พื้นที่ปลอดภัยยามเกิดอภิมหันตภัย ในจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศไทย

พูดถึงเรื่องสติก่อนตายมาพอสมควรแล้ว ขอย้อนกลับ
ไปถึงเรื่องพระธาตุเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุ รอยพระบาท
ถ้าผู้อ่านสังเกตดูจะเห็นได้ว่าทุกย่างพระบาทของ
พระพุทธเจ้าที่ท่านได้จาริกไปยังสถานที่ต่าง ๆ
ท่านจะมอบพระเกศาธาตุบ้าง พระทันตธาตุบ้าง
รอยพระบาทไว้บ้าง ตลอดจนได้เป็นที่บรรจุ
พระบรมสารีริกธาตุบ้าง ณ จุดต่าง ๆ จะมีพลังบารมี
ของพระองค์ท่านอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นพลังบารมี
ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าจะเปรียบกับวิทยาศาสตร์ทางโลก
การที่พระองค์ท่านได้มอบพระธาตุไว้[FONT=&quot] ณ สถานที่ต่าง ๆ นั้น [/FONT]

 

เปรียบได้กับสถานีวิทยุ ที่มีเสาอากาศรับคลื่นไปยัง
จุดต่าง ๆ อย่างสถานีกรุงเทพ สถานีอยุธยา สถานี
เชียงใหม่ เป็นต้น ดังนั้นการที่พระองค์ท่านได้ไปที่
วัดพระธาตุดอยสุเทพก็ดี พระพุทธบาทสี่รอยก็ดี
พระธาตุหริภุญไชยก็ดี เป็นเพราะพระเมตตาบารมี
ของพระองค์ท่านที่แผ่ปกคลุมอยู่บริเวณ ณ สถานที่นั้น ๆ
ด้วยเหตุนี้เอง ผู้เขียนจึงให้ยึดสถานที่สำคัญ ๆ ที่เป็น
ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุต่าง ๆ
ไว้เป็นสำคัญ ประกอบกับปัจจัยทางภูมิศาสตร์ คือ
ถ้ำ บวกรวมทั้งทางโลกและทางธรรมไว้ด้วยกัน
เพื่อความปลอดภัยให้ได้มากที่สุดนั้นเอง

(หมายเหตุ เนื้อหาข้างต้นนี้ ผู้เขียนมิได้มีเจตนาปรามาสพระพุทธองค์
แต่อย่างใด เพียงแต่กล่าวเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพอย่างชัดเจน
สำหรับบุคคลทั่วไปก็เท่านั้น บางทีการเขียนเรื่องของทางโลก
โดยสอดแทรกธรรมะ ซึ่งการใช้ภาษาธรรมอันเป็นสมมุตบัญญัติ
ก็ทำให้ผู้เขียนลำบากใจไม่ใช่น้อย ถ้าผิดพลาดประการใด ผู้เขียน
ขอกราบขอขมาต่อพระพุทธองค์มา ณ ที่นี้ )

 

ผู้อ่านหลาย ๆ คน พอผู้เขียนพูดถึงเรื่องถ้ำ ว่าเป็น
สถานที่ปลอดภัยมากที่สุด ก็จะมุ่งแต่ไปหาถ้ำอย่างเดียว
เดี๋ยวอธิบายเจตนากันก่อนนะค่ะ ถึงแม้ว่าความเห็น
ของผู้เขียนที่ให้ยึดถ้ำที่อยู่ในอาณาบริเวณ ที่มี
พระเจดีย์ธาตุหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนานั้น
ก็เพื่อเป็นแนวทางเท่านั้น แต่ถ้าเผอิญคุณอยู่ในที่อื่น
ที่ห่างไกลจากถ้ำแล้ว คุณจะอยู่รอดปลอดภัยไม่ได้
ก็ไม่ใช่นะค่ะ เพราะการที่คุณจะรอดจากภัยพิบัติหรือไม่
ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองเป็นสำคัญ ณ วินาทีนั้น คุณต้อง
ตัดสินใจด้วยตนเองว่า ทำอย่างไรถึงจะรอด

 

ถ้าถึงที่สุดแล้ว รู้ว่าตนเองต้องตายแน่นอน ให้ยึด
พระเป็นสำคัญ ให้จิตมุ่งตรงต่อพระพุทธเจ้าเป็นที่สุด
สำหรับศาสนาอื่น ๆ ก็ให้ยึดพระเจ้าของท่านไว้
เพื่อจะได้ไปสู่สุคติภูมิ อย่างน้อย ๆ ได้ขึ้นสวรรค์ก็ยังดี
เพราะยังมีโอกาสได้กลับมาเป็นมนุษย์ ปฏิบัติธรรมได้
ดีกว่าลงไปสู่อบายภูมิ เพราะเวลานั้น ท่านคงตกอยู่ใน
ห้วงทุกขเวทนา จนยากที่จะกลับมาปฏิบัติธรรม หรือ
กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ จนกว่าตนเองจะหมดกรรมตรงนั้น

ดังนั้น เมื่อเหตุการณ์ใด ๆ อย่างที่ว่าไว้เกิดขึ้น
คุณต้องปรับตัวให้ตรงกับเหตุการณ์นั้น ๆ ด้วย

 

เช่น เมื่อเกิดสงครามนิวเคลียร์ มีการยิงระเบิดนิวเคลียร์
ลง ณ ที่ใด ที่ผู้เขียนให้ทุกคนออก Start ในเวลานั้นทันที
และถ้าเกิดเหตุการณ์นี้จริง ๆ คิดหรือไม่ว่า ทุกคนก็
ต้องเตรียมตัวอพยพทันทีเช่นกัน คุณเห็นเหตุการณ์
ตอนน้ำท่วมใหญ่หรือยังค่ะ ว่าทุกคนต่างพากันเอาตัวรอด
ชนิดรถติดกันวินาศสันตะโร ชนกันบ้าง หนีไม่ทัน
รถจมน้ำก็มี และเมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ถนนทุกสาย
ต่างมุ่งตรงไปสู่ที่ปลอดภัย ทางเหนือบ้าง[FONT=&quot] ทางอีสานบ้าง
และคุณคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้จะหนีทันได้หรือไม่ [/FONT]

 

การที่ผู้เขียนชี้นำจุดต่าง ๆ ในแต่ละจังหวัด เพื่อที่
ผู้อ่านเกิดหนีไปไม่ทันตามจุดที่นัดหมายไว้ ซึ่ง
บางคนอยู่ใต้สุด แต่จะหนีไปทางอีสาน ผู้เขียน
เคยเดินทางมาแล้วค่ะจากจังหวัดตรังไปจังหวัด
ขอนแก่น ใช้เวลาเดินทางถึงวันครึ่ง ซึ่งเป็นการเดินทาง
ปกติชนิดไม่แวะพักที่ไหน และถ้าเกิดเหตุการณ์
อพยพจริง ๆ ทุก ๆ คนต่างมุ่งไปหาที่หลบภัย
คุณคิดว่าคุณจะใช้เวลาเดินทางกี่ชั่วโมงกันแน่
3 วันหรือ 7 วัน จะถึงที่หมายหรือเปล่าก็ยังไม่ทราบ
ถ้าทันก็ดี แต่ถ้าไม่ทัน คุณจะทำอย่างไร คิดไว้แล้วหรือยัง

 

ดังนั้นการที่ชี้จุดต่าง ๆ ไว้ตามตำบล ตามอำเภอต่าง ๆ นั้น
ก็เผื่อไว้ว่าถ้าไปไม่ทันยังจุดหมายที่คุณกำหนดไว้ ก็ให้คุณ
แวะตรงจุดที่ใกล้ที่สุดในละแวกที่คุณอยู่นั้นเอง ถ้าหาถ้ำ
ไม่ได้ ก็ให้ใช้วัด หรือบ้านที่ดูแล้วมั่นคงปลอดภัย
ถ้าเกิดสงครามนิวเคลียร์ให้ตรงไปที่วัดที่ใกล้ที่สุด ถ้าไม่มี
ก็ดูบ้านที่เป็นบ้านตึกไว้ปิดสถานที่ให้มิดชิด เตรียมอุปกรณ์
ไว้ให้พร้อม เช่น เทปกาว ฯลฯ ดังที่มีผู้เขียนลงไว้ในเวป
ที่สำคัญต้องมีสติ อย่าตื่นตระหนกตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า
ให้ทุกคนรวมกลุ่มกันสวดมนต์และนั่งสมาธิเสีย ตั้งจิตให้สงบ
และอย่าหวั่นไหว[FONT=&quot]กับเหตุการณ์ตรงหน้า มุ่งจิตตรงสู่พระพุทธเจ้าเป็นสิ่งสำคัญ [/FONT]

 

การที่ผู้เขียนแนะนำให้อยู่ในสถานที่สำคัญทางศาสนา
เช่น วัดนั้น ก็เนื่องด้วยเวลายามเกิดภัยพิบัติ มีผู้คนล้มตาย
เป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีคำเตือนจากอาจารย์ และ
ผู้รู้หลาย ๆ ท่าน ว่า ณ เวลานั้นเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
รวมทั้งสัมภเวสี บุคคลที่ตายแบบไม่ทันตั้งตัว เป็นเวลา
ที่มิติแห่งวิญญาณได้เปิดขึ้น ยกตัวอย่างคราวที่เกิด
สึนามิทางภาคใต้ ขนาดกลางวันแสก ๆ ยังเป็นที่
ร่ำลือกันว่า เห็นวิญญาณผู้ตายมายืนโบกรถบ้าง
หรือปรากฏตัวให้เห็นกันซึ่ง ๆ หน้าบ้าง และคิดดูเสียว่า
ถ้าเวลานั้น คนตายกันเป็นสิบล้าน ร้อยล้านคนทั่วโลก
จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ก็คิดดูเอาแล้วกันค่ะ
ดังนั้น ยึดพระเป็นที่พึ่งไว้ ดีที่สุดแล้ว

 

สำหรับผู้ที่ติดตามอ่านเรื่องจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ถ้าเกิดภัยพิบัติ
และจะหาสถานที่ไหนหลบภัยได้บ้าง และมีวิธีอย่างไรสำหรับผู้มี
ทุนจำกัด สามารถมีที่พักพิง ได้อย่างปลอดภัย และมีชีวิตอยู่ได้
โดยไม่ขาดแคลนปัจจัย 4 แบบพอเพียง สามารถศึกษาแนวทางได้
ในกระทู้หัวข้อ การเตรียมการรับมือภัยพิบัติเศรษฐกิจ
ซึ่งผู้เขียนกำลังทยอยเขียนลงในช่วงนี้ ให้ศึกษาและจับแนวทางที่
ผู้เขียนแนะนำ และไปประยุกต์ดัดแปลง ให้เหมาะสมกับตนเองและครอบครัว

จริง ๆ แล้ว หัวข้อเรื่องการเตรียมการรับมือภัยพิบัติทางเศรษฐกิจ
เป็นหัวข้อสำคัญที่เกิดขึ้นจริง ณ ปัจจุบันนี้ แนวทางและการแก้ปัญหา
ก็ทำได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งผิดกับหัวข้อนี้ เหตุการณ์ภัยพิบัติชนิด
ร้ายแรงยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพียงแต่เป็นการทำนายบ้าง การคาดการณ์ไว้บ้าง
ยังเป็นแค่นามธรรมเฉย ๆ แต่ทว่าความสนใจของผู้อ่านต่างกันเยอะ
ไม่เชื่อก็ลองไปดูจำนวนหน้าที่เปิดอ่านซิค่ะ ผู้เขียนเห็นแล้วก็ขำ ๆ
เหมือนกัน ว่าหัวข้อเรื่องการเตรียมการฯ เขียนมาได้ 3-4 ปีแล้ว
ยังสู้หัวข้อนี้ซึ่งเปิดกระทู้ มาเพียงแค่เดือนกว่า ๆ ไม่ได้

 

แต่ถ้าเป็นกรณีที่เกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาละค่ะ เราจะทำอย่างไร
วิ่งหนีขึ้นภูเขาอย่างนั้นหรือ ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด ถ้าเกิดแผ่นดินไหว
เราต้องอยู่บนที่ราบ เพราะการหนีขึ้นเขาหรืออยู่บนตึกสูง ๆ
อาจจะทำให้ภูเขาถล่ม แผ่นดินสไลด์ แผ่นดินแยก เกิดหลุมยุบ
ถ้าอยู่ในตึก ก็เกิดตึกถล่มลงมา

ในจังหวัดตรัง ผู้เขียนแนะนำสถานที่ปลอดภัย คือถ้ำเขาช้างหาย
แต่ที่พักอาศัยจริง ๆ อยุ่ตรงถนนเลี่ยงเมือง ซึ่งบริเวณนี้เป็นทุ่งนา
และสวนยาง สามารถเดินทางไปถ้ำเขาช้างหายได้ไม่เกิน 5 นาที

 

ซึ่งผู้เขียนรู้ว่าถ้ำเขาช้างหายปลอดภัยก็จริง แต่ไม่ได้
ไปปลูกบ้านอยู่บนเขา เพราะเสี่ยงต่อภูเขาถล่ม แต่
เลือกอยู่บนที่ราบใกล้ ๆ กับที่ปลอดภัย เผื่อเวลา
แผ่นดินไหว จะได้ปลอดภัยจากหินถล่มใส่บ้าน
เมื่อยามปลอดแผ่นดินไหว ก็สามารถหลบภัย
เข้าไปในถ้ำได้

แต่ถ้าเกิดสึนามิ จึงหลบภัยโดยหนีอยู่ที่สูง ๆ เช่น
ภูเขาหรือตึกสูงก็ได้ ดังนั้น การจะหาสถานที่หลบภัย
ไปยังที่ต่าง ๆ นั้น ต้องดูสภาพเหตุการณ์ที่จะเกิด
รวมทั้งสิ่งแวดล้อม ณ สถานที่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน

 

ไม่ใช่พอผู้เขียนชี้นำว่า ถ้ำปลอดภัยที่สุด ทุกคนก็
แห่กันไปหาถ้ำ และอุปกรณ์เครื่องมือในการกู้ภัย
เตรียมกันไว้หรือเปล่า ถ้าถ้ำถล่มปิดปากทางออก
เสียแล้ว จะออกกันมาได้อย่างไร อย่างข่าวที่เขื่อน
จะแตก ทุกคนหนีขึ้นเขา เพราะกลัวว่าแผ่นดินไหว
แล้วเขื่อนจะแตก ถ้าเกิดแผ่นดินไหวจริง ๆ เวลา
แผ่นดินไหว ถามจริงเถอะค่ะ ว่าหนีขึ้นเขาและจะ
ไม่เกิดแผ่นดินแยก แผ่นดินถล่มหรอกหรือ จะหาที่
หนีตายหรือจะไปหาที่ตายกันแน่ ดังนั้น ก่อนที่จะคิด
อพยพจะต้องมีสติ เตรียมการและเตรียมแผนไว้ตาม
แต่ละเหตุการณ์นั้น ๆ ด้วย เวลาทำงานผู้เขียนมักจะ
สอนทุกคนที่ทำงานร่วมกันกับผู้เขียนเสมอว่า
การทำงานเราต้องมีแผน1 แผน2 แผน 3 ไว้รองรับ
ไม่ใช่มีแค่แผนเดียว และไปตายเอาดาบหน้านั้นไม่ถูกต้อง

 

เมื่อเรารู้เหตุการณ์ว่าจะเกิดภัยพิบัติ เราต้องเตรียมการ
กันอย่างไร และต้องเตรียมการอย่างถูกวิธี และ
ปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์เฉพาะหน้าตรงนั้น
เพราะวินาทีที่เกิดขึ้น มีตัวคุณผู้เดียวที่เข้าถึง
สถานการณ์ตรงหน้านั้น การตัดสินใจเฉพาะหน้า
อย่างฉับพลันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่มีใครจะมา
ช่วยคุณได้ ผู้เขียนถึงย้ำหนักย้ำหนาเรื่องการมีสติ
ก็เพราะด้วยเหตุผลเช่นนี้เอง

 

ผู้เขียนได้เขียนถึงการเตรียมการรับมือภัยพิบัติทางเศรษฐกิจ
มีเหตุผลหลัก ๆ คือ เตรียมการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
ให้กับทุกคน โดยให้ทุกคนพึ่งพาตนเองได้ เพื่อที่จะได้
เตรียมความพร้อมในอนาคต ยามเกิดภัยพิบัติทาง
ธรรมชาติอันร้ายแรงนั้นเกิดขึ้น ตลอดจนประมวล
ความรู้ทั้งหมดที่มีอยู่ เท่าที่คิดได้ เพื่อให้ทุกคนที่อ่าน
สามารถอยู่รอดได้อย่างปลอดภัย ถ้ามีภัยพิบัติเราก็
สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ แต่ถ้าไม่มีภัยพิบัติ
เราก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ อย่างผู้ไม่ประมาท
ในเวลานี้เช่นกัน เมื่อผู้เขียนได้กลับมาเขียนทั้งสองเรื่อง
ก็จะอธิบายเหตุการณ์ทั้งสองอย่างนี้ให้เทียบเคียงกัน
เพื่อเพิ่มความเข้าใจให้ผู้อ่านได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
หนทางรอดมีเสมอค่ะ ถ้าเราไม่ยอมแพ้ และ
หันหน้าเผชิญกับความเป็นจริง

 

ต่อเลยครับกำลังรออ่านอยู่ คุณ ไ

 

[FONT=&quot]พูดถึงเรื่องสถานที่หลบภัยยามเำิกิดภัยพิบัติ คือ ถ้ำ
และสถานที่สำคัญทางศาสนา[FONT=&quot]เช่น พระธาตุเจดีย์
มาบ้างแล้ว แต่บางคนไม่สะดวกที่จะอพยพ เราก็
สามารถสร้าง[/FONT][FONT=&quot]

3. Safe House [/FONT][FONT=&quot]หรือห้องหลบภัยใต้ดิน[/FONT][FONT=&quot]
[/FONT][FONT=&quot]สำหรับคนที่คิดกำลังจะสร้างบ้าน หรือหาบ้านใหม่
และมีเงินทุนพอที่จะทำห้องใต้ดิน[/FONT][FONT=&quot] ซึ่งสามารถป้องกัน
สารกัมภาพรังสีจากระเบิดนิวเคลียร์[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]แผ่นดินไหว[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]
น้ำท่วมได้[/FONT][FONT=&quot] โดยเฉพาะเรื่องป้องกันน้ำท่วมสำหรับ
ห้องใต้ดินในประเทศไทย หลายคนคงจะแย้ง[/FONT][FONT=&quot]ว่าทำ
ไม่ได้หรอก เพราะบ้านเราสภาพดินฟ้าอากาศ
ไม่เหมือนกับต่างประเทศ ฝนตกมาก[/FONT][FONT=&quot] น้ำท่วมขังบ่อย
[/FONT]
[/FONT]

 

แต่ผู้เขียนรู้จักผู้รู้คนหนึ่ง เขามีวิธีแก้ไขจุดอ่อนตรงนี้
โดยใช้วัสดุจากธรรมชาติล้วน ๆ ประกอบกับความรู้
ด้านการก่อสร้าง สามารถสร้างห้องนี้ได้อย่างสบาย
ในงบประมาณที่จำกัดได้ด้วย ซึ่งผู้เขียนกำลังแนะนำ
ให้เขาไปจดสิทธบัตร เพราะภูมิปัญญานี้สำหรับคนไทย
อาจจะทำให้ได้ โ่ดยไม่คิดอะไรเลย แต่ต้องจดไว้
เพื่อไม่ให้ชาวต่างชาติ แอบอ้างภูมิปัญญานี้เป็นของตนเอง
และนำกลับมาขายคนไทยและคนอื่น ๆ อย่างหน้าตาเฉย
ผู้เขียนพบมาเยอะแล้วค่ะ คนไทยจริง ๆ เป็นคนเก่ง
แต่ขาดเงินทุน ขาดผู้สนับสนุน โดยเฉพาะภาครัฐ
จึงทำให้คนไทยหลาย ๆ คน[FONT=&quot] จำต้องขายภูมิปัญญา
ของตนเองให้กับต่างชาติ [/FONT]

 

ซึ่งคนเหล่านี้บอกกับผู้เขียนว่าเขาทำงาน ทำการ
ค้นคว้าวิจัยไปมาก จนหลาย ๆ คน หมดเงินหมดทอง
บางคนสิ้นเนื้อประดาตัวก็มี เลยจำเป็นต้องขาย
ภูมิปัญญาของตน เพื่อมาหล่อเลี้ยงชีวิตตนเอง และ
ทางต่างประเทศให้เงินไม่ใช่น้อย ๆ ผิดกับเมืองไทย
ที่ขาดคนเหลียวแล ขนาดวิ่งไปเสนอความคิด ไอเดีย
ต้องไม่รู้กี่รอบ ขอความช่วยเหลือ ของบจากรัฐบาล
ก็อ้างว่าไม่มีงบประมาณให้ ทั้ง ๆ ที่ความรู้นั้น ก่อให้
เกิดผลดีกับประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง ผลสุดท้ายด้วย
ความจำเป็น จึงต้องขายภูมิปัญญาของตนไปให้คนอื่นเสีย
และในที่สุดคนเหล่านั้น ประเทศเหล่านั้น ก็นำกลับมา
ขายคนไทย ในราคาที่แพงลิบลิ่ว

 

จริง ๆ แล้ว เรื่องการสร้าง Safe House นั้น มีไว้
ยามฉุกเฉินจะดีกว่า เพราะถ้าเิกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ
อันร้ายแรงเกิดขึ้นจริง ๆ แนะนำว่าให้อพยพไปอยู่
ในที่ปลอดภัยมากกว่านี้ และเมื่อเหตุการณ์สงบ
ค่อยกลับมาอยู่ที่บ้านดังเดิม เพราะยามนั้นไม่ว่า
จะเป็นเรื่องของสงครามนิวเคลียร์ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ยังมีภัยพิบัติจากคนและสัตว์ต่าง ๆ รวมทั้ง
เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ณ ตอนนั้น ควรรวมตัว
กันไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้ดูแลในเรื่องของ
ความปลอดภัย และสามารถที่จะช่วยเหลือพึ่งพากันได้

 

2. สามัคคีคือพลัง ในยามนั้นทุกคนต่างต้องมาหลบภัย
ต่างคนต่างมาจากที่แห่งหนตำบลใด ต่างความรู้สึก
ต่างความนึกคิด เมื่้อมาอยู่รวมกันในคนหมู่มาก การปรับตัว
ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ เป็นสิ่งจำเป็น บางคนอยู่ใน
สังคมคนเมือง มีความสะดวกสบายอย่างเพียบพร้อม แต่
เมื่อความจำเป็นต้องอพยพมาอยู่ในชนบท ความสะดวก
สบายต่าง ๆ ที่เคยได้รับก็ไม่มี ต้องช่วยเหลือตนเองใน
ทุก ๆ เรื่อง ความอึดอัดขัดใจย่อมเกิดขึ้น ดังนั้นผู้เขียน
พยายามให้ทุกคนปฏิบัติธรรม เพราะธรรมะนั้นจะขัดเกลา
จิตใจของตนเอง และเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงมีในยามนี้ เพื่อที่
ทุก ๆ คนจะได้อยู่ร่วมกันได้โดยปราศจากข้อขัดแย้ง