หลวงพ่อปราโมทย์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย santosos, 17 พฤษภาคม 2011.

  1. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    หลวงพ่อปราโมทย์: เราชอบตีความเพี้ยน ตีความเพี้ยนนะ ยกตัวอย่างบางคนหัดภาวนา เมื่อตามองเห็นรูป ท่านสอนอย่างนี้นะ เมื่อตามองเห็นรูป ความรู้สึกเกิดที่จิตน่ะ ความยินดียินร้ายเกิดที่จิต ให้มีสติรู้ทันนะ หน้าที่ของเราก็รู้ทันอย่างนี้นะ ไม่ใช่เมื่อตามองเห็นรูป เอาสติกำหนดไว้ที่จักษุประสาท จักขุประสาท เฉยๆ กำหนดอยู่ที่จักขุประสาท รู้จักมั้ย คือตัวที่รับภาพน่ะ ตัวเส้นประสาทที่รับภาพน่ะ

    ถ้าจิตไปกำหนดไว้ที่จักขุประสาทเนี่ย ทุกอย่างจะนิ่งหมดเลย ไม่มีกิเลส เพราะอะไร เพราะจักขุประสาทเป็นรูป กิเลสไม่ได้อยู่ที่รูป แล้วก็จิตที่เกิดที่ตาที่เรียกว่าจักขุวิญญาณจิต จักขุวิญญาณจิตเป็นวิบากจิต เป็นจิตอัตโนมัติเกิดขึ้นธรรมดา หมาก็มี พระอรหันต์ก็มีนะ ไม่ได้ว่าท่านเทียบกับหมาหรอกนะ แต่หมายถึงว่าสัตว์ที่มีตาทั้งหมดน่ะ มันก็มีจักขุวิญญาณจิต แล้วจักขุวิญญาณจิตนี้ไม่มีกิเลสสักตัวเดียว ในขณะที่หมามองเห็นก็ไม่เกิดกิเลส ในขณะที่ผู้ปฏิบัติธรรมมองเห็นก็ไม่ได้เกิดกิเลส กิเลสเกิดตามหลังนั้นมาต่างหาก ถ้าเราเอาสติไปจ้องอยู่ที่ตานะ เอาสติไปจ้องอยู่ที่ประสาทหู จ้องอยู่ที่ประสาทจมูก ประสาทลิ้น ประสาทกาย กายะประสาท ทุกอย่างจะนิ่ง ไม่มีกิเลส

    ไม่มีกิเลสไม่ใช่เพราะว่าไม่มีกิเลส ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีอนุสัย แต่อนุสัยไม่มีโอกาสทำงาน เพราะไปเพ่งไว้เฉยๆ เพราะฉะนั้นมันคือการเพ่งรูปนะ มันคือการเพ่งรูป ถ้าเพ่งเข้าไปเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็ไม่มีกิเลสเกิดแล้วแหละ ในขณะที่เพ่งอยู่ไม่มีกิเลสหยาบๆขึ้นมาได้หรอก แต่มีกิเลสที่อยู่เบื้องหลังการเพ่ง กิเลสที่อยู่เบื้องหลังการเพ่งนั้นคือโลภะ และทิฏฐิ โลภะก็คือ อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากได้ ทิฎฐิก็คือคิดว่าทำอย่างนี้แล้วจะดี ทำอย่างนี้แล้วจะถูก เพราะฉะนั้นในขณะนั้นกิเลสครอบงำจิตอยู่แท้ๆเลย แต่ไม่รู้ไม่เห็นเลย

    เพราะฉะนั้นจะต้องระมัดระวังมากนะในการเรียนกรรมฐานเนี่ย แค่ตามองเห็นรูปเนี่ยทำผิดได้ ๔ แบบ อย่างนี้จะมากกว่านี้ก็คงมีนะ แต่ภูมิปัญญาของหลวงพ่อรู้ได้แค่ ๔ แบบ ที่เห็นทำผิดอยู่

    แบบที่ ๑ ไปกำหนดอยู่ที่รูป (ที่ตาเห็น) อันนี้ออกนอกเลย ไปกำหนดอยู่ที่รูป

    อย่างที่ ๒ ไปกำหนดอยู่ที่จักขุประสาท ถามว่าตรงนี้จิตออกนอกมั้ย ออกนอกเรียบร้อยแล้ว จิตเคลื่อนไปที่จักขุประสาท จิตส่งออกนอกไปเรียบร้อยแล้ว ไปเพ่งจักขุประสาท

    อย่างที่ ๓ นะ เอาสติไปจ่ออยู่ตรงผัสสะ ตรงที่มีการกระทบระหว่างตา รูป และความรู้สึก สิ่งที่เรียกว่าผัสสะนะ คือการประชุมกันของธรรมะ ๓ อย่าง คือ อายตนะภายนอก อายตนะภายใน แล้วก็จิต เพราะฉะนั้นไปดักดูตรงการกระทบของสิ่งสามสิ่งนี้ ก็นิ่งเหมือนกัน

    อย่างที่ ๔ ก็ไปเพ่งจิตที่เกิดขึ้นทางอายตนะ เพ่งจิตที่ไปเห็นรูป

    เพราะฉะนั้นตรงนี้เพ่งได้ตั้ง ๔ แบบ เห็นมั้ย ทางที่ผิดนี้ละเอียดละออเลย ยิบยับไปหมดเลย ถ้าไม่เรียนให้ดีจะนึกว่าดี ว่าทำอยู่ตรงนี้แล้วเหมือนไม่มีกิเลส กิเลสไม่มีโอกาสเกิดต่างหาก แต่ว่ามันเกิดไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ส่งจิตไปดู แค่นั้นก็ส่งจิตออกนอกแล้ว คือเมื่อไรออกนอกจากการรู้นะ รู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง เมื่อนั้นออกนอกทั้งนั้นล่ะ แต่หลวงปู่ดูลย์ไม่ได้ห้าม

    หลวงปู่ดูลย์บอกว่า ธรรมดาจิตต้องออกนอกเพื่อจะไปรู้อารมณ์ เพียงแต่ออกนอกแล้วนะ พระอริยเจ้าทั้งหลายเนี่ย จิตไม่กระเพื่อมหวั่นไหว ต่างกันตรงนี้เท่านั้นเอง ส่วน พระอริยเจ้า คำว่าพระอริยเจ้าของท่านเนี่ย หมายถึงพระอรหันต์ พระอนาคาฯก็ยังกระเพื่อมหวั่นไหวได้นะ หวั่นไหวในอะไรพระอนาคาฯ หวั่นไหวในรูปฌาน อรูปฌาน ยังยินดีพอใจในรูปฌาน อรูปฌาน ถ้าต่ำกว่าพระอนาคาฯนี้ จะยินดีในกาม ยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส ยินดีในการคิดเรื่องกาม และก็ยินร้ายในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส ยินร้ายในการคิดเรื่องกาม เพราะฉะนั้นจะมีความยินดียินร้ายเกิดขึ้นทั้งสิ้น

    เพราะธรรมชาติของจิตต้องออกไปรู้อารมณ์ แต่เมื่อรู้อารมณ์แล้วเนี่ย เฉพาะพระอรหันต์จิตไม่ยินดียินร้ายไม่กระเพื่อมหวั่นไหว นอกนั้นกระเพื่อมหวั่นไหวอยู่ กระเพื่อมหวั่นไหวอยู่มีสติรู้ทันมัน เพราะฉะนั้นไม่ใช่ภาวนาดูจิตแล้วห้ามกระเพื่อมหวั่นไหวนะ เข้าใจผิดอย่างร้ายแรงเลย

    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
    บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
    แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๓ หลังฉันเช้า
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คนหัดภาวนา ให้รู้จัก
    1 อริยาบท ของตัวเอง กิน เดิน ยืน นั่งนอน เพื่อให้น้อมจิตลงสู่กาย เป็นฐานที่มั่นคง ไม่หลงไปตามอวิชชา ปรุงแต่งสังขาร
    2 รู้จัก ความรู้สึก ให้ดี ว่า ชอบ หรือ ไม่ชอบ ทุกข์ สุข เป็นอย่างไร
    3 ให้รู้จัก อารมณ์ที่ค้างอยู่ในใจ ให้ดี
    4 ให้รู้จักแยกแยะว่า สภาพของจิต เป็นสมาธิ หรือ ไม่เป็นสมาธิ สมาธิที่ถูกต้องเป็นอย่างไร จิตไม่เป็นสมาธิมีอาการอย่างไร

    นี่แหละ เรียกว่า การภาวนา เมื่อมีสติ รู้ ตามข้างต้นแล้ว เราย่อมทราบได้ดีว่า อะไรดี อะไรไม่ดี
    เราก็เลือกใช้ชีวิต เอาแต่ทางที่ดี ที่ฉลาดต่อตนเอง
    แต่ ทั้งหมด จะเลือกทางฉลาดได้ ก็ต้อง ฝึกให้มี ให้เห็นทางที่ดี อย่างน้อยแม้นิดหนึ่งก็ยังดี ให้เหมือนกับคนผ่านตาเห็นของดีมาบ้าง เมื่อเจอของไม่ดีก็จะสามารถแยกแยะได้
    เช่น ทำสมาธิให้สงบให้เป็น แม้ครั้งหนึ่งก็ยังดี แล้วเตือนตนเองว่า ความสงบเป็นแบบใด เอาตรงนั้นเป็นหลักให้ใจ
    หรือ จิตที่เบิกบานเป็นอย่างไร จิตที่มีนิวรณ์กลุ้มรุมเป็นอย่างไร จิตที่หมองมัวเป็นอย่างไร

    นี่ให้เรียนรู้ แล้ว อย่าไปคว้าเอาสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ ให้คว้าเอาแต่สิ่งที่เกิดประโยชน์
     
  3. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    โพสท์หลวงพ่อปราโมทย์อ่านแล้วเข้าใจดีครับ แต่โพสท์ที่ 2 อ่านแล้วไม่เข้าใจไม่รู้เรื่อง
     
  4. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    ธรรมะเข้าถึงจิตใจ ด้วยการปฏิบัติ ภาวนา
    ไม่ใช่เข้าถึงด้วยการจดจำจากตำราที่เรียนมา
    เพราะเป็นหนอนหนังสือ รู้แต่ตำราเรียน นั่งสมาธิภาวนาไม่เป็น
    ไม่เคยปฏิบัติภาวนา มันเป็นแค่วิปัสสนึก คิดนึกจินตนาการเอาเอง
    ตามแบบอย่างวิถีของคนบ้าหอบตำรา เอาไว้อวดโชว์ภูมิตนเอง
    เป็นครูสอนธรรมะ ชอบสั่งสอนคนอื่น แต่ตนเองละวางอะไรไม่ได้

    สิ่งที่รู้ในธรรมะ รู้จากตำราที่เรียนมา
    แต่ไม่ได้รู้ เพราะได้จากการนั่งสมาธิภาวนา
     
  5. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    ถ้าคุณแป๊ะ แป๊ะ มีปริยัติเป็นทุนที่มากแล้ว ปฏิบัติควบคู่ด้วย รับรองอ่านโพส2
    เข้าใจแบบใหลลื่น เลยค่ะ
     
  6. โพธิ์แก้ว

    โพธิ์แก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    ถ้าในวันหนึ่งข้างหน้า สรีระธาตุของหลวงพ่อปราโมทย์ส่วนใดส่วนหนึ่ง ได้มีอันแปลเป็นพระธาตุไป คงได้มีการขอขมากรรมกันยกใหญ่เลยทีเดียวสำหรับคนปรามาสท่าน

    บางเรื่อง หากเรายังไม่มีุคุณธรรมสูงพอ ก็ละเว้นไว้เถอะ อย่าไปวิจารณ์ให้เป็นเหตุแห่งกรรมเลย
    เพราะอย่างน้อยๆ แม้แต่พระภิกษุที่มีศีลจารวัตรครบถ้วน แม้ไม่ได้บรรลุคุณธรรมวิเศษอันใดเลย
    แต่เราไปปรามาสท่าน.....ก็เป็นเหตุแห่งทุคติภูมิแล้ว
     
  7. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    ขออนุโมทนา กับคุณโพธิ์แก้ว ค่ะ
    การก้าวล่วงพระภิกษุสงฆ์ สำหรับเราแล้ว ถือเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง ถ้าไม่ศัทธาเราก้นิ่งเสีย เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะคอยจับผิด ถ้าเราเป็นชาวพุทธเราย่อมมีต่อมแห่งความเป็นพุทธ เพราะความเป็นพุทธสอนให้ดูที่เราเอง เราย่อมไม่ล่วงวิสัย แห่งความเป็นอุบาสก อุบาสิกา ตราบใดที่ท่านยังเป็นภิกษุ ถ้าไม่ถึงกับปราชิก โอกาสท่านสูงกว่าปุถุชนแน่นอน แต่ถ้าท่านปราชิกแล้วแต่ยังครองตนเป็นภิกษุ หลอกลวงชาวพุทธให้ศัทธาเพื่อประโยชน์แห่งตน กรรมหนักนั้นก็ต้องรับแน่นอน ไม่มีละเว้น แล้วการที่เราต้องไปร้อนรน ด่าว่า มันเป็นกิจของเราหรือไม่
    กรรมที่ท่านทำ เราต้องรับกับท่านด้วยหรือไม่ กรรมใครก็กรรมมันไม่ใช่หรือ แต่ที่เราด่าว่า เสียดสี เพราะเราอยากร่วมกรรมกับท่าน โดยอ้างว่าเราเป็นผู้คอยสอดส่องดูแลรักษาไว้ซึ่งพระศาสนา จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้คอยจับผิด หรือรักษาไว้โดยวิธีแบบนี้ พระองค์สอนให้รักษาพุทธศาสนาไว้โดยการให้ปฏิบัติตามที่พระองค์สอนไว้ เผยแผ่พระธรรม เจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นถึงเรียกว่าเป็นพุทธ
     
  8. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741

    พระอาจารย์กล่าวได้ตรงประเด็นค่ะ
    ถ้าเรานำมาปฏิบัติก็จะเป็นผลดีกับเรานะค่ะ

    อนุโมทนากุศลจิตของท่านเจ้าของกระทู้ค่ะ

     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขออนุโมทนา กับทุกผู้ทุกนาม

    ที่มีสติปัญญารู้และเข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์ และหลวงพ่อปราโมทย์ อย่างถูกต้องตามจริง

    และสามารถรู้เท่าทันกิเลสในใจตน ^^"

    เนาะ _/\_
     
  10. f-35

    f-35 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +160
    หากไม่สนใจคำพระตถาคต จะทำให้เกิดความอันตรธานของคำพระตถาคต เปรียบด้วยกลองศึก
    ภิกษุ ท. ! เรื่องนี้เคยมีมาแล้ว : กลองศึกของกษัตริย์พวกทสารหะ เรียกว่า อานกะ มีอยู่ เมื่อกลองอานกะนี้มีแผลแตก หรือลิ, พวกกษัตริย์ทสารหะได้หาเนื้อไม้อื่นทำเป็นลิ่ม เสริมลงในรอยแตกของกลองนั้น(ทุกคราวไป)
    ภิกษุ ท. ! เมื่อเชื่อมปะเข้าหลายครั้งหลายคราวเช่นนั้น นานเข้าก็ถึงสมัยหนึ่ง ซึ่งเนื้อไม้เดิมของตัวกลองหมดสิ้นไปเหลืออยู่แต่เนื้อไม้ที่ทำเสริมเข้าใหม่เท่านั้น ;
    ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น : ในกาลยืดยาวฝ่ายอนาคต จักมีภิกษุทั้งหลาย, สุตตันตะเหล่าใด ที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึกมีความหมายซึ่ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่ เธอจักไม่ฟังด้วยดี จักไม่เงี่ยหูฟัง จักไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียนส่วนสุตตันตะเหล่าใด มีนักกวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสลวย มี
    พยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก,เมื่อมีผู้นำสูตรที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่เหล่านั้นมากล่าวอยู่,เธอจักฟังด้วยดีจักเงี่ยหูฟัง จักตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจัก
    สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียนไป
    ภิกษุ ท. ! ความอันตรธานของสุตตันตะเหล่านั้นที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้งเป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา จักมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ แล
    นิทาน. สํ. ๑๖/๓๑๑/๖๗๒-๓.
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เพ้อเจ้อ น่า เอกวีร์
    มีแต่ นับจากวันที่ หลวงตาละสังขาร ก็เห็นว่า ธรรมของหลวงตาจะมีแต่เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น
    ส่วนใครจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล

    ไม่ไปวุ่นวายกับคน ธรรมของหลวงตาก็๋ยังอยู่ เป็นอมตะ
    แต่ไปวุ่นวายกับคน เราก็ไขว้เขวไปเอง ตามลมปากของคน

    ไม่เห็นจะต้องไปพิจารณาเรื่องของคนเลยนี่
     
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เข้ามา Casting ตัวละครอีกเหรอครับ

    เป็นไงครับ โพสนี้มี "Acting Over" หละซี่

    ธรรมะของหลวงตา เจริญขึ้นหรือครับ เท่าที่เห็น หากใครเข้า
    ไปจับ ก็จะออกแนวพฤติกรรม Anti-wimutti กันหมด แม้แต่
    ลุงขันธ์เองก็ไม่เว้น เพียงแต่เพลาลง แต่ก็รอวันระเบิดกลับ จะดี
    ก็มีแต่ พ่อพะโล้ ที่ลด ละ เลิก การแสดงแบบหลวงตาได้ ก็
    เหมือนจะหลุดออกมาเป็นตัวจริง ตรงตามความเป็นจริงได้มากขึ้น

    ต่อแต่นี้ไปคิดดีๆก่อนอ้างคำชมหลวงตา

    สังเกต การไปถามหลวงพ่อต่างๆของคุณ สาโทร้านไหนนะครับ
    ถามกรณี หลวงพ่อในสังกัดวัดภูสังโฆ แต่เวลาออกมา ก็อาศัย
    ภาพสถาณการณ์ร่วม เพื่อไขว้หลอก ทั้งๆที่ ประเด็นที่ไปถาม
    คนละเรื่องกับการเอาสถาณการณ์มาบังหน้า ดุไม่ออกก็ไม่รู้จะ
    ว่าอย่างไร งานนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2011
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เรื่องไปจับ แล้วออกแนว antiwimutti เป็นเรื่องส่วนบุคคล
    แต่ สิ่งหนึ่งที่ เห็นว่า คนที่ศึกษาธรรมของหลวงตาแล้ว เป็นลูกศิษย์ลูกหาแล้ว มีความจริงจัง เด็ดเดี่ยว
    ไม่เล่นลิ้น ไม่ชอบก็ว่าไม่ชอบ ชอบก็ว่าชอบ
    ไม่ดีเขาก็ว่าไม่ดี ซึ่งผิดถูกก็เป็นความเห็นของเขา เอกวีร์ เป็นอะไรจะต้องไปเหมารวม ยกทั้งหลวงตา ทั้งธรรมยุติ มาเหมา

    ธรรมะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ ต้องชัดเจน ไม่ใช่อ่อนปวกเปียก หาที่ลงไม่ได้ เป็นงานศิลปะไป
    แบบ คำสอนของเอกวีร์ หรือ คำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ ที่ว่า ดูไปเฉยๆ เดี๋ยวมันรู้เอง
    แบบนี้ ไม่มี

    การพูดแบบนี้ไม่ได้โจมตี แต่พูดความจริง คนเราไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์จะไปจับอะไร ธรรมะ ไม่ใช่หนังจีนจอมยุทธที่จะไปอ้าง เรื่อง ไร้กระบวนท่า นั่นมันหนังจีนโกวเล้ง

    ธรรมะ จะต้องมีหลัก ตามแนวทาง ของครูบาอาจารย์ ของพระพุทธเจ้า และหลักนั้นพระศาสดา ทรงผ่อนปรน ด้วยทางสายกลางแล้ว แต่ไม่ใช่หลักไร้กระบวนท่าแบบโกวเล้ง
     
  14. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    มีที่ไหน ไม่เล่นลิ้น ก็ดูอย่าง ตัวอย่างข้างบนนั่นสิ

    เล่นลิ้น ตวัดชวัดเชวียง ทำเป็น เสียงหาย เสียงเร็ดลอด พูดแบบคน
    ไม่ได้ ต้องพุดแบบมีลิ้นแลบเล็ดรอด เสียงหาย ไม่เต็มเสียง

    โพสแรก แหมบรรทัดแรก เอ่ยชื่อออกเต็มๆ แต่พอ วรรคที่สอง ก็
    ทำเป็น ซ่อน ตลบแตลง สุดๆเลย

    ลุงทำไมไม่แลเห็น การเล่นลิ้น เหล่านี้หละว่ามี
     
  15. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    แล้วขอร้อง ลุงอย่า ปนเป ต้องตามโลกบ้าง หากจะกล่าวอะไรที่เป็นเรื่องโลกๆ

    การสอนแบบหนังจีน โกวเล้ง กำลังภายใน ตอนนี้ สอนกันเป็นล่ำเป็นสันที่ บ้านอารีย์

    การสอนแบบไม่ทำอะไรเลย นั่นรู้สึกว่า อยู่ในจังหวัดราชบุรี โพธิศรีฯ อะไรก็ไม่รู้
    ไม่ห่างจากวัดเขาแดงใหญ่เท่าไหร่

    ส่วนคำว่า "ดูเฉยๆ รู้เอง" อันนี้มันเป็น สำนักที่เกิดขึ้นเฉพาะในกะโหลกของลุงเอง

    ดังนั้น ต้องมาให้รอบครอบ ทั้งใกล้ และ ไกล
     
  16. นิพพานายะ

    นิพพานายะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +176
    นึกตระหงิดๆ ตั้งแต่เห็นกระทู้แล้ว

    ความปราถนาดีของลูกศิษย์

    ทำให้อาจารย์ถูกปรามาส ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า

    พิจารณาให้ดี ..ให้เหมาะสมกับกาลเทศะ นะ


    คนจ้อง มันคอยโอกาสอยู่แล้ว เผลอ เป็นงาบ

    ระวังกันหน่อยนะ....<!-- google_ad_section_end --><!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2011
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เวลา เราทำอะไรผิดพลาดไป ต้องรู้จักมีสปิริต นะเอกวีร์
    เช่น เคยสอนผิดๆ ก็ต้องมีสปิริตยอมรับ ว่า เราสอนผิด ไม่ใช่เลี่ยงไปเรื่อยๆ หรือเที่ยวไปโทษนั่นโทษนี่
    ว่า คนอื่นคิดไปเอง
    คนที่เขารู้ เขาเห็น เขาก็ยิ่งไม่พอใจว่า ทำไมสอนผิดพลาด เอาครูบาอาจารย์มาอ้าง เมื่อคนอื่นเขากล่าวหา
    ตามธรรมดา ของคนมีธรรมะ ก็ต้องรู้จักกล่าวโทษตนเอง ไม่ใช่ไปกล่าวหาว่า คนอื่นทำลายตนอีก
    มันจะไม่มีเรื่องยืดเยื้อเลย หากว่ามี สปิริต ยอมรับ ข้อผิดพลาดของตนเอง

    ตนเองต้องรู้จักยอม เหมือนพระอานนท์ ท่านไม่ผิดเลย ท่านยังยอมรับ

    ผมเคยฟัง หลวงพ่ออินทร์ถวาย ท่านโดนตำหนิ ท่านก็ขอโทษ ทั้งๆที่ท่านไม่ผิดอะไร แต่ท่านเห็นว่า พอขอโทษแล้ว ดี ท่านก็ทำ

    นั่นแหละ รู้จักปรับปรุงตนเอง กล่าวโทษตนเอง มันก็จบ ไม่ดื้อ แล้วก็จะได้ใช้ชีวิตได้ตามปกติสุข
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ปุถุชน ตำหนิลับหลังพระ พระต้องไปขอโทษปุถุชน

    อืมๆๆ เพิ่งจะรู้ ปุถุชน รู้มากกว่าพระ

    ปุถุชนโจษโทษลับหลังพระว่าพระผิด ต้องให้พระขอโทษ อีก

    พระท่านก็อยู่ส่วนพระ เราอ่านและฟังคำสอนพระ เราเข้าใจของเรา เราก็ยินดี

    คำปรามาสพระของคนอื่น มันออกจากใจใคร ก็ใจนั้นล่ะที่ทำกรรม

    พระท่านตั้งใจสอนธรรมะให้ญาติโยม คนฟังแล้วชอบเขาก็อนุโมทนา

    คนฟังแล้วไม่ชอบเขาก็ติเอา กรรมใครกรรมมัน แหละนะ ดูดีดี ก็มีรางวัลได้บุญได้กุศล

    ดูไม่ดี ทำไม่ดี มันก็เป็นกรรมของคนๆนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับพระ

    ไม่ได้เกี่ยวกับคนเอาคำสอนพระมาเผยแพร่ มันเกี่ยวกับคนเจตนาจำสร้างกรรมไว้ที่ใจตน

    อ่านโพสท์ธรรมะที่พระสอน อ่านแล้วสบายใจ อ่านแล้วเข้าใจ อ่านไปได้ปัญญาไป

    อ่านโพสท์ของคนบางคน ใจเขาเป็นได้แค่นั้น มันก็โพสท์เป็นกรรมใส่ตนไปอย่างนั้น

    ทำเอง ผลมันก็อยู่ในใจเอง กรรมมันยกให้คนอื่นไม่ได้หรอก ใครทำอย่างใดก็ได้อย่างนั้น

    ยิ่งโพสท์ร้อนแรง มันก็ยิ่งแสดงความเร่าร้อนในใจตนเอง เนาะ

    ฟังธรรมะเป็น มีแต่เย็นกายเย็นใจ คนที่ทำแต่เรื่องร้อนก็เพราะใจมันอยู่ในภพภูมิร้อนๆ
     
  19. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก็ต้องดูในหลายๆที่นะครับ

    ช่วงนี้ คง มีให้เห็นเยอะหน่อย เพราะว่า ทางกลุ่มนั้นคล้ายๆ
    ดิ้นรนครั้งสุดท้าย

    มันเหมือน ความพยายามของเขาทำไปแล้ว ก็ไร้ผล

    พอไร้ผล ก็อยากจะแสดงว่า มันได้ผล

    พออยากแสเงว่าได้ผม กระทู้ ที่เขาโพสมาตั้งหลายวันแล้ว
    มันก็ไปขุดขึ้นมาบ้าง

    เรื่องจะตั้งขึ้นมาเอง คงไม่ทำ ไอ้ที่ว่า คนจริง ทำจริง คงไม่มี
    เพราะ ยอมรับความจริง บางอย่างไม่ได้ ซ่อนนอนเนื่องอยู่ ไม่ทัน
    ดู ไม่ได้พิจารณา การพอกพูลของสิ่งที่นอนเนื่องนั้นๆ
     
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    บ้าป่าวเนี่ย จะจองกรรมจองเวรกันไปถึงไหน ธรรมะมีมากมายหลายระดับแต่ไม่ว่าจะระดับสูงหรือระดับต่ำหากยังเห็นว่าตนดีกว่าสูงกว่าเรียกว่าโดน...ทั้งนั้น เคยเห็นแต่ว่าสัตว์โลกทั้งหลายเมื่อมีอัธยาศัยเช่นไรนั้น เหมือนกันได้ด้วยบุญและกรรมที่สั่งสมร่วมกันมา ดังคนจะมาเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกัน หรือเป็นอาจารย์และศิษย์กัน หรือแม้กระทั่งได้เกิดร่วมภพร่วมชาติกัน ก็เป็นไปตามอำนาจของกรรมที่ทำร่วมกันมา จะคิดมากไปก็ไม่ได้อะไร หากคิดว่าแบบนั้นก็ทำให้พระศาสนาถึงกาลอวสาน ก็เหมือนกับไม่ศรัทธาในคคำสอนเลย พระศาสนานี้ตั้งมานานมากถึง 2500 กว่าปีแล้วนะคั๊บ
    สาธุคั๊บ
     

แชร์หน้านี้

Loading...