ทำสมาธิแล้วเกิดนิมิต สิ่งที่เห็นหมายถึงอะไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย จิตศรัทธา2, 3 มกราคม 2011.

  1. จิตศรัทธา2

    จิตศรัทธา2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +57
    ขอยืนยันตนก่อนนะครับ ผมเป็นคนโคราช อยู่ อ.สีคิ้ว ตลอด1 ปีที่ผ่านมาตัวผมเข้าหาธรรม มาโดยตลอด ผมเริ่มจากการฝึกนอนสมาธิทุกๆคืน ไม่ขาด เนื่องจากกผมเป็นคนชอบปวดหลัง เลยอาศัยวิธีนอนสมาธิไปก่อน ฝึกไปเรื่อยๆทุกวัน แรกๆจิตเรายุกยิกๆตลอดไม่นิ่งเลย แต่ก็ฝึกไปเรื่อยจน6-7เดือนได้ เริ่มจับจิตให้นิ่งได้ไม่ฟุ่งซ่าน เปลี่ยนจากนอนมาเป็นนั่งสมาธิแรกๆก็ปวดหลังปวดคอนะ ฝึกนั่งไปนานๆก็หายปวดไม่เมื่อยมันหายไปเอง แรกๆมีความสุขกับการกับการนั่งสมาธิตลอด เคยไปปรึกษากับพี่ๆเขาว่าเราหลงผิด ผิดที่มีความสุขกับสมาธิ...!!!!!เกินไป ผมเลยวางเฉย มีอยู่หลายครั้งที่เวลาภาวนาพุทธ-โธๆๆๆ แล้วอยู่ๆ คำภาวนาหายไปซะงั้น ไงล่ะเลยต้องกลับไปภาวนาใหม่... บ่อยๆเข้า ไม่แน่ใจ เลยไปอ่านเจอในหลายๆเวปหลายๆครูบารที่สอน ว่าให้เรามีสติคำภาวนาหายไปให้จับจิตดูให้มีสติ ฮืมแรกๆก็ปฎิบัติยากนะ อ่านน่ะง่ายพอทำแล้วไม่ง่ายอย่างนั้นนะ..... แต่ครั้งนี่จับจิตได้ คือ เราน่ะมีสติรู้นะรู้ว่านั่งอยู่ที่ใหนรู้ว่าตรงใหน อ๋อเรานั่งท่านี่ อ๋อคำภาวนาหายไปแล้วนะคือ ...อ๋อรู้อย่างมีสติอย่างนี่เอง ฮืมนั่งมาตั้งนานไม่เคยเห็นนิมิตวันนี่เห็น แต่สิ่งที่เห็นคือเรากำลังมองไปที่พื้นพื้นนั้นสีส้มแกมแดงสว่างไปทั้ว เราพยายามมีสติตลอดเวลาดูเฉยๆดูอย่างเดียวไม่คิด ไม่ปรุงแต่งดูอย่างมีสติซึ่งผมดูตามจิตไปเรื่อย ตอนที่ดูอยู่นั้นจิตไม่มีการส่ายซ้ายหรือส่ายขวาแต่อย่างใดนะ เดินหน้าไปเรื่อยๆเห็นแต่พื้นนะไม่เห็นอย่างอื่น อยากถามผู้รู้ว่าสิ่งที่ผมเห็นคืออะไร.....

    หลังจากนั้นก็ไม่อยากเก็บมาคิดอะไรแต่รู้ล่ะว่าสติปัญญาระดับหนึ่งคืออะไรทำให้ทุกวันนี่ผมเป็นคนสุขุมต่างจากเมื่อก่อนหลายเท่า ไม่นานไม่เกินอาทิตย์เราก็เกิดเห็นนิมิตเช่นเดิมที่เดิมที่ทำสมาธิเวลาเดิม แต่นิมิตที่เห็นนั้นต่างจากครั้งก่อน คือพื้นนั้นจะมีสีเหลืองสว่างไปทั้วและมีคนนำหน้าอยู่2คน แต่ไม่ใช่พระนะ 2คนนั้นก็เหลืองสว่างไสว เราเห็นแต่หลังนะดูอย่างมีสติตลอดเวลา ไม่ได้ปรุงแต่งแน่แท้อย่างใด หลังออกจากสมาธิทีนี่เก็บมาคิดล่ะอืม...ว่าที่เห็นนั้นหมายถึงอะไร อยากจะถามผู้รู้ช่วยไขความกระจ่างสักนิดเพื่อเป็นวิทยาทานนะ...

    1 ปีที่ปฏิบัติธรรม เราสามารถที่เลิกบุหรี่ได้ได้ด้วยการสมาธินี่ล่ะ
    ได้ผลนะจากเคยสูบวันล่ะ2ซอง จัดว่าสูบหนักเลยล่ะ ศรัทธามากเราต้องเลิกให้ได้กิเลส อืมเลิกได้เลยไม่ต้องเพิ่งอย่างอื่นเคยเลิกมา2-3ครั้งล่ะกลับมาสูบใหม่หนักกว่าเก่าอีก แต่คราวนี่เลิกเลยเลิกเอาดื้อๆ ได้กลิ่นนี่เหม็นเลยเหม็นมากๆ มันกรรมตามทันเลย เคยพ่นให้คนลำคาญ คราวนี่ตาเรามั่งเหม็นมากๆคิดว่าน่าจะมากกว่าคนอื่นๆ ได้กลิ่นปวดหัวทันที่ จากที่เคยได้กลิ่นว่าหอม
    สุรานี่ของชอบดืมทุกๆวันไม่เคยขาดไม่มีใครกล้าห้าม ก่อนนอนนี่ไม่ได้เลยต้องขวดนึงล่ะ......... อืมบุหรี่เราเลิกได้เหล้าเบียร์ต้องได้น่า...
    เลิกได้นะง่ายกว่าบุหรี่อีก หยุดเลย ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี่ ญาติพี่น้องเพื่อนชวน ...เราตอบแบบไม่ต้องคิดได้เลยเลิกแล้วเราหยุดแล้ว อยากเหล้าอยากบุหรี่หยุดได้เลยแปลกเหมือนกันนะว่าเราจะเลิกมันได้ ไม่เคยเก็บอะไรมาทุกเลยเดี๋ยวนี่ มันมีเข้ามาเราไม่เอาๆ ไม่เก็บมาคิดสบายใจตลอด ...
    ขอให้ทุกๆท่านที่แวะเข้ามาอ่านก็ดีท่านที่เมตตาตอบกระทู้ก็ดีหมดทุกข์หมดโศกมีแต่ความสุขตลอดไปเทอด
     
  2. จิตศรัทธา2

    จิตศรัทธา2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +57
    วันนี้4มกราคม เวลาประมาณ9.00โมง บรรยากาศเย็นสบาย ผมทำสมาธิเหมือนเช่นเดิม
    บริกรรมภาวนาพุท-โธ ไม่ขาดจับลมหายใจที่ปลายจมูก หายใจเข้า-ออก รับรู้ถึงลมที่เข้าและออก วันนี่ใจจิตร่มเย็นสบายๆ... ผมอธิฐานจิตไปด้วยว่าขอบุญบารมีที่สั่งสมไว้ไม่มากไม่น้อยขอให้ได้เห็นผลแห่งธรรมะด้วยเทอด...ผมนั้งภาวนาทำสมาธิอยู่ในรถของผมเอง ไม่น่าจะเกิน15นาทีเห็นจะได้ เกิดภาพปรากฎว่าตัวผมนั้งอยู่ในรถหรูแต่ไม่ใช่รถของผมแน่ๆ ... ไม่ได้หลับแน่ๆมีสติตลอดตั้งแต่ภาวนาจนคำบริกรรมภาวนะหายไป ผมตั้งสติรู้ว่าไม่ใช่รถของผมแต่ผมไปนั้งอยู่ได้ยังไงไม่รู้...(กลัวว่าเจ้าของรถมาจะหาว่าเราขโมยรถเขานี่) เปิดประตูด้านคนขับได้ออกมายืนอยู่ข้างนอกรถ เมื่อเราปิดประตูตัวเราวูปไปนั้งอยู่ที่คนขับอีกแล้ว...งงนะพยายามเปิดด้านอื่นเปิดไม่ได้เหมือนถูกให้เปิดด้านคนขับด้านเดียวเท่านั้น เปิดประตูออกออกมายืนอยู่ด้านนอกพอปิดประตู ตัวเราก็วูปกลับมานั้งอยู่ที่เดิมอีก เป็นอย่างนี่ได้5-6ครั้งได้ จนเริ่มคุมสติไม่ได้แล้ว...รับรู้ถึงความทรมารได้ชัดเลย...พยายามลืมตาพร้อมสวดมนต์ในใจ จนค่อยๆลืมตาได้ มานั้งพิจารณาดูว่าทำไมภาพที่เห็นนั้นมันวนเวียนอยู่อย่างเดิมตลอดล่ะครับ...พอจะมีผู้ที่เคยนั้งสมาธินานๆๆช่วยตีความจะได้ใหมครับช่วยไขความกระจ่างสักนิดเพื่อเป็นวิทยาทานนะ...
    ขอให้ทุกๆท่านที่แวะเข้ามาอ่านก็ดีท่านที่เมตตาตอบกระทู้ก็ดีหมดทุกข์หมดโศกมีแต่ความสุขตลอดไปเทอด
     
  3. ไข่หวานน้อย

    ไข่หวานน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    15,574
    ค่าพลัง:
    +19,095
    ขออนุญาตนำข้อความที่คุณโพสไปตั้งกระทู้ถามให้ในห้องศาสนา (พันทิพดอทคอมนะคะ) หวังว่าคงจะไม่เคืองนะคะ อยากมีส่วนร่วมในการช่วยคุณได้คำตอบ บางครั้งคำตอบของบางคนอาจจะไม่ถูกใจ หรือถูกจริตคุณก็ได้ ก็อย่าไปถือโทษโกรธเคืองเลยนะคะ เพราะจิตบางคนไม่เหมือนกัน จะให้ตรงกับใจเรานั้นยากนัก

    อนุญาตหรือไม่ รอฟังคำตอบอยู่ค่ะ
     
  4. จิตศรัทธา2

    จิตศรัทธา2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +57
    ผมอนุญาตครับและขอขอบพระคุณคุณไข่หวานด้วยครับ ผมอาจจะยังใหม่กับเวปครับ ตั้งกระทู้ไม่ทูกที่ไม่ถูกทางต้องขออภัยทุกๆท่านด้วยครับ ไม่โกรธนะ มากความเห็นยิ่งดีครับ
     
  5. ไข่หวานน้อย

    ไข่หวานน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    15,574
    ค่าพลัง:
    +19,095
    ขอบพระคุณมากเลยค่ะ แล้วจะรายงานให้ทราบ หรือจะลองเข้าไปอ่านดูก็ได้ ว่ามีใครมาตอบได้แล้วบ้าง PANTIP.COM : Y10095254
     
  6. ไข่หวานน้อย

    ไข่หวานน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    15,574
    ค่าพลัง:
    +19,095
    ได้มีผู้มาตอบแล้วค่ะ ดังที่ pm ไปให้แล้วนะคะ คิดว่าพอจะเป็นแนวทางได้นะคะ
     
  7. จิตศรัทธา2

    จิตศรัทธา2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +57
    • ขอขอบพระคุณมากๆครับกับ คุณไข่หวานน้อย ที่ช่วยดึงกระทู้มาที่นี่ ผมเป็นผู้ตั้งคำถามเองครับ และก็ต้องขอบพระคุณทุกๆคำตอบที่ท่านเสียสละเวลาอ่าน มีประโยช์ทุกความคิดเห็นมากๆครับ เมื่อไม่มีเวลาเข้าวัดก็จะเปิดวิทยุ หรือ คอมศึกษาเพิ่มเติม เอาตามแต่สะดวก แต่ที่ต้องตั้งคำถามขึ้นมาเพราะเชื่อว่ามีนักปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมากมายที่มีประสบการณ์มากมาย มาอธิบายให้ผู้ที่ยังปฏิบัติขั้นต้นหรือพื้นฐานก็ดี เข้ามาช่วยแลกเปลียนความคิดเห็นกันและกันนั้นผมชอบ ในส่วนตัวนั้นผมถือว่ายังแปลกใหม่ในตัวอยู่ กับการเห็น เห็นอย่างมีสติ แต่เพราะเรามัวแต่ดูจิตมันเลยเลื่อยลอยอย่างท่านๆว่า ต่อไปจะตั้งให้มั่นมากกว่าเดิม จะนำความคิดเห็นของทุกๆท่านนำไปปฏิบัติต่อไป ทำต่อไป ปฏิบัติอย่างมีสติต่อไป ไม่ย่อท้อ เพราะผลที่ได้รับอยู่ที่ตัวเราเอง อยู่ที่ตัวท่านเอง ขอบพระคุณทุกท่านที่เสียสละเวลา ขออนุโมทนากับทุกท่านด้วย

     
  8. ไข่หวานน้อย

    ไข่หวานน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    15,574
    ค่าพลัง:
    +19,095
    ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ ปฏิบัติต่อไปค่ะ สักวันเราก็จะปฏิบัติดีขึ้นเรื่อยๆ
    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปนะคะ;k06
     
  9. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    ในใจลึกๆ คุณอยากมีรถหรูๆัขับ พอจิตว่างๆ และหลุดจากการควบคุม สมองก็อยากจะคิดอะไรไปเรื่อยๆ ก็ไปค้นลิ้นชักความจำของคุณว่าคุณเคยมีความอยากอะไรบ้าง ก็นำมาถ่ายถอดเป็นภาพ ไม่น่ามีอะไร
     
  10. จิตศรัทธา2

    จิตศรัทธา2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +57
    ฝากถึงท่านในกระทู้ที่ 21 นั้นด้วยครับ

    ว่าการฝึกสมาธิแบบการกำหนดลมหายใจแบบ อานาปานาสติ ถึงได้ เกิดนิมติแบบกสินได้ เพราะอานาปานสติ จะใกล้กับอรูปฌาน หรือ อากาศกสิน คือไม่มีรูป เมื่อไม่มีรูปแล้วทำไมถึงเห็นสิ่งเหล่านั้นได้ หากท่านผู้ปฏิบัติฝึกแบบ กสิน ในกรณีนี้ตอบไม่ยากครับ นั้นผมจะอธิบาย ข้อแตกต่างการฝึกแบบ อนาปนาสติ กับ กสิน พอสังเขปนะครับ แล้วลองหาช่อง
    ทางไปต่อเอง
    สติที่ต่อเนื่องจึงจะเกิดเป็นสมาธิครับ
    จะสามารถทำให้สติต่อเนื่องกันได้ มี 2 วิธีคือ
    1. ค่อยๆขจัดความซุ้งซ่านออกไป จนความฟุ้งซ่านหมดเหลือเป็นความว่าง
    2. ค่อยๆตึงอารมณ์ไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตึงจนไม่มีช่องว่างให้ความฟุ้งซ่านปรากฏ
    ทั้ง 2 แบบ จะทำให้ความซุ้งซ่านหายไป แต่วิธีปฏิบัตไม่เหมือนกัน
    วิธีที่หนึ่งนั้นก็คือ อนาปานาสติ คือการทำให้ว่างขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อว่างจนหมดแล้ว
    ก็ไม่เหลือความฟุ้งซ่านใดๆ
    วิธีที่สองนั้นก็คือ การตึงอารมณ์ไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ตึงไว้กับ เปลวเทียน
    เพ่งจนเห็นเปลวเทียนจำติดตา เมื่อหลับตาแล้วก็ยังเห็นเปลวเทียนอยู่ในจินตนาการ
    เรียกว่า เกิดเป็น อุคหนิมิต เพ่งในจินตนาการต่อไปอีก จนเห็นเปลวเทียนนั้นชัดเจน
    สว่างไสวกว่าเปลวเทียนจริงจนเห็นความระเอียดของแสงทั้งหมดเป็นสีรุ้งครบเจ็ดสี
    เรียกว่า สติต่อเนื่องจนเกิดเป็น ปฏิภาคนิมิต ถึงตอนนี้ เปลวเทียนจริงอาจจะดับไปแล้ว
    แต่เราก็ยังเห็นเปลวเทียนในจินตนาการอยู่
    ตรงนี้เองครับ ที่อาจเกิดนิมิตขึ้นได้ เนื่องจาก แรงจินตนาการ เพราะว่าขณะที่จิตมี
    กำลังจินตนาการสูงอยู่นั้น หากเกิดจิตใต้สำนึกเรื่องใดเรื่องผุดขึ้นมา จิตที่มีกำลัง
    จินตนาสูงนั้น จะไปจับสิ่งที่ผุดขึ้นมาทันทีแบบเข้มข้น ผู้ฝึกใหม่ๆจะไม่รู้ตัวเองครับว่า
    จิตไปจับกับสิ่งใหม่ที่ผุดขึ้นมาแล้ว คือหลุดออกจากอุคหนิมิตไปแล้ว ตอนนี้ละเมื่อ
    จิตไปก็จะเห็นเหตุการณ์ไปเรื่อยๆคล้ายกับฝัน โดยส่วนใหญ่แล้ว จะไม่ใช่พระครับ
    เป็นใครก็ไม่ทราบ จะชวนไปโน้นไปนี่หรือไปนรก หากรู้ตัวทันก็ต้องตื่นครับ หากไม่
    รู้ตัวก็จะตื่นเองในที่สุด เพราะว่าจะตกใจเอง แล้วก็ไม่กล้านั่งให้ถึงขั้นนี้อีก
    จริงๆแล้วไม่มีใครทั้งนั้นหรอกครับ เราสร้างทุกสิ่งขึ้นมาหลอกตัวเองครับ
    ขออธิบายแต่พอสังเขปนะครับ กลับมาต่อจากหัวข้อกระทู้ครับ
    ถ้าฝึกแบบอนาปนาสติถูกต้องแล้ว (คือค่อยๆปลดความซุ่งซ่านหมดไปจนเหลือ
    แต่ความว่าง) จะไม่เกิดนิมิตที่ว่าครับ แต่จะเป็นนิมิตแบบอื่น ดังนั้น เป็นไปได้ครับว่า
    จิตมีกำลังดีแล้วครับ แต่......ต้องเน้นครับว่า "แต่"....ความฟุ้งซ่านก็มีกำลังแรงขึ้นมา
    ด้วยครับ ทำให้เราสร้างความฟุ้งซ่านกลายเป็นตัวตนขึ้นมาหลอกตัวเองครับ
    ถ้าเป็นผม จะไม่ปล่อยว่างครับ แต่จะถามตัวเอง มีสติ มีสิต มีสติ หรือเปล่า
    ไปเรื่อยๆครับ หายใจเข้าลากยาว คำว่า มี.........พอหายใจออก ก็ปล่อยคำว่า สติ
    .....ลากยาวไปจนสุดลมหายใจ และพอขาดช่วงเพราะว่าความฟุ้งซ่านเข้ามา
    ก็เปลี่ยนคำพูดครับว่า ไม่มีสติ ไม่มีสติ ไม่มีสติ โดยหายใจเข้าแล้วลากยาวคำว่า
    .....ไม่มี........แล้วปล่อยลมหายใจออกว่า สติ......ลากยาวจนสุดปลายลมหายใจ
    ทำอย่างนี้ทุกครั้งเมื่อสติติดไปกับความฟุ้งซ่าน จนสติกลับมาครบ เหลือแต่คำว่า
    มีสติ มีสติ มีสติ อย่างเดียวแล้วหยุดคำภาวนาไปต่อขั้นต่อไปครับ

    **********************************************************

    ต้องขออภัยอย่ายิ่งที่ดึงกระทู้ นี่มาที่นี่ครับ เพราะผมยังตอบผ่านทางเวปไม่ได้ครับ
    หลักการฝึกปฏิบัติ ผมยึดหลักปฏิบัติตามครูบาที่อยู่วัดป่า ท่านสอนให้นำมาปฏิบัติแบบง่ายๆ ไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์อะไร อาศัยเพียงลมหายใจตัวเองเพียงพอ แบบกสินนั้นผมเคยลองฝึกดูอยู่บ้างครับแต่ไม่ถนัดเลย เพ่งเกินไปจิตมันจินตนาการสูงมากเกินไป(ไม่เหมาะกับตัวผม) แต่ท่านอื่นนำไปใช้กันมากอยู่ สิ่งที่ผมต้องการฝึกคือตั้งใจจิตให้ว่างเปล่า ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างให้ว่าง หยุดอยู่ที่ลมหายใจ อย่างเดียว 5-10 นาทีทำจิตให้นิ่งได้ ภาวนาไม่ขาดครับ ...แต่คือพอมาถึงจุดหนึ่ง คือคำภาวนาหยุดหายไปแต่จะไม่วกกลับไปภาวนาใหม่แล้วนะหยุดอยู่ตรงนั้นเลย หลังจากนั้นไม่นานจะเกิดนิมิตอย่างที่เล่าสู่กันฟัง (ไม่ได้หลับไม่ได้ปรุงแต่ดูเฉยๆ ) เหมือนกับให้เราได้ลิ้มรสชาติของนิมิตนี่แล้วว่าเป็นอย่างไร การฝึกแบบใหนจะแบบอนาปนาสติหรือการเพ่งกสิน หากได้เกิดเห็นนิมิตแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงนิมิต คือของหลอกลวงมันให้เราชอบ มันให้เรารัก มันให้เรากลัว นิมิตเป็นของหลอกลวง ใจเรามันไม่แน่นอน ถ้าเห็นแล้วอย่าไปหมายมั่น ไม่ใช่ของเรา อย่าวิ่งตามนิมิต เห็นอะไรมาก็ดูจิตตัวเอง ถ้านิมิตเกิดขึ้นอีก มันต้องสงบมันจึงเป็น
    ผมรู้แล้วใช้นิมิตให้เกิดเป็นปัญญา เพียรทำไปจนเราไม่มีความตื่นเต้นในนิมิต มันอยากเกิดก็เกิด ไม่กลัวมัน เชื่อใจได้อย่างนี้ไม่เป็นไร ทีแรกเราตื่นของน่าดูมันก็อยากดู ความดีใจเกิดขึ้นมาอย่างนี้ก็หลง ไม่อยากให้มันมีมันก็มี ไม่รู้จะทำอย่างไร ปฏิบัตินี่ นี่ก็เป็นทุกข์ มันอยากดีใจก็ช่างมัน ให้เรารู้ความดีใจนั่นเองว่า ความดีใจนี้ก็ผิด ไม่แน่นอนเช่นกัน แก้มันอย่างนี้ อย่าไปแก้ว่าไม่อยากให้มันดีใจ มันทำไมจึงดีใจ

    ฝากรบกวดอีกครั้งนะครับคุณไข่หวานน้อย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2011
  11. สวรรคมีตา

    สวรรคมีตา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอเป็นกำลังใจให้นะ ได้เข้าไปอ่านดูแล้วจ๊ะ อนุโมทนาด้วยอีกคนจ๊ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...