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขนาดเท่าพระองค์จริงในฉลองพระองค์เต็มยศจอมพลทหารบกมาประดิษฐาน ณ พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์จนถึงปัจจุบัน


    [​IMG]


    [​IMG]


    แล้วสร้อยฟ้ามาลาก็เดินตรงมาเรื่อย เดินตรงอย่างเดียว เดินข้ามสะพานก็เข้าสู่เขตพระราชฐานชั้นใน (ขอบอกว่าเดินมั่วมากๆ ไม่รู้จะไปทางไหนก็ตรงอย่างเดียว ที่จริงเขตพระราชฐานชั้นนอกยังมีพระที่นั่งอีกหลายองค์ เดี๋ยวจะเดินย้อนกลับมาเล่าให้ฟังนะเจ้าคะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2013
  5. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    พอข้ามสะพานก็จะพบกับพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร


    [​IMG]

    พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน ตรงข้ามกับสระทางด้านตะวันออก ของพระราชวังบางปะอิน พระที่นั่งองค์นี้สร้างด้วยไม้ สไตล์ยุโรป แบบสวิสชาเล่ต์ ๒ สวิตเซอร์แลนด์ โดยทาสีเขียวอ่อนและสีเขียวแก่สลับกันทั้งองค์ ประดับประดาไปด้วยลวดลายฉลุไม้แบบยุโรปที่แสนงดงาม มีระเบียงแล่นโดยรอบพระที่นั่ง ภายในมีการตกแต่งแบบยุโรปด้วยเครื่องเรือนฝรั่งเศสสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ที่เข้าชุดกันทั้งหมด พระที่นั่งองค์นี้ถือได้ว่าเป็นพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดปรานมากที่สุด ชั้น มีกำแพงแก้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียรขึ้นเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๔๒๐ โดยโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ทรงออกแบบ โดยพระราชทานเงิน ๗๐ ชั่ง หรือประมาณ ๕,๖๐๐ บาท
    ทุกปีในฤดูฝน พระองค์จะเสด็จมาประทับที่พระที่นั่งองค์นี้ปีละ ๓ ครั้ง

    [​IMG]


    [​IMG]


    เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๓ แกรนด์ดุ๊กซาร์วิตส์แห่งรัสเซีย (พระยศขณะนั้น) ได้เสด็จเยือนประเทศไทย พระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระที่นั่งองค์นี้เป็นที่ประทับของแกรนด์ดุ๊กซาร์วิตส์ และในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ ยังใช้เป็นที่ประทับของดยุคโยฮัน อัลเบรตแห่งเยอรมันด้วย


    [​IMG]



    ถ่ายรูปจากหอวิฑูรทัศนา

    ในวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้มีการบูรณะซ่อมแซมพระที่นั่งต่าง ๆ ในพระราชวังบางปะอิน ขณะดำเนินการทาสีพระที่นั่งนั้นได้เกิดเหตุเพลิงไหม้พระที่นั่งทั้งองค์ ซึ่งเหลือเพียงหอน้ำ หรือหอยุโรป (หอน้ำเป็นที่ประทับที่มีน้ำฉีดบนหลังคาให้เย็น) ข้างพระที่นั่งเท่านั้นที่ไม่ถูกเพลิงไหม้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๑ สำนักพระราชวังจึงสร้างพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียรขึ้นมาใหม่เลียนแบบพระที่นั่งองค์เดิม เพื่อใช้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงภาพเขียนและวัตถุโบราณ


    [​IMG]


    จนกระทั่ง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ให้จัดสร้างพระที่นั่งขึ้นใหม่ ขึ้นโดยใช้คอนกรีต แทนไม้ โดยทาสีขาวสลับเขียวตามแบบเดิมทั้งองค์พระที่นั่ง ต่อมาได้มีการรื้อดัดแปลงสร้างใหม่อีกครั้งหนึ่งตามลักษณะที่ปรากฏในปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นที่ประทับของ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๒ แห่งสหราชอาณาจักรในคราวเสด็จเยือนประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๙ การดัดแปลงใหม่ครั้งนี้ได้ใช้ศิลปะสถาปัตยกรรมแบบวิคตอเรียน ตัวอาคารเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ๒ ชั้นกรุกระจกโดยรอบองค์พระที่นั่ง องค์พระที่นั่งทาสีม่วงชมพูอย่างงดงาม


    ปัจจุบัน พระที่นั่งองค์นี้ใช้เป็นที่ประทับในการเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐาน ณ พระราชวังบางปะอิน และเป็นสถานที่รับรองพระราชอาคันตุกะ เป็นสถานที่เดียวในพระราชวังบางปะอินที่ไม่เปิดให้เข้าชม


    [​IMG]


    จากพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร ก็ถึงทางแยกจะไปซ้ายดีหรือเลี้ยวขวาดี สร้อยฟ้ามาลาตัดสินใจเดินเลี้ยวขวา ก็จะพบสะพานอีกแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2013
  6. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    เมื่อเดินข้ามสะพานก็จะพบกับอนุสาวรีย์แห่งความอาลัยรัก อนุสาวรีย์แห่งความพลัดพรากและความสูญเสียที่ทำให้เกิดความเศร้าสะเทือนใจอย่างที่สุด ขอกล่าวถึงอนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์


    [​IMG]


    [​IMG]

    อนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์

    อนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ เป็นอนุสาวรีย์ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ตั้งอยู่ด้านตะวันออกของพระราชวังบางปะอิน ถัดจากหอวิฑูรทัศนา โดยมีลักษณะเป็นฐานรูปทรงสี่เหลี่ยมและยอดหกเหลี่ยมทรงสูง สร้างด้วยหินอ่อนจากประเทศอิตาลี ด้านทั้ง ๔ ประกอบด้วย

    ด้านทิศตะวันตก แกะสลักคำไว้อาลัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นภาษาไทยว่า


    ที่รฦกถึงความรัก


    แห่ง


    สมเดจพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรตน์


    พระบรมราชเทวี อรรคมเหษี


    อันเสดจทิวงคตแล้ว


    ซึ่งเธอเคยมาอยู่ในสวนนี้ โดยความศุขสบาย


    แลเปนที่เบิกบานใจพร้อมด้วยผู้ซึ่งเปนที่รัก แลที่


    สนิทอย่างยิ่งของเธอ


    อนุสาวรี นี้สร้างขึ้น


    โดย


    จุฬาลงกรณ์ บรมราช


    ผู้เปนสวามี อันได้รับความเศร้าโศกเพราะความทุกข์


    อันแรงกล้าในวลานั้น แทบจะถึงแก่ชีวิตร


    ถึงกระนั้นยังมิได้หักหาย


    จุลศักราช ๑๒๔๓


    [​IMG]


    ด้านทิศตะวันออก แกะสลักคำไว้อาลัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นภาษาอังกฤษ


    [​IMG]
    ด้านทิศใต้ ประดิษฐานพระนามาภิไธยย่อของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ (ส ภายใต้พระมงกุฏ)


    [​IMG]
    ด้านทิศเหนือ ประดิษฐานรูปช่อดอกไม้ล้อมรอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์


    [​IMG]
    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอนุสรณ์แห่งความรักแห่งนี้ขึ้น พร้อมทั้งได้เสด็จพระราชดำเนินเปิดอนุสาวรีย์เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ ซึ่งตรงกับวันที่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์เสด็จทิวงคตครบรอบ ๓ ปี

    ในเรื่องพระประวัติของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ โสภางคทัศนิยลักษณ์ อรรควรราชกุมารี สร้อยฟ้ามาลาขออนุญาตไม่นำมาลงในกระทู้นี้ ซึ่งความละเอียดของพระประวัติของพระองค์นั้น สร้อยฟ้ามาลากำลังเขียนอยู่ในกระทู้ “แผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง

    ส่วนทางด้านขวามือของอนุสาวรีย์ จะมีศาลาไทย ซึ่งเล่ากันว่า สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ทรงโปรดที่จะเสด็จมาประทับพักผ่อนพระอิริยาบถซึ่งรอบๆ บริเวณนี้จะมีสวนและต้นไม้อยู่ บรรยากาศสงบเงียบ ลมพัดเอื่อยๆ เย็นๆ น่านั่งเล่นเสียจริงๆ...


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
    ภายในศาลาจะประดิษฐานพระฉายาทิศลักษณ์ของพระองค์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2013
  7. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    [​IMG]

    ใกล้ๆ กับอนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ก็จะพบกับอนุสาวรีย์ราชานุสรณ์ ตั้งอยู่ด้านตะวันออกของพระราชวังบางปะอิน เป็นอนุสาวรีย์สร้างด้วยหินอ่อน ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาฯ โปรดเกล้าให้สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงพระอัครชายาเธอ ๑ พระองค์ พระราชโอรส ๒ พระองค์ และพระราชธิดา ๑ พระองค์ ที่สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกัน โดยแต่ละด้านของอนุสาวรีย์ประดับด้วยพระรูปเหมือนแกะสลักด้วยหินอ่อนของทั้ง ๔ พระองค์ คือ


    [​IMG]


    [​IMG]

    ๑. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๐


    [​IMG]


    [​IMG]

    ๒. พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาคนารีรัตน์ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๐


    [​IMG]


    [​IMG]

    ๓. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย กรมพระเทพนารีรัตน์ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๓๐


    <O:p[​IMG]


    [​IMG]
    ๔. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าตรีเพ็ชรุตม์ธำรง สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๐
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2013
  8. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    เมื่อถวายสักการะพระราชานุสาวรีย์ทั้ง ๒ แล้ว สร้อยฟ้ามาลา ก็เดินตรงไปข้างหน้าอีก ตอนนี้ด้านซ้ายมือจะมองเห็นพระที่นั่งเวหาศน์จำรูญและหอวิฑูรทัศนา แต่ตรงบริเวณที่เดินอยู่นี้เป็นบริเวณของพระตำหนัก ตำหนัก และเรือนของพระบรมวงศ์ฝ่ายใน ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในของพระราชวังบางปะอิน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นสำหรับเป็นที่ประทับของเจ้านายฝ่ายในเพื่อเป็นที่ประทับเมื่อเสด็จแปรพระราชฐานมา ณ พระราชวังแห่งนี้ โดยมีดังต่อไปนี้



    a.jpg

    พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
    พระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นพระบรมราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระตำหนักมีสถาปัตยกรรมแบบยุโรป ก่ออิฐถือปูน มี ๒ ชั้น โดยมีห้องบรรทม ๕ ห้อง แบ่งเป็น ห้องบรรทมชั้นบน ๒ ห้อง และห้องบรรทมชั้นล่าง ๓ ห้อง ผนังอาคารทาสีไข่ไก่ ชั้นบนและชั้นล่างมีโถงกลาง ชั้นบนมีระเบียงประตูมุข ๓ บาน มุขระเบียงประดับด้วยลวดลายกลึงไม้ ลวดลายเครือเถา


    a.jpg

    พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าตั้งอยู่ใกล้กับ พระราชนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี และ พระราชานุสาวรีย์ราชานุสรณ์


    a.jpg
    เรือนเจ้าจอมเอี่ยม เอิบ อาบ เอื้อน และเจ้าจอมมารดาอ่อน
    เรือนที่พักของเจ้าจอมเอี่ยม เอิบ อาบ เอื้อน และเจ้าจอมมารดาอ่อน (เจ้าจอมก๊กออ) เจ้าจอมและเจ้าจอมมารดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยตัวอาคารเป็นไม้ และฐานอาคารก่ออิฐถือปูน มี ๒ ชั้น ชั้นบนมี ๒ ห้องนอน และชั้นล่างมี ๒ ห้องนอน ๑ ห้องรับแขก ตัวอาคารทาสีม่วงตัดด้วยสีขาว มีทางขึ้นเรือน ๓ ทาง ด้านหน้าเรือน ๑ ทางและด้านข้างอีก ๒ ทาง
    เรือนเจ้าจอมเอี่ยม เอิบ อาบ เอื้อน และเจ้าจอมมารดาอ่อน ตั้งอยู่ระหว่างเรือนเจ้าจอมมารดาแสและพระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า



    a.jpg
    เรือนเจ้าจอมมารดาแส
    เรือนที่พักของเจ้าจอมมารดาแส โรจนดิศ เป็นเจ้าจอมมารดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตัวอาคารก่ออิฐถือปูน มี ๒ ชั้น ชั้นบนมี ๓ ห้องนอน ๓ ห้องน้ำ แต่ละห้องมีประตูเข้าด้านหน้า
    เรือนเจ้าจอมมารดาแส ตั้งอยู่ระหว่างพระตำหนักสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวีและเรือนเจ้าจอมเอี่ยม เอิบ อาบ เอื้อน และเจ้าจอมมารดาอ่อน



    a.jpg
    พระตำหนักสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี
    พระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ทรงเป็นพระราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระตำหนักมีสถาปัตยกรรมแบบยุโรป ตัวอาคารประธานมีลักษณะ ๘ เหลี่ยม มี ๒ ชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน มีห้องบรรทม ๒ ห้อง และห้องสำราญพระอิริยาบถ ๑ ห้อง และชั้นบนสร้างจากไม้ มีห้องบรรทม ๑ ห้อง ห้องสรง ๑ ห้อง ระเบียงด้านหน้าพระตำหนักมีลูกกรงไม้ทาสีขาว มีบันไตขึ้นสู่อาคารด้านหน้า ๒ ทางและทางด้านหลังอีก ๑ ทาง

    พระตำหนักสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ตั้งอยู่ระหว่างพระตำหนักพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา และ เรือนเจ้าจอมมารดาแส



    a.jpg
    พระตำหนักพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา
    พระตำหนักเป็นที่ประทับของพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา ทรงเป็นพระอัครชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระตำหนักมีสถาปัตยกรรมแบบยุโรป อาคารประธานก่ออิฐถือปูน มี ๒ ชั้น ชั้นบนเป็นห้องบรรทม ๑ ห้อง ชั้นล่างเป็นห้องสำราญพระอิริยาบถ ๑ ห้อง อาคารด้านหน้าพระตำหนักเป็นเรือนไม้ชั้นเดียว แบ่งเป็นเป็นห้องบรรทม ๑ ห้อง ชั้นล่างเป็นห้องสำราญพระอิริยาบถ ๑ ห้อง และห้องสรง ๓ ห้อง ตัวอาคารทาด้วยสีม่วงตัดขอบสีขาว มีทางขึ้นด้านหน้า ๒ ทาง และด้านหลัง ๓ ทาง


    a.jpg


    a.jpg
    พระตำหนักพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา ตั้งอยู่ใกล้กับพระตำหนักสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี


    a.jpg
    ตำหนักเก้าห้อง
    ตำหนักเก้าห้อง เป็นตำหนักที่ประทับของพระบรมวงศ์ฝ่ายใน ที่ตามเสด็จฯ คราวแปรพระราชฐานมาประทับที่พระราชวังบางปะอิน โดยมีสถาปัตยกรรมแบบยุโรป ก่ออิฐถือปูน มี ๒ ชั้น มี ๓ มุข ได้แก่ มุขข้าง ๒ ด้าน และมุขกลาง (คล้ายรูปตัว E) ผนังระหว่างเสาชั้นล่างเป็นวงโค้ง และชั้นบนเป็นช่องสี่เหลี่ยมมีการประดับด้วยไม้ฉลุลาดขนมปังขิง มีทางขึ้นตำหนัก ๕ ทาง ด้านหน้าตำหนัก ๓ ทาง และระเบียงหลัง ๒ ทาง
    ตำหนักเก้าห้อง ตั้งอยู่ระหว่างตำหนักพระราชชายา เจ้าดารารัศมีและพระตำหนักพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา ปัจจุบัน ใช้เป็นที่พักของนายทหารของศูนย์รักษาความปลอดภัยตั้งแต่ยศพันตรีขึ้นไป



    a.jpg
    ตำหนักพระราชชายา เจ้าดารารัศมี
    ตำหนักที่ประทับของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ทรงเป็นพระราชชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระตำหนักไม้ยกพื้นชั้นเดียว ตัวอาคารทาสีเขียว ด้านในตำหนักทาสีขาว มีห้องบรรทม ๒ ห้องมีห้องสรงอยู่ภายใน ห้องสำราญพระอิริยาบถ ๑ ห้อง ห้องพระเครื่องต้น ๑ ห้อง โดยทุกห้องสามารถเปิดถึงกันหมด มีทางขึ้นตำหนักด้านหน้า ๑ ทางและด้านหลัง ๑ ทาง
    ตำหนักพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับตำหนักเก้าห้อง



    ตำหนักที่ถูกรื้อ
    ในปัจจุบัน บางตำหนักได้ถูกรื้อลงแล้ว ได้แก่
    ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์

    ตำหนักที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ โดยสร้างแบบเรือนแพอยู่บริเวณทิศตะวันออกของหอวิฑูรทัศนา ติดกับสะพานที่จะข้ามไปยังอนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และ อนุสาวรีย์ราชานุสรณ์

    ตำหนักกรมขุนสุพรรณภาควดี
    ตำหนักที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีวิลัยลักษณ์ กรมขุนสุพรรณภาควดี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เดิมตั้งอยู่ที่สนามช้างในปัจจุบัน

    ตำหนักวรนาฏเกษมสานต์
    ตำหนักวรนาฏเกษมสานต์ เป็นตำหนักที่ประทับของพระบรมวงศ์ฝ่ายในหลายพระองค์ประทับอยู่ด้วยกัน โดยในนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน นั้น แม่พลอยซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องก็ได้มาพักที่ตำหนักนี้ ในรัชกาลที่ ๖ ตำหนักแห่งนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นโรงละครประจำพระราชวัง โดยเปลี่ยนชื่อเป็น "วรนาฏยศาลา" เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๖ จึงรื้อโรงละครออกไป ปัจจุบันเป็นสนามกว้างปลูกต้นไม้เป็นรูปสัตว์ต่างๆแทน


    a.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2018
  9. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    หลังจากที่สร้อยฟ้ามาลาเดินผ่านหมู่พระตำหนัก และเรือนต่างๆ แล้ว คราวนี้ก็เดินมาถึง พระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ



    [​IMG]
    ถ่ายรูปจากบนหอวิฑูรทัศนา

    พระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ เป็นพระที่นั่งสองชั้น สถาปัตยกรรมแบบจีน ตั้งอยู่ภายในพระราชวังบางปะอิน สร้างในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. ๒๔๓๒ พระที่นั่งองค์นี้มีนามในภาษาจีนว่า เทียน เม่ง เต้ย แปลเป็นไทยว่า พระที่นั่งฟ้าสว่าง (เทียน แปลว่า เวหา , เม่ง แปลว่า จำรูญ , เต้ย แปลว่า พระที่นั่ง) ใช้เวลาในการสร้างประมาณ ๑๐ ปี และเป็นพระที่นั่งองค์สุดท้ายที่สร้างขึ้นในรัชกาลที่พระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ เป็นของถวายของข้าราชการกรมท่าซ้าย คือ พ่อค้าใหญ่ชาวจีน โดยมีพระยาโชฎึกราชเศรษฐี (ฟัก โชติกสวัสดิ์) เป็นนายงาน หลวงสาทรราชายุกต์ (ยม พิศลยบุตร) และ หลวงโภคานุกุล (จื๋ว) เป็นผู้ควบคุมในการก่อสร้าง และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าทองแถม กรมหมื่นสรรพศาสตร์ศุภกิจ เป็นผู้ควบคุมดูแล
    เมื่อพระที่นั่งสร้างเสร็จ รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ จัดให้มีพระราชพิธีเฉลิมขึ้นพระที่นั่งตามแบบจีน เมื่อวันที่ ๒๗ - ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๒

    [​IMG]


    ห้องภายในพระที่นั่ง

    ชั้นล่าง

    ชั้นล่างของพระที่นั่งเวหาศน์จำรูญนั้น ใช้เป็นห้องพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะอยู่ทางทิศตะวันออกของพระที่นั่ง และใช้เป็นท้องพระโรง ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ ท้องพระโรงล่าง และท้องพระโรงบน โดยบริเวณทางขึ้นท้องพระโรงบนนั้นมีแผ่นหินอ่อนเป็นตราสัญลักษณ์ลัทธิเต๋าของจีน รูปหยินหยางประดับไว้( ที่เป็นสัญลักษณ์บนธงเกาหลีใต้ หยิน-หยางเป็นความเชื่อในทางลัทธิเต๋าที่ว่า สิ่งต่างๆในโลก ล้วนแต่มีคู่ เป็นหลักของความสมดุล เช่น มีขาว ก็มีดำ มีดีก็ต้องมีชั่ว) แผ่นหินอ่อนนี้ในประเทศจีนเขาไว้ให้ทำพิธี "เกาเทา" หรือการทำความเคารพฮ่องเต้ที่เราเห็นกันในหนังชุดของจีน ว่ากันว่า พวกตงฉินหรือขุนนางดีจะโขกหัวที่เจ้าแผ่นหินอ่อนนี้ จนหัวแตกในกรณีที่กษัตริย์จีนไม่อยู่ในธรรม มีพระราชอาสน์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตั้งอยู่ตรงกลางและ โต๊ะเสนาบดี รวมทั้งมีแผ่นป้าย "ทรงพระเจริญหมื่นๆ ปี" ที่เป็นอักษรจีนอยู่ด้วย ตู้และโต๊ะต่างๆ ฝังมุกสีแดง หรือที่เขาเรียกกันว่า " มุกไฟ " ท่านที่ไปเที่ยวชมที่พระที่นั่งนี้เขามีป้าย "ห้ามถ่ายรูป" ติดอยู่ที่ประตูทางเข้า และให้ผู้เข้าชมถอดรองเท้าก่อนเข้าไปด้านใน ที่น่าสนใจอีกอย่างคือพื้นที่ทั้งหมดในพระที่นั่งนี้ (ส่วนที่ให้เข้าชมได้) จะปูด้วยพรมสีแดงทั้งหมด พื้นของโถงด้านล่างปูด้วยกระเบื้องที่มีลวดลายทิวทัศน์ทั้งหมด คาดว่าที่ปูพรมทั้งหมดก็คงเพื่อรักษาเจ้ากระเบื้อง (เก่าๆ ) เหล่านี้ไว้

    นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวยังโปรดเกล้าฯ ให้คัดลอกแผ่นป้ายคำโคลงสรรเสริญข้าราชการที่ทำคุณความดี ๙ บท ๑๗ แผ่นป้าย มาประดับไว้ด้วย ส่วนท้องพระโรงบนนั้น เป็นห้องประชุมเสนาบดี และใช้เป็นที่ประทับของรัชกาลที่ ๕ โดยมีการตั้งป้าย ๘ เหลี่ยมซึ่งเขียนเป็นภาษาจีนว่า "เทียน เหมง เต้ย" และ "ว่าน ว่าน ซุย" ซึ่งแปลว่า ทรงพระเจริญหมื่น ๆ ปี และที่เพดานท้องพระโรงมีอักษรไทยที่เขียนเลียนแบบอักษรจีนเป็นคำว่า "กิม หลวน เต้ย" ซึ่งแปลว่า โอรสจากสวรรค์

    [​IMG]


    ชั้นบน

    ห้องชั้นบนของพระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ ประกอบด้วย ๔ ห้องใหญ่ ได้แก่ ห้องบรรทมสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ห้องบรรทมพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ห้องทรงพระอักษร และห้องพระป้าย

    ห้องทรงพระอักษร
    ห้องทรงพระอักษรตั้งอยู่ในทางทิศใต้ของพระที่นั่ง ภายในห้องมีโต๊ะทรงพระอักษรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวตั้งอยู่ ปัจจุบัน ใช้เป็นที่เก็บหนังสือภาษาจีนในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕

    ห้องพระป้าย
    ห้องพระป้ายติดกับห้องทรงพระอักษรเป็นที่ประดิษฐานพระวิมาน ๓ องค์ติดต่อกัน เรียงจากทิศตะวันตก ไปตะวันออก ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายต่าง ๆ ลงรักปิดสีทองอร่ามช่องตะวันตกเป็นสถานที่ประดิษฐานพระป้ายจารึก (อักษรจีน) พระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระนามาภิไธย สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระอัครมเหสีในรัชกาลที่ ๔ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๓ ช่องกลางเป็นสถานที่ประดิษฐาน พระพุทธรูป ในการประกอบพระราชพิธีสังเวยพระป้าย
    ช่องตะวันออกเป็นสถานที่ประดิษฐานพระป้ายจารึก(อักษรจีน) พระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระนามาภิไธย สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐
    นอกจากนี้ เสาด้านหน้าพระวิมานได้แขวนป้ายสุภาษิตจีนได้ โดยด้ายซ้ายแปลว่า "ในหมู่ชนจะหาความสามัคคีธรรมเสมอพี่น้องได้ยาก" และด้านขวา แปลได้ว่า "ในใต้หล้าจะหาความผิดในพ่อแม่ไม่มี" ปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บำเพ็ญพระราชกุศลสังเวยพระป้าย ในวันตรุษจีนทุกปี (สาเหตุที่มีการสังเวยป้ายตามธรรมเนียมจีน เพราะพ่อของแม่ (ตา) ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เป็นชาวจีนชื่อพระศุรเยนต์)

    นอกจากนี้ ยังมีห้องอีก ๒ ห้อง ได้แก่ ห้องบรรทมพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และห้องบรรทมสมเด็จพระบรมราชินีนาถ โดยห้องบรรทมสมเด็จพระบรมราชินีนาถนั้น ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกของพระที่นั่ง ภายในมีพระแท่นบรรทม ๒ องค์ สำหรับทรงใช้ในฤดูร้อนและฤดูหนาว เพดานเหนือพระแท่นมีการแกะสลักลายมังกรดั้นเมฆ ซึ่งหมายถึง พระมหากษัตริย์ที่คอยปกป้องคุ้มครองพระมเหสี


    [​IMG]

    นอกจากนี้ยังมีโต๊ะที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ทรงพระอักษรใช้แปลบทละครต่างๆ อย่าง เรื่องเวนิสวานิชโรมิโอกับจูเลียตเทียนเม่งเต้ยเป็นพระที่นั่งที่พระองค์ใช้ประทับในฤดูหนาวเพราะที่นี้มีกระจกกั้นกันลมหนาว พระองค์ยังเติมห้องสรง (ห้องอาบน้ำ)ให้มีฝักบัวรูปมังกรพ่นน้ำ และที่พระที่นั่งนี้มี ลิฟท์เป็นแห่งแรกแต่ไม่ไช่ลิฟท์ที่วิ่งขึ้น-ลงเร็วเหมือนสมัยนี้ สมัยก่อนเขาใช้มือหมุน (ชักรอก)สาเหตุที่ต้องมีลิฟท์ก็คือ ช่วงหนึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖พระพลานามัยไม่แข็งแรงจึงจำเป็นต้องใช้ลิฟท์ในการขึ้นลงและในรัชกาลปัจจุบันก็ได้มีการซ่อมแซมครั้งใหญ่โดยมีเศรษฐีชาวจีนถวายงบซ่อมแซมประมาณ ๗๐ล้านบาท

    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2013
  10. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    จากที่ได้ชมความงามของพระที่นั่งเวหาศน์จำรูญแล้ว สร้อยฟ้ามาลาก็จะขอพาไปขึ้นไปชมทัศนียภาพมุมสูงกันบ้าง นั่นก็คือ หอวิฑูรทัศนา


    [​IMG]


    หอวิฑูรทัศนาหรือ เรียกกันอีกชื่อว่า "พระที่นั่งหอสูง" เป็นหอสูงยอดมน สถาปัตยกรรมตะวันตกผสมที่หอแห่งนี้มีศิลปะพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง เป็นศิลปะที่นิยมกันในสมัยรัชกาลที่ ๖ คือการทำไม้เจาะฉลุ เรียกกันว่า "ศิลปะขนมปังขิง" (Gingle Bread) สังเกตตรงส่วนที่ย้อยลงมาจากหลังคาจะเป็นไม้แกะฉลุทั้งหมด


    หอวิฑูรทัศนา ตั้งอยู่กลางเกาะในพระราชอุทยาน อยู่ระหว่างพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียรและพระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นภายในพระราชวังบางปะอิน แล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๔ พร้อมทั้งได้พระราชทานนามหอนี้ว่า "หอวิฑูรทัศนา"


    [​IMG]


    [​IMG]


    หอวิฑูรทัศนา ใช้สำหรับเป็นที่เสด็จขึ้นไปทอดพระเนตรภูมิประเทศโดยรอบของพระราชวัง กล่าวกันว่าเมื่อแรกสร้างนั้น ยังมองเห็นช้างป่าเป็นโขลง ๆ เดินอยู่ตามชายทุ่ง หรือถ้าขึ้นไปดูในช่วงฤดูทำนาก็จะเห็นความงามของทุ่งนาในช่วงต่าง ๆ จนมีคำกล่าวว่า "ดูนาที่ไหนเล่า ไม่เท่าที่บางปะอิน"


    [​IMG]

    หอวิฑูรทัศนามีความสูง ๓๐ เมตร ลักษณะเป็นหอคอยสูง ๓ ชั้น ๑๒ เหลี่ยม ยอดหอคอยคลุมด้วยหลังคารูปครึ่งวงกลม มีสถาปัตยกรรมผสมผสานของยุโรป ตัวอาคารทาสีแดงสลับเหลือง ภายในมีบันไดเวียนขึ้นสู่ชั้นบน ๑๑๒ ขั้น โดยแบ่งเป็น จากพื้นชั้นล่างขึ้นไปยังชั้นที่ ๑ จำนวน ๑๘ ขั้น จากชั้นที่ ๑ ขึ้นไปยังชั้นที่ ๒ จำนวน ๕๕ ขั้น และจากชั้นที่ ๒ ขึ้นไปยังชั้นที่ ๓ จำนวน ๓๙ ขั้น


    [​IMG]

    หลังจากที่สร้อยฟ้ามาลาซุกซน ขึ้นไปตากลมเย็นบนหอวิฑูรทัศนา(แต่สูงมากเลย มองลงมาข้างล่างหวาดเสียว หัวใจหล่นอยู่ที่ตาตุ่ม) ก็เดินออกมาทางด้านหน้าของพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร ซึ่งในตอนแรกนั้นเดินเลาะผ่านมาทางด้านหลังของพระที่นั่ง ก็จะมาพบกับ เก๋งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นไว้ทรงประทับชมดอกไม้ และพระราชทานชื่อว่า "เก๋งบุปผาประพาส" เก๋งนี้เป็นเก๋งสร้างด้วยไม้ขนาดเล็ก อยู่ในสวนริมสระต่อจากพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร ออกไปทางทิศตะวันตก


    จากนั้นก็เดินมาทางด้านหลังของเก๋งบุปผาประพาส ก็จะพบกับ แพทรงบาตร

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
    สภาพภายในของแพทรงบาตร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2013
  11. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    ขึ้นจากแพทรงบาตรได้ สร้อยฟ้ามาลาก็เดินตรงมาเจอวงเวียน ซึ่งทางด้านหนึ่งของวงเวียนจะเป็นแยกทางเดินเมื่อคราวแรกที่สร้อยฟ้ามาลาตัดสินใจว่าจะเดินเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาดี แล้วก็ตัดสินใจว่า เดินเลี้ยวขวาก่อน



    [​IMG]


    [​IMG]

    แต่อาคารที่มองเห็นอยู่ด้านหน้านี้ก็คือ ประตูเทวราชครรไล

    ประตูเทวราชครรไลนี้เดิมใช้เป็นประตูสำหรับพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกจากเขตพระราชฐานชั้นในไปยังท้องพระโรงซึ่งก็จะมีสะพานเชื่อมไปยัง พระที่นั่งวโรภาษพิมานซึ่งเป็นท้องพระโรงสำหรับให้ขุนนางเข้าเฝ้าฯ


    [​IMG]

    ด้านข้างของประตูเทวราชครรไลจะพบกับสะพานเสาวรส ตัวสะพานจะมีบานเกร็ดเป็นช่องๆ ให้ผู้ที่เดินอยู่บนสะพานสามารถมองออกไปเห็นของเขตพระราชฐานชั้นนอก นั่นคือ ผู้ที่อยู่บรนิเวณเขตพระราชฐานชั้นนอกเมื่อมองมายังสะพานจะมองไม่เห็นผู้ที่เดินอยู่บนสะพานเสาวรสนี้เลย


    [​IMG]

    ประตูสู่สะพานเสาวรส เชื่อมระหว่างเขตพระราชฐานชั้นนอกกับเขตพระราชฐานชั้นใน ซึ่งขณะนี้มองออกไปสุดปลายสะพานคือเขตพระราชฐานชั้นนอก และเป็นที่ตั้งของพระที่นั่งวโรภาษพิมาน


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2013
  12. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    และแล้วสร้อยฟ้ามาลาก็เดินออกมาสู่เขตพระราชฐานชั้นนอกอีกครั้ง ขณะนี้ก็จะพบกับพระที่นั่งวโรภาษพิมาน


    [​IMG]


    พระที่นั่งวโรภาษพิมาน เป็นพระที่นั่งตึกชั้นเดียว โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นตรงบริเวณที่ประทับเดิมของของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๙ เมื่อแรกสร้างก็ยังเป็นอาคารตึก ๒ ชั้น แต่ต่อมาได้ดัดแปลงรื้อลง เป็นชั้นเดียว อาคารนี้เป็นศิลปะ กรีก-โรมัน หรือที่เรียกกันอีกอย่างว่า "นีโอคลาสิก"


    มีท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกว่าราชการ และใช้เป็นที่ประทับ ภายในห้องทรงพระสำราญ และห้องโถงรับรอง ประดับภาพเขียนสีน้ำมัน ภาพเขียนสีฝุ่น และพระราชพงศาวดารจากวรรณคดีไทยหลายเรื่อง ประกอบโคลงบรรยายภาพอันงดงามทรงคุณค่า ภาพเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ไทย และฉากต่างๆจากวรรณคดีไทยหลายเรื่อง เช่น กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทรงประพันธ์บทกลอน ตอน "พระเจ้าเสือคล้องช้าง" พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้วาดภาพเหล่านี้ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๐ นอกจากนี้ ยังมี สิ่งประดับล้ำค่าชิ้นเอกของโลกด้วย คือแจกันสลับสีเขียนลายทอง


    [​IMG]

    ในรัชกาลปัจจุบัน พระที่นั่งวโรภาษพิมานยังใช้เป็นที่ประทับ เมื่อมีการเสด็จแปรพระราชฐาน ณ พระราชวังบางปะอิน แต่ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้โดยไม่สามารถถ่ายภาพภายในพระที่นั่งได้ และสุภาพสตรีต้องสวมกระโปรงเข้าชม สิ่งที่น่าชมภายในพระที่นั่งวโรภาษพิมานได้แก่ อาวุธโบราณตุ๊กตาหินสลักด้วยฝีมือประณีตและภาพเขียนสีน้ำมันเป็นเรื่องราวภาพชุดพระราชพงศาวดารอีกทั้งภาพวรรณคดีไทยเรื่องอิเหนา พระอภัยมณี สังข์ทอง และจันทรโครพตลอดจนเป็นที่เก็บเครื่องราชบรรณาการต่างๆ


    ด้านข้างของพระที่นั่งวโรภาษพิมาน ซึ่งอยู่ติดริมแม่น้ำ จะมีตำหนักแพ(ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ชม) และ เรือนแพพระที่นั่ง


    [​IMG]


    [​IMG]


    เรือนแพพระที่นั่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นแบบเรือนไทย ตัวเรือนสร้างด้วยไม้สักทอง หลังคามุงด้วยจากแบบโบราณ ภายในจัดแบ่งเป็นห้องต่างๆเป็นสัดส่วน บานประตูเฟี้ยมแกะสลักเป็นลวดลายเครือเถาลงสีทองเรือนแพพระที่นั่งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้เป็นที่พักแรมสำหรับการเสด็จพระพาสต้น เป็นที่สำราญพระราชอิริยาบท และได้นำขึ้นไปรับพระราชชายาเจ้าดารารัศมีที่จังหวัดอ่างทองเมื่อคราวเสด็จฯ กลับจากนครเชียงใหม่


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2013
  13. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    หลังจากขึ้นจากเรือนแพพระที่นั่งแล้วจากนี้ไปจะเป็นช่วงทางเดินสู่ทางออกพระราชวังบางปะอินแล้ว ทางด้านซ้ายมือจะพบกับสภาคารราชประยูร


    a.jpg

    สภาคารราชประยูร

    ในบรรดาวังหลวงทั้งหลายของไทยนั้นเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชดำริให้สร้างวังขึ้นในแต่ละแห่งแล้วโดยมากวังเหล่านั้นที่มีอาคารรับรองแขกบ้านแขกเมืองหรือไม่ก็เป็นที่ประทับรับรองบรรดาเจ้าขุนมูลนายทั้งหลายที่มารอเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชวังบางปะอินนี้จะสังเกตุได้ว่ามีอาคารอยู่เพียงอาคารเดียวในพระราชวังที่ไม่ได้ขึ้นต้นด้วยคำว่าพระที่นั่งอาคารที่ว่านี้ก็คือ สภาคารราชประยูร สร้างในปี พ.ศ.๒๔๒๒


    a.jpg


    เป็นอาคาร ๒ ชั้น ศิลปะแบบนีโอคลาสสิค ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ริมสระน้ำตรงข้ามกับหอเหมมณเฑียรเทวราช ปัจจุบัน อาคารนี้มีความพิเศษกว่าอาคารอื่นๆใดทั้งหมดในวังบางปะอินตรงที่ระเบียงหน้าบันทรงสามเหลี่ยมมีลายปูนปั้นตามแบบที่กำลังเป็นที่นิยมทำกันในวังหลวงอื่นๆและบ้านขุนนางทั้งหลายในสมัยนั้นๆ และเป็นอาคารเพียงแห่งเดียวในวังนี้ที่ทำมุขหน้าเป็นปีก ๒ข้างและต่อพื้นที่แยกซ้ายขวาออกไปเป็นเฉลียงด้านบนและด้านล่างพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จัดสร้างสภาคารราชประยูรขึ้น เพื่อพระราชทานให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอฯ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ และเจ้านายฝ่ายหน้า


    แต่อาคารนี้ก็ไม่ใคร่จะมีบทบาทใดๆ มากนักจนกระทั่งมาถึงแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเมื่อครั้งสงครามมหาเอเชียบูรพา ในครั้งนั้น นายปรีดี พนมยงค์ได้พาพระยุวกษัตริย์มาถวายการอภิบาล ณ พระราชวังบางปะอินและนายปรีดีฯ ก็ได้เข้าพักที่ สภาคารราชประยูรแห่งนี้


    ปัจจุบันใช้เป็นอาคารจัดแสดงประวัติและเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ของพระราชวังบางปะอิน

    นอกจากนั้น สภาคารราชประยูรยังเป็นที่ทำการของ "หอทะเบียนเมืองกรุงเก่า" ซึ่งเป็นสำนักงานที่ดินกรุงเก่าแห่งแรกของประเทศไทยด้วย


    ต่อจากสภาคารราชประยูรก็จะพบเรือนและพระตำหนักอีก


    a.jpg
    เรือนนี้ชื่ออะไรไม่ทราบไม่มีป้ายบอก



    a.jpg
    พระตำหนักของกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์


    a.jpg
    ด้านหลังของพระตำหนัก



    a.jpg
    ในแผนที่เขาว่าเป็น อาคารรับรอง



    a.jpg


    อาคารที่ทำการของพระราชวังบางปะอิน


    a.jpg

    ภาพที่เห็นครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวออกจากพระราชวังบางปะอิน ยังคงรฤกถึงเสมอ ไม่เสื่อมคลายลงได้เลย


    สรุป
    ราชวังบางปะอิน.............ไม่เคยสิ้นกลิ่นเก่าก่อน
    ถวิลไห้ใจอาวรณ์.............มิจากจรเลยสักครา
    อบอวลด้วยความรัก..........ตรึงสลักให้โหยหา

    ผ่านวันมิโรยลา..............ทุกยาตรารฤกถึง
    จดไว้ในความจำ.............ทุกวันย้ำจำติดตรึง
    เปิดนำความคำนึง............โหยหาถึงจึ่งต้องมา

    ขอบบึงน้ำรอบล้อม...........เหมือนดั่งอ้อมกอดนักหนา
    เคยอยู่นานเนาว์มา...........ช่างป่วนปร่าเสียกระไร


    ปล. การเดินชมพระราชวังบางปะอิน ขอให้ระวังรถกอล์ฟด้วย เพราะเสียงเงียบมาก มาข้างหลังไม่รู้ตัวเดี๋ยวจะโดนชนได้ เพราะท่านทั้งหลายวิ่งกันให้ขวักไขว่และบางคันก็วิ่งเร็วเหลือเกิน จนเดินไประแวงไปว่าจะเจ็บตัวโดยไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พรบ.ประกันภัยทางรถยนต์.....!!!


    ข้อมูลจาก วิกีพีเดีย และ google
    เรียบเรียงใหม่ คำโม้และภาพถ่ายโดย สร้อยฟ้ามาลา
    กาพย์ยานี ๑๑ โดย สร้อยฟ้ามาลา (บางวรรคคำเกิน)



    อีกเดี๋ยวมีประมวลภาพมาให้ชมกันต่ออีกนะ........


    ....................



    .................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2018
  14. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    [​IMG]

    ฐานเสาไฟฟ้าในพระราชวังบางปะอิน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2013
  15. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    [​IMG]
    สะพานตุ๊กตา พระที่นั่งวโรภาษพิมาน พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ และประตูเทวราชครรไล ถ่ายรูปจากหอเหมมณเฑียรเทวราช
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2013
  16. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    [​IMG]
    พระที่นั่งวโรภาษพิมาน



    [​IMG]
    พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์

    ภาพออกมืดๆ ไปหน่อย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2013
  17. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    a.jpg
    ประตูน้ำสาครประพาส
    แนวต้นไม่ด้านซ้ายมือถัดจากประตูน้ำ จะเป็นศาลาทรงไทยและอนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์


    a.jpg
    ถ่ายภาพจากสะพานด้านหลังของพระที่นั่งอุทยานภูมเสถียรไปยังอนุสาวรีย์ราชานุสรณ์ ที่เห็นจะเป็นหอวิฑูรทัศนาและพระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ


    a.jpg
    พระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ และหอวิฑูรทัศนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2018
  18. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    [​IMG]
    พระที่นั่งเวหาสน์จำรูญ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2013
  19. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    [​IMG]
    แล้วก็ หอวิฑูรทัศนาอีกแล้ว (เดี๋ยวก็จะมีมาให้ชมอีก ถ่ายภาพไว้หลายมุม)


    [​IMG]
    ประตูทางขึ้นหอวิฑูรทัศนา


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2013
  20. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,810
    [​IMG]
    ภายในหอวิฑูรทัศนา กำลังเดินขึ้นสู่ชั้นที่ ๑


    [​IMG]
    จากชั้นที่ ๑ มองเห็น อนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ด้วย


    [​IMG]
    ประตูเข้า-ออก ชั้นที่ ๑


    [​IMG]
    บริเวณนี้ ลมโชยกำลังดี นังเล่นเย็นๆ ใจ...

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...