ศีลและปัญญาเท่านั้นเป็นเลิศในโลก พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย คนหลงเงา, 26 กันยายน 2011.

  1. คนหลงเงา

    คนหลงเงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +541
    ศีลและปัญญาเท่านั้นเป็นเลิศในโลก

    พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
    <O:p</O:p
    ......................................
    <O:p</O:p
    ข้อมูลนี้นำมาจาก<O:p</O:p
    หนังสือธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๒<O:p</O:p
    รวบรวม โดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p</O:p
    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกๆท่านครับ
    <O:p</O:p
    ....................................
    <O:p</O:p

    ศีลและปัญญา

    เท่านั้นเป็นเลิศในโลก

    (รวบรวม โดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน)<O:p</O:p






    <O:p</O:p



    <O:p</O:p
    สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ทรงตรัสไว้ดังนี้
    <O:p</O:p
    ๑. ปัญญาอบรมศีลให้บริสุทธิ์ ศีลอบรมปัญญาให้บริสุทธิ์ ศีลต้องอาศัยปัญญา ปัญญาต้องอาศัยศีล ศีลและปัญญาเป็นของคู่กัน ศีลและปัญญาเท่านั้นเป็นเลิศในโลก
    <O:p</O:p
    ๒. “ปัญญาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นโดยการถาม (ปุจฉา) ตอบ (วิสัชนา) ภายในใจของตน (อย่าไปยุ่งกับกายและใจของผู้อื่น) โดยใช้หลักอริยสัจเป็นหลักสำคัญในการแก้ปัญหา (ทั้งทางโลกและทางธรรม) อริยสัจ แปลว่าความจริงที่พระองค์ทรงพบด้วยพระองค์เอง เมื่อพบความจริงแล้ว ให้ยอมรับนับถือความจริงนั้น ๆ อย่างจริงใจและด้วยความเคารพ หมายถึงให้ปฏิบัติตามนั้นด้วย เพราะจะเป็นหนทางที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ในที่สุด พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ต่างก็บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้ด้วยอริยสัจ และพระสาวกของพระองค์ทุกองค์ต่างก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ด้วยอริยสัจทั้งสิ้น มีทางนี้ทางเดียว ทางอื่นไม่มี
    <O:p</O:p
    ๓. พระพุทธองค์ทรงตรัสยกย่องศีลไว้มากมาย ดังตัวอย่างเช่น
    <O:p</O:p
    ๓.๑ ศีลเป็นมารดา (แม่) ของพระพุทธศาสนา<O:p</O:p
    ๓.๒ ศีลเป็นมารดา (แม่) ของพระธรรม<O:p</O:p
    ๓.๓ ศีลเป็นรากฐานที่จะรองรับพระธรรมในพุทธศาสนา<O:p</O:p
    ๓.๔ การบวชเป็นพระภิกษุ จะต้องรับศีลจากพระอุปัชฌาย์ก่อนทุกองค์ แม้พวกอุบาสก-อุบาสิกาจะเข้าสู่พระพุทธศาสนา พระท่านก็ให้ศีลก่อนทั้งสิ้น<O:p</O:p
    ๓.๕ การปฏิบัติพระกรรมฐาน และพิธีกรรมต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนาก็ต้องอาราธนาศีลก่อนทั้งสิ้น<O:p</O:p
    ๓.๖ ในพระไตรปิฎก ก็เริ่มต้นด้วยศีล ( คือ พระวินัยมีรายละเอียดอยู่มากถึง ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์)
    <O:p</O:p
    ๔. เรื่องขอศีลที่หลวงพ่อฤๅษี (พระราชพรหมยานมหาเถระ) ท่านสอนลูกศิษย์ไว้มาก ซึ่งพิมพ์ลงในหนังสือธัมมวิโมกข์หลายเล่ม หลายตอน จะขอรวบรวมไว้ในตอนหลัง
    <O:p</O:p
    ๕. ตัวอย่างที่ทรงเน้นถึงความสำคัญของศีลในพระสูตร
    <O:p</O:p
    ก) เรื่องโจร ๕๐๐ มีความโดยย่อดังนี้
    <O:p</O:p
    โจร ๕๐๐ ปล้นฆ่าเป็นอาจิณ หนีการตามจับของทางการมาเจอพระรูปหนึ่งกำลังจงกรมอยู่ในป่า ก็เข้าไปขอพระรูปนั้นเป็นที่พึ่ง เพราะพวกตนกำลังถูกตามฆ่าจากทางการ พระรูปนั้นกล่าวว่า“ที่พึ่งอื่นใดนั้นไม่มี ที่จะพึ่งได้นั้นมีแต่ศีลเท่านั้น” เมื่อพวกโจรเกิดศรัทธา คือ เชื่อท่านโดยยอมปฏิบัติตามที่ท่านแนะนำ ท่านก็ให้ศีลและเน้นความสำคัญว่า “จงรักษาศีลด้วยชีวิต แม้ตัวจะตายก็จงอย่าคิดละเมิดศีล” คือท่านเน้นศีลชั้นละเอียดถึงมโนกรรมก็ต้องบริสุทธิ์ ที่สุดโจร ๕๐๐ ก็ถูกจับและถูกฆ่าตายหมด โจรทั้ง ๕๐๐ ไม่แม้แต่จะต่อสู้ ไม่ร้องขอชีวิต จิตไม่คิดอาฆาต-พยาบาท และจองเวรแต่อย่างใด เมื่อกายตายจิตก็ไปจุติ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทวโลก เพราะอานิสงฆ์ของศีล ตั้งใจรักษาศีลอย่างเคร่งครัดในพุทธันดรนี้ เทวดาทั้ง ๕๐๐ องค์ ก็ลงมาเกิดเป็นลูกชาวประมงได้พบพระสารีบุตร เกิดศรัทธาขอบวชกับท่าน และในที่สุดก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ องค์
    <O:p</O:p
    ข) เรื่อง พระนางสามาวดีและคณะ ๕๐๐ มีความโดยย่อที่เกี่ยวกับศีลดังนี้
    <O:p</O:p
    พระนางสามาวดีและบริวาร ๕๐๐ ได้ฟังเทศน์จาก นางขุดฉุตรา ซึ่งเป็นพระโสดาบัน เพราะได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเพียงครั้งเดียว ก็บรรลุมีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน เมื่อนางมาเทศน์ให้พระนางสามาวดีและบริวารอีก ๕๐๐ ฟัง ฟังเพียงครั้งเดียวก็มีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันทั้งหมด เมื่อกรรมที่เป็นอกุศลให้ผลกับพระนางและคณะ ถูกพระนางมาคัณทิยากับญาติวางแผนวางเพลิงพระตำหนักที่พัก โดยปิดทางออกไว้ทั้งหมด จนถูกไฟครอกตายทั้งหมด ก่อนจะตายพระนางสามาวดีสั่งให้บริวารทั้งหมดทำจิตให้สงบและบริสุทธิ์ถึงขั้นมโนกรรม คือ ให้อภัยทาน-ไม่โกรธ-ไม่พยาบาท อาฆาตและจองเวรในพระนางมาคัณทิยาและญาติแต่อย่างใด เมื่อกายตายจิตก็ไปจุติ ณ สวรรค์ ทุกคน
    <O:p</O:p
    : วิจารณ์ หรือธัมมวิจยะ เรื่องโจร ๕๐๐
    <O:p</O:p
    ก) ก่อนจะตายมีมรณานุสสติ และยอมรับว่าคนเราเกิดมาแล้วต้องตาย แต่ขอตายอย่างผู้มีปัญญา (ฉลาด) คือ เอาศีลเป็นที่พึ่ง (ศีล คือพระธรรมหรือเป็นมารดาของพระธรรมในพุทธศาสนา)
    <O:p</O:p
    ข) จิตมั่นคงในพระรัตนตรัย ไม่สงสัยในพระธรรม (ศีล) และคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    <O:p</O:p
    ค) มีศีล ๕ บริสุทธิ์ ขั้นมโนกรรม ซึ่งเป็นศีลขั้นที่ ๓
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ศีลมี ๓ ขั้น
    <O:p</O:p
    ขั้นที่ ๑ ไม่เอากายไปกระทำผิดศีล พวกนี้ตายแล้วไม่ตกนรก แต่ยังต้องเกิดอีก ๗ ชาติ จึงจะไปพระนิพพานได้
    <O:p</O:p
    ขั้นที่ ๒ ปากไม่พูดให้ผู้อื่นกระทำผิดศีลเพื่อตน ตายแล้วต้องเกิดอีก ๓ ชาติ จึงจะไปพระนิพพานได้
    <O:p</O:p
    ขั้นที่ ๓ จิตไม่ยินดีด้วยเมื่อเห็นผู้อื่นกระทำผิดศีล ตายแล้วต้องเกิดอีก ๑ ชาติ จึงจะไปพระนิพพานได้
    <O:p</O:p
    ผล โจรทั้ง ๕๐๐ จึงไม่ตกนรก เพราะมีศีลละเอียดขั้นที่ ๓ เทียบเท่ากับพระโสดาบันขั้นที่ ๓ หรือขั้นละเอียด หรือเป็นพระสกิทาคามี เมื่อลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพียงชาติเดียวก็พบพระสารีบุตร ขอบวช ฟังเทศน์จากพระสารีบุตร ก็จบกิจในพุทธศาสนาเป็นพระอรหันต์ทุกองค์
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เรื่อง พระนางสามาวดี และคณะ ๕๐๐ ก็เช่นกัน
    <O:p</O:p
    ทุกท่านเป็นพระโสดาบันอยู่แล้ว แต่ก่อนตายทุกท่านก็ยอมรับความจริงเรื่องคนเราเกิดมาแล้วต้องตาย ไม่มีใครหนีความตายไปได้ จิตของทุกท่านมั่นคงในพระรัตนตรัย ศีล ๕ ข้อของทุกท่านเต็มขั้นมโนกรรมทุกท่าน ทุกท่านให้อภัยทานแก่ผู้ที่มาปองร้ายหมายเอาชีวิตโดยการใช้ไฟครอกให้ตาย จิตทุกท่านไม่โกรธ ไม่พยาบาท อาฆาตและจองเวรแต่อย่างใด เมื่อกายตายจิตจึงไปจุติ ณ แดนสวรรค์ ซึ่ง มิได้กล่าวไว้ชัดว่าชั้นใด แต่ความดีขนาดนี้ ควรจะไปชั้นสูง ๆ อย่างแน่นอน ธัมมวิจยะ หรือการยกธรรมะขึ้นมาพิจารณาเป็นตัวทำให้เกิดปัญญา หากใครไม่ปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงชี้แนะ ปัญญาก็ไม่เกิด
    <O:p</O:p
    ๖. พระองค์ทรงตรัสเรื่องมูลเหตุของศีล ได้ดังนี้
    <O:p</O:p
    ๖.๑ " ศีลทุกข้อมีมูลเหตุ คือ การมีกิเลส การเกิดกิเลสของแต่ละประเภท ทำให้จิตที่ถูกครอบงำแล้วเกิดอุปาทาน ทำไปตามกิเลสนั้น สร้างกรรมให้เกิดไปตามกิเลส ไม่ว่าทางมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม "
    <O:p</O:p
    ๖.๒ " จงจำไว้ว่า กรรมที่เกิดแม้แต่มโนกรรมก็เป็นกรรม ผู้ที่บริสุทธิ์จะบริสุทธิ์แม้แต่มโนกรรม มโนกรรมนั้นจะไม่เบียดเบียนใคร ไม่เบียดเบียนแม้แต่ตนเอง จึงไม่มีทางจะเบียดเบียนผู้อื่นได้เลย "
    <O:p</O:p
    ๖.๓ " เมื่อกิเลสทำให้เกิดอาบัติ การบัญญัติศีลจึงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำซึ่งอาบัตินั้น ศีลจึงเป็นข้อห้ามที่ตถาคตห้ามไม่ให้สาวกของตถาคตทำชั่วในอาบัตินั้น ๆ "
    <O:p</O:p
    ๖.๔ " การไม่ละเมิดศีล แต่ไม่ได้เจตนารักษาศีล ก็ไม่ได้ชื่อว่ามีศีล ดูตัวอย่างท่านอนันทเศรษฐี ศีลไม่ละเมิด แต่ไม่ได้รักษาศีล ทานก็ไม่ให้ ท่านไม่ได้ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่มุสา ไม่ดื่มสุราเมรัย กรรมชั่วไม่ได้ทำ ก็เลยไม่ตกนรก แต่ในขณะเดียวกัน ไม่รักษาศีล ไม่ให้ทาน จึงไม่มีกรรมดี ทำให้ไม่มีอานิสงส์ที่จะนำไปเกิดยังสวรรค์ได้ ลงท้ายก็ต้องไปเกิดเป็นคนที่ไม่มีบุญ ไม่มีทาน ไม่มีศีล คนที่ไม่มีบุญก็ไปสู่สถานที่คือกลุ่มขอทาน ไม่มีทานก็ทำให้ไม่ได้รับทานคือการให้ เพียงเข้าปฏิสนธิในครรภ์มารดาเท่านั้น มารดาและคนกลุ่มนั้นพลอยไม่มีใครให้ทานด้วย ความที่เป็นคนไม่มีศีล พอเกิดมารูปจึงไม่สวย มีสภาพเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น "
    <O:p</O:p
    ๖.๕ "คนที่รู้ศีล แต่ไม่ยอมรักษาศีล ก็ไม่ต่างจากคนที่ไม่ละเมิดศีล แต่ไม่รักษาศีล"
    <O:p</O:p
    ทรงตรัสถามปุจฉา “แล้วตถาคตบัญญัติศีลเพื่อใคร
    <O:p</O:p
    วิสัชนา ก่อนจะตอบ ผู้ตอบนึกถึงท่านพระสุรจิต (ท่านพระครูสังฆรักษ์ สุรจิต สุรจิตโต)ซึ่งเคยพูดเรื่องนี้ไว้ในอดีต มีความว่า ครั้งหนึ่งมีพระรูปหนึ่งมาปรารภให้ฟังว่า ท่านรู้สึกรังเกียจพระบางรูปในวัดที่ไม่ยอมรักษาศีล ท่านพระสุรจิตก็แนะนำว่า
    <O:p</O:p
    ก) “พระพุทธเจ้าบัญญัติศีลเพื่อตัวเราเอง มิใช่เพื่อผู้อื่น ซึ่งหมายความว่าผู้ใดประพฤติ-ปฏิบัติในศีลได้ อานิสงส์ของศีลย่อมได้กับตัวเอง คือ ผู้ประพฤติ-ปฏิบัตินั้น ๆ
    <O:p</O:p
    ข) “ศีลย่อมเป็นของตัวเราผู้ทำศีลให้ปรากฏแก่กาย วาจา ใจ ของตนเอง จึงได้ชื่อว่าศีลที่พระพุทธเจ้าบัญญัติก็เพื่อตัวเราเอง จึงมิใช่บัญญัติเพื่อผู้อื่น
    <O:p</O:p
    ค)“ในเมื่อคนอื่นเขาไม่เอาศีล เราจึงไม่มีอำนาจบังคับให้คนอื่นเขาปฏิบัติศีลได้ การนึกก็คือการตอบ (วิสัชนา) นั่นเอง
    <O:p</O:p
    ๖.๖“ทรงตรัสสอนเพิ่มเติมว่า
    <O:p</O:p
    ก)“อันนี้หมายถึง ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตนด้วย และหมายถึงไม่เพ่งโทษบุคคลอื่นด้วย และไม่สนใจในจริยาของผู้อื่นด้วย
    <O:p</O:p
    ข)“ดังนั้นบุคคลที่เจริญแล้ว ย่อมจะทำความเจริญในศีลให้เกิดแก่กาย-วาจา-ใจของตนเองเท่านั้น เป็นหลักสำคัญเบื้องต้น เพราะศีลปฏิบัตินั่นแหละจะนำไปซึ่งการตัดกิเลสที่ครอบงำจิต ไม่ปาณาติบาต ก็ตัดโทสะ ไม่ลักทรัพย์ ก็ตัดโลภะ ไม่กาเม ก็ตัดกาม ราคะ ดังนี้เป็นต้น
    <O:p</O:p
    ค) “ศีลจึงมีอานิสงส์มาก ธรรมของตถาคตจึงมีเหตุมีผลประกอบกันอยู่เสมอ และทุก ๆ บทธรรมเป็นพุทธบัญญัติ คือ สมมุติบัญญัติขึ้นมาให้พุทธสาวกผู้รับฟัง ฟังแล้วนำไปเป็นเหตุ เป็นผลปฏิบัติให้เกิดมรรคเกิดผลได้ตามบัญญัตินั้น ๆ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    รวบรวม โดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
    <O:p</O:p
    .............................................<O:p</O:p

    ที่มาของข้อมูล<O:p</O:p
    หนังสือธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๒<O:p</O:p
    หนังสือ ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น ทุกเล่ม<O:p</O:p
    หาข้อมูลศึกษาได้จาก.......<O:p</O:p
    http://www.tangnipparn.com/page_book_all.html<O:p</O:p
    ต้องขอโมทนาทุกท่านที่ช่วยเผยแพร่ผลงานของพระพุทธเจ้าหรือหลวงพ่อในทุกรูปแบบทั้งทางหนังสือและอินเตอร์เน็ต ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกๆท่านครับ
    <O:p</O:p
    …………………………………<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 ตุลาคม 2011
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260

    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ

    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน

    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่www.tangnipparn.com<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    <O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา

    [​IMG]</O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2011
  3. อุทยัพ

    อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,564
    ค่าพลัง:
    +18,112
    กราบอนุโมทนาสาธุการในธรรมทานครานี้ขอรับ
    ขอให้การปัตตานุโมทนามัยในครั้งนี้ของข้าพเจ้าจงส่งผลให้้ข้าพเจ้านั้น
    ถึงซึ่งพระนิพพานได้ภายในชาตินี้ด้วยเทอญ
    นิพพานะ ปัจจโย โหตุ
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  4. กูไม่กินPALA

    กูไม่กินPALA สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +12
    สมกับเป็นธรรมะสไตล์เวบพลังจิต หาแบบนี้ที่อื่นไม่ได้แน่ ไม่เหมือนใครและไม่มีใครกล้าเหมือน
    ถ้าอยากไปสวรรค์จริๆตายในฌานชัวร์กว่า นึกถึงผลทานมั้ย ถ้าสิ่งที่กล่าวไป ไปขัดผลประโยชน์อะไรบางอย่างของทางเวบต้องขออภัยด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2011
  5. jumook

    jumook เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2009
    โพสต์:
    121
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,043
    กล่าวได้ถูกต้องที่สุด กินใจสุดๆ มีกำลังใจขึ้นเยอะเลยครับ
     
  6. Muthita_K

    Muthita_K เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2011
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +113
    อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ.. มีกำลังใจรักษาศีลขึ้นมากเลยค่ะ:cool:
     
  7. choo2521

    choo2521 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +4
    ขอบคุณมากๆครับสำหรับธรรมะดีๆ ขอผลบุญที่ท่านได้นำสิ่งดีๆมามอบให้ผู้อื่น จงส่งผลให้ท่านถึงซึ่งพระนิพพานในชาติภพปัจจุบันด้วยเทอญ สาธุๆ
     
  8. ลียูนซอง

    ลียูนซอง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +1
    อนุโมทนาบุญเป็นอย่างสูงครับที่ได้ความรู้อีกแบบหนึ่งครับสาธุ
     
  9. พยัคฆ์หลับ

    พยัคฆ์หลับ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +83
    อนุโมทนาบุญครับ..สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...