พระธรรมเทศนาจากหลวงพ่อสิงห์โต โฆษโก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 16 กันยายน 2009.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คำสอนหลวงพ่อ


    [​IMG]
    เทศน์สอนคณะศิษย์ เมื่อ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๔๘fficeffice

    ณ สำนักสงฆ์สติปัฏฐานธรรม>>


    ๖๕ / ๕ หมู่ ๑ ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม>>



    การพิจารณาอสุภะ>>


    ไม่ต้องนั่งตึงมาก สบายๆๆ…. จับหัวใจเต้นให้ได้ หัวใจเต้น ตึก...ตึก...ตึก...ทำความรู้สึกว่าหัวใจเต้น ดูที่หัวใจเต้น ตึก...ตึก...ตึก... ตรงหัวใจเต้นนั่น ช่องเข้าทางพ้นทุกข์อยู่ตรงนั้น ความรู้สึกว่าหัวใจเต้นนั้นคือ เวทนา และก็จิตด้วย จิตก็เป็นผู้รู้เฉยๆ แต่ ตัวรู้สึกเป็นตัวของเวทนา รู้สึกว่าหัวใจเต้น นั่นแหละช่องทางพ้นทุกข์อยู่ตรงนั้นด้วยทำใจให้โล่งสบาย ถ้าหลวงพ่อบอกให้ทำอะไรก็ทำตามนะ เดินตามที่บอกไปเลย>>

    ส่วนใหญ่เราจะติดเพศตรงข้ามของเรา พอเห็นภาพเพศตรงข้ามปั๊บเราจะยินดีทันที คนที่อายุมากนิดหนึ่งก็ถอยอายุลงไปครั้งสมัยที่เราเป็นนักเรียนรุ่นวัยหนุ่ม วัยสาวเราเคยชอบผู้ชายคนไหนก็ตามหรือปัจจุบันนี้ก็ตามที่เราชอบฝังใจมาก คนนี้หรืออาจจะเป็นคนนี้หรืออาจจะคนไหนที่เราไม่เคยได้แต่งงานด้วยก็ตาม ครเอาผู้ชายคนนั้นแหละยังฝังใจอยู่ไม่เคยลืมเลือนเลย เราก็เป็นวัยรุ่นกับเขา เอาผู้ชายคนนั้นมายืนต่อหน้าเรา ถอดเสื้อผ้าออกให้หมด ทุกสัดส่วนของร่างกาย แกะเสื้อออก แกะกระดุมออก ถอดกางเกงออก ดูซิเราติดอะไรเค้า แค่เห็นรูปปั๊บก็มีความพอใจแล้วเห็นหรือเปล่าล่ะ หัวใจเต้น ตึก...ตึก...ตึก...แค่เห็นรูปเฉยๆ เราก็มี ความภูมิใจพอใจแล้ว นี่แหละรูปที่มันฝังอยู่ในใจเรา ทุกภพ ทุกชาติ ถ้าเรา>>


    ไม่เอาออกไม่ขุดไม่คุ้ยมันไม่ถอนไม่เผามันซะ มันจะก่อภพก่อชาติไม่มีที่สิ้นสุด แค่เห็นรูปที่เราพึงใจ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า รูปทั้งหลายเป็นราคะ มันฝังอยู่ในใจทุกภพทุกชาติ >>

    ถอดกางเกงออกให้หมดปั๊บดูซิ..ตั้งแต่หน้าผาก ทรงผมหน้าผาก คิ้ว จมูก ตา ปาก พอเห็นปากปั๊บเราก็มีความอยากจูบอยากอะไร.. เห็นไหมว่ามันมีความกำหนัดเกิดขึ้นมาทันทีเลย เลื่อนมาตรงคาง ตรงคอ ตรงหน้าอก เห็นกล้ามเนื้อทั้งหลายเรื่อยลงมา เรื่อยต่ำลงมา เรื่อยๆ ๆ ๆ มาถึงสะดือ มาถึงสะโพก มาถึงอวัยวะ ดูซิ พอเห็นอวัยวะปั๊บ.. เราชอบทันทีเลย ดูสิ..ปรุงให้เต็มที่..เลย แล้วก็เลื่อนมาถึงโคนขา เรื่อยๆ ๆ ....... จนถึงปลายเท้า ทีนี้ฟังดีๆ นะ..เอา นี่พระพุทธเจ้ามาแสดงเองนะ เอาผ่าซีก เอาซีกเดียวฟุ๊บไปเลย เอาซีกเดียว ซีกที่ผ่าอย่าให้เห็น เอามานอนบนโต๊ะระดับสายตาเราพอดี๊...พอดี...นอนหันหน้ายิ้มมาทางเรา ยิ้มยั่วยวนท่าทาง ยียวนเรายั่วอารมณ์ต่างๆ ปรุงเรื่อยตั้งแต่หน้าผากดูมาจนถึงอวัยวะ ตรงไหนที่เราชอบ พอมองปั๊บ..เกิดอาการ เกิดอารมณ์ทันที นี่แหละสิ่งที่ฝังไว้ในใจให้จำไว้ นี่แหละถ้าเราไม่ขุดออกมาฆ่า ออกมาเผา มันจะก่อภพก่อชาติ เพราะฉะนั้น พระอนาคา เวลากามระคะท่านขาดท่านจึงหายสงสัยเรื่องกาม ท่านจึงไม่กลับมาเกิดอีก มองให้ชัด ปรุงให้มากๆ..เลย ปรุงให้เต็มที่...เลย ปรุงให้มันเกิดฟูอารมณ์ขึ้นมา เกิดความกำหนัดขึ้นมา..เต็มที่เลย พอเกิดอารมณ์ ความกำหนัดปั๊บ >>


    ก้มมาดูอีกฝั่งหนึ่งซึ่งบังอยู่ฝั่งอสุภะ จะเห็นว่าน้ำเลือด น้ำเหลือง หัวกระโหลก มันสมองกระจัดกระจาย ตับ ไต ไส้ พุง เรี่ยราด ผลสุดท้าย น้ำเลือดน้ำเหลือง คาวคลุ้ง กระจัดกระจาย โสโครกแทบจะสะอิดสะเอียน ตัดโช๊ะขาดสะบั้นไปเลย..เงียบ..ไปเลย... จากกามราคะ เมื่อกี้ที่มีอารมณ์ เห็นไหมล่ะ..หายไปเกลี้ยง..โดยสิ้นเชิง>>

    ดู..ให้เห็นชัด นี่หรือที่เราติด ทั้งเขาทั้งเรา โธ่เอ๋ย..ล้วนแต่ กองดิน กองน้ำ กองลม กองไฟ ขางในมันเป็นอย่างนี้แต่ข้างนอกมันดูอีกอย่าง เราติดรูปเฉยๆ..นี่หน่า..ผลสุดท้ายจับหัวใจเต้น ตุ๊บ...ตุ๊บ...ตุ๊บ...อีก หลับตาสร้างภาพอีกครั้งหนึ่ง ทุกครั้งต้องเป็นอย่างนี้ทุกครั้ง เสร็จก็ปรุงดูตั้งแต่หน้าผากลงมาอีก เขาก็แสดงยั่วยวนเราต่างๆ นา นา ยั่วยวนเราให้เกิดอารมณ์กำหนัดตรงไหนที่ดูแล้วมันเกิดอารมณ์ฟู ปรุงเข้าไปเยอะๆ เลย เหมือนน้ำมันไฟมันกำลังลุก เอาน้ำมันสาดมันลงไปให้มันลุกโชติช่วงเต็มที่เลย พอมีอารมณ์ปั๊บก้มมาดูด้านที่ผ่า น้ำเลือด น้ำเหลือง ตับ ไต ไส้ พุง อาหารใหม่ อาหารเก่า อวัยวะเพศเมื่อกี้ที่เราดู เป็นยังไง..ดูซิ มันเป็นอะไรเนี่ย นี่เหรอ... เรามาติดอย่างนี้เหรอ... ผลสุดท้ายตัดโช๊ะ..เงียบ>>

    ดูเสร็จจับหัวใจเต้น ตุ๊บ...ตุ๊บ...ตุ๊บ...เอาอีกสร้างภาพขึ้นอีก ดูจนกว่าจะปรุงไม่ขึ้น ดูด้านที่ผ่าจะไม่วูบ..คนเราเมื่อเห็นของจริงด้วยตาใจ ที่มันเห็นด้วยใจ ที่มันหลง..หลง.. ด้วยใจ เพราะใจเป็นผู้หลง ถ้าเห็นด้วยใจจริงๆ แล้วมันไม่หลงหรอก ไม่โง่ งม เงา เสร็จแต่ละครั้งจับหัวใจเต้น ตุ๊บ...ตุ๊บ...ตุ๊บ...ทุกครั้ง จนกว่าจะปรุงไม่ขึ้น ดูด้านที่ผ่าซีกจะไม่วูบ.. แสดงว่ารูปอุปทานขันธ์ขาดไปบางส่วน เหลือส่วนที่ลึกๆ ก็คืออยู่ที่รากแก้วของอวิชชา>>




    http://www.luangporsingto.com/12talk/fromStudent.doc
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2009
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>นิวรณ์*, wuttichai0329 </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เทศน์อบรม ณ สำนักสงฆ์สติปัฎฐานธรรม เมื่อวันที่ 10 พ.ย.51
    ภาวนาอะไรก็ได้ให้จิตสงบก็แล้วกัน จิตต้องมีตัวยึดอยู่ นึกผมขนเล็บฟันหนังอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ตอนนั่งอยู่ว่าแต่พอลุกขึ้นเดินแล้วเลิกว่า พอยืนเลิกว่า พอนอนเลิกว่า ไม่ใช่ อยู่กับตรงนี้ตลอด เหมือนเราไปอยู่ที่ไหนก็มีหลักยึดเกาะของเรา ลมจะแรงขนาดไหน ลมหมายถึงสิ่งที่มากระทบตา รูปที่มากระทบตา เสียงที่มากระทบหู จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส จะแรงขนาดไหน แต่เราไม่เคยปล่อยหลักเรามันก็ไม่ไป เข้าใจไหม หล่ะ เรียกว่าเป็นผู้มีหลักใจกอดอยู่ ถ้ามันไม่มีตัวนี้อยู่มันก็จะปลิวไป
    ให้พิจารณาเยอะๆให้เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ คนทั้งคนทั้งผู้หญิงผู้ชายรวมกันเป็นดินไปหมดเลย เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ รวมขึ้นมาอีกตั้งขึ้นมาอีก พิจารณาอีกให้ทำอย่างนั้นอย่างน้อย 10 ครั้ง หรือมากกว่านั้นยิ่งดี พิจารณาไป ภาวนาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้จิตมันรวมก่อน แล้วค่อยพิจารณาแยกตัวนี้ พิจารณาไปเรื่อย พิจารณาไปเรื่อยจน 10 ครั้งแล้ว ปรากฏว่าพิจารณาไปจิตมันรวมพรึ่บ กลับมาสงบนิ่ง นี่เรียกว่าปัญญากลับมาอบรมสมาธิอีกครั้งหนึ่ง จิตยิ่งละเอียดด่ำลึกกว่าเก่าอีก ลงไปพักสักพักนึงเดี๋ยวมันขึ้นมาอีก แยกธาตุแยกขันธ์ที่นี้คมกว่าเก่าอีก ชัดกว่าเก่าอีก ตอนนี้เราเริ่มต้นด้วยการทำสมาธิอบรมปัญญา พิจารณาไป พิจารณาไปจนจิตดับพรึ่บไปเรียกว่าปัญญากลับมาอบรมสมาธินะ มันมีสมาธิอบรมปัญญากับปัญญาอบรมสมาธิแล้วแต่ บางคนก็ไม่รวม ไม่รวมก็ช่างหัวมัน รวมก็อยู่เฉยก็ไม่มีประโยชน์
    ทำให้เยอะๆ ทั้งยืนก็ทำได้ เดินก็ทำได้ นั่งทำได้ นอนทำได้ ไม่ใช่มานั่งปั๊บถึงจะพิจารณาตับไตไส้พุง ไม่ใช่ ไปยืนที่ไหน ไปเดินที่ไหน ไปนั่งที่ไหน ไม่ปราศจากที่พึ่ง เข้าใจนะ ให้เดินตามที่บอกนี่หล่ะ ไม่นานหรอก ให้ทำเยอะๆ เงินหน่ะหามาตั้งแต่เด็กมาจนถึงป่านนี้ต้องเอาภายในบ้าง ไม่ต้องไปเอาภายนอก ข้างนอกยิ่งแบกหนักเข้าใจหรือยัง ให้ตั้งอสุภะจนชำนาญหลายๆครั้งจนคืนเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ แล้วดูซิเป็นดินได้อย่างไร เป็นน้ำได้อย่างไร เป็นลมได้อย่างไร ถามว่ามึงเป็นดินหรือมันก็เฉย ถามว่ามึงเป็นน้ำหรือมันก็เฉย อ้าวแล้วใครว่า จิตเป็นคนว่า มันไม่รู้ตัวว่ามันเป็นน้ำ กูซิไปว่าเอง ก็ดูซิ อ๋อ ไอ้นี่มันว่ามันเอง มันเป็นดินมันก็ไม่รู้ว่ามันเป็นดิน เราซิไปสมมุติว่ามันเป็นดิน เป็นสมมุติ เริ่มเข้าใจแล้วนะ ดูดิน น้ำ ลม ไฟ ปั้นเป็นรูปเรา คนที่เรารัก แฟนที่ตายไปแล้วเป็นดินไปแล้ว จำรูปได้ไหมหล่ะ ตอนสาวๆจำได้ไหม เอามายืนข้างหน้าเลย ถลกหนังออกเลย เราด้วยยืนทั้งคู่ ถลกออกเลย ไหนวะกูรักมันตรงไหนวะ กูอุตสาห์มอบกายมอบใจให้มึงกูรักมึงตรงไหน ดูซิให้ทำอย่างนี้นะ ผลสุดท้ายให้กลับคืนสู่ดินน้ำลมไฟ ทำสัก 10 ครั้ง แล้วกลับมา ผม ขน เล็บ ฟัน หนังอยู่เหมือนเดิมนะ สักพักนึง พอมันมีกำลังดี จิตสงบดี แนบแน่นขึ้น เบากายเบาใจมากขึ้น ไปทำต่ออีก นี่หมายถึงตอนนั่งนะ คราวนี้พอไปเดินอยู่ไหน ยืนอยู่ไหน นอนอยู่ไหนให้ทำแบบนี้ จนกว่าจะหลับ ต่อไปพอชำนาญมากเข้ามากเข้ามองคนมันไม่เป็นคน พังครืนลงมาเลย อ๋อเข้าใจแล้ว เมื่อเข้าใจแล้ว เหมือนกินข้าวกินอะไรก็ตามพอถึงจุดหนึ่งมันก็อิ่ม พออิ่มปั๊บถามว่าต้องทำอย่างนั้นอีกไหม ไม่ต้อง แล้วจะถามว่าทำไมต้องปล่อย มันบอกของมันเอง ถ้าบางทีมันเซ่อมาก หลวงพ่อจะช่วยลากไปก็ได้อายุมันมากแล้ว บางทีต้องเด็ดมาบ่ม รอให้แก่อาจจะตายก่อนก็ได้ มันต้องทำทุกวัน ถ้าให้ถูกต้อง มันต้องทำทุกวัน อันนี้เป็นทางเดินที่ตรง มัชฌิมาปฏิปทาพอดี พอดี ไม่ยาวเกินไป ไม่สั้นเกินไป ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนยานเกินไป มัชฌิมาปฏิปทา เป็นสายกลางพอดี๊ พอดี พอรู้ได้เห็นได้ด้วยสติปัญญา ไม่ไกล ให้เดินให้มาก ทำให้มาก เมื่อเดินมากทำมากแล้วจิตจะด่ำ ละเอียดลึกซึ้ง สว่างขึ้นเรื่อยๆ

    http://www.luangporsingto.com/13laungpor/10-11-51.doc
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แสดงธรรม ณ สำนักสงฆ์สติปัฏฐานธรรม
    วันที่ 7 ธันวาคม 2551
    หลวงพ่อสิงห์โต โฆษโก
    นรกเราก็เคยเกิด เปรตเราก็เคยเป็น เป็นมาหมด เป็นภูตผีปีศาจ เป็นสัตว์ เป็นนางฟ้า เทพธิดา เทพบุตรเป็นมาหมดทุกคน ตราบใดที่จิตไม่พ้นอาสวะ ขึ้นๆลงๆ
    นี่เห็นหมาเห็นแมวไหม กินเหล้ามากๆ เมื่อจิตเศร้าหมองตายไปมันเป็นหมาเป็นแมวเป็นสัตว์เดรัจฉานเห็นไหมหล่ะ จิตมันเศร้าหมอง จิตตัวนี้พอตากระทบรูปปั๊บเกิดไม่สบายใจ เกิดพอใจบ้าง ไม่สบายใจบ้าง พอไม่สบายใจแสดงว่าน้ำที่เริ่มใสเมื่อกี้เริ่มขุ่น เหมือนน้ำ ธรรมดาเรามองมันใสในก้นโอ่งก็ตามแต่ถ้าเราเอามือกวนๆ เดี๋ยวสักพักหนี่ง ตะกอนที่ไปนอนก้นก็เริ่มขุ่น จิตที่ไม่สงบ ไม่เย็น ไม่เบา ไม่สบายมันมีกิเลสอยู่ข้างใน คือกิเลสที่จรมาทีหลัง เมื่อเรากวนให้มันขุ่น ตากระทบรูปมันขุ่น ไอ้นี่มันกระทบปั๊บไม่เห็นมีอะไรเลย มีแต่ความว่าง เหมือนเราปาของไปในอากาศ ปาแล้วมันก็ตกลงมาเหมือนเดิม จิตมีแต่ความเมตตา ความสงสาร ต้องทำใจอย่างนี้ ต้องฝึกโดยการให้ทานทุกวัน รักษาศีลไปเรื่อยๆ ศีลคือรั้วกันเรา สิ่งใดที่เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนคนอื่นไม่เอา ไม่ว่ากี่ข้อก็ตาม 5 ข้อ 10 ข้อ 227 ข้อ เรื่องเบียดเบียนตัวเรา เบียดเบียนคนอื่นไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปทำ ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ยกตัวอย่างเราเคยไม่ชอบไอ้คนนี้ ไม่ชอบหน้ามันมานานแล้ว เรากำลังกินข้าวอยู่ ไอ้โน่นมันเดินกินไอติมมา พอเห็นหน้าปุ๊บ แหมมันกวนตีน เห็นไหมเขารู้เรื่องไหม ใครมันว่า เรามันว่าเอง เขาเดินกินไอติมมาเย็นสบาย เรามันว่าอยู่คนเดียว ยุบยับ ยุบยับอยู่ข้างใน ใจตัวนี้ต้องรักษาให้ดี คิดก็คิด ยามสติมันคิดปุ๊บ ให้ทัน แล้วเหยียบเบรก แล้วเอาพุทโธใส่ พุทโธใส่ พุทโธ ดับ ดับ ดับ หมายถึง พุทโธ คือน้ำไง น้ำดับไฟ ดับด้วยพุทโธ พุทโธถี่ยิบ เดี๋ยวก็ดับเอง ที่ร้อนเริ่มระอุขึ้นมาก็จะเริ่มเย็น ที่จริงมันเย็นสบายเราจะเซ่อไปผูกอยู่ทำไม ปัญญาจะเกิดอยู่ตรงนี้ จะอยู่ไหนก็ตามให้ทำอย่างนี้ เพราะเราไม่ได้ตาบอด ไม่ใช่หูหนวก ด่าแล้วก็ได้ยิน จริงๆคนด่าใกล้หูกว่าเรา มันต้องได้ยินก่อนเราใช่หรือเปล่า มาด่ากูปั๊บ มันเองต้องได้ยินก่อนเรา เราได้ยินทีหลังเรื่องอะไรเราจะโกรธ ด่ามาปุ๊บเราคว้ามีตัวที่ไหนมีแต่ลม ใช่ไหม โกรธกัน เพราะฉะนั้นทำใจให้สงบดีกว่า
    ไม่ต้องคิดเรื่องอดีตที่ผ่านมา หมายถึงมันผ่านไปแล้วไม่ต้องไปคิดมัน เรื่องความเศร้า
    ความโศก ความขัดใจ ความข้องใจ อย่าไปคิดมันผ่านไปแล้ว ให้มันดับไป ไม่ใช่งัดมาคิดอยู่เรื่อย งัดมาคิดเรื่อยมันก็ใหม่เรื่อยสิ คิดไปคิดมาสุดท้ายร้องไห้น้ำตาไหล ใช่ไหมหล่ะ ด้วยความขื่นขม
    ทุกอย่าง เราต้องมีสติ พอจะคิดอดีต ห้ามคิด ให้คิดอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันคืออะไร พุทโธ พุทโธเป็นน้ำดับไฟ อดีตไม่ต้องไปคิดอนาคตไม่ต้องไปคาด ปัจจุบันยึดอะไรไม่ได้สักอย่าง ยึดลูก ลูกก็จะพัง ยึดแม่ แม่ก็จะพัง ยึดพ่อ พ่อก็จะพัง ยึดอะไรมันจะพังหมดหน่ะ เพราะมันไม่ถึงร้อยปีสักคน มีใครจะอยู่ถึงร้อยปีบ้าง อย่างคุณพ่ออายุ 83 84 ไม่รู้จะอยู่ถึงหรือเปล่า ถึงหรือไม่ถึงก็ไม่เป็นไรตั้งไว้แล้วกัน ให้นานที่สุดก็แล้วกัน ตราบใดที่อยู่นานให้ทำความดีเยอะๆ จะอยู่ก็อยู่ดี จะไปก็ไปดี ท่านบอกให้อยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันสุขสงบไปก็ไปดี ปัจจุบันทุกข์เดือดร้อยวุ่นวายถึงไปก็ไม่ดี ถึงอยู่ก็ไม่ดี เห็นไหมหล่ะท่านให้ดูปัจจุบัน สิ่งอดีตที่ผ่านมาไม่ต้องไปคิด อนาคตไม่ต้องไปคาด ปัจจุบันก็ยึดอะไรไม่ได้ นั่นหล่ะทำใจให้สงบ สิ่งที่จะไปกับเราที่แท้จริงคือจิตใจเราเอง ร่างกายเขาหามไปเผาทุกคนไม่ว่าพระไม่ว่าโยมเหมือนกันหมด พอเข้าเตาเผาเอาออกมามีคนมีผู้ชายผู้หญิงที่ไหน มีไหมหล่ะ เคยยกตัวอย่างหลายๆคน มีแขนมีขา ก็หากินหาอยู่ไป ต่างประเทศก็ไป ไปไป มามา มานอนตรงนี้ ไปหากินตรงโน้น มานอนตรงนี้ ผลสุดท้ายหมดลมก็นอนตรงนี้หล่ะ นอนตรงนี้แล้วพวกเราทำอย่างไร รดน้ำศพ รดน้ำศพทำไมรดที่มือ มือนี้สมัยก่อนทำดีก็ทำมาเยอะทำบุญกุศลมาเยอะ บาปก็ทำมาเยอะ บัดนี้เลิกแล้วทั้งบุญทั้งบาป ช่วยล้างให้ด้วยเน้อ ใช่หรือเปล่า ช่วยล้างมือให้ด้วยสิ เลิกแล้วนี่ ล้างมือเสร็จทำอย่างไร ยกเข้าโลง ก็มีเท่านั้นเอง ที่สุดของคนก็เท่านั้น จะไปหากินอยู่ต่างประเทศอยู่ที่ไหนก็ตาม ก็มาอยู่ตรงนี้ ไม่ได้เอาอะไรไป อันนี้เป็นบุคลาธิษฐาน ที่ให้น้อมพิจารณา คนเราถึงที่สุดแห่งทุกข์ก็มีแค่นี้เอง ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าความเกิดเป็นทุกข์ ตราบใดที่ไม่เกิดก็ไม่ทุกข์ เห็นไหมหล่ะ เกิดเป็นทุกข์จริงๆ นั่งกำลังปวดขาเนี่ย ใช่ไหมหล่ะ เดี๋ยวปวดท้อง ปวดขา ปวดเอว เผลอๆนั่งนานลุกไม่ขึ้น ต้องพยุง ทุกข์ไหมหล่ะ อัตภาพร่างกายเต็มไปด้วยทุกข์ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าความเกิดเป็นทุกข์ถ้าไม่เกิดก็คือไม่ทุกข์
    ด้วยเหตุนี้ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ไหม ทุกข์สิ ความเจ็บปวดทุกข์ไหม
    คนเดียวก็ลุกไม่ขึ้น ต้องหามไปโรงพยาบาล อยู่ห้องไอซียูบ้าง ห้องธรรมดาบ้าง ออกจากห้องไอซียูจะมาบ้านผ่าไปวัดบ้างก็เยอะ นั่นหล่ะที่ว่ามันเป็นอนิจจังไม่มีอะไรเที่ยง เป็นทุกข์ด้วย ไม่ใช่เรา พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าทุกคนประกอบด้วยธาตุทั้งสี่มารวมกัน ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ มารวมกันใช่เราไหม เออเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ มารวมกันเฉยๆ ที่ใหญ่มาทุกวันนี้มาจากซากพืชซากสัตว์ที่เรากินโน่นกินนี่ไง ก็ใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้น กินมากก็ใหญ่มากหน่อย กินน้อยกลัวอ้วนก็ผอมหน่อย
    ผลสุดท้ายถึงที่สุดแห่งทุกข์ นั่งอยู่นี่มันก็แก่นะ เห็นไหมแก่อยู่ตลอดเวลานี่ ดูพ่อสิอายุ 83-84 ปี หล่อที่ไหนหล่ะ ยิ่งกินมากยิ่งแก่ลง ยิ่งกินมากยิ่งตายมาก ร่างกายเรามีกี่ล้านเซลล์หล่ะแต่ละคน ก็ตายตลอดเวลา แล้วก็แก่ตลอดเวลา แล้วก็ป่วยตลอดเวลา ยาโรงพยาบาลบางทีเราทานเข้าไปมันไปรักษาโรคบางอัน แต่ไปทำลายอย่างอื่นก็มี ในเมื่อมันรักษาไม่ได้ กินข้างกินน้ำไม่ได้ นี่แหล่ะที่สุดของมนุษย์ เกิดมาก็บอกแล้วไม่ได้เอาอะไรมา เวลาไปจะเอาอะไร เอาแต่คุณงามความดีที่สั่งสม อบรมมาตั้งแต่เกิดมาถึงบัดนี้ นั้นแหละเป็นตัวที่พาเราเดิน ทั้งบาปทั้งบุญติดตัวติดใจเราไปตลอด จะเกิดที่ไหนก็อาศัยบุญกุศลอันนี้ เป็นเสบียงในการเดินทาง เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าให้รักษาศีล เจริญภาวนา พอจะหมดลมปุ๊บมีสติดีมีปัญญา ที่ไปจะไปดี เป็นมนุษย์ที่พร้อม อาศัยบุญกุศล คนไม่เคยสร้างความดีอยู่ๆเป็นเทพบุตร เป็นเทพธิดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มีที่ไหน บุญมีจริงบาปมีจริง ภพมนุษย์เป็นภพที่เกิดยากที่สุด เกิดเป็นมนุษย์นี่แหล่ะโชคดีแล้ว สั่งสมความดีไปเรื่อยๆเรื่อยๆ พอถึงที่สุดจุดหนึ่งปั๊บ เออทำกุศลทุกอย่างพอแล้วหล่ะอิ่มแล้วจบแล้ว ปลงวางได้แล้ว..(ฟังไม่ได้ยิน).....ก็ทำลายอวิชชา ข้างในจิต เป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องกลับมาในวัฎ วน ให้พากันปฏิบัตินะ

    http://www.luangporsingto.com/13laungpor/7-12-51.doc
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี

    ณ สำนักสงฆ์สติปัฎฐานธรรม

    ๖๕/๕ หมู่๑ ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม

    วันอาทิตย์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๒

    <TABLE height=316 width="83%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="18%" height=310>
    ขอเชิญพุทธศาสนิกชนผู้ใจบุญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี ณ สำนักสงฆ์สติปัฎฐานธรรม เพื่อซื้อที่ดินเพื่อขยายเขตสงฆ์
    พร้อมทั้งปรับปรุงพิ้นที่และบริเวณให้กว้างขวางเพื่อเป็นเสนาสนะป่าที่เหมาะสมแก่การเจริญสมณะธรรมของพระภิกษุ
    สามเณร อุบาสก และอุบาสิกา

    เนื่องจากปัจจุบัน สำนักสงฆ์สติปัฎฐานธรรม มีพื้นที่เพียง ๔๑๕ ตารางวา แต่มีจำนวนพระภิกษุ สามเณร อุบาสก และอุบาสิกา
    ที่มีความสนใจและตั้งใจปฎิบัติธรรมมากขึ้นทำให้สถานที่คับแคบ จึงมีความจำเป็นต้องขยายพื้นที่
    โดยการซิ้อที่ดินเพิ่มอีก ๔,๐๐๐ ตารางวา ในราคาตารางวาละ ๕,๐๐๐ บาท
    ดังนั้น จึงขอบอกบุญมหากุศลมายังผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลายได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน สามัคคีเพื่อซื้อที่ดินในครั้งนี้
    โดยพร้อมเพียงกัน อานิสงฆ์การซื้อที่ดินเพื่อสร้างสถานที่ปฎิบัติธรรมจะส่งผลบุญไปยังท่านทั้งอย่างมหาศาลเช่นเดียวกัน

    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและบุญกุศลครั้งนี้คุ้มครองท่านผู้มีจิตศรัทธา และท่านผู้มีส่วนร่วม ในการบำเพ็ญมหากุศลครั้งนี้
    จงประสบแต่สิ่งที่พึงปรารถนา เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ทั่วกันเทอญ
    กำหนดการ

    วันอาทิตย์ที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๒

    (ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑)

    ณ สำนักสงฆ์สติปัฎฐานธรรม

    เวลา ๐๘.๐๐ - ๐๙.๐๐น. ร่วมรับประทานอาหาร

    เวลา ๑๐.๐๐ - ๑๐.๓๐น. พิธีทอดกฐินสามัคคี

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ประมวลภาพพระประธาน
    <TABLE width="75%" border=1><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    .​
    </TD><TD>
    . ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ประมวลภาพวันรับพระประธาน
    <TABLE height=318 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="18%">
    [​IMG]
    </TD><TD width="27%">
    [​IMG]
    </TD><TD width="27%">
    [​IMG]
    </TD><TD width="25%">
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    .​
    </TD><TD>
    .​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ภาพหลวงพ่อสิงโต
    [​IMG]
    <TABLE height=186 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>อานิสงฆ์แห่งการถวายที่ดินในพระพุทธศาสนา
    การถวายที่ดินไว้ในบวรพระพุทธศาสนานั้นนับว่าเป็นการทำบุญที่มีอานิสงส์สูงมาก ด้วยเพราะผลทุกอย่างที่จะบังเกิดขึ้นหลังจากการให้ทาน
    ไม่ว่าจะเป็น กุฎิ วิหาร หรือ แม้แต่พระพุทธรูปทุกๆ องค์ในวัดตลอดจนมรรคผลแห่งธรรมทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นในศาสนาสถานที่ได้ซื้อที่ดินถวายนี่้
    ผู้ซื้อจะได้รับผลแห่งกุศลดังกล่าวด้วยทั้งหมด เพราะทุกอย่างล้วนปลูกสร้างหรือบังเกิดมีขึ้นได้ก็ด้วยผืนแผ่นดินที่เราได้เป็นผู้สร้างถวาย

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสถานที่แห่งนั้นได้เป็นสถานที่เป็นเหตุปัจจัยแห่งการสร้างสาธุชน และเป็นเหตุให้บังเกิดพระอริยะบุคคล ผู้ที่มีส่วนร่วม
    ในการซื้อที่ดินถวายในบวรพระพุทธศาสนาแห่งนั้นก็จักได้รับอานิสงฆ์ดังกล่าวด้วย กลายเป็นบุญหนุนนำทำให้ผู้นั้นเจริญด้วยทางโลกและ
    ทางธรรมยิ่งๆ ขี้นไป เมื่อเกิดภพชาติใดก็จะมีที่ดินผืนงามเป็นของตนเอง มีชีวิตที่เจริญงอกงาม และเข้าถึงพระธรรมคำสอนของ
    พระสัมพุทธเจ้าได้โดยง่าย และมีนิพพานเป็นที่ตั้งโดยไม่เนิ่่นช้า

    ผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมทำบุญทอดกฐินสามัคคีเพื่อซื้อที่ดินโดยเป็นเจ้าภาพซื้อที่ดินจำนวน ๑ ตารางวา ในราคาตารางวาละ ๕,๐๐๐ บาท (ห้าพันบาทถ้วน) หรือตามกำลังศรัทธา โดย
    ๑.ร่วมบริจาคโดยตรงที่ท่านพระอาจารย์สิงห์โต โฆษโก สำนักสงฆ์สติปัฎฐานธรรม ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม
    ๒.โอนเงินเข้า บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาศาลายา เลขที่บัญชี 316-2-72799-4 ชื่อบัญชี "พระสิงห์โต โฆษโก"
    ๓.ส่งเงินธนาณัติ ในนาม "พระสิงห์โต โฆษโก" สำนักสงฆ์สติปัฎฐานธรรม เลขที่ 65/5 หมู่ 1 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม 73170 สั่งจ่าย ปณ.ศาลายา
    ติดต่อสอบถาม คุณนพวรรณ พ่วงโต โทร 08-6575-9780

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE height=583 width="47%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG] [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ยอดเงิน ทอดผ้าป่าสามัคคี ณ สำนักสงฆ์สติปัฏฐานธรรม ศุกร์ที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒ (วันวิสาขบูชา)

    [SIZE=+3]รวมเป็นเงิน 730,000 บาท[/SIZE]
    ประมวลภาพวันงานทอดผ้าป่าสามัคคี วันน
    <TABLE width="75%" border=1><TBODY><TR><TD width="25%">
    [​IMG]
    </TD><TD width="36%">
    [​IMG]
    </TD><TD width="36%">
    [​IMG]
    </TD><TD width="1%">[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    แบบ Plan พื้นที่ และการปรับปรุงพื้นที่โดยรอบ

    <TABLE width="75%" border=1><TBODY><TR><TD>1
    [​IMG]
    </TD><TD>2
    [​IMG]
    </TD><TD>3
    [​IMG]
    </TD><TD>4
    [​IMG]
    </TD><TD>5
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>6
    [​IMG]
    </TD><TD>7
    [​IMG]
    </TD><TD>8
    [​IMG]
    </TD><TD>9
    [​IMG]
    </TD><TD>10
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>11
    [​IMG]
    </TD><TD>12
    [​IMG]
    </TD><TD>13
    [​IMG]
    </TD><TD>14
    [​IMG]
    </TD><TD>15
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>16
    [​IMG]
    </TD><TD> </TD><TD> </TD><TD> </TD><TD> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    บริเวณภายใน ปัจจุบัน

    <TABLE width="75%" border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]
    ทางหน้าวัด
    </TD><TD>[​IMG]
    อีกมุมหน้าวัด
    </TD><TD>[​IMG]
    อีกมุมหน้าวัด
    </TD></TR><TR><TD>[​IMG]
    ป้ายหน้าวัด
    </TD><TD>[​IMG]
    ศาลาใหญ่

    </TD><TD>[​IMG]ศาลาใหญ่
    </TD></TR><TR><TD>[​IMG]
    บริเวณฝั่งฆราวาส
    </TD><TD>[​IMG]
    บริเวณฝั่งฆราวาส
    </TD><TD>[​IMG]
    บริเวณฝั่งฆราวาส
    </TD></TR><TR><TD>[​IMG]
    บริเวณฝั่งฆราวาส
    </TD><TD>[​IMG]
    บริเวณฝั่งฆราวาส
    </TD><TD>[​IMG]
    บริเวณฝั่งฆราวาส
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    บริเวณที่ดิน ที่จะชื้อ

    <TABLE width="75%" border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]
    บริเวณที่ดิน ที่จะซื้อ
    </TD><TD>[​IMG]
    บริเวณที่ดิน ที่จะซื้อ
    </TD><TD>[​IMG]
    บริเวณที่ดิน ที่จะซื้อ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    ทางไปวัด

    <TABLE width="75%" border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]
    วัดอยู่ติดกับ โรงพยาบาลพุทธมณฑล
    </TD><TD>[​IMG]
    ป้ายโรงพยาบาล
    </TD><TD>
    [​IMG]
    ป้ายทางเข้าวัด
    </TD></TR><TR><TD>[​IMG]
    ทางเข้าวัด ตรงไปสุดซอย
    </TD><TD>[​IMG]
    ตรงไปสุดซอย เจอป้ายให้เลี้ยว
    เลี้ยวขวามือ
    </TD><TD>[​IMG]
    ทางเมื่อเลี้ยวขวา ตรงไปสุด จะพบวัด
    </TD></TR><TR><TD>[​IMG]
    เมื่อเข้ามาสุดจะพบวัด
    </TD><TD> </TD><TD> </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    ท่านสามารถเข้าชมแผนที่ Online ของ Google


    สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้

    ที่เบอร์โทรศัพท์ 08-6575-9780, Fax: 02-612-9152
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    [​IMG]
     
  8. naron

    naron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2009
    โพสต์:
    2,515
    ค่าพลัง:
    +3,573
    อนุโมทนาสาธุบุญกับหลวงพ่อทุกๆกอบุญและกับทุกๆท่านครับผม
     
  9. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    พระถ้าถอดผ้าเหลืองออกก็คนดีดีนี่แหละ

    เป็นนักปฏิบัติต้องมี มัชฌิมา คือทางสายกลาง
    มีสติ มีปัญญา ที่เป็นมัชฌิมา นะ

    กาลามสูตร ท่านว่ายังไง
    อย่าเพิ่งเชื่อเพราะฟังตามกันมา
    อย่าเพิ่ิงเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
    อย่าเพิ่งเชื่อเพราะุถูกต้องกับทฤษฎีของตน

    มัชฌิมา นะ อย่าเอียง
    อย่าเพิ่งเชื่อ.....ไปกลาง ๆ ก่อน

    ปฏิบัติไปแล้วรู้เองเป็นสันทิฏฐิโก
     
  10. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    เมื่อเริ่มต้น เข้าสู่เส้นทางปฎิบัติ
    ถ้าเลือกอาจารย์ผิด สอนผิด
    ผลการปฎิบัติที่ถูกที่ควร ย่อมไม่บังเกิดขึ้น....

    เปรียบดั่งเช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ
    ท่านทั้งสอง เมื่อเริ่มต้น เลือกอาจารย์ผิด สอนผิด
    ทำให้ท่านทั้งสองไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน
    เพราะเลือกอาจารย์ผิด สอนผิด

    ตราบจนกระทั่งมาเจอพระพุทธเจ้า
    ท่านทั้งสอง จึงปฏิบัติได้ถูกต้อง เดินตรงตามธรรม
    จนบรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะเลือกอาจารย์ไม่ผิด สอนไม่ผิด


    ดังนั้น การเลือกอาจารย์ ที่ทรงอรรถ ทรงธรรม จึงเป็นสิ่งสำคัญ
    ถ้าเลือกอาจารย์ ที่ไม่มีภูมิจิต ภูมิธรรม เป็นเสือใบลานเปล่า
    อ่านตำรา แล้วแปลความ ตามความหมายของธรรม
    ด้วยใจที่ผิดพลาด แฝงด้วยกิเลส ที่ไม่รู้จริงของตน...
    เพราะไม่เคยรับรสผลของธรรมปฏิบัติ
    มีแต่การคาดคะเนจินตนาการตามความโง่ของตน
     
  11. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    การดูพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
    ไม่ใช่ตัดสินจากการเอาแต่ฟังการเทศนาโวหาร ถูกจริต ถูกใจตนเท่านั้น
    เพราะนั่น เป็นการเอากิเลสตัดสิน ไม่ได้มุ่งเอาธรรมตัดสิน

    ดูพระแท้ พระดี ดูที่ ข้อวัตรปฏิบัติ ศีลาจารวัตร เป็นสำคัญ
    พิจารณาจากธรรมภาคปฏิบัติ ที่ดำเนินตามรอยแบบอย่างพ่อแม่ครูจารย์พาดำเนิน
    มิใช่ขโมยเอาผลการปฏิบัติของพ่อแม่ครูจารย์
    มาดัดแปลงสำนวนโวหารอ้างเป็นของตัวเอง

    มันจึงถูกแต่สำนวนโวหารภาษาปริยัติ แต่ไม่ถูกในส่วนของภาคปฏิบัติ
    ที่มีทั้งขั้นตอนต่างๆในวิธีการดำเนิน การสร้างเหตุ และรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ
    ที่ภาคปริยัติ มิได้ลงรายละเอียดเจาะลึกในส่วนของแก่นแท้นั้นๆ


    ทั้งๆที่ไม่เคยไปอยู่จำพรรษาขอนิสัยฝากตนป็นศิษย์
    แต่มาแอบอ้างตนเป็นศิษย์ท่าน เพื่อให้สาธุชนเชื่อถือศรัทธาในตน

    เสมือนบุคคลผู้ไม่เคยได้รับรสผลของธรรมภาคปฏิบัติ
    เอาธรรมภาคทฤษฎีปริยัติมาดัดแปลงสำนวนเป็นธรรมปภาคฏิบัติ
    จึงเปรียบเสมือนคนไม่เคยเห็นรูปภาพจิ๊กซอว์ มาต่อรูปจิ๊กซอว์
    มันจึงต่อรูปภาพจิ๊กซอว์ผิดพลาด ไม่เป็นรูปเป็นร่าง
    ผู้รู้ ผู้ศึกษาธรรม ที่มีหลักใจ ท่านมองออกใครของปลอม ใครของจริง
    แต่ท่านไม่อยากมาแสดงตนออกหน้า ไม่อยากเกี่ยวข้อง แต่อย่างใด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 เมษายน 2011
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไม่รู้ดิ เคยไปทำบุญที่วัดหลวงพ่อสิงห์โต ก็มีคนเยอะดี
    เห็นคนมาปฏิบัติธรรมกันก็ดีใจ มีแต่คนมีความสุข
    ถ้าไปแล้วไม่เป็นสุข ก็อย่าไปจะเป็นการทำร้ายตัวเองป่าวๆ
    วัดทั่วไทยก็มีมากมาย เลือกที่ชอบๆ ก็คงสร้างกุศลจิตให้เกิดแก่ตัวเองได้เนาะ
    ส่วนที่ไหนที่ไม่ดีจริง ความจริงก็คงปรากฏเอง
    แต่ความเห็นส่วนตัวนะ คนที่ปฏิบัติมากๆ ไปวัดโน้นวัดนี้ แล้วมีชอบใจไม่ชอบใจ
    ก็มีเป็นเรื่องธรรมดา คนที่ชอบใจก็มี คนที่ไม่ชอบใจก็มี
    แต่โดยส่วนตัวก็ชอบบรรยากาศของวัดนะ เล็กๆ ร่มรื่นดี

    เห็นมีไปโพสท์ที่เว็บบอร์ดของทางวัดด้วยนิ
    ใครสงสัยก็ตามไปดูที่ลิ้งนี้
    http://www.luangporsingto.com/viewboard.php?gid=0&wid=11041610

    อันนี้ไปอ่านเจอที่เว็บบอร์ดของทางวัดน่าสนใจดี อ่านดีแล้วรู้สึกดี

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR align=middle><TD bgColor=#ffcc66 colSpan=5 height=20>โก อินเดีย แบบ hardcore 555+</TD></TR><TR><TD width="10%"></TD><TD colSpan=3>
    ไปเจอกระทู้ เที่ยวอินเดียแบบ สุด ๆ เลยเอามาให้ทุก ๆ ท่านได้อ่านครับ
    http://www.thaimtb.com/for


    </TD><TD width="10%"></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3></TD><TD align=middle></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=3>n&n(N) [2009-12-28 01:10:15]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา หลวงพ่อสิงห์โตโฆษโก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2011
  13. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ปฎิบัติมา 20 ปี แล้วไม่รู้เหรอว่าจับที่สะดือ มันก็ดูลม ดูพองยุบ ดูกายนั่นแหล่ะ แต่จับจิตแบบนี้มันผ่านสุขลงเอกัคตาได้ง่าย อย่างจะเอาฌานสี่ก็มีผู้รู้กล่าวไว้อยู่ว่าถึงสุขแล้วก็จับที่จิตที่ฐานจิตเหนือสะดือสองนิ้วไว้เลย จับอย่างนี้จิตดำเนินได้โดยรู้ทันทีว่าปฎิบัติครั้งมันลงอยู่ที่สมถะ หรือกำลังมากก็จะเดินวิปัสสนาได้ และจับอย่างนี้มันเอาฌานมันต่อขึ้นอภิญญาได้เลย

    พิจารณาอสุำภะก็ให้เห็นของเน่าเสียเบื่อหน่ายคลายกำหนัด บรรเทากิเลสตัณหาใคร่ทั้งหลาย

    ปฎิบัติแล้วเก่งกว่าพระ สิ้นความเคารพนับถือกัน ผมว่าอยู่บ้านเถอะครับ ใครเอ่ยไม่รู้ตัว จะไปทำบุญ ไฉนปล่อยอกุศลเกิดบานตะไท
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2011
  14. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    มองในแง่บวก อยู่ที่ไหน ก็มีความสุข อยู่วัด อยู่บ้าน หรือ อยู่กับตัวเอง
    ต่างกับ มองในแง่ลบ มองตัวเองก็ยังลบ เลย ออกมาในแนวๆ ลบๆ
     
  15. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    คุณบรรลุธรรม สิ้นกิเลส แล้วเหรอครับ ถึงได้มั่นใจว่า รู้ใจตัวเองดี

    วันหนึ่งๆ คุณ มีสติระลึกรู้กายใจตนอย่างตั้งมั่นเป็นกลาง ไม่แส่ส่าย กางเขี้ยวกางเล็บ
    ได้สักกี่หนกัน

    การไปหาพระ สมมติสงฆ์ แม้ท่านจะไม่มีคุณธรรมอะไร อย่างน้อยท่านก็เป็นสมมติสงฆ์

    พระพุทธองค์ว่า การทำบุญให้กับสัตว์เดรัจฉาน ยังมีผลมาก ไม่ใช่ไม่มีผลมาก อย่างพระ
    เถระในสมัยพุทธกาล แค่ไปขุดรังมดเอาขนมปังคืนมา ยังทำให้ไม่อาจกินอิ่มได้สักมื้อ แม้
    บรรลุอรหันต์หรือสิ้นกิเลสหมดจรดแล้ว กรรมยังส่งผลอยู่

    ประสาอะไรกับคุณ ที่ไปวัด แล้วเที่ยวสอดส่ายสายตา จ้องเขม็งถึงอากัปกริยาของ ญาติ
    โยม โอ้ยนางนั่นนั่งโป้ นางนี่เปิดใจเกินไป พระนั่นจ้องหรือเปล่า พระนี่จ้องหรือเปล่า สาย
    ตาคุณมันสอดใส่ไปทั่วศาลา ใครมองมาจากข้างบนสูงหน่อย ย่อมเห็นอาการหลุกหลิกๆ
    ยังกับลิงได้ไม่ยาก ยิ่งเป็นลิงที่ฝึกสมาธิมาอีก สายตาจะขมึงทึง โปนปูดออกตา ออก
    ขมับ เรียกภาษาชางบ้านว่า อยู่ในภาวะ บอกบุญไม่รับ

    อาการ บอกบุญไม่รับ หลวงตาบัวเรียกว่า "ธรรมะชักสะพาน นรกรอรับ"

    ดังนั้น การไปวัด ไปหาสมมติสงฆ์ อย่ามัวแต่เลือกผู้รับว่าต้องพระดี เราไป
    แค่ทำบุญกับพระ กับสงฆ์ เพียงแค่ไม่ระบุตัวพระ แค่นี้ก็เป็น สังฆทาน ถูก
    ต้องตามบัญญัติตรัสรับสั่ง

    ส่วนประเภพดั้นด้นไปหาพระ ระบุ เจาะจง นั่นมันการทำบุญ เพื่อเสนอตัวเป็น
    ทาสรับใช้ ไปแล้วก็ได้แต่เศษอาหารปั้นมาใส่มือบ้าง เศษอาหารที่ท่าน
    คายเอามาให้ใส่มือบ้าง ให้เป็นอาหารใจ ให้รู้สึกดี ได้ประทังความหิวภพ
    ความเป็นทาส ได้แสดงตัวความเป็นทาสเข้าแลก เช่นเข้านอดเท้านวดเฝ้น
    เที่ยวชำระเท้าชำระแข้งขา เพื่อบรรเทาความหิวของตน ส่วนพระท่านท่าน
    จะห่วงธาตุขันธ์ว่าไม่สุขสบายก็หาไม่ ไปหาพระทั้งที ดันไปทำตัวเป็น
    กบเลือกนาย

    ดังนั้น อย่าไปวัด แล้วชักสะพานตัวเอง ทำหน้าทำตา บอกบุญไม่รับ แล้วใคร
    เขาจะขัดใจ ท่านก็ต้องชักสะพานตรงตามเหตุตามผล

    จะไปทำบุญกับพระ ก็อย่าไปเจาะจงคุณธรรมของพระ ให้ระลึกไว้ว่า เข้าไป
    เพื่อทำสังฆทานต้องตามพุทธวัจนะที่เขียนเป็นตำราให้ได้ศึกษาสมาทาน
    เฉพาะที่ถูกต้อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2011
  16. palmmato

    palmmato สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +0
    จากบอร์ดวัด

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD colSpan=3>ถึงศิษย์ทุกท่าน
    ที่ต้องเข้ามาตั้งกระทู้เนื่องจากมีชายคนหนึ่งพยามยามใส่ร้ายเพื่อลบภาพพจน์ของหลวงพ่อสิงห์โต เพราะไม่พอใจท่านที่พูดดักคอ ขณะนั้นเราอยู่ในเหตุการณ์ด้วย จึงเห็นสมควรที่จะต้องพูดเพื่อให้ความจริงกระจ่าง การที่จะนิ่งเฉยแล้วไม่ทำอะไรเลยโดยให้เขาว่า ใส่ร้ายโดยมีเจตนาเพื่อให้คนหมดศรัทธาหลวงพ่อ ดูเหมือนจะเป็นการยอมรับหรือปล่อยให้เขาสร้างกรรมหนักต่อไป คงเเป็นการไม่สมควร
    แต่เราเชื่อว่าทุกท่านเป็นผู้มีปัญญา และใช้ปัญญาในการวิเคราะห์ โดยเฉพาะศิษย์ ที่ปฏิบัติจริง หรือมาวัดเป็นประจำจะรู้ว่าท่านมีเมตตาต่อศิษย์ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ไม่เลือกที่รัก มักที่ชัง
    เรื่องการภาวนาร ท่านจะเมตตาสอนให้ทุกคนที่ต้องการมาภาวนา ถึงแม้ว่าจะต้องสอนศิษย์และมีงานอื่น ๆ อีกมาก ตลอดทั้งวันจนไม่มีเวลาพักผ่อน ท่านก็ไม่เคยบ่นเลย ท่านจะพูดเสมอว่าเค้ามาไกล เค้ามีทุกข์ เราก็ต้องช่วยเค้า สงสารเค้า เราเหนื่อยพักเดี๋ยวก็หาย
    ไม่เพียงแต่เมตตาต่อศิษย์ทุกคน ท่านยังมีเมตตาต่อคนอื่นๆ อาหารบิณฑบาตและเครื่องสังฆทาน หลังจากพระพิจารณาแล้ว หลวงพ่อจะให้นำไปแจกคนยากจน คนชรา คนแปลกหน้า ผู้ประสบภัยต่าง ๆ เสมอมา โด่ยที่วัดจะไม่เก็บของไว้นาน เราจะนำไปแจกเสมอ ทุกภาคของประเทศ กับสัตว์ต่าง ๆ บ่อยครั้งที่เราไปให้อาหารปลาในแม่น้ำ ซื้อผลไม้(กล้วย อ้อย ฯ) ไปเลี้ยงสัตว์เป็นประจำ
    ตลอดเวลาท่านไม่เคยพูดอวดอุตริมนุษธรรม ผู้ที่มีก็ไม่อวด ผู้ไม่มีก็อวดไม่ได้ อันนี้เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว ท่านจะสอนโดยใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เช่น สติปัฏฐาน 4, ไตรลักษณ์, มรรคองค์ 8 และอีกมากมาย
    นี่เป็นความดีเพียงน้อยนิดที่เรากล่าวถึงท่าน ยังมีความเมตตาและความดีอีกมากมายที่พูดได้ไม่หมด ศิษย์ทั้งหลายไม่ว่าเก่า ใหม่ หรือกำลังจะเป็นศิษย์ก็อย่างเพิ่งเสื่อมศรัทธา เพราะอ่านข้อความของคนกิเลศหนา ที่วิจารณ์และให้ร้ายท่าน ทุกคนเป็นผู้มีปัญญาก็ย่อมต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองก่อนว่าเป็นเช่นไร ฝากไว้ให้พิจารณา
    หากมีโอกาศจะนำข้อความของผู้มาปฏิบัติภาวนาที่นี่มาโพสต์ให้ดูว่า คนเหล่านั้นพูดถึงท่านอย่างไร ศรัทธาและเคารพท่านมากแค่ไหน
    อนัตตา






    </TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2>

    </TD><TD class=orange vAlign=top align=right>2011-04-16 14:16:28</TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2></TD><TD class=orange vAlign=top align=right></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD bgColor=#cccccc height=5 colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3>

    คนอย่างเราไม่ใส่ร้ายทำลายใครหรอก ถ้าเค้าทำจริงเราถึงพูด บางเรื่องต่อให้เค้าทำจริงแต่มันไม่เป็นประโยชน์กับตัวเค้าเราก็ไม่พูด เจตนาเราหรือจะทำให้คนหมดศรัทธาในตัวอาจารย์ท่าน ลูกศิษย์อาจารย์ถ้ามีกรรมต่อเนื่องเหนี่ยวแน่น ต่อให้ใส่ร้ายจริง เค้าก็ไม่หวั่นไหวในครูบาอาจารย์ตัวเองหรอก ที่เราเขียนไปบอกหน่อยนะครับว่าคำไหนที่เราเขียน แต่อาจารย์ท่านไม่ได้พูด
    ...แต่ไหนแต่ไรมา ตั้งแต่เรา 3 ขวบแม่พาไปฝึกสมาธิที่วัดป่าธรรมชาติ จ.ชลบุรี เราก็ถือเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่เคารพ เอาศีลเป็นที่พึ่งตลอดมา เคารพศรัทธาในพระป่าพระกรรมฐานมาตลอด เรามีเจตนาดี เห็นครูบาอาจารย์ท่านแสดงกิริยา คำพูดไม่เหมาะสม ใส่ร้ายว่าร้ายให้เรา อย่างที่เราไม่เคยเจอ ถามเราว่าไม่บวชหรือ ? พอเราตอบว่ายังครับ ..ครูบาอาจารย์ท่าน กลับบอกว่ามันจะเอาเมียอีกสิ ? ท่านอยู่ในเหตุการณ์ท่านพูดสิว่าไม่เป็นความจริง อาจารย์ท่านไม่ได้พูดอย่างนี้ เขียนอธิบายสิ... เราหรือไม่อยากบวช ถ้าพ่อแม่ไม่ห้ามเราบวชตั้งแต่เด็กแล้ว ถ้าอาจารย์ท่านถ้ามีอภิญญาจริงท่านไม่รู้หรือ ไม่รู้เจตนาเราต่อศาสนานี้หรือ ? ครูบาอาจารย์หลวงปู่หลวงตาเราไปกราบท่าน ท่านยังทราบเลย บุญบารมีเราก็ทำตลอดมา ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาสร้างวัด สร้างเจดีย์ อุปฐากทั้งวัดบ้านวัดป่ามาไม่รู้กี่วัดทั่วประเทศ เอาธรรมครูบาอาจารย์เผยแผ่ให้คนทั่วไปทั้งหนังสือและซีดีโดยไม่คิดมูลค่าออกเองมาแล้วไม่รู้กี่ปี ....26 ปีแล้วในชาตินี้ ที่เราทำความดี สร้างบารมีมา...แล้ว 26 ปีที่แล้ว พวกท่านที่สาปแช่งเราทำอะไรกันอยู่ ...ความหวังดีของเรามันทำให้พวกท่านมองอีกด้านไม่ได้เชียวหรือ ? บางทีอยากอฐิษฐานให้เกิดเป็นพญามารคอยจองเวรพวกมือถือสากปากถือศีลเหมือนกันนะ...
    จริงๆ เราก็ไม่อยากมายุ่งอะไรกับสำนักนี้เลยนะ ความดีที่พระสิงโตทำเราก็โมทนาอยู่ แต่เจตนามันอยากจะให้ท่านทำกิริยาวาจาให้เหมาะสมกับภิกษุที่น่าเคารพเลื่อมใสในศาสนานี้เท่านั้นเอง ถึงมันจะฝืน มันจะเป็นเพียงภายนอก แต่พวกคุณคิดว่าความศรัทธาของคนพึ่งรู้จักกันครั้งแรกมันดูกันที่ไหนก่อน กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ท่านยังไม่ใส่ใจ แล้วผมจะไปหาความละเอียดอะไรในพวกท่านหรือ
    ผมฝากไว้เท่านี้ แล้วผมจะไม่มายุ่งกับพวกท่านอีก


    </TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2>palmmato

    </TD><TD class=orange vAlign=top align=right>2011-04-21 13:05:02</TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2></TD><TD class=orange vAlign=top align=right></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD bgColor=#cccccc height=5 colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3>

    ขอคุยด้วยคน [​IMG]
    การที่เรามีโอกาสได้กราบพ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัว และได้เป็นลูกศิษหลวงพ่อสิงห์โต โฆษโก ถือเป็นบุญวาสนาที่สุดของชีวิต เพราะกว่าจะได้พบก็อายุเกินครึ่งร้อยไปแล้ว ได้รับการสอนพร้อมชี้แนะที่ตรงจริตของตัวเอง ปฏิบัติภาวนา วิปัสสนากรรมฐานตามแนวทางสติปัฏฐานสี่ เป็นขั้นเป็นตอน ติดขัดก็ได้รับความเมตตาชี้แนะและชี้ช่องให้เดินปัญญาต่อได้โดยไม่สะดุจ หรือเหมือนวนเวียนอยู่ในอ่างก็หาทางขึ้นได้ไม่นานนัก หลวงพ่อมักมีวิธีสอนลูกศิษแต่ละคนไม่เหมือนกัน และพร้อมให้เวลาตลอดเมื่อลูกศิษติดขัดในระหว่างการปฏิบัติเพื่อถามข้อสงสัยจนสามารถเดินปัญญาต่อได้ ท่านจะใส่ใจติดตามดูการปฏิบัติของลูกศิษเสมอ บางที่ติดขัดยังไม่ทันได้ถาม หลวงพ่อก็เฉลยข้อขัดข้องและชี้ช่องให้เข้าไปพิจารณาข้อธรรมที่กำลังสงสัยนั้นจนกระจ่างได้ไม่นานนัก บ่อยครั้งเราส่งจิตออกนอก ท่านก็ดุและให้ดูจิตดูใจตัวเอง ตลอดจนโดนสอบอารมย์โดยไม่รู้ตัวอยู่เนืองๆ บางครั้งโดนกระแทกจนหน้าแตกหน้าหงายกลิ้งไปหลายตะหลบเพราะแรงกระเพื่อมของอารมย์ ต้องรีบสำรวจและเดินปัญญาจนถึง "บางอ้อ" ไม่ช้าก็เร็ว ท่านบอกถ้าไม่ "ฟาด หรือ กวนน้ำให้ขุ่น" แรงๆ กิเลสที่ฝังอยู่ลึกๆ มันก็ไม่หลุดง่ายหรอก
    ผลของการปฏิบัติจากวันนั้นถึงวันนี้ 5 ปีแล้ว ที่เราได้ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อสิงห์โต ด้วยคงจะได้บำเพ็ญบุญแต่ในอดีตชาติและปัจจุบัน จึงทำให้คนปัญญาน้อยอย่างเราฉลาดขึ้นบ้าง แต่ก็เสียน้ำตาไปหลายตุ่ม ระลึกรู้ว่าตัวเองโง่มาไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ที่เกิดและตายในวัฏจักรสงสาร หากเทียบกองกระดูกคงจะทับถมเป็นภูเขาใหญ่มหึมาได้กระมัง หลงยึดตัวยึดตน หลงแล้วหลงอีกในสมมุติทุกข์สมมุติสุข ฯลฯ ธรรมมะของพระพุทธเจ้าไม่ง่ายและไม่ยากสำหรับผู้ปฏิบัติที่ต้องการพ้นทุกข์ ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าได้ให้โอวาสไว้ กล่าวกันว่าสามารถบรรลุ รู้เองเห็นเองได้ใน 7 วัน 7 เดือน หรือ 7 ปี หากจะขอเปรียบความง่ายคงพูดได้กระมังว่า เหมือนเส้นผมบังภูเขา และเปรียบความยากเหมือนแบกภูเขาหิมาลัยไว้บนอก นอกจากมีความเพียรแล้วหากได้ครูบาอาจารย์ที่รู้จริงเห็นจริงชี้แนะให้เข้าถูกช่องด้วยแล้ว ก็ถือเป็นบุญวาสนาอาจได้ย่นระยะเวลาปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริงได้เร็วขึ้น เราไม่อาจเอื้อมหลงตัวบอกใครๆ ว่าได้ธรรมลึกซึ้งถึงขั้นไหน แต่เราเห็นธรรมมะของพระพุทธเจ้าสามารถพิสูตรได้อย่างไม่มีข้อกังขา ถ้าไม่หลงตัวตนแท้จริง ผู้ปฏิบัติย่อมรู้เองเห็นเอง ว่างจาก ตัวตน ของตน ในที่สุด
    เราขอคุยด้วยคนโดยไม่มีเจตนาอวดตัวตนแต่อย่างไร หากแต่ระลึกถึงพระคุณและความเมตตาของพระอาจารย์หลวงพ่อสิงห์โต ท่านเสียสระเวลาโดยไม่คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยจากการให้โอกาสญาติโยมทุกคนที่ไฝ่ศึกษาปฏิบัติธรรม เพื่อชี้ทางให้พ้นจากทุกข์ในจิต ผู้ที่มาปฏิบัติและที่ยังไม่มา เมื่อเป็นสายบุญเดียวกันต้องเริ่มด้วยความมีศัทธาในครูบาอาจารย์ ประกอบด้วยความเพียร ไม่ย่อท้อต่ออุปสักจากภายนอกและภายใน ย่อมเห็นผลอย่างแน่นอน และขอเป็นกำลังใจให้สามารถเดินจนสุดเส้นทางแห่งความพ้นทุกข์ด้วยกัน
    ขออนุโมทนาบุญกับคณะจัดทำเวบ ที่ให้โอกาสได้แสดงความคิดเห็น ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยดลบันดาลให้ท่านและคณะ ตลอดจนญาติธรรมทุกท่านมีความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม
    จากใจ


    </TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2>จากใจ

    </TD><TD class=orange vAlign=top align=right>2011-04-21 20:13:58</TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2></TD><TD class=orange vAlign=top align=right></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD bgColor=#cccccc height=5 colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3>

    จากที่โยมpalmmatoกล่าวมา อาตมาได้คิดสะดุดใจครั้งหนึ่ง เมื่อคราวอาตมาธุดงค์กับหลวงปู่ครูบาอาจารย์แถบป่าเขาจังหวัดเลย ไม่ทราบว่าใช่รูปนี้หรือเปล่าที่หลวงปู่ท่านกล่าวถึง เมื่อหลวงปู่ออกจากสมาธิช่วงเที่ยงคืน หลวงปู่ได้เรียกอาตมาและพระฝึกธุดงค์ด้วยกัน๑รูป หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า
    "ตัวไม่ใช่พระอริย จะรู้จักสาวกของพระพุทธเจ้าได้ยังไง ภิกษุรูปนี้ทำอกุศลกรรมใหญ่เข้าให้แล้ว ได้ปรามาสพระอริยเจ้าของจริงโดยไม่รู้ตัว"
    รูปใหนครับหลวงปู่
    "ไม่รู้จักหรอก อยู่แถบศาลายา นครปฐมโน้น"
    แล้วท่านที่เป็นพระอริยเจ้าคือใครครับ
    "ฆราวาสนุ่งขาวหรือพระขาว แถมไม่ธรรมดา เป็นฆราวาสธุดงค์ยิ่งกว่าพระอย่างพวกเราจะพึงทำกันได้"
    เมื่ออาตมาได้ยิน มีฆราวาสธุดงค์ แถมไม่ธรรมดานี่ เลยสนใจมาก เพราะเราเป็นพระบวชถ้าจะแพ้แน่ อย่างหลวงปู่เจี๊ยท่านเคยกล่าวสอน ฆราวาสชื่ออะไรครับแล้วตอนนี้อยู่ที่ใหนครับหลวงปู่
    "เขาไม่บอกชื่อกัน ตอนนี้ท่านธุดงค์พักอยู่ในถ้ำ แถบป่าลึกมากในภาคใต้ จังหวัดประจวบฯ ท่านจะเดินธุดงค์มาทางด้านเขาตะนาวศรี ขึ้นมาเหนือนี่แหละ"
    ท่านเป็นศิษย์ใครหลวงปู่
    "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ"
    แล้วพระที่หลวงปู่กล่าวถึงปรามาสยังไงครับหลวงปู่
    "พอดีท่านธุดงค์ออกจากป่าไปพักอยู่ที่สำนักสงฆ์นี้ เพื่อไปทำกิจธุระของท่านที่ภาคใต้ แต่ท่านไปไม่ถูก ท่านรู้จักพระเพื่อนที่นั่นเลยไปหาพระเพื่อน อยู่พักเดียวไม่กี่วัน พระรูปนี้เป็นเจ้าอาวาสสำนัก ดันไปว่าตำหนิจริยาปฏิปทาของท่านว่าเป็นหมอดูบ้าง ไม่รู้ว่าอะไรต่ออะไร แล้วยังขับห้ามท่านไม่อนุญาตให้ท่านเข้าพักในสำนักอีก คงเห็นว่าเป็นฆราวาสนุ่งขาวห่มขาวกระจอกธรรมดาละมั้ง"
    พระในสำนักหรือโยมไม่มีใครรู้เหรอครับหลวงปู่
    "หากเป็นพระอริยย่อมรู้กัน ไม่มีใครกล้าปรามาสท่านแน่ การปรามาสพระอริยจะเป็นภิกษุหรือฆราวาส พรหมเทวดาก็ตาม ปรามาสแค่รูปเดียว คนเดียว องค์เดียว ย่อมปรามาสถึงพระอริยทุกๆองค์ และถึงพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ที่นั่นมันไม่มีใครเข้าถึงความเป็นพระอริยกันจริง เลยไม่มีใครรู้ และท่านก็ทำตัวปกติธรรมดาของท่านเหมือนฆราวาสนุ่งขาวปฏิบัติธรรมทั่วไป กรรมใครกรรมมันละคราวนี้"
    ผลกรรมเป็นไงหลวงปู่
    "พอๆกับอนันตริยกรรมเลย"
    ยังงี้ถ้าพระและโยมในสำนักไปปรามาสไม่ซวยกันทั้งสำนักเหรอครับหลวงปู่ แล้วจะแก้ยังไง
    "ความซวยมันเรื่องของเขา อกุศลกรรมของเขา ไม่ใช่ของหลวงปู่ ถ้าตามหาท่านเจอหรือได้พบเจอท่าน กล่าวขอขมาลาโทษ หากท่านกล่าวอดโทษให้ก็จบกัน แต่อย่าลืมท่านเป็นฆราวาสนะ ถ้าฆราวาสด้วยกันขอขมาลาโทษกันได้ไม่ยาก ภิกษุนี่แหละสำคัญตัวว่าบวชอยู่สูงกว่าจะยากสำหรับเขาแน่ สังโยชน์ในมานะทิฏฐินี่แหละ"
    ว่าแล้วหลวงปู่ก็หัวเราะ "ฮ่าๆๆๆใหญ่เลย"
    "ถ้าเป็นพวกเธอโดนโทษปรามาสจะขอมั้ยละ"
    ขอแน่ละครับหลวงปู่ ไม่เอาด้วยหรอกครับ
    "เออ! พวกเธอละสังโยชน์กันได้ดี ต้องละให้หมดนะ จะได้จบกันชาตินี้"
    หลวงปู่แล้วพระที่เป็นเจ้าอาวาสสำนัก ไปปรามาสฆราวาสที่เป็นพระอริยเจ้าชื่ออะไรครับ
    "สิงโต"
    เมื่ออาตมาทราบชื่อและรายละเอียดต่างๆ ที่จดไว้ พอได้มาพักในวัดบ้านที่จังหวัดเลย มีโยมอุปฐากเอาโน๊ตบุคมาทำรายงานที่วัด แถมเล่นอินเตอร์เน็ตได้ เลยให้โยมช่วยค้นหาดูเผื่อเจอ ก็มาเจอเว็บนี้เข้า ไม่ทราบว่าท่านใดพอทราบรายละเอียดที่อาตมาเล่าหรือไม่ จึงอยากทราบรายละเอียดจริงๆ ใช่หรือเปล่า ว่าเป็นยังไง เพราะบางอย่างก็ไม่กล้าถามหลวงปู่มาก









    </TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2>aran

    </TD><TD class=orange vAlign=top align=right>2011-04-22 04:16:34</TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2></TD><TD class=orange vAlign=top align=right></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD bgColor=#cccccc height=5 colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3>

    ถึงพระคุณเจ้า aran ไม่ทราบว่าหลวงปู่ที่พระคุณเจ้ากล่าวถึงคือหลวงปู่อะไร ท่านอยู่ที่ไหนครับ แล้วท่านทราบรายละเอียดของเรื่องราวทั้งหมดดีแค่ไหนครับ และทราบได้อย่างไร กระผมเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องทำความเห็นให้ตรง เพราะในทางกลับกันหากเรื่องที่พระคุณเจ้าเล่ามาไม่ได้มีความเป็นจริงหรือคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ผลของกรรมที่จะเกิดก็อาจจะเกิดกับท่านได้ (โดยส่วนตัวกระผมเห็นว่าทั้งท่านพระอาจารย์สิงห์โต กับ ใครบางคนที่มีความเห็นไม่ตรงกับท่านหรือข้อวัตรปฎิบัตที่ต่างออกไป ต่างก็มีความต้องการและปรารถนาที่จะให้ลูกศิษย์ไปถึงซึ่งความพ้นทุกข์เหมือนกัน เพียงแต่เดินกันไปคนละเส้นทางแต่มีเป้าหมายเดียวกัน เปรียบได้กับการเดินทาง หลวงพ่อท่านสอนบอกว่าไปทางเคื่องบินสิรวดเดียวถึง บางท่านบอกไปรถไฟสิได้แวะชมธรรมชาติ ถามว่าไปถึงที่เดียวกันมั้ย...ถึง แต่จะถึงก่อนหรือหลังอันนั้นแล้วแต่ท่านจะเลือกครับ) อย่าหันหน้ามาโจมตีกันเองเลย ทุกท่านล้วนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อย่าได้สงสัยในความเป็นพระอริยะเจ้าของหลวงพ่อสิงห์โต เลยครับ หันมาสงสัยในกิเลสอาสวะในจิตของตนเองดีกว่านะครับ อาจจะช่วยให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้
    ปล.พระคุณเจ้า aran ฝากเบอร์โทร หรือ E-mail ไว้นะครับ เผื่อจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันนะครับ
    กราบนมัสการ
    จาก คนโง่ ผู้อยากพ้นทุกข์


    </TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2>vbmy'9blbo

    </TD><TD class=orange vAlign=top align=right>2011-04-22 20:25:49</TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2></TD><TD class=orange vAlign=top align=right></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD bgColor=#cccccc height=5 colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3>

    อาตมาเป็นผู้น้อย ต้องขอขมาโยมด้วยนะ ที่แสดงธรรมเล่าสู่กันฟังได้ดี หากมีท่านอื่นๆทราบเรื่องนี้จะจริงเท็จประการใดเป็นเรื่องของโยม ย่อมรู้กันเองว่าจริงหรือเท็จ แต่อาตมาไม่สงสัย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว จึงไม่สมควรสนทนาเป็นการส่วนตัว หากโยมประสงค์จะแลกเปลี่ยนข้อมูล ก็ให้ท่านอื่นๆได้รับรู้ด้วย ว่าเป็นยังไง


    </TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2>aran

    </TD><TD class=orange vAlign=top align=right>2011-04-23 01:30:00</TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2></TD><TD class=orange vAlign=top align=right></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD bgColor=#cccccc height=5 colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3>

    ข้าพเจ้าผู้น้อยกราบนมัสการพระคุณเจ้าด้านบนนะครับ อันตัวกระผมเองไม่ได้อยากจะออกมาตำหนิติเตียนผู้ใดเลย ว่าจะจบก็ผิดเสียซึ่งคำพูดว่าจะไม่เข้ามายุ่งอีก แต่เพราะพอลองเข้ามาอ่านอีก ก็นึกสงสารคนที่นี่จับใจขึ้นมาอีก ...แต่ถ้าศิษย์ของสำนักนี้ต้องการที่จะให้ผมขอโทษผมก็พร้อมจะขอโทษอโหสิกรรมกับคำที่เขียนไปทุกคำ
    อันกาย วาจา ใจ ที่ข้าพเจ้าได้กระทำต่อพระสิงโตและพวกท่านแล้ว เป็นสิ่งไม่สมควร บัณฑิตผู้รู้ติเตียน ขอพระสิงโตและลูกศิษย์จงอดโทษงดโทษให้แก่กระผม เพื่อการสำรวมระวังในกาลต่อไป .... ที่เหลือก็แล้วแต่พวกท่านหรือท่านสิงโตเองแล้วนะครับ
    แต่เราจะขอเล่าบางอย่างให้พวกท่านอ่าน อ่านด้วยความเป็นกลาง เราก็จะเล่าไปตามความสัตย์จริง ...เราเองถึงปฏิบัติมาหลายปี แต่เราก็เดินหลงทางไปอยู่หลายปี ไปฝึกปฏิบัติตนปฏิบัติตัวก็หลายสำนัก เพราะเราเองเป็นคนดื้อ ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ไปเป็นลูกศิษย์สำนักไหนก็รักเคารพในตัวครูบาอาจารย์ ใครมาว่าครูบาอาจารย์เราก็เหมือนพวกท่านแหละต้องตอบโต้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะเราได้รับผลจากการปฏิบัติตรงตามที่ท่านสอนจริงๆ
    เราเกิดวันที่ 13 สิงหา จริตเราเป็นคนตรง โผงผาง จริงจัง ทุ่มเทกับการปฏิบัติ ไปอยู่สำนักไหนก็จริงจังมาก พอออกมาจากวัดป่าธรรมชาติ ธรรมกายเราก็ไป มโนมยิทธิเราก็ไป กสินเราก็ทำ สมาธิหมุนเราก็ลองมาแล้ว ยุบหนอพองหนอเราก็ลองมาแล้ว จนสุดท้ายเราก็มาจับลม ถือศีลให้เคร่งครัดยิ่งขึ้นคือ ศีล 8 ทุกวันพระ ไปอยู่ป่าก็ออกธุดงค์พร้อมกับพระ ควบคู่กับการพิจารณาอสุภะอยู่ 3 ปี ชอบไปนั่งบนโลงศพในป่าช้า ไม่มีวันไหนไม่พิจารณาอสุภะ...ที่ผ่านมาเราบอกเลยว่าไม่มีสำนักไหนสอนสมาธิผิดเลย เราได้อุบายความสงบลงสู่ฐานของอัปปนาได้บ่อยครั้ง เกิดความรู้อะไรต่างๆ ขึ้นมากมาย ไปที่ไหนก็มีแต่ครูบาอาจารย์ชื่นชม จนเกิดอัสมิมานะซึ่งเป็นต้นตอของวิปัสสนูกิเลส จนวันที่หลุดจากภวังค์จิต สว่างจ้าขึ้นมา เกิดความรู้ขึ้นมากมายก็คิดว่าตนเองบรรลุธรรมแล้ว อยากจะสอนอยากจะบอกคนอื่นเกี่ยวกับความรู้ที่ตนเองมีทั้งหมด หน้าตาก็ผ่องใสอันเกิดจากการอยู่ในอารมณ์ของฌาณตลอดเวลาที่มีสติ
    จนได้หลวงตาครูบาอาจารย์องค์หนึ่งเตือนต่อหน้าหมู่คณะ ว่าอย่าไปคิดเอาเอง ว่าได้ว่าเป็นอะไร อุปสรรคของผู้ปฏิบัตินั้นมีมาก ทางใดทำเพื่อสละออก ทางนั้นแหละเป็นทางที่ถูก ถ้าเป็นพระอรหันต์จริง การนั่ง ยืน เดิน นอน จะพูดจะจา กิริยาอาการต่างๆ จะมีสติอยู่เป็นปกติ ทำอะไรจะระลึกรู้อยู่ตลอดว่าอะไรควร-ไม่ควร ตลอดเวลาที่ตื่น ตั้งแต่ตื่นนอนจนนอนหลับ.... ทำให้เราระลึกรู้ออกจากวิปัสสนูกิเลสได้ ถึงรู้ว่าตัวเองเป็นปุถุชนไม่ได้เป็นอะไรเลย
    ท่านทั้งหลาย เราเดินหลงทางเพราะยึดมั่นว่าสิ่งนั้นจริง ทางนั้นถูก เพราะได้ความสงบจากอำนาจสมาธิและองค์ฌาณมามากแล้วนะ ถูกมารมันหลอกมาบ่อยครั้งแล้ว ผ่านมาเยอะแล้วกับการโดนหลอก ว่าเราบรรลุแล้ว เราเข้าใจแล้ว มันมีแต่คำว่าเรา เรา เรา อยู่ตลอดมา... เราปรารถนาดีไม่อยากให้พวกท่านต้องเป็นแบบเรา และปกติเราจะอยู่ของเราเงียบๆ ไม่ชอบพูดหรืออธิบายอะไรยาวๆ แบบนี้ ยกเว้นกับหมู่คณะที่มานั่งสนทนาธรรมตามกาล
    ในภายหลังเราได้ครูบาอาจารย์ที่ท่านไม่เปิดตัว ท่านอยู่ของท่านเงียบๆ ในป่า ชี้ทางการเดินวิปัสสนาให้ จนมีอยู่วันนึงคือวันที่ 24 พ.ย.2551 หมดสงสัยในธรรม ไม่สงสัยว่าพระพุทธเจ้าพบอะไร สอนอะไร จะต้องทำอย่างไร และยินดีปฏิบัติต่อพากเพียรเพื่อไปให้ถึงจุดหมายไวๆ พระองค์นั้นท่านก็บอกให้เร่งพิจารณาเลย ถูกทางแล้ว....อย่างที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ กัลยาณมิตรเป็นทุกอย่างของพรหมจรรย์ ถ้าได้ผู้รู้จริงชี้ให้ ไม่ต้องรอถึง 7 วัน 7 เดือน 7 ปี หรอก ทุกคนได้ฝึกสมาธิมาตั้งแต่อ่านหนังสือตัวแรกกันแล้ว ...มันอยู่ที่ท่านทั้งหลายจะพิจารณายอมรับรึปล่าว ยอมรับความจริง ไม่วิ่งหนี ไม่วิ่งหา ตั้งใจเดินวิปัสสนา มันก็หมดลงตรงนั้น...ตรงที่มันไม่มีอะไรให้ยึดมั่นนั้นแหละ
    ส่วนที่ผมได้พูดต่อหน้าพระสิงโตในวันนั้นว่าผมไม่มีอะไรสงสัย คือผมไม่สงสัยในทางที่ผมจะต้องไปแล้ว ผมไม่สงสัยมานานแล้ว ....พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านย่อมรู้อริยสัจ ไม่สงสัยในอริยสัจ ครูบาอาจารย์เวลาท่านถาม-ตอบ กัน ท่านก็อธิบายลงสู่อริยมรรค - อริยสัจ เพราะอริยสัจคือสัจจะของพระอริยะ มันเป็นความจริงที่พระอริยเจ้าทั้งหลายต้องอธิบายได้ทุกองค์ ตั้งแต่ในเริ่มต้น ในท่ามกลาง และในที่สุด มองแต่ภายนอก หรือ มองด้วยอภิญญาตาทิพย์บางทีมันไม่แน่ใจกันเพราะจิตมันเป็นปัจจัตตัง แต่ถ้ารู้ภูมิธรรมจากการได้สนทนากันอย่างบัณฑิตผู้รู้ผู้ปฏิบัติมาจริงแล้ว ...แน่นอน ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะคิดปรามาสกันแน่นอน
    หมู่คณะของเราทุกคนที่ไปในวันนั้น ยอมนั่งสมาธิตามที่ท่านบอกไม่ใช่เพราะทำตามที่ท่านสั่ง แต่ทุกท่านมาคุยกันในรถ ตรงกันว่า... นั่งแผ่เมตตาให้พระสิงโตต่างหาก
    ผมฝากพวกท่านไว้ ... ทางใดทำเพื่อสละออก ทางนั้นแหละเป็นทางที่ถูก ....
    และขอโมทนาสาธุการกับพระสิงโตที่เข้ามาทดสอบใจเรา จะว่าไปศัตรูก็คือมิตรแท้ แม้เราเองจะไม่ถือว่าเรา-ว่าเขา ว่าตัวตน สัตว์ บุคคล ก็ตาม....




    </TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2>palmmato

    </TD><TD class=orange vAlign=top align=right>2011-04-23 23:11:49</TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2></TD><TD class=orange vAlign=top align=right></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD bgColor=#cccccc height=5 colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3>

    ขอตั้งสัจจะวาจาว่าจะจบลงแต่เพียงเท่านี้อีกครั้ง ครั้งนี้จะไม่มายุ่งกับพวกท่านอีกจริงๆ ขอให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านเจริญด้วยสัจธรรม เจริญด้วยอริยมรรค เจริญด้วยอริยสัจ อันมีไตรสิกขาทั้งสามประการเป็นตัวนำพาไปตามทางที่ถูกที่ควร .....ธรรมทั้งหลายถ้าเป็นทุกข์เพราะความยึดมั่น ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาธรรมเหล่านั้นให้สิ้นไป โดยเร็ววัน ... เราขอโมทนาสาธุการ


    </TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2>palmmato

    </TD><TD class=orange vAlign=top align=right>2011-04-24 00:10:12</TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2></TD><TD class=orange vAlign=top align=right></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD bgColor=#cccccc height=5 colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3>

    (อาตมาและคณะทั้งลูกศิษย์ญาติโยมได้ตั้งจิตอธิฐานไว้แล้ว หากมีบุญวาสนาขอให้ได้พบเจอฆราวาสพระขาวด้วยเถิด อยากเป็นศิษย์ฝึกธุดงค์ปฏิบัติพระกัมมัฏฐานกับท่านอาจารย์ขาวมาก) เนื่องจากได้ฟังองค์หลวงปู่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังรู้สึกประทับใจน่าเลื่อมใสมาก หาได้ยากมากจริงๆที่จะมีฆราวาสสามารถปฏิบัติได้ อาตมาเป็นพระบวชแท้ๆ ศึกษาแต่ในปริยัติอยู่ปธ.๔ ยังละอายใจตัวเองเลย โชคดีที่ได้รู้จักองค์หลวงปู่ครูบาอาจารย์พระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่นและหลวงตามหาบัว ณ วัดป่าแห่งหนึ่งจ.สกลนคร และพระอาจารย์องค์หลวงปู่ จ.ศรีษะเกษ (พระอาจารย์องค์หลวงปู่รูปนี้จริงๆยังหนุ่มเลย แต่ลูกศิษย์มักเรียกท่านว่าหลวงปู่ อาตมาพอทราบจากหลวงปู่ครูบาอาจารย์ด้วยว่าท่านอาจารย์ขาว เป็นศิษย์ของพระอาจารย์หลวงปู่ จ.ศรีษะเกษ เหมือนกัน) อาตมาเลยทิ้งตำราหันหน้ามาปฏิบัติอย่างเดียว ตั้งใจออกพรรษาหน้านี้จะชวนพระที่วัดปลีกวิเวกออกธุดงค์ทางป่าเขาภาคเหนือ เผื่อได้เจอท่านฆราวาสพระขาวซึ่งเป็นศิษย์โดยตรงจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เพื่อเป็นการให้เกียรติสมฐานะท่านฆราวาสพระขาว ต่อนี้ไปอาตมาขอเรียกท่านพระขาวว่า"ครูบาอาจารย์ขาว" องค์หลวงปู่ครูบาอาจารย์ท่านได้แนะนำให้ทราบเบื้องต้นว่า “ท่านอาจารย์ขาว จะมาธุดงค์พักบำเพ็ญภาวนาในป่าใหญ่แถบภาคเหนือประมาณออกพรรษาหน้า ท่านเดินธุดงค์ลำพังแต่ในป่าลึก นุ่งขาวห่มขาวแบกกลดสะพายย้าม หลวงปู่เล่าว่า ท่านอาจารย์ขาวนี่แม้เสือ ช้าง งู สัตว์ป่ายังไม่กล้าทำอันตรายท่าน เว้นแต่วิบากกรรมท่านเคยถูกงูพิษฉกกลางป่าลึก แต่พิษงูไม่สามารถทำอันตรายถึงชีวิตท่านอาจารย์ขาวได้ กลับมีเทวดามาช่วยเหลือ ยิ่งเรื่องอาหารการกินก็พิศดารมักมีเทวดามาอนุเคราะห์ท่านเสมอๆ ชุดของท่านจะมีแถบสีเหลืองตามเสื้อ มักไม่ค่อยพูดสอนใคร ชอบความเงียบสงัด
    อาตมาจึงได้งง ทำไมหนอเจ้าอาวาสสำนักนี้จึงได้กล้าปรามาสท่าน หนำซ้ำยังขับห้ามไม่อนุญาตให้ท่านพำนัก น่าสังเวสใจยิ่งนัก หากไม่รู้ว่าท่านเป็นพระอริยเจ้า ก็น่าจะคิดว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมเหมือนกันแม้จะนุ่งห่มขาวก็ตามที ก็ไม่น่าจะปรามาสกันอะไรง่ายๆ แม้แต่ที่พักอาศัยน่าจะสงเคราะห์ช่วยเหลือท่าน อาตมาจึงรู้สึกเสียดายโอกาสแทน หากท่านใดได้พบท่านอาจารย์ขาว ถ้าเป็นอาตมาได้พบท่านจะทำตามเจตนาทุกอย่างที่ท่านต้องการ เรียกว่าขออุปฐากท่านเลย​


    </TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2>aran

    </TD><TD class=orange vAlign=top align=right>2011-04-24 03:33:02</TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2></TD><TD class=orange vAlign=top align=right></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD bgColor=#cccccc height=5 colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3>



    </TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2>anutta

    </TD><TD class=orange vAlign=top align=right>2011-04-24 20:43:47</TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD class=orange colSpan=2></TD><TD class=orange vAlign=top align=right></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD bgColor=#cccccc height=5 colSpan=3></TD><TD align=center></TD></TR><TR><TD></TD><TD colSpan=3>

    ไขข้อข้องใจค่ะ [​IMG]
    กราบ นมัสการพระคุณเจ้า aran
    ดิฉันเคยปฏิบัติธรรมที่สำนักสงฆ์สติปัฏฐานธรรมบ่อยครั้ง และเคยพักปฏิบัติธรรมทั้งได้ร่วมทำบุญหลายอย่าง ซื้อที่ดิน ถวายใส่บาตรพระสำนักสงฆ์สติปัฏฐานธรรมทุกวันตอนเช้า ทั้งรู้จักพระและฆราวาสในสำนักสงฆ์ มีหลวงพ่อสิงห์โตเป็นเจ้าอาวาส ครูบาแจ็ค ครูบาก็อป ครูบาบอย ครูบาบ๊วย เณร และพี่น้อย พี่ทิพย์ พี่หนู อีกหลายท่านหลายคน เหตุการณ์ที่พระคุณเจ้าแสดงมาในกระทู้ เรื่องหลวงพ่อสิงห์โตปรามาสพระอริยเจ้าซึ่งเป็นฆราวาสนุ่งห่มขาวนั้น ไม่ทราบจะใช่ฆราวาสคนเดียวกันที่ดิฉันเคยสนทนาด้วยหรือเปล่า เพื่อเป็นการไขข้อข้องใจค่ะ ท่านพระขาวหรือท่านอาจารย์ขาว ขอเรียกท่านอาจารย์ขาว หลายเดือนแล้วค่ะ น่าจะประมาณปลายปีนี้เอง เคยมีฆราวาสนุ่งห่มขาวชุดแถบสีเหลืองกรัก สะพายกลดย่ามบริขารอย่างที่พระคุณเจ้าระบุ เห็นว่ารู้จักกับครูบาบอย และครูบาบอยเล่าให้ฟังว่า ท่านพึ่งธุดงค์ออกมาจากป่าจะไปทำธุระที่ภาคใต้ ลักษณะจริยาของท่านอาจารย์ขาวนิ่งเงียบไม่ค่อยสนทนากับใคร อายุประมาณ28-30 ตอนนั้นเห็นท่านอาจารย์ขาวปักกลดพักอยู่ใต้ร่มไม้ใกล้ที่ขุดดินติดกับผนังกำแพงที่กำลังสร้าง ช่วงนั้นดิฉันก็อยู่ด้วยและเคยแวะไปสนทนากับท่านที่กลดมีครูบาฝันอยู่ร่วมด้วย แต่ท่านอาจารย์ขาวไม่พูดอะไรมาก ถามเพียงว่ามาทำอะไร ท่านจะเงียบสำรวมมาก ไม่ถือตัวแต่ถ่อมตน จริยาเรียบร้อย บางครั้งธรรมของท่านที่แสดงออกมาพิศดารอัศจรรย์ใจมาก เคยถามคนรู้จักกันว่าพระขาวไม่มากินข้าวเช้าเหรอ เพราะไม่ค่อยเห็นท่านมากินข้าวเลย แต่ตอนเช้าท่านจะออกมาเฉพาะถือย่ามไปบิณฑบาตรกับครูบาบอยเป็นประจำทุกเช้า พอเสร็จท่านก็กลับกลดนั่งภาวนา พอถามท่านอาจารย์ขาว ท่านมักบอกว่ากินแล้วทุกครั้ง ดิฉันคิดว่าคงมีใครเอามาให้ท่านกิน เคยเดินไปหาท่านบางครั้งเห็นท่านนั่งสมาธิอยู่ในกลดเป็นชั่วโมงไม่ขยับเลยตัวตรงนิ่งสงบมากนาน3-4ชั่วโมง และเคยปรากฏความอัศจรรย์เมื่อเอาน้ำส้มไปให้ท่าน เห็นท่านนั่งสมาธิที่กลด พอดิฉันเดินขึ้นเนินดินลงไม่เห็นท่าน เลยวกกลับ พอหันมาดูที่กลดก็ยังเห็นท่านนั่ง
    สมาธิอยู่ที่เดิม เป็นปรากฏการณ์แบบเดิมถึง2รอบ แปลกมากสุดท้ายตัดสินใจเดินไปหาท่านที่กลด ท่านก็อยู่ที่กลด พอท่านเห็นดิฉัน ท่านก็ยิ้มให้ เลยบอกท่านว่า เมื่อตะกี้มา2รอบไม่เห็น คิดว่าไม่อยู่ เรียกว่าถ้ามาไม่เห็น ถ้ากลับเห็น ท่านว่าไม่มีอะไรหรอกแล้วก็ยิ้มๆ พอดิฉันให้น้ำส้มท่านก็กลับ ตกกลางคืนนอนฝันมีแสงสว่างจ้ามากพุ่งจากฟ้ามาที่ตัวดิฉัน แสงนั้นสว่างมากคลุมตัวดิฉันไว้ สักพักได้ยินเสียงสวดมนต์ไพเราะชัดเจนมาก เป็นบทแผ่เมตตาที่ดิฉันไม่เคยได้ยินจากที่ใหนเลย ไพเราะมากฟังแล้วเกิดความรู้สึกสดชื่น มีความสุขปีติมาก
    เมื่อใจเป็นสุขมากอย่างบอกไม่ถูก ปรากฏเห็นภาพท่านอาจารย์ขาวนั่งสมาธิเหมือนตอนที่ดิฉันเอาน้ำส้มไปให้เมื่อช่วงบ่ายๆเย็นๆ แต่ท่านไม่ได้นุ่งห่มขาว ภาพที่เห็นท่านนุ่งห่มจีวรแบบพระ สีจีวรสุกปรั่งสว่างไสว เกิดเลื่อมใสเคารพศรัทธาท่านขึ้นมาทันที จนตื่นลืมตาขึ้น ใจก็ยังเป็นสุขมาก เช้าจึงเอาอาหารน้ำไปให้ท่านอาจารย์ขาวที่กลด หลังจากที่ท่านกลับจากบิณฑบาตรกับครูบาบอย
    ท่านฉันแบบพระป่าธุดงค์ คือฉันในบาตร อย่างน่าเลื่อมใสศรัทธามาก แล้วท่านเล่าว่า "โดยปกติท่านไม่ค่อยได้กินข้าวของมนุษย์ แม้แต่ท่านบิณฑบาตรก็ไม่มีมนุษย์ใส่ให้กิน เพราะไม่ใช่พระห่มเหลือง ใครเขาจะมาใส่บาตร ก็อดกินแต่ไม่เคยอดตาย" ดิฉันค่อยๆถามท่านเรื่อย ว่าท่านอยู่ธุดงค์ในป่ายังไง อยู่ได้ยังไงทั้งๆที่ไม่ได้บวชน่าจะลำบาก ท่านเล่าได้แปลกฟังสนุกอัศจรรย์ ท่านอยู่พักสำนักสงฆ์สติปัฏฐานธรรมประมาณ 7-8วัน ท่านก็เก็บสัมภาระกลับ โดยนั่งรถไปกับครูบาบอยและมีพี่หนูไปส่ง ตอนนี้ดิฉันไม่รู้ท่านอาจารย์ขาวไปอยู่ที่ใหน
    ในส่วนเรื่องหลวงพ่อสิงห์โตท่านไปปรามาสว่าตำหนิต่างๆนาๆนั้นและห้ามไม่อนุญาตให้ท่านอาจารย์ขาวเข้าพักในสำนักสงฆ์สติปัฏฐานธรรมนั้นอีก เท่าที่สืบดูเป็นความจริงค่ะ
    หากท่านอาจารย์ขาวเป็นคนๆเดียวกันที่พระคุณเจ้ากล่าวถึง รู้สึกสงสารท่านอาจารย์ขาวมาก เพราะเท่าที่ดิฉันสนทนากับท่าน ท่านไม่เคยกล่าวร้าย เพ่งโทษใครเลย เมื่อมาพิจารณาดูมีแต่หลวงพ่อสิงห์โตว่าร้ายเพ่งโทษท่าน แต่ตอนนั้นดิฉันไม่รู้อะไร และท่านอาจารย์ขาวเฉยเงียบอย่างเดียว แล้วท่านก็ไป เมื่อมารู้ทีหลังว่าเกิดเหตุแบบนี้ก็หมดศรัทธาหลวงพ่อสิงห์โตละค่ะ
    ตอนนี้ครอบครัวและเพื่อนหมู่คณะดิฉันก็ไม่เคยไปทำบุญไปร่วมปฏิบัติธรรมที่สำนักสงฆ์สติปัฏฐานธรรมอีกเลย แม้แต่ใส่บาตรก็ไม่ใส่แล้ว พากันไปวัดอื่นแทน อาทิ วัดอัมพวันหลวงพ่อจรัญ
    หากดิฉันมีโอกาสได้พบท่านอาจารย์ขาวอีก ก็จะขอเป็นศิษย์ท่านด้วยคนและขออุปฐากท่านด้วยเจ้าค่ะ พระคุณเจ้าค่ะหลวงปู่พอจะบอกได้หรือไม่ว่าฆราวาสที่ดิฉันพูดถึงนี้จะใช่คนๆเดียวกันหรือเปล่า จะได้ไขข้อข้องใจด้วยค่ะ เพื่อความมั่นใจให้กับตัวเอง เพราะส่วนตัวลึกๆและหมู่คณะเวลานี้ รู้สึกเลื่อมใสเคารพศรัทธาฆราวาสพระขาวท่านนี้อยู่แล้วเจ้าค่ะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2011
  17. vbmy'9blbo

    vbmy'9blbo สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ไก่เห็นตีนงู

    aran อรัญ = ส.ว.
    pat = ส.ว.
    ส.ว. = ฆราวาสขาว

    หลวงปู่องค์นั้นที่ท่านกล่าวอ้างแท้ที่จริง คือ อัตตา ที่ท่านสร้างขึ้นมา แม้กระทั้งพระคุณเจ้าอรัญ หรือ pat อย่าดึงหลวงปู่เณรคำ ท่านมาเกี่ยวข้องกับการกระทำอันเกินขอบเขตของท่านเลยครับ กระผมทราบดีว่าท่านพยายามกล่าวหา ใส่ร้าย โจมตี หลวงพ่อสิงห์โต ตลอดเวลา คนที่ได้ใกล้ชิดและสัมผัสกับท่านขาว ทราบดี ขอความกรุณาหยุดการกระทำอันเกินเลยของท่านที่เรียกตัวเองว่าผู้ปฎิบัติเสียเถิด ผมเคยเป็นคนหนึ่งที่เลื่อมใสศรัทธาในการปฎิบัติของท่าน แต่นี้มันมากเกินกว่าจะรับได้ มโนมยิทธิ ถ้าใช้ในทางที่ผิดก็จะเป็นพิษกับตัวท่านเอง

    ป.ล. ผูกพันอะไรกับชื่อ aran (อรัญ) หรือปล่าวครับ อ๋อ หรือว่า ร.ร. เก่า
    แหมคุณ
     
  18. tewiuoop

    tewiuoop สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก วัดดีๆก็มีเยอะ

    เคยไปกับเพื่อนเหมือนกัน นั่งฟังเฉยๆก็โดนเดามามั่วๆไปหลายรอบ ไม่ไปอีกเลย วัดป่าที่อื่นดีๆเป็นศิษย์ของหลวงตามหาบัวจริงๆก็มีอยู่ ก็น่าจะไปวัดป่าที่อื่นดู ยังไงก็พิจารณากันดีๆ สมัยนี้ไม่ค่อยไหวกันแล้ว

    :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...