เทคนิคการรวม ธรรม เทพ จักรวาล ครั้งที่ 1

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เดมีดี, 9 กันยายน 2011.

  1. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    มนุษย์กับอ้อมกอดธรรมชาติที่ไม่สมดุล
    ในทุกวินาทีมนุษย์ก่อให้เกิดสนามพลังโดยการทำงานพร้อมกันของจิตสำนึก และจิตใต้สำนึกผ่านทางความสามารถของสมอง ในบรรดาสนามพลังแห่งมนุษยชาติ สนามพลังจิตสำนึกแห่งมนุษยชาติ (Consciousness Human Morphic Field) เป็นตัวแปรที่มีความสำคัญมากที่สุด ด้วยมนุษย์เป็นสิ่งที่มีชีวิตชนิดเดียวที่ดัดแปลงปรับสภาพของธรรมชาติเข้าหาตัวเอง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เป็นตัวการที่สำคัญที่สุด ที่ก่อให้เกิดการเสียสมดุลธรรมชาติของโลกใบนี้ สาเหตุที่เป็นอย่างนั้น ก็ด้วยมนุษย์บนโลกนี้ มีวิวัฒนาการทางร่างกายและสมองมากกว่าทางด้านจิตใจ จึงสร้างและดัดแปลงวัตถุไปตามสมองของตน ไม่เป็นไปตามสมดุลของสนามพลังแห่งธรรมชาติ พร้อมทั้งการตั้งความประสงค์ของธาตุรู้ในตัวเอง เพื่อให้ได้มาซึ่งของหยาบนั้นๆ เปรียบเทียบกับมนุษย์ในดาราจักรอันดรอมดาที่มีวิวัฒนาการด้านจิตมากกว่าร่างกาย การสร้างความไม่สมดุลของสนามพลังแห่งธรรมชาติ จึงมีน้อยกว่ามนุษย์บนพื้นโลกแห่งนี้มากมายนัก อย่างไรก็ตาม การร่วมมือร่วมใจและจิตของมนุษย์ทั้งหมด ที่จะพัฒนาทั้งร่างกายและจิตในแนวทางที่ถูกต้องตามธรรมชาติ โดยคำนึงถึงความสมดุลของสนามพลังแห่งธรรมชาติเป็นสำคัญ มนุษย์ก็จะเป็นหลักที่จะสามารถแก้ไขความสมดุลนี้ได้ “มนุษย์ยิ่งมีการดำเนินชีวิตเข้าใกล้ธรรมชาติมากเท่าใด ก็ยิ่งเห็นและเข้าใจธรรมชาติของตนเองมากขึ้นเท่านั้น” วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือให้มนุษย์มีความเข้าใจธรรมชาติ ไม่ใช่เครื่องมือใช้ทำลายธรรมชาติ และทำลายตนเองในที่สุด จากการปรับสมดุลของดวงดาวที่ล้างความสกปรกจากฝีมือมนุษย์ ด้วยภาวะยุคน้ำแข็ง หรือไม่ก็เกิดภาวะน้ำท่วมโลกอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้านี้
    วิกฤติของของโลก
    สัญญาณจากจักรวาล บอกถึงการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ชายฝั่งบริเวณประเทศไทยว่า เนื่องจากสนามพลังแห่งธรรมชาติขาดความสมดุล เกินกว่าที่จะดำรงความเสถียรอยู่ได้ จึงต้องปรับความสมดุล ที่ยังไม่อาจจะสมดุลได้ต่อเนื่องไปในขณะนี้ ณ สถานการณ์ปัจจุบัน การเสียสมดุลของสนามพลังโดยรวม การเปลี่ยนแปลงชายฝั่งทะเลของอ่าวไทยจะเริ่มต้นจากเวลาปัจจุบัน เกิดอย่างต่อเนื่อง และจนกระทั่งระดับน้ำทะเลอาจจะสูงขึ้นถึง ๒๐๐ เมตรจากระดับปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๕๐) หมายความว่า ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกๆ ปี ประมาณว่าปี พ.ศ. ๒๕๗๒-๗๓ ขอบของชายฝั่งทะเลจะอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทอดยาวไปตามเทือกเขาตะนาวศรี ผ่านจังหวัดราชบุรีเข้าสู่กาญจนบุรี อุทัยธานี ลพบุรี วกลงมาที่สระบุรี ทอดไปตามแนวเขาใหญ่ จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว เข้าสู่ภูเขาจังหวัดจันทบุรีกับแนวกั้นเขตติดต่อกับกัมพูชาบริเวณจังหวัดตราด ปรากฏสภาพอาณาเขตของอ่าวไทยกว้างเว้าลึกเข้าภายในแผ่นดิน ประมาณว่าพื้นที่ดิน และภูเขาทั้งโลกจะเหลืออยู่เพียง ๓๐-๔๐ เปอร์เซ็นต์ด้วยสาเหตุหลักคือ ๑. โลกร้อนขึ้นทุกขณะอย่างต่อเนื่องทำให้หิมะขั้วโลกละลาย ๒.พื้นผิวโลกทรุดตัวลงจากการดึงเอาวัตถุธาตุมาใช้ประโยชน์ และการยุบตัวจากเหตุที่เกิดจากความไม่สมดุลที่มีอยู่ต่อเนื่องจนปัจจุบัน
    การมีพื้นที่ดินเหลือน้อยมนุษย์ไม่สนใจแต่ที่จะมาเยี่ยมมนุษย์มากว่านั้นคือ น้ำท่วมโลกหรือไม่ก็เกิดภาวะยุคน้ำแข็งภายในไม่เกิน ๕๐ ปีข้างหน้า ถ้ามนุษย์ยังมุ่งทำร้ายธรรมชาติอย่างปัจจุบัน
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class="style50 style50">[​IMG]</TD><TD class="style50 style50">[​IMG]</TD></TR><TR><TD class="style50 style50">ภาพแผนที่โลกในอนาคตโดย Gordon-Michael Scallion </TD><TD class="style50 style50">แผนที่ทวีปเอเซียในอนาคตโดย Gordon-Michael Scallion </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    การสืบหาสาเหตุที่แท้จริง
    มนุษย์สามารถทราบว่าธาตุรู้ล้วนมีอยู่ และเชื่อมโยงกันในทุกอณูของทุกสรรพสิ่ง ด้วยงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สนามพลังแห่งธรรมชาติและสนามพลังแห่งมนุษย์ชาติ มนุษย์ในนามนักวิทยาศาสตร์ สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือวัดความถี่ ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า นักวิทยาศาสตร์ค้นพบวิจัยสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อเอาไปเผยแพร่ผู้อื่นกลับให้ความสนใจน้อยมาก เนื่องมาจากเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งไกลตัว กลุ่มมนุษย์ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ค้นพบเพียงว่ามนุษย์เป็นผู้ที่สร้างสนามพลังได้เอง แต่ในความเป็นจริงการแพร่พลังนั้น เกิดจากธาตุรู้ทุกอณูเชื่อมโยงความรู้ และอาการรู้ทั้งหมดเข้าด้วยกันจนสามารถถ่ายทอดพลังขึ้นเป็นรูปสนามพลังแห่งธรรมชาติ มีตัวอย่างการเล่าการทดลองเรื่องน้ำของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น จึงนำมาเป็นตัวอย่างให้ศึกษาว่าแท้จริงแล้ว ความรู้ และอาการรู้ของธาตุรู้สากลจากต้นธาตุต้นธรรมนั้น ได้ทำการยึดโยงสายใยให้เกิดถ่ายทอดสื่อสารระหว่างกันในทุกอณูของสรรพสิ่ง (ที่เรียกว่า วิญญาณของภาษา แท้จริงแล้วการสวดมนต์ภาวนา เป็นการส่งอาการของความรู้ความเข้าใจต่อกันของทุกอณูในสรรพสิ่ง) เรื่องราวเป็นอย่างนี้ อ่าวเปอร์เซียที่อยู่ห่างจากญี่ปุ่นมาก ทหารของหลายประเทศโจมตีอิรักในสงคราวอ่าว สงครามเริ่มในตอนบ่ายวันเดียวกันนั้นเอง บังเอิญวันนั้นผมกำลังวัดการสั่นสะเทือนของน้ำประปาอยู่ที่อ่าวโตเกียว พบว่าน้ำประปามีค่าการสั่นสะเทือนของธาตุปรอท ตะกั่ว แคดเมียม ซึ่งเป็นสารพิษต่อร่างกายมนุษย์ที่สูงผิดปกติ สงครามที่เกิดในอีกซีกโลกหนึ่ง ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนของสารที่เป็นอันตราย ที่เกิดจากระเบิดแผ่ปกคลุมทั่วทั้งโลกในชั่วพริบตา และการสั่นสะเทือนดังกล่าวก็มีอิทธิพลเหนือกาลเวลา สามารถแผ่กระจายได้ในเวลาเพียงชั่วพริบตาเช่นเดียวกัน การสั่นสะเทือนนั้นน่าอยู่ในระหว่างโลกสองมิติที่เรามองไม่เห็น และโลกสามมิติที่เราอาศัยอยู่ มีเพียงน้ำที่จับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนโลกได้ทุกอย่าง และกระจายข่าวสารให้ร่างกายเรารู้อย่างเงียบๆ
     
  3. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    โอ้! เมืองไทย ใยครานี้ มีปัญหา
    น้ำมีปลา นามีข้าว เราเคยเห็น
    มาบัดนี้ แปรเปลี่ยนไป ให้ลำเค็ญ
    แสนทุกข์เข็ญ อุทกภัย ไม่ปรานี

    ขอพี่น้อง เพื่อนพ้องไทย คลายความโศก
    วิปโยค จะเคลื่อนผ่าน ตามกาลวิถี
    โบราณว่า พบเคราะห์ร้าย กลับกลายดี
    ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน ต้องวนมา

    นั่งมองน้ำ ที่ไหลท่วม เราร่วมจิต
    ต่างอุทิศ สรรพกำลัง จนกังขา
    ไม่นัดหมาย ไม่เคยพบ แม้สบตา
    ดั่งธารา ธารน้ำใจ ไทยช่วยไทย

    ธารน้ำใจ จะขับไล่ ภัยน้ำหลาก
    หลั่งไหลจาก ความห่วงใย ไม่มีขาย
    สามัคคี ก่อพลัง กำลังใจ
     
  4. แสนสวาท

    แสนสวาท ชมรมสุวรรณภูมิธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2007
    โพสต์:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +2,488
    สิ่งหนึ่งเปน สิ่งหนึ่งตาม

    สิ่งหนึ่งรู้ สิ่งหนึ่งหลง

    สิ่งหนึ่งนิ่ง สิ่งหนึ่งไหว
     
  5. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    แม่พระธรณี จะช่วยเจ้า อย่าได้โศก
    ปวงเทพ ผอง ทั่วหล้า ไม่หวั่นไหว
    คนดี จิตดี ช่วยกันอย่างว่องไว
    ทุกข์ โศก คลาย เคลื่อนออก
    จากไทย เอย

    ไทย หรือ คนไทย ช่างดีหนอ
    อุปสรรค ไม่รั้งรอ อย่าเบือนหนี
    ช่วยหยิบ จับ เสริมกำลัง ในทันที
    ย่อมมองเห็น สายธารแห่งน้ำใจ
    มีน้อย ช่วยน้อย อย่าว่ากล่าว
    พละ เกิด กำลังเกิด ใช่ถดถอย
    สู้ด้วยจิต ต้านด้วยใจ ทุกแห่งไป
    อดทนไว้ ฟ้าใส บ้านเมือง
    สะอาดเอย
     
  6. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    สามประสาน เคลื่อนย้าย ด้วย รุกรับ
    สมัคร รับ เคลื่อนย้าย เปลี่ยนวิถี
    ด้วยจิต มุ่งมั่น ตั้งให้ดี
    เกลียว วิถี ถือเกิด กำเหนิดมา

    คุณอนันต์ เหล่าปวง สรรพสิ่ง
    เริ่มมองเห็น คลื่นแสง สี
    สอดสลับ ร้อยรัด พันทวี
    เชื่อมต่อ ฐาน สูงสุด
    เหลือ ประมาณ

    เล่นร้อย เลื่อน รับ อย่าจับต้อง
    ธรรมชาติ เคลื่อน คล้อย ไม่ไหลหลง
    ฟื้นตัว รู้สติ ด้วย มั่นคง
    กำลัง ส่ง จะเพิ่ม ขึ้นทุกที

    เปิดตัว เปิดใจ ให้คล่องไว้
    เปิดท่อใส ใจสว่าง อย่ามัวหมอง
    เชื่อมต่อ ติด จิตเชื่อมใจ ไม่รีรอ
    จากเบื้องบน สู่เบื้องล่าง สลับเอย
     
  7. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    กสิณแต่ละกองเมื่อแยกออกจากกันแล้วสิ่งที่ได้คือตะกอนต่างๆที่ยังตกค้างอยู่บางอย่างก็สลายได้ด้วยไฟ บางอย่างอาศัยลมปราณและบางอย่างก็ต้องอาศัยควาวเข้าใจพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ขอไตร่ตรองลองพิสูจน์ดูนะครับอาจารย์
     
  8. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    น้ำสะอาดใครๆก็ทำได้โดยอาศัยธรรมชาติทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับ Egoที่ดี จิตใจบริสุทธิ์ ความตั้งใจที่บริสุทธิ์ รักและเมตตาแต่อย่าสงสาร เหมือนเครื่องกรองน้ำ เหมือนเครื่องกองอากาศ ตัวเราทุกคนก็เป็นอยู่แล้ว
    แสงสีต่างๆเปรียบเหมือนตัวแทนของพลังงานแต่ท่าพิจารณาให้ดีในแสงสีแต่ละสีจะมีอะไรที่ละเอียดกว่าเปรียบเหมือนดวงจิต อย่าบนบานอย่าขอใช้ใจตัวเราเองพึ่งตัวเราเอง หนีแสงหม่นๆถึบๆออกมาก็จะพบแสงสีที่สว่างสดใสมากขึ้น สั้นๆง่ายๆคงเข้าใจ
     
  9. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ GuruVee [​IMG]
    ทำยังไงถึงจะผลิตน้ำยาสะอาดได้ครับ เพราะจะได้ไม่ต้องไปรบกวนคนที่ผลิตเองได้บ่อยๆ ให้ทุกคนผลิตได้เองหมดเลยดีไหม

    ตอบว่า คือความกลัว ,ความยึดมั่นถือมั่น,การยึดคุรุครูอาจารย์ ,การยึดภายนอก



    1.เลิกตัดสิน สิ่งทั้งหมดภายนอก ว่าถูกใจ ถูกต้อง ถูกทาง ถูกที่ พูดง่าย ๆ ไม่มีผิดและถูก
    2.มีความศรัทธา เชื่อด้วยความเคารพอย่างสูง ต่อครูอาจารย์ คุรุ บรรพชน บรรพบุรุษ ไม่ตั้งข้อ หมอง ทั้งปวง แห่งกฎเกณฑ์
    3.เชื่อว่าสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า มีจริง (เช่น เห็นลำใส้ตนเองด้วยตาเปล่า หรือไม่)ดังนั้น ให้เชื่อไว้ว่ามี และเป็นสิ่งธรรมดา แห่ง โลก ไม่พิสูจน์ เสียเวลา ทำสติ
    4.ทำตนเองให้สะอาด จากภายนอกสู่ภายใน ทำอย่างไร
    อาบน้ำ ทำภายนอก
    แคะหู,แปรงฟัน กึ่งภายนอกและภายใน
    หายใจ การฟอกระบบขับเคลื่อนของ การสมดุลย์ร่างกาย อันนี้สำคัญ ที่ต้องฝึก
    การสอดประสาน การหายใจ กับความรูสึกอย่างมีสติ เพื่อให้เกิดพลัง ที่ไม่ปรุงแต่ง
    และเริ่มใช้ชำระล้างร่างกายจากภายในสู่ภายนอกที่ละจุด รู้ได้จาก การปวดเมื่อย ปวดหัว ปวดตัว เจ็บป่วยทั้งกายและ ใจ

    นำกำลังของอากาศบริสุทธิ์ มาผสมรวมกับสติ ที่มีสมาธิ ปรับให้สมดุลย์เบาสบายไมเร่ง ไม่รีบ ไม่ตั้ง ไม่คาดหวัง เพื่อความสมดุลย์อย่างเดียว วัดด้วยอะไร ดูจากลมหายใจ ที่ละเอียด สม่ำเสมอ ไม่ร้อนไม่เย็น กลาง ๆ อุ่น ๆ
    จะยืนจะเดิน หรือนอน ก็ทำได้ตลอด ถ้าควบคุมการหายใจได้ ก็ควบคุม พลังได้ กำลังก็เกิด

    เพราะฉะนั้น การหายใจ มันตัวใครตัวมัน พึ่งกันไม่ได้อยู่แล้ว และ ทุกคนมี จริงไหมละ
     
  10. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    หายไปหลายวัน..........
    บ้านเรา มีคนอยู่หลายครอบครัว ถ้าจะไม่ดูแลเลย ก็ไม่ใช่ที่ จึงแบ่งเวลางานมาคิด สร้าง ประดิษฐ์ สิ่งที่พอจะกันน้ำได้ จากเศษวัสดุเหลือใช้ต่างในบ้าน คิดและออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งาน เพื่อลดการสูญเสียหากเกิดขึ้น

    ธรรมดา ฝนตกน้ำก็ท่วมแล้ว 20 เซ็นต์ แต่ไหลออกเร็วก็ไม่ค่อยกังวล พอเห็นภาพข่าว
    จะไม่ทำอะไรเลย ก็เรียกว่าประมาทแล้ว เตรียมเท่าที่พอรับมือเป็นระยะ ๆ และติดตามสถานการณ์

    ในการเร่งกับเวลา ก็เห็นอะไรดี ๆ ของคนไทย ที่คิดค้น จากหลาย ๆ มุมเมือง ล้วนน่าสนใจทั้งสิ้น และสิ่งนี้ อาจช่วยเราได้ในอนาคต

    ถึงบอกคนไทยไม่ได้โง่กว่าชาติไหน ๆ เลย และยังมีน้ำใจกันมากด้วยแต่ส่วนน้อยที่จะไม่ยอมเลย เพราะห่วงอะไร ...........อันนี้ไม่ขอตอบ................เพราะหากต้องผ่าน บททดสอบนั้นมา ได้ เราเชื่อว่า นิสัยใจคอของคนเปลี่ยนไปสองทางคือ สิ้นหวัง กลับเห็นคุณค่าแห่งประสบการณ์และก้าวเดินต่อไป

    และท่านละจะเลือกเป็นบุคคลเช่นไร เมื่อถึงเวลา............
     
  11. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ธรรมชาติกับสิ่งแวดล้อมไม่ต่างอะไรกับร่างกายมนุษย์ การทำลายล้างธรรมชาติและก่อมลภาวะ สะสม ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศของโลกวิปริตมากขึ้นเป็นทวีคูณ โลกเป็นอวัยวะใหญ่โต มีระบบปรับสภาพของตัวเองโดยธรรมชาติ ชีวิตของคน พืช และสัตว์ แสงอาทิตย์ น้ำ อากาศ ลม ภูเขาไฟ และกระแสคลื่นในท้องทะเล ความร้อนระอุใต้ผิวโลก ทั้งหมดคือจักรกลสำคัญของระบบการปรับสภาพอวัยวะใหญ่ของโลก ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งถูกทำลายหรือถูกทำให้แปรเปลี่ยน ความสมดุลของระบบจะถูกกระทบกระเทือนทันที ทำให้ธรรมชาติไม่สามารถทำหน้าที่ปกติวิถีของมันได้ และนี่คือมูลเหตุที่ทำให้เกิดอาการวิปริตทางธรรมชาติอย่างที่มนุษย์กำลังสัมผัสในตอนนี้
     
  12. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ หรือภัยจากคน ของโลกและของประเทศไทย เหตุเพราะหากกล่าวไปมันจะมีการคลาดเคลื่ือนขึ้น แต่อย่างไรมันก็ต้องเกิด ยึ่งเรื่องภายในประเทศ ยิ่งกล่าวไม่ได้เลย ถึงรู้ก็กล่าวไม่ได้
    แต่จะข้อกล่าวในสิ่งที่จะสามารถเชื่อมโยงกันได้ดังนี้
    ก่อนอื่นผู้อ่านต้องเปิดใจก่อนว่า ในโลกใบนี้มีบางสิ่งที่เราไม่รู้ จะบางสิ่งที่เราไม่รู้นั้น ก็มีคนที่ไม่รู้บอกว่าตนรู้ แล้วเอาความรู้ผิดนั้นมาสอนเรานั้นก็มีมาก ดังเช่นเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้
    เราเคยได้เรียนมาว่ามนุษย์เราเริ่มต้นจาก สิ่งมีชิวิตเดินสองขา มีชื่อเรียกว่า "โฮโมซาเปียน(Homo-sapiens)" เมื่อ 30,000 ถึง 40,000 ปีก่อน และก็วิวัฒนาการ ร่างกายและความคิดจนมาเป็นมนุษย์ในยุคที่เจริญอย่างเราในปัจจุบันนี้
    ซึ่งพอจะสรุปได้ว่าเราใช้เวลาประมาณ 40,000 ปี จากโฮโมซาเปียนมาถึงยุคของเรา และถือว่ายุคของเราเจริญที่สุด มีเทคโนโลยี่ที่ดีที่สุดที่เคยมีมาในโลกใบนี้
    นั้นคือเรื่องที่เราได้เรียนมาเป็นอย่างนั้น ต่อไปข้าพเจ้าจะขอกล่าวว่าโลกของเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น ยุคของเราที่มีประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำโลก เป็นผู้นำเทคโนโลยี นั้นไม่ใช่ยุคที่เจริญที่สุดในโลกใบนี้
    โลกมีระยะเวลาที่ยาวนาน มีความเจริญสูงสุดและก็ล้มสลายถึงต่ำสุด เป็นอย่างนี้หลายครั้งเกินที่จะนับได้ ในแต่ละยุคนั้นเริ่มแรกด้วยมนุษย์อยู่กันอย่างสงบได้ระยะเวลาหนึ่ง และเมื่อกิเลสเข้าครอบงำมนุษย์ และสังคมมนุษย์ก็เปลี่ยนไป จากเคยอยู่กันอย่างสงบก็วุ่นวาย ในเรื่องภัยธรรมชาติก็รุนแรงเกินที่จะแก้ไขได้ ในด้านสังคม จิตใจมนุษย์ก็เห็นแก่ตัว เอาแต่ประโยชน์ตัวเองเป็นใหญ่ เอาความคิดตนเองเป็นใหญ่
    ก่อนสิ้นแต่ละยุคก็เหมือนๆกัน คนจะแย่งกันเป็นใหญ่ โอ้อวดในความดีที่เป็นหน้ากากเท่านั้น ทั้งโลกตึงเครียดด้วยสงคราม ในแต่ละประเทศก็มีความขัดแย้งภายใน ผู้นำก็ไม่มีศิลธรรม ทำทุกอย่างขอให้ได้เป็นใหญ่ แม้แต่วรรณะกษัติย์นั้นก็มีการสืบทอดอำนาจด้วยการแย่งชิง ลูกชิงบัญลังพ่อ พ่อต้องหนีออกนอกประเทศเพราะลูกอยากเป็นกษัตย์ ศิลธรรมจะกลับจากดำเป็นขาว การทำแท้งเคยเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เป็นเรื่องที่รู้สึกผิด แต่ก็จะกลายเป็นเรื่ืองสิทธิส่วนบุคคล คำว่าสิทธิเสรีภาพจะถูกนำมาใช่อย่างผิดๆ ผู้มีอำนาจในแต่ละประเทศจะทำร้ายประชาชนของตนเอง ภาพลักษ์ของคนจะตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ประเทศที่อ้างศิลธรรมเพื่อทำลายประเทศอื่นจะเกิดขึ้น ผู้ที่ควรกราบไหว้ในประเทศต่างๆ จะมีฉากหลังที่สกปรก คนพวกนี้ทำทุกอย่างเพื่ออำนาจของตน ฆ่าคนอื่นอย่างไม่กลัวบาป คนไม่ดีจะใช้ความฉลาดและอำนาจทำให้ตนเองตกนรก ฉากหลังเป็นคนทำร้ายประชาชน แต่ฉากหน้าเป็นคนช่วยเหลือ ผู้เฒ่าผู้แก่่จะถูกทอดทิ้ง จิตใจจะต่ำจนไม่สามารถแยกถูกกับผิดได้ ความเจริญจะไปในทางวัตถุ ด้านจิตใจจะไร้ศาสนา ใช้เงินตราและกำลังเป็นที่ตั้ง
    การล้มสลายของมนุษย์ที่เจริญด้วยเทคโนโลยีแต่ละครั้งนั้นไม่มีอะไรที่ต่างกันมากนัก
    ผลสุดท้ายของยุคนั้นๆ จะจบลงด้วยการล่มของระบบเศรษกิจในแต่ละประเทศ และทั้งโลก ความตึงเครียดของสงครามก็ยุติด้วยมหาสงคราม
    ส่วนเรื่องวิกฤตภัยธรรมชาติก็จบลงด้วยภัยธรรมชาติรุนแรงเพียงวันเดียว ทำให้ผู้คนล้มตายลงไปมากว่า 90 เปอร์เซ็น ด้วยแผ่นดินไหว 12 ริกเตอร์ เกิดคลื่นสึนามิสูงถึิ 100 เมตร โลกไหวถึง 12 ริกเตอร์ ทำให้แผ่นที่โลกเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว แผ่นดินที่อยู่ข้างบนจะเคลื่ือนตัวลงทะเล แผ่นดินที่อยู่ใต้ทะเลจะเคลื่ือนตัวมาอยู่ข้างบน
     
  13. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    สาเหตุหลักของภาวะความเสื่อมและความเจ็บป่วย

    ความเสื่อมและความเจ็บป่วยในยุคนี้ ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจาก 5 ข้อหลัก ดังต่อไปนี้
    1. อารมณ์ เป็นพิษ เช่น ความเครียด ความเร่งรีบ เร่งรัด รีบร้อน ความกลัว ความวิตกกังวล ความไม่โปร่ง ไม่โล่ง ไม่สบายใจ ความไม่พอใจ รำคาญใจ ความมุ่งร้าย อาฆาต พยาบาท ความโลภ โกรธ หลง ยึดเกิน เอาแต่ใจตัวเอง เป็นต้น ทุกครั้งที่ผู้คนมีสภาพจิตดังกล่าว จะทำให้ต่อมหมวกไตหลั่งสารอะดรีนาลีนออกมากระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายผลิต พลังงานมากเกินความพอดีจนเผาทำลายเซลล์เนื้อเยื่อของร่างกาย อวัยวะส่วนใดของร่างกายที่อ่อนแอก็จะเสื่อมหรือแสดงอาการไม่สบายก่อน เช่น บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะ บางคนปวดคอ บางคนปวดท้อง บางคนเจ็บหัวใจ บางคนอ่อนเพลียทั้งตัว เป็นต้น ถ้ายังมีอารมณ์ดังกล่าวอยู่ ความเสื่อมก็จะรุกลามขยายผลและแสดงอาการไม่สบายไปตามอวัยวะส่วนอื่นต่อไป
    2. อาหารเป็นพิษ พิษ จากอาหารที่มีสารพิษ สารเคมีทั้งในพืชและสัตว์ ทั้งจากขบวนการผลิตและการปรุงเป็นอาหาร สารพิษสารพิษสารเคมีดังกล่าวจะเผาทำร้ายเซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ทำให้เกิดความเสื่อมและเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ พิษ จากอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์มากเกินจนองค์การอนามัยโลก และกระทรางสาธารณสุขได้ออกมาประกาศให้ลดเนื้อสัตว์ แล้วเพิ่มการกินผัก เพราะในเนื้อสัตว์จะมี ไขมัน กรดยูริค กรดแลคติก อะดรีนาลีนและสารอื่นๆ ที่เป็นพิษต่อร่างกายมาก ถ้าท่านยังบริโภคเนื้อสัตว์อยู่ ควรบริโภคเนื้อปลา เพราะปลาจะมีพิษน้อยที่สุด พิษ จากอาหารที่ปรุงรสจัดเกินไป จนทำให้องค์การอนามัยโลก และกระทรวงสาธารณได้ออกมาประกาศให้ลดความหวานมัน เค็ม และลดการรับประทานอาหารรสจัดต่างๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว วัตถุสสารที่ปรุงรสของอาหารทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นหวาน มัน เค็ม เผ็ด เปรี้ยว ฝาด ขม เบื่อเมา พิษ จากขอเสียและความร้อนจากขบวนการย่อย การสันดาปหรือการเผาผลาญอาหาร เนื่องจากเซลล์เนื้อเยื่อมนุษย์ทุกอวัยวะทำงานตลอดเวลา ทุกขบวนการทำงานของเซลล์เนื้อเยื่อต้องใช้พลังงานจากการสันดาปเผาผลาญอาหาร ตั้งแต่การย่อยสันดาปเผาผลาญอาหารระดับหยาบๆ เช่น การเคี้ยวย่อยอาหารในปาก การย่อยและดูดซึมในกระเพาะอาหารลำไส้ จนถึงระดับละเอียด คือ การย่อยสันดาปเผาผลาญอาหารในระดับเซลล์ ซึ่งการย่อยสันดาปเผาผลาญอาหารทุกครั้งทุกระดับจะเกิดของเสียและความร้อนที่ เป็นพิษกับร่างกายขึ้น เช่น เกิดคาร์บอนไดออกไซม์ เกิดแอมโมเนีย เกิดสารและพลังงานที่เป็นพิษอื่นๆ ถ้าไม่รีบสลายหรือขับ
    พิษ
    3. พิษจากการไม่ออกกำลังกาย หรือการออกกำลังกายที่เคลื่อนไหวอิริยาบถไม่ถูกต้อง การ เข้าที่เข้าทางของกระดูก เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ เพราะคุณลักษณะทั้ง ๓ ประการ จะทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดลม และพลังงานในร่างกายเป็นไปโดยปกติอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดสุขภาพที่ดี แต่ปัจจุบันการออกกำลังกายและอิริยาบถของคนส่วนใหญ่โดยทั่งไป เช่น เดิน วิ่ง กระโดดเชือก ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิก หรือเล่นกีฬาต่างๆ มักทำแต่เพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้กดจุดลมปราณ โยคะ กายบริหารให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นยือหยุ่นเข้าที่เข้าทาง จึงมักจะได้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ พร้อมกับผลข้างเคียงของการออกกำลังกายคือ ความแข็งตึงเกร็งค้างของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น การเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งปกติทางของกระดูก เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ ทำให้การไหลเวียนของเลือดลมและพลังงานในร่างกายติดขัด ส่งผลให้เกิดความเจ็บปวด ตึง มึนชา พลังชีวิตตก เร่งความเสื่อมในร่างกายและเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
    4. มลพิษต่างๆ ในโลกเพิ่มมากขึ้น
    5. พิษ จากการสัมผัสเครื่องยนต์ /เครื่องใช้ไฟฟ้า/เครื่องอิเลคทรอนิคมากเกินไป เช่น การเดินทางด้วยรถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ การใช้คอมพิวเตอร์ การใช้มือถือ ใช้เครื่องเสียงต่างๆ อย่างไม่รู้ความสมดุลและไม่รู้วิธีถอนพิษ เพราะอุปกรณ์ดังกล่าวมีพลังงานความสั่นสะเทือน มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ถ้าเข้าไปในร่างกายมากเกินไป จะชนกระแทกทำร้ายเซลล์เนื้อเยื่อของร่างกาย ทำให้เร่งความเสื่อมของร่างกาย ตัวอย่างส่วนหนึ่งของการป้องกันแก้ไขปัญหา เช่น ขณะที่โดยสารยานยนต์ เมื่อเครื่องยนต์เขย่าแต่ละเซลล์ของร่างกายก็จะถูกเขย่าเสียดสีกระทบกระแทก กัน เกิดความร้อนขึ้น ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียหรือมีอาการไม่สบายต่างๆ วิธีแก้ไขขณะโดยสารยานยนต์ คือถ้าง่วงก็ให้นอนหลับ เมื่อตื่นแล้วรู้สึกไม่สบายก็ควรดื่มน้ำเท่าที่รู้สึกสบายเพื่อดับพิษร้อน
    แต่พิษที่ร้ายที่สุดคือใจและความคิดของเราเอง ดังที่กล่าวคิดอะไรได้อย่างนั้น จึงเป็นเช่นนี้แล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2011
  14. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    "บัณฑิต...นั้นแปลว่า ผู้รู้...
    แต่กูนั้น ไม่ค่อยรู้...
    รู้เพียงนิดหน่อย ในทางพระพุทธศาสนา...
    กูรู้เพียงว่า บาปมีจริง บุญมีจริง กูก็รู้เพียงแค่นี้"

    เหตุการณ์ที่ซ้ำรอยเดิม มักจะเรียกว่า ประวัติศาสตร์ สภาวะตรงหน้านี้ก็ไม่แตกต่างกับเรื่องในอดีตที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้เห็น เพียงแต่ว่า ใครจะรู้จักเก็บเกี่ยวสิ่งที่ดีในอดีตไว้บ้าง หรือทำเหมือนในอดีตที่เห็นอยู่ แต่ไม่รู้ว่ากำลังทำเลียนแบบ
    พระอาจารย์ทั้งหลาย ไม่มีการเว้นท่านใดท่านหนึ่ง ตราบใดที่ยังไม่สิ้นกิเลส ไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วๆไป ตั้งแต่ที่เป็นพระจนกระทั่งฆราวาส เหตุที่ท่านทำไว้ ผลจึงเป็นเช่นนี้
    แถมมีคนกำลังทำเลียนแบบ แต่ไม่รู้ว่าเลียนแบบ เพราะกิเลสกูรู้ กูดี บดบังดวงตาไม่ให้เห็นสภาวะของกิเลสที่เกิดขึ้นในจิต จึงพยายามโอ้อวดในสิ่งที่ตนเองคิดว่ารู้ และรู้ที่คาดเดาเอาเองนั้น คิดเอาเองว่าทำถูกมากกว่าแนวทางอื่นๆ
    เมื่อคิดเช่นนั้น จึงก่อให้เกิดการกระทำ เริ่มหยิบยกแนวทางอื่นๆมาวิพากย์ วิจารณ์ ซึ่งสภาวะนั้นๆ หรือเหตุนั้นๆ ไม่ได้แตกต่างไปจากสิ่งที่กำลังนำมาวิพาก วิจารณ์
    อดีตสร้างไว้อย่างไร ปัจจุบันผลย่อมเป็นเช่นนั้น หากยังไม่หยุดการกระทำ อนาคตยิ่งไม่ต้องไปพูดถึง
    อีกอย่าง ไม่เห็นว่าท่านจะผิดตรงไหน ที่ว่าผิดเพราะไม่ถูกใจ ไม่ถูกต้องในความคิดของคนที่เห็นต่างไปจากท่านเท่านั้นเอง ใครจะเชื่อใคร ไม่เชื่อใคร ล้วนเกิดจากเหตุที่ทำร่วมกันมาทั้งนั้น
    ถ้าไม่ได้สร้างเหตุมาร่วมกัน ทั้งยัดเยียด ทั้งแจก ทั้งแถม ทั้งสรรเสริญเยินยอยังไงก็ไม่มีวันเชื่อ
    ถ้าสร้างเหตุมาร่วมกัน ห้ามไม่ให้เชื่อ ห้ามยังไงก็ไม่มีวันฟัง ไม่ต้องแจก ไม่ต้องแถม ไม่ต้องมายกยอ มีแต่วิ่งตามไปทันที นี่เรื่องปกตินะ
    เพราะเมื่อยังไม่เข้าใจ จึงมองเรื่องปกติให้เป็นเรื่องผิดปกติไป
    เมื่อไปทำให้เป็นเรื่องผิดปกติ เหตุจึงมี
    เหตุเกิดจากอุปทานให้ค่าว่าถูกหรือผิดตามความคิด ตามกิเลสที่ยังมีอคติ แต่มองไม่เห็น
    เมื่อเหตุมี ผลย่อมมี ไม่แตกต่างจากเรื่องที่หยิบยกมาเลย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 214036-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      0 bytes
      เปิดดู:
      227
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2011
  15. Twana

    Twana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2007
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +725
    ข้อมูลดีทั้งหมดเลยค่ะ เข้าใจ แต่ยังปฎิบัติไม่ใกล้เลย :( จะตามอ่านเรื่อยๆค่ะ
    ขอบคุณทั้งสองสิงห์ค่ะ
     
  16. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    วันนี้ ได้เอาวิชา ที่ยืนดูพ่อทำงานในสมัยอดีต
    การสอนของพ่อ คือ ไม่เคยให้ลูกอยู่แบบสบายเลย หาวิธี เทคนิค มาให้ลูกทำงานทุกวัน
    ทั้งงานเบา และงานหนัก ที่หนักสุดก็น่าจะผสมปูน เราดูมาหลายปี ที่พ่อปลูกบ้านเองและเราก็แค่ช่วยหยิบของส่งให้ แต่วันนี้เอาที่ดูมา ลองมาคิดค้นใหม่และลองแบบถูก ๆ ผิด ๆ ก็สนุกสนานดี

    เลยได้ข้อคิดมาเสนอ ในแนวให้พิจารณา คือ

    วิถีของสรรพสิ่ง มีที่มาที่ไป มีจิตวิญญาณ ที่แฝงอยู่ในสิ่งของทั้งปวง ไม่ใช่เพียงแต่สิ่งมีชีวิตเท่านั้น หากแต่เค้ามีชีวิตในแง่ของสสาร วัตถุธาตุ ที่มีองค์ประกอบเฉพาะตัว ดังนั้นเราก็ต้องมองดูและศึกษา การเคลื่อนไหว การเปลี่ยนแปลง ในวิถี สรรพสิ่งทั้งหลาย

    และเมื่อเข้าใจการดำรง และเคลื่อนไป ตามกฎแห่งสิ่งนั้น ๆ และไม่เข้าไปฝืนหรือขัดขวาง
    เพียงแต่ คล้อยตาม และเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน เราก็จะดำรงอยู่ได้เช่นเดียวกัน

    และเช่นเดียวกัน ในเมื่อโลกเข้าสู่วิถีแห่งการปรับเปลี่ยน และเราเองจะไม่ยอมปรับเปลี่ยนวิถีตามธรรมชาติเลยหรือไง

    โลกยุคโบราณ กำลังจะกลับมา ให้เห็นว่ามีสูงสุดและมีต่ำสุด แต่โชคให้เรามาอยู่ในยุคที่ต่ำสุด ของเศรษฐกิจ และกำลังถูกพัฒนาในด้านจิตวิญญาณ ความรู้สึก ความคิด ความหวัง และการช่วยเหลือ และรวมทั้ง ความโหดร้ายของมนุษย์ ที่ฉลาดกว่าสัตว์และโหดมากกว่าสัตว์เพียงเพื่ออะไร......................
     
  17. Liinping

    Liinping สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +9
    ขอโทษคับพี่เดมีดีขอคำแนะนำ และคำอธิบายหน่อย คับ มีอะไรเกิดขึ้นกับผมหลายสิ่งหลายอย่าง
    ล่าสุด คือ ต้นปีมานี้ ผมรู้ตัวในฝัน จำได้ทุกเรื่อง ตาปกติ แยกสีม่วง กะสีเหลือง ออกจากแสง แล้วก็มี อะไรไม่รู้เปนม้วนๆใสๆ เคลื่อนที่อิสระ แต่ ก็บังคับให้เคลื่อนที่ตามใจเรา รู้สึกว่ามันพุ่งมาชนหน้าบ่อยๆ รู้สึกว่า มันจะจินตนาการเปนอะไรก็ได้ สร้างเป็นสิ่งต่างได้ แต่ ใจก็กล้าๆกลัวๆ บางทีก็ต้องเปิดไฟนอน สรุป มันคือ อะไรหรอคับ ไอม้วน สอง สิง ที่อยู่ ข้างๆ ตัว กะ บอลแสงสว่างที่หมุนๆ ตอนอยู่ในที่มืด....ต้องแแก้ไขอะไรกับไอม้วนๆ ใส่ๆ หรอคับ พี่ ผมไม่รู้เรื่อง อ่านภาษาธรรมก็ไม่รู้เรื่อง บางทีก็มี ทีวี เปิดการตูนให้ดู มัน เยอะ มาก อะ คับ

    ขอบคุณล่วงหน้าคับพี่ ผมกล้าๆกลัวๆ กะ ไอ ใสๆ มืดๆ เปนกลุ่มก้อน ข้างๆ ตัว ทุก ที่ทุกเวลาเนี้ยอะคับ



    ป ล ผมตามอ่านไม่เจอ อะคับ
     
  18. upsara

    upsara Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +42
    "เดมีดี"...เธอคือมหามิตรของเราจริง ๆ...ทุกครั้งที่ได้มีโอกาสเสวนากัน ไม่ว่าจะด้วยทางใด ๆ...เราย่อมได้ข้อธรรมอันผ่องใสมาช่วยเปิดจิตสู่หนทางแห่งการหยั่งรู้เสมอ

    ขอบคุณมาก ๆจ้า
     
  19. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ขออนุญาติตอบแทนคุณเดมีดี ไม่ต้องคิดอะไรมาก อย่ากลัว อย่าสงสัย ทำตัวและสมองว่างๆสบายๆที่พูดมาถูกและดีแล้วครับ ในในม้วนใสๆลองนั่งพิจารณาดูต่อไปเรื่อยๆ ไม่ต้องตาม ท่าอธิบายตามหลักของทางเมืองไทยคือกองกสิณทั้งหมดนั่นเองที่มาสอนเรา ทุกอย่างต้องเรียนด้วยใจและรู้ด้วยใจตัวเองบางคนอาจเรียนรู้จากคำแนะนำของคนอื่นด้วยคำพูดไม่กี่คำ ค่อยลองฝึกกับสีแต่ละสีก่อนซักระยะ แล้วรายงานผลด้วยครับจะได้แนะต่อ ไม่ใช่อาจารย์ไม่ใช่ผู้รู้แต่เอาจากประสพการณ์มาช่วยแนะให้ครับ :cool:
     
  20. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ขอบคุณที่ชมครับคุณ Twana การปฐิบัติบางครั้งไม่จำเป็นต้องอ่านทั้งหมดเอาเพียงแค่หลักพื้นฐานให้เข้าใจนิดหน่อยก่อนบางครั้งข้อความ2หน้ากระดาษแต่เนื้อแท้มีนิดเดียว เพราะหลายๆสิ่งคนเราเรียนรู้ได้ไม่เหมือนกันและต้องรู้และเข้าใจด้วยตัวเอง ติดขัดตรงไหนอธิบายมาได้ครับท่าช่วยได้ก็ยินดีแนะนำต่อครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...