สัพเพเหระ

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย phanbuaphet, 4 ธันวาคม 2011.

  1. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1868931/[/MUSIC]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2013
  2. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    หวัด D จ้า คุณ Kama Manas คิดถึงเช่นกันจ้า ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มีมาให้เสมอ อิฉันก็ยังคงความฟุ้ง(ซ่าน)อยู่อย่างเหนียวแน่นไม่ยอมปล่อยวางซักที แต่ดีที่ลดระดับดีกรีของความฟุ้งลงมากะติ๊ดนึงแล้ว..ด้วยธรรมเทศนาที่แปะใว้นี้ และการปฏิบัติที่ขาดๆหายๆเพราะชีวิตประจำวันที่ยุ่งเหยิงเปนเหตุ....คุณฝ่ายมารเธอก็ไล่บี้อิฉันแทบแบนเหมือนกันจ้าอะไรที่ คิดดี ทำดี ต้องมีปัญหาซะงั้น ทีเรื่อง อกุศล ละไปลื่นเชียว....เปนกำลังใจให้เหมือนกันนะจ๊ะ Thank you for visiting....
     
  3. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    หวัด D ค่ะ คุณ Saifar ยินดีต้อนรับเสมอค่ะ....Thank you for visiting
     
  4. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    นิทานบำเพ็ญธรรมยุคโบราณ

    <CENTER>บทที่ 4
    สละตนช่วยคนเรือล่ม
    </CENTER><CENTER> </CENTER>มีชายยากจนคนหนึ่ง ชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยได้กินข้าวจนอิ่มท้องเลยสักมื้อ แต่ทว่าถึงจะลำบากยากแค้นอย่างไร เขาก็ไม่เคยทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรม หรือผิดจารีตประเพณีเลย
    ต่อมาชายยากจนต้องไปทำงานเป็นคนรับใช้พวกพ่อค้า อยู่มาคราวหนึ่ง บรรดากลุ่มพ่อค้าชักชวนกันออกเรือไปค้นหาสมบัติในทะเล ชายยากจนจึงต้องร่วมเดินทางไปด้วย
    นานหลายเดือนที่พวกพ่อค้าเสาะแสวงและรวบรวมทรัพย์สมบัติได้เป็นจำนวนมาก ทว่า...ในระหว่างแล่นเรือกลับ จู่ ๆ สายลมก็หยุดนิ่ง ท้องทะเลสงบนิ่ง เรือของพ่อค้าไม่สามารถแล่นต่อไปได้ ทุกคนจึงช่วยกันออกแรงพาย แต่ช่างน่าประหลาด...ไม่ว่าจะพายอย่างไร เรือก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
    บรรดาพ่อค้าทั้งหมดต่างตื่นตระหนกตกใจ เพราะรู้ตัวว่าถูกเทพเจ้าแห่งทะเลลงโทษ เนื่องจากพวกตนหยิบฉวยสมบัติจากท้องทะเลโดยมิได้รับอนุญาต ดังนั้นเหล่าพ่อค้าจึงรีบคุกเข่ากราบไหว้อ้อนวอน ขอให้เทพเจ้าแห่งทะเลไว้ชีวิตพวกเขา แต่สาหรับชายยากจนคนรับใช้ เขากลับนั่งเฉยไม่มีอาการ หวั่นกลัวแต่อย่างใด นั่นก็เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยทำเรื่องที่น่าละอาย ดังนั้น เขาจึงไม่เข้าร่วมอ้อนวอนกับกลุ่มพ่อค้าเลย
    ตามความเป็นจริงแล้ว เทพเจ้าแห่งทะเลทรงประสงค์จะลงโทษพวกพ่อค้าที่กระทำการลบหลู่พระองค์ แต่เป็นเพราะในเรือยังมีคนดีที่ยึดมั่นในคุณธรรมอยู่ไม่สมควรที่เขาจะต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย
    เรือหยุดนิ่งอยู่กับที่นานถึง 7 วัน เสบียงในเรือก็เหลือน้อยเต็มที พวกพ่อค้าต่างร้อนรุ่มกลุ้มใจไม่รู้จะทำอย่างไรดี กระทั่งในคืนวันนั้น พ่อค้าคนหนึ่งได้ฝันเห็นเทพเจ้าแห่งทะเลเสด็จมาและทรงมีพระบัญชาว่า
    " พวกเจ้าจงส่งคนรับใช้ยากจนที่สุดมาเป็นเครื่องบรรณาการแก่ข้าแล้วข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าเดินทางต่อไปได้"
    เมื่อพ่อค้าคนนั้นตื่นขื้น จึงเล่าเรื่องความประสงค์ของเทพเจ้าให้เพื่อนๆ ฟัง กลางดึกคืนนั้น พวกพ่อค้าจึงปรึกษาหาวิธีว่าจะจัดการอย่างไรดี หนึ่งในกลุ่มพ่อค้าเสนอว่าให้คอยดักซุ่ม พอคนรับใช้ยากจนเผลอ ก็ช่วยกันผลักให้ตกทะเล บ้างก็บอกว่า ควรฆ่าให้ตายเสียก่อนแล้วโยนศพลงทะเล
    ขณะนั้นชายยากจนคนรับใช้ซึ่งนอนอยู่ใกล้ๆโดยมิได้หลับ ได้ยินพวกพ่อค้าผู้เป็นนายจ้างกำลังถกเถียงกันถึงวิธีที่จะสังเวยชีวิตของเขา เพื่อแลกกับชีวิตคนในเรือทั้งหมด
    ชายยากจนจึงลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า
    " ท่านทั้งหลายจงถวายตัวข้าพเจ้าให้กับเทพเจ้าแห่งท้องทะเลเถิด อย่าให้ตัวข้าพเจ้าเพียงคนเดียวต้องทำให้ทุกคนในเรือต้องเดือดร้อนเลย"
    พวกพ่อค้าเห็นว่าคนรับใช้ยากจนยอมอุทิศชีวิตตนด้วยความสมัคร ใจ ต่างก็ดีอกดีใจเพราะทำให้เรื่องทุกอย่างง่ายขื้น
    กล่าวกันว่า ในช่วงเวลาที่คับขัน เมื่อชีวิตตกอยู่ในภาวะวิกฤติ คนเรามักจะแสดงธาตุแท้สันดานเดิมออกมาให้เห็น ดูอย่างพวกพ่อค้า...เมื่อต้องเผชิญความตายอยู่ต่อหน้า นิสัยเดิมที่เหี้ยมโหดเห็นแก่ตัว รักตัวกลัวตายอย่างไร้คุณธรรมก็เผยออกมา โดยคิดจะเอาชีวิตผู้อื่นไปแลกชีวิตตนเอง
    ดังนั้นพวกเขาจึงนำแผ่นไม้มามัดเป็นแพเล็ก ๆ พร้อมกับแบ่งอาหารและ น้ำอีกเล็กน้อยให้ไว้เป็นเสบียง แล้วให้ชายยากจนลงแพลอยไปตามยะถากรรม
    เมื่อเทพเจ้าแท่งทะเลทอดพระะเนตรการกระทำของพวกพ่อค้าเช่นนั้น พระองค์ทรงพิโรธยิ่ง จึงบันดาลให้เกิดคลื่นยักษ์ โถมกระหน่ำม้วนเอาเรือของ พ่อค้าจมลงสู่ก้นทะเล ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต
    แต่ในขณะ เดียวกันนั้นกลับมีสายลมทะเลอันอ่อนโยนค่อย ๆ พัดแพ ลำน้อย นำพาชายยากจนกลับเข้าสู่ฝั่งอย่างปลอดภัย.
     
  5. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    <CENTER>บทที่ 5
    ตะพาบน้ำตอบแทนพระคุณ
    </CENTER><CENTER> </CENTER>มีชายเศรษฐรีผู้หนึ่ง นอกจากจะมั่งคั่งร่ำรวยมหาศาลแล้ว ท่านยังเป็น คนใจบุญสุนทาน เปี่ยมด้วยจิตเมตตากรุณาเป็นที่สุด
    วันหนึ่งขณะ กำลังเดินไปตลาด ท่านเศราษฐีได้เห็นตะพาบน้ำตัวหนึ่ง ถูกจับมาขาย มันได้รับบาดเจ็บมาก ท่านเศรษฐีสงสงสารจับใจจึงเข้าไปขอซื้อ
    คนขายรู้ว่าท่านเศรษฐีเป็นผู้มีจิตเมตตาชอบซื้อสัตว์ไปปล่อย ดังนั้น เขาจึงเรียกราคาต ะพาบน้ำสูงถึง 20 เท่า แต่ท่านเศรษฐีไม่ต่อรองราคาแม้แต่ น้อย เมื่อกลับถึงบ้าน ท่านเศรษฐีนำตะพาบลงไว้ในอ่างน้ำที่สะอาด และค่อยๆ เช็ดถูเอาคราบดินโคลนออกจนหมด จากนั้นจึงนำยาสมุนไพรมาชะโลม บาดแผล จน ทั่ว
    ด้วยความเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา ตะพาบน้ำก็ หายเป็นปกติ ท่านเศรษฐีจึงนำไปปล่อยลงในแม่น้ำ และยืนมองตะพาบที่ ค่อย ๆ ว่ายจนกระทั่งลับสายตา
    หลายเดือนผ่านไป ในกลางดึกคืนหนึ่งท่านเศรษฐีต้องสะดุ้งตื่น เมื่อ ได้ยินเสียงดังขลุกขลักที่หน้าประตู เมื่อออกไปเปิดดูก็พบว่า ที่แท้เป็น ตะพาบน้ำที่ท่านเคยช่วยชีวิตไว้ แต่ที่ยิ่งน่าอัศจรรย์กว่านั้น ก็คึอ ตะพาบน้ำได้ พูดภาษาคนโดยบอกกับท่านเศรษฐีว่า
    " ท่านผู้มีพระคุณ...ยามที่ชีวตของข้าพเจ้าตกอยู่ในอันตราย ท่านได้ ช่วยเอาไว้ พระคุณของท่านใหญ่หลวงยิ่งนัก ข้าพเจ้าเป็นเพียงแค่สัตว์น้ำ ธรรมดาตัวหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดมาตอบแทนท่าน....รู้าสึกละอายใจจริง ๆ
    แต่ชีวิตที่อยู่กับน้ำมาตั้งแต่เกิด ทำให้รู้จักความเปลี่ยนแปลง เคลื่อนไหวของน้ำ ข้าพเจ้าใคร่แจ้งให้ท่านทราบว่า...อีกไม่นานน้ำเหนึอจะไหล บ่าลงมาอย่างรุนแรง ขอให้ท่านสั่งเตรียมเรือ เพื่อขนสัมภาระข้าวของที่จำเป็น เสียโดยเร็ว หาไม่แล้ว ชีวิตของท่านอาจเป็นอันตรายได้ !"
    ท่านเศรษฐีกล่าวขอบคุณตะพาบน้ำเป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่จะลากลับ ตะพาบน้ำได้สัญญาว่าจะกลับมาอีกครั้งในยามที่ภัยมาถึง
    ครั้นเช้ารุ่งขึ้น ท่านเศรษฐีจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าเพื่อกราบทูลเรื่อง อุทกภัยที่จะเกิดขึ้น เนื่องด้วยตลอดชีวิตที่ผ่านมาต่างรู้กันดีว่าท่านเศรษฐีเป็น ผู้ทรงคุณธรรม มีจิตใจโอบอ้อมอารียากที่จะหาใครเหมือน เหตุฉะนี้องค์ กษัตริย์จึงทรงเชื่อถือคำกราบทูลของท่าน และได้ตรัสสั่งให้ทุกฝ่าย เตรียมพร้อมรับ มือกับภัยน้ำเหนือที่จะเกิดขึ้น
    อีกไม่กี่วันต่อมา ขณะที่น้ำเหนือซึ่งมีมหาศาลกำลังไหลบ่าท่วม บ้านเรึอนและไร่นาลงมาเรื่อย ๆ ตะพาบน้ำก็ได้กลับมาปรากฏตัวขื้นอีกครั้ง ตามคำสัญญา พร้อมกับแจ้งว่า
    " น้ำเหนึอจวนจะมาถึงแล้ว ขอให้ท่านรีบขึ้นเรือและตาม มาโดยเร็ว เถิด ข้าพเจ้าจะนำท่านไปยังที่ปลอดภัย"
    ท่านเศรษฐีปฏิบัติตามอย่างไม่รีรอ เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว...น้ำเหนือก็ ไหลบ่าท่วมท้นเป็นบริเวณกว้าง เรือของท่านเศรษฐีถูกกระแสน้ำซัดลอยไป อย่าง รวดเร็ว
    ระหว่างที่เรือกำลังไหลไปไม่หยุด ท่านเศรษฐีอยู่ในเรืออย่างปลอดภัย แต่พอมองไปข้างหลังเห็นงูตัวหนึ่งถูกน้ำซัดจนอ่อนแรงเต็มที ท่านเศรษฐีจึงใช้ ไม้พายวักเอางูขึ้นไว้บนเรือด้วย ต่อมาก็ยังได้ช่วยสุนัขจิ้งจอกที่กำลังจะ จมน้ำอีกตัว กระทั่งท้ายที่สุดท่านเศรษฐีเห็นคนกำลังลอยคอไปตามกระแสน้ำ ก็พยายามจะพายเรือเข้าไปช่วย แต่คราวนี้ตะพาบน้ำร้องห้ามว่า
    " อย่าได้ช่วยเขา ! มีคนไม่น้อยเลยที่อ้างตัวเป็นนักบุญ แต่แท้ที่จริง คึอปีศาจ คนที่ท่านเห็น เป็นพวกปากอย่างใจอย่าง เนรคุณผู้ที่มีพระคุณ จิตใจไร้คุณธรรม ท่านอย่าได้ช่วยเขาเป็นอันขาด"
    แต่ท่านเศรษฐีกลับบอกว่า
    " คำพูดของท่านก็มีเหตุผลแต่ว่าที่ผ่านมาไม่ว่าจะ เป็นสัตว์เล็กหรือ สัตว์ใหญ่ ข้าพเจ้ายินดีช่วยเหลือทั้งหมด มาบัดนี้ คนกำลังจะจมน้ำตาย อยู่ต่อหน้า ข้าพเจ้าจะไม่ช่วยได้อย่างไร?"
    ในที่สุดท่านเศรษฐีก็ช่วยคนผู้นั้นขึ้นเรือจนได้ ตะพาบน้ำได้แต่ถอน หายใจ พร้อมกับรำพึงว่า
    " เฮ้อ...คนใจบุญหนอ คนใจบุญ ไม่เคยจะคิดถึงเรื่องเลวร้ายของ ผู้อื่นเลยจริงๆ"
    หลายวันผ่านไป เหตุการณ์เลวร้ายได้สงบลง เรือลอยมาถึงที่ ที่ปลอดภัย ตะพาบน้ำจึงขอลาจากไป ทั้งงู สุนัขจิ้งจอก และคน ต่างก็แยก ย้ายกันไป
    สำหรับสุนัขจิ้งจอก ค้นพบถ้ำเล็ก ๆ ซึ่งสามารถเข้าไป อาศัยอยู่ได้ อย่างปลอดภัย อยู่มาวันหนึ่งสุนัขจิ้งจอก ได้พบว่าลึกเข้าไปในถ้ำนั้น มีไหโบราณซึ่งบรรจุเหรียญทองคำไว้จนเต็ม มันดีใจมาก โดยไม่รอช้า สุนัข จิ้งจอกรีบวิ่งออกไปตามหาท่านเศรษฐีจนพบ พร้อมกับกล่าวว่า
    " ข้าพเจ้าพบไหทองคำที่คนโบราณซ่อนไว้ในถ้ำ เพื่อเป็นการทด แทนพระคุณที่ท่านได้ช่วยชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายินดีมอบทองคำทั้งหมดแก่ ท่าน"
    อันที่จริงแล้วท่านเศรษฐีไม่มีใจอยากได้ทองคำเหล่านั้นเลย แต่เมื่อ ไตร่ตรองดูแล้วเห็นว่า ในภาวะการณ์หลังจากประสบภัยน้ำท่วมผู้ คนล้วนต้อง อยู่อย่างทุกข์ยากลำบาก โดยเฉพาะคนยากจน ฉะนั้นหากนำเอาทองคำ ทั้งหมดออกมาแจกจ่ายแก่ผู้ที่เดือนร้อน ก็จะดีไม่น้อย คิดได้เช่นนึ้ ท่านเศรษฐีจึงตามสุนัขจิ้งจอกไปเอาทองคำที่ถ้ำของมัน
    แต่โดยไม่คาดคิด ชายคนที่ท่านเศรษฐีช่วยเขาจากการจมน้ำตายแอบ ได้ ยินเรื่องทองคำ จึงสะกดรอยตามมาดักอยู่หน้าถ้ำ เมื่อเห็นท่านเศรษฐียกไห ทองคำออกมา เขาจึงร้องว่า
    " ท่านต้องแบ่งทองคำในไหให้ข้าด้วย !"
    ท่านเศรษฐีคิดว่าจะช่วยเหลือเขา จึงหยิบทองคำให้เขาเต็มกำมือ แต่ชายคน นั้นกลับขู่ตะคอกว่า
    ข้าต้องได้มากกว่านี้ มิเช่นนั้นข้าจะไปแจ้งความต่อทางการว่า ท่าน โขมยทองของผู้อื่น"
    ท่านเศรษฐีพยายามอธิบายว่าทองคำเหล่านี้จะต้องนำไปแจกจ่าย แก่ ผู้ประสบภัยที่กำลังรอความช่วยเหลือให้ทั่วถึง แต่ชายผู้นั้นก็ไม่ยอมฟัง
    สุดท้ายเขาจึงชักชวนเพื่อนเป็นพวกอันธพาล พากันไปให้การเท็จเพื่อ แจ้งจับ
    อนิจจ า...ท่านเศรษฐีผู้ใจบุญต้องถูกทางการจับกุมตัว และถูกตัดสิน จำ คุก
    ฝ่ายสุนัขจิ้งจอก เมื่อทราบว่าผู้มีพระคุณของตนได้รับความเดือดร้อน จึงรับไปปรึกษางูที่รอดชีวิตมาด้วยกัน งูครุ่นคิดอยู่สักพักใหญ่แล้วบอกว่า
    " ข้ามีวิธีที่จะช่วยท่านเศรษฐี"
    ว่าแล้วก็เลื้อยเข้าไปในดงหญ้าที่รกร้าง และกลับออกมาพร้อมกับมี สมุนไพรคาบอยู่ในปาก จากนั้นจึงเลื้อยเข้าไปในคุกก็พบท่านเศรษฐี กำลังนั่งอยู่ที่มุมห้องด้วยสีหน้าที่ซีดเซียวและหมดอาลัยตายอยาก
    งูผู้มีความกตัญญูจึงเข้าไปกระซิบว่า
    " ท่านอย่าได้เป็นทุกข์เลย ข้าพเจ้ามาช่วยท่านแล้ว ท่านจงฟังให้ดี ข้าพเจ้าขอมอบสมุนไพรให้แก่ท่าน ท่านต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี มันจะช่วยท่าน"
    กล่าวจบ งูก็เลื้อยออกไปโดยไม่เปิดโอกาสให้ท่านเศรษฐีได้ซักถาม อะไร
    กลางดึกคืนนั้นเองงูได้เลื้อยเข้าไปกัดเจ้าชายในห้องบรรทม เป็นเหตุ ให้ทั่วพระราชวังต้องวุ่นวายโกลาหล
    หมอหลวงหลายสิบคนใช้ทุกวิธีในการถวายการรักษา แต่เจ้าชายก็ไม่ ฟ้น แม้จะเกณฑ์หมอทั้งเมืองมารักษาก็ไม่สัมฤทธิ์ผล ทั้งนี้เป็นเพราะ งูที่กัด นั้นมีพิษที่ไม่เหมือนงูอื่นใด มีเพียงสมุนไพรเฉพาะเท่านั้นที่จะรักษาได้
    องค์กษัตริย์ทรงร้อนรุ่มกลุ้มพระทัยยิ่งนัก จึงมีพระราชโองการให้ ประกาศว่าหากผู้ใดสามารถช่วยชีวิตเจ้าชายได้ พระองค์จะพระราชทาน ยศถาบรรดาศักดิ์พร้อมทั้งยกอาณาจักรครึ่งหนึ่งให้
    เมื่อข่าวนี้แพร่เข้าไปถึงในคุก ท่านเศรษฐีจึงรีบขออาสาทันที ท่าน เศรษฐีได้ใช้สมุนไพพี่งูมอบให้ถวายการรักษาจนเจ้าชายสามารถกลับฟื้นคืน สติและหายเป็นปกติ
    องค์กษัตริย์ทรงดีพระทัยมาก และได้ทรงไตร่ถามความเป็นมาถึง สาเหตุที่ท่านเศรษฐีต้องถูกจองจำในคุก ต่อเมื่อท่านเศรษฐีได้กราบทูลเรื่องราว ทั้งหมดให้ทรงทราบ พระองค์ถึงกลับทรงทอดถอนพระทัย แล้วทรงรับสั่งว่า
    นี่เป็นความผิดของข้าเอง ที่ไม่ดูแลเอาใจใส่ราษฎรให้ดีเท่าที่ควร ทำให้ท่านต้องมารับทุกข์เช่นนี้"
    และแล้วองค์กษัตริย์ได้ทรงรับสั่งให้จับตัวชายผู้เนรคุณ รวมทั้งพรรค พวกทั้งหมดไปประหารชีวิต เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนในแผ่นดิน จากนั้น ได้ทรงแต่งตั้งท่านเศรษฐีใจบุญขึ้นเป็นผู้ร่วมปกครองแผ่นดิน เคียงคู่กับ พระองค์ สืบ มา
     
  6. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    <CENTER>เรื่องที่ 6

    สละเลือดเนื้อช่วยเสือแม่ลูกอ่อน

    </CENTER><CENTER></CENTER>ณ ชมพูทวีปในอดีต กัษัตริย์องค์หนึ่งมีพระโอรสอยู่ 3 พระองค์ ในบรรดาพระโอรสทั้งหมด เจ้าชายองค์สุดท้องเป็นผู้ที่มีพระทัยงดงามและ อ่อนโยนโดยเฉพาะทรงโอบอ้อมอารีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง
    วันหนึ่ง กษัตริย์เสด็จประพาสป่า พร้อมด้วยพระมเหสีและพระโอรส ทั้งสาม ตลอดจนข้าราชบริพารเหล่าขุนนางจำนวนมาก เมื่อตะวันบ่ายคล้อย องค์กษัตริย์ทรงเหน็ดเหนื่อยแล้ว จึงมีพระดำรัสให้จัดที่ประทับใต้ร่มไม้ใหญ่ เพื่อให้ทุกคนได้พัก
    แต่สาหรับพระโอรสทั้งสาม ซึ่งยังอยู่ในวัยหนุ่มเปี่ยมด้วยพละกำลัง ต่างทรงปรารถนาจะสัมผัสกับแมกไม้ธรรมชาติ จึงทรงพระดำเนินต่อเข้าไปใน ป่าลึก ณ.ที่นั้นพระโอรสทั้งสามได้ทอดพระเนตรเห็น แม่เสือนอนอยู่ในโพรง หญ้ามันเพิ่งจะคลอดลูกได้ไม่นานและมีอาการอิดโรย
    พระโอรสองค์ใหญ่จึงพูดว่า
    " แม่เสือตัวนี้เพิ่งให้กำเนิดลูกเสือ ตัวเองออ่นระโหยสิ้นเรี่ยวแรง เคลื่อนไหว นี่คงไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน น้ำนมจึงเหึอดแห้ง ลูกเสือถึงได้ ร้องไม่หยุด ท่าทางทั้งแม่ทั้งลูกจะไม่รอดแน่ !"
    พระโอรสองค์รองก็พูดว่า
    " แต่น้องว่า สายตาที่แม่เสือจ้องมองดูลูกที่เกิดใหม่มันฉายแววแห่ง ความดุร้ายตามสัญชาติของสัตว์ป่า ดูทีท่าของมันแล้วเหมือนอยากจะกินลูก ของตัวเองอย่างนั้นล่ะ "
    พระโอรสองค์สุดท้องจึงเอ่ยขึ้นว่า
    " ถ้าเช่นนั้น เราจะช่วยชีวิตเสือแม่ลูกคู่นี้ใด้อย์างไรล่ะ "
    พระเชษฐาทั้งสองหันมาตอบว่า
    " ก็ต้องไปหาเนื้อสดมาให้มันเป็นอาหาร แต่คงไม่ง่ายหรอกนะ เพราะ ถ้าจะต้องไปฆ่าชีวิตสัตว์อึ่น เพึ่อช่วยอีกสองชีวิต มันช่างไม่เหมาะสมเลยจริง ไหม ?"
    พระโอรสองค์สุดท้าย ก้มพระพักตร์ลง ทรงครุ่นคิดว่า
    " ลำพังชีวิตของสัตว์เดรัจฉาน เกิดมาก็ต้องประสบกับความทุกข์ ยากลำบากมากพออยู่แล้ว ความหวังที่จะสามารถหลุดพ้น ให้ได้ไปเกิดในที่ที่ ดีกว่า ช่างเป็นไปได้ยากเสียเหลือเกิน นี่ถ้าหากแม่เสือต้องมากินลูกของ ตัวเองเพราะไม่อาจจะทนต่อความหิวโหยได้แล้วละก็ เท่ากับก่อกรรมหนักใน ชีวิต ประหนึ่งเดินอยู่ในที่มืด แล้วยังถลำลึกลงไปสู่ที่มืดยิ่งกว่า ช่างน่าสงสาร เสียจริง ๆ"
    ทรงพิจารณาเช่นนี้แล้วจึงกล่าวกับพระเชษฐาทั้งสองว่า
    " เสด็จพี่ทั้งสอง เสด็จล่วงหน้าไปก่อนเถิด หม่อมฉันขออยู่ต่อสัก ประเดี๋ยว แล้วจะตามเสด็จไปทีหลัง"
    ครั้นพระเชษฐาทั้งสองพระองค์เสด็จไปแล้ว พระโอรสองค์สุดท้องจึง ทรงก้าวเข้าไปประทับนั่งข้างแม่เสือ พร้อมกับยื่นพระกรด้วยทรงประสงค์ให้ มัน กัด กิน
    แต่ทว่าแม่เสืออ่อนกำลังเต็มที ไม่มีแรงแม้แต่จะอ้าปาก พระโอรส เห็นเช่นนั้น จึงหักกิ่งไม้มาท่อนหนึ่งแล้วใช้ปลายแหลมแทงลงที่ฝาพระหัตถ์ ขณะนั้นพระโลหิตสดๆ ไหลรินหยดลงในปากของแม่เสือไม่ขาดสาย
    ฝ่ายพระโอรสองค์ใหญ่และองค์รอง ทรงดำเนินล่วงหน้าไปนานแล้ว ไม่เห็นพระอนุชาตามมาสักที จึงทรงทบทวนถึงเรื่องที่สนทนากันแล้วทรงดำริ ว่า ยามปกติพระอนุชาองค์สุดท้องมีพระ เมตตาเพียงไร ก็ถึงกับสะดุ้งรีบ ย้อนกลับไปตามหา
    เมื่อไปถึงที่โพรงหญ้า ก็พบแต่เศษพระอัฐิและชิ้นพระภูษาเปื้อนพระ โลหิตอยู่บนพื้น พระโอรสทั้งสองพระองค์ทรงทราบทันทีว่า พระอนุชาตัดสิน พระทั ยอุทิศพระองค์เอง เพื่อช่วยชีวิตเสือสองแม่ลูกเสียแล้ว !
    ทั้งสองพระองค์ถึงกับทรงพระกรรแสงโฮและรีบเสด็จกลับไปกราบทูล พระชนกพระชนนี ทันทีที่องค์กษัตริย์และ พระมเหสีทรงทราบ ประ หนึ่งดังถุก สายฟ้าฟาด จึงทรงสิ้นพระสติไปชั่วขณะ
    ครั้นทรงฟื้นคืนพระสติแล้ว ก็รีบเสด็จไปยังที่เกิดเหตุทรงเก็บพระอัฐิ ที่เหลือ พร้อมด้วยชิ้นพระภูษากลับสู่พระนคร ต่อมาได้ทรงมีพระบรมราช โองการให้สร้างพระสถูป เพึ่อบรรจุพระอัฐิธาตุ
    เวลานั้นไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ต่างแซ่ซ้องสดุดีว่า
    " พระราชโอรสองค์น้อยทรงบำเพ็ญมหาโพธิสัตว์ธรรม พระทัยอันเปี่ยมด้วยมหาเมตตาการุณย์เช่นนี้ ยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน"



    ข้อมูล mindcyber.com



    ทู บี คอนตินิว(โปรดติดตามตอนใหม่ต่อไป)
    คริ คริ จิงจิงแล้วไม่เก่งภาษา English ดอกค่ะแต่ก็อวดไปงั้นแหนะ เผื่อเท่
     
  7. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
    1 หากจะสัมผัสได้ด้วยใจ ความรู้สึกว่ามีพลังงานอยู่ใกล้ตัว คนเราจะมีอาการยังใงหรอค่ะ?

    ... ถ้าเป็นเราจะบอกว่าตัวเองว่าให้ทำตัวเหมือนเราเป็นกระจกที่จะสามารถสะท้อนใจของคนอื่นออกมาให้ได้ ถ้าสอนคงสอนไม่เป็นคะ .. แต่อธิบายให้ฟังคร่าว ๆ แล้วกันนะคะ .. เวลาเรามองผ่านไปในอากาศมันจะรู้สึกถึงความวังเวง หูอื้อ ๆ สายตาเวลามองไปสมมติว่าเขายืนอยู่แถวนั้นใช่ไหม๊คะ เราจะรู้เลยว่ามียืนอยู่มันเป็นรูปร่างของคนโปร่งแสงคะ นึกภาพมีคนยืนแล้วมองจ้องเราอยู่คะ หรือถ้าภพภูมิมายืนใกล้ ๆ เรามันก้เหมือนมีคนมายืนเลยคะแต่มองไม่เห็นสัมผัสคล้ายคนยืนแต่เบาบางกว่ามาก บางครั้งเหมือนมีลมพัดแบบวืดผ่านไปทั้งที่ไม่มีลมเลย .. อึดอัดเหมือนคนยืนเบียนเราเยอะ ๆ มวลอากาศมันดันเรานะคะ .. ประมาณนี้คะ

    2 แล้วเราจะรู้ใด้ใงว่าพลังงานนั้นเป็นหญิ๋ง หรือ ชาย มา ดี หรือ มาร้ายกับเรา?

    ... เมื่อสัมผัสจากข้อแรกมากระทบเราใช่ไหม๊คะ ของเรามันจะเหมือนเป็นภาพแว๊บขึ้นมาในหัวเราคะ นานบ้างแป๊บเดียวบ้าง มันจะขึ้นมาเองคะ ส่วนมาร้ายมาดี อย่างที่บอกคะ เราใช้ใจเราวัดเลยคะ สมมติว่าเขาเป็นคนมีร่างกายทำใจเราให้ว่างเลยคะ ถ้าคนที่เขาไม่ชอบเราเราจะรู้สึกได้เองคะว่าเขามาดีมาร้ายความรู้สึกแรกนะคะจับเอาไว้ ยิ่งใจเราสงบเท่าไหร่มันจะชัดคะ เราจะรู้สึกแย่มาก ๆ ใจไม่ดี ถ้าเขาเศร้าใจเราตอนนั้นจะห่อเหี่ยว ถ้าเขาสุขใจเราจะรู้สึกปลอดโปร่ง .. เน้นว่าทำใจให้ว่างสงบนะคะฝึกบ่อย ๆ อยู่คนเดียวจับความเคลื่อนไหวของทุกสิ่งรอบตัวเรา ที่เขาเรียกว่าเปิดสัมผัสทั้ง 5 คะ เราทำแบบนี้คะ มันขึ้นมาเองคะ เพียงแต่เราจะมองด้วยตาเนื้อไม่เห็น

    3 แล้วถ้าเรากับเค้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนตอนที่เค้ามีชีวิตอยู่ แต่เราทำบุญอุทิศให้เค้าตอนเค้าตายไปแล้ว เค้าจะรู้มั๊ยว่ามาจากใคร ?

    .. ก็ต้องรุ้สิคะ ผีเขาเก่งกว่าคนอีกคะ เขารู้อะไรมากกว่าเราเสียอีกเพียงแค่มีกฏบางอย่างทำให้เขาบอกเราไม่ได้ เขารับรู้ได้ตามบุญบารมีที่เขามีคะ .. เพราะแฟนเราที่ตายเขาก็รู้นะคะ

    4 คนที่ตายแล้วคนเดียวกันมาในฝันบ่อยๆทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันเค้าพยะยามคุยกับเราแต่คุยกันไม่รู้เรื่อง เป็นไปใด้มั๊ยว่าเรา อุปทาน ไปเอง ?
    .... มันคงไม่ใช่อุปทานหรอกคะ คนเราถ้าเคยเกี่ยวดองกันทางใดทางหนึ่ง หรือ มีกรรมร่วมกันก็สื่อกันได้หากันเจอตามวาระกรรมที่มีแหละคะ .. เพียงแค่ใจคุณไม่สงบพอที่จะรับรู้ความรู้สึกเขาแค่นั้นเองเราก็เป็นคะ

    5 ก็อุทิศบุญให้หลายท่านมากมายทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกัน ก็ไม่เห็นมีใครมาให้เห็น นอกจาก ผู้ตายในข้อ 4 เมื่อก่อนมาในฝันบ่อยมาก เด๋วนี้หายไปแล้ว ไม่รู้ว่าทำไม ?
    .... เขาก็ต้องมีวาระกรรมของเขาที่ต้องรับเหมือนกันนี้คะ หรือ บางทีเขาอาจมาแต่เรารับไม่ได้เอง มันแล้วแต่ช่วงนะคะ อย่าคิดมากเราเองก็เป็นที่มีสักพักที่ไม่รับรู้อะไรเลยว่างเปล่า ... ทำบุญสร้างบารมีต่อไปเถอะคะเดี๋ยวจะดีแก่ตัวเราเองคะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2013
  8. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    “อานนท์ ! พุทธบริษัททั้งสี่ คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทำสักการะบูชาด้วยเครื่องบู<WBR>ชาสักการะทั้งหลายอันเป็นอา<WBR>มิส เช่น ดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้น หาชื่อว่าบูชาตถาคตด้วยการบ<WBR>ูชาอันยิ่งไม่ อานนท์เอย ! ผู้ใดปฏิบัติตามธรรมปฏิบัติ<WBR>อันชอบยิ่ง ปฏิบัติธรรมอันเหมาะสม ผู้นั้นแลชื่อว่าสักการะบูช<WBR>าเราด้วยการบูชาอันยอดเยี่ย<WBR>ม”

    พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2013
  9. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2013
  10. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2013
  11. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    <IFRAME tabIndex=0 id=twttrHubFrame style="HEIGHT: 10px; WIDTH: 10px; POSITION: absolute; TOP: -9999em" src="http://platform.twitter.com/widgets/hub.1326407570.html" frameBorder=0 allowTransparency scrolling=no></IFRAME>
    [​IMG]
    one and only
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2013
  12. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    นอร์เวย์ให้ไทยครองแชมป์ประเทศท่องเที่ยวยอดเยี่ยม 9 ปีซ้อน

    นางนลินี ปาณานนท์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสตอกโฮล์ม เปิดเผยว่า นิตยสาร Travel News ซึ่งเป็นนิตยสารธุรกิจท่องเที่ยวชื่อดังในสแกนดิเนเวีย

    นางนลินี ปาณานนท์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสตอกโฮล์ม เปิดเผยว่า นิตยสาร Travel News ซึ่งเป็นนิตยสารธุรกิจท่องเที่ยวชื่อดังในสแกนดิเนเวีย ได้จัดงานประกาศผลและมอบรางวัลการท่องเที่ยวประเทศนอร์เวย์ ประจำปี 2555 ที่โรงแรม Radisson Blu Scandinavia กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ โดยประเทศไทยยังสามารถครองแชมป์ประเทศท่องเที่ยวยอดเยี่ยม (The Best Tourist Country) ติดต่อกันเป็นปีที่ 9 นอกจากนี้ การบินไทยยังได้รับรางวัลสายการบินนานาชาติยอดเยี่ยม (The Best Intercontinental Airline Operate from Norway) ติดต่อกันเป็นปีที่ 8 ด้วยเช่นกัน

    นางนลินี กล่าวว่า นอร์เวย์นับเป็นประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมายังประเทศไทยในอัตราสูงเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรซึ่งมีเพียง 4.2 ล้านคน และยังเป็นตลาดการท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวสูง เนื่องจากมีวันพักนานเฉลี่ย 15 วันต่อคน นอกจากนี้นักท่องเที่ยวนอร์เวย์ยังเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีความรักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมศึกษาวิถีชีวิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรมอันดีงามในแต่ละท้องถิ่นและส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครอบครัวที่จะสืบทอดการเดินทางมายังประเทศไทยจากรุ่นปัจจุบันไปสู่รุ่นลูกหลานในอนาคต หากสามารถช่วยกันดูแลนักท่องเที่ยวชาวนอร์เวย์ให้ดีได้ต่อไป นอร์เวย์จะเป็นตลาดท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและคุ้มค่าต่อการลงทุนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทย

    ข้อมูล matichononline
     
  13. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    เทคนิคทา "ลิปกลอส"

    [​IMG]


    ลิปกลอส เป็นสิ่งที่ขาดกันไม่ได้เลยทีเดียวเชียวนะคะ ลิปกลอสนี่แหละค่ะที่จะทำให้ใบหน้าเราดูไม่จืดชืดซีดเซียวเหมือนคนป่วย ใครจะไปคิดว่าการทาลิปกลอสง่ายๆมันก็มีเทคนิคเหมือนกัน วันนี้เรามีเกร็ดเล็กๆน้อยๆในการทาลิปกลอสมาฝากกันค่ะสาวสวยทั้งหลายกันค่ะ

    ได้รู้วิธีดีๆในการทาลิปกลอสให้ริมฝีปากดูสวยกันไปแล้วทีนี้ลองมาดูกันว่าหากต้องการแต่งริมฝีปากให้เป็นไปตามสไตล์ที่ต้องการนั้นมีอะไรกันบ้างคะ

    1.สวยใส & เปรี้ยว
    เขียนขอบปากด้วยดินสอ เขียนขอบปากสีแดงเข้ม แล้วลงลิปแบบน้ำแวววาวทับ คุณจะดูเปรี้ยวปนใสไงล่ะ


    2.สวยวันหยุด
    สวยแบบธรรมชาติดูใส ๆ แต่ไม่จืด ลองหาลิปแบบน้ำสีออกนู้ดส้มอ่อนปนน้ำตาลคล้ายสีปากธรรมชาติ


    3.สวยมีสี
    ทาลิปมันทับลิปสติกสี ที่คุณใช้เป็นประจำ ปากคุณก็จะดูแวววาว เปลี่ยนลุคง่ายๆ

    4.สวยอ่อนหวาน
    ลิปกลอสสีชมพูจะทำให้คุณดูสวยใส หวาน โรแมนติก สามารถทาได้ทั้งกลางวัน - กลางคืน เหมาะกับทุกสีผิว ทำให้ใบหน้าคุณดูใส เบา น่ารักขึ้น


    5.สวยลึกลับ
    ทาลิปสีแดงเข้มอมน้ำตาล ทำให้คุณดูเซ็กซี่ลึกลับขึ้นมาทันที


    6.สวยเซ็กซี่
    สีเข้มทำให้คุณดูร้อนแรงดีด้วย ถ้าจะทาสีนี้ควรแต่งหน้าส่วนอื่นอ่อนๆ จะได้ไม่ดูเหมือนงิ้ว ทาอายแชโดว์สีทองจะดูสวยคลาสสิกเป็นพิเศษ


    7.สวยขรึม
    สีน้ำตาลทำให้คุณดูคลาสสิก ใครทาก็สวย อาจจะดูขรึมไปนิดนึง แต่ก็เซ็กซี่ชวนมองไม่แพ้สีชมพู

    ข้อมูล แท็ก: yenta4.com
     
  14. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    แสงไฟแบบไหนเหมาะใช้อ่านหนังสือ?


    เช็ค “แสงไฟ” ในห้องอ่านหนังสือ เลือกใช้ถูกหลักหรือไม่ พร้อมวิธีแก้ไขควรปฏิบัติ ช่วยถนอม “สายตา” บอกลา “อาการตาเพลีย”


    [​IMG]


    หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลังอ่านหนังสือ มักปวดรอบ ๆ ตา และหน้าผาก ตาพร่ามัว ตาลายเป็นพัก ๆ เคือง แสบ หรือ มีน้ำตาไหลร่วมด้วย นั่นเป็นสัญญาณของอาการ “ตาเพลีย” ซึ่งมักเกิดจากการใช้สายตาขณะแหล่งแสงไม่เพียงพอ ดังนั้น เพื่อดวงตาคู่สวยทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพไปนาน ๆ การเลือกใช้แสงไฟอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็น
    สำหรับ “แสงจากธรรมชาติ” ควรเลี่ยงแสงสว่างจ้า เพราะจะทำให้สายตาอ่อนล้า หากมืดเกินไปก็เป็นปัจจัยทำสายตาสั้นได้เช่นกัน จึงควรหาโคมไฟติดไว้ เพื่อช่วยปรับแสงให้พอดีกับสภาพแวดล้อมแต่ละวัน

    หากเป็น “แสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะ” ควรใช้หลอดที่มีแสงสีนวล เลี่ยงแสงสีขาว หรือ เหลืองเกินไป เพราะจะทำให้แสงแยงตา ทั้งนี้ เพื่อการมองตัวหนังสือได้แจ่มชัด แสงที่ตกสะท้อนจากกระดาษไม่ตกเข้าตา ควรจัดวางตำแหน่งโคมไฟให้แสงเข้าด้านข้างซ้ายมือจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ช่วยให้อ่านได้สบายตา และนานขึ้น ทั้งยัง เป็นการลบเงาที่จะเกิดขึ้นด้วย
    นอกจากนั้น ควรเลี่ยงอ่านหนังสือในบริเวณที่เป็น “แสงไฟกระพริบ” เพราะจะส่งผลให้ประสาทตาเสียเร็ว เนื่องจากถูกกระตุ้นตามจังหวะกระพริบของแสงนั่นเอง.
    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์


    ข้อมูล แท็ก: yenta4.com
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  15. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    ตำนานศุกร์ 13 วันแห่งอาถรรพ์




    เมื่อเอ่ยถึงวันศุกร์ 13 นั้นหลาย ๆ คนอาจจะนึกไปถึงวันแห่งอาถรรพ์ เพราะเคยมีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งใช้ชื่อว่า ศุกร์ 13 ฝันหวาน แต่เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ ในขณะที่อีกหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบความเป็นมาว่า ทำไมวันศุกร์ 13 ถึงเป็นวันที่ไม่ดี ว่ากันว่า ความเชื่อที่ว่าถ้าวันศุกร์เกิดไปตรงกับวันที่ 13 ของเดือนใดก็ตามแล้ว จะกลายเป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้นเป็นความเชื่อของชาวตะวันตกโดยต้นตอแห่งความเชื่อนี้มาจาก อาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู (The Last Supper) โดยเชื่อกันว่าในอาหารมื้อนั้นมีผู้ร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ 13 คนก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนใน วันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday)

    ในขณะที่มีอีกความเชื่อหนึ่งกล่าวว่าวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 1307 เป็นวันที่พระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ทำการจับกุมตัวบรรดาอัศวินเทมพลาร์ชาวฝรั่งเศสจำนวนหลายร้อยคนไป ก่อนจะนำตัวไปทรมานและสังหาร เพื่อนำทรัพย์สินของพวกเขามาเป็นของฝรั่งเศส ทั้งนี้นักจิตวิทยาพบว่า ในบางคนจะมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือล้มป่วยในวันศุกร์ที่ 13 ซึ่งมีการให้เหตุผลเอาไว้ว่าเป็นเพราะบางคนรู้สึกวิตกจริตเป็นอย่างมากในวัน ศุกร์ที่ 13 โดยทางศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันอาบำบัดการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเมินว่าในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงิน 800 - 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน จน ทำให้เกิดโรคกลัววันศุกร์ที่ 13 มีชื่อเรียกว่า

    Paraskavedekatriaphobia หรือ paraskevidekatriaphobia หรือ friggatriskaidekaphobia ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรค triskaidekaphobia คือ โรคกลัวหมายเลข 13 และ ที่มาที่ทำให้วันศุกร์ 13 กลายเป็นวันโชคร้ายไปทั่วนั้นน่าจะมาจากภาพยนตร์สยองขวัญอย่าง ศุกร์ 13 ฝันหวาน หรือ "Friday the 13th" ซึ่งเรื่องเกี่ยวกับฆากรต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวเอกของเรื่องมีเอกลักษณ์เด่นคือการสวมหน้ากากฮ็อกกี้ เพื่อปกปิดใบหน้า ก่อนทำการฆาตกรรมเหยื่อ
    สำหรับความเชื่อเรื่อง ศุกร์ 13 เป็นวันไม่ดีนั้นส่วนใหญ่จะเชื่อกันในหมู่ชาวตะวันตกเสียเป็นส่วนมาก ซึ่งเรื่องแบบนี้นั้นถือเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล ก็เป็นแค่ความเชื่ออีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่มีข้อพิสูจน์ ก็แล้วแต่ใครจะเชื่อ ไม่เชื่อ นะคะ



    ข้อมูล แท็ก: yenta4.com


    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  16. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    เหตผล คน ความรัก


    เราไม่เคยสงสัย เมื่อเวลาเรามีความรัก
    เพราะคิดว่า ใครๆ ก็รักได้ทั้งนั้น
    แต่เมื่อเวลาผ่านไปและเราพบว่าเส้นทางความรักของเรา
    ไม่ได้ไปถึงง่ายๆ อย่างที่คิด...นั่นล่ะ เราถึงจะสัมผัสได้ว่า
    "การรักเป็น"...ก็สำคัญเช่นกัน...



    [​IMG]



    ซึ่งทั้งหมดนี้...
    ก็เป็นสิ่งที่มีให้เราได้เห็นอยู่จริงๆ ...และก็เพียงเพราะว่า
    เขาเหล่านั้นกำลังตกอยู่ในวังวนของความรัก
    แต่ถ้าจะหาคำอธิบาย..
    ก็คงเป็นเพราะเขาเหล่านั้นไม่สามารถผสมผสาน
    การใช้ "ความรู้สึก" กับ "การใช้ความคิด"
    เมื่อมีความรักมากกว่า...


    จะว่าไปแล้วความรัก ก็เหมือนหลุมพรางอย่างหนึ่งเหมือนกัน...
    คุณเคยสังเกตบ้างมั้ยว่า...ตอนเวลาที่เราเริ่มมีความ รัก
    เรามักไม่ค่อยสนใจอยากที่จะหาเหตุผลให้มันสักเท่าไหร่...
    ตรงกันข้ามกับเวลาที่จะเลิกรักกัน
    ต่างฝ่ายต่างหาเหตุผลมากล่าวอ้างกันน่าดู
    ทั้งๆ ที่จริงแล้วมันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น...


    เชื่อว่าหากเราเรียนรู้และเข้าใจ...
    เหตุผลแห่งความรักไปพร้อมๆ การเริ่มต้นและในขณะที่ความรักยังอยู่..
    ทุกสิ่งทุกอย่างบนถนนสายนี้..ก็คงไม่วิบากจนเกินไป.. .
    แม้อาจมีสะดุดบ้าง...
    แต่ก็คิดว่าคงไม่ยากที่จะประคับประคองให้ตลอดรอดฝั่ง ...
    หลายสิ่งในชีวิต เราก็เพิ่งเข้าใจเมื่อเราเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่
    บางอย่างเราคิดว่าเราทำเป็นมาตลอด...ทั้งที่จริงเราอาจทำไม่เป็นก็ได้...

    อย่างเรื่องการหายใจ..เราคิดว่าเราหายใจมาตั้งแต่ออก จากท้องแม่...
    จู่ๆ ก็มีคนมาบอกว่าเราหายใจไม่เป็น...
    จากนั้นเขาก็สอน..จนเราได้รู้จักคำว่า..."สมาธิ"...
    ปัจจุบัน มีการสอนให้คนคิด...จนเมื่อได้สัมมผัสจึงรู้ได้ว่า
    "การคิดเป็น"...สำคัญเพียงใด....
    มันก็คงคล้ายๆ กับความรัก
    เราไม่เคยสงสัยเมื่อเวลาเรามีความรัก
    เพราะคิดว่าใครๆ ก็รักได้ทั้งนั้น
    แต่เมื่อเวลาผ่านไป...และเราพบว่า...
    เส้นทางของความรักไม่ได้ไปถึงง่ายๆ อย่างที่คิด...
    นั่นล่ะ...เราถึงสัมผัสได้ว่า...
    "การรักเป็น" ก็จำเป็นและสำคัญมากเช่นกัน...
    ไม่ปฏิเสธว่า ความรักนั้นต้องใช้ หัวใจและความรู้สึก นำทางเราไป...
    แต่ถ้ามีเหตุผลที่ดีอยู่ข้างๆ ...และเราสามารถปรับสมดุลระหว่าง
    "ความรู้สึก" "หัวใจ" กับ เหตุผลของสมองแล้ว...
    โอกาสที่เราจะ "หลงทาง" ก็อาจจะไม่มีเลยก็ได้...
    "จงใช้ความคิดเพื่อควบคุมตนเอง...แต่จงใช้หัวใจเพื่อควบคุมคนอื่น..."



    ที่มา fwd mail

    ข้อมูล แท็ก: yenta4.com
     
  17. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    เพื่อรักษาและถนอมความรักเอาไว้ ก็อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

    [​IMG]


    .........เค้าว่าเรื่อง "ความรัก"
    ไม่มีคำว่าถูกและผิด
    คุณไม่ผิดที่ไปรักเค้าคนนั้น
    และเค้าเองก้อคงไม่ผิดที่ไม่ได้รักคุณ

    ในทางตรงข้าม คุณไม่ผิดที่ไม่ได้รักเค้าคนนั้น
    และเค้าก้อไม่ผิดที่มารักคุณเช่นกัน .........

    การห้ามใจไม่ให้รักนั้นยากนัก
    แต่คงเทียบไม่ได้กับการห้ามใจให้ลืมรักเพราะย่อมยากกว่า

    คุณอาจทำได้เมื่อมีใครอีกคนก้าวเข้ามาในชีวิตคุณ
    แต่มันคงไม่ง่าย ถ้าคุณต้องหักใจให้ลืมในขณะที่คุณอยู่คนเดียว..........

    เค้าว่าการชนะใจตัวเองนั้นอาจดีและมีค่าที่สุด
    แต่ในเรื่องความรัก การชนะใจคนที่เรารักนั้นอาจย่อมมีค่ากว่า
    แต่มันอาจมีค่ากว่านั้น
    ถ้าคุณสามารถชนะใจตัวเองที่จะปฏิเสธกับความรักที่ย้อนมาหาคุณ
    และมันอาจมีค่าที่สุด
    ถ้าคุณยอมที่จะ "แพ้" ใจตัวเองเพื่อจะกลับไปหาความรักนั้น...........

    ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน
    แต่อย่าลืมว่าบนโลกไม่ได้มีแค่เค้าทั้งคู่
    อย่าโกรธเค้าที่ต้องปฏิเสธรักจากคุณ
    ด้วยเหตุผลว่าเราเข้ากันไม่ได้
    ด้วยเหุผลว่าสังคมเราต่างกัน
    ด้วยเหตุผลว่าเค้ายังรักคุณอยู่
    ด้วยเหตุผลว่าเค้ารักคนอื่นที่มีค่าพอกับคุณ ............

    วิทยาศาสตร์อาจต้องการเหตุผล
    แต่เรื่องความรักย่อมไม่ต้องการเหตุผลใดใด
    คนดีอาจรักกับคนเลว
    จงอย่าโทษเค้าว่าเค้ารักคนผิด
    จงอย่าโทษเค้าว่าเค้ารักคนที่ไม่เอาไหน
    และจงอย่าโทษตัวเองว่าเรารักคนที่ไม่ดี
    เพราะสิ่งที่คุณทำนั้นถูกต้องแล้ว
    จงเชื่อในสายตาของตัวเอง
    จงเชื่อประตูหัวใจอันมีค่าที่เลือกจะเปิดรับเค้าคนนั้น ............
    แม้ใครจะพูดว่าคู่ของเราเป็นคนไม่ดี
    แต่ในแง่ของความรัก คุณทั้งสองเป็นคนดีของกันและกัน

    อย่าโกรธเค้าที่บางครั้งเค้ายอมเป็นคนตาบอด
    อย่าโกรธเค้าที่บางครั้งเค้ายอมเป็นคนหูหนวก
    บางครั้งการไม่เห็นและไม่ได้ยิน
    เพื่อรักษาและถนอมความรักเอาไว้ ก็อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุด.............



    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]จากคุณ :
    TeArJeRkInG lesa.com
    [/FONT]
     
  18. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2013
  19. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=17NDciskmQA&feature=related]ระวังหลงความสุข - พระไพศาล วิสาโล - YouTube[/ame]
     
  20. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=T1NwR8En_fg&feature=related]สุขได้หากวางใจเป็น - พระไพศาล วิสาโล - YouTube[/ame]
     

แชร์หน้านี้

Loading...