ท่านพุทธทาสเป็นพระอริยะเจ้ารึเปล่าครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 29 ธันวาคม 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ส่วนพระอริยะท่านพูดแต่เรื่องที่ตัวเองเชื่อและรู้ ไม่รู้ไม่ประมาท
    ใครจะทำอย่างท่านก็นับว่าไม่ประมาท
    อยากจะตัดสินใจทำอะไร ..ก็ขึ้นอยู่กับตัวเองทั้งสิ้น
    ไปขอให้ใครมาช่วยไม่ได้ ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม
    เมื่อเราตัดสินใจทำอะไรไป ก็ขอให้น้อมรับผลกรรมนั้น ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี
    เพราะเจตนาดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีการค้นหาความจริงและมั่นใจในตนก่อนทำการใดๆ

    ..

    พระเสขะ หมายถึงผู้ที่ยังต้องศึกษาใช่ไหม
    แม้นแต่พระอรหันต์ที่เป็นพระอเสขะ ก็แทงตลอดในเรื่องสิ้นทุกข์
    แต่ก็ยังไม่ใช่พระสัพพัญญูอย่างพระพุทธเจ้า
    ที่จะให้รู้ถ้วนทุกสรรพสิ่ง อย่างพระพุทธองค์ไม่ได้

    คำสอนของพระอริยะ ต่างจริตต่างแนวทางในการถ่ายทอดวิถีทาง
    สะพานมีให้เลือกตามความพอใจ
    แต่อย่าไปตีความคำสอนของท่านคามความพอใจตามความไม่พอใจ
    เพราะแม้นแต่ครูที่เราชื่นชอบและตีความคำสอนของท่านตามชอบใจ
    ก็ไม่ต่างกับการตีความคำสอนของครูที่เราไม่ชอบใจ
    เพราะจะไม่รู้ว่าอะไรที่ท่านต้องการสอนจริงๆ กันแน่

    ไม่เช่นนั้นก็จะรักครูที่ตนรัก เพราะรักตนเอง แค่นั้นเอง
    เวลาอ้างท่านไปโจมตีใครขึ้นมา ท่านก็มาช่วยอะไรไม่ได้นะ
    กรรมใครกรรมมัน
     
  2. Sathuja

    Sathuja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +218
    :cool: โทษสอนคนให้เห็นผิดหนักเอาการอยู่นะครับ ถึงโลกันต์ได้เลย
    พระเทวทัตโทษหนักขนาดไปโลกันต์ได้เลย แต่ดีที่ท่านได้ฌาน ท่านเห็นผี
    >.< เลยช่วยให้โทษเบาหน่อย ดูท่านพุทธทาสสอนแล้วเข้าใจง่ายเหมือนที่บอกนะ
    แต่ไม่เคยเห็นท่านสอนเรื่องนรกสวรรค์ กฏแห่งกรรมเลย หรือผมไม่เคยเห็นเอง หว่า
     
  3. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +356
    ขอเเยง เอ็ยยย เเย้งหน่อย


    ตรงที่กล่าวว่า

    ถ้าให้บอกตรงๆ พทธทาส ท่านยัง วนเวียนอยู่ในนรกอยู่เลยครับ

    ไปเห็นมารึจ๊ะ

    ถ้าจะบอกว่าคนอื่นเขาเห็น เเล้ว ทําไมจึงเเน่นในอารมณ์ ที่ยึดไว้เสียเหลือเกินว่า มัน ใช้



    เเล้วก็เก็บเอาประโยชข้างล่างที่ตนกล่าวไว้นี่ ไปทวนดูใหม่น่ะจ๊ะ

    ประโยคที่ว่า

    เพราะการที่เขาไม่รู้เพราะยังต้องมีการเรียนรู้ ต่อไปอีก

    ตามนั้นจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2011
  4. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +356
    เช่นกัน


    เช่นกันกับพี่ พยัคนิล

    ไม่ได้รู้จักท่านเป็นการส่วนตัว เเต่ถ้าเป็นผลของการชี้เเนะของท่านเเล้ว
    คิดว่า ดีทีเดียว

    ส่วนท่านอื่นที่ มันเกิดการเข้าไปกระทบตรงส่วนใหนเข้า จะด้วยสาเหตุศิษต่างอาจารย์
    หรือว่าท่านไปปรามาสใครเข้า อันนั้นก็ขอให้ว่างลงก่อน เอาอคติ วางลงก่อนเเล้วลองเข้าไปศึกษา เเบบ ไม่มีอคติดู สิ
    ว่าตรงใหนที่มันดู เเย่ เเย่ ลองหาเเล้วยกขึ้นมาเป็นประเด็นกันดู สิ

    ไม่ใช้เอาเเต่ ภูมิปัญญาส่วนตน ที่คิดว่าดีเเล้ว ถูกเเล้ว เข้าไปตัดสิน
    บางคนนี่ สักเเต่ว่าสอน สอน เเล้วก็สอน เเต่พอเอาเข้าจริงกับเต็มไปด้วย อวิชา ส่วนตน
    ใช้ ความไม่รู้ของตนไปในทางที่ ผิด ยังไม่พอ ยังจะเอาไปเผยเเพร่ออกไปให้มัน เสียเเก่ ปัญญาตนเข้าไปอีก

    เเบบนี้รึ ที่ เรียกตนว่าเป็นผู้ ปฎิบัติ ดี ปฎิบัติชอบ เเค่วิจารณะ ญาณ ที่ควรมียังหาไม่ได้เเม้เเต่น้อยยยยยยยยยยยยย นิด

    เเล้วจะเอาอะไรลงไป สอน ชาวบ้านเขาหึ
     
  5. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +356
    ตบมือให้


    ขอตบมือให้พอเลือดได้ ซิบ ซิบ เป็นคําตอบที่ รวบรัดตัดเอาความเข้าใจมาได้ ตรงประเด็น
    ขอบคุณสําหลับข้อมูลดี ดี





    ส่วนคนที่ไม่เข้าใจ ก็ อย่าไปตําหนิตนเองเลยว่า เรานั้นมันเบาปัญญา โง้เขลาอะไรเช่นนี้

    ในความเป็น ธรรม นั้นมันก็จําต้องมีสะอึก สะอื้น กันบ้างพอประปราย
    หาใหนเลย จะให้บัวใต้ ตม ขึ้นมาชูชัน เยี่ยงบัวพื้นผิวได้

    เข้าใจ ว่า ภูมิมันตํ่า เเต่ก็อย่าไปปิดตนเอง อย่าไปล้อมตนเองจนเกินควรสิ
    จะได้เข้าใจ ในธรรม ที่ท่านพุธทาส ท่านสอนไว้บ้าง

    เจริญในเจริญเจ้าค่ะ
     
  6. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +356
    พูดยังกะตาเห็น


    พูดพร่ามยัง กะ ตาตนไปเห็นมา

    ตัวท่านทําหน้าที่อะไรอยู่ ที่ อเวจี นั้นหรือ ถึงได้รู้ว่าท่านพุธทาส ลงไปในอเวจีนั้น

    อย่าบอกน่ะว่า ลงอภิญาไปตรวจดู เเล้ว

    ใช้สติให้มากขึ้น เพื่อวันหน้าจะได้ไม่ไปยกเอา

    ความโง้ ที่ปราดเปลื่อง ขึ้นมาโชอีกน่ะจ๊ะ คนดี
     
  7. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +356
    เอาเข้าไป เอาเข้าไป


    นี่ นี่ นี่ รู้อะไรไหมว่าทําไม พระศาสนามันถึง เจริญย้อนถอยกลับไปจุดเริ่มต้น

    เพราะมันมาจาก การไม่เเยกเเยะในส่วนที่ควรเเยก
    เหมือนพระดี เเต่วัดเลว น่ะเเหล่ะจ๊ะ

    พอคนเรามันเเยกไม่ได้ เเยกไม่เป็นเพราะไม่ได้ลงไป ปฎิบัติ ไม่โยนิ ในสิ่งที่ควร
    เวลาใจมันน้อมไป มันก็จะน้อมไปจับเเต่ เปลือก เข้าใจว่าเปลือก กับ กระพี้ มันสําคัญพอกัน


    หลวงพ่อสด ก็ หลวงพ่อสด
    วิชาธรรมกาย ก็ วิชาธรรมกาย


    จานบิน ยูเอฟโอ ก็เป็นเรื่องของ เเอเลียห้าสิบสาม เอาให้เขาไป อย่าไปยกมารวมกันจ๊ะ
     
  8. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +356
    สุดท้ายเเล้ว

    สุดท้ายเเล้วก็ขอยก เอา บทความของพี่ ท่านนี้ มาสอนตัวเอง

    เเละคนอื่นๆ

    เยธัมมา

    เจริญในสิ่งที่ควรเข้าไป เจริญจ๊ะ


    สาธุ อนุโมทนา
     
  9. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ เป็น
    คนพาล ไม่เฉียบแหลม ไม่ใช่สัตบุรุษ ย่อมเป็นผู้ประกอบไปด้วยโทษ นักปราชญ์ติเตียน และย่อมประสบกรรมมิใช่บุญเป็นอันมาก ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ
    ไม่ใคร่ครวญสืบสวนให้รอบคอบแล้ว กล่าวสรรเสริญคุณของผู้ไม่ควรสรรเสริญ ๑
    ไม่ใคร่ครวญสืบสวนให้รอบคอบแล้ว กล่าวติเตียนผู้ที่ควรสรรเสริญ ๑
    ไม่ใคร่ครวญสืบสวนให้รอบคอบแล้ว ยังความเลื่อมใสให้เกิดในฐานะที่ไม่ควรเลื่อมใส ๑
    ไม่ใคร่ครวญสืบสวนให้รอบคอบแล้ว ยังความไม่เลื่อมใสให้เกิดในฐานะที่ควรเลื่อมใส ๑...

    ...ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ เป็นบัณฑิตเฉียบแหลม เป็นสัตบุรุษ เป็นผู้หาโทษมิได้ ทั้งนักปราชญ์ไม่ติเตียน และย่อมประสบบุญเป็นอันมาก ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ
    ใคร่ครวญ สืบสวนรอบคอบแล้ว กล่าวติเตียนผู้ที่ควรติเตียน ๑
    ใคร่ครวญสืบสวนรอบคอบแล้ว กล่าวสรรเสริญผู้ที่ควรสรรเสริญ ๑
    ใคร่ครวญ สืบสวนรอบคอบแล้ว ยังความไม่เลื่อมใสให้เกิดในฐานะที่ไม่ควรเลื่อมใส ๑
    ใคร่ครวญสืบสวนรอบคอบแล้ว ยังความเลื่อมใสให้เกิดในฐานะที่ควรเลื่อมใส ๑...

    ------------------------------------------------
    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  10. คนมีกำกึด

    คนมีกำกึด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +278
    ผมเป็นคนหนึ่งที่นับถือท่านพุทธทาสภิกขุมาก ท่านพุทธทาสภิกขุนี่เองที่ทำให้ผมสนพุทธศาสนาจากที่ไม่เคยสนใจมาก่อนเลยจนถึงขั้นศรัทธา เคยได้ยินกระแสมากมายเกี่ยวกับท่านพุทธทาสภิกขุ ในเว็บนี้เมื่อหลายปีก่อนก็มี ว่าท่านสอนผิดพระไตรปิฎก ว่าท่านต่างๆนาๆ ไม่แปลกครับ สมัยก่อนก็มีคนว่า ท่านเป็นพระคอมมิวนิสต์ และว่าท่านเป็นพระบ้าบ้างผมนับถือท่านพุทธทาสเป็นครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งของผม ท่านจะเป็นพระอริยเจ้าหรือไม่ไม่ทราบครับ และไม่อยากจะทราบด้วย เพราะผมถือตามคำพูดของพระอาจารย์เปลี่ยนที่ผมเคยได้ยินท่านพูดว่า การติดขั้นก็เหมือนบั้งของตำรวจที่บอกว่า นายสิบตรี สิบโท(ประมาณนี้เพราะฟังมานานแล้ว) เพราะฉะนั้นอย่ารู้เลยว่าขั้นไหน เดี๋ยวเราจะไปเปรียบเทียบกันให้เสียเวลาปฏิบัติกันเปล่าๆ ผมรู้แค่ว่าท่านพุทธทาสเป็นนักปราชญ์ท่านหนึ่ง เอาละพูดถึงท่านพุทธทาส ท่านเป็นอย่างไรบ้าง

    1.พระเถระผู้ใหญ่เคยกล่าวขอให้ท่านเลิกสอนพุทธศาสนา โดยเฉพาะเรื่องการไม่ยึดมั่นถือมั่น ท่านก็เคยบอกว่า ความจริงก็ไม่ควรสอน(หมายถึงเรื่องอนัตตา) เพราะมันอันตราย ก็อย่างที่หลายๆท่านเข้าใจว่า มันสุ่มเสี่ยงต่อการขัดพระไตรปิฎก จนจะกลายเป็นว่า ทุกอย่างสูญ ความจริงเราต้องตีความให้ดีๆครับ อ่านให้จบทั้งเล่ม ไม่งั้นจะเข้าใจผิดได้

    2. หลังจากข้อ 1 ไม่นาน พม่าทำสังคายนาครั้งที่ 6 ได้ระบุหลวงพ่อพุทธทาสเป็นตัวแทนคณะสงฆ์ไทยให้ไปร่วมทำการสังคายนาในครั้งนั้น(ถ้าท่านสอนผิดพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกเล่มนั้นย่อมผิดด้วยจริงไหม)

    3. หลวงพ่อพุทธทาสท่านเป็นสหายธรรมของหลวงปู่บุดดา ถาวโร ครั้งหนึ่งเคยออกปากชวนหลวงปู่บุดดา ถาวโร ไปจำวัดที่สวนโมกข์แต่หลวงปู่บุดดา กล่าวว่า อย่าทำให้ท่านต้องเสียความตั้งใจเพราะเราเลย(หลวงพ่อพุทธทาสท่านจำกัดพระที่จะไปสวนโมกข์ว่าต้องได้เปรียญธรรม 4 ขึ้นไป)

    4. หลวงพ่อพุทธทาสท่านไม่เคยถือเนื้อถือตัว และไม่ชอบให้ใครมาศรัทธาท่านมากด้วย ครั้งหนึ่งมีผู้ไปกราบท่านด้วยแสดงศรัทธาต่อท่านมากมาย ท่านจึงไปเตะสุนัขให้เขาดู ^^

    5. หลวงพ่อพทุธทาสเคยปะทะคารมกันแบบนักปราชญ์กับ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ทุกคนชื่นชม แต่กลับวัดมาท่านฟังแล้วพูดว่า มันบ้า บ้าทั้งคู่

    6. ลูกศิษย์ของท่านพุทธทาสท่านหนึ่งไม่ขอเอ่ยชื่อ ได้ชื่นชมหลวงพ่อพุทธทาสว่า ท่านมีจิตใจที่เข้มแข็งจริงๆ หลวงพ่อท่านตอบว่า คุณจะไปรู้อะไร ผมคิดจะสึกตั้งหลายครั้ง ^^

    7. ก่อนท่านจะละสังขาร สมเด็จพระญาณสังวรฯ เสด็จไปหาท่านถึงสวนโมกขพลาราม ตรัสกับท่านว่า ใต้เท้าอยู่ก่อนนะ อยู่ช่วยศาสนาก่อน หลวงพ่อตอบว่า เกล้ากระผมไม่ไหวแล้ว ชรามากแล้วมากกว่าพระพุทธเจ้า 8 ปี(สมเด็จฯท่านตรัสเช่นนี้ย่อมตอบคำถามว่า ท่านสอนนอกลู่นอกทางหรือไม่ได้ในระดับหนึ่งนะครับ)

    นี่แหละครับ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของนักปราชญ์อย่างท่าน พุทธทาสภิกขุ หลวงพ่อพุทธทาสท่านก็พูดถึงกาลามสูตรบ่อยๆ ท่านก็ไม่ต้องการให้ใครเชื่อถือท่านโดยไม่พิจารณาก่อนอยู่แล้วครับ เราเป็นชาวพุทธไม่ควรที่จะแยกเป็นสายใคร สายใครนะครับ ศาสนาก็มีมากแล้วนะครับ นิกายทางพุทธศาสนาก็มีมากแล้ว เรายังจะแยกอาจารย์กันอีกทำไม ผมเองก็ศรัทธาพระแทบจะทุกองค์เลยมั๊ง และไม่เคยถามเลยว่า ท่านเป็นพระอริยะ หรือ สมมติสงฆ์ เพราะนั่นเป็นการมองที่ตัวบุคคล และผมก็ไม่สนใจว่า ท่านสอนอะไร ผมสนใจเพียงแต่ สิ่งที่พระเถระหลายๆรูปสั่งสอนมีประโยชน์อะไรที่เราสามารถกระทำเพื่อ ละชั่ว ทำดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ และนำสิ่งๆนั้นมาปฏิบัติ เพียงแค่นั้นเองครับ
     
  11. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    สังคายนา เลยเหรอครับ ผมไม่รู้ แต่ถ้าจะเป็นตัวแทน เลย ต้องเก่งแตกฉานจริงๆ ขนาดสมเด็จโตยังไม่ทําเลยมีโอกาศแต่ไม่ทํา ขอยกมาเล่า
    วันเดือนปีไม่ปรากฏ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริจัดสังคายนาพระไตรปิฎก รัชกาลที่ ๔ โปรดให้ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ (โต) เข้าร่วมสัมมนาด้วย แต่ท่านไม่ยอมไปเป็นดังนี้ถึง ๓ ครั้ง

    รัชกาลที่ ๔ ทรงเรียกท่านเจ้าประคุณสมเด็จไปในวัง ตรัสถามว่า "เพราะเหตุใดขรัวโตจึงไม่ยอมเข้าร่วมสัมมนาในการปรับปรุงพระไตรปิฎก" ท่านจึงกราบทูลว่า "ขอถวายพระพรมหาบพิตร ขรัวโตนี้เกิดในยุครัตนโกสินทร์ ขรัวโตนี้ยังไม่ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ถ้าในพระไตรปิฎกนั้น บางคำพูดเป็นขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่แท้จริง สันดานขรัวโตเกิดว่าไอ้นี่มันไม่ไพเราะ ไม่เพราะพริ้ง ตัดมันออกไป เติมคำหวาน ๆ สละสลวยลงไป ฟังแล้วน้ำลายไหล อาตมภาพหรือจะหนีพ้นการลงนรก การที่อาตมภาพไม่มาก็เพราะกลัวตกนรกพระเจ้าค่ะ" รัชกาลที่ ๔ ตรัสว่า จริงของขรัวโต จึงเลิกสัมมนาแต่นั้นมา และไม่เอาเรื่องกับท่าน

    ถ้าผิดนี้ สักคํานี่นรกแน่ๆ :p แต่ท่านพุทธทาส ประเสริฐมากที่ทําสังคายนา ให้คนอื่นอ่านเป็นธรรมทานประเสริฐจริงแท้ :)
     
  12. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ใครก็ได้ช่วยตอบข้อสงสัยนี้ด้วยครับ ทำไมเป็นอย่างนั้น
     
  13. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงเอ่อ...
     
  14. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,801
    ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด .เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น ....เชื่อไม่ได้

    บุรุษผู้โง่เขลาย่อมเชื่อทุกๆอย่าง ในทุกๆสิ่งที่ บุคคลหรือหนังสือ ตำรา กล่าวอ้าง ว่าเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ โดยไม่ยอมพิสูจน์ทราบ

    แต่บุรุษผู้ที่ฉลาดและมีปัญญา ย่อมไม่เชื่อ จนกว่าจนได้พิสูจน์ทราบ ทดลองทำ ด้วยตนเอง ได้เห็นผลจนเป็นที่ประจักษ์แก่ใจตนเองแล้วจึงเชื่อ

    หลักกาลามสูตรคืออะไร ถ้าเข้าใจความหมายและทำได้ ก็คงหายโง่ เอวัง




     
  15. จิงทรงฌาณ

    จิงทรงฌาณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +29
    ปรบมือไฟ้ดังๆๆๆเลย เปรียะปร้ะ เปรียะปร้ะ

    <TABLE class=tborder id=post5515828 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ขุนทราย<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_5515828", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Dec 2011
    ข้อความ: 2
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_5515828 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปราบจราจล [​IMG]
    คัดจาก หนังสือ พุทธสาสนา ปีที่ ๖๗ เล่ม ๒ พุทธศํกราช ๒๕๔๒



    พุทธทาส:-พระสูตรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะนั้น ท่านก็โกหกประชาชนและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย เพราะท่านจำเป็นต้อง "เอออวย"...เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ฤทธิ์ อภิญญา ชาตินี้ ชาติหน้า ภพต่างๆ ภูมิต่างๆ และทางที่กระทำแล้วให้ผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โลกนี้ โลกอื่น ผลของกรรมที่ไม่ให้ผลในชาตินี้ etc...เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านโกหกโลก โกหกประชาชน เพราะต้อง "เอออวย" ไปตามสังคมทั้งนั้น ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด....เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น ....เชื่อไม่ได้

    หนังสือ ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์



    หลักฐานมาแบบนี้ หนังสือเล่มไหนก็บอกกันแล้ว

    ว่าไปตามหลักฐานก็แล้วกันนะครับ

    หนังสือที่ว่านี่ ยังหาซื้อได้ตามสโตร์ เซเว่น บางสาขา

    เอเซีบบุ๊ค ฯล หลายร้านครับ พิสูจน์เอาเอง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อย่าว่าตามหลักฐานสิครับ ถ้าว่าตามหลักฐานก็ติดคุกสิครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 ธันวาคม 2011
  16. จิงทรงฌาณ

    จิงทรงฌาณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +29
    ถูกบ้าง
    อ้างอิง:
    <TABLE style="WORD-SPACING: 0px; FONT: 16px verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; TEXT-TRANSFORM: none; COLOR: rgb(0,0,0); TEXT-INDENT: 0px; WHITE-SPACE: normal; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(239,235,239); orphans: 2; widows: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; FONT: 12pt verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; BORDER-LEFT: 1px inset; COLOR: rgb(0,0,0); BORDER-BOTTOM: 1px inset; BACKGROUND-COLOR: rgb(247,243,247); background-origin: initial; background-clip: initial">พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อ พิจารณาสืบต่อไป ย่อมพิจารณาลึกลงไปอีกว่า อุปธิ นี้เล่า มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด? มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิด? มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด? และมีอะไรเป็นแดนเกิด? เมื่ออะไรมีอยู่ อุปธิก็มีอยู่ เมื่อ อะไรไม่มี อุปธิก็ไม่มี?ดังนี้.....................ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้น เมื่อ พิจารณาอยู่ ย่อมรู้ชัดได้อย่างนี้ว่า อุปธิ มีตัณหาเป็นเหตุให้เกิด มีตัณหาเป็นเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีตัณหาเป็นเครื่องกำเนิด และมีตัณหาเป็นแดนเกิด เมื่อตัณหามีอยู่ อุปธิก็มีอยู่ เมื่อตัณหาไม่มี อุปธิก็ไม่มี ดังนี้แล.........................(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส)</TD></TR></TBODY></TABLE>

    แต่พอเผลอๆก็ไม่ถูกบ้าง

    พุทธทาส:-พระสูตรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะนั้น ท่านก็โกหกประชาชนและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย เพราะท่านจำเป็นต้อง "เอออวย"...เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ฤทธิ์ อภิญญา ชาตินี้ ชาติหน้า ภพต่างๆ ภูมิต่างๆ และทางที่กระทำแล้วให้ผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โลกนี้ โลกอื่น ผลของกรรมที่ไม่ให้ผลในชาตินี้ etc...เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านโกหกโลก โกหกประชาชน เพราะต้อง "เอออวย" ไปตามสังคมทั้งนั้น ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด....เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น ....เชื่อไม่ได้

    หนังสือ ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์


    แป่วววววblack_pig
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 ธันวาคม 2011
  17. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    <CENTER>พระพุทธองค์ตำหนิสมณะที่มีความเห็นวิปริต</CENTER>
    ...สมณ-พราหมณ์ที่มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล การบวงสรวงไม่มีผลการบูชาไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มีบิดาไม่มี อุปปาติกสัตว์ไม่มี สมณพราหมณ์ที่ไปโดยชอบ ปฏิบัติโดยชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้รู้ทั่ว ไม่มีในโลกดังนี้ เป็นอันหวังข้อนี้ได้ คือ จักเว้นกุศลธรรม ๓ ประการนี้ คือกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต จักสมาทานอกุศลธรรม ๓ ประการนี้ คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต แล้วประพฤติข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้นไม่เห็นโทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองแห่งอกุศลธรรม ไม่เห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะเป็นคุณฝ่ายขาวแห่งกุศลธรรม. ก็โลกหน้ามีอยู่จริง ความเห็นของผู้นั้นว่าโลกหน้าไม่มี ความเห็นของเขานั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ. ก็โลกหน้ามีอยู่จริง แต่เขาดำริว่า โลกหน้าไม่มีความดำริของเขานั้นเป็นมิจฉาสังกัปปะ. ก็โลกหน้ามีอยู่จริง แต่เขากล่าววาจาว่า โลกหน้าไม่มีวาจาของเขานั้นเป็นมิจฉาวาจา. ก็โลกหน้ามีอยู่จริง เขากล่าวว่า โลกหน้าไม่มี ผู้นี้ย่อมทำตนเป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ผู้รู้แจ้งโลกหน้า. ก็โลกหน้ามีอยู่จริง เขายังผู้อื่นให้เข้าใจว่า โลกหน้าไม่มีการให้ผู้อื่นเข้าใจของเขานั้นเป็นการให้เข้าใจผิดโดยไม่ชอบธรรม และเขายังจะยกตนข่มผู้อื่น
    ด้วยการให้ผู้อื่นเข้าใจผิดโดยไม่ชอบธรรมนั้นด้วย. เขาละคุณ คือ เป็นคนมีศีลแล้ว ตั้งไว้เฉพาะแต่โทษ คือ ความเป็นคนทุศีลไว้ก่อนเทียว ด้วยประการฉะนี้. อกุศลธรรมอันลามก เป็นอเนกเหล่านี้ คือ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา ความเป็นข้าศึกต่อพระอริยะ การให้ผู้อื่นเข้าใจผิดโดยไม่ชอบธรรม การยกตน การข่มผู้อื่น ย่อมมี เพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย ด้วยประการฉะนี้...
    ----------------------------------------

    ผมเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นลูกผู้ชาย พูดจริง ทำจริง ไม่ใช่คนเหลาะแหล่ะ กลับกลอก หลอกลวง และท่านยังตรัสรับรองว่า ท่านตรัสแต่ถ้อยคำที่แท้จริงและมีประโยชน์เท่านั้น ผมเห็นว่าพระรูปไหนที่สอนว่า "พระสูตรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะนั้น ท่านก็โกหกประชาชนและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย เพราะท่านจำเป็นต้อง "เอออวย"...เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ฤทธิ์ อภิญญา ชาตินี้ ชาติหน้า ภพต่างๆ ภูมิต่างๆ และทางที่กระทำแล้วให้ผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โลกนี้ โลกอื่น ผลของกรรมที่ไม่ให้ผลในชาตินี้ etc...เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านโกหกโลก โกหกประชาชน เพราะต้อง "เอออวย" ไปตามสังคมทั้งนั้น ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด....เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น ....เชื่อไม่ได้" ไม่ใช่พระ เป็นเพียงขอทานที่หัวโล้นและเป็นบ้า

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 ธันวาคม 2011
  18. มังคละมุนี

    มังคละมุนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +608
    คำกลอนจากสวนโมกข์

    ________มองแต่แง่ดีเถิด_______

    เขามีส่วน.......เลวบ้าง.......ช่างหัวเขา
    จงเลือกเอา......ส่วนดี........เขามีอยู่
    เป็นประโยชน์...โลกบ้าง.......ยังน่าดู
    ส่วนที่ชั่ว........อย่าไปรู้.......ของเขาเลย

    จะหาคน...........มีดี.........โดยส่วนเดียว
    อย่ามัวเที่ยว......ค้นหา.........สหายเอ๋ย
    เหมือนเที่ยวหา..หนวดเต่า.....ตายเปล่าเลย
    ฝึกให้เคย........มองแต่ดี.......มีคุณจริงฯ


    ขอพระธรรมจงคุ้มครอง เหล่าสหธรรมมิกให้มีสัมมาทิฏฐิ
    รู้วิธีพ้นภัย อันตราย จากกิเลสตัณหาทั้งปวง ด้วยเทอญ...สาธุ...สาธุ...สาธุ
     
  19. ลมไหว

    ลมไหว สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +9
    เหตุใดท่านพุทธทาสจึงมีทิฐิเช่นนี้

    [​IMG]
     
  20. จิงทรงฌาณ

    จิงทรงฌาณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +29
    เหล่าภุมเทพแล้วกระจายเสียงต่อไป เทพชั้นดาวดึงส์ เทพชั้นยามา เทพชั้นดุสิต เทพชั้นนิมมานรดี เทพชั้นปรนิมมิตวสวดี เทพที่นับเนื่องในหมู่พรหมได้สดับเสียงแล้วกระจายเสียงกันต่อๆ ไปว่า ท่านผู้เจริญ โอ ภิกษุสงฆ์ ไม่มีเสนียด ไม่มีโทษ พระสุทินน์กลันทบุตรก่อเสนียดขึ้นแล้ว ก่อโทษขึ้นแล้ว โดยทันใดนั้น ครู่หนึ่งนั้น เสียงได้กระจายขึ้นไปถึงพรหมโลกด้วยอาการอย่างนี้แล. สมัยต่อมา ปุราณทุติยิกาของท่านพระสุทินน์ อาศัยความแก่แห่งครรภ์นั้น คลอดบุตรแล้ว จึงพวกสหายของท่านพระสุทินน์ได้ตั้งชื่อทารกนั้นว่า พีชกะ ตั้งชื่อปุราณทุติยิกาของท่านพระสุทินน์ว่า พีชกมาตา ตั้งชื่อท่านพระสุทินน์ว่า พีชกปิตา ภายหลังเขาทั้งสองได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัตแล้ว.<CENTER style="FONT-WEIGHT: normal; FONT-SIZE: medium; COLOR: rgb(0,0,255); FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif'">พระสุทินน์เกิดวิปฏิสาร</CENTER> [๑๙] ครั้งนั้น ความรำคาญ ความเดือดร้อน ได้เกิดแก่ท่านพระสุทินน์ว่า มิใช่ลาภของเราหนอ ลาภของเราไม่มีหนอ เราได้ชั่วแล้วหนอ เราไม่ได้ดีแล้วหนอ เพราะเราบวชในพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีอย่างนี้แล้ว ยังไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์ได้ตลอดชีวิต เพราะความรำคาญนั้นแหละ เพราะความเดือดร้อนนั้นแหละ ท่านได้ซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณคล้ำ มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น มีเรื่องในใจมีใจหดหู่ มีทุกข์โทมนัส มีวิปฏิสาร ซบเซาแล้ว. จึงบรรดาภิกษุที่เป็นสหายของท่านพระสุทินน์ ได้กล่าวคำนี้กะท่านพระสุทินน์ว่า อาวุโสสุทินน์ เมื่อก่อนคุณเป็นผู้มีผิวพรรณ มีอินทรีย์สมบูรณ์ มีสีหน้าสดใส มีฉวีวรรณผุดผ่องมีน้ำมีนวล บัดนี้ ดูคุณซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณคล้ำ มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น มีเรื่องในใจ มีใจหดหู่ มีทุกข์โทมนัส มีวิปฏิสาร ซบเซาอยู่ คุณจะไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์กระมังหนอ? อาวุโสทั้งหลาย ความจริง มิใช่ว่าผมจะไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ พระสุทินน์ค้านแล้วแถลงความจริงว่า เพราะบาปกรรมที่ผมทำไว้มีอยู่ ผมได้เสพเมถุนธรรมในปุราณทุติยิกาผมจึงได้มีความรำคาญ ความเดือดร้อนว่า มิใช่ลาภของเราหนอ ลาภของเราไม่มีหนอ เราได้ชั่วแล้วหนอ เราไม่ได้ดีแล้วหนอ เพราะเราบวชในพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีอย่างนี้แล้ว ยังไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์ได้ตลอดชีวิต ดังนี้. อาวุโส สุทินน์ จริง การที่คุณบวชในพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีอย่างนี้แล้ว ยังไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์ได้ตลอดชีวิตนั้น พอที่คุณจะรำคาญพอที่คุณจะเดือดร้อน. อาวุโส ธรรมอันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วโดยอเนกปริยาย เพื่อคลายความกำหนัดไม่ใช่เพื่อมีความกำหนัด เพื่อความพราก ไม่ใช่เพื่อความประกอบ เพื่อความไม่ถือมั่น ไม่ใช่เพื่อมีความถือมั่น มิใช่หรือ? เมื่อธรรมชื่อนั้น อันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว เพื่อคลายความกำหนัด คุณยังจะคิดเพื่อมีความกำหนัด เมื่อทรงแสดงเพื่อความพราก คุณยังจักคิดเพื่อความประกอบ เมื่อทรงแสดงเพื่อความไม่ถือมั่น คุณยังจักคิดเพื่อมีความถือมั่น. อาวุโส ธรรมอันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วโดยอเนกปริยาย เพื่อเป็นที่สำรอกแห่งราคะ เพื่อเป็นที่สร่างแห่งความเมา เพื่อเป็นที่ดับสูญแห่งความระหาย เพื่อเป็นที่หลุดถอนแห่งอาลัย เพื่อเป็นที่เข้าไปตัดแห่งวัฏฏะ เพื่อเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา เพื่อคลายความกำหนัด เพื่อความดับทุกข์ เพื่อนิพพานมิใช่หรือ? อาวุโส การละกาม การกำหนดรู้ความหมายในกาม การกำจัดความระหายในกาม การเพิกถอนความตรึกอันเกี่ยวด้วยกาม การระงับความกลัดกลุ้มเพราะกาม พระผู้มีพระภาคตรัสบอกไว้แล้วโดยอเนกปริยาย มิใช่หรือ? อาวุโส การกระทำของคุณนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใสหรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของคุณนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว. ภิกษุสหายเหล่านั้น ติเตียนท่านพระสุทินน์โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ได้กราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.<CENTER style="FONT-WEIGHT: normal; FONT-SIZE: medium; COLOR: rgb(0,0,255); FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif'">ทรงประชุมสงฆ์บัญญัติสิกขาบท</CENTER> [๒๐] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นมูลเค้านั้นในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระสุทินน์ว่า ดูกรสุทินน์ ข่าวว่าเธอเสพเมถุนธรรม ในปุราณทุติยิกา จริงหรือ? ท่านพระสุทินน์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ เธอบวชในธรรมวินัยที่เรากล่าวไว้ดีอย่างนี้แล้ว ไฉนจึงไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์ได้ตลอดชีวิตเล่า. ดูกรโมฆบุรุษ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยอเนกปริยาย เพื่อคลายความกำหนัด ไม่ใช่เพื่อมีความกำหนัด เพื่อความพราก ไม่ใช่เพื่อความประกอบ เพื่อความไม่ถือมั่น ไม่ใช่เพื่อมีความถือมั่นมิใช่หรือ? เมื่อธรรมชื่อนั้นอันเราแสดงแล้ว เพื่อคลายความกำหนัด เธอยังจักคิดเพื่อมีความกำหนัด เราแสดงเพื่อความพราก เธอยังจักคิดเพื่อความประกอบ เราแสดงเพื่อความไม่ถือมั่น เธอยังจักคิดเพื่อมีความถือมั่น. ดูกรโมฆบุรุษ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยอเนกปริยาย เพื่อเป็นที่สำรอกแห่งราคะ เพื่อเป็นที่สร่างแห่งความเมา เพื่อเป็นที่ดับสูญแห่งความระหาย เพื่อเป็นที่หลุดถอนแห่งอาลัย เพื่อเป็นที่เข้าไปตัดแห่งวัฏฏะ เพื่อเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา เพื่อเป็นที่สำรอกแห่งตัณหา เพื่อเป็นที่ดับแห่งตัณหา เพื่อออกไปจากตัณหาชื่อวานะ มิใช่หรือ? ดูกรโมฆบุรุษ การละกาม การกำหนดรู้ความหมายในกาม การกำจัดความระหายในกามการเพิกถอนความตรึกอันเกี่ยวด้วยกาม การระงับความกลัดกลุ้มเพราะกาม เราบอกไว้แล้วโดยอเนกปริยาย มิใช่หรือ? ดูกรโมฆบุรุษ องค์กำเนิด อันเธอสอดเข้าในปากอสรพิษที่มีพิษร้าย ยังดีกว่า อันองค์กำเนิดที่เธอสอดเข้าในองค์กำเนิดของมาตุคามไม่ดีเลย องค์กำเนิดอันเธอสอดเข้าในปากงูเห่ายังดีกว่า อันองค์กำเนิดที่เธอสอดเข้าในองค์กำเนิดของมาตุคาม ไม่ดีเลย องค์กำเนิดอันเธอสอดเข้าในหลุมถ่านที่ไฟติดลุกโชนยังดีกว่า อันองค์กำเนิดที่เธอสอดเข้าในองค์กำเนิดของมาตุคามไม่ดีเลย. ข้อที่เราว่าดีนั้น เพราะเหตุไร? เพราะบุคคลผู้สอดองค์กำเนิดเข้าในปากอสรพิษเป็นต้นนั้น พึงถึงความตาย หรือความทุกข์เพียงแค่ตาย ซึ่งมีการกระทำนั้นเป็นเหตุ และเพราะการกระทำนั้นเป็นปัจจัย เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป ไม่พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนบุคคลผู้ทำการสอดองค์กำเนิดเข้าในองค์กำเนิดของมาตุคามนั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก ซึ่งมีการกระทำนี้เป็นเหตุ. ดูกรโมฆบุรุษ เมื่อการกระทำนั้น มีโทษอยู่ เธอยังชื่อว่าได้ต้องอสัทธรรม อันเป็นเรื่องของชาวบ้าน เป็นมรรยาทของคนชั้นต่ำ อันชั่วหยาบ มีน้ำเป็นที่สุด มีในที่ลับ เป็นของคนคู่ อันคนคู่พึงร่วมกันเป็นไป เธอเป็นคนแรกที่กระทำอกุศลธรรม เป็นหัวหน้าของคนเป็นอันมาก การกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว. พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระสุทินน์โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑เพื่อถือตามพระวินัย ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:<CENTER style="FONT-WEIGHT: normal; FONT-SIZE: medium; COLOR: rgb(0,0,255); FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif'">พระปฐมบัญญัติ</CENTER> ๑. ก็ภิกษุใดเสพเมถุนธรรม เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้ ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลายด้วยประการฉะนี้.</PRE>


    หมวดพุทธประวัติ หรือสุตันตะปิฏก หลายสิบเล่น

    เจาะตรงไหน จุ่มตรไหน

    ก็จะเจอพระพุทธเจ้าท่านสอน ทานเทศน์ เรื่องกรรม

    เรื่องทำความชั่ว อย่างไร แล้วกรรมนั้นๆจะต้องทำไห้ตนไปเสวย

    ในภาภูมิใดบ้าง

    ก็คือพระไตรปิฏกหมวดพุทธประวัติก็จะวนอยุ่กับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนี่ล่ะ

    แม้พระเจ้าสิบชาติ หรือสิบชาติสุดท้ายก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้

    ก็เกียวกับเรื่องการ ตายและเกิด ของพระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะบรรลุเป็น

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ก็วนอยู่กับเรื่องโลกหน้า ภพภูมิต่างๆทั้งนั้น

    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทั้งนั้นนะครับ ไม่ไช่ใครที่ไหน ท่กล่าวมาทั้งหมด

    พุทธวจน

    พระพุทธเจ้า ตรัสคำไหน เป็นคำนั้น หนึ่งไม่มีสอง

    (ก้คือทุกเรื่องที่พระองค์กล่าวต้องเป็นสัจจะ หรือเป็นความจริงทั้งหมดครับ)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...