นิโรธสมาบัติในมุมมองของวิทยาศาสตร์ประยุกต์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย วิทย์, 28 มกราคม 2007.

  1. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    <CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER><TABLE borderColor=#996600 height=98 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="66%" border=2><TBODY><TR><TD>[SIZE=+1]พุทธศาสตร์ศึกษาโดยวิธีอุปมาอุปมัย เรื่อง[/SIZE]
    [SIZE=+1][SIZE=+1]"การฝึกจิตให้เป็นสมาธิ ตอนที่ ๓"[/SIZE]
    พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์
    [/SIZE]​


    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER>ในบทความเรื่อง "การฝึกจิตให้เป็นสมาธิ ตอนที่ ๒" ที่ผมได้นำเสนอไปแล้ว ผมได้กล่าวถึงเรื่องของ "อรูป" เอาไว้ว่า

    "....เราไม่สามารถไประงับยับยั้งการเกิดดับของจิตได้ เพราะเป็นธรรมชาติของจิต และตราบใดที่เรายังไม่สามารถปฏิบัติสมถกัมมัฏฐานจนถึงขั้นอรูปฌาณ หรือ ฌาณสมาบัติ ๘ เราก็ไม่สามารถระงับยับยั้งการทำงานของเจตสิกได้

    ตามหลักวิชาพุทธศาสตร์ เมื่อเราสามารถปฏิบัติสมาธิได้จนถึงขั้นดังกล่าว หรือสูงกว่า ซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายคือ ขั้นที่ ๙ ที่เรียกว่า "สัญญาเวทยิตนิโรธ หรือ นิโรธสมาบัติ" ซึ่งเป็นภาวะที่สัญญาเจตสิก (ความจำ) และเวทนาเจตสิก (อารมณ์) หยุดการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ทรงสมมุตินามบัญญัติคำว่า "อรูป" ซึ่งแปลว่า "ไม่มีรูป ไม่มีกาย" สำหรับกรณีนี้ขึ้น เนื่องจาก ในช่วงเวลานี้ อวัยวะของร่างกายที่เป็นกลไกทำงานของเจตสิก คือ สมอง หรือ หทัยวัตถุ จะหยุดการทำงานไปในช่วงเวลาที่จิตกำลังเป็นสมาธิ อยู่ในฌาณสมาบัติระดับนี้

    ก่อนที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้ พระองค์ท่านได้ทรงศึกษาหาความรู้จากพระอุททกดาบสรามบุตร พระอาจารย์ที่เก่งที่สุดในขณะนั้น จนทรงสามารถปฏิบัติสมถสมาธิได้บรรลุถึงฌาณสมาบัติ ๘ หรือ อรูปฌาณ ๔ มาแล้ว แต่ได้ทรงพิจารณาเห็นว่า เป็นทางปฏิบัติที่ไปสุดสิ้นเพียงโลกิยธรรมเท่านั้น กล่าวคือ เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิ หรือ ฌาณสมาบัติแล้ว ก็ยังต้องกลับมาเผชิญกับปัญหาทางโลกอีกต่อไป จึงทรงวินิจฉัยว่า วิธีการนี้มิใช่เป็นทางปฏิบัติที่จะดับทุกข์ ซึ่งเป็นทางเข้าสู่พระนิพพานได้ พระพุทธองค์จึงได้ทรงเปลี่ยนไปปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานแทน....."

    เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจิต กับ สมอง นี้ ผมได้หยิบยกประเด็นไปหารือกับ นายแพทย์ สมพนธ์ บุญยะคุปต์ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ์ เมื่อเร็วๆ นี้ ท่านได้กรุณาเล่าถึงเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับพระปูชนียาจารย์ท่านหนึ่ง คือ ท่านหลวงปู่ท่อน วัดป่าศรีอภัยวัน จังหวัดเลย ซึ่งได้เดินทางมาเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ์ มีสาระสำคัญสรุปได้ว่า ก่อนที่จะทำการผ่าตัด แพทย์ได้ถวายยาสลบให้แก่ท่าน เมื่อทำการผ่าตัดเสร็จแล้ว แพทย์จึงถวายยาฉีดกระตุ้นให้ท่าน ฟื้นจากการสลบ

    ปรากฏว่า หลวงปู่ท่อนท่านไม่ฟื้น ทำความประหลาดใจ และสร้างความเป็น ห่วงใยให้แก่คณะแพทย์ที่ถวายการผ่าตัดเพราะเกรงว่า ท่านจะเป็นอะไรไป นับว่าโชคดี ที่ก่อนหน้านี้ ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา ได้เคยเตือนไว้ว่า หากมีเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้น อย่าด่วนกระทำการใด

    ให้รออยู่สักระยะหนึ่งก่อน เพราะท่านอาจปฏิบัติสมาธิจนเกิดอรูปฌาณสมาบัติ เพื่อให้จิตพ้นจากร่าง พ้นจากเวทนาคือความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในระหว่างการผ่าตัดก็ได้ ซึ่งก็เป็นจริงตามที่หลวงพ่อพุธฯ ได้กล่าวไว้ ในไม่ช้า หลวงปู่ท่อนจึงได้ฟื้นขึ้น

    เหตุการณ์ที่คุณหมอสมพนธ์ฯ ได้กรุณาเล่าให้ฟังดังกล่าวข้างต้นนี้ ผมได้หยิบยกเป็นประเด็นขึ้นมาเป็นเหตุพิจารณาเพื่อพัฒนาปัญญาในขณะที่ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน โดยนำ เอาหลักวิชาการแพทย์เบื้องต้นเกี่ยวกับเรื่อง มันสมอง และประสาท เท่าที่มีอยู่จากการอ่าน ศึกษา ค้นคว้าด้วยตนเองบ้าง สอบถามจากมิตรสหายที่เป็นนายแพทย์บ้าง จึงบังเกิดผลที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังได้ดังนี้
    ธรรมชาติซึ่งเฝ้ากระตุ้นให้จิตเกิดรับ ระลึก รู้ มีอารมณ์ต่างๆ เรียกว่า "เจตสิก"

    อวัยวะของร่างกายที่เป็นกลไกสำคัญซึ่งทำให้เกิดเจตสิกขึ้นมาได้ คือ สมอง ซึ่งใช้ คำศัพท์บาลีว่า "หทัยวัตถุ" แบ่งออกเป็นส่วนสำคัญที่ทำหน้าที่ให้เกิดเจตสิกต่างๆ ได้มากถึง ๕๒ ส่วน คือ มันสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับรู้ การปรุงแต่ง มันสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ ส่วนที่เกี่ยวกับการนึกคิด การไตร่ตรอง พิจารณาหาเหตุ หาผล ทำให้เกิดปัญญา ในจำนวนนี้มีมันสมองซีกขวาซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการนึกคิด การสร้างจินตนาการต่างๆ

    จัดเป็นฝ่ายศิลป์ และมีมันสมองซีกซ้ายซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการใช้เหตุผล การคิดคำนวณต่างๆ จัดเป็นฝ่ายศาสตร์ ในปัจจุบัน ได้มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งเป็นเครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถตรวจสอบสภาวะการทำงานในรูปแบบต่างๆของสมอง และระบบประสาท หรือ คลื่นสมอง ซึ่งแสดงผลให้ปรากฏเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ เมื่อได้มีการนำเอาเครื่องมือดังกล่าวมาตรวจสอบคุณลักษณะทางไฟฟ้าของคลื่นสมองของคนที่นอนหลับ ซึ่งทางวิชาการแพทย์ได้จำแนกขั้นตอนการหลับของคนไว้ ๔ ระดับด้วยกัน

    ปรากฏว่า คุณลักษณะทางไฟฟ้าของคลื่นสมองในแต่ละระดับนั้นแตกต่างกันดังแสดงไว้ในภาพประกอบ นับตั้งแต่เริ่มจะเคลิ้มหลับ ไปจนถึงหลับสนิท ซึ่งในช่วงเวลาหลังนี้ จิตจะเข้าสู่ภวังค์ ไม่รู้สึกตัวเลย ดังคำกล่าวที่ว่า "หลับเป็นตาย" เช่นเดียวกับวิถีของจิตของผู้ปฏิบัติสมถกัมมัฏฐานจนถึงขั้นอัปปนาสมาธิ จากผลการวัดคลื่นสมองดังกล่าวได้พบว่า คลื่นสมองของคนที่เริ่มจะเคลิ้มหลับจะมีระดับไฟฟ้าที่เรียกว่า แรงดันไฟฟ้า (Voltage) ต่ำ ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่หลับสนิท จิตเข้าสู่ภวังค์นั้นจะวัดแรงดันไฟฟ้าของคลื่นสมองได้สูงที่สุด และตามหลักวิชาไฟฟ้า แรงดันไฟฟ้ามีความสัมพันธ์โดยตรงกับกำลัง หรือพลังงานไฟฟ้า ดังนั้น เมื่อจิตเข้าสู่ภวังค์อันเป็นผลเกิดจากการเป็นสมาธิ พลังงานไฟฟ้าของคลื่นสมองที่วัดได้จึงสูงที่สุด


    ดังนั้น เมื่อนำเอาหลักวิชาพุทธศาสตร์กับวิชาการแพทย์ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นมาผสมผสานพิจารณาร่วมกัน จึงสรุปได้ดังนี้

    ยาสลบเป็นสารทางเคมีที่มีอำนาจระงับการทำงานของสมองส่วนที่จะรับรู้สัญญาหรือ "สัญญาเจตสิก" และ อารมณ์สุขทุกข์ทั้งกายและใจ หรือ "เวทนาเจตสิก" ได้ ทางการแพทย์จึงได้นำมาใช้ในการผ่าตัด เพื่อให้คนไข้สลบไปขณะหนึ่ง การปฏิบัติสมาธิได้จนถึงขั้นอรูปฌาณสมาบัติ จึงมีพลังสูงยิ่ง และเป็นไปได้ที่พลังสมาธินี้จะทำให้สมองผลิตสารเคมีบางประเภท

    อาทิ "เซราโตนิน (Serotonin)" ซึ่งแสดงผลทำให้สมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ และส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์ คือ "สัญญา" และ "เวทนา" ตามคำศัพท์บาลีในพระพุทธศาสนา ตามลำดับ หยุดพักการทำงานไปขณะหนึ่งในช่วงเวลาที่สมาธิอยู่ในอรูปฌาณสมาบัติ ดังนั้น ถึงแม้ว่า แพทย์จะได้ฉีดยากระตุ้นให้หลวงปู่ท่อนฟื้นจากสลบตามวิธีการที่ใช้ในการผ่าตัดทั่วไปก็ตาม เมื่อหลวงปู่ท่อนท่านยังอยู่ในอรูปฌาณสมาบัติ จิตของท่านได้แยกจากกายออกไปแล้ว พลังสมาธิที่สูงของท่านจึงสามารถยับยั้งการออกฤทธิ์ของยากระตุ้นที่ฉีดเข้าได้

    เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๑ ผมได้มีโอกาสไปนมัสการ ท่านอาจารย์ หลวงพ่อพุธฯ ที่วัดป่าสาลวัน อีกครั้ง จึงได้กราบเรียนถามท่านถึงความถูกต้องของเรื่อง "อรูปฌาณสมาบัติ" ตามความรู้ ความเข้าใจของผมว่า มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ท่านได้กรุณายืนยันความถูกต้อง และได้กรุณาอธิบายขยายความเรื่อง "สัญญาเวทยิตนิโรธ หรือ นิโรธสมาบัติ" หรือ "ฌาณสมาบัติ ขั้นที่ ๙" ไว้ด้วยว่า "....ณ จุดนี้ จิตจะรวมพลังได้สูงที่สุด...."
    ซึ่งสอดคล้องกับผลของการตรวจวัดระดับไฟฟ้าของคลื่นสมองตามหลักวิชาการแพทย์ และตามความเข้าใจของผม นอกจากนี้ หลวงพ่อท่านยังได้แนะนำให้ผมนำบทความพุทธศาสตร์ศึกษาโดยวิธีอุปมาอุปมัยทุกเรื่องซึ่งผมได้เขียนไว้ และได้ส่งไปให้ท่านช่วยตรวจสอบความถูกต้อง และ ชี้แนะให้ทุกครั้งออกพิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทาน วิทยาทานต่อไปด้วย ทำให้ผมมีความภูมิใจ และ ปิติเป็นอย่างยิ่ง

    เรื่องจิตที่สามารถเพิ่มพลังขึ้นได้โดยการปฏิบัติสมาธิซึ่งสามารถพิสูจน์ยืนยันความถูกต้องโดยการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ดังกล่าวข้างต้นนั้น ผมยังได้รับการยืนยันเพิ่มเติมจาก นายแพทย์เฉก ธนะสิริ เพื่อนสนิทของผมที่สนใจศึกษาค้นคว้าในเรื่อง เทคนิคการรักษาสุขภาพเพื่อให้อายุยืน โดยไม่ต้องใช้อาหารเสริม หรือยาบางประเภทซึ่งกำลังแตกตื่นฮือฮากันอยู่มากในขณะนี้ นายแพทย์เฉกฯ ได้นำเอาวิชาพุทธศาสตร์เข้ามาประยุกต์ในการศึกษาค้นคว้าของเขาด้วย และได้รวบรวมข้อมูลผลการศึกษามาเขียนหนังสือออกจัดจำหน่ายเพื่อการกุศลไปหลายเรื่องว่า จิตที่อยู่ในสภาพเป็นภวังคจิต ผู้ปฏิบัติจะอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับคนที่หลับสนิท ในช่วงเวลานี้ สมองจะมีโอกาสได้หยุดพักผ่อน และใช้เวลานี้ในการซ่อมแซมเซลล์ของสมอง และประสาทที่เสื่อมโทรมชำรุดให้คืนสภาพดี

    เสมือนกับการประจุ หรือชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ ดังนั้น หลังจากการปฏิบัติสมาธิแล้ว ผู้ปฏิบัติจะรู้สึกสดชื่น เบิกบาน กระปรี้กระเปร่าขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนที่จะปฏิบัติ ซึ่งสอดคล้องกับข้อปฏิบัติประการหนึ่งของพระอริยบุคคลที่ใช้วิธีปฏิบัติสมถสมาธิเพื่อการพักผ่อน และเป็นทางผ่านสุดท้ายเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน
    ขอเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า ผลงานที่ได้ปรากฏอยู่ในบทความเรื่องนี้ และเรื่องอื่นๆ ที่ผมได้นำเสนอไปแล้ว เป็นอานิสงส์จากการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานซึ่งช่วยสร้าง และพัฒนาปัญญาให้แก่ผม ดังที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ทุกประการ

    อย่างไร ก็ตาม หากท่านผู้อ่านที่มีความรู้ ทักษะในวิชาการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิชาการแพทย์ วิชาการ พุทธศาสตร์ หรือ วิชาการอื่นๆ ที่ผมได้อ้างอิง นำมากล่าวไว้มาในบทความต่างๆ ซึ่งผมได้เขียนขึ้นโดยตลอด มีข้อคิดเห็นที่ผิดแผกแตกต่างออกไป กรุณาช่วยชี้แนะเพื่อเป็นวิทยาทานแก่ผม และท่านผู้อ่านอื่นๆ ด้วย เพื่อให้เกิดเป็นผลานิสงส์แก่ท่านในโอกาสต่อไป ขอขอบคุณ และอนุโมทนาล่วงหน้าครับ




    <CENTER>********************* </CENTER>
    <TABLE width=688><TBODY><TR><TD width=134 height=25>[SIZE=+1]เอกสารอ้างอิง[/SIZE]</TD><TD width=542 rowSpan=2>[SIZE=+1]๑. "พุทธธรรม", พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุต.โต), [/SIZE]
    [SIZE=+1]มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย[/SIZE]

    </TD><TR><TD width=134></TD><TR><TD width=134></TD><TD width=542>[SIZE=+1]๒. "เจตสิกปรมัตถ์", ขุนสรรพกิจโกศล (โกวิท ปัทมะสุนทร), [/SIZE]
    [SIZE=+1]มูลนิธิปริญญาธรรม[/SIZE]

    </TD><TR><TD width=134></TD><TD width=542>[SIZE=+1]๓. "Microsoft Encarta 98 Encyclopedia", CD, Microsoft [/SIZE]
    [SIZE=+1]Corporation[/SIZE]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เรียบเรียง ณ วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๑

    ที่มาจาก:-
    http://www.dabos.or.th/tm19.html
     
  2. อรหันตทาส

    อรหันตทาส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,220
    อนุโมทามิ
     
  3. naf06

    naf06 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    577
    ค่าพลัง:
    +2,227
    [​IMG]
     
  4. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,210
    ค่าพลัง:
    +23,196
    [​IMG]
     
  5. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    บางที่ก็สอนให้มีสติสัมปชัญญะ ไม่ต้องสวดมนต์ไม่ต้องภาวนาอะไรเลย ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งเข้านอนให้มีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา คอยสังเกตดูความรู้สึกภายในกายอะไรเกิดขึ้นก็แค่รับรู้แล้วก็ปล่อยวางไปครับ ก็คล้ายๆกันนะครับ
     
  6. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    เมื่อ10 ปีก่อนผมดึงพลังของสมองซีกซ้ายด้วยการเป็นคอมพิวเตอร์ซีเคียวริตี้และไซเบอร์พังค์ควบคู่ไปกับการฝึกดึงพลังจากสมองซีกขวาด้วยจิตวิญญาณแห่งศิลปิน ตันตระ นักคิดนักเขียน และนักวางแผนยุทธศาสตร์ และเมื่อ 2 ปีก่อนผมเริ่มฝึกการหายใจ 1 นาทีต่อครั้งและตอนนี้จะทำตอนไหนก็ได้ทั้งนั้น / เพียงเพราะผมรู้ว่า ลีโอนาโด ดาร์วินซี่ / สามารถใช้พลังสมองทั้งสองซีกได้พร้อมกัน/ และหลักฐานที่สนับสนุนกระทู้นี้อีกอย่างก็คือ ไม่มียาสลบหรือยานอนหลับหรือยาแก้แพ้ชนิดใดทำให้ผมหลับได้และผมสามารถขับพิษหรือสุราหรือเบียร์ ( ที่จำเป็นต้องดื่มเพราะบางครั้งก็เลี่ยงได้ แต่บางครั้งเลี่ยงไม่ได้ด้วยเหตุผล 108 ประการ ) คือแม้ว่าผมจะดื่มของไม่ดีต่อสุขภาพกายสุขภาพจิตแบบนี้เข้าไปแล้วก็ตาม...แต่ผมสามารถใช้พลังจิตต้านไม่ให้สิ่งเหล่านี้แทรกซึมเข้าสู่ส่วนอื่นของร่างกายได้ คือ ผมจะดักมันไว้ตรงกระเพราะก่อน เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม อาจะ30นาทีถึง 1 ชั่วโมง...ผมก็จะขอตัวออกไปห้องน้ำและจัดการเอาสิ่งแปลกปลอมนี้ออกจากกระเพาะซะ...วิธีนี้จะทำให้ไม่มีวันเมา...คือจะมีสติอยู่ตลอดเวลา...เพราะดื่มไปก็เหมือนไม่ได้ดื่ม...วิชานี้ใช้เมื่อไม่สามารถปฏิเสธได้ด้วยเหตุผล 108 ประการดังที่กล่าวมาแล้วนั้น...แต่ถ้าไม่ดื่มได้จะดีที่สุดเลย...แต่วิชานี้ในประเทศจีนมีการสืบทอดกันมาแต่โบราณครับ...และหนังจีนก็หยิบวิชานี้มาใช้ในหนังเรื่อง เล็กเซียวหงส์ ทำไมเล็กเซียวหงส์มันสามารถเอาพิษออกจากกระเพาะและตับได้จากการถูกวางยางพิษในน้ำชาได้เพราะมันฝึกฌาณสมาบัติมานั่นเองครับ และอีกเรื่องหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ มังกรคู่สู้สิบทิศ ที่พระเอกสองคนมันฝึกวิชาลมปราณอมตะ มันคือการหายใจเพื่อทะลวงจักราทั้ง 7 นั่นเองครับและในประเทศไทยเรียกวิชานี้ว่า วิชาลม 7 ฐานซึ่งเป็นวิชาของพระโพธิสัตว์ดังที่หลวงปู่พุทธอิสระกล่าวไว้นั่นเองครับ คือ การหายใจนาทีละ 1 ครั้ง / แต่ผู้ฝึกใหม่ๆนั้นไม่ควรทำแบบนี้ แต่อาจจะเริ่มที่นาทีละ 4 ครั้ง ก่อน ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำเฉพาะตอนฝึกสมาธิเท่านั้น แต่สามารถทำได้ทุกสภาวะทุกสถานที่ทุกเวลา ไร้ซึ่งสิ่งพันธนาการทั้งปวง /ซึ่งวิชานี้มันจะเป็นวิชาต่อเนื่องมาจากวิชา ความสมบูรณ์พร้อมหรือ จันทร์ในบ่อ คืออยุ่ในสภาวะที่จิตแจ่มใส / ok / amino ok ok /^_^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 กุมภาพันธ์ 2007
  7. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    เมื่อก่อนผมก็เคยฝึกกำหนดจิตไว้ที่กลางทรวงอกตลอดเวลา ไม่ได้สวดมนต์หรือบริกรรมใดๆเลย เอาสติมาตั้งไว้ที่กลางทรวงอกอย่างเดียว พอทำไปเรื่อยๆติดต่อ สักประมาณ 4 เดือนได้มั๊งครับ บางขณะที่มีความคิดหรืออารมณ์อะไรเกิดขึ้น ความรู้สึกมันจะตัดไปโดยอัตโนมัติ ความคิดหรืออารมณ์นั้นๆจะดับวูบไปเฉยๆทั้งๆที่ผมไม่ได้พิจารณาธรรมอะไรเลย แค่กำหนดจิตไว้ที่กลางทรวงอกอย่างเดียว ตอนแรกๆจะกำหนดไม่ค่อยถนัดแต่พอทำต่อเนื่องติดต่อจนอยู่ตัว คราวนี้ก็เป็นเรื่องง่ายแล้วล่ะครับ วิธีนี้มีสภาวะธรรมอะไรแปลกๆเกิดขึ้นมากมายเหมือนกัน แต่มีหลักอยู่ว่าต้องไม่บริกรรมภาวนาหรือสวดมนต์อะไรที่เป็นการย้ำความคิด ให้ปล่อยความคิดเป็นอิสระธรรมชาติแต่เอาสติไว้ที่ฐานจิตที่กลางทรวงอก แล้วเดี๋ยวความรู้สึกภายในจะตัดกระแสความคิดและกระแสอารมณ์ให้ขาดไปเอง (แม้แต่ตัวความรู้สึกตรงกลางทรวงอกนี้อีกหน่อยมันก็จะปล่อยวางแล้วก็ทิ้งตัวมันเอง เรากำหนดจิตไว้ที่ฐานอย่างเดียวให้ตลอดต่อเนื่อง สมถะและวิปัสสนาจะเจริญควบคู่กันไปเองโดยอัตโนมัติครับ)

    ปล.วิธีนี้เวลาเราเคลื่อนไหวหรือทำอะไรต่างๆในชีวิตประจำวัน แรกๆจะกำหนดลำบาก แต่ถ้าทำต่อเนื่องจะเริ่มชำนาญ จากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้วล่ะครับ ถ้าทำติดต่อจะสังเกตได้วว่าความรู้สึกที่ฐานจิตตรงกลางทรวงอกนี้จะมีการพัฒนาและมีการเปลี่ยนแปลงไปได้มากมาย กรรมฐานนี้เป็นกรรมฐานที่ง่ายและเห็นผลรวดเร็ว แต่ผู้ปฏิบัติก็ต้องมีอินทรีย์แก่กล้าพอสมควรที่จะไม่สงสัยกับสภาวะธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นที่เป็นทางผ่าน รวมถึงต้องปล่อยวางความคิดและอารมณ์ต่างๆที่คอยเข้ามารบกวน ซึ่งจะมีมากมายหลายรูปแบบเพื่อมาหลอกล่อให้สติเราตกจากฐานของจิตไป ถ้าเราสามารถกำหนดจิตไว้ที่ฐานได้ตลอดต่อเนื่องในทุกสภาวะทุกอิริยาบถจริงๆ เราจะเห็นผลความก้าวหน้าในการปฏิบัติด้วยตนเองครับ (เป็นกรรมฐานอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ)
     
  8. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ต่อมาบางครั้งผมก็ใช้วิธีมีสติรู้สึกตัวทั่วพร้อม โดยขยายฐานจิตจากจุดตรงกลางทรวงอกมาเป็นกายทั้งตัว แล้วก็ทดลองปฏิบัติแบบเดียวกันคืออาศัยแค่มีสติสัมปชัญญะในทุกอิริยาบถ ไม่ได้บริกรรมภาวนาหรือสวดมนต์ ก็ปรากฏว่าให้ผลใกล้เคียงกันครับ (การมีสติรู้สึกตัวทั่วพร้อมออกจะสบายกว่านิดหน่อย) เรื่องของกรรมฐานนี้ผมว่าวิธีไหนก็ดีทั้งนั้นแหละครับขอให้ตั้งใจปฏิบัติจริงๆก็จะเห็นผลไม่มากก็น้อยครับ
     
  9. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ขอแนะนำให้ทดลองปฏิบัติดูครับ ลองดูว่าถ้าเรากำหนดจิตแบบนี้ในขณะอยู่ในอิริยาบถนี้ๆ หรือทำอย่างนี้ๆอยู่ จะเป็นยังไงรู้สึกอย่างไร ลองดูหลายๆแบบแล้วก็ดูว่าวิธีไหนที่คุณถนัดและรู้สึกดีที่สุด ได้ผลที่สุด คุณก็เลือกปฏิบัติวิธีนั้น ซึ่งบางทีแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปก็ได้นะครับ

    วิธีนี้เราก็ไม่ต้องมาทะเลาะกันว่าใครผิดใครถูกวิธีของใครดีกว่ากัน เราดูว่ามีวิธีไหนบ้างแล้วก็ทดลองปฏิบัติด้วยตนเองเลยครับ (แม้แต่ในสมัยพุทธกาลพระอรหันต์ท่านก็ชำนาญกรรมฐานแตกต่างกันไปนะครับ เพียงแต่ตัวปัญญาที่จะแทงตลอดเพื่อให้บรรลุธรรมนั้น ท่านเห็นเหมือนกันหมดครับแม้ว่าสื่อที่จะทำให้เกิดปัญญาญาณเช่นนั้นจะแตกต่างกันไป เรื่องนี้ศึกษาได้จากประวัติของพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลครับ ขอแนะนำให้ลองอ่านเรื่องราวของ พระจูฬปันถก , พระที่เป็นบุตรนายช่างทอง , พระนางอุบลวรรณาเถรี , พระนางปฏาจาราเถรี , พระสาคตะ , สันตติมหาอำมาตย์ , พระสารีบุตร , พระพาหิยะทารุจิริยะ ฯลฯ ดูครับ)<!-- / message -->
     
  10. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ฝึกวิชา อมฤต ครบ 1 เดือนแล้ว / ผลการทดสอบ ร่างกายยังคงสบายดี แม้ไม่ได้พักผ่อนมานาน และไม่ได้อยู่เฉยๆด้วย แต่ใช้พลังจิตและพลังสมองและพลังกายไปอย่างมหาศาลเลยทีเดียว แต่ไม่รู้สึกว่าสูญเสียพลังไปเลย / ก็ถือว่า ok / ข้อเฉลยก็คือ การรักษาสมดุลย์แห่งพลังจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศธาตุ ให้อยุ่ในสภาวะที่เหมาะสมที่สุด / ถ้าหากนำไปใช้ในการเข้าสุ่ฌาณสมาบัติจะทำได้ง่าย / วิชานี้ หายใจเพียง 1 ครั้ง ใน 1 นาที /
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 กุมภาพันธ์ 2007
  11. NAN _ CUP

    NAN _ CUP Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +32
    จ๊าก ว๊าก

    555555555555555555555555
    555555555555555555555555
    5555555555555555555555555
     
  12. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    วันนี้ไปสุสานไตรลักษณ์มา...เจอกระบี่จีนเล่มหนึ่งเขียนไว้ว่ากระบี่ 7 ดาวของ สำนักช้วนจินก่าหรือสำนักฉวนเจิน ทำมาจาก สแตนเลส เมดอินไชน่า สวยดีครับ 1500 แต่บังเอิน ผมมีตังอยุ่ 1200 บาท อดเลยครับ 555 / วันหลังถ้ามันยังไม่ไปไหนผมจะซื้อมาครับ กะว่าจะไปสุ้กับ พรรคเดโมแครต
     
  13. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,163
    ค่าพลัง:
    +3,739
    กรรมฐานมีมากกว่า 40 วิธี ใครชอบแบบไหนก็ทำแบบนั้น ตามจริต เหมือนต่างคนต่างเดินทางมาจาก เส้นทาง 40 สาย พอถึงระดับฌานเมื่อจิตรวมตัวเป็นหนึ่ง และดิ่งลง ทุกคนที่เดินทางมาก็จะมาเข้าเส้นทางหลักเดียวกัน ณ ตรงจุดนี้เหมือนกันครับ และต่างคนก็เดินฌานต่อไปตามความสามารถของตน ถ้ามีท่านผู้รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อช่วยแนะนำด้วยนะครับ
     
  14. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ก่อนจะฝึกพวกนี้ต้องฝึกความสมบูรณ์พร้อมเสียก่อนครับ / บางคนรุ้วิชาอย่างดี และตั้งหน้าตั้งตาฝึกอย่างถูกวิธี แต่ก้ยังไม่เห้นว่าจะก้าวหน้ายังไง นั่นเพราะว่าอาจจะยังไม่สำรวจตัวเองครับว่า ตัวเองมีความพร้อมแค่ไหน กายพร้อม คือ ไม่ได้หมายความว่าพิกลพิการ แต่หมายถึงสุขภาพร่างกายเจ็บป่วยหรือไม่ แต่อันนี้ถ้าจิตพร้อมแต่กายป่วยก้ยังฝึกได้ / ใจพร้อม คุณมีความพร้อมที่จะฝึกแค่ไหน ถามใจตัวเองดู ถ้าใจไม่พร้อมต่อให้อย่างอื่นพร้อมก็ไม่สารมารถฝึกได้ / จิตพร้อม สภาพจิตของคุณพร้อมที่จะฝึกแล้วจริงหรือ ถ้าคุณฝึกจิตยังไม่ถึงขั้น แล้วมาฝึกมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร มันจะเกิดแต่ความท้อแท้ ดังนั้นฝึกจิตให้ดีก่อนล่ะครับ / ปราณพร้อม ถ้าพลังปราณของเราไม่สมดุลย์กันแล้ว จะเกิดการเจ็บป่วยและมีพลังไม่เพียงพอสำหรับการฝึก ก้ต้องปรับพลังปราณธาตุให้พร้อมก่อน / สติปัญญาพร้อม อันนี้ถือว่าขาดไมได้เลยทีเดียว ถ้าอยอ่ออางอื่นพร้อมหมด แต่ขาดปัญญา ฝึกแล้วก็เปล่าประโยชน์ ได้แค่สมาธิ แต่ถ้ามีปัญญาด้วย จึงจะสมบุรณ์พร้อม / เมื่อเรามีความพร้อมแล้ว จึงสามารถฝึกได้อย่างสบายๆ / อย่ากระทำเมื่อ หิวจัด โกรธจัด ง่วงจัด เศร้าจัด เซ็งจัดและปากจัด / เมื่อเข้าได้แล้วต้องรู้วิธีออกให้ได้ด้วย / และอย่างที่คุณ หาธรรมบอกว่า ต้องดูจริตตัวเองด้วยว่าควรจะฝึกแบบไหนนั้น สนับสนุนครับ ^_^ บางคนเห็นเพื่อนฝึกแนวนั้นแล้วได้ผล ก็อยากฝึกบ้าง แต่ก็ไมได้ดูจริตตัวเอง จึงฝึกไมได้ผล จะเกิดความท้อแท้ได้ง่ายๆ ดังนั้น นอกจากจะ มีสภาวะความสมบูร์พร้อมแล้ว ยังต้องดูจริตตัวเองด้ดวยครับ ^_^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 กุมภาพันธ์ 2007
  15. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,513
    ค่าพลัง:
    +27,181
    กำลังของวิทยาศาสตร์ไปได้สูงสุดก็แค่ดาวดึงส์น่ะแหละจ้ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...