ขอเชิญท่านแวะเข้ามากระทู้นี้ตั้งคำถามเองตอบเองครับ

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย Samarnl, 19 ธันวาคม 2010.

  1. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ลุงหมานน่ะไม่เก่งกาจอะไรหรอกนะจะบอกไฮ้....โดนท่าน มหายกยอซะเก้อเขินไปเลย เป็นอันว่าเพื่อไม่ให้เสียกำลังใจที่ถามเด้อ ถ้าผิดถูกอย่างใดก็ต้องขอให้ผู้รู้ช่วยแก้ไขติติงให้ด้วยจะขอขอบคุณไว้ล่วงหน้านะครับ

    1.วิชาไสยศาสตร์ มนต์ดำ มีโทษอย่างไรบ้างค่ะ ทำไมเค้าถึงทำกันได้จริงค่ะ ใช้สมาธิขั้นใดค่ะถึงทำได้ค่ะ


    ตอบ วิชาไสยศาสตร์ มนต์ดำ คือ เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิครับ มีโทษคือ นิยตมิจฉาทิฏฐิ ครับ เขาทำได้ซิเพราะพวกนี้เขาทำฌาน ได้ฌานชั้นสูงจนคล่องแคล่วจะเข้าฌานไหนก่อนก็ได้ที่เขาเรียกว่าเป็นวสีนั่นแหละ อภิญญาก็เกิดขึ้นกับเขาตามแต่ที่เขาปรารถนาเอาไว้ ฌานเป็นเหตุ อภิญญาเป็นผล ใช้สมาธิให้ถึงฌาน 8 หรือฌาน 9 หรือ รูปฌาน 5 อรูปฌาน 4 ทั้งหมดกลับไปกลับมาอย่างคล่องแคล่ว แล้วผลของฌานคืออภิญญาจะเกิดตรงปัญจมฌาน ก็ต้องขอยกตัวอย่างพระเทวทัตตัวอย่าง

    2.คนที่ได้ฌาน ทำไมต้องเข้าป่าค่ะ ถึงจะรักษาฌานไว้ได้ (พระอาจารย์เคยบอกว่า แม้แต่แค่ปฐมฌาน อยู่ในเมืองยังไม่สามารถรักษาไว้ได้เลยค่ะ )


    ตอบ คนที่เข้าฌานระดับต้นได้ก็จะพยายามจะทำให้ฌานของตนสูงขึ้นไปเรื่อยๆก็จำเป็นอยู่เองที่จะต้องปลีกวิเวกเพื่อหาความสงบเพื่อกำจัดสิ่งรบกวนทางตาทางหูเหล่านี้เป็นต้น และจะต้องฝึกหัดให้ฌานของตนที่ได้มาจนแข็งแรงเมื่อฌานของตนแข็งแรงดีแล้วก็สามารถอยู่ในที่ใดก็ได้ไม่มีปัญหา นึกจะเข้าฌานเวลาใดตรงไหนก็ได้เสมอ ขณะนั่ง ขณะนอน ขณะเดิน ขณะยืน ได้หมด ฉะนั้นขณะที่ท่านเข้าฌานอยู่เราจะไม่มีโอกาสรู้ได้เลย บางครั้งพูดคุยกับใครก็เข้าฌานได้เพราะท่านอธิษฐานเอาไว้ว่าถ้าใครถามอะไรขอให้ออกจากฌานทันทีด้วยอำนาจของการอธิษฐาน

    3.คนที่เพ้อเจ้อว่า ตัวเองมีฌาน มีญาณ มาหลอกลวงคน ตายไปแล้วจะได้รับผลกรรมอย่างไรค่ะ

    ตอบถ้าเป็นพระภิกษุท่านปรับเป็นปราชิก ถ้าเป็นฆาราวาสท่านปรับข้อมุสา ตายแล้วผลของกรรมก็คืออบายภูมิชิครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 ธันวาคม 2010
  2. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    เข้ามาอ่านประวัติ-สาดของคุณ นิพ พาน

    เริ่มแรกแนะนำให้เราเริ่มปฏิบัติทำสมาธิสวดมนต์เพื่อให้วิบากกรรมเบาบางลง ก็เลยเริ่มปฏิบัติตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ก็ปฏิบัติมาทุกวันไม่ได้ขาดนอกจากจะเจ็บป่วยหรือติดธุระก็จะมีเว้นบ้าง พอได้ทำสมาธิก็มีความรู้สึกว่าอารมณ์เราเริ่มเย็นลง ปกติจะเป็นคนใจร้อนหุนหัน ไม่ค่อยมีสติแต่มีสตางค์ พอมีสตางค์ก็ไม่มีสติ ประมาณนี้เลยค่ะ ยอมรับแรกๆๆที่เริ่มปฏิบัติเพราะอยากให้วิบากกรรม
    เบาบางลง เพื่อเราจะได้ผ่านพ้นปัญหาไปได้ แต่หลังๆนี่เริ่มอยากไปอยากทำด้วยใจที่นึกอยาก ไม่มีเหตุผลหรือข้อแม้ใดๆๆอยากทำด้วยใจ
    ที่เราเลื่อมใสศรัทธา ด้วยความเชื่อมั่นว่าเราจะเดินตามคำสอนของพระองค์ แม้ว่าวิบากกรรมเราจะยังส่งผลเรายังไม่ดีขี้นแต่เชื่อว่าสักวัน
    เราต้องดีขึ้น เราจะต้องก้าวข้ามมันไปได้ อีกอย่างดีใจมากมายที่ได้
    เข้ามาในเว็ปนี้ได้พบกัลยาณมิตรมากมาย ซึ่งนำสิ่งดีๆๆมาให้มากมาย
    อย่างพี่จั่นนี่ขยันหาเรื่องได้ทุกวัน เรื่องเล่าน่ะ บางที่เครียดๆๆมาเข้ามา
    ในนี้ก็ได้เฮฮา พร้อมได้สาระกลับไปด้วยยิ่งลุงหมานนี่มีสาระเกินบรรยาย สรุปว่าโชคดีที่ได้เข้ามาเว็ปนี้ และโชคดีได้มาพบคนมีญาณหลายท่าน ได้พบกัลยาณมิตรในนี้มากมาย และเชื่อไหมตั้งแต่เริ่ม
    ปฏิบัติเข้าหาพระธรรมนี่แต่ปี 51 จนบัดนี้วิกฤตชีวิตก็ผ่านมาได้แบบเฉียดฉิวทุกเดือนเรียกได้ว่าผ่านแบบเส้นยาแดงผ่าแปดเลย ปีหน้ายิ่งปีกระต่าย ปีเกิดของเซ็งมณีเองเขาว่ายิ่งดีใหญ่ เป็นปีทอง จะบอกลาความจนปีเสือที่แสนลำเค็ญรอรับความร่ำรวยปีกระต่ายเสียให้เข็ดเลย
    .......
    ชอบตรงตัวหนังสือแดงชมพู กับที่ขีดเส้นใต้ เพราะรู้สึกตัวว่าเป็นโรคท๊อปฮิต...เดียวกันค่ะ โดยเฉพาะประโยคขำ ๆ ๆ ๆนี้ ไม่ค่อยมีสติแต่มีสตางค์ พอมีสตางค์ก็ไม่มีสติ
    ขอบคุณที่แชร์ประสบการณ์นะคร้า....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2010
  3. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    เท่าที่มีความคิดเห็นร่วมด้วย นั้นมีกฏหมายทางโลกกับกฎหมายทางธรรม

    ขอพูดแค่กฎหมายทางธรรมแล้วกัน กฎหมายทางธรรม อย่างสูง คือปราชิก 4 คือขาดจากความเป็นพระภิกษุ เมื่อสึกออกไปแล้วจะกลับเข้ามาบวชใหม่ไม่ได้นี่กฎหมายสูงสุดของทางธรรม

    ยํ กมฺมํ กริสฺสามิ กลฺลยาณํ ปาปกํ วา ตสฺส ทายาโท ภวิสฺสามิ

    จักทำกรรมอันใดไว้ดีหรือชั่ว เราเป็นผู้รับผลของกรรมอันนั้น

    ถ้าเป็นกฎหมายทางโลกต้องไปแก้ในสภานั่นแหละครับ
     
  4. Jubb

    Jubb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,267
    ค่าพลัง:
    +2,134
    ผมมีคำถามครับ...ความรักคืออะไรครับ[​IMG]
     
  5. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    คงต้องเข้าไปอ่านในกระทู้แม่ทองอยู่นั่นแหละครับ อาจมีคำตอบ สรุปได้หรือยังไม่รุ
     
  6. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ถาม
    บุคคลที่มีขันธ์ 1 ขันธ์ 4 ขันธ์ 5 อยู่ในภูมิใดบ้าง

    ตอบ
    ขันธ์ 1 มีอยู่ภูมิเดียวคือ อสัญญสัตตาภูมิ
    ขันธ์ 4 มีอยู่ 4 ภูมิ คือ อรูปภูมิ 4
    ขันธ์ 5 มีอยู่ 26 ภูมิคือ อบายภูมิ 4 มนุษย์ 1 เทวดา 6 พรหม 15

    ถาม
    ภูมิใดที่พระอริยะบุคคล 8 จำพวกจะไม่ไปเกิดภูมิใดบ้าง

    ตอบ
    พระอริยะบุคคล 8 จำพวกจะไม่ไปเกิดใน อบายภูมิ 4 อสัญญสัตตภูมิ 1
    พระโสดาปัตติมรรค 1 จะไม่ไปเกิดในอรูปภูมิ 4
    พระโสดาปัตติมรรค+โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค+ สกทาคามิผล จะไม่ไปเกิดในสุทธาวาสภูมิ 5

    ถาม
    พระธรรมจักรกัปปวัตตนะสูตรที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไม่เกิดกับภูมิใดบ้าง

    ตอบ
    ในอบายภูมิ 4
    ในอสัญญสัตตภูมิ 1
    ในอรูปภูมิ 4
     
  7. นิพ_พาน

    นิพ_พาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,984
    ค่าพลัง:
    +7,810
    ปุจฉา ลุงคะทำไมเขาถึงเรียกพระว่าหลวงพ่อ หลวงพี่
    แล้วทำไมไม่มีหลวงน้องคะ แล้วหากพระเรียกเราว่าโยมพี่
    แล้วเราจะเรียกแทนตัวเราเองว่าอะไรคะ อยากย้อนเวลา
    ลดอายุลงอีก 2 รอบปีจริงๆๆผ่าๆๆเถอะ

    วิชัสนา นานแค่ไหนก็จะรอคำตอบ ด้วยรักและผูกพัน 5555
     
  8. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]

    +ขอบพระคุณ ลุงหมานค่ะ ได้เข้าใจชัดเจนค่ะ+

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  9. หมั่นเพียร

    หมั่นเพียร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +708
    แวะมาทักทายกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ คุณลุงสร้างสรรค์จริงๆ ค่ะ ตั้งคำถาม พร้อมตอบเอง อย่างงี้เขาจะเรียก "คิดเอง เออเอง" มั้ยคะ คุณลุง (แซวเล่นนะคะ จะรออ่านคุณลุงตอบคำถามหลานๆ ต่อไป ชอบค่ะ ได้ความรู้ดี
     
  10. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    [​IMG]
    จะไปเรียนเชิญคนในภาพนี้มาตอบให้รอนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 ธันวาคม 2010
  11. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    [​IMG]ก็หาคนถามไม่ได้นี่วุ้ย เลยถามเองตอบเอง[​IMG]

    ใครเข้ามาก็ถามเองตอบเองนะวุ้ย ก็รับผิดชอบคำถามคำตอบเอาเองนะวุ้ย คงไม่เป็นไรนะวุ้ย[​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 ธันวาคม 2010
  12. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    [​IMG]

    [​IMG] ขอเข้ามาหอบเอาความรู้กลับบ้านนะคะ [​IMG]

    [​IMG] กราบอนุโมทนาสาธุ...ยิ่งค่ะ [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 ธันวาคม 2010
  13. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    [​IMG]

    จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติ คือ การพ้นทุกข์

    ทุกข์ หมายถึงสิ่งที่ทนได้ยาก

    ทุกข์เกิดจาก เครื่องเศร้าหมองของจิต อันได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง คือ กิเลส<O:p
    กิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดจาก ความทะยานอยาก คือ ตัณหา<O:p
    ตัณหา ความทะยานอยาก เกิดจาก ความยึดมั่นถือมั่น คือ อุปทาน<O:p
    อุปทาน ความยึดมั่นถือมั่น เกิดจาก ความไม่รู้ คือ อวิชชา
    <O:pก็ อวิชชา ความไม่รู้ นี้แล เป็นสาเหตุให้มี ร่างกาย คือ ขันธ์ ๕
    <O:p
    ขันธ์ ๕ ร่างกายนี้ เกิดจาก กิเลส ตัณหา อุปทาน และ อกุศลกรรม<O:p
    ถ้าเราจะหน่ายทุกข์ ก็จงหน่ายที่ ร่างกาย เถิด
    <O:p
    การหน่ายร่างกาย คือ ละสักกายทิฐิ องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง ชี้ไว้ ๔๑ เส้นทาง แต่ละเส้นทาง ก็สามารถ ถึงที่สุดของความพ้นทุกข์ได้ คือ

    มหาสติปัฏฐานสูตร ๑ (ทุกจริต ปฏิบัติได้) เป็นแนวทางของ สุกกวิปัสสโก

    กรรมฐาน ๔๐ (ปฏิบัติตามจริต ๖ มี ๓๐ กอง จริตกลาง มี ๑๐ กอง) เป็น แนวทางของ สุกขวิปัสโก ถ้าจับ กสิน ด้วย ก็เป็นแนวทางของ เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฎิสัมภิทัปปัตโต ถ้าทำได้นะ

    ถ้าเราละ สักกายทิฐิ ได้แค่ตัวเดียว ครูบาอาจารย์ ท่านว่า ความเป็นพระอริยะ เหมือนหญ้าปากคอก
    <O:p
    ฉะนั้น ในเมื่อทาง มีถึง ๔๑ ทาง เธอจง ฉลาด เลือกทาง ซึ่งมีอยู่ ในการปฏิบัติ<O:p
    ตาม ระดับ สติ ปัญญา เหมือนคนไข้ เลือกยาที่จะรักษา ตัวเอง

    แนวทางเริ่มต้นของนักปฏิบัติ


    นักปฏิบัติควรเริ่มต้นปฏิบัติ ด้วย
    ทาน(เพื่อ ตัดความโลภ)
    ศีล(เพื่อ ตัดความโกรธ)
    ภาวนา(เพื่อ ตัดความหลง)


    เพื่อความสุขในชาตินี้ และ ชาติหน้า และเมื่อผลการปฏิบัติ เริ่มทรงตัวดีแล้ว ก็มาเริ่มปฏิบัติ ในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อมรรคผล นิพพาน


    อธิศีล เพื่อ พระโสดาบัน และ พระสกิทาคามี ละสังโยชน์ ๓
    อธิจิต เพื่อ พระอนาคามี ละสังโยชน์ ๕
    อธิปัญญา เพื่อ พระอรหันต์ ละสังโยชน์ ๑๐



    ๑ทาน(การให้) ก็ควรฉลาดในการให้โดยเลือกชนิดของทานและเนื้อนาบุญโดย
    การให้ทาน พระพุทธเจ้าทรงตรัส ไว้อย่างนี้ คือ


    การให้ทานแก่คนที่มีศีลไม่บริสุทธิ์ ๑๐๐ ครั้ง
    มีผลไม่เท่ากับให้ทานแก่ผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ครั้งหนึ่ง
    การให้ทานแก่ท่านผู้มีศีลบริสุทธิ์ ๑๐๐ ครั้ง
    มีผลไม่เท่ากับให้ทานแก่พระโสดาปัตติมรรคครั้งหนึ่ง
    การให้ทานแก่พระโสดาปัตติมรรค ๑๐๐ ครั้ง
    มีผลไม่เท่ากับให้ทานแก่พระโสดาปัตติผลครั้งหนึ่ง
    การให้ทานแก่พระโสดาปัตติผล ๑๐๐ ครั้ง
    มีผลไม่เท่ากับให้ทานแก่พระสกิทาคามีมรรคครั้งหนึ่ง
    การให้ทานแก่พระสกิทาคามีมรรค ๑๐๐ ครั้ง
    มีผลไม่เท่ากับให้ทานแก่พระสกิทาคามีผลครั้งหนึ่ง
    การให้ทานแก่พระสกิทาคามีผล ๑๐๐ ครั้ง
    มีผลไม่เท่ากับให้ทานแก่พระอนาคามีมรรคครั้งหนึ่ง
    การให้ทานแก่พระอนาคามีมรรค ๑๐๐ ครั้ง
    มีผลไม่เท่ากับให้ทานแก่พรอนาคามีผลครั้งหนึ่ง
    การให้ทานแพรอนาคามีผล ๑๐๐ ครั้ง
    มีผลไม่เท่ากับให้ทานแก่พระอรหัตมรรคครั้งหนึ่ง
    ถวายทานแก่พระอรหัตมรรค ๑๐๐ ครั้ง
    มีผลไม่เท่ากับถวายทานแก่พระอรหันต์ครั้งหนึ่ง
    ถวายทานแก่พระอรหัตผล ๑๐๐ ครั้ง
    มีผลไม่เท่ากับถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าครั้งหนึ่ง
    ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง
    มีผลไม่เท่ากับถวายทานแก่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งหนึ่ง
    ถวายทานแก่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง
    มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทานครั้งหนึ่ง
    ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายวิหารทานครั้งหนึ่ง
    และทรงตรัสต่อไปว่า
    สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
    การให้ธรรมมะ เป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง


    ๒ ศีล รักษาตามฐานะ อันมีทั้ง ศีล 5 ศีล 8 ศีล 227 ควรมีพรหมวิหาร 4 ประจำใจเพื่อความตั้งมั่นของศีลในการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ต้องไม่ละเมิดศีลเอง ไม่ยุยงให้คนอื่นละเมิดศีล และ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นละเมิดศีลแล้ว



    ๓ สมาธิ ความตั้งมั่นของจิต(สมาธิจะตั้งมั่นได้ด้วยศีลและศีลจะตั้งมั่นได้ด้วยพรหมวิหาร 4 )โดยเริ่มต้นที่ อาณาปานสติ คือการกำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก จนจิตเข้าถึงฌาน ปัญญา คือ การรอบรู้ในกองสังขารทั้งหลายโดยใช้วิปัสสนาญาณ
    การพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง จนเกิดความเบื่อหน่าย และวางเฉยในกองสังขารทั้งหลาย (นิพพิทาญาณ และ สังขารรุเปกขาญาณ)
    อุปมา เหมือนการโค่นต้นไม้ (สักกยะทิฐิ)
    ศีล เปรียบเสมือนดังขวาน
    สมาธิ เปรียบเสมือนการลับขวานให้คม
    ปัญญา (วิปัสสนาญาณ)เปรียบเสมือน การฟันโค่นต้นไม้ นั่นเอง..

    <!-- google_ad_section_end -->


    การทำสมาธิ ให้เกิดผล
    ลองสำรวจตัวเอง ว่าเรามี อิทธิบาท ๔ ครบหรือเปล่า มีศิลบริสุทธิ์หรือเปล่า มีพรหมวิหาร ๔ บ้างหรือเปล่า ถ้าจิตมีนิวรณ์ สมาธิไม่เกิด ถ้าจิตมีสมาธิ นิวรณ์ ก็ไม่เกิด (เหมือนเด็กเล่นกระดานหก)

    ในขั้นแรก ถ้าจะนั่งสมาธิ อย่าสวดมนต์นาน
    นั่งในท่าที่สบายที่สุดผ่อนกล้ามเนื้อให้หย่อน อย่าเกร็ง หลับตา ช้าๆ นะ หายใจเข้า-ออก ให้สุด ลึกๆ สัก ๔-๕ ครั้ง (ระบาย ลมหยาบ) เอาใจรู้ลม เข้า ออก ช้า ๆ (อย่าใช้ประสาทตาเพ่ง จะปวดหัว) ลมหายต้องปล่อย ตามธรรมชาติ นะ อย่าฝืนลม เมื่อลมหายใจ เรียบแล้ว ค่อยใส่คำภาวนา (เครื่องโยงจิต) ที่ชอบที่สุด สมมุติว่าชอบ พุทโธ นะ พอลมเข้า นึกว่าพุท ลมออก นึกว่าโธ ใช้ใจนึกนะ กำหนด รู้ตามอย่างเดียว ตัดความมอยากรู้ อยากเห็น ทั้งหมดอย่าเกร็งร่างกาย
    <O:p
    การฝึกสมาธิ ให้เกิดผล ไม่ว่าเราจะนั่ง ยืน เดิน นอน ได้หมด ลืมตา หลับตาไม่จำเป็น ให้มีสติ รู้ ลมหายใจ เข้าออก ไว้เป็นปกติ ตามโอกาสอำนวย จะนึกคำภาวนา หรือไม่ก็ได้ ให้มีสติรู้อย่างเดียว มันจะลืมบ้าง ก็ช่างมัน นึกมาได้ก็เริ่มใหม่ (เราฝึกที่จิต ไม่ได้ฝึกร่างกาย )
    <O:p
    และ หมั่น พิจารณา กฏของไตรลักษ์ เพื่อหาทุกข์ ไว้เนืองๆ เป็นประจำ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณา อย่างเช่น

    ความเจ็บไข้ ไม่สบาย เป็นทุกข์ จริงมั้ย ?
    <O:p
    ร่างกายเรา เดินเข้าหาความ เสื่อมสลาย จริงมั้ย ?<O:p

    ทุกวันนี้ เราเดินเข้าหา ความตาย อยู่ทุกวัน จริงมั้ย ?
    <O:p
    ความตาย ย่อมมีกับเรา แน่นอน จริงมั้ย ?
    <O:p
    เราต้องพลัดพราก จากของรัก ของชอบใจ มันเป็นทุกข์ จริงมั้ย ?
    <O:p
    เมื่อเราตาย สมบัติที่เรามีอยู่ ย่อมเป็นสมบัติโลก จริงมั้ย ?

    อุจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำหนอง สเลด น้ำลาย ฯลฯ มันสกปก จริงมั้ย ?

    ของเหล่านี้ มีมาในร่างกายเรา และ ร่างกายคนอื่น จริงมั้ย ?

    อันนี้เป็นตัวอย่างของการหาทุกข์ นะ คือมองอะไร ให้เห็นตามความเป็นจริง โยงเข้าหากฏของไตรลักษ์ ถ้าทำได้ แก่นของศาสนา เป็นของไม่ยาก
    เวลาทำ อย่าอยาก ทำในท่าสบายๆ แต่ถ้าอยากเห็นความเป็นทิพย์ ค่อยมาว่ากันใหม่ เอาตรงนี้ก่อน<O:p
    การหาทุกข์ เพื่อน้อมนำสู่ นิพพิทาญาน และ สังขารุเปกญาน เพื่อก้าวสู่ โคตภูญาน นำไปซึ่ง อริยมรรค อริยผล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 ธันวาคม 2010
  14. Jubb

    Jubb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,267
    ค่าพลัง:
    +2,134
    [​IMG]อะไรเอ่ยหน้าตาดี๊ดี...คำตอบไม่ใช่ผมนะครับ เดี๋ยวหาว่าชมตัวเอง อิอิ[​IMG]
     
  15. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065


    [​IMG] [​IMG] [​IMG][​IMG][​IMG] [​IMG][​IMG]

    มากวาดแมงโม้ค่ะ
     
  16. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=O-ncDkJcZ9I"]YouTube - พระโอวาทของท่านอรหันต์จี้กง[/ame]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2010
  17. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์

    ถาม การที่เราอิสสา ริษยา ที่เขาทำควมดี ถ้าเรามีสติ เราก็ไม่เป็น
    ท่านอาจารย์ ค่ะ ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นไม่ใช่อกุศล เพราะฉะนั้นนี่เป็น
    ความต่างกันของ กุศลจิต กับ อกุศลจิต
    คุณธงชัย ปัญจวิญญาณ ผมสมมุติเอา จักขุวิญญาณๆขณะที่เกิดนั้น เป็นสภาพ
    ของนามธรรมที่รู้ แต่รู้เพียง สี แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นสีอะไร แต่ว่าเกิดโยนิโสมนสิการใน
    จิตควงที่เป็น โวฏฐัพพนะแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้ชวนะ เกิดเป็นกุศลอย่างนี้ ผมสงสัยว่า
    ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรด้วยซ้ำไป เป็นแต่เพียงสีหรือปรมัตถธรรมอย่างเดียว
    ท่านอาจารย์ น่าสงสัยใช่ไหมคะ เพราะปกติแล้ว ปุถุชน โดยมากมักจะเป็นผู้ที่
    ตกจากกุศล ใช้คำว่าตกจากกุศลบ่อยๆเนืองๆ ไม่ใช่เป็นผู้ที่พร้อมด้วยกุศลที่จะเกิด
    สำหรับผู้ที่เป็น ปุถุชน จะเห็นได้ว่าวันหนึ่งๆตกไปในทาง โลภะ อยากจะได้สี่งที่
    ปรากฏ ทางตาบ้าง เสียงบ้าง....พะบ้าง ในวันๆ เพราะฉะนั้นปุถุชนจะตกจากกุศล
    บ่อยเหลือเกินแต่ถ้าเป็นผู้ที่เป็นผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน อย่าลืมว่า หนทางเดียว
    ที่จะรู้ได้
    ทางตาที่กำลังเห็น แม้ว่ายังไม่รู้ว่าเป็นอะไร กุศลจิตก็เกิดได้
    เมื่อเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน
    แต่ไม่ใช่ผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน
    เห็นแล้วก็เป็น อกุศลประเภทหนึ่งประเภทใด เป็นประจำ
    ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม
    เสียงดังที่เกิดขึ้น ตกใจกลัว ยังไม่รู้เลยค่ะ ว่าเสียงอะไร ต้องรู้เสียก่อนหรือเปล่า
    คะ ถึงจะกลัว ถึงจะตกใจ แต่ว่าเสียงอย่างนั้นเป็นปัจจัยให้อกุศลจิตเกิดแล้วเป็น
    โทสะมูลจิต โดยยังไม่ต้องรู้เลยค่ะว่าเป็นเสียงอะไรแต่ขณะที่ อบรมเจริญสติปัฏฐาน
    สติกำลังระลึกสืบเนื่องติดต่อกันทางตา ทางหู....ทางกาย ทางใจ เป็นปกติ
    ปกติเมื่อไร เมื่อนั้น แม้เห็น กุศลจิต ก็เกิดได้โดยที่ยังไม่รู้ว่า สี่งที่เห็นเป็น
    อะไร ไม่จำเป็นต้องถึงกับต้องรู้เสียก่อนว่า สี่งนั้นเป็นอะไร
    เพราะฉะนั้นชีวิตของแต่ละบุคคลนี้ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ธรรม ตามความเป็นจริง
    ว่าปกติของผู้ที่ไม่ได้ศึกษาธรรม หรือ ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ได้อบรมเจริญ
    สติปัฏฐาน ก็เป็นอย่างหนึ่ง คือจะเกิดกุศลได้อย่างไร ทั้งๆทางตาที่เห็น จะทำอย่าง
    ไร มนสิการอย่างไรจึงจะเป็นกุศลแต่ไม่ใช่ให้ใครไปมนสิการ หรือไม่ใช่เพียงใช้ชื่อ
    โยนิโสมนสิการ แต่ความจริงแล้วเป็น อโยนิโสมนสิการ เพราะว่าเป็นความ
    เข้าใจผิด เป็นความเห็นผิด แต่จะใช้คำว่า โยนิโสอย่างนั้น โยนิโสอย่างนี้แต่
    ลักษณะจริงๆของ โยนิโสมนสิการ ด้องเป็น มโนทวาราวัชชนจิต ที่ทำ
    โวฏฐัพพนะกิจ ทาง ปัญจทวาร หรือทำ อาวัชชนกิจ ทาง มโนทวาร
    ซึ่งเป็น ชวนปฏิปาทกมนสิการ ไม่ใช่ใครสามารถจะทำได้ตามใจชอบ

    จาก..บ้านธัมมะ
    [​IMG]
     
  18. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]ถาม เราอ่านธรรมะ มีศัพท์บาลีที่ไม่เข้าใจ แปลไม่ออกเราควรทำอย่างไรดี
    [​IMG]ตอบ เราก็อ่านไปตรงไหนที่เป็นภาษาไทย ที่เราพอเข้าใจได้ ให้เข้าใจไปก่อน อ่านซ้ำบ่อยๆ และค่อยๆคุ้นเคยศัพท์บาลีไปเรื่อยๆ จะซึมซาบคุ้นเคยกับศัพท์บาลีนั้น เมื่อพบคำแปลก็ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก แต่การจะจำได้ตลอดไปนั้นยาก ต้องอาศัยการหมั่นเพียรที่ตั้งใจแน่วแน่ จะพอจำได้บ้างในที่สุด
    [​IMG]
     
  19. ทัสชา 567

    ทัสชา 567 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +1,008
    ถามมาตอบไป

    อ้าวเรามาเปลี่ยนหัวข้อกระทู้เสียแล้วหรือนี่ พอดีผ่านมาเจอ สวัสดีค่ะทุกๆท่าน ตั้งแต่เข้าเวปมาเพิ่งเจอกระทู้นี้ ได้หัวเราะ ต่ออายุ มุกเด็ดๆกันทั้งนั้น น่ารักดีจริงๆ ว่างๆจะมานั่งปูเสื่อรอ ให้คนที่ถามมาและรอให้คนตอบไป หรือ ตอบได้เองก็จะขอชูมือ..หรือไม่มีเรื่องก็ขอแจมได้ไหม?(เพราะไม่อยากมีเรื่อง)jaah
     
  20. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]

    เชิญได้ทุกกระทู้นะค่ะ ยินดีต้อนรับค่ะ
    ลุงหมานของแท้ ต้องมีหลานๆล้อมหน้าล้อมหลังค่ะ
    จนลุงเวียนหัวค่ะ

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...