ถ้าจะทำบุญให้เปรต จะต้องทำอย่างไรให้เขาได้รับ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย เด็กสร้างบ้าน, 5 มีนาคม 2011.

  1. เด็กสร้างบ้าน

    เด็กสร้างบ้าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,195
    ค่าพลัง:
    +538
    ถ้ามีญาติพี่นอ้ง หรือคนรู้จักตายไปกลายเป็นเปรต เราจะต้องทำบุญด้วยวิธีใด หรือด้วยอะไร เขาเหล่านั้นจึงจะได้รับบุญกุสลที่เราทำ และจะได้ไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น
     
  2. pim_jai

    pim_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +568
    สารพันปัญหาว่าด้วยเรื่องทาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    ผู้ถาม "ดิฉันเคยอ่านเจอในหนังสือที่หลวงพ่อเขียน บอกว่าการถวายสังฆทาน ควรมีพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร และอาหาร อันนี้จำเป็นจะต้องมีครบตามนี้ไหมคะ ?" <!--colorc--><!--/colorc-->

    <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->หลวงพ่อ "ความจริง เราไม่ทำถึงขนาดนี้ก็ได้ การถวายสังฆทานในที่บางแห่งใช้เครื่อง ๕ เครื่อง ๘ นี่เป็นการสร้างขึ้น เรามีข้าวเพียงช้อนหนึ่ง แกงเพียงช้อนหนึ่งน้ำเพียงช้อนหนึ่ง แล้วถวายไป บอกว่าเป็นสังฆทาน เพียงเท่านี้ก็ใช้ได้ แต่ว่าที่เขียนไว้ในหนังสือ ว่าควรทำแบบนี้เพราะว่าผีกี่ร้อยกี่พันรายก็ตาม มาขอกันแบบนี้เรื่อยคือขอเหมือนกัน ที่ฉันแนะนำเขา ก็ทำตามที่ผีเขาขอนะ เลยถามเขาว่า "ผลจะได้แก่พวกเอ็งเป็นยังไง ?"
    เขาบอกว่า

    ๑. ถวายพระพุทธรูปเป็นของสงฆ์ อานิสงส์ก็คือ ถ้าเป็นเทวดาจะมีรัศมีกายสว่างไสวมาก เพราะว่าเทวดาหรือพรหม เขาไม่ดูกันที่เครื่องแต่งตัว เขาดูแสงสว่างจากกาย
    ๒. ผ้าไตรจีวร หรือผ้าสักผืนหนึ่ง เขาจะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ เครื่องแต่งตัวทิพย์
    ๓. อาหารหรือของกิน จะทำให้มีร่างกายเป็นทิพย์"<!--colorc--><!--/colorc-->

    ที่มา

    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=3><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff height=65 colSpan=2>
    การอุทิศส่วนกุศล [​IMG]

    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top width=61>ผู้ถาม </TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top width=435>หลวงพ่อคะ ลูกทำสังฆทานให้สัมภเวสี ถ้ากลับไปแล้วจะ กรวดน้ำ ให้ได้ไหมคะ....?</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>หลวงพ่อ </TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>คือว่าการอุทิศส่วนกุศล ให้พระพุทธศาสนานี้ไม่มีน้ำ แต่ว่าที่พระเจ้าพิมพิสารทำเป็นองค์แรก เพราะว่า ศาสนาพราหมณ์ เขาถือว่า ถ้าจะให้อะไรกับใคร ให้คนนั้นแบมือแล้วเอาน้ำราดลงไป แล้วตอนที่พระเจ้าพิมพิสารทำ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ห้าม เพราะเป็นประเพณีนิยม
    เวลาที่พระเจ้าพิมพิสารอุทิศส่วนกุศลต้องใช้น้ำ เพราะว่าท่านเพิ่มพบพระพุทธเจ้า ประเพณีของพราหมณ์ยังชินอยู่ แต่ว่าใจท่านตั้งตรง เวลาอุทิศส่วนกุศลจริง ๆ ในพระพุทธศาสนาไม่ต้องใช้น้ำผีกับเปรตต้องรีบวิ่งกลับ เพราะไม่ได้กินแน่เพราะฉันเคยพบมาแล้ว แต่ไม่มีน้ำนะว่า"อิมินา" เพลินไปยังไม่ทันเลย

    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>ผู้ถาม</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>มีบางคนเขาบอกว่า "กรวดน้ำแบบแห้ง" ตายไปชาติหน้าจะแห้งแล้งเพราะไม่มีน้ำ โบราณพูดอย่างนี้จะจริงหรือเปล่าคะ...?</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>หลวงพ่อ</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>เขาพูดได้ยินหรือเปล่า คนที่พูดมาได้ยินหรือเปล่า...คนโบราณพูดอย่างนี้ คนโบราณพูดหรือเปล่า...ถ้าได้ยินแสดงว่าเขาพูดจริง แต่ก็ไม่ได้แห้งแล้งจริง การอุทิศส่วนกุศล พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ใช้น้ำ ฉันใช้น้ำวันเดียว วันบวช ว่าไม่ถูกเลย ต้องระวังน้ำหยดอีก ผีไม่ได้กินน้ำ ตั้งแต่วันนั้นเป็รต้นมาฉันไม่เคยใช้น้ำเลย ก็เห็นผีได้รับ แต่ชาติหน้าถ้าจะทำอย่างนั้น ถ้าฉันยังไม่ตายก็ไม่ได้เหมือนกัน แต่ไม่เป็นไรนะกินน้ำเกลือเผื่ออยู่แล้ว เผื่อชาติหน้าอด</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>ผู้ถาม</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>อ้อ....มอน่าล่ะ หลวงพ่อถึงให้น้ำเกลือบ่อยๆ</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>หลวงพ่อ</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>ใช่มีทั้งน้ำสะอาด น้ำเกลือ น้ำหวาน เผื่อไว้ตลอด
    รวมความว่าเวลาจะอุทิศส่วนกุศล ให้ใช้ภาษาไทยสั้นๆอย่างทำบุญสังฆทานเราก็ตั้งใจว่า
    "การบำเพ็ญกุศลในวันนี้ ผลนี้จะมีแก่ข้าพเจ้าเพียงใด ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่....(บอกชื่อ)..... ขอให้มาโมทนารับผลเช่นเดียวกับข้าพเจ้า"
    และตอนที่พระสงฆ์ให้พร นี้ก็ขอเจ้าภาพและทุกท่านที่บำเพ็ญกุศลแล้ว ตั้งจิตปรารถนาเอาตามประสงค์ สมมติว่าท่านทั้งหลายตั้งใจเพื่อ พระนิพพาน อันนี้ต้องเผื่อไว้ด้วยว่า หากสมมติว่าเราตายจากชาติ นี้แล้วยังไม่ถึงซึ่งพระนิพพานเพียงไร สมมติว่าเราตายถ้าหากไม่เผื่อไว้ละก็มันจะขลุกขลัก ฉะนั้นการอธิษฐานจิต คือ ตั้งอธิษฐาน เขาเรียกว่า อธิษฐานบารมี พระกรรมฐานก็ดี ถวายสังฆทานก็ดี อธิษฐานว่า
    "ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ แต่ทว่าถ้าหากข้าพเจ้า ยังไม่เข้าถึงพระนิพพานเพียงใดจะเกิดใหม่ไปในชาติใดก็ตาม ขอคำว่าไม่มีจงอย่างปรากฏแก่ข้าพเจ้า"
    ถ้าเราต้องการอะไรให้มันมีทุกอย่าง จะไม่รวยมากก็ช่าง เท่านี้ก็พอแล้ว"

    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>ผู้ถาม</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>เมื่อทำบุญแล้ว ถ้าจะอุทิศส่วนกุศลภายหลังจะได้ไหมคะ...........?</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>หลวงพ่อ</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปี ๆ บุญก็ยังมีอยู่ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญมันไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้ว เดี๋ยวเดียวมันหายไปไม่ใช่อย่างนั้นนะ</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>ผู้ถาม</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>แล้วถ้าเผื่อทำบุญแล้ว ไม่ได้อุทิศส่วนกุศลจะได้บุญเต็มที่ไหมคะ...?</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>หลวงพ่อ</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>ก็ได้เต็มที่อยู่แล้ว เราเป็นผู้ได้สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ การอุทิศส่วนกุศล นี่นะ ถ้าเราไม่ให้ เราก็กินคนเดียวใช่ไหม..... ทีนี้ถ้าเราให้เขาของเราก็ไม่หมดอีก ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม
    อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญน่ะจะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ท่านรับบาตรนะ ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า
    "สมมุติว่าโยมมีคบ แล้วก็มีไฟด้วย คนอื่นเขามีแต่คบ ไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่าง ก็มาขอต่อไฟที่คบของโยมแล้วคบทุกคนสว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของคุณโยมจะยุบไปไหม....?
    ท่านอนุรุทก็บอกว่า ไม่ยุบ แล้วท่านก็บอกว่า "การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน ให้เขา เขาโมทนา แต่บุญของเราเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์"
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>ผู้ถาม</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>การแผ่ส่วนบุญกุศลไปให้แก่บิดามารดา ท่านจะได้รับผลไหมคะ....?</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>หลวงพ่อ</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>การได้รับส่วนกุศลนี่ ถ้าหากท่านมีโอกาสโมทนาท่านก็ได้รับ ถ้าท่านไม่มีโอกาสโมทนาก็ไม่ ได้รับเหมือนเราเอาสิ่งของไปให้แต่ผู้รับเขาไม่รับ เขาจะได้ไหม..... ถ้าพวกเขาอยู่ในนรก ไฟไหม้ทั้งวัน ถูกสรรพวุธสับฟันทั้งวัน ถ้าเราเอาขนมไปให้กิน เขากินได้ไหม..?</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>ผู้ถาม</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>ไม่ได้ค่ะ</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>หลวงพ่อ</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>อยู่ในแดนเปรต ๑๑ จำพวกไม่ได้รับ แต่ถ้าเป็นพวกที่ ๑๒ คือปรัตทัตตูปชีวีเปรต พวกนี้มี โอกาสได้โมทนา</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>ผู้ถาม</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>แล้วผู้สร้างจะได้ไหมคะ...?</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>หลวงพ่อ</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>ไม่แน่ ถ้าสร้างดีก็ได้บุญ ถ้าสร้างไม่ดีก็ได้บาป</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>ผู้ถาม</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>เป็นไงคะ.......?</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>หลวงพ่อ</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>คือก่อนจะทำบุญ ก็กินเหล้ากันก่อน พอพระไปก็กินเหล้ากันแล้ว ถ้าหากมีเจตนาบริสุทธิ์ ไม่มี บาป มีต่บุญ ผู้สร้างได้ ๑๐๐% คือบุญนี่จะได้แก่ผู้สร้างก่อน แล้วผู้สร้างอุทิศส่วนกุศลให้ผู้อื่น ถ้าเขามีโอกาสโมทนาก็ได้รับ</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>ผู้ถาม</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>หลวงพ่อครับ คำว่า เจ้ากรรมนายเวร นี่หมายถึงใครบ้างครับ...?</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>หลวงพ่อ</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>เจ้ากรรมนายเวร นี้ตัวตนมันไม่มีหรอก มันเป็นเรื่องของกรรมที่เป็น อกุศลกรรม ถ้าบอกว่า เจ้ากรรมนายเวร ก็หมายถึงบาปที่เป็นอกุศลที่เราทำไว้ ตัวจริงที่เราเคยทำ เขาไม่มายุ่งกับเรา หรอก อย่างเราฆ่าปลาตาย ปลาเขาก็ไม่มายุ่งกับเรา แต่ว่ากฏของกรรมมันเล่นงานเรา ถ้าปลามานั่งจองเวรคอยลงโทษเรา แกก็ไม่ต้องไปเกิดละ
    คำว่า เจ้ากรรมนายเวร นี่นะถ้าพูดตามส่วนจะว่าไม่มีก็ไม่ได้ ถ้าหากเราปฏิบัติถึงขั้นสุกขวิปัสสโก เราจะบอกว่าไม่มีตัว เพราะไม่เคยเห็น แต่ว่าตั้งแต่เตวิชโช ขึ้นไปเขาเห็น ต้อง พูดตามขั้นนะ ถ้าเราว่ากันตามหนังสือก็คิดว่าจะไม่มี
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>ผู้ถาม</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>แล้วถ้าเราบอกอุทิศส่วนกุศล ให้แก่เจ้ากรรมนายเวร เขาจะได้รับไหมคะ....?</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>หลวงพ่อ</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>คือว่าอุทิศไปให้เขาจะได้รับหรือไม่ได้รับก็ตาม บุญที่เราทำเป็นผลให้เกิดความสุข ไอ้กรรมต่าง ๆ ที่เป็นอุกศลที่เราทำไปแล้วเราไปยั้งมันไม่ได้ แต่ทว่าถ้าเราทำกรรมดีมีกำลังเหนือ มันก็กวดไม่ทันเหมือกัน"
    สำหรับคำอุทิศส่วนกุศลที่ใช้อยู่เดี๋ยวนี้ก็ยาวเหมือนกัน แต่ยาวตามท่านบอก บทอุทิศส่วนกุศลท่อนแรก ให้แก่เจ้ากรรมนายเวร นั่นหลวงปู่โตมาบอกแล้วก็บทอุทิศส่วนกุศลอีก ๓ ท่อนพญายมราชมาบอก
    สำหรับตอนที่สองที่ให้เทวดาโมทนา ท่านบอกว่า "เวลาอุทิศส่วนกุศลน่ะ ขอบอกให้ผมเป็นพยานด้วย" ท่านบอกว่า "ลูกหลานของท่านก็คือลูกหลานของผมและมันก็ไม่แน่นักหรอก บางทีไปอยู่สำนักผมมันอาจจะลืมก็ได้เขาอาจจะนึกถึงบุญไม่ออก ถ้านึกถึงบุญไม่ออก ฉันก็จะได้บอกว่า เขาสั่งให้เป็นพยาน"
    "มันเป็นธรรมดา ถ้าทำทั้งบุญทั้งบาป บางทีกรรมบางอย่างมันปกปิดเวลาถามเรื่องบุญนี่มันนึกไม่ออกถ้านึกไม่ออกก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องปล่อยให้ตกนรก หากว่าถาม ๓
    เที่ยวนึกไม่ออก ผมจะได้ ประกาศว่า "นี่เขาเคยบอกฉันไว้เวลาทำบุญเขาบอกให้ฉันเป็นพยาน แล้วก็ประกาศกุศลนั้น ก็ได้ไปสวรรค์"

    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>ผู้ถาม</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>ทีนี้การอุทิศส่วนกุศลแก่บุคคลต่างๆ ที่ตายไปแล้ว จำเป็นไหมครับว่าต้องออกชื่อ รู้สึกว่ามีมากเหลือเกิน</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>หลวงพ่อ</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>ถ้านึกได้ก็ออกชื่อเขาก็ได้ ถ้าออกชื่อน่ะดีอยู่อย่าง ถ้ากรรมหนาอยู่นิด ถ้าออกชื่อเจาะจงเขาได้เลยนะ ถ้านึกไม่ออกก็ว่ารวมๆ "ญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี"เอายังงี้ดีกว่า ถ้าขืนไปไล่ชื่อน่ากลัวจะไม่จบ
    มันมีอยู่คราวหนึ่ง นานแล้ว ไปเทศน์กัน 3 องค์ บังเอิญที่ไปก็มีอารมณ์จิตคล้ายคลึงกัน เวลาเพลเขาก็ถวายอาหาร ก็มีพระอื่นๆด้วยรวมแล้ว 5 องค์
    ทีนี้ตาทายกเขาอุทิศส่วนกุศลในวั้นนั้น แกก็ออกชื่อคนตาย แล้วก็บรรดาญาติทั้งหลายที่ตายไปแล้ว บอกเท่านั้นแหละ พวกผีก็เข้ามาเป็นหมื่นล้อมรอบศาลาอยู่ ไอ้คนที่เป็นญาติรับโมทนาแล้งผิวพรรณดีขึ้น ไอ้พวกที่มิใช่ญาติก็เดินร้องไห้กลับ
    พอเขานิมนต์ขึ้นเทศน์ ตอนลงท้ายเขาถามกันถึงว่า การอุทิศส่วนกุศลทำยังไง องค์ที่มีปากร้ายอยู่สักหน่อย บอกว่า
    "ญาติโยมที่นำอุทฺศส่วนกุศล อย่าให้ใจแคบเกินไปนักซิ อย่าลืมว่าการทำบุญแต่ละคราวพวก ปรทัตตูปชีวีเปรตก็ดี พวกสัมภเวสีก็ดี จะมายืนล้อมรอบ อย่างสวดมนต์ "อยัญจะโข" น่ะ พวกบรรดาผีทั้งหลายทั่วบริเวณจะคอยโมทนา แต่ถ้าเราให้แต่ญาติ ญาติก็จะได้ แต่บุคคลอื่นไม่ใช่ญาติจะไม่ได้ ฉะนั้นก็ควรจะให้ต่อๆกันไปคือว่าให้ทั้งหมด "ทั้งญาติและไม่ใช่ญาติ"

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มา หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    http://www.danpranipparn.com/web/anser/anser34.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2011
  3. pim_jai

    pim_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +568
    การอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย



    "..การอุทิศส่วนกุศลในพระพุทธศาสนา ไม่ต้องใช้นํ้าการที่ พระเจ้าพิมพิสารเป็นองค์แรกที่อุทิศส่วนกุศลโดยใช้นํ้า ก็เพราะท่านเพิ่งพบพระพุทธเจ้า เนื่องจากศาสนาพราหมณ์เขาถือว่า ถ้าจะให้อะไรกับใคร ต้องให้คนนั้นแบมือแล้วเอานํ้าราดลงไป ท่านยังชินอยู่กับประเพณีของพราหมณ์ แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ห้าม เพราะใจท่านตั้งตรงเวลาอุทิศส่วนกุศล

    เรื่องการกรวดนํ้านี้ สมัยเมื่ออาตมาบวชได้วันที่สอง ขณะเจริญพระกรรมฐานได้มีผีตัวผอมก๋องเข้ามานั่งอยู่ข้างหน้า อาตมาก็สวด "อิมินา ปุญญกัมเมนะ อุปัชฌายา" หมายถึงอุปัชฌาย์ แต่อุปัชฌาย์ก็ยังไม่ตาย "คุณุตตรา อาจาริยู"ให้คู่สวดอีก คู่สวดก็ยังไม่ตาย ว่าเรื่อยไปยังไม่ทันจะจบเหลืออีกตั้งครึ่งบท เห็นเดินมา ๒ คนเอาโซ่คล้องคอลากผีที่นั่งอยู่ข้างหน้าไปเลย ผลปรากฏว่ายังไม่ได้ให้ผีเลย

    พอตอนเช้าไปบิณฑบาตกลับมาฉันข้าว พอฉันเสร็จล้างบาตรเช็ดเรียบร้อย ปกติฉันเสร็จหลวงพ่อปานท่านจะยถาฯแต่วันนี้ท่านไม่ยถาฯ ท่านนั่งเฉยมองหน้าถามว่า

    "ไงพ่อคุณ พ่ออิมินาคล่อง สวดอย่างนั้นผีจะได้กินเหรอ"

    ท่านให้แปลอิมินาแปลว่าอย่างไรบ้าง อุปัชฌาย์ก็ยังไม่ตาย คู่สวดญัตติคือท่านก็ยังไม่ตายมาให้ท่าน ผีที่อยู่ข้างหน้าทำไมไม่ให้

    ท่านก็บอกว่า"ทีหลังผีมาละก็ ผีมันอยู่นานไม่ได้ บางทีก็หลบหน้าเขามานิดหนึ่ง ถ้ามานั่งใกล้เรา ทุกขเวทนาอย่างเปรตนี่ ไฟไหม้ทั้งตัว หอกดาบฟัน เวลาที่เราเจริญพระกรรมฐานอยู่ บุญของเรานี่สามารถจะช่วยให้เขามีความสุขได้ เพราะถ้ามานั่งข้างหน้าใกล้ๆเรานี่ ไฟจะดับ หอกดาบจะหลุดไป แต่ว่าจะอยู่นานไม่ได้ ต้องพูดให้เร็วเพราะเขาจะต้องไปรับโทษเวลาอุทิศส่วนกุศลให้ว่าเป็นภาษาไทยชัดๆ และให้สั้นที่สุด"

    ให้บอกว่า "บุญใดที่ฉันบำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ผลบุญทั้งหมดนี้จะมีประโยชน์ ความสุขแก่ฉันเพียงใด ขอเธอจงโมทนาผลบุญนั้นและรับผลเช่นเดียวกับฉันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"วันหลังผีตัวใหม่มา ตัวก่อนที่ถูกลากคอไปมาไม่ได้แล้ว ผีตัวใหม่ผอมก๋องเอาทนายมาด้วย ยืนอยู่ข้างหลังนางฟ้าที่มีทรวดทรงสวย เป็นเทวดาใหญ่มากบอกว่า

    "ท่านนั่งอยู่นี่ไงล่ะ จะให้ท่านช่วยอะไรก็บอกท่านสิ"

    ผีผอมก๋องพูดไม่ออกเพราะกรรมมันปิดปากอาตมานึกขึ้นมาได้ ถ้าขืนให้อยู่นานเดี๋ยวโซ่คล้องคอลากไปอีก จึงอุทิศส่วนกุศลให้ตามที่หลวงพ่อปานสอน จึงบอกว่า

    "ตั้งใจโมทนาตาม ทีหลังมา ข้าไม่ให้พูดแล้วข้าให้เลย"

    พอว่าจบผีผอมก๋องก็ก้มลงกราบ กราบไปครั้งแรกลุกขึ้นมาก็ผอมตามเดิม กราบครั้งที่สองลุกขึ้นมาก็ผอมตามเดิม พอกราบครั้งที่สามลุกขึ้นมา คราวนี้ชฎาแพรวพราวเช้งวับไปเลย

    การได้รับส่วนกุศลนี้ ขึ้นอยู่กับท่านนั้นมีโอกาสโมทนา ท่านก็ได้รับ แต่ถ้าท่านนั้นไม่มีโอกาสโมทนาก็ไม่ได้รับเปรียบเหมือนเราเอาสิ่งของไปให้ แต่ผู้รับเขาไม่รับ เขาก็จะไม่ได้ของ ถ้าพวกเขาอยู่ในนรก ไฟไหม้ทั้งวัน ถูกสรรพาวุธสับฟันทั้งวัน ถ้าเราเอาขนมไปให้กิน เขาก็ไม่มีโอกาสจะได้กินขนม ปรทัตตูปชีวีเปรตเป็นเปรตระดับที่ ๑๒ แบ่งเป็น ๒ พวกคือ พวกที่มีกรรมบางอยู่ข้างหน้า เราอุทิศให้แผ่กระจายเขาโมทนาได้ แต่พวกที่มีกรรมหนาอยู่ข้างหลัง ให้แผ่กระจายนี่เขาโมทนาไม่ได้ ถึงแม้จะมีสิทธิ์โมทนาก็ตาม เขาก็ไม่มีโอกาส พวกปรทัตตูปชีวีเปรตมายืนอยู่นานไม่ได้ ส่วนสัมภเวสีก็มีความหิวแต่อยู่นานได้ จึงต้องให้เจาะจงเฉพาะตรง ถ้าไม่ให้ตรงเฉพาะก็รับไม่ได้เพราะกรรมหนัก ฉะนั้นการอุทิศส่วนกุศล เวลาจะให้ ให้ว่าเป็นภาษาไทยให้เรารู้เรื่องและให้สั้นที่สุด

    การอุทิศส่วนกุศลแก่บุคคลต่างๆ ที่ตายไปแล้ว ถ้านึกได้ออกชื่อเขาก็ดี เพราะถ้ากรรมหนาอยู่นิด ถ้าออกชื่อเจาะจงเขาก็ได้รับเลย ถ้านึกไม่ออกก็ว่ารวมๆ "ญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี"ถ้าขืนไปนั่งไล่ชื่อน่ากลัวจะไม่หมด มีอยู่คราวหนึ่งนานมาแล้วไปเทศน์ด้วยกัน ๓ องค์ บังเอิญมีอารมณ์คล้ายคลึงกัน วันนั้นทายกนำอุทิศส่วนกุศลออกชื่อคนตายกับบรรดาญาติทั้งหลายที่ตายไปแล้ว ปรากฏว่าบรรดาผีทั้งหลายก็เข้ามาเป็นหมื่นล้อมรอบศาลา คนที่เป็นญาติก็โมทนาแล้วผิวพรรณดีขึ้น พวกที่มิใช่ญาติก็เดินร้องไห้กลับไปตอนท้ายมีคนถามถึงการอุทิศส่วนกุศลว่าทำอย่างไร

    พระองค์หนึ่งท่านเลยบอกว่า "ญาติโยมที่นำอุทิศส่วนกุศล อย่าให้ใจแคบเกินไปนัก อย่าลืมว่าการทำบุญแต่ละคราว พวกปรทัตตูปชีวีเปรตก็ดี พวกสัมภเวสีก็ดี จะมายืนล้อมรอบคอยโมทนา แต่ถ้าเราให้แก่ญาติ ญาติก็จะได้ บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ญาติก็จะไม่ได้ ฉะนั้นควรจะให้ทั้งหมดทั้งญาติและไม่ใช่ญาติ"

    และตอนที่พระให้พร เจ้าภาพและทุกท่านที่บำเพ็ญกุศลแล้ว มีการถวายสังฆทานก็ดี การเจริญพระกรรมฐานก็ดี ควรตั้งจิตอธิษฐานตามความประสงค์ การตั้งจิตอธิษฐานเรียกว่า "อธิษฐานบารมี"ถ้าท่านตั้งใจเพื่อพระนิพพานก็ต้องอธิษฐานเผื่อไว้ โดยอธิษฐานว่า

    "ขอผลบุญทั้งหมดนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ แต่ถ้าหากข้าพเจ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด จะไปเกิดใหม่ในชาติใดก็ตาม ขอคำว่า "ไม่มี" จงอย่าปรากฏแก่ข้าพเจ้า"

    ถ้าเราต้องการอะไรให้มันมีทุกอย่าง จะไม่รวยมากก็ช่าง เท่านี้ก็พอแล้ว

    การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปีๆ บุญก็ยังมีอยู่ ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปีก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้วเดี๋ยวเดียวบุญหายไป ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าทำบุญแล้วไม่ได้อุทิศส่วนกุศล ผู้ทำเป็นผู้ได้บุญเต็มที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ ถ้าเราไม่ให้เราก็กินคนเดียว ทีนี้ถ้าเราให้เขาบุญของเราก็ไม่หมด ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธสมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายมาขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญจะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ท่านรับบาตร

    ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า

    "สมมติว่าโยมมีคบและก็มีไฟด้วย แต่คนอื่นเขามีแต่คบไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่างก็มาขอต่อไฟที่คบของโยม แล้วคบของทุกคนก็สว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของโยมจะยุบไปไหม"

    ท่านพระอนุรุทธก็ตอบว่า "ไม่ยุบ"

    แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า

    "การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน เราให้เขา เขาก็โมทนา แต่บุญของเราก็ยังอยู่เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้หายไป"

    ท่านพระยายมราชได้มาบอกอาตมาเรื่องการอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย เมื่อวันปวารณาออกพรรษาปีพ.ศ. ๒๕๓๑ ว่า

    "ที่สำนักท่านพระยายมราชจะหยุดทำงานเรียกว่า "หยุดนรกการ ๓ วัน" คือ วันออกพรรษา วันปวารณา และวันรุ่งขึ้น รวมเป็น ๓ วัน วันมหาปวารณาเป็นวันสำคัญท่านไม่สอบสวน พวกที่คอยการสอบสวน ตามปกติเขามีอิสระอยู่แล้วจะไปไหนก็ได้ แต่ถึงเวลาสอบสวนก็จะมาเองเพราะกฏของกรรมบังคับ คนที่มาคอยอยู่ที่นี่จะมีโอกาสพ้นนรกหรือไม่ก็ยังไม่แน่ ถ้าบรรดาญาติฉลาด หมายถึงทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลเจาะจงให้ตรงเฉพาะคนเดียว โดยเอ่ยชื่อ นามสกุล อย่าให้คนอื่น เพราะเวลานั้นยังเป็นเวลาปลอดอยู่ มีสภาพคล้ายสัมภเวสี"

    อาตมาจึงถามว่า "ทำบุญอะไร พวกนี้จึงจะไปสวรรค์ชั้นสูงและมีความสุขมาก"

    ท่านตอบว่า "แดนใดที่ไม่มีบุญทำแล้วก็ไม่ได้รับเหมือนกัน หมายความว่าพระสงฆ์ที่เราไปทำบุญนั้น เป็นพระแค่ศีรษะกับห่มผ้าเหลือง ไม่ปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาให้ครบถ้วนเรียกว่า "สมมติสงฆ์"อย่างนี้ทำไปเท่าไรก็ไม่มีผล อุทิศส่วนกุศลให้คนตายเขาก็ไม่ได้รับ ถ้าทำบุญในเขตที่มีบุญน้อย ผู้รับก็มีอานิสงส์น้อยมีความสุขน้อย ทำบุญในเขตที่มีอานิสงส์ใหญ่ ผู้รับก็มีอานิสงส์มากได้รับผลบุญมากก็มีความสุขมาก และการสร้างบุญเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ขึ้นอยู่กับสร้างดีก็ได้บุญ ถ้าสร้างไม่ดีก็ได้บาป หมายถึงก่อนจะทำบุญก็กินเหล้าก่อน พอพระกลับก็กินเหล้ากันอีก แต่ถ้าหากตั้งใจทำบุญโดยมีเจตนาบริสุทธิ์ ไม่มีบาปมีแต่บุญ อย่างนี้ผู้สร้างบุญก็ได้บุญเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ คือบุญนี่จะต้องได้แก่ผู้สร้างบุญก่อน แล้วผู้สร้างจึงจะอุทิศส่วนกุศลให้คนอื่นได้"

    ท่านจึงบอกว่า "สังฆทานดีที่สุด" โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ท่านจะช่วยได้จริงๆ ต้องเฉพาะคนที่ไปคอยการสอบสวนที่สำนักท่านเท่านั้น อย่างสัมภเวสี เปรต อสุรกาย ไม่ผ่านท่าน ท่านช่วยไม่ได้ และคนที่ตายแล้วลงนรกทันที ท่านก็ช่วยไม่ได้เพราะไม่ได้ผ่านสำนักท่าน

    อาตมาจึงถามท่านว่า "ทำอย่างไรความแน่นอนจึงจะปรากฏ ท่านจึงจะช่วยได้"

    ท่านก็เลยบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ลูกหลานอาตมาคือลูกหลานของผม"

    ให้บอกลูกหลานว่า "เวลาทำบุญเสร็จแล้วอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย"

    ถ้ายังไม่มั่นใจให้บอกท่านว่า

    "ถ้าบุคคลนั้นยังไม่มีโอกาสโมทนาเพียงใด ขอท่านพระยายมราชเป็นพยานด้วย หากว่าพบเธอผู้นั้นเมื่อใด ขอให้บอกเธอโมทนาเมื่อนั้น"

    เพราะไม่แน่นัก เนื่องจากขณะที่มีชีวิตอยู่คนเราทำทั้งบุญทั้งบาป เวลาตายไปแล้ว ถ้าไปอยู่ที่สำนักท่านพระยายามราช บางทีกรรมบางอย่างมันปิดปาก เวลาถามถึงเรื่องบุญทำให้นึกไม่ออกตอบไม่ได้ หากว่าท่านถามถึง ๓ ครั้งยังนึกไม่ออกอีก ก็ต้องปล่อยให้ลงนรกไป แต่ถ้าเวลาอุทิศส่วนกุศลขอให้ท่านเป็นพยาน เพียงแค่นี้

    พอโผล่หน้าเข้าไปท่านก็จะประกาศว่า

    ที่เคยขอให้ท่านเป็นสักขีพยาน และท่านก็จะประกาศกุศลนั้นบอกให้โมทนา ก็จะไปสวรรค์เลยโดยไม่ต้องมีการสอบสวน.."

    คำอุทิศส่วนกุศล

    "อิทัง ปุญญะผะลัง" ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน

    และข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด

    และขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

    ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญมาแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด.

    ที่มา :การอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    http://www.oknation.net/blog/doyourbest/2009/08/29/entry-2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2011
  4. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,717
    ค่าพลัง:
    +5,514
    ถ้ามีญาติพี่นอ้ง หรือคนรู้จักตายไปกลายเป็นเปรต เราจะต้องทำบุญด้วยวิธีใด หรือด้วยอะไร เขาเหล่านั้นจึงจะได้รับบุญกุสลที่เราทำ และจะได้ไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น
    ......................................................................
    พระเจ้าพิมพิสารเคยทรงสงสัยมาแล้วครับ
    ฯลฯ
    พระราชา(พระเจ้าพิมพิสาร)ตรัสถาม(พระพุทธเจ้า)ว่า เมื่อหม่อมฉันถวายทานแม้ในบัดนี้ เปรตเหล่านั้นจะพึงได้รับหรือ พระเจ้าข้า? พระศาสดาตรัสว่า ได้ มหาบพิตร. พระราชากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดรับทานของข้าพระองค์เพื่อเสวยในวันนี้, ข้าพระองค์จักอุทิศแก่พวกเปรตเหล่านั้น.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์ด้วยดุษฎีภาพ.
    พระราชาเสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ ทรงให้จัดแจงมหาทานแล้ว ให้กราบทูลกาลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ประทับนั่งบนอาสนะที่บรรจงจัดไว้. เปรตเหล่านั้นไปด้วยหวังว่า วันนี้ พวกเราจะพึงได้อะไรเป็นแน่ ดังนี้ จึงได้พากันยืนอยู่ในที่ต่างๆ มีภายนอกฝาเรือนเป็นต้น.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำโดยที่พวกเปรตเหล่านั้นทั้งหมดมาปรากฏแด่พระราชา. พระราชาเมื่อจะทรงหลั่งน้ำทักษิโณทก จึงอุทิศว่า ทานที่ข้าพเจ้าให้นี้จงสำเร็จแก่พวกญาติเถิด. ในบัดดลนั้นเอง สระโบกขรณีอันดาระดาษด้วยกลุ่มดอกกมล ได้บังเกิดแก่พวกเปรต. เปรตเหล่านั้นพากันอาบและดื่มในสระโบกขรณีนั้น ได้สงบระงับความกระวนกระวาย ความลำบากและความกระหาย ได้เป็นผู้มีสีดั่งทองคำ.
    พระราชาถวายข้าวยาคู ของเคี้ยวและของบริโภคแล้วอุทิศให้. ขณะนั้นนั่นเอง ข้าวยาคู ของเคี้ยวและอาหารอันเป็นทิพย์ก็บังเกิดแก่เปรตเหล่านั้น. เปรตเหล่านั้นพากันบริโภคข้าวยาคูเป็นต้นนั้นแล้ว ก็ได้เป็นผู้มีอินทรีย์กระปรี้กระเปร่า.
    ลำดับนั้น พระองค์ได้ถวายผ้า ที่นอนและที่นั่งแล้วอุทิศให้. เครื่องประดับมีชนิดต่างๆ เช่น ผ้า ปราสาท เครื่องลาดและที่นอนเป็นต้นอันเป็นทิพย์ได้บังเกิดแก่เปรตเหล่านั้น. และสมบัติของเปรตเหล่านั้นทั้งหมดนั้นได้ปรากฏแก่พระราชา โดยประการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิษฐานไว้. พระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ทรง
    <table valign="Bottom" vspace="0" width="760" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td border="1" width="660" bgcolor="white"><wbr>พอ<wbr>พระ<wbr>ทัย<wbr>ยิ่ง<wbr>นัก.
    ฯลฯ
    </td></tr></tbody></table>.................................................
    รายละเอียดตามลิงค์นี้ครับ

    <center> ติโรกุฑฑเปตวัตถุที่ ๕. </center>
    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ บรรทัดที่ ๓๐๒๑ - ๓๐๕๒. หน้าที่ ๑๒๔ - ๑๒๕. http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=26&A=3021&Z=3052&pagebreak=0
    ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=90
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2011
  5. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ให้พยายามส่งผลบุญให้เค้าเรื่อยๆ ทำทุกๆวัน นึกในใจนีแหละ เป็นการอุทิศส่วนกุศลให้เค้า

    ถ้ากรรมของเค้าเป็นกำแพง บุญที่เราส่งไปทุกๆวัน ก็จะไปลดความหนาของกำแพงให้ลดน้อยลงไปทุกๆวัน และยิ่งไปกว่านั้น การที่เราส่งผลบุญไปนั้น ประจวบเหมาะกับกรรมของเค้าหมดพอดี เค้าก็ได้รับอานิสงส์นั้นทันที

    ที่สำคัญอีกอย่าง การที่เราอุทิศส่วนกุศล ก็เท่ากับเป็นการที่เราเจริญเมตตาไปด้วยในตัว

    ทำไปเหอะ เดี๋ยวจะดีเอง
     
  6. savanh

    savanh สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    ตอนนี้เรายังมีชิวิตอยู่ กัรวว่าตายไปแล้วจะไม่มีใครทำบุนไปให้ เราทำให้เราเองตอนมีชิวิตอยู่ได้ไมค่ะ
     
  7. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369

    ทำได้ และเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง อย่าไปหวังพึ่งน้ำบ่อหน้า

    น้ำบ่อหน้าคือ หวังว่าญาติสนิทมิตรสหายจะทำบุญกรวดน้ำไปให้ เกิดเค้าลืม ไม่ว่าง หรือมีเหตุขัดข้องขึ้นมา เราก็แย่

    เพราะฉะนั้น พยายามสั่งสมบุญบารมีไว้เยอะๆ บุญที่เราทำจะติดตัวเราไปทุกภพทุกชาติ
     

แชร์หน้านี้

Loading...