ประวัติ แม่ชี ณัฐทิพย์ ตนุพันธ์ พอสังเขป

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย hongsanart, 15 สิงหาคม 2006.

  1. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    ประวัติตอนที่ 7จ้า...

    เสียงใครก็ไม่รู้พูดสวนกลับเข้ามาในสมองทันที คืนนั้นแม่ชีไม่ขึ้นไปรับใช้หลวงปู่อีกเช่นเคย แต่คอยเฝ้าสังเกตดูว่าจริงอย่างที่เสียงบอกหรือเปล่า?

    และคืนนั้นก็เป็นจริงดังที่เสียงนั้นบอกอีกแล้ว แม่ชีเด็กคนนั้น (คนที่เดินบิณฑบาตรด้วยกัน)เดินลงมาจากห้องของหลวงปู่คนเดียว

    ทั้งๆที่ไปกับหัวหน้าแม่ชี แต่หัวหน้าแม่ชีลงมาก่อน ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบตีหนึ่งแล้ว แม่ชีเด็กเดินมาเรียกแม่ชีให้เปิดประตูหน่อย

    แม่ชีถามว่า "เรียกทำไม" "ขอนอนด้วยนะ" แม่ชีเด็กตอบ แม่ชีก็ให้แม่ชีเด็กคนนั้นนอนด้วย แม่ชีเด็กนอนเบียดตัวแม่ชีและจับมือกุมไว้แน่น

    แม่ชีก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเห็นว่าเป็นเด็กมาบวช ไม่มีพ่อไม่มีแม่ คงจะเหงานั่นเอง จึงให้เธอนอนจับมือจนหลับไป ลืมถามเรื่องที่ใครก็ไม่รู้บอกเอาไว้ในหู

    ผ่านไปหลายวัน หลวงปู่ให้หัวหน้าแม่ชีมาตามแม่ชีให้ขึ้นไปหา
    กำลังจะขึ้นไปหาหลวงปู่ มีเสียงใครก็ไม่รู้อีกแล้ว พูดใส่หูมาว่า

    "เธอลืมไปแล้วหรือเรื่องที่ฉันบอกน่ะ มันจะทำร้ายเธอนะ มันไม่ได้รักเธอ มันเกลียดเธอ
    มันชอบแม่ชีเด็กคนนั้น มันจะเอาแม่ชีเด็กนั่นเป็นเมีย ถ้าเธอขึ้นไปหามัน มันจะทำร้ายเธอ ไม่เชื่อลองดูสิ"


    ได้ยินเสียงบอกแบบนั้นแม่ชีเริ่มสับสนและลังเลพอสมควร "อะไรกันวะ" อุทานออกมาเสียงดังลั่นวัดเลย

    หลายคนได้ยินเสียงแม่ชีอุทานออกมาจึงคิดว่า แม่ชีบ้าไปแล้ว ต่างหนีกันไปหมด ปล่อยให้แม่ชีอยู่เพียงคนเดียว แม่ชีไม่ยอมขึ้นไปหาหลวงปู่ตามคำสั่ง

    เพราะตอนนั้นเริ่มมีความกลัวเกิดขึ้นแล้ว เรื่องราวต่างๆมันก็เป็นใจให้เกิดความกลัวด้วย เพราะเห็นหลวงปู่มีเวทมนต์คาถา เสกโน่นเสกนี่ได้ดังใจปรารถนา
    คนตายไปแล้วยังทำให้ฟื้นได้เลย ไล่ของสารพัด ตอนนั้นจิตใจเริ่มสับสนวุ่นวาย

    "เรามาบวชเพื่อความสงบ นี่มันไม่สงบ ไม่เห็นเหมือนที่เขากล่าวมาเลย"

    คิดถึงแม่ทันที "ลูกมาอยู่ที่นี่ด้วยหวังบุญกุศลที่จะบังเกิดมี แต่บัดนี้ที่ๆบอกว่ามีดี กลับไม่มีดีเสียแล้ว"

    อยากกลับไปบ้าน แต่ติดที่ว่า ลั่นวาจาออกไปแล้วว่าจะไม่สึก ทรมานมากเลย นอนร้องไห้ทุกคืนและทุกวัน ในหูก็ไม่รู้มีเสียงใครพูดยุยงส่งเสริมอยู่ได้
    ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงตะโกนออกไปดังๆว่า

    "ไปจากชีวิตฉันนะ ไม่ต้องมาบอกอะไรฉันอีก ฉันเกลียดแก ถ้าเจอฉันจะฆ่าแก ไป..."
    ใครฟังอย่างนี้ต้องขอบอกว่า " บ้าแน่นอน" แม่ชีขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง ไม่กินข้าว ไม่อาบน้ำ ไม่ขึ้นไปสวดมนต์กับพวกพระและแม่ชี

    วันหนึ่งหิวข้าวมาก จึงเดินออกไปหวังจะร่วมวงนั่งกินข้าวกับพวกแม่ชี พอลงนั่งจะกินข้าว แม่ชีเด็กก็ทำท่าอ๊วกออกมาเหมือนคนแพ้ท้อง และก็เป็นอยู่อย่างนั้น

    แม่ชีจึงลุกขึ้นไม่กินข้าวด้วย เธอก็หายคลื่นไส้ไม่ทำท่าทางอ๊วกเลย นั่งกินข้าวหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม่ชีหิวข้าวมากจึงเดินเข้าไปนั่งเพื่อจะกินข้าว

    เธอก็มีอาการเหมือนเดิมอีก คือทำท่าทางคลื่นไส้จะอ๊วกอีกแล้ว แม่ชีทุกคนหันมามองแล้วก็ส่ายหัวกันเป็นแถว

    มีเสียงดังในหูแม่ชีอีกแล้ว "เห็นไหม มันท้องกับหลวงปู่เธอไง?" "กลับเข้าห้องไปไม่ต้องไปกินข้าวร่วมกับมัน" เสียงในหูสั่ง

    แม่ชีจึงลุกกลับเข้าห้องไปโดยไม่ได้กินข้าวอีก รวมไม่ได้กินข้าวก็ประมาณ 3-4วันได้ จนแม่ชีแก่ในวัดสงสารจึงยกถาดอาหารมาให้กินในห้อง แต่ยกถาดมาวางให้อย่างคนกล้าๆกลัวๆอย่างนั้น

    แม่ชีนั่งกินข้าวด้วยน้ำตานองหน้า กินไม่ค่อยลงกลืนไม่ค่อยได้ แต่ก็พยายามกินเพราะหิวและไม่มีแรง คืนนั้นมีเสียงพูดในหูอีกแล้ว

    "อย่านอนหลับนะ ถ้านอนจิตของเธอจะออกจากร่าง เธอจะตายทันที"

    ไม่รู้เสียงของใครพูด ง่วงแสนง่วง ล้มตัวลงนอน พอกำลังเคลิ้มจะหลับก็ต้องสะดุ้งตกใจ เพราะมีเสียงเรียกไว้เสมอทุกครั้ง

    "อย่าหลับนะ ระวังจิตจะไหลออกทางเท้า" แม่ชีนอนมองเท้าตัวเอง มันเหมือนมีกระแสอะไรก็ไม่รู้วิ่งลงไปที่ปลายเท้าของตัวเอง แม่ชีจึงยกเท้าขึ้นมาซ้อนกันไว้แล้วเอานิ้งโป้งของเท้ากดกับพื้นไว้ ความรู้สึกว่ามีอะไรวิ่งไหลลงไปจึงหยุดทันที แม่ชีเริ่มกลัวขึ้นมามากโดยลำดับ

    จึงลุกขึ้นเปิดวิทยุเป็นเพื่อน ในวิทยุก็มีเสียงเหมือนคนพูดในหูเลย

    "อย่านอนหลับนะ เดี๋ยวคุณอาจตายได้ในที่สุด" เอาอีกแล้ว "มันบ้าอะไรกันนะ"

    แม่ชีชักหงุดหงิด ใจหนึ่งก็คิดว่า "เราบ้าไปแล้วหรือนี่ มันอะไรกัน ก่อนมาบวชไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลย พอบวชแล้วทำไมเป็นแบบนี้นะ"
    นึกถึงแม่อีกแล้ว "


    ป่านนี้แม่จะเป็นอย่างไรบ้างนะ ลูกมาบวชโดยไม่ได้บอกแม่เลย ลูกขอโทษแม่นะ แม่จะรู้หรือเปล่าว่าลูกของแม่ เหมือนคนบ้าแล้วและกำลังจะตาย" สักพักมีเสียงพูดที่หูอีกแล้ว "น้องสาวของเธอกำลังแท้งลูกอยู่โรงพยาบาล โทรไปหาสิ"
    ตอนนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว แม่ชีห่วงน้องมากจึงเดินออกจากห้องมาโทรศัพท์หาน้องสาว เสียงน้องสาวรับสายอย่างงัวเงีย แม่ชีจึงถามว่า "สบายดีหรือ?"
    น้องสาวตอบกลับมาว่า "สบายดี แม่ชีไม่ต้องเป็นห่วง" จากนั้นแม่ชีก็วางสายเดินกลับเข้ามาในห้องตามเดิม

    "ไหน...ไม่เห็นเป็นอะไรเลย แกโกหกฉัน บ้าจริงๆ" แม่ชีอุทาน

    "น้องเธอมันโกหกเพื่อให้เธอสบายใจน่ะสิ
    เอ้า...พี่สาวของเธอกำลังเดือดร้อนอย่างหนัก เป็นไข้ไม่สบายหนักด้วย"


    แม่ชีจึงกล่าวว่า

    "พอเถอะ อย่าทำอะไรให้มันวุ่นวายเลย ใครจะเป็นอะไรก็ช่าง
    ไม่ใช่เรื่องของฉัน แกอย่ามาวุ่นวายกับฉันอีกเลย ฉันขอร้องล่ะ "


    ว่าแล้วแม่ชีก็ล้มตัวลงนอนหลับไปด้วยความเพลีย

    จบตอนจ้า โปรดติดตามตอนต่อไป

    (b-oneeye)(b-oneeye)(b-oneeye)
    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!
     
  2. Enigma

    Enigma เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2005
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +314

    ประวัติคล้ายๆกับหนูเลยค่ะ
     
  3. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    ประวัติตอนที่8จ้า...

    รุ่งเช้าวันนั้นหลวงปู่ลงมาข้างล่างซึ่งเป็นที่ๆรับสังฆทานและเป็นที่พักของพวกแม่ชี ผู้คนมาทำบุญกันมาก และวันนั้นหลวงปู่ลงมาเจิมรถใหม่ให้กับโยม

    แม่ชีเดินไปยืนดูอยู่ห่างๆ กลัวหลวงปู่เหมือนกัน แต่พอดูอาการของหลวงปู่แล้ว ใจหนึ่งก็อดสงสารท่านไม่ได้ เพราะท่านชราภาพมากแล้ว

    เดินก็ไม่ค่อยไหวต้องพยุงกัน หลวงปู่หันมายิ้มให้แม่ชี เหมือนท่านรู้เลยว่าแม่ชียืนมองดูท่าน

    ท่านเดินมาเจิมที่รถ ตอนนั้นเหมือนมีกระแสอะไรไม่รู้พัดผ่านมาที่ใบหน้าของแม่ชี แม่ชียืนมองดูหลวงปู่ทำการเจิมรถอย่างใจจดใจจ่อ
    แล้วก็หลับตาเก็บข้อมูลที่เห็นทั้งหมดไว้ในจิตข้างใน ไม่รู้ว่าหลวงปู่ว่าคาถาอะไร? แต่อยู่ๆก็มีเสียงคาถาพูดให้ได้ยินในหูเลย

    แม่ชียืนยิ้มเหมือนเข้าใจ หลังจากนั้นหลวงปู่ก็ฉันอาหารกลางวันข้างล่าง แม่ชีก็ฉันอาหารกับพวกแม่ชีเหมือนเดิม พอกำลังจะนั่งลงฉันข้าว

    แม่ชีเด็กก็มีอาการอีกแล้ว แต่คราวนี้แม่ขีไม่สนใจแล้ว "เธอจะเป็นอะไรก็เรื่องของเธอ ฉันจะกินข้าว"แม่ชีเด็กมีอาการคลื่นไส้มาก จึงลุกขึ้นไม่กินข้าว

    วันนั้นแม่ชีเลยได้กินข้าวอิ่มท้องบ้าง พอฉันเสร็จทั้งหลวงปู่และแม่ชี ญาติโยมก็ทะยอยกันเข้าไปกราบและพูดคุยกับหลวงปู่ เห็นหลวงปู่ชำเลืองมองดูอะไรต่ออะไร

    เอาอีกแล้ว...แม่ชีเริ่มมีอาการแปลกๆอีกแล้ว มีเสียงใครก็ไม่รู้พูดในหูอีกแล้ว

    "ไปตีมันเลย ตีให้ตายนะ มันเกลียดแก มันแกล้งลงมาดูว่าแกจะเป็นอย่างไรบ้าง มันมาดูเมียมันต่างหาก เห็นไหม เมียมันท้องแล้ว

    และเดี๋ยวมันก็จะนำเอาไปทำเป็นลูกกรอก เชื่อฉันเถอะ นี่เป็นโอกาสดีที่เธอจะพิสูจน์ความจริง ฉีกหน้ากากมันออกมาเลย มันไม่ใช่พระดีหรอก มันหลอกลวง

    มันมีเมีย มันทำชีท้อง ถ้าเธอไม่ทำต่อไปก็ถึงคิวเธอ ตีมันเลย ตีมันเลย เชื่อฉัน"

    โอย!!!จะบ้าตายอะไรกันนี่...แม่ชีเดินเข้าไปยืนใกล้ๆหลวงปู่ ใจหนึ่งก็โกรธ ใจหนึ่งก็ยั้งไว้ คิดอยู่ในใจว่า

    "ท่านแก่ปานนี้ ไม่เห็นจะร้ายอะไรเลย ท่านเมตตาเสียด้วยซ้ำ"มีเสียงแทรกมาอีก "มันแกล้งเก่ง ตีมันเลย"

    สุดท้ายแม่ชีวิ่งหนีอย่างเร็วไปยืนอยู่หลังวัด ตะโกนเสียงดังลั่นวัดเลยว่า "ฉันไม่มีวันทำร้ายครูของฉันเด็ดขาด ฉันยอมตายดีกว่าที่จะทำร้ายครู"

    "จริงรึ" เสียงถามเข้ามาในหู "จริงสิ แกเป็นใครมาสั่งให้ฉันทำร้ายครูน่ะ ฉันเกลียดแก ฉันจะฆ่าแกนั่นแหละ ไปจากชีวิตฉันนะ"

    แม่ชียืนสงบสติอารมณ์สักพัก แม่ชีเด็กมาเรียกว่า หลวงปู่เรียกหาแม่ชี แม่ชีจึงคลานเข้าไปหาหลวงปู่แล้วบอกว่า

    "หลวงปู่...ไม่รู้ว่าใครมันสั่งในหูหนูอยู่เรื่อยเลย" หลวงปู่ชะโงกหน้าลงมากระซิบเบาๆว่า

    "ข่มมันเอาไว้นะ"แล้วท่านก็ยิ้มยกมือขึ้นลูบหัวแม่ชีเบาๆ
    รู้สึกอบอุ่นจริงๆ ไม่เคยมีใครมาลูบหัวแบบนี้เลย อยากจะกระโดดกอดหลวงปู่จริงๆ แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เข้าไปกอดขาหลวงปู่

    ท่านก็เมตตา นั่งลูบหัวแล้วพูดว่า "หลานปู่เอ๋ย...ปู่ตามหาเธอมาช้านาน สุดท้ายปู่กับหลานก็เจอกันจนได้ และเธอยังมีน้องอีกคนนะ"

    แล้วท่านก็บอกว่า
    "ชีเด็กคนนั้นไง ที่เป็นน้องของเธอ ดูแลมันแทนปู่ด้วยนะ"

    แม่ชีมองหลวงปู่อยู่นาน อาการตอนนั้นรู้สึกว่าดีขึ้นโดยลำดับ ไม่มีเสียงของใครมาพูดในหูอีก หลวงปู่บอกให้ไปพักผ่อนเสีย แล้วคืนนี้ให้ขึ้นไปรับใช้เหมือนเดิม

    แม่ชีก็ทำตาม เข้าห้องนอนหลับพักผ่อนสบาย นี่เป็นครั้งแรกที่นอนหลับอย่างเป็นสุข สักพักรู้สึกตัวขึ้นมา เพราะว่ามีเสียงพูดในหูอีก

    "เอาละ...การทดสอบของเธอสิ้นสุดลงแล้ว เธอผ่านการทดสอบ ต่อไปนี้ขอเธอจงปฏิบัติตามคำที่อาจารย์ของเธอสอนเถอะ ท่านเป็นพระที่ดี

    สมควรแล้วที่เธอเลือกเป็นครูและไม่ทำร้ายครู ต่อไปนี้จะไม่มีอะไรมารบกวนเธออีกแล้ว ไปอาบน้ำราดหัวให้สบายนะลูกเอ๋ย แล้วคืนนี้ขึ้นไปหา ปู่เธอ เขาจะสอนอะไรๆให้เธอเอง"

    แม่ชีรู้สึกถึงความโล่งโปร่งสบายจริงๆ ออกมาอาบน้ำตามที่เสียงบอก แล้วขึ้นไปทำวัตรสวดมนต์พร้อมกับพระและแม่ชีตามปกติ

    คืนนั้นได้เข้าไปรับใช้หลวงปู่พร้อมกับหัวหน้าแม่ชีและแม่ชีเด็ก หลวงปู่ก็เล่าเรื่องอะไรต่ออะไรให้ฟัง และท่านก็ให้แม่ชีเล่าอาการที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง
    แม่ชีก็เล่าให้ฟังตามลำดับ


    หลวงปู่จึงบอกว่า "หลวงปู่ได้อธิษฐานจิตว่าอยากได้ลูกศิษย์ที่เป็นนักแสดง นักดนตรีมาบวช จะได้สอนกรรมฐานให้ เพราะพวกนี้มีสมาธิดีอยู่แล้ว

    สอนพวกอื่นได้ช้า ท่านไม่อยากเกิดอีกแล้ว ต้องทำตามสัญญาและสัจจะ อยู่ๆเธอก็มา ปู่รู้ว่าเธอเล่นดนตรีมาก่อน มาเล่นและร้องให้ปู่ฟังบ้างสิ"

    แม่ชีจึงถามว่า "หลวงปู่ชอบฟังเพลงอะไรคะ?" "เพลงอะไรไม่รู้ที่ร้องว่า เสียงรถด่วนขบวนสุดท้ายน่ะ"แม่ชีขำกลิ้งเลย แหม!!!

    หลวงปู่ชอบเพลงของผ่องศรี วรนุชซะด้วย และยังมีอีกเพลงหนึ่งคือ 16 ปี แห่งความหลังของสุรพลเสียด้วย

    คืนนั้นปู่คือหลวงปู่และหลานคือแม่ชีและแม่ชีเด็กนั่งคุยกันจนได้เวลาพอสมควรท่านก็ให้กลับลงมานอน คืนนี้เป็นคืนที่มีความสุขมาก

    ก่อนนอนแม่ชีนั่งทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่ก็ยังสรุปไม่ได้ว่าคืออะไรกันแน่...

    โปรดติดตามตอนต่อไป ยังไม่จบจ้า...

    (b-oneeye)(b-oneeye)(b-oneeye)
    ธรรมะสวัสดี สาธุ !!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มกราคม 2007
  4. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ประวัติตอนที่9...

    รุ่งเช้าแม่ชีก็ตื่นขึ้นมาทำวัตรเช้าร่วมกับพระและแม่ชีเหมือนปกติ หลวงปู่ก็เรียกขึ้นไปรับใช้ท่านกับแม่ชีเด็ก หน้าที่ของแม่ชีก็ชงกาแฟและอื่นๆ


    ส่วนแม่ชีเด็กก็มีหน้าที่หยอดตาและอาบน้ำให้ท่าน ตอนหลังท่านให้แม่ชีเป็นคนทำกับข้าวให้ท่านฉันในมื้อเช้าแทนแม่ชีคนเก่า

    ตอนกลางวันก็ทำหน้าที่ปกติเหมือนแม่ชีท่านอื่น ตอนกลางคืน 4ทุ่มก็ต้องขึ้นไปจัดอาหารและยาให้หลวงปู่ฉัน พร้อมกับแม่ชีที่เป็นหัวหน้าและแม่ชีเด็ก
    ทุกคืนแม่ชีจะลงมากับแม่ชีผู้เป็นหัวหน้าก่อน ส่วนแม่ชีเด็กจะตามลงมาทีหลังทุกคืน


    จนวันหนึ่งแม่ชีที่เป็นหัวหน้าเรียกแม่ชีไปนั่งคุยกันในห้อง แม่ชีผู้เป็นหัวหน้าบอกว่า "เราไม่รู้จะทำอย่างไร?" แม่ชีจึงถามว่า "เรื่องอะไรล่ะ?"



    แม่ชีหัวหน้าทำท่าลังเลอยู่พักหนึ่ง จึงหยิบตุ๊กตาขึ้นมาแล้ววางทับกับตุ๊กอีกตัวพร้อมกับทำท่าขย่มตุ๊กตาอีกตัวให้ดู แม่ชีงงมากถามว่า

    "อะไร?" หัวหน้าแม่ชีจึงบอกว่า "แม่ชีเด็กโดนทำอย่างนี้" แม่ชีจึงบอกว่า

    "อย่าตกใจไปเลย มันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นนะ"
    แม่ชีพูดไปใจก็หวั่นๆเหมือนกัน เพราะตอนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้นั้น มีเสียงมาบอกต่างๆนานา

    จนวันหนึ่งมีเพื่อนของแม่ชีมาบวชเพื่อรักษาร่างกาย กลางคืนก็ขึ้นไปรับใช้หลวงปู่ด้วยกันทั้งหมด

    แต่ตอนลงมาจะลงมาเฉพาะแม่ชี หัวหน้าแม่ชีและเพื่อนของแม่ชีเท่านั้น ยกเว้นแม่ชีเด็กทุกครั้ง ครั้นพอแม่ชีเด็กลงมาจากห้องของหลวงปู่

    เธอจะมาเรียกเพื่อขอนอนในห้องกับแม่ชีทุกคืน มือไม้ของแม่ชีเด็กเย้นเย็น และจะเรียกแม่ชีว่า "พี่ยาช่วยด้วย"แล้วก็กอดแม่ชีเสียแน่นเชียว


    แม่ชีก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก คิดว่าเด็กคงจะเหงาเพราะขาดพ่อแม่น่ะ...

    ตอนกลางวันหลวงปู่เรียกเพื่อนของแม่ชีขึ้นไปเพื่อจะทำการรักษาโรคแปลกประหลาด พอเพื่อนแม่ชีลงมาจากห้องหลวงปู่ก็เป็นลมล้มพับลงทุกครั้งไป


    แม่ชีถามว่าหลวงปู่รักษายังไง? เพื่อนตอบว่า " หลวงปู่ให้นั่งสมาธิ"

    "อ้าว!!!นั่งสมาธิแล้วทำไมต้องเป็นลมทุกครั้ง หิวข้าวหรือไง?"

    เพื่อนของแม่ชีก็ไม่บอกอะไร ทำปากสั่นๆเหมือนหวาดกลัวอะไรอย่างนั้น...

    วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ญาติโยมผู้ที่คิดว่าตัวเองเก่งมีองค์โน้นองค์นี้ต่างขึ้นมาบนวัด เข้าทรงกันให้วุ่นวาย มีพระแม่กวนอิมฯ พระแม่อุมาเทวีฯ
    กวนอู แล้วก็อะไรต่ออะไรมากมาย เวียนหัวเหลือเกิน ร่างทรงทั้งหลายก็เรียกแม่ชีเด็กเข้าไป แม่ชีเด็กก็ทำท่าทางเหมือนพวกร่างทรงล่ะมั้ง


    ยกมือยกไม้รำเหมือคนเล่นงิ้วนั่นแหละ อ้อ...เจ้าแม่กวนอิมฯ สักพักก็เรียกให้แม่ชีกับเพื่อนเข้าไปบ้าง แม่ชีกับเพื่อนไม่เข้าไป

    เพื่อนของแม่ชีหันมาถามแม่ชีว่า "ทำไมเขาต้องทรงกันด้วย" เสียงที่ถามกลับไม่ใช่เสียงของเพื่อนเสียแล้ว เหมือนเสียงเด็กๆพูด

    แปล๊บเดียวแม่ชีเริ่มมีอาการแปลกๆอีกแล้ว โอ้!!!มันอะไรกันนี่ แม่ชีกับเพื่อนเข้ามาในห้อง เพื่อนของแม่ชีเริ่มพูดอะไรต่ออะไรเหมือนเด็กๆ
    เดี๋ยวร้องไห้จะกินนม " อ้าว!!! จะบ้ากันใหญ่แล้วหรือไง? โตเป็นควายแล้วร้องไห้เหมือนเด็กแถมยังจะกินนมอีก" แม่ชีอุทานออกมา


    สักพักพวกแม่ชีก็เข้ามาในห้อง มานั่งฟังเพื่อนของแม่ชีพูดอะไรต่ออะไร บ้างก็ถามโน่นถามนี่ แม่ชีเริ่มงงอีกแล้ว

    "มันอะไรกันนะ ผีที่มาเข้าทรงมีจริงๆหรือ?"สักพักเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้อีกแล้ว เริ่มพูดโน่นพูดนี่โดยที่ควบคุมไม่ได้
    ไม่รู้ว่าใครมาบังคับให้เราพูดเหมือนกัน ร่างกายก็บังคับไม่ได้ ตัวเริ่มงอลงนั่งเหมือนคนแก่ แถมอยากกินหมากอีก เสียงที่พูดก็เหมือนคนแก่

    รู้ตัวนะแต่ว่าบังคับไม่ได้ จึงปล่อยเลยตามเลย อยากทำอะไร พูดอะไรก็พูดไป หูแม่ชีก็คอยฟัง ฟังแล้วก็คิดว่า

    "เอ...เราไม่เคยเรียน ไม่เคยรู้ในสิ่งที่ใครก็ไม่รู้พูดเลย แต่ก็ดีเหมือนกัน จะได้เป็นความรู้ต่อไป"

    หัวหน้าแม่ชีจึงเข้ามาถามว่า "ที่ตนเห็นนั้น เป็นจริงหรือไม่?" แม่ชีตอบออกไป แต่ไม่รู้นะว่าตอบแบบนั้นได้อย่างไรกัน

    "มันกำลังสอนอยู่น่ะสิ นังหนูคนนี้มันฉลาด แต่มันมีกรรมที่จะต้องชดใช้ "

    ใจของแม่ชีตอนนั้นเริ่มเศร้าสร้อยขึ้นมา

    หลังจากที่ได้ยินเสียงที่พูดออกมาจากปากของตัวเอง แต่เสียงนั้นก็มีเมตตาเสียจริงๆ...

    เหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นไม่ซ้ำในแต่ละวัน จนร่างกายของแม่ชีอ่อนเพลีย เป็นไข้ไม่สบายจึงวานคนในวัดให้พาไปหาหมอที่โรงพยาบาลวชิระ ภูเก็ต

    คนพาไปก็ไปทำบัตรอะไรให้เสร็จเรียบร้อย แม่ชีก็ไปนั่งรอหมออยู่นาน หันไปมองรอบด้าน เห็นพวกพระและโยมนั่งกันมากทีเดียว

    บางคนก็มีอาการแปลกๆ แม่ชีก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะตอนนั้นเวียนหัวมาก จนหมอเรียกเข้าไปตรวจ หมอถามว่า "ติดยาเสพติดหรือเปล่า?"

    แม่ชีตอบว่า "เปล่า...คลื่นไส้และเวียนหัว รวมทั้งเป็นหวัดมีน้ำมูก
    ด้วย" "เป็นมากี่วันแล้ว"หมอถาม แม่ชีตอบหมอว่า "เป็นมา 3-4วันแล้ว"

    หมอฟังแล้วพยักหน้ารวมทั้งบอกให้ไปหาหมออีกคนหนึ่งที่นั่งห้องถัดไป

    พอไปถึงหมออีกท่านหนึ่ง ถามว่า "ก่อนบวชทำอะไรมา?" แม่ชีก็ตอบว่า

    "ขายของและร้องเพลงเล่นดนตรีมาก่อน"
    หมอก็พยักหน้าแล้วเขียนอะไรต่ออะไรลงไปในกระดาษบันทึก หลังจากนั้นหมอก็ให้ไปรับยาแล้วสั่งว่าให้กินยาตามที่ระบุไว้บนฉลากหลังจากนั้นให้
    มาหาอีกตามวันที่กำหนดไว้

    กลับถึงวัดแม่ชีก็ทานยาตามคำสั่งของหมอทันที กินยาเข้าไปสักพักเดินไปแปรงฟัน ขณะกำลังแปรงฟันอยู่ล้มวูบลงไปโดยไม่รู้ตัวเลย หลับคาอ่างล้างหน้าเลย

    ไม่มีใครเห็นเพราะขึ้นไปสวดมนต์กันหมด แม่ชีหลับไปสักพักจึงรู้สึกตัว เพราะรู้สึกว่าหลังเปียกน้ำ จึงเดินเข้าห้องแล้วทบทวนเหตุการณ์โดยลำดับ

    สรุปได้ว่ากินยานี่เองจึงเป็นอย่างนี้ จึงหยุดกินยาบางเม็ดเองเลย เนื่องจากอ่านชื่อยาแล้วคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเจ้าเม็ดยานี้แน่นอน

    จึงกินบางเม็ดเท่านั้น กินเสร็จก็จะง่วงและหลับทุกครั้ง แต่ก็ยังทนกินยาให้หมดตามที่หมอสั่ง จนถึงวันหมอนัดก็ไปตามนัดทันที


    หมอถามว่า"เป็นยังไงบ้าง?" แม่ชีก็ตอบว่า "กินแล้วง่วงจัง คุณหมอคะ ทำไมเป็นหวัดแค่นี้ต้องกินยานานจังคะ?"

    หมอตอบว่า "แม่ชีต้องกินยาตลอดชีวิต ไม่เช่นนั้นจะบ้าและไม่หาย" หมอตอบหน้าตาเฉย โดยไม่ได้มองหน้าแม่ชีเลย

    แม่ชีจึงถามว่า "อะไรนะ เป็นหวัดแค่นี้ต้องกินยาตลอดชีวิตเลยหรือ?"

    หมอตอบว่า "ใช่ ไปรับยาแล้วกินยาตามนั้นนะ เดี๋ยวจะไม่หาย"
    แม่ชีต้องกินยาที่หมอสั่งอยู่นานถึง 3 ปี กินแล้วก็ง่วงนอน แต่พยายามทานกาแฟเอาไว้จะได้ไม่ง่วง เพราะหลวงปู่มักจะใช้งานให้นั่งสมาธิดูโน่นดูนี่อยู่เรื่อย จึงต้องดื่มกาแฟเอาไว้ตลอดเวลา ตกวันละ 3-4แก้วเลย

    ระหว่างที่ไปหาหมอนั้น เพื่อนของแม่ชีก็สึกออกไปแล้ว แม่ชีเด็กก็มีอาการปกติรับใช้หลวงปู่คู่กับแม่ชีโดยที่หัวหน้าแม่ชีไม่ต้องไปรับใช้หลวงปู่อีกแล้ว


    วันหนึ่งหลวงปู่บอกว่า "ให้เธอกลับไปกราบขอขมาพ่อแม่เสีย แล้วกลับมาปู่จะสอนให้ปฏิบัติต่อไป" แม่ชีก็กลับไปอยุธยานำธูปเทียนแพไปขอขมาพ่อแม่

    พ่อแม่ก็อโหสิให้ รู้สึกว่าโล่งสบายจริงๆ แล้วกลับมาที่วัดตามเดิม


    หลวงปู่เริ่มให้กรรมฐานในการปฏิบัติทันที โดยภาวนาคำว่า "ขอพบดวงสว่างๆๆๆๆ" อยู่อย่างนี้ แป๊บเดียวแม่ชีเห็นดวงสว่างวาบเลย

    หลวงปู่ก็บอกให้อธิษฐานจิตว่า "ถ้าท่านเป็นดวงมรรค ดวงผลจริงก็ให้ท่านกลม" แสงสว่างนั้นก็กลมตามสั่ง "จงเล็กลง"ดวงนั้นก็เล็กตาม
    "จงโตขึ้น"


    ดวงนั้นก็โตตามสั่งเช่นกัน จนสุดท้ายจึงบอกว่า"ให้ท่านเข้ามาอยู่หว่างคิ้วข้าพเจ้า"

    ฉับพลันดวงนั้นก็วิ่งชนหว่างคิ้วของแม่ชี เสียวระหว่างคิ้วมาก

    ดวงสว่างนั้นเข้ามาในหว่างคิ้ว แปล๊บเดียวเกิดเป็นความสว่างภายในเหมือนลืมตาเลย เห็นหลอดลม

    เรื่อยลงมาจนถึงตับไตไส้พุง ปอด หัวใจ ทีแรกก็สงสัยปนตื่นเต้นมากแต่ก็ดูไปเรื่อยๆ



    จบตอนที่9 โปรดติดตามตอนต่อไปในตอนที่10จ้า...
    (b-oneeye)(b-oneeye)(b-oneeye)

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!
     
  5. SaNdolLaR

    SaNdolLaR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +415
    เหอ ๆ ๆ สังเขปก็สังเขปจริงๆ ละเอียดก็ละเอียดจริงๆ รีบๆมต่อน่ะคะ เรื่องของแม่ชีทำเอาหนูลุ้นทุกตอนเลย ยกเว้นตอนที่แม่ชีบอกว่า หลวงปู่พูดว่า" หลานปู่เอ๋ย ปู่ตามหาเธอมานาน" หนูน้ำตาไหลมาเฉยเลย จะมีใครรอหนูบ้างใหมเนี่ย สงสัยอ่านแล้วอินกับแม่ชีจัดแน่เลย แต่ขึ้นกลับไปอ่านอีก น้ำตามันก็ไหลอีก แหะๆ หนูรออ่านต่ออยู่น่ะคะ
     
  6. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,513
    ค่าพลัง:
    +27,181
    มารอด้วยคนครับ
     
  7. NAMO5000

    NAMO5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +6,980
    รอด้วยอีกคน
     
  8. monsodsai

    monsodsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +570
    อ่านแล้ว ได้อะไรดีๆ เยอะเลยค่ะ กำลังรออ่านตอนที่ 10 อยู่ค่ะ จะมีมาเมื่อไหร่คะ
     
  9. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    ประวัติตอนที่10จ้า...


    ตอนที่เห็นตับ ไต ไส้พุงนั้นตื่นเต้นมาก ใจมันเต้นโครมครามชอบกล ใจหนึ่งก็สงสัยว่า " เอ...เราบ้าไปหรือเปล่านี่หนา"

    อีกใจหนึ่งก็ภูมิใจที่เราสามารถมองเห็นในตัวเองได้โดยไม่ต้องให้หมอใช้เครื่องส่องดูเลย ดูจนพอสมควรจึงลืมตาออกจากสมาธิ


    นั่งงงๆอยู่ตั้งนาน คืนนั้นหลวงปู่ให้ขึ้นไปหา แล้วให้นั่งสมาธิต่อหน้าท่าน
    การกำหนดก็เหมือนเดิม นั่งไปได้สักครู่หลวงปู่จึงถามว่า "เห็นดวงหรือยัง"

    แม่ชีก็เงียบไม่กล้าพูด เพราะคิดว่าพูดไม่ได้ แต่ตอบหลวงปู่ในใจ

    หลวงปู่จึงบอกว่า "พูดออกมาได้ ถ้าปู่ถาม จงตอบออกมา" แม่ชีจึงตอบออกมาว่า "เห็นแล้วค่ะ" หลวงปู่จึงบอกว่า

    "ดี เธอได้ดวงสว่าง ขอให้เธอจงมีตาทิพย์ มองเห็นอะไรได้ดังใจปรารถนา"

    หลังจากนั้นหลวงปู่ก็ให้นั่งดูญาติโยมที่เป็นโรคที่หมอวินิจฉัยไม่ออก ไม่ได้หลายคน จนหมอที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯงงกันไปตามๆเลย

    มีอยู่รายหนึ่ง นอนอยู่ในห้องให้เลือด เพราะเลือดของคนไข้หายไปหมด ให้หลายขวดก็หายไปอีก ไม่รู้ว่ารั่วตรงไหน

    ส่องกล้องก็แล้ว ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเลย หลวงปู่จึงให้แม่ชีดูให้หน่อย แม่ชีจึงบอกญาติของคนไข้ว่า

    "รูตรงลำไส้รั่ว ให้หมอตรวจดูใหม่เถอะ"

    ญาติคนไข้ไปบอกหมอ หมอกลับหัวเราะถามว่า "ใครบอกมา" พอญาติคนไข้บอกว่าแม่ชีบอก หมอยิ่งหัวเราะใหญ่

    "ผมมีเครื่องมือตรวจยังมองไม่เห็น แล้วแม่ชีไม่มีเครื่องตรวจจะเห็นได้ยังไง ไร้สาระ?"

    ญาติของคนไข้จึงเปลี่ยนโรงพยาบาลรักษา ไปโรงพยาบาลใหม่ ให้หมอตรวจใหม่ หมอตรวจแล้วก็ไม่เจอเหมือนเดิม ญาตจึงโทรมาหาแม่ชีแล้วให้แม่ชีคุยกับหมอ แม่ชีจึงบอกหมอว่า

    "ตรงลำไส้ใหญ่นั้นมีรูรั่วอยู่แต่เครื่องมองไม่เห็นเพราะไส้มันทับกันอยู่ หมอลองอีกทีสิ วัดจากท้องลงมาประมาณ 6 นิ้วค่ะ"

    หมอจึงลองตรวจดูใหม่โดยฉีดสีเข้าไป สุดท้ายหมอตะลึง เห็นรูในสำไส้รั่ว จึงจัดการเอาเครื่องเข้าไปเย็บลำไส้เรียบร้อย

    ตั้งแต่นั้นมาแม่ชีเลยดังในเรื่องนั่งดูอะไรต่ออะไร จนเวียนหัวเหมือนกัน เพราะอะไรหาย หาไม่เจอ เป็นโรคอะไรไม่มีใครไปหาหมอ กลับขึ้นวัดมาหาหลวงปู่
    หลวงปู่ก็ให้แม่ชีนั่งดู นั่งรักษาด้วยจิต เฮ้อ...

    แหม!!!เราไม่สบายเรายังต้องไปหาหมอ
    ทำไมคนอื่นไม่สบาย แล้วทำไมไม่ไปหาหมอล่ะ?


    หลังจากนั้นมาหลวงปู่ก็สอนให้ลงทอง และอะไรต่ออะไรอีกมาก รวมทั้งต้องติดตามหลวงปู่ไปทุกที่ๆ มีกิจนิมนต์พร้อมกับแม่ชีเด็ก

    ตอนนั้นยังต้องกินยาที่หมอให้นะ ถึงเวลาก็ต้องไปตามนัด เคยถามหมอว่า" เลิกกินยาได้หรือยัง?" หมอบอกว่า

    "ยังไม่ได้ต้องกินตลอดไป"

    ก็ต้องเชื่อหมอนั่นแหละ ไม่เชื่อหมอแล้วจะเชื่อใครล่ะ? กินยาก็ต้องกินข้าว เลยต้องกินข้าวมื้อเย็นด้วย


    มีอยู่วันหนึ่งพวกที่บอกว่าตนปฏิบัติได้ดีเยี่ยมบอกว่า "แม่ชีอย่ากินข้าวเย็นเลย กินยาเข้าไปเลยโดยไม่ต้องกินข้าวหรอก กินข้าวเย็นเดี๋ยวตกนรกและจะปฏิบัติไม่ได้

    " แม่ชีเลยบอกว่า " จะเชื่อหมอหรือเชื่อคุณดีล่ะ กินยาโดยไม่กินข้าว ยาก็กัดกระเพาะเป็นแผล ทรมาน ตายไปก็เป็นได้ แค่เทวดา กับการกินข้าวแล้วกินยาเพื่อรักษาตัวเอง แล้วปฏิบัติไปจนบรรลุและไปนิพพานไม่ดีกว่าหรือ?


    ถ้ากินข้าวเย็นเพราะต้องกินยา แล้วจะทำให้มอง ไม่เห็นอะไร ป่านนี้แม่ชีคงทำงานให้หลวงปู่ไม่ได้ล่ะมั้ง?


    และที่ต้องกินข้าวนี่ก็เพราะหลวงปู่สั่งให้กินและกินยาที่หมอสั่งต่างหาก ถ้าไม่ดีหลวงปู่คงห้ามแล้วมั้งจ๊ะ?"

    แม่ชีพูดอย่างนี้คนพูดเลยเงียบกริบเลย แม่ชีเลยขึ้นไปถามหลวงปู่ หลวงปู่หัวเราะ แล้วบอกว่า

    "เจ้าก็ถามคนพูดสิว่า มันปฏิบัติไปถึงไหน?"

    แม่ชีจึงยุติเรื่องนั้นไป หลังจากนั้นก็เริ่มปฏิบัติตามที่หลวงปู่สอนเรื่อยมา
    พวกแม่ชีและพระที่เป็นลูกศิษย์เก่าๆก็จ้องอิจฉาหาเรื่องอยู่เรื่อยๆ

    จนวันหนึ่งหลวงปู่เรียกประชุมลูกศิษย์ทั้งหมด เมื่อมารวมกันครบแล้วหลวงปู่จึงกล่าว่า

    " ไอ้ยากับไอ้เปีย (แม่ชีเด็ก)มันสำเร็จบรรลุธรรมแล้ว
    ได้พระโสดาบันเบื้องต้น และปู่จะส่งมันไปธุดงค์ 3 เดือน ใครมีอะไรสงสัยไหม?"
    ทุกคนเงียบกริบไม่มีใครเอ่ยปากเลย หลังจากนั้นมาหลวงปู่ก็ให้เตรียมตัวไปธุดงค์โดยมีแม่ชีเด็กและแม่ชีอีกคนหนึ่ง
    ( แม่ชีน้อย) ตามไปด้วยเป็น 3 คน
    ก่อนจะไปธุดงค์ ได้มีพระดังๆหลายท่านมากราบหลวงปู่ คืนนั้นพระท่านนั่งรอจนแม่ชีออกมาจากการรับใช้หลวงปู่


    พระท่านถามว่า "คนไหนแม่ชียา" "หนูเจ้าค่ะ" แม่ชีตอบ พระท่านจึงบอกว่า "ขอคุยหน่อย" แล้วท่านก็ถามว่า"เธอปฏิบัติอย่างไรจึงสำเร็จและบรรลุธรรม
    และรู้ได้อย่างไรว่าคนเราตายแล้วไปไหน?" แม่ชีจึงตอบว่า " แม่ชีไม่รู้อะไรเจ้าค่ะ


    ทำตามที่หลวงปู่สอน แล้วมันก็เห็นเอง แต่ก็ไม่เข้าใจเจ้าค่ะ"
    พระท่านก็พยักหน้า แม่ชีก็ขอตัวกลับลงมานอน


    วันรุ่งขึ้นก็เดินทางจากสำนักสงฆ์เขารังมุ่งหน้าขึ้นเหนือทันที เริ่มต้นจากกรุงเทพฯมุ่งหน้าสู่วัดอนาลาโยที่จังหวัดพะเยา
    พักอยู่ที่นั่น 3คืน หลังจากนั้นก็เดินทางต่อ

    ไปหลายจังหวัด มาสุดที่จังหวัดเชียงใหม่โดยไปพักและเข้ากรรมฐานที่วัดร่ำเปิง ที่นั่นให้พัก 1 เดือน
    โดยนอนกันคนละห้องและต้องลงไปสอบอารมณ์กับพระอาจารย์ทุกเย็น

    ติดตามตอนต่อไปจ้า...

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
  10. monsodsai

    monsodsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +570
    ว้า!.. กำลังสนุกเลยค่ะ จบตอนซะแล้ว อย่าให้ต้องรอนานนะคะ... คุณแม่ชีที่เคารพ
     
  11. monsodsai

    monsodsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +570
    ท่านแม่ชีจ๋า โปรดช่วยปั่นต้นฉบับส่งเรื่องประวัติตอนที่11 ให้ด่วนหน่อยเถอะค่ะ สมาชิกรออ่านนานแล้วเจ้าค่ะ ทั้งสนุกและเพลิดเพลินในธรรมจริงๆ นะเจ้าคะ
     
  12. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม

    ประวัติตอนที่ 11

    พักอยู่ที่วัดร่ำเปิงได้เพียง 9 วัน รู้สึกเบื่อ จึงลาผู้ดูแล เดินทางต่อไปที่วัดพระธาตุจอมทอง ไปกราบนมัสการ
    พระอาจารย์ทอง ตอนนั้นที่วัดได้จัดงานฉลองพัดยศของพระอาจารย์ทอง ผู้คนต่างหลั่งไหลมาแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง ตอนนั้นอากาศหนาว เนื่องจากเป็นฤดูหนาว แม่ชีไม่เคยเจออากาศหนาวเย็นอย่างนี้มานาน
    เพราะภาคใต้ไม่มีฤดูหนาวเหมือนภาคอื่น มีแต่หน้าร้อนและหน้าฝนเท่านั้น


    อยู่ที่วัดพระธาตุจอมทองได้ไม่นาน รู้สึกรำคาญอารมณ์ เนื่องจากเจอแม่ชีท่านหนึ่ง มานั่งบอกว่า

    "ปฏิบัติสายยุบหนอ- พองหนอ นี่แหละสายตรงและถูกต้องที่สุด สายอื่นนั้นไม่ใช่เลย"

    แม่ชีจึงถามแม่ชีท่านนั้นว่า "พุทโธ ก็ไม่ใช่หรือคะ?" แม่ชีอาวุโสกล่าวว่า

    " ฉันปฏิบัติมาหลายวิธี ไปมาก็หลายสำนักแล้ว เพิ่งจะมาก้าวหน้าก็ตอนที่มาปฏิบัติด้วยการบริกรรม ยุบหนอ-พองหนอ นี่เอง"

    แม่ชีจึงตอบไปว่า " หนูไม่ถนัดยุบหนอ- พองหนอหรอก หลวงปู่สอนให้ท่อง พุทโธ แล้วตามดูลมหายใจ รวมทั้งกำหนดดู แสงสว่าง วิธีนี้หนูถนัดกว่า"

    แม่ชีอาวุโสจึงกล่าวต่อว่า "เธอหลงทางแล้วล่ะ อาจารย์เธอสอนผิด
    สู้ของฉันไม่ได้ รีบเปลี่ยนเสียเถอะ"
    แม่ชีโกรธแม่ชีอาวุโสท่านนั้นมากที่กล้าตำหนิอาจารย์ของแม่ชี จึงกล่าวแรงๆว่า


    "ถ้าเก่งจริงก็สร้างวัดให้ได้เหมือนอาจารย์ของหนูสิ" ว่าแล้วแม่ชีก็ชวนเพื่อนชีที่ไปด้วยกันออกจากวัดพระธาตุจอมทองในเช้าวันรุ่งขึ้นทันที เนื่องจากกลัวว่าหากอยู่ต่อไปคงได้ปะคารมกับแม่ชีอาวุโสอีกแน่นอน


    ตอนนั้นเริ่มเบื่อที่จะแสวงหาความรู้จากที่อื่นแล้ว จึงชวนเพื่อนชีกลับภูเก็ตก่อนกำหนด กลับมากราบหลวงปู่และอยู่รับใช้ต่อไป


    ระหว่างที่บวชอยู่นั้นแม่กับพ่อของแม่ชีได้มากราบหลวงปู่ หลวงปู่ชวนพ่อแม่ชีให้มาบวชอยู่ที่วัดด้วยกัน
    พ่อรับปากหลวงปู่ทันที แต่มีข้อแม้ว่า "บวชแค่ 3 ปี " จากนั้นพ่อก็กลับไปบวชที่อยุธยา บ้านเกิดของแม่ชีแล้วมาอยู่ที่สำนักสงฆ์เขารัง


    ระหว่างที่อยู่สำนักสงฆ์เขารังนั้น แม่ชีได้เรียกพ่อว่า "หลวงพ่อ" แทน หลวงพ่อได้ทำกิจของสงฆ์เช่นเดียวกับพระท่านอื่น

    สวดมนต์ บิณฑบาตร ทำความสะอาดวัด แล้วก็จะลงมานั่งคุยกับแม่ชีเป็นประจำ พื้นที่ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา เข้าออกจากห้องหลวงปู่ สะอาดสะอ้านด้วยฝีมือของหลวงพ่อ

    หลวงพ่ออยู่ที่สำนักสงฆ์เขารังได้ประมาณ 1 ปี หลวงปู่ก็ส่งให้ไปอยู่ที่ใหม่ ซึ่งโยมได้ถวายที่ใหม่เพื่อจัดสร้างวัดใหม่ขึ้นมา

    โดยแบ่งที่ดินออกเป็นสองฝั่ง มีถนนกั้น พระอยู่ฝั่งหนึ่ง พวกแม่ชีก็อยู่อีกฝั่งหนึ่ง
    ตอนไปอยู่ที่ใหม่นั้น ไม่มีบ้านข้างเคียงไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำลำบากมาก แต่หลวงพ่อก็ยินดีไปอยู่พร้อมกับพระอีก 2 ท่าน

    แม่ชีต้องขับรถเอาน้ำและอาหารบางอย่างไปถวาย
    เห็นพ่อของตัวเองแล้วรู้สึกสงสารอย่างจับใจ เพราะท่านต้องลำบาก เดินบิณฑบาตระยะทางอันไกลแต่ท่านก็ไม่เคยบ่น


    หลวงพ่อเริ่มผอมลง มีอาการไอมากขึ้น แม่ชีจึงต้องเทียวไปเทียวมาจากเขารังกับวัดใหม่เป็นประจำ

    จนกุฏิฝั่งแม่ชีใกล้เสร็จ ยังไม่เรียบร้อยดีนัก แม่ชีจึงขอหลวงปู่มาอยู่เพื่อดูแลการก่อสร้าง รวมทั้งดูแลหลวงพ่อ
    พร้อมกับแม่ชีอีก 2 ท่าน หลังจากมาอยู่ได้ 2 วัน โยมเห็นว่าแม่ชีคงจะลำบากจึงนำเครื่องปั่นไฟมาให้ โดยมีหลวงพ่อเป็นผู้คอยเปิดปิดเครื่องปั่นไฟให้เป็นเวลา


    ชาวบ้านเห็นว่ามีแม่ชีมาอยู่จึงสงสาร ไม่มีไฟฟ้าใช้จึงให้ต่อพ่วงไฟฟ้า
    มาจากบ้านของตนเป็นระยะทางยาวประมาณกิโลกว่าได้ โดยแม่ชีเป็นผู้จ่ายค่าไฟฟ้าให้ทั้งบ้าน


    หลังจากนั้นก็มีโยมมาขุดบ่อน้ำบาดาล พ่วงเข้ากับเครื่องปั่นไฟ หลวงพ่อก็ยังคงทำหน้าที่ควบคุมการปั่นไฟ เพื่อให้น้ำไหล มาทางฝั่งชีอย่างสม่ำเสมอ

    ตอนเช้าหลวงพ่อก็จะเดินนำหน้าบิณฑบาตรโดยมีแม่ชีและเพื่อนชีเดินตามหลังอย่างนี้ทุกวัน ตอนสายหลวงพ่อก็จะข้ามฝั่งถนนมานั่งพูดคุยกันเสมอ บางวันคุยกันไม่ค่อยเข้าหู ก็ทะเลาะกันบ้าง บางครั้งถึงขั้นไม่พูดกันเลย

    จนการก่อสร้างดำเนินไปอย่างเร่งรีบ พริบตาเดียว ไฟฟ้า น้ำ กุฏิถูกสร้างขึ้นหลายหลัง สะดวกสบาย มีญาติโยมเข้ามาทำบุญกันมากขึ้น


    วันที่ 22 เมษายน 2544 ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดของแม่ชีพอดี เช้านั้นตั้งใจว่าจะทำบุญ ถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ
    เมื่อเตรียมของเสร็จก็นิมนต์หลวงพ่อมารับสังฆทาน หลวงพ่อจึงบอกว่า

    "พระองค์นั้นมันโกหก บอกหลวงพ่อว่าทำสมาธิ
    ที่แท้มันนั่งหลับต่างหาก ไอ้ห่า...โกหกชัดๆ"
    หลวงพ่อยังติดคำหยาบอยู่เช่นเดิม แม่ชีจึงบอกว่า "หลวงพ่ออย่าไปว่าพระเลย
    ไม่ดีหรอก ช่างท่านเถอะ"
    เท่านั้นเอง หลวงพ่อยิ่งโกรธที่แม่ชีไม่เข้าข้างท่าน กลับพูดว่าพระเสียงดังลั่นวัด แม่ชีห้ามท่านก็ไม่ฟัง


    สุดท้ายกลายเป็นว่าหลวงพ่อกับแม่ชีต้องทะเลาะกันเอง หลวงพ่อด่าแม่ชีต่อหน้าแม่ชีคนอื่นๆรวมทั้งญาติโยม
    แม่ชีจึงไม่ถวายสังฆทานเดินกลับเข้าห้อง ยิ่งทำให้หลวงพ่อโกรธหนักขึ้น พรั่งพรูคำด่าและประจานออกมาสารพัด


    เมื่อกลับเข้ามาในห้อง นั่งทบทวนเรื่องราวต่างๆนานา ทำให้เสียใจทั้งๆที่ไม่เคยร้องไห้นานแล้ว

    และยิ่งวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิด หวังจะทำบุญให้สบายใจกลับต้องมาทะเลาะกับพ่อของตัวเองในวัดอีก

    คิดแล้วก็น้อยใจตัวเองเหมือนกัน เพราะตั้งแต่เล็กจนโต พ่อก็ด่ามาตลอดแถมยังไม่เคยเห็นความดีอีกด้วย

    หลายวันผ่านไป แม่ชีก็ไม่ได้พูดกับหลวงพ่อเลย ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน

    จนวันหนึ่งพระในวัดโกรธหลวงพ่อเดินจะเข้ามาทำร้ายหลวงพ่อ แม่ชียืนดูอยู่
    พระหนุ่มก็ชี้หน้าว่าหลวงพ่อแบบเอาเป็นเอาตายเลย ไม่รู้ว่าโวยวายกันเรื่องอะไร หลวงพ่อก็บอกว่าไม่ได้พูด

    พระหนุ่มก็ยิ่งทำหน้าตาขึงขัง โกรธจัดที่หลวงพ่อปฏิเสธ สรุปแล้วเป็นเรื่องผู้หญิงนี่เอง

    พระหนุ่มเดินตรงเข้ามาหาหลวงพ่อ จะทำอะไรหรือเปล่าไม่รู้ แต่สีหน้าและท่าทางเอาเรื่อง

    เนื่องจากชื่อเสียงในการหาเรื่องของท่านมากมายจนเป็นที่เลื่องลือ แม่ชีเห็นเช่นนั้นก็เป็นห่วงหลวงพ่อ
    เพราะท่านก็อายุมากแถมยังไม่สบายอยู่ด้วย ในใจคิดว่าถ้าพระทำอะไรพ่อของตัวเอง เป็นได้เห็นดีกันแน่นอน


    แม่ชีเดินออกไปให้พระท่านเห็น เพราะชื่อเสียงแม่ชีก็ไม่น้อยหน้าท่านเหมือนกัน พระหนุ่มมองมาเห็นแม่ชียืนจ้องอยู่ก็เลยหยุด ไม่เดินเข้ามาหาหลวงพ่อ
    พระหนุ่มจึงพูดว่า " ผมไม่ได้จะทำร้ายหลวงพ่อนะ " แม่ชีไม่ได้ตอบอะไร
    ยืนฟังท่านพูดแค่นั้น จึงเอ่ยปากเรียกหลวงพ่อให้กลับขึ้นกุฏิ แล้วหันไปพูดกับพระหนุ่มว่า

    "ท่านเป็นพ่อของแม่ชีนะ ถ้าทำผิดอะไรแม่ชีขอโทษแทนแล้วกัน"

    โปรดติดตามตอนต่อไป...
     
  13. T D-Da

    T D-Da เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2005
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +286
    กราบแม่ชีค่ะ
    สถานการณ์ใกล้เคียงกันค่ะ แต่หนูมักจะเป็นฝ่ายเริ่มทำให้เกิดการทะเลาะกัน ครั้งล่าสุดนี่ คำว่าปิตุฆาตลอยเข้ามาในหัว พ่อโกรธมาก คิดเลยไปว่าถ้าพ่อโกรธจนเป็นอะไรไปจะถือว่าเราเป็นคนทำปิตุฆาตไหมนี่ เลยถอยอารมณ์ ไม่ยุ่งกับท่านละ แต่ก็อดสงสารคนอื่นที่ต้องเดือดร้อนเพราะพ่อไม่ได้ อยากถามแม่ชีว่าหนูเข้าข่ายปิตุฆาตรึเปล่าคะ กลัวโดนปิดทางค่ะ กราบแม่ชีค่ะ
     
  14. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    ประวัติท่านอาจารย์ตอนที่ 12 มาแล้วค่ะ.......



    เจริญธรรม...

    ประวัติตอนที่ 12

    หลังจากมีเรื่องกับพระหนุ่มวันนั้น ทำให้แม่ชีเป็นห่วงหลวงพ่อมากขึ้น กลัวว่าจะโดนพระหนุ่มทำร้ายเมื่อเวลาที่แม่ชีไม่อยู่

    แต่เหตุการณ์กลับดีขึ้นเกินคาดหมาย เพราะหลวงพ่อกับพระหนุ่มทำความเข้าใจและกลายเป็นเพื่อนซี้กันในที่สุด โล่งอกไปทีสำหรับเรื่องร้ายที่จะเกิดกับหลวงพ่อ

    จากนั้นมาแม่ชีกับหลวงพ่อก็กลับมาคุยกันตามปกติเหมือนเดิม ทุกวันหลวงพ่อจะข้ามฟากถนนมาคุยกับแม่ชีทุกวัน จนกุฏิหลวงปู่สร้างเสร็จ หลวงปู่ก็ย้ายจากเขารังมาอยู่ที่วัดใหม่

    อยู่วัดใหม่นี้แม่ชีมีโอกาสใกล้ชิดกับหลวงปู่น้อยกว่าตอนอยู่เขารัง เนื่องจากแม่ชีต้องทำหน้าที่รับแขกแทนหลวงปู่

    เวลาที่โยมมาหาเพื่อขอความช่วยเหลือ หลวงปู่ก็จะโยนให้มาหาแม่ชีเกือบทุกเรื่อง แม่ชีต้องนั่งรับปัญหาของญาติโยม ตั้งแต่เช้า 08.00น. จนถึงสี่ทุ่มหรือบางทีก็เที่ยงคืนทุกวัน จนร่างกายอ่อนเพลีย ต้องหนีไปนอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง

    บางวันก็ไปปรึกษาหลวงปู่บ้าง ทำให้แม่ชีต้องห่างจากหลวงปู่โดยมีแม่ชีเด็กยังคงรับใช้หลวงปู่อยู่เหมือนเดิม

    วันหนึ่งแม่ชีในวัดเจ็บท้อง แม่ชีจึงพาไปหาหมอ ซึ่งตอนนั้นหลวงปู่ตั้งให้เป็นหัวหน้าแม่ชีทั้งหมด เมื่อพาแม่ชีลูกน้องไปหาหมอ

    หมอสรุปว่าต้องผ่าตัดเนื่องจากมีก้อนเนื้ออยู่ในช่องท้อง จึงกลับมาบอกหลวงปู่ว่าต้องผ่าตัด

    แต่ลูกศิษย์คนหนึ่ง แนะนำให้ไปตรวจที่ โรงพยาบาล ม.อ. สงขลา เพื่อความแน่ใจยิ่งขึ้น หลายคนจึงลงความเห็นว่า ไปตรวจเช็คที่ ม.อ.สงขลา อีกครั้ง

    แม่ชีจึงขออนุญาตจากหลวงปู่พาแม่ชีลูกน้องไปพร้อมกับแม่ชีอีกหนึ่งคน โดยเรียกน้องชายของแม่ชีมาขับรถไปให้

    วันที่ไปสงขลาได้เข้าไปกราบลาหลวงปู่ หลวงปู่ก็เมตตาให้ค่าน้ำมันรถไป 1,000 บาท นอกนั้นแม่ชีเป็นคนออกเองทั้งหมด

    เมื่อไปถึงสงขลาก็ไปพักที่บ้านโยมซึ่งเป็นพี่สะใภ้ของเพื่อนเก่าของแม่ชี วันรุ่งขึ้นจึงไป โรงพยาบาล ม.อ.สงขลา

    หลวงปู่ได้โทรศัพท์เข้ามือถือของแม่ชี ท่านพูดว่า "ยาหรือ" "ค่ะ หลวงปู่" แม่ชีตอบกลับไป หลวงปู่ก็หัวเราะถามต่อว่า "เสร็จธุระแล้วหรือยัง?"
    "เสร็จวันนี้แล้วก็จะกลับภูเก็ตเลยค่ะ" แม่ชีตอบหลวงปู่ ในใจก็คิดว่าหลวงปู่ช่างเป็นพระที่มีเมตตามากเสียจริง เป็นห่วงทุกคน เมื่อท่านพูดจบก็วางสาย

    สักพักหลวงปู่โทรกลับมาใหม่ โดยมีแม่ชีเด็กเป็นคนพูดต่อสายให้ หลวงปู่พูดว่า "ยาหรือ?" แม่ชีตอบว่า "ค่ะ" เสียงหลวงปู่เงียบไปสักพักแล้วพูดมาว่า
    "เธอโกหกหลวงปู่บอกว่ายังไม่เคยแต่งงาน ไม่เคยมีสามีมาก่อน เธอโกหกหลวงปู่ มีผัวแล้วทำไมไม่บอก ไปสงขลาก็ไปนอนกับผัวเก่า รู้ไหมว่าคนเขาลือกันไปทั่วว่า เธอมีผัวแล้วและกลับไปนอนกับผัวเก่า หลวงปู่อายคนเขามากที่มีลูกศิษย์แบบนี้"

    แม่ชีงงมากที่อยู่ๆหลวงปู่กล่าวเช่นนั้น พยายามอธิบายให้หลวงปู่ฟังต่างๆนานา หลวงปู่ก็ยังทำเสียงดุอยู่เช่นนั้น
    "หลวงปู่เอาอะไรมาพูด หนูพาแม่ชีมาหาหมอ และก็นอนบ้านโยมผู้หญิง ไม่ได้นอนกับผู้ชายสักหน่อย และก็มาด้วยกันตั้งหลายคน หลวงปู่ก็รู้นี่คะ" แม่ชีบอกหลวงปู่

    หลวงปู่กลับพูดว่า" ไม่รู้ล่ะ เธอโกหกหลวงปู่ ให้รีบกลับมาให้ถึงภูเก็ตก่อนสามโมงเย็นนะ ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลับมาให้เห็นหน้าอีก" พูดจบหลวงปู่ก็วางสาย

    "งงมากจริงๆมันเกิดอะไรขึ้น" แม่ชีหันไปคุยกับพวกแม่ชีและโยมที่แม่ชีไปพักด้วย

    สุดท้ายโยมที่แม่ชีไปพักด้วยต่อสายกลับไปหาหลวงปู่ อธิบายให้หลวงปู่ฟัง
    ว่าแม่ชีทั้งหมดพักอยู่ด้วยกันที่บ้านของคุณโยมซึ่งมีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น

    หลวงปู่ไม่ฟังเสียงที่อธิบายกลับขอคุยกับแม่ชี เมื่อแม่ชีรับสายมาพูด หลวงปู่กล่าวว่า "ไม่ต้องให้คนอื่นมาแก้ตัวแทน"
    จากนั้นท่านก็ร่ายเพลงยาว จนแม่ชีต้องนั่งนิ่งฟังท่านกล่าวว่าในเรื่องที่ไม่จริงเลย ไม่มีเสียงอธิบายจากแม่ชีอีก คงนั่งฟังคำต่างๆนานาสารพัดที่จะเสื่อมเสีย

    น้ำตาไหลเอ่อออกมาจากเบ้าตาโดยไม่ได้ตั้งใจ หูอื้อจนแทบจะไม่ได้ยินอะไร ความคิดดับลงทันที

    เมื่อหลวงปู่พูดจบท่านก็วางสาย แม่ชียังคงถือมือถือค้างอยู่นานพอสมควร มันเกิดอะไรขึ้นนะ ทำไมหลวงปู่จึงกล่าวเช่นนั้น ท่านไปเอาเรื่องไม่จริงเหล่านั้นมาจากไหนกัน? คำถามพรั่งพรูออกมาจากความรู้สึก ความน้อยใจในชีวิตของตัวเองเริ่มกลับมาอีกครั้ง

    "มันเหมือนเมื่อตอนที่พ่อของเราเป็นอย่างนี้กับเราเลย" แม่ชีพึมพำกับตัวเอง พลางเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเหมือนแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน มาบรรจบกันอย่างนั้น อึ้งอยู่พักใหญ่ จึงสลัดความอ่อนแอทิ้งไป หันกลับไปบอกพวกแม่ชีว่าให้รีบทำธุระให้เสร็จและกลับภูเก็ตโดยมีน้องชาย ขับรถอย่างเร็ววิ่งฝ่าสายฝนที่ตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตา เพื่อจะให้ถึงภูเก็ตทันเวลาที่หลวงปู่กำหนด

    แม่ชีมาถึงภูเก็ตในเวลาก่อนบ่ายสามโมงเย็น เมื่อมาถึงก็เข้าไปกราบหลวงปู่พร้อมกับพวกแม่ชีที่ไปด้วยกัน
    หลวงปู่มองค้อนๆ และก็นั่งนิ่งเงียบ แม่ชีก็นั่งเงียบไม่พูดอะไร

    สุดท้ายหลวงปู่หันมากล่าวว่า...

    โปรดติดตามตอนต่อไปจ้า....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2007
  15. mohjiu

    mohjiu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +125
    ได้โปรด กำลังสนุก ได้ธรรมะด้วย
    วิทยาทานครั้งนี้ขออนุโมทนาให้ผู้ที่อ่านและแม่ชี
    จงบรรลุนิพพาน พลันในชาตินี้ด้วยเทอญ
     
  16. monsodsai

    monsodsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +570
    แหม๋....เข้าใจจบตอนแบบทิ้งทวนเลยจริงๆ นะเจ้าคะ..เหมือนนักเขียนจริงๆ..แล้วจะรออ่านต่อเจ้าคะ สาธุ..ด้วยความนับถือ
     
  17. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม

    ประวัติตอนที่ 13

    หลวงปู่หันมากล่าวว่า" ปู่เสียใจจริงๆ ที่เธอโกหกปู่ ไหนบอกว่าไม่เคยมีผัวมาก่อน แต่นี่ไปนอนกับผัวที่สงขลา เสียดายที่อุตส่าห์สอนวิชาให้มากมาย"

    "หลวงปู่คะ หนูไม่เคยโกหกหลวงปู่นะคะ และก็ไม่เคยไปนอนกับผู้ชายที่ไหนด้วย ไม่เชื่อก็ถามพวกแม่ชีที่ไปด้วยสิคะ" แม่ชีกล่าวอธิบาย

    "เธอไม่ต้องเอาคนอื่นมาอ้างหรอก เอาละ!!! ปู่จะส่งเธอไปอยู่อังกฤษ"


    แม่ชีย้อนถามหลวงปู่ทันที "หลวงปู่จะส่งหนูไปอยู่อังกฤษทำไมคะ ไกลจังเลย
    หนูก็คิดถึงบ้านแย่เลยสิ แล้วหนูจะไปอยู่กับใครล่ะคะ?"

    หลวงปู่นั่งนิ่งอยู่สักพักจึงหันมากล่าวต่อว่า "ปู่ส่งเธอไปก็ต้องมีที่อยู่สิ เธอไปสักพักให้เรื่องมันหายก่อนแล้วค่อยกลับมา"

    "หลวงปู่คะหนูไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้วทำไมต้องหลบไปไหนด้วยล่ะ"แม่ชีพูด

    "คนเขานินทากันทั่วภูเก็ตอย่างนี้เธอยังกล้าอยู่อีกหรือ?" หลวงปู่พูดต่อ

    "คนอื่นเขามีผัวมีสามีกันมาตั้งหลายคนแล้วทำไมมาบวชกันได้ไม่เห็นมีใครว่า หนูไม่เคยมีผัวมีสามีมาเลย เสียตัวก็ไม่เคยเสียสักครั้งเดียว แล้วทำไม
    มากล่าวหากันแบบนั้นล่ะคะ?"


    "ไม่ต้องพูดมาก เธอเตรียมตัวปู่จะส่งไปเร็วๆนี้ อีกอย่างเดี๋ยวนี้เก่งจังนะ กล้าห้ามน้องไม่ให้กินข้าวเย็นหรือ?" หลวงปู่พูดพลางหันหน้ามามองแม่ชี น้องที่หลวงปู่พูดคือแม่ชีเด็กนั่นเอง

    แม่ชีจึงอธิบายให้หลวงปู่ฟังว่า "หนูไม่ได้ห้ามว่าไม่ให้กินข้าวเย็น หนูบอกว่าจะกินก็ให้ไปกินในห้อง ไม่ใช่มานั่งกินให้แม่ชีหรือญาติโยมเห็น มันน่าเกลียด
    มันไม่ดี"
    หลวงปู่พูดว่า "นั่นแหละห้ามน้องทำไม ทีหลังไม่ต้องสอน ปู่สอนเองคนเดียว"

    แม่ชีจึงนั่งนิ่งเงียบไม่อธิบายหลวงปู่อีก ในใจก็คิดว่า "เออหนอ...เราเสือกจริงๆนะ ไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น"

    หลวงปู่ก็พูดต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายท่านก็ย้ำว่า "เตรียมตัวไปอยู่อังกฤษ"

    "หลวงปู่จะส่งหนูไปอังกฤษจริงๆหรือคะ?" แม่ชีถามต่อเพื่อความแน่ใจ

    "จริงสิ ปู่เคยพูดเล่นหรือ?" หลวงปู่พูด

    "ถ้าอย่างนั้นหลวงปู่ไม่ต้องกังวลหรือเสียเวลากับหนูหรอกค่ะ หนูส่งตัวของหนูเองก็ได้ คือไปไกลๆจากหลวงปู่ก็แล้วกัน แต่พรุ่งนี้หนูต้องพาชีอีกคนไปผ่าตัดก่อน เมื่อเสร็จธุระเรียบร้อยแล้วหนูจะไปจากที่นี่โดยเร็ว ตอนนี้หนูขอเวลาเก็บของส่วนตัวบางอย่าง สิ่งไหนที่ไม่ใช่ของหนู หนูไม่เอาไปหรอกคะ"

    หลวงปู่จึงกล่าวว่า "แล้ววิชาที่ปู่สอนเธอล่ะ"

    แม่ชีคิดในใจว่าหลวงปู่คงจะทวงบุญคุณที่สอนวิชาให้จึงกล่าวออกไปว่า

    "งั้นหนูคืนวิชาของหลวงปู่ทั้งหมดแล้วกัน หนูไม่อยากได้แล้ว"

    หลวงปู่กล่าวต่อ "วิชาที่สอนไปมันคืนกันได้หรือ?" พูดจบท่านก็หัวเราะหึๆพร้อมทั้งชำเลืองมองแม่ชี

    พูดจบแม่ชีก้มลงกราบหลวงปู่แล้วเดินออกจากห้องหลวงปู่ โดยมีแม่ชีเด็กนั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆหลวงปู่

    เมื่อเดินออกจากห้องหลวงปู่ พยายามสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่างไว้ เดินกลับมาที่ห้องนั่งลงที่หน้าพระบูชา ความคิดเตลิดเปิดเปิงไปไกล นั่งตรึกตรองอยู่พักใหญ่

    หลวงพ่อมาเคาะประตูเรียกเพื่อถามข่าวคราว

    แม่ชีจึงกล่าวกับหลวงพ่อว่า "หนูจะไม่อยู่ที่วัดนี้แล้ว"

    หลวงพ่อจึงถามต่อ "แล้วจะไปอยู่ที่ไหน มีปัญหาอะไร?"

    "หลวงปู่โกรธหนูที่ไปสงขลา ท่านว่าแม่ชีไปนอนกับผู้ชาย"

    "อ้าว!!! แล้วทำไมไม่อธิบายว่าพาชีไปตรวจล่ะ?"

    "หนูบอกแล้วและท่านก็รู้ ยังให้ค่ารถและเอารถวัดไปเลย อยู่ๆทำไมเป็นอย่างนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน หนูงงไปหมดแล้ว"

    หลวงพ่อจึงบอกว่า "หลวงพ่อเห็นชีเด็กมันเข้าออกห้องหลวงปู่อยู่เรื่อยๆ ไม่รู้ว่าไปบอกอะไรหลวงปู่"

    เมื่อหลวงพ่อพูดอย่างนั้น แม่ชีจึงบอกหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อจะเชื่อหนูหรือไม่ก็ตาม หนูจะบอกว่า หลวงปู่กับชีเด็กมีอะไรกัน เพราะหนูเห็นมาตั้งแต่สกลนครแล้ว วันนี้ทนไม่ไหวต้องบอกหลวงพ่อและหนูก็จะไม่อยู่ที่นี่อีก หลวงพ่อจะอยู่ที่นี่ต่อก็ได้"

    "เอ้ย...กูว่าแล้วเชียวมันต้องเป็นรูปนี้ หลวงพ่อก็ไม่อยู่แล้ว"

    พูดจบหลวงพ่อก็หยิบพระที่หลวงปู่ให้เขวี้ยงทิ้ง รวมทั้งเอาขันครูเผาทิ้งอย่างไม่สนใจใยดี แม่ชีจึงต้องรีบจองตั๋วเครื่องบินให้หลวงพ่อกลับอยุธยาในวันรุ่งขึ้น

    วันที่หลวงพ่อจะกลับอยุธยาได้เข้าไปกราบลาหลวงปู่โดยมีแม่ชีเข้าไปด้วย หลวงปู่ชวนหลวงพ่อให้อยู่ต่อ
    "อย่าเพิ่งไปเลย บวชอยู่ที่นี่แหละอย่าเพิ่งสึกนะ เพราะถ้าสึกจะต้องตาย"

    หลวงพ่อตอบหลวงปู่ว่า " ผมไม่อยู่แล้ว จะไปสึกที่อยุธยา ตายก็ตาย"

    หลวงปู่หัวเราะในลำคอ

    "ส่วนไอ้ยาปู่จะส่งไปอยู่อังกฤษ แต่มันไม่ไป ไม่รู้ว่ามันจะไปอยู่ไหนเหมือนกัน ไม่เห็นมันบอกปู่เลย"

    หลวงปู่พูดยังไม่ทันจบหลวงพ่อก็ตัดบทกล่าวลา แล้วเดินออกจากห้องหลวงปู่ทันที

    แม่ชีไปส่งหลวงพ่อที่สนามบิน หลวงพ่อพูดว่า " ชีเอ้ย...ถ้าทนไม่ได้ก็กลับบ้านเราแล้วกันนะ"


    แม่ชีส่งหลวงพ่อเสร็จก็กลับมาเฝ้าแม่ชีลูกน้องที่โรงพยาบาล เพราะต้องผ่าตัด ระหว่างนั้นใจคอสับสนวุ่นวาย ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ไม่อยากสึกออกไปเป็นฆราวาส เพราะตั้งใจไว้ว่า จะบวชไม่สึก

    ขณะนั้นแม่ชีที่ไปเฝ้าแม่ชีที่ผ่าตัดจึงบอกว่า "อาจารย์ก็ลองนั่งดูสิ ว่าจะไปอยู่ที่ไหน?" จริงสินะเราลืมไปว่าเราก็นั่งมองเห็นอนาคตได้ ขอบใจแม่ชีที่เตือนสติ ว่าแล้วแม่ชีก็นั่งหลับตาแบบสบายๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก พร้อมกับอธิษฐานว่า

    " ที่ใดที่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมและบรรลุธรรมขั้นต่อไปขอจงอุบัติขึ้นมาในนิมิตของข้าพเจ้า"

    ทันใดนั้นภาพป่าก็อุบัติเกิดขึ้นในนิมิตทันที แม่ชีพยายามดูว่าอยู่ที่ใด ตรวจเช็คสภาพโดยรอบ เห็นมีพระแม่กวนอิม มีภูเขามีป่ามีเนิน "เอ...มันอยู่ที่ไหนกัน"แม่ชีพึมพำ

    ในเวลาต่อมามีโยมมาเยี่ยมแม่ชีที่ผ่าตัด แม่ชีจึงเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด โยมจึงบอกว่ามีพระที่เป็นเพื่อนกันเมื่อครั้งอยู่ภูเก็ตแต่ตอนนี้ไปอยู่ที่พัทลุง ถ้าสนใจก็จะพาไปดู แม่ชีตกลงทันที ในวันรุ่งขึ้นจึงเดินทางไปจังหวัดพัทลุง พร้อมกับแม่ชีอีกท่านหนึ่งและญาติโยม

    เมื่อมาถึงจุดหมายปลายทาง รถตู้เลี้ยวเข้ามาในวัด แม่ชีตะลึงกับวัดที่เห็น

    "นี่หรือวัดที่จะมาอยู่ ทำไมน่ากลัวจัง แล้วจะอยู่ได้หรือ?"


    สักพักก็มีแม่ชีแก่สองท่านเข้ามาเชิญให้ขึ้นไปดูบนเขา ใจหนึ่งก็เริ่มถอย อีกใจหนึ่งก็อยากลองดู ไหนๆก็มาแล้วจึงปีนขึ้นไปบนเขาซึ่งสูงพอประมาณ แม่ชีแก่ปืนขึ้นเขาอย่างชำนาญ พวกแม่ชีก็ปืนตาม หลวงพ่อเจ้าอาวาสขึ้นไปนั่งรอบนเขาก่อนแล้ว

    เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขา แม่ชีหน้ามืดเหมือนจะเป็นลมจึงนั่งหลับตาเพื่อพักผ่อนสักครู่ ลมพัดเย็นสบาย

    "โอ!!! ช่างสบายใจจริงๆ " และเมื่อลืมตาขึ้นมามองดูโดยรอบบริเวณ

    "ช่างเหมือนในนิมิตที่เห็นจริงๆ"

    ความสบายใจเข้ามาแทนความทุกข์ที่เกิดขึ้นตอนอยู่ภูเก็ต เหมือนอยู่ในแดนสุขาวดี มีไก่ป่ามีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นเย็นสบาย สงบและเงียบดีจริง ทิวทัศน์รอบภูเขาชวนให้น่าชม มองออกไปไกลเห็นทะเลสาบ เห็นภูเขาสูงมีเมฆลอยปกคลุมไปทั่ว นั่งชมความงามสักพัก ญาติโยมจึงเรียกให้ไปหาหลวงพ่อเจ้าอาวาส

    เมื่อเจอท่านเจ้าอาวาส ยิ่งทำให้แม่ชีแทบถอดใจที่จะอยู่วัดนี้ทันที ก็ท่านยังหนุ่มและที่สำคัญน่ากลัวหลายอย่าง ในใจก็คิดไปสารพัด กลัวต่างๆนานา กลัวพระจะปล้ำ กลัวผี กลัวผู้ร้าย

    แหม!!!ก็วัดรวมทั้งคนที่อยู่น่ากลัวจะตาย "โอย...จะเข้าทำนองหนีเสือปะจระเข้หรือเปล่าหนอนี่"

    แม่ชีคิดในใจอยากจะเดินลงเขาโดยไว

    แต่ท่านเจ้าอาวาสพูดว่า"ก็ลองมาอยู่ก่อนก็ได้"

    เมื่อท่านพูดเช่นนั้น ทำให้แม่ชีคลายกังวลลงบ้าง จึงบอกกับท่านว่า

    " ถ้าอย่างนั้นเข้าพรรษาปีนี้แม่ชีขอมาปฏิบัติที่นี่สักพักแล้วกัน ส่วนเรื่องที่พักและส้วมนั้น แม่ชีจะโอนเงินมาให้ทางท่าน ช่วยซ่อมแซมและสร้างส้วมให้ด้วยค่ะ"


    เจ้าอาวาสตอบตกลง แม่ชีจึงลากลับภูเก็ตในบ่ายวันนั้น

    โปรดติดตามตอนต่อไป...

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 พฤษภาคม 2007
  18. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ประวัติตอนที่ 14

    เมื่อกลับถึงภูเก็ตก็ไปพักที่โรงพยาบาล เป็นเพื่อนชีที่ผ่าตัดพร้อมกับบอกว่าจะไปอยู่ที่พัทลุง

    วันรุ่งขึ้นแม่ชีที่ผ่าตัดกลับวัด แม่ชีจึงเข้าไปหาหลวงปู่พร้อมกับแม่ชีที่ผ่าตัดเพื่อรายงานเรื่องผ่าตัด

    หลวงปู่จึงบอกว่า "ตัดสินใจจะไปอยู่อังกฤษหรือยัง? "

    แม่ชีจึงบอกกับหลวงปู่ว่า "หนูตัดสินใจแน่แน่วแล้วว่าจะไปอยู่ที่อื่น ไม่ไปอยู่อังกฤษตามที่หลวงปู่ให้ไป หนูต้องกราบขอขมาหลวงปู่ ที่ไม่เชื่อฟังเหมือนก่อน หนูไม่อยากทำตัวให้เป็นภาระของหลวงปู่อีกต่อไป
    หนูขอลาหลวงปู่ พรุ่งนี้น้องชายจะมารับหนูจะกลับบ้านค่ะ"


    หลวงปู่เงียบไปครู่ใหญ่ แม่ชีจึงกราบลาออกมาจากห้องหลวงปู่ทันที

    เมื่อมาถึงห้อง มองทั่วห้อง รู้สึกปลงกับชีวิต ไม่อยากได้อะไรรวมทั้งจะไม่เอาอะไรไปให้มาก เก็บของส่วนตัวบางอย่างใส่กระเป๋า

    เห็นรูปถ่ายที่เก็บเอาไว้มากมาย เปิดดูแล้วรู้สึกหดหู่ใจ อุตส่าห์พาไปไหนด้วยตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นรูปตอนเล่นกีฬา เล่นดนตรี และถ่ายร่วมกับคนโน้น คนนี้เมื่อครั้งเป็นคฤหัสถ์ คิดในใจว่า

    "เราจะลืมอดีตให้หมด เราจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไม่อยากจดจำอีกต่อไป เราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยตัวของตัวเอง ไม่มีใครอยู่ในใจอีกต่อไป เราจะไปตายเอาดาบหน้า"

    แม่ชีเผารูปถ่ายทิ้งเกือบหมด มาถึงรูปของหลวงปู่ใจหนึ่งอยากเผาทิ้ง ไม่อยากเก็บเอาไว้ ไม่อยากจดจำ แต่อีกใจหนึ่ง ยังเคารพบูชาหลวงปู่เหมือนเดิม เผารูปไปตาก็มองไปที่กุฏิหลวงปู่

    "หลวงปู่ หนูยังเคารพหลวงปู่อยู่เสมอ หนูไม่เคยลืมบุญคุณที่หลวงปู่เคยให้โอกาสกับหนูเลย แต่หนูอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกแล้ว"

    เผารูปไปคิดไป ร้องไห้ไป จนรูปตอนเป็นคฤหัสถ์ไหม้หมด คงเหลือรูปของหลวงปู่ไว้ แม่ชีไม่ได้เผารูปของหลวงปู่ทิ้งเลย

    เมื่อเผารูปเสร็จก็เดินเข้าห้อง มองหน้าต่างออกไป เห็นหลวงปู่เดินอุ้ยอ้ายออกมา สักพักมีโยมผู้ชายเข้ามาพยุงหลวงปู่ไว้ ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน เห็นหลวงปู่ชี้มือมาทางห้องของแม่ชี หลังจากนั้นหลวงปู่ก็เดินกลับเข้าห้องพักของท่าน โดยมีโยมผู้ชาย ช่วยพยุงท่านไว้

    แม่ชีต้องหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า ในใจรู้สึกสงสารหลวงปู่มาก ท่านแก่ชรามากเพียงนี้ จะทำอย่างที่เราเห็น เราคิดได้ยังไง เป็นไปได้หรือ? คิดแล้วอ่อนล้าเต็มที จึงเผลอหลับไป

    รุ่งเช้าเข้าไปในห้องหลวงปู่เพื่อจะลาท่านกลับบ้านที่อยุธยา เห็นแม่ชีหลายคนนั่งรออยู่ในห้องหลวงปู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ไม่มีแม่ชีเด็กนั่งอยู่ด้วย

    ใจหายจริงๆ จึงกราบลาหลวงปู่ทันที เมื่อแม่ชีกราบลาหลวงปู่ ทำให้แม่ชีอีก 3 คนลาหลวงปู่ เพื่อที่จะตามแม่ชีไปด้วย

    แม่ชีห้ามทั้งสามคนก็ไม่ฟัง ยืนยันว่าจะไปด้วยกันกับแม่ชี และได้เตรียมเก็บของเรียบร้อยแล้ว

    หลวงปู่นั่งเงียบ จนแม่ชีรูปอื่นกล่าวแทนว่า "หลวงปู่ไม่ได้นอนเลยที่รู้ว่าแม่ชียาจะไปอยู่ที่อื่น ท่านบอกว่า แขนขวาของปู่ขาดแล้ว"

    แม่ชีจึงหันไปกล่าวกับหลวงปู่ว่า "หลวงปู่คะ แขนขวาของหลวงปู่ขาดก็ยังมีแขนซ้ายนี่คะ และเดี๋ยวสักพักแขนขวาของหลวงปู่ก็จะงอกขึ้นมาใหม่"

    พวกแม่ชีต่างพยายามเกลี้ยกล่อมให้แม่ชีอยู่ต่อเพราะสงสารหลวงปู่ แม่ชีมองหน้าหลวงปู่แล้วสงสารท่านมาก น้ำตาเอ่อในลูกตา แต่พยายามสะกดกลั้นไว้ไม่ให้ใครเห็น

    แม่ชีพูดด้วยเสียงสั่นเครือ "หนูลาหลวงปู่ล่ะคะ หลวงปู่รักษาสุขภาพนะคะ
    ถ้าไม่ตายเสียก่อน หนูจะกลับมากราบและรับใช้หลวงปู่อีก"


    แม่ชีกราบเท้าหลวงปู่พร้อมกับแม่ชีอีก 3 คนเดินจากมาขึ้นรถโดยไม่หันกลับไปมองหลวงปู่และแม่ชีคนอื่นอีกเลย

    ลากันทีวัดใหม่หลวงปู่สุภา

    รถตู้แล่นตรงขึ้นสู่กรุงเทพฯเพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง คือ อยุธยานั่นเอง

    โปรดติดตามตอนต่อไป

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
  19. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ประวัติตอนที่15

    รถตู้ได้พา 4 แม่ชีกับอีกสองชีวิต คือคนขับและเพื่อนคนขับ มุ่งทะยานออกจากวัดใหม่อย่างเร่งรีบ มุ่งหน้าสู่อยุธยาทันที
    แม่ชีนั่งหลับตาอย่างอ่อนล้า
     
  20. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,513
    ค่าพลัง:
    +27,181
    แม่ชีสนใจรวมเล่มขายมั้ยฮะ
    ผมเริ่มติดงอมแงมแล้วเนี่ย
     

แชร์หน้านี้

Loading...