ผ้าชายจีวรของพระพุทธองค์เสด็จปรากฏในมือ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย วิทย์, 28 มีนาคม 2007.

  1. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    สมเด็จพระสังฆราชถามปัญหา พระอรหันต์นิพพานดับไปแล้ว เอาอะไรมาคุยกับท่านพระอาจารย์มั่น
    <O:p</O:p
    ในหนังสือของ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เขียนประวัติของ หลวงปู่มั่น ตอนที่ว่า หลวงปู่มั่นคุยกับพระพุทธเจ้า คุยกับอรหันต์ ซึ่งนักปราชญ์ทั้งหลายนำไปวิจารณ์กัน ทั้งข่าวหนังสือพิมพ์ ทั้งหนังสือธรรมะ ท่านทั้งหลายลงความเห็นว่า พระพุทธเจ้า พระอรหันต์นิพพานดับไปแล้ว เอาอะไรมาคุยกับท่านพระอาจารย์ สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันท่านก็เคยถามหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ไปเฝ้าท่าน ท่านก็ถามว่า
     
  2. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    [​IMG]

    อนุโมทนาสาธุครับ
    มีเรื่องดีๆมาให้ศึกษา
    และคำว่าฐีติภูตัง ฐีติวิญญานัง ฐีติธรรม ทำให้นึกถึง คำว่าต้นธาตุ ต้นธรรม ของสายวิชชาธรรมกายว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไรไหม?
     
  3. juniezkitty

    juniezkitty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +1,177
     
  4. ท่าข้าม

    ท่าข้าม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2006
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +2,513
    โมทนาด้วยจ้า มาทำความดีถือศีล 5 และปฎิบัติธรรมกันเถิด
     
  5. ลำไย

    ลำไย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +270
    ขออนุโมทนาค่ะ
    พอดีตอนนี้กำลังอ่านหนังสือ อ่านก่อนตาย ก่อนที่จะเสียดาย ที่ไม่ได้อ่าน (แม่จันทา ฤกษ์ยาม) แต่ใกล้จะจบแล้ว อ่านแล่วทึ่ง
     
  6. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ฐีติภูตัง หมายถึงจิตผู้รู้ (จิตหนึ่งหรือจิตเดิมแท้ ในภาษาของเซน) คือ เป็นสภาวะหนึ่งที่เป็นต่างหากจากขันธ์ จะว่าแยกกันก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ด้วยกันก็ไม่ใช่ เหมือนน้ำกับน้ำมันในแก้วเดียวกัน หรือน้ำกลิ้งบนใบบอนเป็นต้น สภาวะการเห็นฐีติภูตังเกิดจากการเจริญวิปัสสนาจนจิตเห็นว่าผู้รู้เป็นต่างหากกันกับสิ่งที่ถูกรู้ครับ

    ต่อนะครับ ^_^

    ฝึกเร่งเพียรสติ

    ช่วงปีแรกๆ ที่คุณธรรมหลวงปู่มั่นติดตามดูแลแม่ทาเป็นช่วงที่แม่ทามีอายุประมาณ 35 ปี คุณธรรมหลวงปู่มั่นก็บอกแม่ทาเป็นนัยๆ ว่า "อายุของเจ้านี้จะถึง 42 นะ ถ้าเจ้าไม่เร่งตัวนี้ไม่ได้ พรรษาหนึ่งกล้าเอาไหม" แม่ทาก็ตอบว่า "กล้า" แม่ทาเลยมาทบทวนถึงคำพูดของคุณธรรมหลวงปู่มั่นซึ่งก่อนหน้าแม่ทาก็ฝึกมาด้วยตนเองมาโดยตลอด แล้วก็บอกกับตัวเองว่า "เราทำมาก็ทำให้สว่าง" แม่ทาก็เร่งฝึกสติของตนเอาเพื่อให้เป็นมหาสติสู่ปัญญาก็ด้วยอุบายไม่นอน...

    แรกๆ ก็อดนอนตลอด 3 วัน 3 คืน ไม่นอน แล้วก็มาพักหลับนอนตามปกติ เมื่อตื่นเช้าก็ออกไปทำงานในนา เลี้ยงควายทำงานบ้านตามปกติ แล้วก็เพิ่มการฝึกสติด้วยการไม่นอนเพิ่มขึ้นเป็น 5 วัน ติดต่อกันแล้วก็พักมานอนตามปกติ แล้วก็ฝึกไม่นอน 7 วันบ้าง 9 วันบ้าง นอนก็นอนน้อยสติอยู่กับพุท-โธ แล้วก็เพิ่มมาเป็น 12 วัน 15 วัน 15 คืน แล้วก็ฝึกสติด้วยการไม่นอน 1 เดือน จากนั้นเข้าพรรษาก็ฝึกสติไม่ยอมนอน 3 เดือนติดต่อกัน 3 พรรษา หลังไม่แตะพื้นหัวไม่ถูกหมอน จะพูดจะนั่งคุยกับผู้คนก็รู้สติ (พุท-โธ) แม่ทาเล่าว่า "ความอยากหลับในช่วงแรกๆ ก็มีเป็นธรรมดา พอกำลังจะหลับก็ได้ยินเสียงมาย้ำบอกที่ข้างหูว่าให้อดทนเอา แต่ก็ยังอยากนอนอยู่ หลวงปู่ก็ตอบว่าถ้าอยากนอนเดี๋ยวมันจะรู้จักหม่องนอนหรอก ไม่ต้องไปนอนเสื่อนอนสาดยาก เดี๋ยวก็รู้" จะได้ยินเสียงมาบอกย้ำเช่นนี้ตลอดจนฝึกสติมาเรื่อย จนตัวเองได้ดีได้ปัญญารู้เป็นจิตตนอย่างชัดแจ้ง พอถึงเข้าพรรษาก็ไม่ยอมนอนตลอดพรรษาติดต่อกัน (อดนอนในช่วงเข้าพรรษา 3 เดือนของในแต่ละปีติดต่อกัน 3 ปี) จากนั้นก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะจิตตื่นชื่นอยู่อย่างนั้น แล้วก็ก็ย่อลงมาตามสภาพอายุสังขาร


    แม่ทาฝึกสติอยู่กับพุท-โธ จนรู้หลักรู้แจ้งในจิตมาโดยตลอดนับตั้งแต่อายุ 25 ปี พออายุได้ 32-33 ปี ท่านคุณธรรมหลวงปู่มั่นก็มาอบรมทางสมาธิจิตให้ติดต่อกัน 3 ปี มาฝึกให้ตลอดแทบทุกวัน จนแม่ทามีอายุได้ประมาณ 35 ปี รวมเวลาที่ฝึกสติติดต่อกัน 10 ปีเต็มๆ (ปัจจุบันแม่ทาก็ยังคงฝึกสติอยู่ตลอด) คุณธรรมหลวงปู่มั่นท่านก็มาทบทวนให้แม่ทารู้จักกับอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของตนพิจารณาดูจนรู้จนเห็นตามเป็นจริงของร่างกาย ดูอวัยวะส่วนต่างๆ มันมีอะไรบ้าง อยู่กันอย่างไร พิจารณาดูร่างกาย "ให้รู้จักกระดูกตัวนี้อยู่ปกติหรือไม่ปกติ" หลวงปู่จะมาทวนทดสอบแม่ทาหากแม่ทาตอบไม่ถูก หลวงปู่ก็จะให้พิจารณาดูใหม่ ถ้ารู้ตัวเองก็รู้ตัวคนอื่นชัด รู้ในร่างกายนี้แล้วจึงจะไปรู้ผู้อื่นชัด คุณธรรมหลวงปู่มั่นมาทบทวนให้แม่ทาพิจารณาดูร่างกายของตนก็เพื่อจะได้นำความรู้ในจิตอัศจรรย์มาสงเคราะห์ผู้คน ฝึกทบทวนไปจนชำนาญ รู้จักระบบอวัยวะต่างๆ การทำงานในอวัยวะต่างๆภายในร่างกายเป็นอย่างดี ฝึกไปดูอย่างนี้ ท่านคุณธรรมหลวงปู่มั่นก็บอกว่าต่อไปจะได้รับแขก แม่ทาก็ไม่เชื่อ คุณธรรมหลวงปู่มั่นบอกแม่ทาว่า "เริ่มแรกจะมีพระมาก่อนเพื่อน ให้เขามาตามจิต"
     
  7. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ระลึกชาติ

    ท่านพระอาจารย์ทอง อโสโก ศิษย์องค์หนึ่งของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล เล่าให้หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ฟังว่ามีพระองค์หนึ่ง อยู่ที่อำเภออำนาจเจริญ อุปสมบทในงานฉลองอายุของหลวงปู่เสาร์ที่วัดบูรพาฯ เมืองอุบลฯ เมื่อ พ.ศ. 2483 พออุปสมบทแล้วก็ไปจำพรรษาที่วัดบ้านสามผง อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม แล้วก็ไปป่วยหนักท้องร่วงมรณภาพอยู่ที่วัดนั้น

    ภายหลังท่านบอกกล่าวว่า ท่านไปเกิดที่บ้านน้ำกล่ำ อำเภอธาตุพนม เมื่อโตขึ้นก็ระลึกชาติหนหลังได้ ท่านพระอาจารย์ทองซึ่งเป็นผู้ฝึกฝนและให้การอบรมได้ทราบข่าวว่าพระองค์นี้เกิดไปที่บ้านน้ำกล่ำ ท่านก็ไปพิสูจน์ข้อเท็จจริง โดยได้เดินทางไปพบคนที่ระลึกชาติหนหลังได้ แล้วก็ได้สอบถามว่า เมื่อก่อนที่จะตายนี่ท่านรู้ไหมว่าท่านจะตาย เขาบอกว่าไม่รู้ แม้แต่ตายแล้วก็ไม่รู้ว่าตัวตาย เขาบอกว่าในขณะที่ญาติโยมเอาศพท่านไปขุดหลุมจะฝัง ท่านก็ไปกับเขาด้วย แล้วไปนั่งดูเขาขุดหลุม ท่านก็ถามเขาว่า "โยมขุดหลุมฝังอะไร" โยมเขาก็ไม่ตอบเพราะไม่ได้ยินเสียงพูด ท่านก็เอามือไปตีพุ่มไม้ พอพุ่มไม้ไหวมีเสียงดัง ญาติโยมก็ร้องเอะอะว่าผีหลอก พากันวิ่งหนี ท่านก็วิ่งตามเขาไปเพราะกลัวผีหลอกเหมือนกัน พอโยมไปได้หน่อยหนึ่งก็ย้อนกลับมาช่วยกันขุดหลุมแล้วฝังศพจนเสร็จ แล้วเขาชวนกันไป "รีบกลับ เดี๋ยวผีหลอก" ท่านก็รีบวิ่งออกหน้าเขากลับเข้าไปในวัด นี่ตามคำบอกเล่าของคนที่ตายแล้วมาเกิดใหม่ แล้วก็ระลึกชาติหนหลังได้แสดงว่าเขาไม่รู้ว่าเขาตาย เพราะฉะนั้นคำถามที่ว่าคนก่อนจะตายก่อนจะเกิด จิตมีลักษณะอย่างไร ถ้าพิจารณาตามลักษณะที่มาภาวนานี่ เมื่อภาวนาจิตสงบเป็นสมาธิระหว่างหัวเลี้ยวหัวต่อที่จิตจะตัดกระแสความรู้สึกในปัจจุบันไปสู่ความเป็นสมาธิเป็นอย่างไร คนก่อนที่จะตายก็มีลักษณะอย่างนั้น คนธรรมดาที่ไม่ตายในสมาธิ จะต้องปรากฏมีรูปร่างเดินออกไป พอเดินออกไปแล้วจะชะโงกมองดูรูปร่างเดิมนี่นิดหนึ่ง แต่เขาจะไม่นึกว่าร่างที่นอนตายอยู่นั้นคือร่างกายของเขา เขาก็เดินหนีไปเลย

    นี่เปรียบเทียบกับจิตที่เป็นสมาธิระดับอุปจาระ ส่งกระแสออกไปนอก แล้วปรากฏว่ามีรูปร่างเดินไปเหมือนๆ กับลักษณะของมโนมยิทธิที่จิตออกไปดูนรก ดูสวรรค์ เพราะในขณะนั้นมีความรู้สึกว่าเขามีร่างกายอยู่ เมื่อออกจากร่างไปจึงปรากฏว่ามีร่างติดตัวไปด้วย ถ้าเปรียบเทียบกับคนก่อนจะตายก็ต้องเป็นอย่างนั้น คือจิตจะมีการรวมลงไป คือรวมพลัง เพื่อจะถีบตัวออกจากร่างเดิม

    ทีนี้ก่อนจะเกิด ตามคำบอกเล่าของพระรูปนั้นที่ระลึกชาติได้ เมื่อท่านเข้ามาในวัด แล้วท่านไปเที่ยวทักทายกับพระเณรและครูบาอาจารย์ในวัด ไม่มีใครพูดกับท่าน ท่านจึงมานึกว่าคนทั้งหลายเกลียดเราเพราะเหตุไรในเมื่อทุกคนรังเกียจอย่างนี้เราจะอยู่กับเขาได้อย่างไร ท่านเดินหนีจากหมู่คณะจากวัดไป แล้วเดินทางไปบ้านน้ำกล่ำ พอไปถึง ความทรงจำยังมีอยู่ เวลาขาไปท่านพระอาจารย์ทองพามาฉันที่บ้านโยมแม่ที่มาเกิดใหม่ พอเขาขึ้นไปบนบ้านก็ไปขอน้ำฉัน เจ้าของบ้านก็นั่งเฉยเพราะไม่ได้ยินเสียง ก็ถือวิสาสะไปกรองน้ำในตุ่มมาฉัน พอฉันน้ำเสร็จแล้วขอที่พัก เจ้าของบ้านก็นั่งเฉย จึงถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องนอน เอาบริขารไปวางไว้แล้วก็ล้มตัวลงไปนอนหลับ นั่นแสดงว่าเขาไปสู่ท้อง ไปปฏิสนธิแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาไปเกิด เพียงแต่รู้สึกตัวว่านอนพักผ่อนเท่านั้น อันนี้ตามคำบอกเล่าของคนที่มาเกิดแล้วระลึกชาติหนหลังได้ ซึ่งความทรงจำเก่าๆ เริ่มเกิดขึ้นลางๆ เมื่ออายุ 5 ขวบ และชัดเจนขึ้นเมื่ออายุ 7 ขวบ

    ถ้าจะเปรียบเทียบ คนก่อนที่จะเกิดก็ไม่รู้ตัวว่าจะมาเกิด ถ้าจะเปรียบเทียบกับขณะที่จิตเรามีสมาธิอย่างละเอียด ก่อนที่จิตจะถอนจากสมาธิ จิตจะต้องมีการไหวตัวนิดหนึ่ง แล้วก็ค่อยมีความรู้สึกขึ้นมา แล้วก็ย้อนมาสู่กาย ก็กลายเป็นการเกิด อันนี้ลักษณะของจิตที่เข้าสมาธิอย่างละเอียดจนกระทั่งตัวหาย รูปร่างกายไม่ปรากฏ ยังมีแต่จิตดวงเดียวซึ่งลอยเด่นอยู่เท่านั้น นั่นก็แสดงว่าวิญญาณจิตออกจากร่างไปแล้ว เพราะไม่ได้เกี่ยวพันกับร่างกาย เพราะก่อนที่จะตายจากชาติอื่นๆ โน้น เราก็ไม่ทราบว่าได้เตรียมการอะไร แต่มาเทียบกับจิตที่เข้าสู่สมาธิและออกจากสมาธิพอที่จะเปรียบเทียบกันได้ ว่าก่อนจะตายจิตเป็นอย่างไร มีลักษณะอย่างไร

    ก่อนที่จะตายในสมาธิ จิตจะเข้าสมาธิ พอจิตเข้าสมาธิปั๊บก่อนสมาธิจะเกิด กายเบาจิตเบา กายสงบ จิตสงบ ทีนี้คนที่จะตายนี่ในขณะที่กำลังดิ้นรนกระวนกระวายอยู่นั้น อย่างเดียวเขาก็รู้สึกเพียงแค่ว่าเขาอาจจะตาย แต่เมื่อจะตายจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างสงบ ร่างกายที่ดิ้นรนชักงอก็สงบไป นิ่งเงียบ ในตอนนี้จิตเตรียมที่จะออกจากร่าง แต่ไม่ทราบว่าเขากำลังจะตาย ฉะนั้นในตัวอย่างนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าเขาตาย แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาเกิด ดังนั้นจิตของคนที่จะตายก็มีลักษณะไม่รู้ว่าตัวจะตาย ลักษณะจิตที่จะเกิดก็ไม่รู้ตัวจะเกิด นี่คือลักษณะของคนจะตายหรือคนจะเกิด

    กรณีอย่างบางทีหลวงพ่อพุธ ฐานิโย เวลาจิตสงบเป็นสมาธิ บางที โน่น..! มองเห็นตัวเองแต่งตัวเป็นพระมหากษัตริย์นั่งอยู่บนบัลลังก์โน่น แต่ก็ยังไม่เคยคิดว่าตัวเองเคยเป็นพระมหากษัตริย์มา ใครจะเป็นอะไรมาเกิดมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่าปัจจุบันนี้เราจะเอาดีได้หรือเปล่า เท่านั้นเอง สิ่งที่คนธรรมดาสามัญไม่รู้เห็นด้วยนี่ นักปฏิบัติเขาไม่พูดกัน ถ้าพูดแล้วมันจะหลงติด อ้าว..! ประเดี๋ยวก็สาวๆ คนนี้เคยเป็นลูกเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทีนี้พอเขาเชื่อพระ เขาก็หลงเชื่อว่ามันเป็นจริงอย่างนั้น ก็มาติดพันกับพระเข้า อีกสักหน่อยคุณพ่อกับคุณลูกก็จูงแขนกันลงนรก เพราะฉะนั้นอย่าไปสนใจกับมันเลยเรื่องอดีตชาติ

    ปัจจุบันนี้สำคัญที่สุด เราเกิดมาเป็นพลเมืองของประเทศไทย เราเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ บ้านเมืองเพียงพอหรือยัง อยู่ที่ตรงนี้ เราเกิดมาเป็นลูกพ่อลูกแม่ เราเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่เพียงพอแล้วหรือยัง อยู่ที่ตรงนี้ พระมหากษัตริย์ ผู้ปกครองแผ่นดิน เราไปลบหลู่ดูหมิ่นท่านหรือเปล่า ดูกันที่ตรงนี้ เรามีความเคารพ เราทำราชการมีผู้บังคับบัญชา เราซื่อสัตย์ เคารพระเบียบกฎเกณฑ์วินัยของข้าราชการ หรือเคารพผู้บังคับบัญชาเพียงพอหรือยัง มันอยู่ที่ตรงนี้

    อย่าลืมว่าศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าสอนให้เราสร้างความรักความเมตตาปราณี จุดแรกที่สุดให้สร้างความรักก่อน ทำไมจึงต้องสร้างความรัก คนเรารักกันแล้ว มันจับมือกันช่วยกันสร้างสรรค์ประเทศชาติบ้านเมืองให้เจริญ ในทางคณะสงฆ์ ถ้าคณะสงฆ์มีความรักมีความเมตตาปราณีกัน ก็ร่วมกันทำงานพระศาสนาให้เจริญ เพราะฉะนั้นความรักจึงเป็นยอดปรารถนาของสังคม ทีนี้ในวงการหนึ่งๆ สถาบันหนึ่งๆ ถ้าเราไปรุมเกลียดคนสักคนหนึ่ง หรือคนทั้งหลายต่างคนต่างเกลียดขี้หน้ากัน ชวนกันทำงานมันก็ไม่ร่วมมือกัน ทีนี้สิ่งที่จะได้รับคืออะไร บ้านเมืองล่มจม คณะสงฆ์ต่างคนต่างขัดผลประโยชน์กัน ทะเลาะวิวาทกัน ผลลัพธ์คืออะไร คือศาสนาล่มจม นี่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธเราควรจะคิดให้มากๆ
     
  8. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    จิตที่ฝึกมาดีเหมือนแก้วสารพัดนึก

    ต่อมาไม่นานก็ได้มีพระภิกษุจำนวน 4 รูปเดินทางมาจากวัดหนองมน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งประสบปัญหาต่างๆ มาโดยตลอด พระกลุ่มนี้ก็รู้จักแม่ทาทางจิต จึงได้ถามไถ่ตามหาแม่ทา ค้นหาอยู่ประมาณ 2 เดือน จึงพบพระภิกษุกลุ่มนี้จึงได้มาปรึกษาเรื่องต่างๆ จากแม่ทา เพราะว่าจิตของพระภิกษุกลุ่มนี้ยังไม่สว่างพอรู้เห็นอะไรก็เพียงลางๆ ไม่แจ้งกระจ่าง จึงมาปรึกษากับแม่ทาเพิ่มเติม แม่ทาก็ได้แนะนำอุบายให้รีบเร่งฝึกสตินี้สัก 9 คืน แล้วแผ่เมตตาให้มากๆ แล้วมันจะใสรู้วิธีแก้ปัญหา พระกลุ่มนั้นจึงเดินทางกลับไปฝึกตามอุบายที่แม่ทาแนะนำ ต่อมาจึงได้ส่งจดหมายแจ้งข่าวแก่แม่ทาโดยมีครูหอมหวล เรืองยศ อ่านให้แม่ทาฟังเพราะแม่ทาอ่านหนังสือไม่ออก ปรากฏว่าผลในการฝึกจิตดีขึ้น การก่อสร้างวัดวาก็สะดวกราบรื่นขึ้น ต่อมาพระกลุ่มนั้นก็แนะนำพระภิกษุในแถบนั้นๆ ให้มาปรึกษากับแม่ทา หากเกิดสภาวะจิตติดข้องในสิ่งใด ไม่รู้จะแก้ด้วยอุบายธรรมอย่างไร

    ต่อมาก็เริ่มมีฆราวาสหลั่งไหลมาปรึกษาเรื่องต่างๆ กับแม่ทา บ้างก็มาขอให้แม่ทาอธิษฐานจิตช่วยในเรื่องต่างๆ เป็นจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต่อมามีพระภิกษุรูปหนึ่งอยู่ในวัยชรามากแล้ว พำนักอยู่วัดใกล้ๆ กับหลวงพ่อมหาบุญทัน ปัญญทัตโต แห่งวัดป่าสามัคคีสันติธรรม หลวงปู่รูปนั้นป่วยไม่สบายอย่างเรื้อรัง รักษาเท่าไรก็ไม่หาย ตัวท่านหลวงพ่อบุญทันเองก็ช่วยใช้จิตรักษาให้แต่ก็ไม่หาย ท่านหลวงพ่อบุญทันจึงได้มาพิจารณาถึงบุพกรรมทางจิตก็ทราบว่าพระรูปนี้มีทางรักษาหายได้ และได้ทราบว่าแม่ทานี้พอที่จะใช้จิตรักษาให้หายได้ จากนั้นหลวงพ่อบุญทัน ปุญญทัตโตจึงส่งกระแสจิตมาหาแม่ทาที่บ้านหนองไศล แล้วได้คุยกันทางจิตกับแม่ทาว่า "อาตมาดูแล้วทำอย่างไร ทำทุกทางแล้ว อาตมาก็แรงไม่ถึงเพราะว่าดวงวาสนาของอาตมากับผู้นี้ไม่ได้ค้ำจุนกันมา ให้แม่ทารีบรักษาให้หายเด้อ" จิตแม่ทาตอบหลวงพ่อบุญทันไปว่า "โอ้ย ไม่รู้ว่าจะหายหรือไม่หายหรอกหลวงตา แต่ว่าดิฉันจะทำได้ตามเท่าแรง(จิตอำนาจ) ของผู้ข่านะ เพราะหลวงตาสั่งมาก็จะรับไว้"

    หลังจากที่แม่ทาทราบข่าวจากการได้สนทนาทางจิตกับหลวงพ่อบุญทันแล้ว ก็ปรากฏว่ามีลูกของหลวงพ่อปู่นั้น ขับรถมาหาแม่ทาที่บ้านตามคำแนะนำของหลวงพ่อบุญทันแล้วได้เล่าเรื่องต่างๆ ให้แม่ทาฟังว่า "ไปโรงพยาบาลเขาให้เวลาแค่ 6 เดือนเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่ได้ จะทำอย่างไร ไปหาก็หลายหมอแล้ว อยากให้หลวงพ่อหายเป็นปกติทำอย่างไร?" แม่ทาก็ตอบว่า "ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ฉันไม่รู้ซักอย่าง" ลูกของพระรูปนั้นก็บอกว่า "ไม่รู้ล่ะอย่างไร หลวงพ่อบุญทันน่ะท่านบอกให้มา" แม่ทาถามกลับว่า "ทำไมถึงว่าอย่างนั้น หลวงตาบุญทันท่านทำไมไม่รักษากับท่าน "ท่านก็บอกให้มาหาแม่ทานี้แหละ" แม่ทาตอบ "โอ้ มาหาแม่ทาแล้ว แม่ทาก็ไม่รู้จักอะไรเลยอ่านหนังสือไม่ได้แต่ว่าข่อย (ฉัน) จะลองดู ข่อยจะลองเท่าที่จะช่วยได้ ข่อยก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรให้พวกเจ้าเขียนชื่อไว้ในกระดาษนี้นะ" ต่อมาแม่ทาก็ได้ใช้จิตเพ่งไปที่กระดาษแผ่นนั้นเพราะอ่านหนังสือไม่ออก แม่ทาได้แต่เพ่งดูก็เห็นนิมิตขึ้นในจิตว่า หลวงปู่รูปนั้นกำลังนอนป่วยอยู่ แล้วแม่ทาก็เห็นแสงรัศมีบารมีธรรมฉายขึ้นปรากฏเป็นรูปร่างคุณธรรม หลวงปู่มั่นเดินขึ้นมา ท่านคุณธรรมหลวงปู่มั่นได้เข้ามาสอนถึงวิธีการใช้อำนาจพลังจิตมาช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้คน นำพลังจิตมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อมวลชน นิมิตของพระรูปนั้นที่นอนป่วยอยู่คุณธรรมหลวงปู่มั่นก็ได้ชี้ลงไป แม่ทาก็เห็นเป็นตัวเลขสีแดง จิตก็ทราบว่าเป็นดี พิจารณาเพ่งลงไปในกายของหลวงปู่รูปนี้ไล่ลงมาก็เห็นตัวซ้อนกันดี มองลงมาที่ตับก็เห็นตับอ่อนซึ่งผิดปกติคือมันแข็งตัว ท่านคุณธรรมหลวงปู่มั่นจึงใช้พลังอธิษฐาน (สวด) ให้ตับนั้นก็ค่อยๆอ่อนตัว จิตแม่ทาก็เพ่งดูโดยละเอียด เห็นตับหลวงปู่รูปนั้นอย่างละเอียด ท่านคุณธรรมหลวงปู่มั่นจึงว่าตับมันปกติดี ถ้าปกติดีให้ไปรักษาทางดี ตรวงดูแล้วปรากฏว่าถุงน้ำดีต้องสวด (อธิษฐานใช้จิต) ขอให้เซลล์น้ำเยื่อในถุงน้ำดีไหลลงมา สวดให้ตัวนี้มาเลี้ยงกัน เส้นที่ดีไปเลี้ยงเส้นที่ไม่ดี ปรากฏว่าอาการป่วยของหลวงปู่รูปนั้นก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นจิตของหลวงพ่อบุญทันก็ได้มาพูดกับแม่ทา "คราวนี้ไม่ตายหรอก ดีแล้ว" ต่อมาหลวงปู่รูปนั้นก็ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ก็ปรากฏว่าหายเป็นปกติดี

    ต่อมาญาติโยมที่ไปหาหลวงพ่อบุญทันท่านก็จะแนะนำให้มาหาแม่ทาตลอดจนผู้คนต่างๆ เริ่มหลั่งไหลพากันมาหาแม่ทากันมากขึ้น แม่ทาจึงกราบเรียนท่านคุณธรรมหลวงปู่มั่นว่า "หลวงปู่ ทำไมดิฉันจะต้องรับแขกทำไมถึงมากแท้" คุณธรรมหลวงปู่มั่นก็บอกว่า "เพียงเท่านี้มันยังไม่หลายนะ ต้องรักษาใจของเจ้าของเป็นมา รักษาเจ้าของเท่าใด" แม่ทาก็ได้มาพิจารณาเห็นผู้คนต่างๆ เข้ามาหามาก ก็เลยนึกถึงตัวเองในครั้งที่ป่วย เมื่อก่อนตัวเองไม่มีแรง ก็เอาตัวนี้รักษาจิตใจถึงได้เกิดมีแรงเปลี่ยนใจตั้งหลักใหม่ คราวนี้ก็ต้องรับใช้เป็นกรรมสบาย จิตแม่ทาก็ผุดตอบตัวเอง

    ผู้คนต่างๆ ที่เข้ามาหาแม่ทาก็จะถามกันว่าค่าครูเท่าใด แม่ทาฝึกจิตใจตนเองด้วยสติอยู่กับพุทโธจนเกิดอำนาจจิตพิเศษอัศจรรย์มิได้เพื่อเรียกร้องสิ่งใดจากใคร จึงได้บอกผู้คนเหล่านั้นว่า "มันก็ไม่ได้ว่าไว้ว่าค่าบูชาดิฉันจะเอากับกับพวกท่านเท่านั้น เท่านี้ แล้วแต่พวกท่านจะให้ พวกท่านไม่ให้ดิฉันก็ไม่ได้เรียกร้องใดๆ เพราะมันตรงกับเจตนาที่พวกท่านตั้งใจมา ดิฉันไม่ได้ไปเรียกร้องให้พวกท่านมาวันนั้นวันนี้พรุ่งนี้ให้พวกท่านมาหาดิฉันนะก็ไม่ได้พูด ดิฉันก็อยู่เฉยๆ เป็นเรื่องของพวกท่าน" แต่ถ้ามาปรึกษาแม่ทาแล้วก็จะช่วยเต็มที่เท่าที่บุญกุศลบุพกรรมจะมีต่อกันสงเคราะห์กันได้

    คุณธรรมหลวงปู่มั่นสอนวิธีต่างๆ ให้แม่ทาทราบจนละเอียด ต่อมาท่านคุณธรรมหลวงปู่มั่นจะให้แม่ทาดำเนินการใช้จิตตัวเอง ต่อมามีผู้หนึ่งเป็นผู้ชายมีอาการปวดหัวรักษาเท่าใดก็ไม่หายจึงได้มาหาให้แม่ทาช่วย พอเขาจดชื่อนามสกุลให้ แม่ทาก็ใช้จิตเพ่งดูปรากฏเป็นภาพนิมิตออกมาให้ทราบว่าเส้นเลือดในสมองของชายผู้นั้นไปเลี้ยงกันไม่ได้ เส้นเลือดฝอยเล็กๆ จับรวมกันทำให้เดินไม่สะดวกเป็นฝุ่นขาวๆ เข้าไปอยู่ในเส้นเลือดฝอยนั้นเป็นจำนวนมากมาย แพทย์ตรวจแล้วก็บอกว่าหากไม่รักษาเนื้องอกในสมองจะกลายเป็นมะเร็ง คุณธรรมหลวงปู่มั่นก็ได้มาชี้แนะให้เอาเส้นเลือดใหญ่ไปเลี้ยงเส้นเลือดฝอย อาการต่างๆก็ดีขึ้น แล้วแม่ทาจึงแนะนำผู้นั้นไปว่า "ถ้าหายปวดนี้เจ้าต้องเอาจิตใจยกไว้สูงนะ ข่อยพูดอย่างนี้รู้ไหม" แม่ทาถาม ชายผู้นั้นก็บอกไม่รู้ แม่ทาจึงได้บอกว่า "เจ้าก็เอาพุท-โธนี่เด้อ ข่อยจะบอกเจ้าเอาพุท-โธ" ชายผู้นี้ก็ได้นำองค์บริกรรมไปปฏิบัติได้ระยะหนึ่ง แต่ไม่เป็นว่าเกิดอะไรขึ้นทางจิต มีเพียงแต่อาการทางกายดีขึ้น จึงหยุดบริกรรมทำให้โรคนี้เกิดกลับมาเป็นอีก มีอาการปวดหัวอย่างแรง ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้กลับไปหาแม่ทาให้ช่วยอีกครั้ง

    แม่ทาจึงบอกว่า "แก้ไขไม่ได้หรอก ถึงคราวตายแล้วกลับไปซะ ข่อยจะพูดตรงๆ เลยช่วยไม่ได้ รักษาไม่หายหรอก เตรียมตัวเถอะ 2 วันเท่านั้น" เนื่องจากเหตุที่ว่าแม่ทาได้ไปบำเพ็ญองค์บริกรรมพุท-โธ เพื่อเพิ่มกำลังจิตให้ตนเอง แต่ทำได้ไม่ตลอดทาง แม่ทาก็อธิษฐานจิตช่วย แต่ชายผู้นั้นก็ท้อแท้เพราะไม่รู้ไม่เห็น โรคนี้จึงกลับมากำเริบอีกเพราะอำนาจจิตไม่สามารถคุมโรคตัวนี้ได้ จึงไปให้แพทย์รักษาอีกครั้ง แพทย์ก็บอกว่า "เป็นมะเร็ง รักษาไม่หาย" ชายผู้นั้นเพิ่งปฏิบัติได้แค่ 2 เดือน ปรากฏว่า อีก 2 วันต่อมาชายผู้นี้ก็ได้ตายจริงๆ เมื่อแม่ทารู้เห็นสิ่งต่างๆในจิตอย่างไรก็จะพูดออกไปอย่างนั้น คุณธรรมหลวงปู่มั่นจึงมาแนะนำว่าไม่ควรพูดอย่างนั้น ควรรักษาหรือหาทางรักษาต่อไป ถ้ารักษาไม่หายก็แล้วไปแต่อย่าไปพูดตรงๆ อย่างนั้น
     
  9. ปุ้ย(Matiya)

    ปุ้ย(Matiya) Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +40
     
  10. ปุ้ย(Matiya)

    ปุ้ย(Matiya) Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +40
     
  11. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    อนุโมทนาบุญครับ สาธุ สาธุ

    บุญบารมีและปาติหารณ์ ย่อมมาคู่กันครับ

    [​IMG] อนุโมทามิ
     
  12. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    สามีในอดีตชาติเกิดเป็นเทพ มาเป็นคู่ครองในกายทิพย์
    <O:p</O:p
    ร.ต.ต. นิยม เรืองยศ เล่าต่อไปว่าแม่ทาจะเข้าวสีดูวิบากกรรมของแต่ละคน
     
  13. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    พิจารณากามราคะตัดกระแสแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
    <O:p</O:p
    ในช่วงปีที่ 7-9 ท่านคุณธรรมหลวงปู่มั่นท่านมาอบรมธรรมต่างๆ ให้แม่ทา ท่านก็ได้กล่าวว่าอายุขัยของแม่ทานี้จะอยู่ได้เพียง 42 ปี ถ้าจะให้ได้อยู่ยืนก็ต้องเร่งบำเพ็ญเพียรทางจิตให้หนักขึ้น แม่ทาก็นำมาฝึกฝนใช้อุบายกรรมต่างๆ โดยเน้นหนักไปในด้านอดหลับอดนอน เพียรเร่งสติให้แก่กล้า แล้วนำพลังจิตมาสงเคราะห์ผู้คนในด้านต่างๆ ก็จะทำให้บุญกุศลของแม่ทาเพิ่มขึ้น สามารถมีอายุยืนต่อไปได้ แม่ทาก็เร่งฝึกบำเพ็ญมาจนรู้จักจิตของตนว่าเป็นอย่างไร จิตมีแต่เมตตาสงสารอยากเห็นผู้คนมีสุข จากนั้นจิตที่ถูกโลภะ โทสะ โมหะ ครอบงำก็ค่อยละลดลงไปตามลำดับ จิตได้บรรลุธรรมในขั้นสูงขึ้น อายุขัยของแม่ทาก็ยืดยาวออกไป ในช่วงนั้นแม่ทามีอายุได้ประมาณ 42 ปี (ปัจจุบันอายุ 54 ปี พ.ศ.2544) หลังจากที่ได้พิจารณาร่างกายจนจิตขาดความยึดมั่นถือมั่นในกายตนแล้ว ก็เฝ้าเพียรระวังรักษาจิตของตนอยู่กับสติ พุท-โธ ตลอด ควบคู่กับปัญญาที่หนุนนำส่งให้ได้พิจารณาจะเพ่งมองร่างกายของตนก็เห็นเด่นชัดในอวัยวะทุกส่วนสัด รู้เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นอสุภะจิตคลายความยึดมั่นลง แต่ตัวกามราคะนี่ที่เป็นตัว เทียวเอาภพเอาชาติมาให้มนุษย์และสัตว์ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบสิ้น
    <O:p</O:p
    แม่ทาจึงได้ปัญญาสู่การพิจารณากามราคะ จึงไดกำหนดจิตดูสามีคือพ่อบุญเหลือ สามีคู่ทุกข์คู่ยากผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนกันมาตลอด เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ได้สามีคอยดูแลสารพัดอย่าง จิตจึงเกิดความผูกพันห่วงในตัวสามี แม่ทาจึงได้กำหนดจิตดูสามี ก็เห็นสามีหลับอยู่ จิตของแม่ทาในขณะนั้นเกิดความวิตกห่วงว่าสามีจะไปมีภรรยาใหม่ จิตเกิดความหึงหวงอาลัยอาวรณ์จึงได้เร่งเพียรสติปัญญากำหนดดูขันธ์ 5 ในร่างกายของสามี จิตก็รู้เห็นเป็นจริงว่า ธาตุขันธ์ร่างกายของเราของเขาก็เป็นเพียงสมมติเกิดขึ้น แตกดับสลายไปตามธรรมชาติ จิตที่ถามตนเองว่า
     
  14. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    พระบรมสารีริกธาตุเสด็จ
    <O:p</O:p
    วันวิสาขบูชานั้น คุณภักดีภูริและแฟนได้พากันไปนอนที่บ้านแม่ทา ในขณะเวลานั้นคุณภักดีภูริเล่าว่าแม่ทากำลังนั่งตำหมากอยู่ ทางด้านคุณภักดีภูริกับแฟนกับลูกศิษย์ก็กำลังนั่งสนทนากันอยู่ สักพักแม่ทาก็เห็นแสงสว่างขาวนวลพุ่งแวบลงไปในตลับยาเส้น แม่ทาจึงพูดบอกคุณภักดีภูริว่า
     
  15. monsodsai

    monsodsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +570
    จะหาซื้อหนังสือนี้ได้จากที่ไหนคะ อ่านแล้วพิจารณาตามตลอด เพลิดเพลินมากค่ะ
     
  16. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    กราบพระอริยะสงฆ์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    <O:p</O:p
    ในปีนั้นซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดของพระเดชพระคุณท่านหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี แห่งวัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย คราวนั้นเป็นครั้งแรกที่แม่ทาได้มีโอกาสไปกราบนมัสการหลวงปู่เทสก์ ได้นำข้าวสาร 1 กระสอบ พร้อมถ่านฟืน ธูป เทียน สังฆทาน และบาตร 1 ลูก นำไปร่วมทำบุญและก็ตั้งใจอีกว่าอีก 2 วัน ถึงจะเข้าไปกราบหลวงปู่เทสก์ เพราะคนแน่นมาก ไม่อยากเข้าไปเบียดคน พอดีกับช่วงนั้นเป็นเวลาเที่ยงวันเป็นเวลาที่หลวงปู่เทสก์พักผ่อน จึงให้ญาติโยมออกมานอกศาลากุฏิ แม่ทาก็รำพึงว่า
     
  17. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    หลวงปู่เทสก์อาพาธหนัก สั่งแม่ทาเข้าพบ
    <O:p</O:p
    ในคืนนั้นขณะแม่ทานั่งบำเพ็ญอยู่ที่บ้านก็ได้ปรากฏเห็นจิตกายทิพย์ของท่านหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เข้ามาหาแม่ทา
     
  18. APIRAT

    APIRAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2006
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +3,220
    เหตุที่ผมต้องไปกราบและทอดกฐินกับแม่ทาเกือบทุกปี

    ผมได้ติดตามเรื่องการปฏิบัติของแม่ทามานาน เริ่มจากที่ลงในหนังสือโลกทิพย์ หรือโลกลี้ลับไม่แน่ใจ จากการเผยแพร่ของคุณโจ เนื่องจากปฐมเหตุศรัทธาการปฏิบัติของผมในพระสายหลวงปู่มั่นนั่นเอง เมื่อประมาณปี 42 ถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นผมก็อยากไปกราบท่านที่บ้าน อ.หนองฮี แต่ที่บ้านแม่ทายังไม่มีโทรศัพย์ ทางก็เป็นลูกรัง ผมก็สวดมนต์แล้วนั่งสมาธิแล้วก็เอารูปแม่ทา มาเพ่ง บอกท่านในใจว่าพรุ่งนี้ลูกจะไปกราบ ถ้าท่านรับรู้ขอให้ได้พบด้วย ตื่นเช้าผมขับรถจากนครราชสีมาไปคนเดียว กว่าจะถึงก็เกือบบ่าย เพราะไม่เคยไป ดูแผนที่จากหนังสือเอาเอง เมื่อไปถึงบ้านแม่ทา ก็เงียบเชียบมาก ก็เดินหาในบ้านแต่ไม่เจอใคร จึงคิดว่าเราคงไม่มีวาสนา แต่ก็เอะใจว่ามีเสียงเด็กอยู่ในสวนหลวงบ้านจึงเดินไปดู ได้พบแม่ทาเลี้ยงหลานอยู่ ท่านก็ทักผมว่า "ทีแรกแม่ว่าซิไปยโสธร ก็เลยท่าอยู่" (หมายถึงว่าแม่ทาตั้งใจจะไปยโสธรวันนั้น แต่ท่านก็รอผมอยู่) ผมก็สะดุ้งในใจว่าท่านไม่ธรรมดาเลย เพิ่งเจอครั้งแรกก็บอกภูมิธรรมของท่านให้รับรู้เลยทีเดียว
    จากนั้นเวลาผมมีอะไรอยากจะถามท่าน ก็จะได้คำตอบเสมอท่านเป็นกันเองมากจนต้องเกรงใจ ท่านจะแนะนำเรื่องการปฏิบัติ และสงเคราะห์ผู้คนแม้คนป่วยนอนอยู่ รพ ศิริราช ไปถามท่านเพียงเขียนชื่อนามสกุลท่านก็บอกได้ว่าเป็นกรรมอะไร ต้องแก้อย่างไร อย่างรายนี้ท่านบอกว่ากรรมหนักต้องไถ่ชีวิตโคกระบือ ไถ่ถอน มีวันหนึ่งผมเอาพระผงพุทธชินราช ภปร ไปให้ท่านอธิษฐานจิตซ้ำให้พอท่านรับไป ท่านก็บอกเลยว่า "เขาทำพิธีแล้ว" แต่ท่านก็อธิษฐานจิตให้ด้งยความเมตตา ครับ ตอนนี้ท่านสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมอยู่ สร้างศาลาใกล้เสร็จแล้วเพราะแรงศรัทธาของลูกศิษย์ที่ไปช่วยกันทุกปี ไปกราบแม่ทา เหมือนได้กราบหลวงปู่มั่น และได้ทำบุญกับหลวงปู่มั่นเลยทีเดียวครับ
     
  19. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    สงเคราะห์มวลชนด้วยอำนาจจิตกุศล
    <O:p</O:p
    หากจะเล่าถึงอำนาจจิตที่แม่ทาได้นำฝึกปฏิบัติมาแล้วอธิษฐานจิตช่วยผู้คนต่างๆ นั้นมีเป็นจำนวนมากมายหลายท่าน แต่การสงเคราะห์ช่วยเหลือเป็นการช่วยได้เพียงบางครั้งบางคราว ไม่ยั่งยืนเพราะสิ่งใดๆในโลกนี้ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะมีเพียงอย่างเดียวที่ยั่งยืนคือจิตที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสทั้งปวง จิตแท้ วิสุทธิจิต หากผู้ใดปฏิบัติได้เข้าถึงความสุขสงบย่อมมีตลอดไปแก่จิตใจดวงนั้น...
    <O:p</O:p
    ครั้งหนึ่งอดีตนายกฯ ผู้หนึ่งได้มาปรึกษาแม่ทาว่า
     
  20. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    สัมผัสหลวงปู่เทพโลกอุดร อมตะสงฆ์ผู้ยืนยง
    <O:p</O:p
    ครั้งหนึ่งแม่ทาพร้อมคณะศิษย์อันมีครูหอมหวน เรืองยศ ปัจจุบันเป็นอาจารย์อยู่ที่โรงเรียนบ้านหนองไศล กิ่ง อ.หนองฮี จ.ร้อยเอ็ด เป็นผู้ขับรถยนต์พาแม่ทาไปเยี่ยมหลวงตาทวีที่วัดภูเรือไก่ จ.อำนาจเจริญ ปีนั้นประมาณปี พ.ศ.2537 ขณะที่ขับรถไปตามถนนลาดยางจนเข้าสู่ถนนลูกรังก็ได้เห็นน้ำท่วมเจิ่งนองสูงประมาณหน้าแข้ง พอดีในขณะนั้นมีพระภิกษุรูปหนึ่ง มีศีรษะโหนกแบน รูปหน้ายาว ผิวดำแดง รูปร่างสูงโปร่ง เดินสะพายบาตรและกลด ท่านเดินผ่านน้ำไป แม่ทาขณะที่กำลังนั่งอยู่ในรถก็รำพึงว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...