วิธีห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศล

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย sss12, 30 มีนาคม 2011.

  1. sss12

    sss12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +1,081
    ธรรมชาติของจิต ไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบนึกคิดไปต่างๆ นานา เช่น นึกคิดไปในทางกามบ้าง นึกคิดไปในทางอาฆาตพยาบาทบ้าง การนึกคิดในทางที่ไม่ดีเช่นนี้เรียกว่า อกุศลวิตก การห้ามจิตไม่ให้นึกคิดในทางอกุศลนั้น ทำได้ยาก บุคคลส่วนมากไม่ต้องการคิดในทางอกุศล แต่มักจะอดคิดไม่ได้ คิดจนนอนไม่หลับหรือเป็นโรคประสาทก็มี ตรงกันข้าม เมื่อต้องการคิดเรื่องที่เป็นบุญเป็นกุศล มักจะคิดในทางกุศลไม่ได้นาน การห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศลจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ในที่นี้จะได้กล่าวถึงวิธีห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศล 5 วิธีด้วยกัน

    (1) เมื่อใส่ใจในอารมณ์ใดอยู่ อกุศลวิตกเกิดขึ้น ก็ให้ใส่ใจอารมณ์อื่นที่เป็นกุศลและเป็นคู่ปรับกัน เช่น
    - เมื่อนึกคิดไปในทางราคะ ก็ให้หันมาเจริญอสุภสัญญา
    พิจารณาว่า ร่างกายนี้เป็นของเน่าเปื่อยไม่สะอาด มีของโสโครกไหลออกอยู่เนืองๆ จะหาสิ่งที่เป็นแก่นสาร หรือสิ่งประเสริฐในกายนี้ไม่ได้เลย เมื่อมาใส่ใจอารมณ์อื่นที่เป็นกุศล คือ อสุภสัญญา ย่อมละราคะนี้ได้

    - ถ้าโลภอยากได้ข้าวของเงินทองต่างๆ ก็ให้พิจารณาว่าทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเป็นของกลางสำหรับแผ่นดิน ไม่มีใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง เป็นเพียงของยืมมาใช้ชั่วคราว ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ต้องทิ้งไว้ในโลกให้คนอื่นใช้ต่อไป เมื่อมาใส่ใจเรื่องอื่นที่เป็นกุศล คือ ความไม่มีเจ้าของและเป็นของชั่วคราว ย่อมละความโลภในทรัพย์สมบัติได้

    - ถ้านึกคิดไปในทางเบียดเบียนด้วยอำนาจโทสะ ก็พึงเจริญเมตตาด้วยการระลึกถึงพุทธพจน์ ที่เป็นไปเพื่อคลายความอาฆาต เช่น พุทธพจน์ในกกจูปมสูตร (12/272) ที่ว่า

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากจะมีพวกโจรผู้มีความประพฤติต่ำช้าเอาเลื่อยที่มีที่จับทั้งสองข้าง เลื่อยอวัยวะใหญ่น้อยของพวกเธอ แม้ในเหตุนั้น ภิกษุมีใจคิดร้ายต่อโจรเหล่านั้น ภิกษุนั้นไม่ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสอนของเรา เพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้นั้น ภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาลามก เราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราจักมีจิตเมตตาไม่มีโทสะภายใน เราจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่ง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้น เมื่อมาใส่ใจอารมณ์อื่นอันเป็นกุศล คือ เจริญเมตตา ย่อมละโทสะได้ เหมือนช่างไม้ผู้ฉลาด ใช้ลิ่มอันเล็กตอก โยก ถอน ลิ่มอันใหญ่ออก ฉะนั้น


    (2) เมื่อใส่ใจอารมณ์อื่นอันเป็นกุศล อกุศลวิตกยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ก็ควรพิจารณาโทษของอกุศลวิตกว่า ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่นบ้าง ทำให้ปัญญาดับ ก่อให้เกิดความคับแค้น ให้ผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อน ไม่เป็นไปเพื่อพระนิพพาน เมื่อพิจารณาโทษอยู่อย่างนี้ ย่อมละอกุศลวิตกนั้นได้ เหมือนชายหนุ่มหญิงสาวรู้ว่า มีซากศพซึ่งเป็นของปฏิกูลน่ารังเกียจผูกอยู่ที่คอ ย่อมรีบทิ้งซากศพนั้นโดยเร็ว

    (3) เมื่อพิจารณาโทษของอกุศลวิตกนั้นอยู่ อกุศลวิตกยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ก็อย่าใส่ใจ อย่านึกถึงอกุศลวิตกนั้น เมื่อไม่นึกไม่ใส่ใจก็ย่อมละอกุศลวิตกนั้นได้ เหมือนบุรุษผู้มีจักษุ ไม่ต้องการเห็นรูปที่ผ่านมา เขาพึงหลับตาเสีย หรือเหลียวไปทางอื่นเสีย

    -- พระโบราณาจารย์ก็เคยใช้วิธีนี้ แก้ความกระวนกระวายของติสสสามเณรที่ต้องการลาสิกขา--

    เรื่องมีอยู่ว่า ติสสสามเณร คิดจะลาสิกขา จึงแจ้งให้พระอุปัชฌาย์ทราบ พระเถระจึงหาวิธีเบนความสนใจของสามเณร โดยกล่าวว่า ในวิหารนี้หาน้ำได้ยาก เธอจงพาเราไปที่จิตตลดาบรรพต สามเณรก็กระทำตาม พระเถระกล่าวกับสามเณรอีกว่า เธอจงสร้างที่อยู่ใหม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยเฉพาะบุคคลหนึ่ง สามเณรก็รับคำ แล้วสามเณรก็เริ่มสิ่งทั้งสามพร้อมๆ กัน คือเรียนคัมภีร์ สังยุตตนิกายตั้งแต่ต้น การชำระพื้นที่ที่เงื้อมเขา และการบริกรรมเตโชกสิณจนถึงอัปปนา เมื่อเรียนสังยุตตนิกายจบลงแล้ว ก็เริ่มทำอยู่ในถ้ำ

    เมื่อทำกิจทั้งปวงเสร็จแล้ว ก็แจ้งให้พระอุปัชฌาย์ทราบ พระอุปัชฌาย์กล่าวว่า สามเณร ที่อยู่เฉพาะบุคคล ที่เธอทำเสร็จนั้นทำได้ยาก เธอนั่นแหละจงอยู่ สามเณรนั้น เมื่ออยู่ในถ้ำตลอดราตรี ได้อุตุสัปปายะ จึงยังวิปัสสนาให้เจริญ แล้วบรรลุพระอรหัต ปรินิพพานในถ้ำนั่นแหละ ชนทั้งหลายจึงเอาธาตุของสามเณรก่อสร้างพระเจดีย์ไว้ นี่คือเรื่องของติสสสามเณรที่ถูกพระอุปัชฌาย์เบนความสนใจ ให้ไปกระทำสิ่งอื่นที่เป็นกุศล จนลืมความคิดที่จะลาสิกขา เมื่อไม่ใส่ใจ ไม่นึกถึง ความคิดที่จะลาสิกขาก็ดับไปเอง


    (4) เมื่อไม่นึกถึงไม่ใส่ใจในอกุศลวิตกนั้น อกุศลวิตกก็ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ก็ควรใส่ใจถึงเหตุ ของอกุศลวิตกนั้นว่า อกุศลวิตกนั้นมีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นปัจจัย เพราะเหตุไรจึงเกิดขึ้น เมื่อค้นพบเหตุปัจจัยอันเป็นมูลรากแล้ว อกุศลวิตกนั้นย่อมจะเบาบางลง แล้วถึงความดับไปโดยประการทั้งปวง

    (5) เมื่อใส่ใจถึงเหตุแห่งอกุศลวิตกนั้นอยู่ อกุศลวิตกยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ก็พึงกัดฟันด้วยฟัน ดุนเพดานด้วยลิ้น ข่ม บีบคั้น บังคับจิตด้วยจิต เมื่อข่มจิตอย่างนี้ ย่อมละอกุศลวิตกนั้นเสียได ้เหมือนบุรุษผู้มีกำลังมากจับบุรุษผู้มีกำลังน้อยไว้ได้ แล้วบีบกด เค้นที่ศรีษะ คอหรือก้านคอไว้ให้แน่น ทำบุรุษนั้นให้เร่าร้อน ให้ลำบาก ให้สยบ ฉะนั้น (วิตักกสัณฐานสูตร 12/256)


    **วิธีควบคุมอกุศลวิตกทั้ง 5 วิธีนี้ อาจย่อให้สั้น เพื่อให้จำได้ง่ายดังนี้คือ**

    1. เปลี่ยนนิมิต หันมาคิดเรื่องที่เป็นกุศลและเป็นคู่ปรับกัน
    2. พิจารณาโทษา พิจารณาโทษของความคิดฝ่ายชั่ว
    3. อย่าไปสน อย่าสนใจความคิดฝ่ายชั่ว หางานอื่นทำ
    4. ค้นเหตุที่คิด หาสาเหตุของความคิดฝ่ายชั่ว
    5. ข่มจิต เอาฟันกัดฟัน เอาลิ้นกดเพดาน เพื่อข่มจิต


    ผู้ที่ฝึกหัดตามวิธีทั้ง 5 นี้จนชำนาญ ย่อมควบคุมความคิดของตนได้ เมื่อต้องการความคิดเรื่องใดก็คิดเรื่องนั้นได้ ไม่ต้องการคิดเรื่องใดก็เลิกคิดเรื่องนั้นได้ การควบคุมความคิดได้ดังใจนึกเช่นนี้ เป็นประโยชน์อย่างมากทั้งทางโลกและทางธรรม


    From: วิธีห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศล : ศาลาธรรม
     
  2. peerayuth

    peerayuth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    627
    ค่าพลัง:
    +1,004
    อนุโมทนาครับ เป็นธรระที่ดีมากๆ ตรงประเด็นมากๆ ขอขอบคุณเป็ยอย่างยิ่งครับที่นำมาแบ่งปัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2011
  3. chura

    chura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    688
    ค่าพลัง:
    +1,971
    ผมมีวิธีแก้ จิตคิดอกุศลอีกแบบนึงน๊ะ

    วิธีคือ เมื่อเกิดจิตคิดอกุศลก็แค่ให้รู้ทันจิตอกุศล แค่รู้แล้วก็วางๆๆๆๆๆ อย่าไปคิดกังวล..

    การที่จิตคิดอกุศลได้เอง จิตเค้าสอนว่าที่แท้จริงแล้วจิตเป็นอนัตตาเราบังคับเค้าไม่ได้
    จิตที่คิดอกุศล โดยที่เราพยายามฝืนก็แล้วห้ามก็แล้วแต่ไม่เป็นผล ก็ไม่ต้องกลัวบาป
    เพราะเราไม่ได้เจตนาที่จะคิด มันเป็นเพราะจิตเค้าคิดได้เอง ฉนั้นรู้แล้ววางอย่าไปสนใจ
    มันครับ ไม่เจตนาคิดอกุศลไม่บาปครับ ^^
     
  4. เพชรกร

    เพชรกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +1,254
    เอาเคล็ดลับพื้นๆสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ฝึกสตินะครับคือเวลาคิดไม่ดีเเล้วคุมไม่ได้ให้ กลั้นหายใจ ไปเลยครับเพราะเวลา กลั้นหายใจ ความคิดที่ไม่ตั้งใจจะไม่เกิดครับ ย้ำนะครับ ความคิดที่ไม่ตั้งใจ จะไม่เกิด เเต่ถ้า ความคิดที่ตั้งใจ มันสามารถเกิดได้เเต่น้อยเเละจิตจะไม่ยึดในความคิดนั้นเเละไม่ทุกข์ครับ ลองดูก็ได้ใครที่อ่านอยู่ลอง กลั้นหายใจ ความคิดฟุ้งซ่านที่ไม่ได้ตั้งใจจะไม่สามารถเกิดได้ครับ
    บอกเคล็ดลับเเล้วนะครับเดี๋ยวจะหาว่ามีดีไม่บอก ฮิฮิฮิ
     
  5. Jumpa

    Jumpa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +71
    จะนำไปใช้ ค่ะ

    ขอบคุณเจ้าของกระทู้ เจ้าค่ะ บุญรักษา
     
  6. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ""ท่าน ให้ใช้ อนุสสติ10เพื่อให้จิตเกาะ....

    ...
     
  7. amornvut

    amornvut Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +82
    ก็คิดที่เป็นกุศลๆบ่อยเข้าไว้ แม้สิ่งที่เกิดก็อย่าไปปรุงแต่งเพิ่มเติมมันนะครับ
    ทั้งกุศลและอกุศล แม้คิดดี ก็ไม่ฟุ้ง แม้คิดไม่ดีก็ไม่ฟุ้ง เอาสติเป็นตัวกำกับ
    สิ่งๆเล่านี้เกิดขึ้นเป็นธรรมดา เราต้อง ฝึก หัด เพียรพยายาม
    เดี๋ยวมัน ชิน คุ้น เคย กับมันเอง
    นึกคิดอย่างเดียวไม่ได้ อ่านหนังสืออย่างเดียวไม่ได้ มันไม่หาย แค่มันหลบใน


    คิดกุศล เพราะมัน ชิน คุ้น เคย กับมัน
    คิดอกุศล เพราะมัน ชิน คุ้น เคย กับมัน

    รัวๆๆพทุโธ ไปเลย(บริกรรมอะไรตามถนัดเถอะ)
    แบบ M 16 อย่าไปฝืนลมหายใจ ลมเข้าลมออกช่างมัน
    ภาวนารัวๆไปเลย ลองดู
     
  8. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    ติงภาวนาพุทโธค่ะ
    หากไม่ได้การก็ภาวนาถี่เข้าๆ
    หากยังไม่ได้การก็กลั้นหายใจ ได้ผลทั้นที
    (พระท่านบอกค่ะ)
     
  9. Namo1

    Namo1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2009
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +26
    อนุโมทนา สาธุ ค่ะ เ็ป็นวิธีการฝึกจิตที่ดี จะนำไปปฎิบัตินะค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...