ฝึกทิพจักขุญาณใช้คำภาวนาว่าอย่างไรให้ได้ผลไว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย kengloveyou, 14 ธันวาคม 2010.

  1. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    ท่านที่ฝึกทิพจักขุญาณได้แล้วช่วยแนะนำจากประสบการณ์จริงหน่อยครับ ท่านใช้(คำภาวนา)เวลานั่งสมาธิว่าอย่างไรให้ได้ผลหรือเห็นผลไว ผมพยายามรักษาศีล5เป็นปกติ(ขาดบ้างบางวัน) ถวายสังฆทานทุกอาทิตย์ นั่งสมาธิเกือบทุกวัน แต่ยังไม่รู้ว่าจะใช้คำภาวนาว่าอย่างไรดี ผมอยากฝึกสายเตวิชโช (วิชา ๓)อยากเห็นพระพุทธเจ้ามาก (ขอถามท่านที่ทำได้จริงๆนะครับช่วยแนะนำด้วย)
     
  2. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ไม่ทำศีล ๕ ให้ดีก่อน......

    กำลังใจพร้อมมั่นคง กรรมฐานกองใดก็ได้ที่คุณทำได้.....ทำให้ดี......

    ถ้าวาสนาบารมีที่สามารถจะทำได้.....ก็ไปฝึกต่อด้านวิชชาสาม เช่น มโนมยิทธิ ต่อไป......

    สิ่งหนึ่งพึงจำไว้.....ฝึกกรรมฐานต้องฝึกแบบคนโง่ เพื่อหมายเอาความรู้ในวันข้างหน้า....

    เมื่อเอาความฉลาดไปด้วย....ก็ควรที่จะอยู่บ้านเสีย......
     
  3. ซาตานคลั่ง

    ซาตานคลั่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    496
    ค่าพลัง:
    +1,449
    อันดับแรก ต้องรู้จักให้ทาน ไม่ว่าจะเป็นทานขนาดใหญ่ หรือขนาดเล็ก หรือจะเป็นธรรมทานก็ได้ เป็นการเอาชนะความโลภได้ในขั้นต้น ถ้าอันดับแรกยังทำไม่ได้ อย่าพึ่งไปทำอันดับต่อไป เอาอันดับแรกให้มันได้ก่อน

    อันดับที่สอง ศีลต้องบริสุทธิ์ อย่างน้อยที่สุดก็บริสุทธิ์ตอนที่กำลังฝึก เช่นกันถ้าอันนี้ยังทำไม่ได้อย่าพึ่งข้ามไปอันดับต่อไป

    อันดับที่สาม เจริญพรหมณ์วิหารสี่ คือประกาศเมตตา เป็นมิตกับทุกสิ่งทุกคน(ประกาศในใจ)

    อันดับที่สี่ คำภาวนา ปกติคุณก็ใช้นะมะพะธะเพราะต้องการฝึกมโนมยิทธิด้วยวัตถุประสงค์ที่คุณก็บอกไว้แล้วคืออยากไปเห็นพระพุทธเจ้า แต่บางครั้งก็เกิดลังเลไปใช้พุทโธเพราะครูบาร์อาจารย์ท่านใช้กันและคุณก็เคยได้ยินมาเยอะว่าคนใช้พุทโธทำได้ก็มีตั้งเยอะ...........เมื่อเกิดอาการสับสนไม่รู้จะใช้คำภาวนาอะไรดี อย่างนี้ ให้หยุดภาวนาซะ ก่อนที่จิตจะสับสนมากไปกว่านี้ ก็ยังดีที่คุณไม่คิดจะใช้สัมปะจิตฉามิ หรือโสตัตถะภิญญา เพราะไม่งั้นคุณจะสับสนมากขึ้นกว่านี้อีกเยอะ

    อันดับที่ห้า หัวใจสำคัญที่ทำให้เกิดความรู้พิเศษขึ้นเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่มีของเก่า หรือถ้ามีของเก่าก็จะสามารถทำสำเร็จได้รวดเร็วขึ้น คือ จับภาพกษิณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2010
  4. banana603

    banana603 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +17
    ฝึกเพื่อ อยากเห็นพระพุทธเจ้า แน่แล้วหรือ ที่ประสงค์จะฝึกสมาธิเพื่อสิ่งแค่นี้ ??
     
  5. ending

    ending เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +114
    ไม่มีของเก่าก็ยาก เขาว่างั้นอย่าพยายามอะไรมากมายเหอะ(k)
     
  6. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    <!-- google_ad_section_end -->คุณSotozคิดว่าการอยากเห็นพระพุทธเจ้าของคนที่เลื่อมใสศัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นเรื่อง"เพื่อสิ่งแค่นี้"อย่างงั้นหรือ ถ้าคุณไม่เคารพในพระพุทธเจ้าไม่อยากเจอพระพุทธเจ้าไม่ศัทธาในพระพุทธศาสนาละก็อย่าได้มาว่า"ฝึกเพื่อ อยากเห็นพระพุทธเจ้า แน่แล้วหรือ ที่ประสงค์จะฝึกสมาธิเพื่อสิ่งแค่นี้ ??<!-- google_ad_section_end --> "คำพูดของคนที่เขาเคารพในพระพุทธเจ้าเขาไม่พูดกันแบบนี้หรอก
     
  7. ballpiano

    ballpiano Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +40
    สมาธิเป็นสิ่งที่วิเศษ สวยงาม นุ่มเบาสบาย ดีใจที่ได้เกิดมาในพุทธศาสนาครับ:cool:
     
  8. banana603

    banana603 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +17

    คุณอ่านให้เข้าใจความด้วยคับ คนตีความ จะตีความตามเจตนาของตนที่อ่าน

    สิ่ง ที่ผมว่านี้ หมายถึง ความอยากเห็น ผมกล่าวกลาง ๆ คุณต่างหากที่เป็นผู้ตีความ กรุณา พิจารณา โดยไร้ซึ่ง ทิฏฐิ และ อคติ ด้วยนะคับ
     
  9. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    เอาเถอะท่าน....อย่าได้ไปสนใจให้ใจหมองครับ.....

    พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ มีมากมาย.....วิธีการปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมนั้นก็มีอยู่มากมาย......

    เขารู้ก็แค่ในสิ่งที่เขารู้นั้นหละครับ......มากกว่าในสิ่งที่เขารู้ก็คือไม่รู้นั้นหละ.....ด้วยความไม่รู้ก็จงอย่าได้ถือสา.....เพราะวันหนึ่งถ้าเขาศึกษามากเข้า...โดยการเป็นน้ำที่ไม่เต็มแก้ว.....หรือกอดทิฏฐิมานะของตนเองจนแน่นแล้วไม่ศึกษาต่อไป.....ก็ถือเอาเสียว่าวาสนาบารมีเขามาแค่นั้นเท่านั้นเอง......

    มาที่ในแต่ละคนนั้นบางคนก็เข้ามาหาความรู้.....บางคนก็รู้บ้างไม่รู้บางแต่อยากเป็นอาจารย์อยากแสดงภูมิก็มีอยู่มาก......มันเป็นเรื่องธรรมดาครับ.....มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่อยากดีอยากเด่น....เอาเป็นว่าอย่าถือสา.....

    ถ้าเข้าใจผิดเรารู้ก็บอกไป......ไม่รับก็เรื่องของเขา.....แต่เราเอาธรรมเป็นหลักและธรรมนั้นก็ไม่ใช่เราคิดเอง...เป็นของพระพุทธเจ้าท่าน...เรามีหน้าที่เพียงแค่บอกต่อ....ถ้าเขาจะยึดความคิดเขาก็เรื่องของเขา.....ก็ช่างเขานะ.......

    คนที่พูดดีนั้นไม่ได้หมายถึงว่าตนเองนั้นทำได้หลอกนะครับ....บางครั้งเราก็ต้องใช้ปัญญาให้มาก......ยิ่งไปกว่านั้นคือสิ่งที่ต้องทำให้ได้ด้วยตนเอง.....

    เอาเป็นว่าอย่าไปถือสาครับ.....ที่นี่คนพูดมาก....ความจริงที่ใหนก็ช่าง....คนพูดมันมาก...คนทำมันน้อย.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2010
  10. GoonS

    GoonS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +2,682
    ทิพยจักษุ หรือสูงกว่านั้นคืออภิญญา เป็นสิ่งที่ดีนะ
    ใครว่าเสียเวลาไม่ต้องไปฟังให้มากเพราะเเต่ละคนชอบหรือถนัดไม่เหมือนกัน

    เข้าเรื่องละกันคับ ผมว่าหาอาจารย์เก่งๆดีกว่าครับ ฝึกจริงๆคงไม่ยากหรอก
    ถ้าฝึกเองกับบ้าน บางทีมันมีจุดเล็กๆที่เราไม่รู้เเต่ก็ทำให้ฝึกไม่สำเร็จ
    ฝึกเป็นปีหลายปีไม่สำเร็จเเต่ก็ยังฝึกวิธีเดิมอยู่ มันก็วนเวียนอยู่เเค่นั้น
    เช่นบางคนชอบภาวนา หยุดภาวนาไม่เป็น พอจิตเข้าภวังค์ก็ยังดันทุรังภาวนาต่ออีก
    ทำยังไงฌานก็ไม่เกิด ญาณ อภิญญาญาณก็ไม่ได้โผล่หัวให้เห็นเลย

    ส่วนเรื่องคำภาวนาผมว่าคงไม่ใช่สิ่งจำเป็นหรอกครับ ภาวนาอะไรก็ได้เหมือนกัน
    เพราะเดวจิตดิ่งลงเเล้วก็ต้องหยุดภาวนาเหมือนกัน

    ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากนะพอดีก็ฟังๆมาเหมือนกันเกือบ90%(55+)

    เเต่ก็เเปลกเนอะฝรั่งเค้าไม่มีคำภาวนาที่ตายตัวเเบบเรา เเต่เขาฝึกสมาธิ
    ฝึกพลังจิตใต้สำนึกกันได้ คนไทยก็ยังต้องไปเรียนกับฝรั่งเลย
     
  11. bosssky

    bosssky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +679
    การฝึกทิพยจักขุญาณ

    การปฏิบัติเพื่อได้ทิพยจักขุญาณ โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    วันนี้จะพูดถึงด้านทิพจักขุญาณก่อน ถ้าเราได้ ทิพจักขุญาณ แล้วเราก็ได้ จุตูปปาตญาณ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ปัจจุปปันนังสญาณ ยถากัมมุตาญาณ หมายความว่า เห็นผีเห็นเทวดาได้ รู้ว่าสัตว์ที่ตายแล้วไปเกิดที่ไหน คนและสัตว์ที่เกิดมาแล้วนี่มาจากไหน รู้วาระน้ำจิตของตน รู้วาระน้ำจิตของบุคคลอื่น สามารถระลึกชาติได้ รู้เหตุการณ์ในอดีตของคนและสัตว์ รู้เหตุการณ์ในอนาคตของคนและสัตว์และวัตถุ รู้ว่าปัจจุบันนี้ใครทำอะไรอยู่ ใครดีใครชั่ว รู้กฎของกรรมว่าคนที่ดีที่ชั่วนี่มีความสุขความทุกข์เพราะกรรมอะไรเป็นปัจจัย
    นี่ถ้าเราได้ทิพจักขุญาณอย่างเดียวเหมือนได้ญาณ ๘ อย่างด้วย เพราะว่ามันเป็นญาณอันเดียวกันสุดแล้วแต่เราจะใช้ ทีนี้สำหรับกำลังใจในด้านปฏิบัตินี่เขาทำกันยังไง? วิธีฝึกทิพจักขุญาณนี่มีหลายแบบ แบบตามปกติเขาใช้ " กสิณ " กัน นี่พระพุทธเจ้าทรงตรัส แต่ก็มีแบบลัดอีกแบบหนึ่ง คือ แบบลัดนี่มีเยอะ แต่ทว่าผมจะพูดแต่เพียงแบบเดียว นี่ว่ากันแค่ทิพจักขุญาณกันก่อนนะ แต่ก็ใช้กำลังใจเหมือนกัน ถ้าหากท่านจะฝึกมโนมยิทธิก็ต้องใช้กำลังใจแบบนี้เหมือนกัน คือ กำลังใจที่ทรงสมาธิน่ะมันเท่ากันสุดแล้วแต่เราจะเลือกว่าเราจะปฏิบัติทางไหนเท่านั้น ไม่ใช่สุกขวิปัสสโกก็ทำเหยาะแหยะ ๆ ๆ อย่างนี้ไม่ใช่สุกขวิปัสสโกแล้ว เป็นทุกขวิปัสสโก กว่าจะได้มันก็แสนลำบาก กำลังใจน่ะใช้เสมอกันสุดแล้วแต่จะเลือกผลเท่านั้น เหมือนกันงานที่เราทำ ถ้าอยากจะสร้างบ้านสร้างเรือน อยากจะสร้างตึก สร้างถนน อยากจะปั้นหม้อ อยากจะปั้นตุ่ม อยากจะปั้นน้ำให้เป็นตัว
    มันต้องใช้กำลังเท่ากัน มีความขยันหมั่นเพียรเท่ากัน " ฉันทะ " มีความพอใจเท่ากัน " วิริยะ " มีความเพียรเท่ากัน " จิตตะ " เอาจิตใจจดจ่อเหมือนกัน " วิมังสา " ใช้ปัญญาพิจารณาเหมือนกัน
    ทีนี้มาว่ากันถึง " ทิพจักขุญาณ " ทิพจักขุญาณนี่ผมฝึกมาในด้านลัด แต่ผมฝึกจริง ๆ น่ะ ผมฝึกมันหมดไม่ว่าอีท่าไหนผมฟัดหมด กรรมฐาน ๔๐ ท่านถามผมสิ กองไหนที่ผมไม่ได้ไม่มี แล้วมหาสติปัฎฐานสูตรจุดไหนที่ผมไม่ได้ไม่มี ผมทำยังไง ผมทำบ้า ๆ บอ ๆ อย่างที่ผมอธิบายให้ท่านฟัง ผมจะไม่ยอมปล่อยเวลาแม้แต่หนึ่งวินาทีของจิตให้มันว่างจากการคำภาวนาหรือพิจารณา ทำงานเอางานเป็นกรรมฐาน เดินเอาเดินเป็นกรรมฐาน นั่งเอานั่งเป็นกรรมฐาน นอนเอานอนเป็นกรรมฐาน ดูหนังดูภาพยนตร์หรือว่าดูมโหรสพต่าง ๆ ผมเอามโหรสพเป็นกรรมฐาน ฟังเสียงคนพูดฟังเสียงคนร้องเพลง ฟังเสียงดนตรีผมเอาสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นกรรมฐาน เห็นพืชผักเอาเป็นกรรมฐานทั้งหมด เอาเป็นกรรมฐานยังไง ตั้งใจฟังเสียงเป็นสมาธิเป็นสมถะ ใช้จิตพิจารณาว่าคนก็ดีสัตว์ก้ดี ไอ้ที่แสดงมโหรสพกันอยู่ และภาพที่มันเห็นนี่ หรือวัตถะธาตุต่าง ๆ มันเป็น " อนิจจัง " มันเป็นของไม่เที่ยง อย่างพวกนักแสดง
    แหม..เวลาออกมาข้างนอกแต่งตัวโก้เป็นเจ้าเป็นนาย คนเป็นขี้ข้าท่าทางหมอบราบคาบแก้วกลัวกันเหลือเกิน ออกกำลังปฏิบัติตามกัน แต่พอเข้าไปในโรง ดีไม่ดีไอ้ตัวนายเป็นลูกไล่ของตัวขี้ข้า นี่มันเที่ยงที่ไหน มันไม่เที่ยง เขาต้องใช้ใจอย่างนี้
    ตอนนี้ก็มาพูดกันถึงว่าเราจะเดินสายทิพจักขุญาณค่อย ๆ ว่ากันทีละขั้น ถามว่าท่านจะฝึกมโนมยิทธิหรือ นอนภาวนา นั่งภาวนา เดินภาวนาไปเลย นะมะ พะธะ ว่ากันไปเลย อย่าให้เวลามันว่าง อย่าให้จิตมันว่าง จะได้เลิกกันเสียที ไอ้ความเห็นผิด ไอ้การรู้ผิด ไอ้การเข้าใจผิดน่ะ เลิกกันเสียที ถ้าได้มโนมยิทธิน่ะ เขาแก้อารมณ์กันข้างบนโน่น เขาขึ้นไปเที่ยวกันบนสวรรค์ เที่ยวกันบนพรหม เที่ยวกันบนนิพพาน ถ้าจิตเข้าถึง แล้วแก้อารมณ์มันง่าย ใช้อารมณ์แว๊บเดียวเดี๋ยวเดียวเป็นขั้นนั้นขั้นนี้ไปเลย
    ตอนนี้ มาว่าถึงคนที่มีกำลังใจไม่เข้าถึงมโนมยิทธิ มาว่ากันถึงทิพจักขุญาณ ผมสอนไว้แล้วว่า
    พุทธัง เมฆนิมิต จิตตัง มะอะอุ
    ธัมมัง เมฆนิมิต จิตตัง อุอะมะ
    สังฆัง เมฆนิมิตจิตตัง อะมะอุ
    นี่เป็นแบบลัด คลุมหมดวิชชา ๘ ที่สมาทานกันนี่ ถ้าทำอันนี้ได้ทำได้หมด เวลาเขาทำเขาทำกันยังไง ให้จับภาพพระพุทธรูปหรือจับภาพพระสงฆ์ เป็นพระใช้ได้หมด เวลาภาวนาไปเดินไป นั่งอยู่ นอนอยู่ ยืนอยู่ก็ตาม ภาวนาให้มันติดใจให้มันโผล่ขึ้นมาในใจเสมอ ถ้าจิตเว้นว่างจากอารมณ์อย่างอื่น ให้คำภาวนานี้มันโผล่ขึ้นมาเลย แล้วก็จิตนึกถึงภาพพระให้มันเป็นปกติ นึกเห็นนะ ไม่ใช่พระลอยมา นี่พวกเราที่ยังติดภาพลอยกันอยู่เยอะ ภาพลอยนี่เขาไม่ใช้นะ มันต้องใช้อารมณ์จิตที่เป็นสมาธิ นึกเห็นภาพพระ จะเอาไว้ในอกก็ได้ จะเอาไว้ข้างนอกก็ได้ แต่ผมเองนิยมเอาไว้ในอกหรือว่าในสมอง นึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งอยู่ในอกหรืออยู่ในสมอง ถามว่ามันทำยากหรือมันทำง่าย ผมต้องตอบว่ามันไม่ยากถ้าเราแน่ใจซะอย่าง ถ้าเรามีอิทธิบาท ๔ ซะอย่างมันไม่มีอะไรยาก ความเข้มแข็งของจิต ต้องคิดว่าคนอื่นน่ะ เขากินข้าวเราก็กินข้าว เขามีมือ ๆ ละ ๕ นิ้ว เราก็มีมือ ๆ ละ ๕ นิ้ว เขาฟังภาษามนุษย์รู้เรื่องเราก็ฟังภาษามนุษย์รู้เรื่อง เขามีกำลังใจได้เราก็มีกำลังใจได้ นี่..ความท้อแท้มันต้องไม่มี มี " วิริยะ " อยู่ในใจ " จิตตะ " อารมณ์จะไม่ยอมปล่อยคำภาวนา และภาพพระพุทธรูปหรือภาพพระสงฆ์ที่เราจับไว้ " วิมังสา " ใช้ปัญญาพิจารณาไปด้วยว่า....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 ธันวาคม 2010
  12. bosssky

    bosssky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +679
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" bgColor=#ffffff><TBODY><TR><TD height=50 vAlign=top>ที่เราภาวนานี่มันถูกหรือไม่ถูก ภาพพระที่เรานึกเข้าไว้นี่มันถูกหรือไม่ถูก เห็นภาพลอยมานี่ต้องใช้ปัญญา สัญญาและปัญญาคู่กัน สัญญาคือจำไว้ว่าครูห้ามยึดถือภาพที่ลอยมาเป็นอันขาด อยากจะมาก็เชิญมา อยากจะไปก็เชิญไป คำภาวนาว่าอย่างไรที่เราเริ่มต้น ใช้อย่างนั้นเป็นปกติ ไม่ยอมเปลี่ยนเด็ดขาด ภาพพระพุทธรูปหรือภาพพระสงฆ์ที่เรากำหนดไว้ภายในอกหรือว่าในสมอง เราจะไม่ยอมให้ภาพนั้นเคลื่อนจากอารมณ์ของจิต ใหม่ ๆ มันก็ลำบากนิดหนึ่งไม่เห็นมันยากเยิกอะไร เอาจริงเอาจังน่ะไม่มีอะไรมันยาก ไอ้ที่ยากน่ะมันคนไม่จริง สักแต่ว่าอยากอย่างนั้น สักแต่ว่าอยากอย่างนี้ ถ้าลงอยากล่ะพัง ไม่ต้องไปนั่งอยากไม่ต้องไปนั่งนึก เอามันเลย จิตปักคิดว่าพระพุทธรูปองค์นี้แหละเราจะถือเป็นอารมณ์สำหรับนึก นึกถึงเมื่อเวลาภาวนา เดินไปเดินมา ไปบิณฑบาตทำกิจการงานทำอะไรก็ตาม คุยอยู่ก็ตาม ว่างนิดจิตนึกถึงภาพพระองค์นั้นภาวนาจิตขึ้นมา
    นี่เป็นอันว่า ให้อารมณ์มันติดอย่างนี้จริง ๆ ทีนี้หากบังเอิญภาพพระที่เรานั่ง เรานึกถึงภาพพระนั่งแต่ภาพพระจะกลายเปลี่ยนเป็นนอน เป็นยืน เป็นเดิน จับภาพพระพุทธ ภาพพระพุทธจะหายไปจะกลายเป็นภาพพระสงฆ์อารมณ์จะเสียก็ช่าง จะเป็นพระสีขาว สีดำ สีแดงก็ช่าง เราจับภาพพระให้เป็นภาพพระก็แล้วกัน อิริยาบถท่านจะเปลี่ยน ภาพจากกระแสจะเปลี่ยนไปยังไงก็ช่าง ถ้าจับภาพได้อย่างนี้จริง ๆ ได้ทุกเวลาตามที่เราต้องการ อาการอย่างนั้นจะเริ่มเป็นอุปจารสมาธิ เมื่อจิตเริ่มเป็นอุปจารสมาธิ อารมณ์แห่งทิพจักขุญาณมันก็จะเริ่มเกิด ถ้าภาพนั้นไม่สดสวยน่ะ เป็นภาพธรรมดา ภาพพระพุทธที่เราเคยเห็นก็เป็นภาพพระพุทธรูป บางทีก็เห็นเป็นนั่งบ้างเป็นนอนบ้าง อย่าเอาภาพลอยมานะ เอาใจนึกเห็น อย่างนี้เขาเรียกว่า วิปัสสนึก เอาจิตนึกเห็นไว้ แล้วอย่าไปอวดวิเศษน่ะว่านั่นเป็นอุปาทานอุปาเทินนะ..
    แหม.. อวดดีนี่ไม่ว่า แต่ไอ้อวดเลวนี่สิมันระยำ จำแบบจำแผนเขาไว้ให้ดี ว่าที่เขาได้มานี่เขาทำกันยังไง ถ้าหากว่าเราเก่งจริง ๆ น่ะ ไม่ต้องมาฝึกหรอก มันก็ดีมาตั้งแต่ท้องแม่แล้ว ไอ้ที่เขาทำกันได้เนี่ยเขาทำกันอย่างนี้ ถือว่า แหม..มันเป็นอุปาทานอย่างนั้นอย่างนี้ หูได้ยินเสียงเป็นอุปาทาน ตาที่พึงใจที่เห็นอารมณ์ได้หลับตาแล้วเห็นภาพได้เป็นอุปาทาน มันไม่ใช่อุปาทาน
    คำว่า " อุปาทาน " หมายถึงว่า สิ่งที่เราคิดไว้ก่อน เราเห็นไว้ก่อน แล้วเวลาที่ทำสมาธิไป ไอ้สิ่งเหล่านั้นมันปรากฏขึ้น อย่างกับเคยเห็นภาพเทวดาที่เขาเขียนตามผนังโบสถ์ไม่มีเสื้อ นางฟ้าไม่มีเสื้อ เทวดาไม่มีเสื้อ อารมณ์แว๊บหนึ่งภาพลอยมาเทวดาไม่มีเสื้อ นี่แหละตัวอุปาทาน ไอ้ตัวที่จิตมันยึดอยู่ ถ้าอารมณ์เราเป็นสมาธิจริง ๆ จิตจับภาพพระเป็นปกติ แต่บางขณะจิตหายแว๊บลงไป สิ่งอื่นมันสะดุดขึ้นมาปรากฏในขณะที่จิตเป็นสมาธิ นั่นเป็นของแท้ ไม่ใช่อุปาทานนะ
    อันนี้พูดกันถึงด้านทิพจักขุญาณก่อน แต่ถ้าหากว่าท่านจะฝึกมโนมยิทธิก็ต้องใช้อารมณ์อย่างนี้ อารมณ์มันต้องใช้เท่ากัน ทั้ง ๔ อย่างนี่บอกแล้ว สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ใช้อารมณ์อย่างเดียวกัน ความเข้มแข็งของจิตเหมือนกัน แต่เว้นไว้แต่จะเลือก

    ทางเดินกันเท่านั้น ทีนี้ ถ้าหากว่าภาพของท่านเข้าถึงอารมณ์อุปจารสมาธิ ตอนนี้อารมณ์เริ่มเป็นทิพย์ จิตเริ่มเป็นทิพย์ จะเริ่มมีอาการไหวตัวขึ้นมาในด้านลักษณะของทิพจักขุญาณ เดี๋ยวก่อน ผมขอพูดต่อไปก่อน ยังไม่อธิบายหรอกตอนนี้ ถ้าต่อไปอาการภาพพระที่เราเห็น มีสภาพผ่องใสจับได้เป็นปกติ คำว่าปกติ นึกภาวนาขึ้นมาเมื่อไหร่ นึกถึงเห็นภาพพระทันที ไม่เสียเวลาแม้แต่หนึ่งวินาที นี่จิตต้องคล่องอย่างนี้นี่ตามวิสุทธิมรรคท่านว่า จิตต้องเป็นนวสี นวสี ก็คือ การคล่อง ถ้าการคล่องอย่างนี้เกิดขึ้น อารมณ์แห่งทิพจักขุญาณสามารถใช้ได้ เริ่มใช้ได้แต่ว่ายังไม่ดี วิธีใช้ทำยังไง ทีนี้วันนี้ผมจะพูดถึงอาการแห่งทิพจักขุญาณที่มันเกิดขึ้นอันดับต้น มันจะเกิดขึ้นแบบนี้ก่อน คือว่า เวลาเรานอนภาวนาไป เวลาภาวนานอนภาวนาจับภาพพระเรื่อยไป พอใกล้จะหลับ มันครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือว่าตื่นขึ้นมาครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่เต็มที่ มันจะเกิดนิมิตแว๊บหนึ่งขึ้นปรากฏ นิมิตนั่นจะเป็นนิมิตอะไรก็ตาม จิตมันจะบอกเลยว่านิมิตอันนี้จะเป็นภาวะอันนั้นเกิดขึ้น มันจะมีอะไรเกิดขึ้นใจเราต้องเชื่อจุดนี้ทันที อย่าไปคิดตอนหลังไม่ได้ แล้วจุดนั้นมันจะตรง
    เอาละ สำหรับวันนี้หมดเวลาแล้ว สวัสดี


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. bosssky

    bosssky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +679
    ฝึกทิพยจักขุญาณ........................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • tipjakkhu.wma
      ขนาดไฟล์:
      5.2 MB
      เปิดดู:
      964
  14. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    มีคนทำได้ด้วยเหรอ มองทะลุเสื้อผ้าได้หรือเปล่า
     
  15. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    อาภากะโร<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4148556", true); </SCRIPT>
    สมาชิก PREMIUM

    [​IMG]

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1272639/[/MUSIC]​

    อนุโมทนา สา ... ธุ ดีแล้วนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 ธันวาคม 2010
  16. ผมยังเลวอยู่มาก

    ผมยังเลวอยู่มาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +539

    อยากจะกด like ข้อความนี้สักสองล้านครั้ง เบื่อเหลือเกินพวกธรรมะแบบติสแตก
     
  17. AUGUST ENTANEER

    AUGUST ENTANEER สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +13
    " พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุสสูสัง ลภเต ปัญญัง การฟังด้วยดีย่อม ได้ปัญญา

    ฉะนั้น เวลาที่ท่านฟัง จงตั้งใจฟังด้วยความสงบ ถ้าบังเอิญจะให้มีกำไรยิงไปกว่านั้น เวลาที่ท่านฟังก็คิดตามไปด้วย เอาจิต น้อมยอมรับเหตุผล ในการรับฟังแต่ทว่าอย่ารับด้วยการไร้ปัญญา ใช้ปัญญาพิจารณาไปด้วยว่าจริงหรือไม่ จริงถ้าหากว่าทำ ได้อย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง และภิกษุสามเณรทุกท่าน หากว่าท่านมีกำลังของจิตพอแล้วก็ไม่ละอารมณ์แบบนี้ ความเป็นพระอริยเจ้าย่อมง่าย สำหรับท่าน

    ฉะนั้นบรรดาท่านทั้งหลายจะพิสูจน์ตัวของท่านได้ว่า ท่านรับฟังกันทุกวันวันละหลายครั้ง ท่านละความเลวได้มากน้อยเพียงใด จิตใจของท่านดีหรือว่าจิตใจของท่านเลว ต่อไปนี้ธรรมะในด้านของพรหมวิหาร4 เป็น เครื่องวัดจิตใจว่า ดีมากหรือเลว มากคำว่า พรหมวิหาร วิหารแปลว่า ที่อยู่ พรหม นี้แปลว่าประเสริฐ หมายความว่า เอาใจไปจับอยู่ในอารมณ์ แห่งความประ เสริฐ หรือเอาใจไปขังไว้ในความดีที่สุด ที่เรียกว่า ประเสริฐ ประเสริฐนี้แปลว่า ดีที่สุด พรหมวิหาร 4 อย่างคือ

    1. เมตตา ความรัก

    2. กรุณา ความสงสาร

    3. มุทิตา มีจิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร

    4. อุเบกขา วางเฉย

    ความจริงพรหมวิหาร 4 นี้เป็นธรรมะกลาง ที่ว่ากลางก็เพราะว่า ถ้าบุคคลใดมีอารมณ์ใจ ทรงอยู่ในพรหมวิหาร 4 เป็นปกติ บุคคลนั้น จะมีศีลบริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา จะมีจิตทรงฌานอยู่ตลอดเวลา และก็จะเป็นคนมีความฉลาดในด้านปัญญาสามารถ ตัดกิเลส เป็นสมุจเฉทปหานได้โดยง่าย ถ้าจะกล่าวกันว่า กรรมฐานบทนี้ เป็นกรรมฐานใหญ่ก็ว่าได้ นี้กล่าวกันโดยนัยหนึ่ง ก็คือว่า พรหมวิหาร 4 เป็นอาหาร อาหารเลี้ยงศีลให้อ้วน มีกำลัง เป็นอาหารเลี้ยง สมาธิให้มีกำลัง อาหารเลี้ยง ให้มีคมกล้า สามารถจะฟาดฟันกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานเมื่อไหร่ก็ได้ "

    ...ยกมาจากส่วนหนึ่งใน พรหมวิหารสี่ ตอนที่ 1...โดย พระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน ( วีระ ถาวโรมหาเถร ).....
     
  18. นันโท

    นันโท สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +2
    ขอชี้แนะนะคับ...การปฏิบัติสมาธินั้นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติควรรู้ก็คือผู้ปฏิบัติๆไปเพื่อสิ่งใดบางคนว่าปฏิบัติเพื่ออยากเห็น นรกหรือ สวรรค์หรือแม้อยากได้้่วิชา3 ก็ดี จิงๆแล้วจุดประสงค์ของการปฏิบัติกรรมฐานก็คือความสงบ..หาใช่ปารถนาวิชาต่างๆคับถ้าปารถนาแล้วฝึกยังไงก็ไม่ได้คับ เพราะว่าถ้าเราปารถนาแล้วว่าจะต้องได้ก็กลายเป็นความยึดถือคับ...นั่นก็คือความยึดมั่นถือมั่นนั่นเองคับ...ใครที่มีความคิดเช่นนี้แสดงว่าเรายังยึดติดอยู่กับวัตถุคับ ต่อให้ฝึกเป็นปๆีก็ไม่ได้คับ..หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกนะคับไม่มากก็น้อย....

    กายของเราคือต้นโพธิ์...
    ใจของเราคือกระจกเงา...
    เราเช็ดมันทุกวัน...
    แลไม่เห็นฝุ่น...
    ไม่มีต้นศรีมหาโพธิ์...
    ไม่มีทั้งกระจกเงา...
    เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่า...
    ฝุ่นจะจับอะไร...
     
  19. กรวี

    กรวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +263
    ภาวนาอะไรก้อได้ ไม่อยากเห็นอะไรเลย ไม่อยากได้อะไรเลย ...
    เห็นก้อช่างไม่เห็นก้อช่าง ได้ก้อโอไม่ได้ก้อไม่เป็นไร เพราะ
    จุดสูงสุดคือพระนิพพาน.. ทำตัวสบายๆ ... แค่นี้แหละที่ทำ
     
  20. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
     

แชร์หน้านี้

Loading...