หลวงปู่พิศดู วัดเทพธารทอง และพระคณาจารย์สายต่างๆ (ข้อมูลวัตถุมงคล หน้า 1-8)....

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ทุเรียนทอด, 16 พฤษภาคม 2011.

  1. ทุเรียนทอด

    ทุเรียนทอด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,329
    ค่าพลัง:
    +57,981

    อันนี้เรื่องจริงนะ พระดีๆยังมีให้ทำบุญและฟังธรรมจากท่านอีกมากต่อมาก เก่าไปใหม่มาเสมอ ไม่ขาดระยะ ครูบาอาจารย์ของเราท่านจะส่ง(แนะนำ)ของท่านเองครับ
     
  2. ทุเรียนทอด

    ทุเรียนทอด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,329
    ค่าพลัง:
    +57,981


    สวัสดีครับคุณ หอยสังข์

    ได้เลย บอกมา จัดไป ตอนนี้หลวงพ่อบุญส่ง วัดสันติวนาราม(เขาน้ำตก) อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี ถ้าเราเข้าทางแยกนายยายอาม เข้าไปประมาณ 15 กิโลเมตร วัดท่านจะอยู่ห่างจากวัดเขาวงกตไปไม่ไกลประมาณ 2 กิโลเมตร จะถึงทางเข้าวัดอยู่ซ้ายมือมีป้ายบอกครับ

    ตอนนี้ที่วัดสันติวนาราม หรือวัดเขาน้ำตกกำลังมีโครงการก่อสร้าง พระอุโบสถหลังใหญ่ ซึ่งต้องใช้งบประมาณมหาศาล และตอนนี้อยู่ในช่วงวางเสาเข็ม ซึ่งท่านสามารถร่วมเป็นเจ้าภาพได้ โดยการไปหาท่าน ถวายปัจจัยท่านที่วัดได้เลย ท่านใจดีมาก พระดีอีกรูปใน จ.จันทบุรี ซึ่งหากราบได้ยาก (เพราะพระดีๆท่านไม่เปิดตัว กว่าเราจะรู้ก็แก่ลงไปมากแล้ว)


    โดยร่วมเป็นเจ้าภาพร่วมสร้างเสาเข็ม

    เสาเข็มต้นใหญ่ 156 ต้น ต้นละ 30,000 บาท
    เสาเข็ม ต้นเล็ก 359 ต้น ต้นละ 3,500 บาท

    หรือตามกำลังศรัทธา ไม่จำกัดว่าต้องทำทั้งต้นก็ได้ ความจริงแล้วมีผู้ศรัทธาในองค์หลวงพ่อจะเป็นเจ้าภาพเสาเข็มกับเกือบทั้งหมด แต่หลวงพ่ออยากให้ผู้มีจิตศรัทธาทุกคนมีโอกาสร้างกันได้อย่างทั่วถึง จึงได้บอกบุญกันให้ทั่วๆ
    เพราะมองดูแล้วหลวงพ่อท่านสร้างแบบมาตรฐานแข็งแรงมาก ให้คงอยู่ได้นานเท่านาน และคาดว่าถ้าพระอุโบสถหลังนี้สำเร็จลง ต่อไปก็น่าจะมีผู้ศรัทธาหลั่งไหลกันมาปฏิบัติธรรมกันอย่างเนืองแน่น หลวงพ่อก็จะเป็นกำลังหลักในการเผยแพร่พระธรรมคำสอน ให้กับภิกษุ และศาสนิกชนทั้งหลายในอนาคต ซึ่งหลวงพ่อบุญส่งนี้ ท่านอุทิศแรงกายแรงใจเพื่อทำงานพระศาสนามาโดยตลอดอย่างไม่ห่วงสุขภาพของสังขาร และทำองค์ท่านให้เป็นแบบอย่างให้กับภิกษุและฆราวาสรุ่นต่อไปที่จะเป็นกำลังได้อีกในอนาคตครับ

    อานิสงส์สร้างพระอุโบสถ

    1.ก่อให้เกิดความสุข ความร่มเย็นในชีวิตและครอบครัว เปรียบเหมือนกับการได้สร้างบ้าน สร้างที่อยู่อาศัย ให้ความร่มเย็นกับชีวิต

    2.ก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในชีวิตและทรัพย์สิน เพราะว่าอุโบสถเป็นที่ประกอบศาสนพิธี ที่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้ได้เจริญ รุ่งเรืองและเป็นที่เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละและปฏิภาณ จึงทำให้ก่อเกิดซึ่งความเจริญในชีวิตและทรัพย์สิน

    3.ก่อให้เกิดสติปัญญา ความเฉลียวฉลาด เพราะอุโบสถเป็นที่ทำสังฆกรรมของพระ ไม่ว่าจะเป็นการทำวัตรสวดมนต์ การบวชนาค (อุปสมปทกรรม) การสวดปาฏิโมกข์ (อุโบสถกรรม) การปวารณา (ปวารณากรรม) รวมทั้งเป็นสถานที่มีประโยชน์แก่พระพุทธศาสนามากมาย ซึ่งเป็นหนทางที่ก่อให้เกิดปัญญา

    4.ก่อให้เกิดความรักใคร่สามัคคีในบ้านและที่ทำงาน เพราะอุโบสถเป็นที่ทำสังฆกรรมของพระ และจัดกิจกรรมของชาวบ้าน ที่มาร่วมทำบุญต่างๆ จึงก่อเกิดอานิสงส์ของความรัก ความสามัคคี

    หมายเหตุ""
    1.บริจาคสร้างอุโบสถแม้เพียง 1 บาท ทรัพย์นั้นจะอยู่คู่กับอุโบสถนานไปชั่วลูกชั่วหลาน จนกว่าอุโบสถนั้นจะพังทลายหมดอายุลง

    2.การสร้างอุโบสถถวายสงฆ์ มีอานิสงส์มาก เพราะวัดหนึ่งๆ มีอุโบสถได้เพียงหลังเดียว ดังนั้นการร่วมสร้างอุโบสถ 1 หลังเปรียบเหมือนกับการร่วมสร้างวัด 1 วัด

    3.การที่จะสร้างอุโบสถให้สำเร็จได้ ต้องมีอธิษฐานธรรม 4 ประการ คือ

    3.1 การมีปัญญา คือการเล็งเห็นโทษของความโลภหรือการที่คิดว่าจะสร้างคนเดียว เพราะการสร้างอุโบสถนั้นมีค่าการก่อสร้างสูง เราต้องช่วยกันบอกบุญต่อๆกัน เป็นการกระจายบุญกันด้วย
    3.2 การมีสัจจะ คือการพูดจริง ใจจริง การกระทำจริง ในการที่จะทำ
    3.3 ความเสียสละ คือการร่วมมือร่วมใจกันบริจาคทรัพย์สินและแรงกายในการก่อสร้างตามกำลังทรัพย์
    3.4 การมีอุปสมะ คือความสงบใจ ไม่ยอมให้อะไรมาทำให้เกิดความท้อถอย เลิกรากลางคัน





    .
     
  3. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,582
    ค่าพลัง:
    +30,871
    ใช่ครับ ท่านเป็นพระสายป่ากรรมฐาน แต่ผมยังไม่เคยได้เจอท่านเลยครับ :'(
     
  4. ทุเรียนทอด

    ทุเรียนทอด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,329
    ค่าพลัง:
    +57,981


    โอ้โห.... มีแต่ของหายากทั้งน้าน.. ขอบคุณากครับที่นำมาเผยแพร่เป็นวิทยาทานกัน

    [​IMG]
    สมเด็จองค์นี้ เป็นสมเด็จที่นำผงพุทธคุณต่างๆ รวมถึงผงพุทธะมงคลขององค์หลวงปู่พิศดู มากดพิมพ์ มีน้อยมากๆ สร้างเอาไว้ใช้กันเองในหมู่ลูกศิษย์ไม่กี่คนเท่านั้น ที่สำคัญต้องมีปั๊มโค๊ต ธมฺมจารี ที่ด้านหลังทุกองค์ ไม่อย่างนั้นอาจจะเข้าใจกันว่าเหมือน พระพิมพ์สมเด็จที่ลูกศิษย์ผู้สร้างล็อกเก็ตรุ่นพ่อลูก ปรกโพธิ์.jpg ปรกโพธิ์ หลัง.jpg นำผงที่เหลือมากดพิมพ์ ไว้เป็นที่ระลึกการสร้างครับ



    [​IMG] [​IMG]

    ชุดนี้ชุดใหญ่เลย เริ่มจาก..
    รูปหล่อรุ่นแรก(ตัวจริง)
    เหรียญรุ่น 2 (หายากมาก)
    รูปหล่อพระอมหาอุปคุต ที่ลูกศิษย์จาก จ.ระยอง เช่ามาแล้วนำมาถวายให้หลวงปู่อธิษฐานจิต หลวงปู่สั่งให้ไปตอกโค๊ต และย้อมสีทองทุกองค์
    พระผงรูปเหมือนรุ่นแรก เนื้อดินผสมผง
    พระธรรมจักร เนื้อผง ที่ลูกศิษย์ทาง จ.ระยองนำมาถวายให้องค์หลวงปู่ท่านแจก
    เบี้ยแก้
    ล็อกเก็ตหน้าหนุ่ม2 หรือล็อกเก็ตรุ่น 9
    ล็อกเก็ตรุ่นปาฏิหาริย์ หรือล้อกเก็ตรุ่น 5 ที่ด้านหลังเจ้าของฝังสิ่งมงคลไว้ใช้เอง มีน้อยมาก
    ล็อกเก็ตพ่อลูก หรือล็อกเก็ตรุ่น 10 ฉากทอง หายากสุดๆ ที่ด้านหลังฝังสิ่งมงคลไว้ใช้เอง มีน้อยมาก
    ล็อกเก็ตรุ่น 2 ฉากสีเขียว
    ล็อกเก็ตรุ่น 3 ที่ด้านหลังฝังสิ่งมงคลไว้ใช้เอง มีน้อยมาก



    [​IMG] [​IMG]

    องค์นี้ผมจำได้ เป็นพระผงรูปเหมือนรุ่นแรก สร้างปี 2520 ทำจากผงพุทธะมงคลของหลวงปู่ล้วนๆ ด้านหลังมีจาร
    และตะกรุดคู่กาย ที่องค์หลวงปู่เมตตาจารอักขระให้ มีไม่กีคนที่ได้ สำคัญมากๆเลยครับ รักษาเอาไว้ดี่ๆเด้อ..อ้าย ^^


    [​IMG]
    ส่วนองค์นี้ ผมจะขออนุญาติตอบให้อีกที เนื่องจากอยากจะตอบให้แบบเต็มๆเลย รวมทั้งประวัติการสร้าง จำนวน และรายละเอียดต่างๆ เป็นวัตถุมงคลที่ทันองค์หลวงปู่อีกรุ่นที่ยังไม่ได้ลงครับ รุ่นนี้น่าใช้มากๆ แต่ขอยกไว้ก่อนครับผม


    ขอขอบคุณพี่หอยสังข์หลายๆ ที่นำภาพวัตถุมงคลเหล่านี้มาเผยแพร่เป็นบุญตานะครับ




    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2011
  5. หอยสังข์

    หอยสังข์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    774
    ค่าพลัง:
    +7,662
    ขอบคุณมากครับที่ตอบเรื่องวัตถุมงคลขออณูญาติเผยแพร่เป็นวิทยาทานสำหรับพระชุดนี้เก็บไว้นานแล้ว ส่วนตะกุดกับพระรุ่นแรกมีศิทย์ใจดีให้มาขอไว้ใช้นานแล้วเป็นพระชุดเก่งเลยครับท่านพี่น้อง จัดมาให้เต็มๆ สำหรับเรื่องที่จะร่วมบุญกับพ่อบุญส่ง ไม่ทราบว่ามีที่อยู่ของวัดมีคนถามว่าส่งปัจจัยใสซองส่งจดหมายไปได้ไหมครับเพราะว่าบางคนไม่มีเวลาไปแต่ศรัทธาอยากร่วมบุญ ช่วยหาวิธีให้หน่อยครับ ถ้าเพื่อนสมาชิกมีโอกาสอย่าพลาดบุญนี้น็ะครับ เพื่อสืบทอดศาสนาให้อยู่คู่โลกตราบนานเท่านาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2011
  6. ทุเรียนทอด

    ทุเรียนทอด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,329
    ค่าพลัง:
    +57,981


    ว้าว..ท่านกวาวชไม ผ้ายันต์สวยดีนะครับ

    ผ้ายันต์ชุดนี้เป็นผ้ายันต์พระมหาอุปคุตจกบาตร เขียนสดๆและจารอักขระตัวเมืองด้วยมือเกจิฆราวาสจอมขมังเวท สายภาคเหนือครับ ผ้ายันต์รุ่นนี้พระเกจิอาจารย์สายล้านนาปลุกเสก และเข้าพิธีตักบาตรพระมหาอุปคุตที่วัดเทพธารทอง ในวันพุธ ขึ้น15 ค่ำ ตรงกับวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2553 สร้างน้อยมาก มีเพียงไม่เกิน 20 ผืนครับ

    พุทธคุณ: มีโชคมีลาภ เหลือกินเหลือใช้ แคล้วคลาดปลอดภัย ตลอดไปครับ



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2011
  7. ศิษย์ต่างแดน

    ศิษย์ต่างแดน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,011
    ค่าพลัง:
    +3,448
    สวัสดีครับพี่่ทุเรียน จัดสวดพระอภิธรรมถวายหลวงปู่ ครั้งต่อ่ไปวันเสาร์ที่ 2 ใช่ไหมครับ
     
  8. ศิษย์ต่างแดน

    ศิษย์ต่างแดน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,011
    ค่าพลัง:
    +3,448
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    ขอบคุณครับพี่หอยสังข์ที่นำมาให้ชม จะรออ่านประวัติกับพี่ทุเรียนต่อ
     
  9. ทุเรียนทอด

    ทุเรียนทอด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,329
    ค่าพลัง:
    +57,981

    สวัสดีครับคุณ anuchang

    ใช่ครับ ลองพิจจารณาดูสิครับว่า ตำหนิต่างๆ แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดครับ (แต่ภาพถ่ายออกมาให้สีเพี้ยนจากของจริงไปหน่อยครับ)

    [​IMG][​IMG]



    [​IMG][​IMG]


    ต้องขอขอบคุณ คุณ anuchang มากครับที่นำรูปเหรียญมาลงให้เป็นวิทยาทานกันครับ สาธุ



    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. จันท์คับ

    จันท์คับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,334
    ค่าพลัง:
    +11,056
    [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    กราบหลวงปู่พิศดู สวัสดีครับพี่ทุเรียนทอดและสมาชิกทุกท่าน ขอบคุณมากครับท่านพี่หอยสังข์ที่นำมาให้ชมเป็นบุญตา กรุใหญ่เลยนะครับนี่ สาธุ:cool:
     
  11. เฉียวฟง

    เฉียวฟง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,190
    ค่าพลัง:
    +4,913
    [​IMG]

    กราบหลวงปู่พิศดู สวัสดีคุณทุเรียนทอดและสมาชิกทุกท่านครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. ทุเรียนทอด

    ทุเรียนทอด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,329
    ค่าพลัง:
    +57,981

    สวัสดีครับอาจารย์ ใช่แล้วครับ จัดสวดพระอภิธรรมถวายองค์หลวงปู่ ครั้งต่อไป วันเสาร์ที่ 2 ครับ แต่บังเอิญผมไม่อยู่ครับต้องไปเลือกตั้งที่กรุงเทพฯ น่าจะกลับวันที่ 4 ครับ
     
  13. ทุเรียนทอด

    ทุเรียนทอด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,329
    ค่าพลัง:
    +57,981
    สวัสดีครับ ป๋าบัติ พี่เฉียวฟง คุณจันท์คับ และสมาชิกทุกๆท่านครับ ดึกคืนนี้ที่จันทฝนตกหนักครับ ทุกท่านคงหลับสบาย แต่ผมต้องตอบกระทู้เสร็จก่อนค่อยนอนครับ เพราะเพิ่งเลิกงาน เจ้านายใจร้าย..ครับ แหะแหะ


     
  14. ทุเรียนทอด

    ทุเรียนทอด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,329
    ค่าพลัง:
    +57,981
    ขุนแผน  .jpg ขุนแผน 2 .jpg
    พระผงพุทธะมงคล
    พระยอดขุนพลแห่งเมืองจันทบูรณ์
    (พิมพ์ขุนแผน แหวกม่าน ซุ้มเรือนแก้ว)


    พระผงชุดนี้จัดสร้างโดยท่านผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จ.ชลบุรีและคณะ โดยได้ขออนุญาติองค์หลวงปู่พิศดู จัดสร้างอย่างเป็นทางการ เพื่อแจกจ่ายให้แก่ ญาติสนิทมิตรสหาย และผู้ใต้บังคับบัญชาได้มีไว้บูชาเพื่อความเป็นศิริมงคล โดยจัดสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 หลวงปู่อธิษฐานจิตให้เป็นกรณีพิเศษและยังตั้งชื่อพระรุ่นนี้ด้วยว่า " พระผงพุทธะมงคล "
    นอกจากนี้ยัง ได้รับความเมตตาจาก หลวงปู่เปรี่ยม วัดโพธิ์เรียง , หลวงปู่มหาปลอด วัดโพธิ์นิมิตร อธิษฐานจิตอีกเป็นกรณีพิเศษสุด
    โดยคณะท่านผู้สร้างได้นำมวลสารต่างๆมาผสมมากมาย อาทิ..
    - ผงพุทธะมงคล ของหลวงปู่พิศดู ที่สร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.2520
    - ผงพรายกุมารหัวเชื้อ ของหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่
    - ผงพรายกุมาร ของหลวงพ่อเต๋ , หลวงพ่อแย้ม วัดสามง่าม
    - ผงพรายเจ้าเงาะ ของหลวงปู่ทอง วัดเกาะ
    - สีผึ้ง ของหลวงปู่พิศดู
    - สีผึ้ง ของหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่
    - สีผึ้งเขียว ของหลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง
    - สีผึ้งเกจิอาจารย์ต่างๆ จำนวนมาก
    - น้ำมันเมตตา จากที่ต่างๆ
    - ผงอิทธิเจ ของหลวงพ่อสละ วัดประดู่ทรงธรรม
    - ผงพระขุนแผนต่างๆ จำนวนมาก
    - ชาญหมากหลวงปู่คำบุ
    - ข้าวก้นบาตร ของหลวงปู่พิศดู
    - กล้วยเสก ของหลวงปู่พิศดู
    - น้ำผึ้งเสก ของหลวงปู่พิศดู
    - ผงไม้เทพธาโร ของหลวงปู่พิศดู
    - ผงว่านยา ของหลวงปู่เชย เขาเจ้าหลาว
    - ผงพญาไก่กุก
    - ว่านเมตตาต่าง อาทิ ว่านเสน่จันทร์ ,ว่านสาวหลง , ว่านดอกไม้ทอง , ...ฯลฯ
    - ว่าน 108 ชนิด
    - เกษรดอกไม้มงคล
    - ผงพุทธคุณของเกจิอาจารย์ต่างๆ อีกจำนวนมาก
    - ............. ฯลฯ

    [​IMG]
    ในการนี้ก่อนที่จะทำการกดพิมพ์พระ ท่านครูบากฤษดาได้เมตตาทำพิธี เจิมแท่นพิมพ์ และแม่พิมพ์ให้ก่อนเพื่อความเป็นศิริมงคล จากนั้นได้กดพิมพ์เป็นปฐมฤกดิ์ไว้อีก 21 องค์ด้วย
    จำนวนพระที่สร้างทั้งหมด 1,400 องค์
    กดพิมพ์นำฤกดิ์ 21 องค์

    ลักษณะของ พระพุทธพิมพ์
    ออกแบบได้สวยงามลงตัวอย่างมาก และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของทางวัดเอง ไม่ซ้ำแบบของใคร..

    ด้านหน้า
    เป็นรูปพระพุทธเจ้าประทับนั่งขัดสมาธิเพชรปางมารวิชัย อยู่ในซุ้มเรือนแก้วมีม่านแหวกออก สื่อแสดงถึงความหมายในการแหวกปัญหาอุปสรรคต่างๆ ให้เปิดออกพบหนทางสว่าง ที่สดใสราบรื่น โดยด้านซ้าย-ขวา จะมีเทวดาองค์น้อยนั่งคุกเข่าพนมมืออยู่ข้างๆ ด้านบนทางซ้ายมือเรา มีอักขระคาถาอ่านว่า นะจังงังพระอะระหัง ด้านบนทางขวามือเรา มีอักขระคาถาอ่านว่า พุทโธโสทายะ ซึ่งเป็นคาถานะจังงัง มีอานุภาพในทางเป็นที่ต้องตาต้องใจให้ผู้คนเมตตา ตะลึง งวยงง หลงไหล..

    ด้านหลัง
    เป็นอักขระยันต์ต่างๆ โดยยันต์ประธานตรงกลางเป็นยันต์มหาอำนาจ(ซึ่งนอกจากจะดีเด่นทางด้านเมตตาแล้ว ยังต้องมีอำนาจวาสนาด้วยจึงถือว่าครบเครื่องพระยอดขุนพลเมืองจันทบูรณ์) อักขระแนวตั้งด้านซ้าย-ขวาเป็นพระคาถาหัวใจนกยูงทอง อ่านว่า นะโมวิมุตตานัง นะโมวิมุตติยา ซึ่งคาถาหัวใจนกยูงทองนี้ หลวงปู่พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโตได้เคยใช้และถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์รุ่นต่อๆมา ซึ่งมีอานุภาพเด่นในเรื่อง เมตตา และแคล้วคลาดปลอดภัย จึงถือได้ว่าเป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ประจำสายพระป่า เหนือขึ้นไปอีกเป็นยันต์พระพุทธเจ้าเรียกนางภิกษุณี มีอานุภาพในทางเมตตามหานิยม และโชคลาภความสำเร็จต่างๆ ส่วนด้านล่างสุดคือ ชื่อ-ฉายา และชื่อวัด ขององค์ หลวงปู่พิศดู ธมฺมจารี วัดเทพธารทอง

    งดงามด้วยพุทธศิลป์....เปี่ยมล้นพุทธานุภาพ....เอกลักษณ์แห่งความเมตตาในสากล....พระผงพุทธะมงคล ยอดขุนพลเมืองจันทบูรณ์..



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  15. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,582
    ค่าพลัง:
    +30,871
    สวยงามมากครับ แล้วเมื่อไหร่เจ้าของกระทู้จะเอามาแจกครับอิๆๆ(ล้อเล่น) รู้ว่ายังไม่ได้แต่ถ้ามีเมื่อไหร่รับมาเผื่อด้วยนะครับ
     
  16. ebee

    ebee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +763
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ทุเรียนทอด [​IMG]
    เรื่อง จิตขององค์หลวงปู่พิศดูถือได้ว่าไวมากๆ บางทีเวลาท่านเสกของให้ใครท่านแค่จับ แล้วก็ส่งคืนเลยก็มี บางทีท่านก็สวดมนต์ให้เพียงจบเดียวแล้วก็บอกว่าดีแล้วพอแล้ว ผมเองเคยเอามีดหมอสวยๆที่มีคนซื้อมาฝากจากนครสวรรค์ เอามาให้องค์หลวงปู่ท่านเสก ท่านก็แค่รับมาแล้วก็ส่งคืนให้เลยทันที ก็มีบางคนสงสัยว่าไม่เห็นหลวงปู่ท่านเสกคาถาสักบทเดียว ผมก็บอกว่า แค่ ผ่านมือครูบาอาจารย์เท่านั้นก็ดีแล้ว ไม่ต้องนานก็ได้ ที่เสกให้นานๆนั้นก็เป็นกำลังใจให้เท่านั้น แต่ของนั้นเต็มที่ตั้งแต่ท่านคิดแล้ว เป็นธรรมดาสำหรับท่านครูบาอาจารย์ระดับสูงอย่างเช่นองค์หลวงปู่ ท่านเปรียบเสมือนแหล่งพลังงานอันมหึมา มหาศาลสุดจะประมาณ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ยังแต่ทำให้ที่นั้นและภพภูมิแถบนั้นเจริญงอกงาม สว่างไสวยิ่งๆขึ้นไป อย่างที่ท่าน ธมฺมสิทโธ บอกนั่นแหละครับว่า สิ่งไหน สิ่งใด ที่องค์หลวงปู่ ได้จับ หรือ ได้ไปวางในห้องหลวงปู่ ถือว่าสุดยอดทั้งนั้น อัน นี้เรื่องจริงครับ ลูกศิษย์ขององค์หลวงปู่รู้กันดีที่สุด เพราะได้แค่เอามาวางไว้ในห้องเท่านั้นก็มีอานุภาพได้อย่างไม่ต้องไปนั่งปรก ให้เมื่อยเลย มีตัวอย่างอีกเรื่องที่ผมได้เจอกับตัวเอง ผมเองเมื่อก่อนชอบเรื่องวัตถุมงคลมาก(เดี๋ยวนี้ก็ยังชอบ) โดยเฉพาะเครื่องรางประเภทป้องกันคุณไสย อยู่ยงคงกระพัน ฯลฯ ผมเคยแกะสลักไม้เป็นรูป คน(เพื่อทำหุ่นพยนต์) และวัว(ธนู) พอทำเสร็จก็เอาไปแอบวางไว้ในห้องของหลวงปู่บ้าง แอบไว้ตรงตู้หนังสือบ้าง ใต้เตียงบ้าง ซึ่งก็แล้วแต่จังหวะอันจะพึงเหมาะสม แต่สำหรับหุ่นพยนต์และวัวธนูนั้นผมแอบวางไว้บนตู้หนังสือที่กุฏิหลวงปู่และ ไม่ได้บอกให้ใครทราบ ผมวางไว้ประมาณไม่ถึงเดือน ก็ได้นำออกมาเอาไปให้หลวงปู่องค์หนึ่งที่กรุงเทพฯเสกต่อ เพื่อจะได้ขลังๆ แต่พอเอาของเหล่านั้นมาให้ท่านเสก หลวงปู่องค์นั้นกลับไม่เสกให้ ตอนแรกก็ทำท่านจะเสก แต่พอหลับตาไปได้ไม่ทันถึง 3 วินาที ท่านก็บอกว่า " นี่ของใคร ใครเป็นคนเสก องค์นี้เก่งมากเลยนะ ท่านอยู่ที่ไหน ของท่านเสกมาดีแล้วว่ะ ไม่ต้องเสกแล้ว " ผม ก็เลยต้องกลับบ้าน แต่พอมาวันหลัง ผมก็เอาของนั้นไปให้ท่านเสกอีก แต่ทีนี้ผมเอาใส่ไว้ในถุงผ้าไม่สามารถมองเห็นได้ พอหลวงปู่องค์นั้นรับมา ท่านก็กำลังจะเสกให้แต่ก็กลับไม่เสกอีก ท่านก็พูดเหมือนอย่างที่เคยพูดมาก่อนหน้าว่า " ของท่านดีอยู่แล้วไม่ต้องเสก จะเสกอีกทำไม "ผม เองด้วยความที่อยากจะให้ของมันขลังๆ ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ครูบาอาจารย์แต่อย่างไร แต่ถ้าหากเราเอาของที่อื่นให้ท่านเสก หรือเอาของที่ยังไม่ได้เคยเสกมาให้ท่านเสกท่านก็เสกให้ทุกครั้ง แต่น่าแปลกมากที่เอาขององค์หลวงปู่พิศดูให้ท่านเสกท่านกลับไม่เคยเสกเลย แม้แต่ครั้งเดียว จนมีอีกวันหนึ่งผมไปหาหลวงปู่องค์นั้นกับเพื่อนอีก 3 คน ไปคราวนี้ก็ไปทำบุญกับท่านและก็เอาของไปให้ท่านเสกอีก โดยเพื่อนผมเอาพระที่พวกเขาใส่กัน และที่มีอยู่ในกระเป๋าไปให้หลวงปู่องค์นี้เสก โดยเอาใส่กองรวมไว้ในถาด ผมเองก็เอาหุ่นพยนต์ที่แอบให้หลวงปู่พิศดูเสกตัวเดิมแต่คราวนี้ผมแปลงโฉม ใหม่จัดใส่เครื่องทรงแบบเสื้อเกราะมีดาบเหน็บอยู่ที่เอวแอบซุกเอาไว้ในถาด ด้านล่างสุดเพื่อที่ต้องการให้หลวงปู่องค์นั้นท่านเสกให้ แต่พอหลวงปู่ท่านนั้นยกถาดขึ้นมาหลับตาเสกไม่ถึง 3 วินาที ท่านก็วางถาดลง แล้วก็เอามือแหวกๆหยิบเอาหุ่นพยนต์ตัวเดิมนั้นออกมาแล้วก็พูดขึ้นมาว่า " อะไรวะเนี่ย 555 ของใครเนี่ย..ของเขาดีอยู่แล้วนี่หว่าจะเอามาเสกอีกทำไมวะ โอ้ย....ไม่ต้องเสกแล้ว พอแล้ว " แล้ว ท่านก็วางหุ่งพยนต์นั้นลงข้างๆ แล้วก็หยิบพระในถาดมาเสกต่อไปอีก พอเสกเสร็จท่านก็บอกว่าพระในถาดนี่ก็มีดีหลายองค์นะ(แต่ท่านก็ยังเสก)

    รบกวนคุณทุเรียนทอดหรือท่านเด็กไทรน้อยพอะจะบอกได้ไหมครับว่า
    หลวงปู่ท______ คือหลวงปู่ท่านใดครับ...เผื่อจะไปกราบท่านบ้างน่ะครับ
    แจ้งทาง pm ก็ได้ครับ...
    ขอบคุณครับ...

     
  17. ฌานกร

    ฌานกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,433
    ค่าพลัง:
    +14,651
    ข้อนี้ผมเองก็มีความเชื่อเช่นนั้น และมั่นใจอย่างยิ่ง มีเรื่องเล่าให้ฟังครับ ในงานวันพระราชทานเพลิงศพองค์หลวงตามหาบัว ผมก็ไปงานนี้ด้วยและได้ไปกราบพ่อแม่ครูอาจารย์หลายรูป (ส่วนใหญ่เป็นพระมหาเถระ สายวัดป่าครับ) มีหลวงปู่รูปหนึ่งผมจำชื่อท่านไม่ได้ครับ "มีลูกศิษย์คนหนึ่งถามขึ้นมาว่าขาดเสาหลักไปแล้ว จะเป็นต่อไปอย่างไรครับหลวงปู่ หลวงปู่ท่านตอบว่าต้นไม้ใหญ่ล้ม ก็มีต้นไม้เล็กขึ้นมาแทน อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ มีหลักให้ลูกศิษย์ลูกหายึดเหนี่ยวต่อไปอยู่แล้วไม่ต้องห่วง เก่าไปใหม่มา บ่ต้องห่วงเด้อลูกหลานเด้อ" ผมอาจจะถ่ายทอดไม่เหมือนคำพูดจริง แต่ท่านพูดประมาณนี้ครับ ต้องกราบขอขมาแด่พระแม่ครูอาจารย์ที่ลูกหลานได้นำคำกล่าวมาเผยแพร่ด้วยนะครับ เพื่อต้องการเทิดทูนครูบาอาจารย์จริงๆ ไม่ได้มีจิตที่ลบหลู่แต่ประการใดครับ
     
  18. ธมฺมสิทโธ

    ธมฺมสิทโธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +714
    หลวงปู่พิศดู ธมฺมจารี กับ จิตพระอริยะ

    ตามที่ผมได้เคยเล่า เกี่ยวกับ เจโตปริยญาณ ขององค์หลวงปู่พิศดู ธมฺมจารีไว้ ว่าทำไมพระอรหัตน์ ใช้เจโตปริยญาณ มองดูจิตมนุษย์ทั่วไป รู้ได้อย่างไร? ว่าคนนั้นจิตสีอะไร? อารมณ์คนนี้เป็นอย่างไร ? ทำไมท่านจึงรู้ได้ ผมได้ไปค้นเอกสารหรือตำราคิดว่าน่าสนใจต่อสมาชิก จึงนำมาลงให้อ่านกัน คิดว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย ก่อนอื่นขอแก้ไข เกี่ยวกับองค์หลวงปู่พิศดู ธมฺมจารี คำว่า"กายทิพย์ "มาเป็น "กายแก้ว"

    เจโตปริยญาณ แปลว่า รู้ใจคน คือรู้อารมณ์จิตใจคนและสัตว์ ว่าขณะนี้เขามีอารมณ์จิตเป็นอย่างไร มีความสุขหรือทุกข์ หรือมีอารมณ์ผ่องใส เพราะไม่มีอะไรมารบกวนจิตในให้ขุ่นมัว ที่เรียกว่าอุเบกขารมณ์ คืออารมณ์เฉยๆ ไม่มีสุขและทุกข์เจือปน รู้จิตของผู้นั้น แม้แต่จิตของเราเองว่า มีกิเลสอะไรเป็นกิเลสนำ คือมีอะไรกล้า ในขณะนี้จิตของผู้นั้นเป็นจิตประกอบด้วยกุศลหรืออกุศล เป็นจิตของท่านผู้ทรงฌานหรือเป็นจิตของผู้นั้นเป็นจิตประกอบด้วยกุศลหรืออกุศล เป็นจิตของท่านผู้ทรงฌานหรือเป็นจิตประกอบด้วยนิวรณ์รบกวน เป็นพระอริยะชั้นใด การจะรู้จิตของท่านผู้ใดว่า มีอารมณ์จิตของผู้ทรงฌาน หรือเป็นพระอริยะอันดับใดนั้น เราเองต้องเป็นผู้ทรงฌานเดียวกันหรือสูงกว่า การจะรู้ว่าท่านผู้นั้นเป็นพระอริยะเจ้าหรือไม่และระดับใดเราก็ต้องเป็นพระอริยด้วยและมีระดับเท่าหรือสูงกว่า ท่านมีฌานต่ำกว่าจะรู้ระดับฌานของท่านผู้ได้ฌานสูงกว่าไม่ได้ ท่านที่ไม่ได้ทรงความเป็นอริยะ จะรู้คุณสมบัติทางจิตของพระอริยะไม่ได้ ท่านที่เป็นพระอริยะต่ำกว่า จะรู้ความเป็นพระอริยะสูงกว่าไม่ไดกฏนี้เป็นกฏตายตัวควรจดจำไว้อย่างพยากรณ์บุคคลผู้ทรงคุณสูงกว่า ถ้าไม่ได้อะไรเลย ก็จงอย่ากล้าพยากรณ์ เพราะการพยากรณ์พลาดจากความเป็นจริง มีโทษหนักในทางปฏิบัติ เพราะเรากลายเป็นโมฆีโยคีไป คือประกอบความเพียรด้วยการไร้ผล ในฐานนะที่อาจเอื้อมยกตนเหนือพระอริยะ เป็นกรรมหนักมาก ควรละเว้นเด็ดขาด

    สีของจิต สีของจิตนี้ ในที่บางแห่งท่านเรียกว่า "น้ำเลี้ยงจิต" ปรากฏเป็นสีออกมาโดยอาศัยอารมณ์ของจิตเป็นตัวเหตุสีนั้นบอกถึงจิตเป็นสุข เป็นทุกข์ อารมณ์ขัดข้องขุ่นมัวหรือผ่องใส ท่านโบราณาจารย์ ท่านกล่าวไว้ดังนี้
    ๑. จิตที่มีความยินดีด้วยการหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่ง กระแสจิตมีสีแดงปรากฏ
    ๒.จิตที่มีอารมณ์โกรธ หรือมีความอาฆาตจองล้างจองผลาญ กระแสจิตมีสีดำ
    ๓.จิตที่มีความผูกพันด้วยความลุ่มหลง เสียดายห่วงใยในทรัพย์สิน และสิ่งที่มีชีวิตกระแสจิตมีสีคล้ายน้ำล้างเนื้อ
    ๔. จิตที่มีกังวล ตัดสินใจอะไรไม่ได้เด็ดขาด มีความวิตกกังวลอยู่เสมอ กระแสจิตมีสีเหมือนน้ำต้มถั่วหรือน้ำซาวข้าว
    ๕.จิตที่มีอารมณ์น้อมไปในความเชื่อง่าย ใครแนะนำอะไรก็เชื่อ โดยไม่ใครจะตริตรองทบทวนหาเหตุผลว่าควรหรือไม่เพียงใด คนประเภทนี้เป็นประเภทที่ถูกต้มตุ๋นเสมอ ๆ จิตของคนประเภทนี้กระแสจิตมีสีเหมือนดอกกรรณิการ์ คือสีขาว
    ๖.คนที่มีความเฉลียวฉลาด รู้เท่าทันเหตุการณ์เสมอ เข้าใจอะไรก็ง่าย เล่าเรียนก็เก่ง จดจำได้ดี ปฏิภาณไหวพริบก็ว่องไว คนประเภทนี้ กระแสจิตมีสีผ่องใสคล้ายแก้วประกายพรึกหรือในบางแห่งท่านว่า คล้ายน้ำที่ปรากฏกลิ้งอยู่ในบัว คือมีสีใสคล้ายเพชร
    สีของจิตโดยย่อ
    เพื่อประโยชน์ในการสังเกตง่ายๆ แบ่งสีของจิตออกเป็นสามอย่าง คือ
    ๑.จิตมีความดีใจ เพราะผลอย่างใดอย่างหนึ่ง กระแสจิตมีสีแดง<O:p</O:p
    ๒.จิตมีทุกข์เพราความปรารถนาไม่สมหวัง กระแสจิตมีสีดำ
    . จิตบริสุทธิ์ผ่องในไม่มีกังวล คือสุขไม่กังวล ทุกข์ไม่เบียดเบียน จิตมีสีผ่องใส<O:p</O:p
    กายในกาย มื่อรู้ลักษณะของจิตแล้วก็ควรรู้ลักษณะของกายในไว้เสียด้วยในมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึงกายในกายไว้ สำหรับนักปฏิบัติขั้นต้นก็ถือเอาอวัยวะ ภายใน เป็นกายในกาย ส่วนท่านที่ได้จุตูปปาตญาณแล้ว ก็ถือเอากายที่ซ้อนกายอยู่นี้เป็นกายในกาย กายในกายนี้มีได้อย่างไร ขอตอบว่า เป็นกายประเภทอทิสมานกาย คือดูด้วยตาเนื้อไม่เห็น ต้องดูด้วยญาณจึงเห็น ตามปกติกายในกาย หรือกายซ้อนกายนี้ก็ปรากฏตัวให้เจ้าของกายรู้อยู่เสมอในเวลากลับ ในขณะหลับนั้น ฝันว่าไปไหนทำอะไรที่อื่น จากสถานที่เรานอนอยู่ ตอนนั้นเราว่าเราไป และทำอะไรต่ออะไรอยู่ความจริงเรานอนและเมื่อไปก็ไปจริง จำเรื่องราวที่ไปทำได้บางคราวฝันว่าหนีอะไรมา พอตื่นขึ้นมาก็เหนื่อยเกือบตาย กายนั้นแหละที่เป็นกายซ้อนกาย หรือกายในกาย ตามที่ท่านกล่าวไว้ ในมหาสติปัฏฐาน ตามที่นักเจโตปริยญาณต้องการรู้ กายในกายแบ่งออกเป็น ๕ ขั้น คือ
    ๑. กายอบายภูมิ มีรูปร่างลักษณะ คล้ายกับคนขอทานที่มีแต่กายเศร้าหมดองอิดโรยหน้าตาซูบซีด ไม่ผ่องใส พวกนี้ตายแล้วไปอบายภูมิ
    ๒.กายมนุษย์ มีรูปร่างลักษณะค่อนข้างผ่องใส เป็นมนุษย์เต็มอัตรา กายมนุษย์นี้ต่างกันบ้างที่ มีส่วนสัดผิวพรรณ ขาวดำ สวยสดงดงามไม่เสมอกัน แต่ลักษณะก็บอดความเป็นมนุษย์ชัดเจน พวกนี้ตายแล้วเกิดเป็นมนุษย์อีก
    ๓.กายทิพย์ คือกายเทวดาชั้นกามาวจร มีลักษณะผ่องใส ละเอียดอ่อน ถ้าเป็นเทพชั้นอากาศเทวดา หรือรุกขเทวดาขึ้นไป ก็จะเห็นสวมมงกุฏแพรวพราว เครื่องประดับสวยสดงดงามมาก ท่านพวกนี้ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาชั้นกามาวจรสวรรค์
    ๔.กายพรหม มีลักษณะคล้ายเทวดา แต่ผิวกายละเอียดกว่า ใสคล้ายแก้วมีเครื่องประดับสีทองล้วน แลดูเหลืองแพรวพราวไปหมด ตลอดจนมงกุฏที่สวมใส่ ท่านพวกนี้ตายไปแล้ว ไปเกิดเป็นพรหม
    ๕.กายแก้ว หรือกายธรรม ที่เรียกว่าธรรมกายก็เรียก กายของท่านประเภทนี้เป็นกายของพระอรหันต์ จะเห็นเป็นประกายพรึกทั้งองค์ ใสสะอาดยิ่งกว่ากายพรหมและเป็นประกายทั้งองค์ ท่านพวกนี้ตายแล้วไปนิพพาน การที่จะรู้กายพระอรหันต์ได้ต้องเป็นพระอรหันต์เองด้วย มิฉะนั้นจะดูท่านไม่รู้เลย
    ตามที่กล่าวมา ตั้งแต่ข้อหนึ่งถึงข้อสี่นั้น กลาวว่า ท่านพวกนั้นตายแล้วไปเกิดที่นั้นๆ ก็หมายถึง ว่าท่านพวกนั้นไม่สร้างกรรมดี หรือกรรมชั่วที่มีกำลังแรงกว่าที่เห็นพวกไปสร้างกรรมดีหรือกรรมชั่วที่แรงกว่าก็ย่อมไปเสวยผลตามกรรมที่ให้ผลแรงกว่า
    เจโตปริยญาณมีผลตามที่กล่าวมาแล้วการรู้อารมณ์จิตนั้นมีประโยชน์มากโดยเฉพาะก็คือ การรู้อารมณ์จิตของตนเองนั่นและสำคัญมาก จะได้คอยสกัดกั้นอารมณ์ชั่วร้ายที่เป็นกิเลสและอุปกิเลสไม่ได้มาพัวพันกับจิต ด้วยการคอยตรวจสอบกระแสจิตดูว่าขณะนี้จิตเราจะมีสีอะไร ควรรังเกียจสีทุกประเภท อย่าให้สีทุกอย่างแม้แต่นิดหนึ่งปรากฏแก่จิต เพราะสึกทุกอย่างที่ปรากฏนั้น เป็นอาการของกิเลสทั้งสิ้น สีที่ต้องการและสนใจเป็นพิเศษก็คือสีในคล้ายแก้ว ควรแสวงหาให้มีประจำจิตเป็นอันดับแรก ต้องเป็นแก้วทั้งแท่ง อย่าให้มีแกนที่เป็นสีปนแม้แต่นิดหนึ่ง สีที่เป็นแก้วนี้เป็นอาการของจิตที่ทรงฌาน ๔ ท่านผู้ทรงฌาน หนึ่งหรือท่านเรียกว่า ปฐมฌานจะมีกระแสจิตเหมือนเนื้อที่ถูกล้างบางๆเคลือบหนามาก เห็นแกนในสั้นไม่เต็มดวง และเป็นแกนนิดหน่อย ท่านที่ทรงฌาน สี่ หรือจตตุถฌาน กระแสจิตจะดูเป็นแก้วทั้งดวง เป็นเสมือนก้อนแก้วลอยอยู่ในอก
    จิตของพระอริยะ
    ๑. ท่านที่มีอารมณ์วิปัสสนาญาณเล็กน้อย เรียกว่าได้เจริญวิปัสสนาญานพอมีผลบ้าง จะเห็นเริ่มมีประกายออกเล็กน้อย เป็นลักษณะบอกชัดว่า ท่านผู้นั้นได้เจริญวิปัสสนาญาณได้ผลบ้างแล้ว<O:p</O:p
    ๒. พระโสดาบัน กระแสจิตจะเกิดเป็นประกายคลุมจิตเข้ามา ประมาณหนึ่งในสี่ <O:p</O:p
    ๓.พระสกิทาคามี กระแสจิตมีประกายออกมาประมาณครึ่งหนึ่ง<O:p</O:p
    ๔. พระอนาคามี กระแสจิตจะเป็นประกายเกือบหมดดวง จะเหลือส่วนที่ไม่เป็นประกายนิดหน่อย <O:p</O:p
    ๕. ท่านได้บรรลุอรหันต์กระแสจิตจะเป็นประกายหมดทั้งดวง คล้ายดาวประกายพรึกลอยอยู่ในอกกระแสจิตที่เป็นประกายทั้งดวงนี้ ควรเป็นกระแสจิตที่นักปฏิบัติสนใจและพยายามแสวงหามาให้ได้ ถึงแม้ว่าจะต้องเสียชีวิต เพราะได้มาซึ่งกระแสจิตผ่องในเป็นประกายแล้ว ก็ควรเอาชีวิตเข้าแลกประกายจิตไว้ เพราะถ้าได้จิตเป็นประกายก็จะหมดทุกช์สิ้นกรรมกันเสียที มีพระนิพพานเป็นที่ไป จะพบแต่สุขอย่างประเสริฐ ไม่มีทุกช์ภัยเจือปนเลย<O:p</O:p
    ท่านที่ได้เจโตปริยญาณ มีผลเพื่อเสริมความบริสุทธิ์ผุดผ่องของจิตอย่างนี้และสามารถควบคุมจิตให้สะอาดผ่องใน ปราศจากละอองธุลี อันเป็นผลของกิเลสตลอดเวลา รวมทั้งรู้อารมณ์จิตของผู้อื่นด้วย การรู้อารมณ์จิต ของท่านผู้อื่นได้ก็มีประโยชน์มาก เพราะถ้ารู้ว่าท่านผู้ใดทรงคุณธรรมสูงกว่า เพราะกระแสจิตผ่องใสกว่า จนพยากรณ์ไม่ได้ แสดงว่าสูงกว่าเราด้วยคุณธรรมแน่แล้ว ก็ควรรีบเข้าไปกราบไหว้ ขอให้ท่านเป็นครูอาจารย์สั่งสอนเพื่อผลต่อไป ถ้าเห็นว่าด้วยกว่า ควรคิดให้อภัยเมื่อผู้นั้นล่วงเกินหรือพลั้งพลาด ถ้าเป็นครูสอนสมณธรรม ก็ได้ประโยชน์ จะได้ให้กรรมฐานที่พอเหมาะพอดีแก่อัชฌาสัยและจริตศิษย์ จะได้ผลว่องไวในการปฏิบัติ
    สำหรับกายในกายก็เหมือนกัน กายก็คือจิต จิตก็คือกาย เพราะเวลาถอดกายในออก ก็มีสภาพเป็นกาย ไม่ใช่เป็นก้อนเป็นแท่งตามที่คนทั่วไปคิด เมื่อถอดกายในกายออก กายใจจะปรากกฏตามบุญญาธิการที่สั่งสมอบรมไว้ ถ้าบุญมีผลเพียงเทวดา กายในกายก็จะมีรูปเป็นเทวดา เมื่ออกจากร่างนี้ไปสู่ภพอื่น ถ้ามีฌาน ร่างกายในก็จะปรากฏเป็นพรหม ถ้าหมดกิเลส กายในกายก็จะสดสะอาดมีประกายออก สว่างใสคล้ายแก้วสว่างมีแสงสว่างมาก ร่างอย่างนี้จะปรากฏเมื่อถอดกานในกายออกท่องเที่ยว
    เจโตปริยญาณนี้ นอกจากจะรู้ความรู้สึกนึกคิดของตนเองและสัตว์แล้ว ก็ยังรู้ภาวะของจิตใจคนและสัตว์ที่มีบุญและบาปสั่งสมไว้มากน้อยเพียงใด ที่มีประโยชน์มากที่สุดก็คือรู้อารมณ์จิตของตนเองว่า ขณะนี้เป็นจิตที่ประกอบด้วยกุศลหรืออกุศล จิตมีกิเลสอะไรสั่งสมอยู่มากน้อยเพียงใด กิเลสที่สำคัญก็คือ กิเลสที่เป็นอนุสัย คือกิเลสที่มีกำลังน้อยไม่ค่อยจะแสดงอาการปรากฏชัดเจนนัก แต่ก็ฟูขึ้นในบางขณะ ยามปกติก็มีอาการนิ่งสงบ เช่น อารมณ์สมถะที่เป็นอุปกิเลสของวิปัสสนาญาณ อารมณ์ของสมถะนั้นจะแสดงอาการสงบระงับแนบนิ่งมาก จนความไหวทางจิตในเรื่องความใคร่ ความโกรธแค้นขุ่นเคืองความสั่งสมผูกพันไม่มีอาการปรากฏ จนเจ้าของเองคิด่า เรานี่สำเร็จมรรคผลเสียแล้วหรือ แต่พอนานๆ เข้าก็มีฟูขึ้นน้อย ๆเกิดขึ้นในยามสงัด คือไม่มีวัตถุเป็นเครื่อง เช่น ครุ่นคิดถึงความสวยสดงดงามของรูป ความไพเราะเพราะพริ้งจากเสียง ความหอมหวานจากกลิ่นรสอันโอชะจากรสต่าง ๆและความนิ่มนวลของสัมผัส อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นในยามที่ว่างจากสิ่งเหล่านั้น แต่จิตคิดไปและจะระงับได้เพราะการพิจารณาในกรรมฐานที่มีอาการตรงกันช้าม เช่นอสุภะเป็นต้น ที่เป็นอย่างนี้เพราะกำลังฌานในสมถะ ก็มีกำลังที่จะกดขี่กิเลสให้สงบระงับแนบสนิทได้ แต่มิใช่ว่าทำลายกิเลสให้สิ้นอำนาจเด็ดขาด เป็นแต่ปรามให้สงบระงับไปได้ชั่วคราวเท่านั้น ในยามที่อำนาจสมถะปรามกิเลสให้สงบนี้ ท่านที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงหลงผิด คิดว่าสำเร็จมรรคผล ถ้าเราสำรวจตรวจจิตไว้เสมอตลอดวันเวลาแล้วเราก็จะทราบชัดว่า จิตเราสะอาดจริง หรือยังมีสิ่งโสมมแปดเปื้อนอยู่จะรู้ได้เพราะสีของจิตสีจะชัดหรือในจางก็ตามและจะเป็นสีอะไรก็ตามชึ้นชื่อว่าสีจะเป็นสีแดง สีดำ สีอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามเว้นไว้ แต่สีในและสึประกายพรึกเต็มดวงของจิต สีใสที่ไม่มีประกายหรือสีใสมีหระกายไม่เต็มยังมีสีใสปกติปนอยู่ ก็จงเร่งตำหนิตนเองได้แล้วว่า นี่เรายังคบความเลวไว้มากมายเพราะสึใสชื่อว่า เป็นสีประเสริฐ คือเป็นการแสดงออกของอุเบกชาจิตแต่ทว่าสีใสธรรมดาที่ไม่มีประกายนั้นเป็นสีในของฌานโลกีย์ มีอันที่จะสลายตัวกลับมาเป้นสีขุ่นมัวคือสีแดง สีดำเต็มขนาดได้เพราฌานโลกกีย์ยังเสื่อม ยังจัดเป็นจิตเลวสำหรับนักฏิบัติเพื่อมรรคผล ต่อเมื่อไรชำระจิตให้ใสสะอาดเป็นปกติ และมีประกายเต็มดวงโดยที่ไม่ต้องคอยปรับปรุงแก้ไข มองดูด้วยญาณเมื่อไรก็เป็นประกายแพรวพราว ถึงแม้จะประสบกับศัตรูเก่าที่เคยอาฆาตคุมแค้นกันมาแต่ปางก่อน จะถูกเสียดสีถากถางด้วยวาจาปรามาสอย่างไรก็ตามจิตสงบระงับ อำนาจโทสะ ไม่ฟู ออกจิตในมีอาการปกติ สม่ำเสมอตรวจดูด้วยญาณ ตรวจขณะที่ถูกด่าก็พบว่าจิตใสประกายแพรวพราว แม้อารมณ์ราคะเหนืออื่นใดก็ตามมายั่วเย้า จิตใจก็สดใสเป็นปกติ อย่างนี้จึงใช้ได้ นักปฏิบัติเพื่อมรรคผลจริง หากท่านมีหวังถึงพระนิพพานในชาตินี้เพราะอารมณ์จิตที่ผ่องในเป็นประกายเต็มดวงนั้น เป็นจิตที่ชำระกิเลสไม่เหลือ เป็นจิตของพระอรหันต์เท่านั้น ท่านจึงยกย่องนักปฏิบัติที่ได้เจโตปริยญาณว่า เป็นผู้ใกล้ ต่อพระนิพพานมากกว่าการได้ญาณอย่างอื่น ท่านที่กล่าวอย่างนี้ก็เพราะว่า ญาณนี้สามารถคอยชำระจิตคือตรวจสอบจิตของตนได้ตลอดเวลา แม้แต่อารมณ์กิเลสที่เป็นอนุสัยก็ยังรู้ ฉะนั้นนักปฏิบัติผู้หวังความพ้นทุกช์แก่ตนแล้วจงพยายามฝึกฝนตนให้ชำนาญในเจโตปริยญาณนี้ และเล่นให้คล่องแคล่วว่องไวจะได้ผลตามที่กล่าวมาแล้ว
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  19. เด็กไทรน้อย

    เด็กไทรน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2008
    โพสต์:
    3,259
    ค่าพลัง:
    +4,327
    ท่านละสังขารไปสองสามปีแล้วครับ...
     
  20. อาณัติ

    อาณัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2006
    โพสต์:
    6,078
    ค่าพลัง:
    +22,263
    หลวงปู่ท______ คือหลวงปู่ท่านใดครับ...เผื่อจะไปกราบท่านบ้างน่ะครับ

    น่าจะเป็นหลวงปู่ทอง วัดสามปลื้ม(จักรวรรดิ์)นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...