เส้นแรงแม่เหล็ก - กาลเวลา - สันตติ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 27 สิงหาคม 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ที่มา: หนังสือ " พลังจิต ประสาน พลังพีรามิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ
    "สรรพสัตว์สิ่งจะถูกแรงดึงจากจุดศูนย์กลางเข้าไป และเมื่อหมดแรงดึงก็จะเด้งออกมาแล้วถูกดูดเข้าไปอีก วนไปวนมาเป็นรอบๆ เท่ากับเวลาของโลก 1 วินาที"
    "สังขารทั้งปวงต้องมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดาเพราะตกอยู่ในอำนาจของแรงดึงดังกล่าว ดังนั้น เราควรทำกิจการหลุดพ้นของจิตให้ถึงพร้อมอยู่ตลอดเวลาด้วยความไม่ประมาท ถึงจะไม่ตกไปสู่อำนาจแรงดึงอีกต่อไป"

    จากหนังสือ "เราจะทำดวงตาให้เห็นธรรมได้อย่างไร"
    กำเนิดของดาราจักร-หลุมดำ-เส้นแรงแม่เหล็ก
    เส้นแรงแม่เหล็กมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เปลี่ยนรูป และดับไปเป็นวัฏจักร กล่าวคือ เมื่อดาราจักร (กาแล็คซี่ - galaxy) ใดหมดพลังงานความร้อนแสงสว่างในตัวเองลงแล้ว สภาพของพลังงานที่ดับลงไปจะมีสภาพเป็นแรงดึงดูดที่อัดตัวกันแน่นที่เรียกว่า หลุมดำ (black hole) (หรือที่ในกลุ่มศิษย์พระอาจารย์เรียกว่า "อาทิตย์ดวงแม่" อันเป็นศูนย์กลางของดาราจักร - ผู้เรียบเรียง) แรงที่อัดตัวกันแน่นนี้เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง แรงอัดจะกลายเป็นแรงระเบิดขยายตัวออกมา ผลที่ได้จากการระเบิดจะได้พลังงานที่อัดกันแน่นเป็นเส้นพุ่งฟุ้งกระจายออกมา พลังงานที่อัดกันแน่นเป็นเส้นนี้ก็คือ "เส้นแรงแมเหล็ก" นั่นเอง
    เมื่อกระจายตัวออกมาแล้วพวกที่พุ่งออกมาก่อนก็จะลอยเคลื่อนอยู่ในอวกาศ ส่วนพวกที่พุ่งออกมาทีหลังที่อยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางการระเบิด เมื่อเคลื่อนมาได้ระยะหนึ่ง จะถูกแรงจากศูนย์กลางที่เกิดการระเบิดดึงกลับม้วนตัวเข้าไป เส้นแรงแม่เหล็กพวกหลังนี้ขณะม้วนตัวเข้าสู่ศูนย์กลางจะเกิดการชนกันเอง หรือชนกับอนุภาคมวลสารในอวกาศจนทำให้เกิดพลังงานขึ้น เป็นแสงสว่าง เป็นความร้อน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่างๆ และยังได้อนุภาคพื้นฐานต่างๆ ออกมาอีกมากมาย เช่น โปรตอน อิเล็กตรอน นิวตรอน เป็นต้น รวมทั้งได้อนุภาคหนัก เบา ได้อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าตรงข้ามกัน อนุภาคหนักเบาและอนุภาคที่มีประจุตรงข้ามกันเหล่านี้จะเข้ามาจับตัวกัน อนุภาคเบาจะวิ่งวนเป็นบริวารของอนุภาคหนัก กลายเป็นอะตอมของธาตุต่างๆ เกิดมวลสาร จนเกิดเป็นระบบดาวขึ้นมามากมาย ระบบดาวเหล่านี้ก็จะวิ่งโคจรรอบจุดศูนย์กลางของแรงดึงดูด เกิดเป็นดาราจักรขึ้นมาในที่สุด
    ส่วนเส้นแรงแม่เหล็กที่พุ่งออกมากลุ่มแรกๆที่เคลื่อนอยู่ในอวกาศ จะถูกดาราจักรกลุ่มอื่นดึงไปใช้งาน เพื่อเป็นเส้นแรงที่ใช้เชื่อมต่อกับดาราจักรต่างๆต่อไป แล้วเมื่อใดดาราจักรใช้พลังงานหมด ก็จะยุบตัวลงไปกลายสภาพเป็นแรงดึงดูด ดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นพลังงานหรือสสารก็ตาม กลายเป็นหลุมดำขึ้นมาอีก เมื่อหลุมดำเข้ามารวมตัวกันแล้วอัดแน่นจนถึงที่สุด ก็จะระเบิดปลดปล่อยพลังงานที่อัดเป็นเส้นกระจายตัวออกมาอีก พลังงานที่เป็นเส้นก็จะรวมกันเป็นอนุภาคพื้นฐาน เกิดเป็นธาตุต่างๆ จนกลายเป็นระบบดาวฤกษ์และดาราจักรขึ้นอีก วนไปวนมาไม่มีที่สิ้นสุด
    ขั้วโลกเหนือ-ขั้วโลกใต้
    ระบบดาวต่างๆที่เกิดการหมุนวนเกาะกันเป็นกลุ่มก้อนได้ ก็เพราะเส้นแรงแม่เหล็กไหลเวียนเชื่อมดาวแต่ละดวงเข้าด้วยกันอยู่ เหมือนกับเส้นเชือกที่ร้อยลูกบอลให้เชื่อมต่อกัน ก่อเกิดเป็นเส้นทางเดินของเส้นแรงแม่เหล็กระหว่างดวงดาวต่างๆ ที่มีความสลับซับซ้อนมาก เชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายเต็มไปหมด และภายในดาวแต่ละดวงก็จะมีการไหลเวียนของเส้นแรงแม่เหล็ก โดยที่ระดับพื้นผิวของดาว เส้นแรงแม่เหล็กจะเคลื่อนตัวจากขั้วใต้ขึ้นไปสู่ขั้วเหนือ แล้วเคลื่อนเข้าสู่แกนกลางของดวงดาวที่ขั้วเหนือ แล้วเคลื่อนทะลุแกนกลางไปออกที่ขั้วใต้ หมุนเวียนกันไปอย่างนี้ นอกจากนี้ก็ยังมีการไหลเวียนในเส้นทางอื่นอีกที่ซ้อนทับกันไป
    [​IMG]
    สำหรับดาวโลกของเรา จุดเชื่อมต่อระหว่างโลกกับจุดศูนย์กลางดาราจักรทางช้างเผือกจะอยู่ที่บริเวณขั้วโลกเหนือ ดังนั้นที่ขั้วโลกเหนือนี้ นอกจากจะมีเส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนเข้าสู่แกนโลกแล้ว ยังมีเส้นแรงส่วนหนึ่งไหลเวียนขึ้นไปสู่อวกาศ เดินทางไปยังศูนย์กลางดาราจักร และในขณะเดียวกันก็จะมีเส้นแรงแม่เหล็กที่เดินทางสวนมาจากศูนย์กลางดาราจักร เคลื่อนมาสู่โลก เข้ามาที่ขั้วโลกเหนือ แล้วทะลุแกนโลกไปยังขั้วโลกใต้ แล้วก็เคลื่อนที่ออกมาจากขั้วใต้ เดินทางตามพื้นผิวขึ้นไปขั้วเหนืออีก วนเวียนไปอยู่ตลอด ลักษณะเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับดวงดาวทุกดวงในดาราจักรทางช้างเผือก ขั้วบนสุดของดาวทุกดวงจะหันชี้ไปยังจุดศูนย์กลางดาราจักร เกิดเป็นขั้วเหนือของดาวขึ้นมา อีกด้านที่เป็นด้านตรงข้ามก็เป็นขั้วใต้ การเกิดขั้วเหนือ-ขั้วใต้ของดาวก็เกิดขึ้นด้วยกลไกเช่นนี้
    ฉะนั้นในโลกของเรา การที่เข็มทิศชี้ไปยังทิศเหนือก็เพราะถูกจุดศูนย์กลางดาราจักรที่มีกำลังดึงดูดมาก ดึงเส้นแรงแม่เหล็กตามผิวโลกให้เคลื่อนไปยังขั้วเหนือตลอดเวลา เส้นแรงแม่เหล็กจึงเหนี่ยวนำให้เข็มทิศชี้ไปยังขั้วเหนือตลอดเวลาด้วย เข็มทิศจึงชี้ ไปยังขั้วเหนือด้วยกลไกการไหลเวียนของเส้นแรงแม่เหล็กในลักษณะนี้
    ส่วนจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ จะอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก ตรงบริเวณที่เรียกกันว่า สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ปรากฏการณ์ประหลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านี้ เกิดขึ้นจากการผันผวนของสนามแม่เหล็ก ซึ่งจะเกิดขึ้นเป็นบางช่วงบางเวลาเท่านั้น เมื่อโลก ดวงอาทิตย์ และศูนย์กลางดาราจักร ได้โคจรมาทำมุมที่พอเหมาะต่อกัน
    เส้นแรงแม่เหล็ก-กาลเวลา-สันตติ
    การไหลเวียนของเส้นแรงแม่เหล็กระหว่างศูนย์กลางดวงดาวกับศูนย์กลางดาราจักรนอกจากจะทำให้เกิดแรงเชื่อมต่อกันแล้ว ในขณะเดียวกัน แรงเชื่อมต่อที่เกิดขึ้นระหว่างศูนย์กลางดวงดาวกับศูนย์กลางดาราจักร ที่แรงเข้าสู่ศูนย์กลางกับแรงหนีศูนย์กลาง ทำมุมตรงกันข้ามกันนั้น จะก่อให้เกิดเป็น แรงสืบต่อ ของสิ่งที่เรียกว่า กาลเวลา ขึ้น โดยลักษณะของแรงที่เกิดขึ้น มีลักษณะเป็นแรงดึงที่เคลื่อนเข้าเคลื่อนออกศูนย์กลาง เกิดขึ้นสลับกันไปมา การที่ศูนย์กลางใดจะเกิดแรงดึงขึ้นมาได้นั้นสภาพพลังงานที่ศูนย์กลางในขณะนั้นจะต้องอยู่ในสภาพพลังงาน ที่เรียกว่า ธาตุศูนย์ หรือ สุญญตา โดยที่ศูนย์กลางที่เป็นสิ่งถูกดึง สภาพพลังงานที่ศูนย์กลางในขณะนั้นจะอยู่ในสภาพพลังงาน ที่เรียกว่า ความเป็นหนึ่ง หรือ เอกัคคตา ดังนั้นที่ศูนย์กลางโลกและของดาราจักร ก็จะมีการเปลี่ยนสภาพพลังงานจาก ธาตุศูนย์ ไปเป็น ความเป็นหนึ่ง จาก ความเป็นหนึ่ง ไปเป็นธาตุศูนย์ เปลี่ยนถ่ายสภาพพลังงานไปมาอย่างต่อเนื่อง จังหวะที่ศูนย์กลางดาราจักร เริ่มเกิดแรงดึง จนกระทั่งหมดแรงดึง และจังหวะที่ศูนย์กลางโลก เกิดแรงดึง จนกระทั่งหมดแรงดึง จะมีช่วงหรือระยะของจังหวะที่มีค่าคงที่ค่าหนึ่งเสมอ ค่าของช่วงจังหวะนี้คือ 1 วินาที
    แรงดึงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างศูนย์กลางดาราจักรกับศูนย์กลางโลกเท่านั้น แต่เกิดกับทุกดาวบริวาร และในโลกของเราก็ไม่ได้เกิดเฉพาะกับศูนย์กลางโลกเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับทุกอะตอมของสสารภายในโลก โดยที่นิวเคลียสของแต่ละอะตอมจะเกิดการเปลี่ยนสภาพพลังงาน จากธาตุศูนย์เป็นความเป็นหนึ่ง จากความเป็นหนึ่งเป็นธาตุศูนย์ สลับกับศูนยกลางดาราจักรอย่างต่อเนื่องเป็นจังหวะๆ เช่นเดียวกัน
    เส้นแรงมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างศูนย์กลางดาราจักร กับศูนย์กลางของดวงดาว และทุกศูนย์กลางของแต่ละอะตอม ที่เคลื่อนไหว ไป-มา เข้า-ออก เป็นจังหวะๆตลอดเช่นนี้ จะทำให้เกิดสนามแรงดึงขนาดใหญ่ขึ้น และด้วยสนามแรงขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมทุกสิ่งไว้จึงทำให้เกิดมิติของสนามแรงที่เป็น แรงสืบต่อ ที่ขับเคลื่อนมิติของกาลเวลาให้เกิดขึ้น และมิติของเวลา ก็จะไปครอบคลุม มิติของสสาร วัตถุ รวมถึงครอบคลุม มิติของพลังงาน คือ ความเป็นคลื่น ความเป็นอนุภาค ความถี่ ความยาวคลื่น ตลอดจนครอบคลุมมิติของจิต คือ สัญญา เวทนา สังขาร วิญญาณ จนกระทั่งจิตตกอยู่ในอิทธิพลของมิติพลังงาน มิติของสสาร และมิติกาลเวลา มิติทั้งหมดที่ประกอบเข้าด้วยกันนี้จึงเกิดเป็นการสืบต่อของเหตุการณ์ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ของสสาร ของพลังงาน และของจิต ที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ เป็นเหตุ เป็นผล ของการกระทำในสิ่งต่างๆ ทั้งการกระทำ ทางกาย วาจา และใจ การศึกษาเรื่องแรงสืบต่อของกาลเวลาโดยทางสมาธิจิตนี้ เมื่อจิตบุคคลใดสามารถอยู่เหนือกาลเวลา หรือหลุดออกจากแรงสืบต่อของกาลเวลาได้ ถึงที่สุดของการศึกษาแล้วก็จะรู้และเข้าใจในเรื่อง กฎแห่งกรรม
    ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากมีแรงสืบต่อที่เกิดขึ้นระหว่างจุดสองจุดที่อยู่ห่างไกลกันดังที่ได้อธิบายมาแล้ว แรงสืบต่อยังเกิดได้กับเฉพาะจุดเฉพาะส่วนซึ่งเกิดเป็นแรงสืบต่อที่มีระยะสั้นเข้ามาเรื่อยๆ เช่นเฉพาะที่หัวใจเอง ก็ยังเกิดแรงสืบต่อระหว่างศูนย์กลางใจกับเซลล์ที่ประกอบเป็นหัวใจ เป็นแรงดึงเข้าผลักออก ระหว่างศูนย์กลางหัวใจกับเซลล์ที่อยู่รอบๆที่ประกอบเป็นหัวใจ ซึ่งปรากฏออกมาเป็นการเต้นของหัวใจ แรงดึงเข้าผลักออกของหัวใจนี้นอกจากเกิดขึ้นจากกลไกของธาตุศูนย์กับความเป็นหนึ่งแล้ว ยังมีพลังลมปราณเข้ามาช่วยขับเคลื่อนให้การเต้นของหัวใจเกิดสืบต่อต่อไปได้ การเกิดแรงสืบต่อเฉพาะจุดเฉพาะอวัยวะนี้ก็ไม่เกิดขึ้นที่หัวใจที่เดียวเท่านั้น ที่อวัยวะอื่น เซลล์อื่นก็เกิดขึ้นเช่นกัน ซึ่งถึงที่สุดแล้วในอะตอมของเซลล์ในร่างกายและในสสารทุกชนิดก็มีแรงสืบต่อที่เป็นสนามแรงขนาดเล็ก เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เราจึงพบว่ามีสนามแรงขนาดเล็กจำนวนมหาศาล ที่รวมกันอยู่ในสนามแรงที่มีขนาดใหญ่กว่า สนามแรงขนาดเล็กจะได้รับพลังที่ส่งผ่านมาจากสนามแรงที่มีขนาดใหญ่กว่าเป็นชั้นๆ เป็นทอดๆ เชื่อมโยงกันเป็นเส้นเป็นสายเป็นใยของเส้นแรงที่ถักทอเชื่อมทุกสิ่งเข้าด้วยกัน
    ถ้าคนเรามีสุขภาพดีจังหวะการเต้นของหัวใจและชีพจรจะเท่ากับหรือใกล้เคียง 60 ครั้งในระยะเวลาหนึ่งนาที ซึ่งเป็นจังหวะของธรรมชาติ จังหวะของกาลเวลา ที่ศูนย์กลางดาราจักรกับศูนย์กลางโลกเกิดแรงสันตติระหว่างกัน นั่นคือเมื่อมนุษย์มีจังหวะของชีวิตสอดคล้องกับจังหวะของธรรมชาติ ร่างกายก็จะแข็งแรงมีสุขภาพดี แต่ถ้าการเต้นของหัวใจและชีพจรเร็วหรือช้ากว่า 60 ครั้งต่อนาทีมาก และการเต้นนั้นไม่สม่ำเสมอ ผิดปกติ ไม่หนักแน่นมีพลัง ก็จะเป็นสิ่งบอกถึงสุขภาพร่างกายที่กำลังเจ็บป่วยเสื่อมถอย
    ในศาสนาพุทธมีคำที่ใช้อธิบายความเป็นไปของสรรพสิ่งต่างๆ อยู่สี่คำคือ
    1. อุปจย-ความเกิดขึ้นหรือก่อตัวขึ้น
    2. สันตติ-ความสืบต่อ
    3. ชรตา-ความเสื่อมหรือทรุดโทรม
    4. อนิจจตา-ความแตกสลายหรือแตกดับ
    ความเป็นไปของสรรพสิ่งที่เป็นสัจจธรรมความจริง มีสี่ขั้นตอน คือ มีความเกิดขึ้น (อุปจย) จากนั้นก็ตั้งอยู่และสืบต่อความมีอยู่ (สันตติ) จนกระทั่งเกิดความเสื่อม (ชรตา) และสุดท้ายถึงความแตกสลายไป (อนิจจตา) ซึ่งเราต้องประสบกันทุกคนและทุกขั้นตอนสำหรับคำว่า สันตติ ที่หมายถึง ความสืบต่อนี้ เป็นคำที่มีความสำคัญและใช้ได้กว้างขวางเพราะครอบคลุมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังดำรงอยู่ การที่สิ่งใดๆดำรงอยู่ มีอยู่ และเป็นอยู่ ก็เพราะสิ่งนั้นยังมีการสืบต่อไปของการมีอยูู่เป็นอยู่ของสิ่งนั้นๆ และการที่สิ่งนั้นยังมีการสืบต่ออยูู่ ก็เพราะยังมีแรงหรือพลังงานที่มากเพียงพอแก่การเกิดแรงสืบต่อเพื่อให้สิ่งนั้นดำรงคงอยูู่ต่อไป ดังนั้นแรงสืบต่อที่ได้กล่าวถึง เช่น แรงสืบต่อของศูนย์กลางระหว่างดาราจักรกับดวงดาวบริวาร ซึ่งทำให้เกิดแรงโน้มถ่วงระหว่างกัน และทำให้เกิดแรงสืบต่อของเวลา เราก็สามารถเรียกแรงเหล่านี้ว่าเป็น แรงสันตติ ของแรงโน้มถ่วง และของกาลเวลาได้
    แล้วกลไกที่อยู่เบื้องหลังการเสื่อมสลายของสิ่งต่างๆเป็นอย่างไร ทำไมคนเราจากเกิดมาเป็นเด็ก โตขึ้นแล้วแก่ตัวลง ผิวหนังจากเต่งตึงก็กลับหย่อนยาน เซลล์ในร่างกายเกิดความเสื่อมถอย อีกทั้งสสารวัตถุต่างๆ เกิดการเน่าเปื่อยผุพังไป โดยที่วัตถุบางชิ้นตั้งอยู่เฉยๆ ไม่มีใครหรืออะไรไปทำอะไรกับมัน มันก็เกิดการเสื่อมสภาพไปได้ สิ่งที่อยู่เบื้องหลังอันสำคัญของการเสื่อมสลายของสิ่งต่างๆ นี้ก็คือ เส้นแรงแม่เหล็ก กลไกของการเสื่อมสลายเกือบทั้งหมดเกิดขึ้นจากการที่เส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนไหวทะลุผ่านสิ่งต่างๆ แต่ในบางกรณีก็เกิดขึ้นจากเส้นแรงแม่เหล็กรวมตัวกันอยู่นิ่งๆ ภายในอะตอมทุกอะตอมก็มีศูนย์กลางคือ นิวเคลียส นิวเคลียสของอะตอมทั้งหลายย่อมจะถูกเส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนที่เข้ามาชน กระทบ รบกวน อยู่ตลอดเวลา การที่นิวเคลียสถูกเส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนเข้ามากระทบนี้จะทำให้นิวเคลียสเกิดการสั่นสะเทือน ทำให้อะตอมต่างๆเคลื่อนไหวเพื่อแตกตัวแยกตัวเป็นอิสระออกจากกัน เกิดการแปรเปลี่ยนลักษณะโครงสร้างของสารประกอบและอะตอมไป จนสลายตัว แยกออกจากกันในที่สุด สสารวัตถุไม่ว่าจะอยู่ที่ดาวดวงไหน กลไกการเสื่อมสลายก็ล้วนเกิดขึ้นเหมือนกันกับที่เกิดบนโลกของเรา แรงสันตติ ที่เป็นแรงสืบต่อความตั้งอยู่ มีอยู่ ของสิ่งต่างๆ มองอีกด้านหนึ่งก็เป็นแรงที่ทำให้สิ่งทั้งหลายสืบต่อไปสู่ความแตกดับ เมื่อตั้งอยู่ก็ด้วยแรงสืบต่อ เมื่อเสื่อมสลายก็ด้วยแรงสืบต่อเช่นกัน ทุกขณะเวลาที่สืบต่อความมีอยู่ ก็คือเวลาสู่ความแตกดับ ความมีอยู่กับความเสื่อมสลายอยู่คู่กันตลอดเวลา ยิ่งเกิดการสืบต่อมากเท่าใด ความเสื่อมโทรมก็เกิดมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายต้องถึงความแปรปรวนแตกสลายไป

    knowledge1 - ingdhamma
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หลักการของพีระมิด
    ที่มา: หนังสือ "พลังจิต ประสาน พลังพีระมิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ

    วัตถุรูปทรงพีระมิดนี้เป็นรูปทรงที่ต้องกล่าวว่า แฝงความพิสดารของการใช้งานเอาไว้อย่างมากมาย โดยคุณสมบัติสำคัญที่เกิดตามธรรมชาติของรูปทรงก็คือ​
    • สามารถหักเหเส้นทางการเคลื่อนที่ของเส้นแรงแม่เหล็กได้
    • สามารถจัดระเบียบหรือจัดการเรียงตัวของเส้นแรงแม่เหล็กให้เป็นระเบียบได้
    • สามารถเหนี่ยวนำพลังลมปราณให้มารวมตัวกันภายในรูปทรงและบริเวณใกล้เคียงได้ดีมาก
    กล่าวคือเมื่อเส้นแรงแม่เหล็กพุ่งเข้ามาชนวัตถุรูปทรงพีระมิดแทนที่จะเคลื่อนทะลุผ่านไปยังอีกด้านหนึ่งทั้งหมด กลับถูกลักษณะของรูปทรงหักเหเส้นทางการเคลื่อนที่ให้เคลื่อนเบี่ยงเบนไปจากเส้นทางเดิม เส้นแรงแม่เหล็กที่พุ่งเข้ามาส่วนใหญ่จะถูกบังคับให้เคลื่อนขึ้นไปยังบริเวณยอดแหลมของพีระมิด แล้วพุ่งออกไปตรงบริเวณยอดแหลมของพีระมิดนั้น โดยในขณะที่เส้นแรงเคลื่อนเข้าสู่พีระมิดก็จะถูกจัดเรียงให้เคลื่อนตัวอย่างเป็นระเบียบ ลักษณะการเคลื่อนตัวก็จะมีรูปลักษณ์ทั้งที่เป็นเส้นตรง เส้นโค้ง และหมุนเป็นเกลียวแตกต่างกันไปตามแง่มุมและระยะความลึกภายในรูปทรงพีระมิดนั้น
    การที่รูปทรงพีระมิดสามารถหักเหเส้นทางการเคลื่อนที่ของเส้นแรงแม่เหล็ก จัดระเบียบการเคลื่อนที่ และเหนี่ยวนำลมปราณได้ดี ก็เพราะ รูปทรงพีระมิดเป็นรูปทรงที่ไม่มีจุดศูนย์กลาง ซึ่งแตกต่างกับรูปทรงกลมที่ภายในทรงกลมจะมีจุดศูนย์กลางอยู่ ซึ่งเป็นจุดที่เมื่อวัดระยะจากขอบของรูปทรงจากทุก 360 องศาสามมิติ คือ ทั้งมิติด้านกว้าง ยาว ลึก เมื่อวัดระยะเข้ามาหาจุดศูนย์กลางแล้วจะมีระยะทางเท่ากันหมด ลักษณะของรูปทรงกลมเช่นนี้ ณ.จุดศูนย์กลาง พลังงานชนิดต่างๆสามารถมาหยุดรวมตัวกันได้ดีที่ สุด เพราะเป็นจุดศูนย์รวมแรงดึงดูดของรูปทรงและเป็นจุดศูนย์ถ่วงด้วย แต่รูปทรงพีระมิดไม่มีจุดเช่นนี้ ที่จะมีก็คือแกนกลาง ซึ่งเป็นแกนที่เชื่อมระหว่างยอดแหลมกับจุดตัด กันของเส้นทแยงมุมที่ฐานของพีระมิด
    [​IMG]

    แกนกลางนี้ เมื่อวัดระยะห่างระหว่างแกนกับขอบของรูปทรงแต่ละด้านแล้ว ระยะห่างจะมีค่ามากที่สุดเมื่อวัดที่ฐานของรูปทรง และจะมีค่าลดลงไปเรื่อยๆ จนเหลือศูนย์ที่ยอดแหลมของพีระมิด ด้วยลักษณะของรูปทรงเช่นนี้จะไม่เกิดจุดรวมพลังงาน แต่พลังงานจะเกิดการรวมตัวกันที่แกนกลางของรูปทรง ดังนั้น เมื่อเส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนเข้ามาในรูปทรงพีระมิด ก็จะถูกลักษณะลาดเอียงด้านหน้าตัดของพีระมิดหักเหเส้นทางการเคลื่อนที่ ถูกบีบให้เคลื่อนสู่แกนกลางแล้ว เคลื่อนขึ้นสู่ยอดแหลมของพีระมิด ถ้าเป็นพีระมิดที่ภายในรูปทรงกลวง เส้นแรงจะเข้ามารวมตัวกันเป็นแกนอย่างหลวมๆ เกิดแกนพลังเส้นแรงแม่เหล็กที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก เพราะเส้นแรงส่วนใหญ่จะเคลื่อนไปตามบริเวณขอบของรูปทรงแล้วพุ่งขึ้นสู่ยอดแหลม แต่ถ้าเป็นรูปทรงพีระมิดที่ภายในทึบหรือตัน เส้นแรงที่เคลื่อนเข้ามารวมกันที่แกนกลางจะมีความหนาแน่นและเข้มข้นกว่าพีระมิดที่ภายในกลวง คือ ยิ่งเป็นพีระมิดที่ภายในทึบหรือตันมากเท่าใด เส้นแรงก็จะเข้ามารวมตัวที่แกนกลางมากกว่าเท่านั้น เกิดเป็นแกนพลังเส้นแรงแม่เหล็กที่มีความหนาแน่นของเส้นแรงที่เคลื่อนพุ่งขึ้นสู่ยอดแหลม เกิดเป็นแกนพลังเส้นแรงแม่เหล็กที่มีความแข็งแรงขึ้น การที่เส้นแรงเคลื่อนขึ้นสู่ยอดแหลมก็เพราะที่บริเวณยอดแหลมมีปริมาณเส้นแรงพุ่งเข้ามาน้อยกว่าบริเวณฐานพีระมิด แรงดันหรือความเข้มของเส้นแรงจึงมีน้อยกว่าที่บริเวณฐานและบริเวณที่สูงจากฐานขึ้นมา แรงดันของเส้นแรงที่สะสมตั้งแต่ที่ฐานของรูปทรงจึงมีมากกว่าที่ยอดแหลม จึงขับเคลื่อนให้เส้นแรงขึ้นไปสู่ยอดแหลม ทำให้ที่ยอดแหลมกลายเป็นทางออกของเส้นแรงที่พุ่งเข้ามาในพีระมิด ส่วนบริเวณแกนกลางของรูปทรง โดยเฉพาะพีระมิดรูปทรงทึบหรือตัน ซึ่งเป็นรูปทรงที่สามารถเกิดแกนพลังได้ดีนั้น เส้นแรงแม่เหล็กที่เคลื่อนเข้ามาจะเข้ามาหมุนเป็นเกลียวที่บริเวณแกนกลาง โดยหมุนเป็นเกลียวในลักษณะทวนเข็มนาฬิกาขึ้นไปสู่ยอดแหลม เกิดเป็นแกนพลังเส้นแรงแม่เหล็กขึ้น การหมุนเป็นเกลียวของเส้นแรงแม่เหล็กบริเวณแกนกลางของรูปทรงพีระมิดนี้เองที่เป็นแรงดึงดูดให้กระแสลมปราณไหลเข้ามาสะสมอยู่ภายในพีระมิด รวมถึงเกิดการไหลเวียนของกระแสลมปราณด้วย ซึ่งทิศทางการไหลเวียนของเส้นแรงแม่เหล็กและลมปราณนี้สามารถที่จะบังคับได้ตามลักษณะการจัดวางพีระมิด
    ด้วยคุณสมบัติของพีระมิดดังที่ได้กล่าวมา ได้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับรูปทรงพีระมิด ซึ่งในปัจจุบันยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่มากพอสมควรเกี่ยวกับความลับของรูปทรงพีระมิดต่อปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ยากต่อการอธิบาย แต่เมื่อได้ทราบถึงคุณสมบัติของพีระมิดดังกล่าวข้างต้นแล้วก็จะสามารถอธิบายได้ เช่น มหาพีระมิดคีอ็อป ที่ เมืองกีซา ประเทศอียิปต์ พบว่าเมื่อมีสัตว์เข้ามาตายในมหาพีระมิด เช่น หนู เมื่อเข้ามาตายปรากฏว่าซากศพไม่เน่าเปื่อย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมหาพีระมิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูป ทรงพีระมิดที่มีขนาดใหญ่มาก ด้วยเป็นวัตถุรูปทรงพีระมิดที่มีขนาดใหญ่ จึงสามารถหักเหเส้นแรงแม่เหล็กได้เป็นปริมาณมาก เส้นแรงแม่เหล็กโลกที่เคลื่อนเข้ามาชนกับมหาพีระมิดจึงถูกหักเหให้พุ่งขึ้นไปยังบริเวณยอดแหลมของพีระมิด แล้วพุ่งออกไปตรงบริเวณยอดแหลมสู่อวกาศ ทำให้ภายในมหาพีระมิด มีเส้นแรงแม่เหล็กเหลืออยู่น้อยมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ สสารวัตถุที่อยู่ภายในพีระมิดจึงไม่ถูกเส้นแรงแม่เหล็กรบกวนเหมือนกับสสารวัตถุที่อยู่ภายนอกพีระมิด ดังนั้นวัตถุที่อยู่ภายในมหาพีระมิดจึงมีอัตราการ เสื่อมสลายช้ากว่าวัตถุที่อยู่ภายนอกพีระมิดมาก
    [​IMG]

    การทดลองทางวิทยาศาสตร์ของรูปทรงพีระมิดที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการชะลอการเสื่อมสลายของวัตถุธาตุต่างๆ ได้ ทดลองโดยวางเนื้อหมูดิบไว้ภายในพีระมิดจำลอง 6 วัน พบว่าเนื้อหมูได้เหือดแห้งไปโดยไม่เน่าเปื่อยและสามารถนำมาปรุงอาหารได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะนอกจากรูปทรงพีระมิดได้หักเหเส้นแรงแม่เหล็กไม่ให้รบกวนอะตอมและโมเลกุลของเนื้อหมู แล้วเนื้อหมูยังได้รับพลังลมปราณที่ถูกพีระมิดเหนี่ยวนำเข้ามาทำให้เนื้อหมูไม่เน่าเปื่อยอีกทั้งยังคงสภาพสามารถนำไปทำอาหารได้
    อีกทั้งยังพบว่าพีระมิดสามารถทำสิ่งของบางชนิดที่เป็นของเก่าให้กลายเป็นของใหม่ได้ คือ การนำใบมีดโกนที่ถูกใช้แล้วเมื่อนำมาวางไว้ในพีระมิดจำลองพบว่ามีสิ่งมาลับใบมีดโกนให้คมขึ้นมาใหม่ได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะโมเลกุลของโลหะที่นำมาทำใบมีดโกนนั้นเมื่อใช้งานไปมากๆโมเลกุลที่เรียงตัวกันอยู่อย่างเป็นระเบียบจะสูญเสียความเป็นระเบียบในการเรียงตัวไป ทำให้ใบมีดลดความคม เมื่อนำมาวางไว้ในพีระมิดจำลอง โมเลกุลของโลหะจะถูกเหนี่ยวนำให้จัดเรียงโมเลกุลให้เป็นระเบียบขึ้นใหม่ ทำให้ใบมีดกลับคมขึ้น ผู้สนใจนั่งสมาธิหลายคนได้ทดลองนั่งสมาธิภายในเต็นท์รูปทรงพีระมิดหลายครั้ง พบว่าพีระมิดช่วยให้เกิดสมาธิได้เร็วกว่าปกติ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสมองและจิตใจของผู้ทำสมาธิถูกรบกวนจากเส้นแรงแม่เหล็กน้อยลงทำให้จิตรวมตัวเกิดสมาธิได้ง่าย นอกเหนือจากปรากฏการณ์เกี่ยวกับพีระมิดที่ได้กล่าวมา ยังมีการทดสอบ ทดลองเกี่ยวกับพีระมิดอีกมากมายที่ไม่ได้นำมากล่าวถึง ซึ่งผลการทดลองที่ออกมามักจะเกิดผลในทางบวกกับสิ่งต่างๆที่ได้เข้าไปอยู่ในรูปทรงพีระมิด

    knowledge2 - ingdhamma
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ปราณคืออะไร
    ที่มา: เรียบเรียงจาก หนังสือ "สมาธิหมุน จิตวิวัฒน์ เพื่อความพ้นทุกข์" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ

    ร่างกายของมนุษย์เรานั้น เป็นแหล่งผลิตพลังงานที่ทรงประสิทธิภาพมากชนิดหนึ่ง ดังนั้นจึงมีพลังในรูปแบบต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นในร่างกายของเรา แหล่งพลังงานหรือวัตถุดิบที่เรานำมาใช้เพื่อผลิตพลังงานนั้นล้วนเป็นสิ่งที่เราหยิบยืมแบ่งสรรมาจากธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเราทั้งสิ้น เช่น นำมาจากดิน จากน้ำ จากอากาศ จากพืช สิ่งที่ได้มาก็คือแร่ธาตุต่างๆ ส่วนจากไฟ สิ่งที่ได้มาคือพลังงานความร้อน สิ่งเหล่านี้เมื่อเข้ามาประชุมรวมกันในร่างกายของเรา โดยการกิน การดื่ม การหายใจแล้ว กระบวนการในร่างกายของเราก็จะเปลี่ยนสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นโครงสร้าง เป็นอวัยวะของร่างกาย และเป็นพลังงานเพื่อทำให้อวัยวะและโครงสร้างของเราเกิดการเคลื่อนไหว เกิดการทำงานเพื่อทำให้ชีวิตเราดำรงอยู่ได้​
    พลังงานที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตพลังงานในร่างกายของเรานั้นมีอยู่หลายประการด้วยกัน ที่สำคัญคือ พลังความร้อน พลังไฟฟ้า พลังแม่เหล็ก พลังแม่เหล็กไฟฟ้าหรือแสงสว่าง พลังเหล่านี้มันไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเรา แทรกซึมอยู่ทุกอวัยวะ แล้วทุกอวัยวะนั้นประกอบด้วยเซลล์ เซลล์ประกอบขึ้นจากสารประกอบ สารประกอบประกอบขึ้นจากโมเลกุล โมเลกุลประกอบขึ้นจากธาตุ ธาตุประกอบขึ้นจากอะตอม อะตอมประกอบขึ้นจากอนุภาคที่เล็กกว่า คือ อิเลคตรอน โปรตอน และ นิวตรอน
    พลังงานที่ร่างกายผลิตขึ้นมา มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ เพื่อให้อิเลคตรอนใช้เป็นพลังงานในการเคลื่อนไหว ทั้งในการเคลื่อนไหวหมุนรอบนิวเคลียส ทั้งการเคลื่อนที่ไปสู่อะตอมอื่น การเคลื่อนไหวของอิเลคตรอนในร่างกายของเรามีความหมายอย่างยิ่ง เพราะมันหมายถึงชีวิตและสุขภาพของเราเลยทีเดียว เนื่องจากการเคลื่อนไหวของอิเลคตรอนจะทำให้ อะตอม โมเลกุล เซลล์ อวัยวะ เกิดการเคลื่อนไหวทำงาน มันคือการทำงานจากระดับเล็ก สู่ระดับใหญ่ หมุนเวียนส่งต่อกันไป
    พลังความร้อน พลังไฟฟ้า พลังแม่เหล็ก พลังแสงสว่าง ที่ร่างกายผลิตขึ้นเพื่อให้อิเลคตรอนใช้เคลื่อนที่นั้น จะเป็นพลังงานที่มีความเข้ม ความถี่ อยู่ในช่วงที่พอเหมาะแก่ร่างกายของเราช่วงหนึ่ง และในทางกลับกัน การเคลื่อนไหวของอิเลคตรอนก็ทำให้ได้ พลังความร้อน พลังไฟฟ้า พลังแม่เหล็ก พลังแสงสว่าง ออกมาเช่นกัน ซึ่งร่างกายของคนที่สุขภาพแข็งแรงเป็นปกติ อิเลคตรอนย่อมจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วและความถี่ที่เหมาะสมค่าหนึ่ง พลังที่ออกมาก็จะมีความเข้ม ความถี่ ที่ใกล้เคียงหรือเท่ากับที่ให้เข้าไป พลังที่มีความสำคัญมากคือ พลังแสงสว่าง เพราะมันเป็นพลังที่เป็นต้นกำเนิดของพลังอื่นๆ และพลังเหล่านี้ที่เกิดขึ้นแล้ว มันสามารถเปลี่ยนรูปกันได้ กลับไปกลับมา เมื่อเราทานอาหาร นอกเหนือจากได้รับแร่ธาตุแล้ว เรายังได้รับพลังแสงเข้าไปอีกด้วย โดยได้รับโดยทางอ้อม กล่าวคือ เราอาศัยพืชเก็บพลังงานแสงให้เรา โดยกระบวนการสังเคราะห์แสง (Photo synthesis) จากดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแสงสว่าง เก็บพลังงานแสงไว้ในรูปของสารอาหารที่พืชผลิตขึ้น เพื่อรอให้กระบวนการย่อยอาหารของเราปลดปล่อยพลังงานแสงออกมาให้เราใช้งาน เพื่อเป็นพลังให้แก่อิเลคตรอนเคลื่อนที่
    ร่างกายของคนที่สุขภาพแข็งแรงเป็นปกติ อิเลคตรอนจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วและความถี่ที่จะทำให้ได้พลังานแสงที่อยู่ในช่วงคลื่นของแสงสีเหลือง แสงสีเหลืองที่ออกมาจากเซลล์ ออกมาจากอวัยวะของเรานี้ อาจสามารถมองเห็นได้เมื่อเราสำรวมจิตใจให้สงบ หลับตาลง ปิดเปลือกตาลงแล้วลืมตาขึ้นข้างในมองไปที่ผนังตา ยิ่งจิตเราสงบมากเท่าใด ก็จะเห็นชัดขึ้นเท่านั้น แต่หากร่างกายหรืออวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดของเราปล่อยปล่อยพลังแสงที่อยู่ในช่วงคลื่นที่ต่ำกว่าหรือสูงกว่าออกมา เช่น มืดดำ แดงเข้ม น้ำเงิน ม่วง แสดงว่าร่างกายหรืออวัยวะตรงนั้นทำงานผิดปกติ เพราะอิเลคตรอนบริเวณนั้นวิ่งช้าลง หรือได้อาจได้รับคลื่นรังสีที่มีความถี่สูงเกินกว่าที่เซลล์จะรับได้และเป็นอันตรายต่อเซลล์เข้ามามาก นั่นคือ เราเกิดความเจ็บป่วยขึ้น อาการของความเจ็บป่วยก็จำแนกออกเป็นโรคชนิดต่างๆ
    เมื่อเราเจ็บป่วย ร่างกายของเราก็จะพยายามปรับสภาพให้อวัยวะที่ทำงานผิดปกติกลับคืนมาสู่สภาพปกติเท่าที่ร่างกายเราจะทำได้ โดยพยายามนำพลังงานและแร่ธาตุที่มีอยู่มารักษาซ่อมแซม แต่หากร่างกายเจ็บป่วยมากจนเกินความสามารถที่ร่างกายจะซ่อมแซมตัวเองได้ ก็จะต้องรักษาด้วยการใช้ยาหรือวิธีทางการแพทย์
    นอกจากอาหารและยาแล้ว สิ่งที่สามารถฟื้นฟูร่างกายได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ แสงในช่วงคลื่นความถี่ที่เหมาะสม คือแสงที่อยู่ในช่วงคลื่นแสงสีเหลือง พลังแสงสีเหลืองนี้มีชื่อเรียกขานมานานว่า “ปราณ” หรือ “ลมปราณ” ถือเป็นพลังชีวิตที่สำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ ซึ่งโดยปกติจะเข้าสู่ร่างกายของเราโดยการ กินอาหาร ดื่มน้ำ และการหายใจ ซึ่งนอกเหนือจาก การกิน ดื่ม และหายใจแล้ว การใช้พลังจิตดึงกระแสลมปราณเข้าสู่ร่างกายก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่สามารถกระทำได้ เป็นการนำพลังเข้าสู่ร่างกายโดยตรงไม่ต้องผ่านตัวกลางอื่น ดังจะพบได้ในศาสตร์ตะวันออกแขนงต่างๆที่มีมาแต่โบราณ สำหรับในยุคปัจจุบัน เนื่องจากสภาวะแวดล้อมและชั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยพลังงานเสียและปราณพิษ ไม่บริสุทธิ์เหมือนในอดีต ดังนั้นการใช้พลังจิตดึงพลังต่างๆ เข้าสู่ร่างกายโดยตรง จึงอันตรายเป็นอย่างยิ่ง (ปัจจุบัน พระอาจารย์ไม่แนะนำให้ใช้พลังจิตดึงพลังเข้าสู่ร่างกายโดยตรง แต่มีวิธีการอื่นในการนำพลังต่างๆ เข้าสู่ร่างกายโดยผ่านอุปกรณ์พีรามิด - ศึกษารายละเอียดได้จาก องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ ในหนังสือทางรอด)
    การที่แสงสว่างหรือปราณสามารถฟื้นฟูร่างกายได้ ก็เพราะว่า พลังงานแสงนั้นนอกจากจะประพฤติตนเป็นคลื่นแล้ว ยังสามารถประพฤติตนเป็นอนุภาคได้อีกด้วย โดยมีชื่อเรียกว่าอนุภาคโฟตอน (Photon) จัดเป็นกลุ่มอนุภาคเสมือน ซึ่งต่างจากอนุภาคจริงตรงที่เป็นอนุภาคที่ไม่มีมวล แต่สามารถแสดงคุณสมบัติของอนุภาคจริงได้ คือการมีโมเมนตัม (Momemtum) คือสามารถถ่ายทอดพลังงานจากการชนได้ ปรากฎการณ์ที่แสงประพฤติตนเป็นได้ทั้งคลื่นและอนุภาคนี้ เรียกว่าทวิภาคของคลื่นและอนุภาค การที่แสงสามารถฟื้นฟูร่างกายได้ ก็เพราะ การประพฤติตนเป็นอนุภาค เข้ามาชนกับอิเลคตรอนในอะตอมของเซลล์ในร่างกายให้มันเพิ่มพลังขึ้น
    กระบวนการที่ทำให้อิเลคตรอนเคลื่อนที่เข้าสู่ระดับพลังงาน หรือระดับวงโคจรที่สูงกว่าเดิม โดยใช้พลังงานแสงเป็นตัวเพิ่มพลังนั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "ปรากฏการณ์โฟโตอิเลคทริค" เป็นปรากฏการณ์ของแสงที่ประพฤติตนเป็นอนุภาค เมื่อเข้ามาชนอนุภาคอิเลคตรอนแล้วจะเกิดการถ่ายทอดพลังจากการกระทบให้แก่อิเลคตรอน เมื่ออิเลคตรอนได้รับพลังงานแล้วก็จะเคลื่อนที่เข้าสู่ระดับพลังงานที่สูงกว่าเดิม โดยระดับพลังงานที่เคลื่อนที่เข้าไปสู่นั้นจะแปรผันตรงกับความถี่ของแสงที่เข้ามาตกกระทบด้วย

    knowledge3 - ingdhamma
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ฤทธิ์
    ที่มา: หนังสือ "พลังจิต ประสาน พลังพีรามิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ

    ทักษะทางจิตที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติสมถะ-วิปัสสนากรรมฐานนั้น ถ้าเราสังเกตดูจะพบว่าเกิดขึ้นแทบทุกขั้นตอนของการฝึก เพราะทุกขั้นตอนของการฝึกก็จะฝึกทักษะเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทักษะดังกล่าวก็คือ ทักษะในการแยกระดับพลังงานที่ต่างกันออกจากกัน รวมไปถึงทักษะในการแยกจิตออกจากพลังงานต่างๆเหล่านั้น ซึ่งทักษะเช่นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่การฝึกในขั้นสมถะที่ผู้ปฏิบัติต้องฝึกแยกให้เห็นถึงระดับความสงบในภาวะของรูปฌานและอรูปฌานในระดับต่างๆ ซึ่งภาวะของฌานแต่ละระดับก็จะมีระดับพลังงานไม่เท่ากันและมีลักษณะไม่เหมือนกันด้วย ต่อมาเมื่อฝึกในขั้นวิปัสสนาก็เป็นการฝึกแยกจิตออกจากรูปและนาม จนจิตสามารถหลุดพ้นออกไปจากรูปและนามได้ กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือเป็นทักษะการแยกจิตออกจากสิ่งที่เป็นทุกข์ตั้งแต่สิ่งเป็นทุกข์ที่หยาบจนถึงสิ่งเป็นทุกข์ที่ละเอียด จนในที่สุดไม่เหลืออะไรให้แยกอีก ไม่มีสิ่งที่จิตไปยึดเกาะอีก จนจิตพ้นไปจากความทุกข์ทั้งมวล ยิ่งแยกได้มาก ทักษะความชำนาญก็ยิ่งมาก ผลพลอยได้ก็คือ เมื่อแยกจิตออกจากสิ่งใดได้ก็ทำให้รู้ถึงธรรมชาติของสิ่งนั้น ตลอดทั้งองค์ประกอบและความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในลักษณะต่างๆ ของแต่ละสิ่งที่แยกออกมา เมื่อรู้ถึงวิธีการแยก และรู้องค์ประกอบของรูปและนาม หรือสสารและพลังงานในแต่ละชนิดแล้ว ความรู้ที่เกิดตามมาก็คือ รู้ที่จะประกอบรูปและนาม หรือสสารและพลังงาน กลับเข้าไปใหม่ ทั้งประกอบแบบธรรมดา หรือประกอบในทางลัด เมื่อฝึกฝนจนชำนาญก็จะเกิดทักษะในการประกอบพลังงานชนิดต่างๆเข้าด้วยกัน ทักษะในการประกอบรูปและนามเข้าด้วยกันนี้ โดยเฉพาะการประกอบในทางลัด ในทางพุทธเรียกว่า การสร้าง"ฤทธิ์" ยิ่งเป็นทักษะระดับสูงจะถึงขั้นใช้พลังจิตเปลี่ยนสสารเป็นพลังงาน เปลี่ยนพลังงานเป็นสสารได้
    การแยกและการประกอบนี้ ถ้าจะกล่าวให้เข้าใจมากขึ้นก็สามารถกล่าวเปรียบกับการที่ถ้าเราเป็นนักเคมี หรือ เภสัชกร ทักษะสำคัญที่ต้องเป็นก็คือทักษะในการสกัดหรือแยกสาร เมื่อได้พืชสมุนไพรมาศึกษาก็ทำการสกัดแยกสารเคมีที่อยู่ในพืชออกมา แล้วทำให้สารนั้นบริสุทธิ์ ต่อมาก็ศึกษาถึงคุณสมบัติของสารเคมีที่สกัดได้ ก็จะรู้ถึงคุณประโยชน์และโทษของสารเคมีนั้น เมื่อจะประกอบสารเป็นยาขึ้นมาใช้แก้ปัญหาสุขภาพก็นำสารเคมีหลายๆชนิดที่รู้คุณสมบัติแล้วมาประกอบกันในอัตราส่วนต่างๆกัน ก็สามารถทำได้ หรือถ้าเราเป็นวิศวกรด้านเครื่องจักรกล ก็ต้องรู้จักชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ต่างๆ โดยต้องมาฝึกแยกชิ้นส่วนเครื่องจักรเครื่องยนต์จนรู้จักทุกชิ้น เมื่อจะประกอบชิ้นส่วนต่างๆเข้าด้วยกันก็สามารถทำได้ และก็สามารถปรับปรุงสร้างเป็นเครื่องจักรแบบใหม่ๆ รุ่นใหม่ๆ ขึ้นมาได้ด้วย ถ้าเราเป็นนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือโปรแกรมเมอร์ ก็ต้องเรียนเรื่องภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็จะรู้วิธีสร้างโปรแกรมใหม่ๆ รวมทั้งถอดรหัสโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ ทักษะที่เกิดจากการฝึกจิตในพุทธศาสนาเมื่อเทียบกับการเป็นนักวิทยาศาสตร์แล้ว ก็มีลักษณะที่คล้ายกัน ที่ต่างออกไปก็เป็นเพียงสิ่งที่ต้องการจะเรียนรู้ สิ่งที่นำมาแยก นำมาสกัด นำมาประกอบเท่านั้น ในขณะที่นักเคมีสกัดสาร แยกสารเคมี ประกอบสารเคมี วิศวกรแยกชิ้นส่วนเครื่องจักร ออกแบบเครื่องจักรรุ่นใหม่ โปรแกรมเมอร์ เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใหม่ๆออกมา ผู้ปฏิบัติสมาธิก็ฝึกแยกสภาวะอารมณ์ต่างๆ ที่เป็นพลังงานในตัวเองออกมาให้เห็นชัด จนกระทั่งแยกจิตออกไปจากสภาวะอารมณ์เหล่านั้นได้ และเมื่อมีเหตุที่ต้องใช้พลังจิตประกอบพลังงานกับสสาร หรือพลังงานที่ต่างชนิดกันเข้าด้วยกัน ก็สามารถทำได้ตามความกำลังความสามารถในแต่ละเรื่องที่ตนถนัด
    ตัวอย่างในเรื่องการประกอบพลังทางจิตเข้ากับสสารวัตถุที่คนไทยเรารู้จักกันดีก็คือ การประจุพลังจิตลงในวัตถุมงคลต่างๆ ซึ่งวัตถุมงคลก็มีหลายประเภทตามลักษณะของพลังที่ประจุไว้ เพราะคุณลักษณะของพลังที่ประจุไว้ไม่เหมือนกัน ซึ่งเปรียบได้กับโปรแกรมคอมพิวเตอร์คนละโปรแกรม แล้วก็ยังมีระดับของวัตถุมงคลด้วย เพราะถ้าได้ผู้ที่มีคุณธรรมสูงและมีพลังจิตเป็นผู้ประจุพลังลงไป คุณภาพและความบริสุทธิ์ของพลังก็จะยิ่งมีมาก ทักษะในการเชื่อมพลังทางจิตลงในวัตถุนี้ ปกติแล้วเพียงฝึกในขั้นสมถะก็สามารถกระทำได้ แต่อาจจะประกอบพลังได้ไม่ซับซ้อนเท่ากับผู้ที่บรรลุสภาวะจิตขั้นสูงกว่า เพราะถ้ายิ่งจิตไปถึงขั้นญาณทัสสนะแล้ว ความสามารถในการประกอบพลังทางจิตก็จะยิ่งมีมาก เพราะสามารถล่วงรู้วิธีการใช้พลังจิตเชื่อมพลังงานชนิดต่างๆได้อย่างละเอียดและลึกล้ำกว่าผูู้ที่ฝึกเพียงขั้นสมถะเท่านั้น เปรียบเทียบกันแล้วก็เหมือนกับถ้ารู้เพียงขั้นสมถะก็เป็นงานวิจัยในระดับปริญญาตรี แต่ถ้าถึงขั้นญาณทัสสนะก็เป็นงานวิจัยในระดับปริญญาเอก หรือสูงกว่านั้นเป็นต้น แต่ทว่าในเรื่องการประกอบหรือการสร้างฤทธิ์นี้ ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับผู้ปฏิบัติที่จะต้องไปสร้างไปประกอบเสมอไป เพราะไม่ใช่จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระศาสนา

    knowledge4 - ingdhamma
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จาก"แอตแลนติส" สู่ "อียิปต์"
    ที่มา: หนังสือ "แรงดึง2" โดย คุณจีรพันธุ์ ประศาสน์วุฒิ

    พุทธศาสนา - วิทยาศาสตร์ทางจิต
    การศึกษาเกี่ยวกับ อายตนะ ขันธ์ 5 นิพพาน ฯลฯ พลังงานและพลังจิต ล้วนเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันมาโดยตลอดไม่สามารถที่จะแยกเรียนรู้ เฉพาะเรื่องใดเพียงเรื่องเดียวได้เลย เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต่างตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ “แรงดึง” หรือ “แรงยึดเหนี่ยวของตัณหา” ซึ่งเป็นแรงหรือพลังงานที่เกิดมาจากจุดศูนย์กลางของแต่ละสิ่ง และส่งแรงนั้นมาดึงดูดยึดเหนี่ยวผูกแต่ละสิ่งเข้าไว้ด้วยกันดุจลูกโซ่ โดยเริ่มต้นจากจุดศูนย์กลางของแต่ละนิวเคลียสที่เล็กที่สุด ไปสู่แรงดึงของธาตุรู้ในใจ ขยายต่อไปยังแรงดึงที่ใหญ่กว่าของแรงโน้มถ่วงของโลก และแรงดึงจากสุริยจักรวาล และเข้าสู่แรงดึงของกาแลคซี่ทางช้างเผือก ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือตามลำดับ จนกระทั่งเข้าสู่อิทธิพลศูนย์กลางของแรงดึงสุดท้ายที่เป็นความว่างมหาศาล มีจุดศูนย์กลางเป็นรูปสามเหลี่ยมที่แหลมคมที่สุดซึ่ง เรียกว่า ศูนย์กลางของจักรวาล
    มวลมนุษย์ควรที่จะหาโอกาสศึกษา เรียนรู้ถึงเหตุและผลตลอดจนความเกี่ยวเนื่องจาก “แรงดึง” ของพลังงานที่ปรากฏในโลก สุริยจักรวาล กาแลคซี่ทางช้างเผือก และจักรวาลกันบ้าง เพราะมนุษยชาติต้องดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของ “แรงดึง” ตามธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
    เหตุของพลังงานที่ได้สร้างไว้แล้วในอดีต (กฎแห่งกรรม) ส่งผลทำให้เกิดเป็นมนุษย์ สัตว์ พืชที่แตกต่างกัน ในปัจจุบันชาติ (ทั้งนี้หมายรวมไปถึง พรหม เทวดา เปรต อสุรกาย สัมภเวสี ฯลฯ ที่อยู่ในสภาพของพลังงานด้วย) การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ จึงมิใช่เรื่องบังเอิญ
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นองค์ประกอบหลัก 5 อย่าง ที่นำมาคนรวมกัน แล้วเรียกว่า “มนุษย์” มนุษย์จึงสลัดให้พ้นไปจากอำนาจการครอบงำของขันธ์ 5 ได้ยากยิ่งนัก
    ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่มีคำสอนเป็นวิทยาศาสตร์ สามารถสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม และประพฤติปฏิบัติได้จริง เป็นศาสนาที่แสดงถึงเหตุและผล สอนให้ทุกคนเคารพกฎแห่งกรรม แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า บุคคลได้สร้างเหตุไว้เช่นไรย่อมได้รับผลจากเหตุที่ได้สร้างขึ้นเช่นกัน ไม่มีใครสามารถละเมิดไปได้แม้แต่สักคนเดียว เพราะ “กรรม” หรือ “การกระทำ” หรือ “พลังงาน” เป็นสิ่งที่ไม่สูญหาย การส่งผลของกรรมเป็นการสะท้อนกลับของพลังงานนั่นเอง
    "พลังจิต" เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และสลายของพลังงาน และสสารมาทุกยุคทุกสมัยด้วยความจริงที่ปรากฏอยู่ว่า ถ้าที่ใดมีสสารที่นั่นย่อมมีพลังงานอยู่คู่กันเสมอไป และเนื่องจากมนุษย์เราส่วนใหญ่จะยอมรับและเชื่อเฉพาะการเปลี่ยนแปลง การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลายของสสารเท่านั้น เนื่องจากเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดด้วยตา และสัมผัสได้ด้วยกาย แต่ในความเป็นจริงแล้วกระบวนการของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลาย ย่อมเกิดขึ้นกับพลังงานก่อนเสมอ แล้วจึงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสสารในภายหลัง ดังเช่นการเกิด “ฝน” ที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี
    กระบวนการของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลาย ของพลังงาน ได้เริ่มต้นตั้งแต่ เมื่อน้ำได้รับพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์เปลี่ยนสภาพเป็นไอจับตัวรวมกันมากขึ้นๆ ในชั้นบรรยากาศ เรียกว่า “เมฆ” และเมื่อกระทบกับความเย็น เมฆเหล่านั้นจะเปลี่ยนสภาพกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ เรียกว่า ฝน ฉะนั้นกระบวนการของการเกิด “ฝน” ในแต่ละครั้ง ได้มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลาย ของพลังงานไปหลายรอบ
    การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ “พลังงาน” มีอยู่หลายวิธี และทุกวิธีจะอยู่ภายใต้หลักการที่สำคัญ 2 หลักการ คือ ศึกษาโดยวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน และศึกษาโดยการใช้วิทยาศาสตร์ทางจิต หรือพลังจิต
    วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ศึกษาพลังงาน โดยการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ที่ผลิตขึ้นตามความสามารถของนักวิทยาศาสตร์ ในแต่ละยุคและสิ่งที่จะหลีกหนีให้พ้นไปไม่ได้เลย คือการทำลายสภาพสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ ถ้าสิ่งที่ผลิตขึ้นได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยมากขึ้นเท่าไร ก็จะสามารถเอาชนะธรรมชาติได้มากขึ้นเท่านั้น ยุคนี้เป็นยุคพลังงานน้ำมัน ความเจริญก้าวหน้าที่ผูกโยงต่อกันเป็นลูกโซ่ได้รัดแน่นจนแทบจะคลายออกไม่ได้อีกต่อไป เพราะเกือบทุกคนสะสมความเคยชินอยู่กับความสะดวกสบายที่ได้รับกันอยู่เป็นประจำทุกวัน
    วิทยาศาสตร์ทางจิต หรือพลังจิต เป็นการศึกษาค้นคว้าพลังงาน โดยใช้พลังจิตที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละบุคคลได้มีโอกาสฝึกฝนเพื่อพัฒนาให้พลังจิตกล้าแข็งและชำนาญขึ้นหรือไม่ ผู้รู้ใช้พลังจิตศึกษาพลังงานจากธรรมชาติ เนื่องจาก “ธรรมชาติ” ได้แทรกซึมอยู่ในทุกสรรพสัตว์สิ่ง และเป็นสิ่งกำหนดการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลายในจักรวาล ไม่มีอำนาจใดทรงอานุภาพยิ่งไปกว่า “ธรรมชาติ”
    สิ่งที่แยกวิทยาศาสตร์ปัจจุบันออกจากวิทยาศาสตร์ทางจิตอย่างสิ้นเชิง คือ วิทยาศาสตร์ปัจจุบันศึกษาได้เฉพาะเหตุและผลที่ปรากฏเป็นรูปธรรม และพลังงานในรูปหยาบเท่านั้น แต่พลังจิตสามารถศึกษาถึงเหตุและผลทั้งที่เป็นพลังงานหยาบและพลังงานละเอียด
    การวนรอบของความรู้ทั้ง 2 อย่างนี้ได้เกิดขึ้นเป็นปกติมาโดยตลอด คือ ถ้าเมื่อใดวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเฟื่องฟู วิทยาศาสตร์ ทางจิตหรือพลังจิตแทบจะหมดความหมาย และในทางตรงกันข้าม ถ้าเมื่อใดที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันเจริญก้าวหน้าไปจนถึงจุดสูงสุด และย้อนกลับมาทำลายตนเองแล้ว เมื่อนั้นพลังจิตจะกลับมามีความสำคัญอีกครั้ง
    การศึกษาหรือการประพฤติปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธศาสนามีความคลึง เหมือนกับการเรียนวิชาทางโลก ซึ่งผู้เรียนต้องเริ่มต้นจากวิชาพื้นฐานก่อนแล้ว จึงค่อยเรียนหลักสูตรเฉพาะทางตามความถนัดของผู้เรียน เพื่อออกมาประกอบอาชีพเลี้ยงตน ตามความรู้ความชำนาญที่แต่ละคนได้เรียนมา ยิ่งไปกว่านั้นผู้เรียนบางคนยังมีความสามารถพิเศษที่จะเลือกเรียนอีกหลายๆ อย่างตามที่ตนชอบและใช้เป็นอาชีพสำรอง หารายได้พิเศษ
    วิชาหลักของพระพุทธศาสนา มีทั้งหมด 8 อย่าง เรียกว่า อวิชชา 8 (ความไม่รู้ 8 ประการ) ซึ่งผู้เรียนต้องสอบให้ผ่านไปทีละขั้นๆ และถึงแม้สอบผ่านได้แล้วก็ไม่มีแม้แต่เกียรติบัตร หรือประกาศนียบัตร หรือปริญญาใดๆ มอบให้ นอกจาก “คุณธรรม” ซึ่งใช้กิเลสในตนเป็นเครื่องวัด อวิชชา 8 ได้แก่
    1. ไม่รู้จักทุกข์ สภาพที่ทนได้ยาก เกิดจากการครอบงำของขันธ์ 5
    2. ไม่รู้จักสมุทัย สาเหตุของการเกิดทุกข์เพราะจิตหลงยึดมั่นในขันธ์ 5
    3. ไม่รู้จักนิโรธ ความดับทุกข์ ซึ่งเป็นวิธีหรืออุบายที่ทำให้จิตไม่หลงยึดมั่น และรู้เท่าทันการเกิดดับของขันธ์ 5
    4. ไม่รู้จักมรรค ทางพ้นทุกข์ที่เป็นผลเนื่องมาจากข้อ 3 ทำให้จิตหลุดพ้น มีดวงตาเห็นธรรม (เห็นทางเดิน)
    5. ไม่รู้จักอดีต
    6. ไม่รู้จักอนาคต
    7. ไม่รู้จักการเชื่อมโยงอดีตและอนาคต เข้าด้วยกัน
    8. ไม่รู้จักการวนรอบของปฏิจจสมปุบาท ซึ่งเริ่มต้น จาก
    อวิชชา --> สังขาร --> วิญญาณ --> นามรูป --> อายตนะ --> ผัสสะ --> เวทนา --> ตัณหา --> อุปาทาน --> ภพ --> ชาติ --> ชรา มรณะ ฯลฯ (--> อวิชชา --> สังขาร --> ... ไปตามลำดับ)
    ผู้เรียนต้องสอบ 4 วิชาแรกให้ผ่าน เนื่องจากเป็นวิชาบังคับพื้นฐาน เป็นความรู้เกี่ยวกับความจริง 4 ประการ (อริยสัจ 4) ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ผู้ที่สอบผ่านจะได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ คือ “ทาง” เฉพาะส่วนตน และจัดได้ว่าบุคคลผู้นั้น พ้นไปจากความไม่รู้ กลายเป็นผู้รู้ หรือผู้เห็นแล้ว
    ถ้าผู้เรียนใช้ “มรรค” หรือ “ทาง” ที่ได้ประหารกิเลสไปเรื่อยๆ และสามารถสอบผ่านวิชาที่ 5-6-7 ได้ตามลำดับทำให้เป็นผู้สามารถรู้อดีต อนาคต และการเชื่อมโยงอดีตกับอนาคตในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเอง ตลอดจนสิ่งอื่นๆ ที่ตนต้องเข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ด้วย จนกระทั่งไปถึงที่สุดของทางเดิน เห็นธรรมชาติการเกิดดับของการวนรอบอย่างชัดเจน จิตไม่หลงยึดในการวนรอบนั้นอีกต่อไปเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติตามเหตุตามปัจจัยที่ยังมีอยู่ และจะได้คำตอบอย่างชัดเจนว่า “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิด เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป”
    ผู้ที่มีพลังจิตสูงส่วนใหญ่จะได้รับความรู้ทั้งที่เป็นความรู้พื้นฐานและความรู้ละเอียดมาจากพระพุทธศาสนา จึงเป็นเหตุให้บุคคลเหล่านั้นดำรงตนอยู่ในสัมมาทิฏฐิ ใช้พลังจิตไปในทางที่เกิดประโยชน์เท่านั้น
    มนุษย์เราเกิดมาพร้อมหน้าที่ เช่น หน้าที่ที่มีต่อครอบครัว คือ ความเป็นพ่อ แม่ บุตร ธิดา พี่ชาย น้องสาว ฯลฯ หน้าที่ต่อชุมชนหน้าที่ต่ออาชีพการงาน ตลอดจนหน้าที่ต่อประเทศชาติ และหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือหน้าที่ที่มีต่อมวลมนุษยชาติด้วยกัน ดังนั้นแต่ละบุคคลจึงควรทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อยังประโยชน์ให้เกิดทั้งส่วนตนและผู้อื่น
    เหตุ คือ พลังงาน (แรง) ที่ได้สร้างไว้แล้วในอดีต
    ผล คือ การสะท้อนกลับของพลังงาน (แรง) ซึ่งพร้อมที่จะเกิดขั้นเมื่อการวนรอบได้เวียนมาบรรจบ

    แอตแลนติส
    ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา “ดาวเคราะห์โลก” ของเราได้มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพมานับครั้งไม่ถ้วน การขุดพบโครงกระดูกของสัตว์โบราณอย่างเช่น ไดโนเสาร์ ช้างแมมมอธ ฯลฯ ได้มีประเด็นสำคัญที่นักโบราณคดีให้ความสนใจ คือการขุดพบโครงกระดูกของสัตว์บางชนิดในสถานที่ที่ไม่น่าจะเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ชนิดนั้นๆ ได้เลย เช่นมีการขุดค้นในเขตหนาว แต่ทว่าสิ่งที่ขุดพบกลับเป็นโครงกระดูกของสัตว์ที่น่าจะเคยอยู่ในเขตร้อนเสียมากกว่า
    จากการศึกษาโดยพลังจิต ทำให้ทราบว่า การเปลี่ยนแปลงของพลังงานจะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลก (สสาร) ในทุกรอบ 10,000 ปี (10,000 ปีเศษ) การเปลี่ยนสภาพของสสารระหว่างพื้นดินกับพื้นน้ำ เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดเจน และอยู่ในอัตราส่วนของการมีพื้นดิน 1 ส่วนและพื้นน้ำ 3 ส่วนเสมอ ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกสักกี่ครั้งก็ตาม
    เมื่อบุคคลได้ศึกษาสมาธิ-วิปัสสนา จนกระทั่งได้บรรลุธรรมและเจริญทางต่อไปจนกิเลสลดน้อยลงตามลำดับ บุคคลเหล่านี้จะเห็นสภาพการเกิด-ดับ เกิด-ดับ อยู่เนืองนิจ เห็นธรรมชาติของแรงสืบต่อของพลังงาน หรือแรงสันตติที่มีการสั่นสะเทือน ตึ๊บๆตึ๊บๆ อยู่ทุกๆ รอบของ 1 วินาที และใช้แรงสันตติหรือแรงสืบต่อนี้ ย้อนกลับไปดูพลังงานที่เคยสร้างเหตุไว้ในอดีต และจะส่งผลเกิดขึ้นในอนาคตอย่างไร ตลอดจนหาทางแก้ไขเพื่อเหล่ามวลมนุษย์ในปัจจุบัน และถ้า “ผู้รู้” เหล่านี้ สามารถดำรงตนอยู่เหนือวิมุตติได้ สิ่งที่จะเกิดตามมาตามวิถีของจิต คือการมี"ญาณทัศนะ" ซึ่งเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทางสมองหรือใจ บุคคลใดที่เดินทางมาถึงจุดนี้ได้แล้ว สามารถที่จะเลือกทางของตนเอง ระหว่างการไม่ลงมาระคนกับกิเลส ดำรงสภาพการเป็นพระอรหันต์ไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัย หรือ จะลงมาระคนกัน “โลก” เป็นโพธิสัตว์เพื่อทำหน้าที่ของตนให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามวิบากที่เคยสร้างไว้ในอดีต จนกระทั่งเชื้อ หรือเหตุ หรือพลังงานเหล่านั้นหมดไปโดยสิ้นเชิง จึงจะไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป
    ระยะเวลา 10,000 ปี นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก ถ้าทุกคนสามารถจำอดีตที่ผ่านมาได้ คงจะรู้ว่าแต่ละคนได้เวียนว่ายตายเกิดกันมาคนละหลายครั้งแล้ว และเนื่องจากทุกครั้งของการเกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องอยู่ในท้องแม่นาน 9-10 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการลบความทรงจำในอดีต ทักษะ ความชำนาญ ความรู้พิเศษ ที่เคยมีในแต่ละชาติ อาจจะมีหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ต้องใช้เวลาของการพัฒนาไปตามลำดับ และในบางครั้งการพัฒนาความรู้เหล่านั้นก็ต้องหยุดชะงักลงไปอีก เพราะอายุขัยของการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นสั้นเกินไป คือไม่ถึง 100 ปี ก็ต้องถึง “การตาย” อีกครั้ง
    การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลกครั้งล่าสุดได้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10,000 ปี (10,000 ปีเศษ) ที่ผ่านมา การศึกษาจากประวัติศาสตร์ ทำให้รู้ว่าในบริเวณที่เป็นมหาสมุทรแอตแลนติก ในปัจจุบันนี้ น่าจะเคยมีสภาพเป็นแผ่นดิน มีบ้านเมือง และผู้คนอาศัยมาก่อน ซึ่งนักประวัติศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ยังคงให้ความสนใจและศึกษามาอย่างต่อเนื่องตราบจนปัจจุบันนี้
    ความรู้ที่ได้จากการใช้ “พลังจิต” และ “แรงสันตติ” เข้าไปดูอดีตจึงทำให้รู้ว่า เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 10,000 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง
    เมื่อ 10,000 ปี (10,000 ปีเศษ) ที่ผ่านมา ทวีปแอตแลนติก (มหาสมุทรแอตแลนติกในปัจจุบันนี้) เคยมีอดีตที่รุ่งเรืองเป็นผืนแผ่นดินที่อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วยผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ หลากภาษา ต่างวัฒนธรรม รวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย กระจายอยู่ทั่วทวีป โดยมีอาณาจักรแอตแลนตีสเป็นศูนย์กลางของอารยธรรม
    อาณาจักรแอตแลนตีสมีอดีตที่รุ่งเรืองมากในทุกๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ “พลังจิต” ถึงขั้นสามารถติดต่อกับชาวอังคารและได้ติดต่อมาโดยตลอด ดังนั้นเราจึงควรทำความรู้จักกับ “ชาวดาวอังคาร” กันบ้างเล็กน้อยก่อนกลับมาสู่เรื่องราวของอาณาจักรแอตแลนตีสอีกครั้ง
    มนุษย์ดาวอังคาร
    ดาวเคราะห์โลกหรือโลกของเราไม่ได้เป็นดาวเพียงดวงเดียวในสุริยจักรวาล ดาวอังคารก็เป็นเพียงดาวดวงหนึ่งในจำนวนดาวหมื่นแสนล้านๆๆ ดวงในสุริยจักรวาล กาแลคซี่ทางช้างเผือก และจักรวาล เฉกเช่นเดียวกับโลกของเรา ฉะนั้นผู้ที่ศึกษาจึงไม่ควรรีบด่วนที่จะปฏิเสธว่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตปรากฏอยู่บนดาวอังคารหรือดาวดวงอื่นๆ เนื่องจากมนุษย์เราตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดจากศูนย์กลางที่เรียกว่า “แรงโน้มถ่วงของโลก” จึงทำให้เราไม่สามารถเดินทางไปยังดาวดวงอื่นๆได้ นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามศึกษาค้นคว้ามาเป็นเวลานาน จนกระทั่งในปัจจุบันนี้ จึงสามารถค้นพบวิธีเดินทางไปถึงดาวดวงอื่นได้สำเร็จ แต่ก็ยังไม่สามารถเจาะลึกไปจนถึงขั้นทำความรู้จักและมีความสัมพันธ์ต่อกันกับสิ่งมีชีวิตบนดาวอื่นๆ โดยเฉพาะบนดาวอังคารได้เลย พวกเราเคยจินตนาการหรือไม่ว่า ภาพของมนุษย์ชายหญิงอย่างพวกเราที่มี 2 ขา 2 เท้า 2 แขน 2 มือ ฯลฯ ได้กลายเป็นภาพของสัตว์ประหลาดหรือมนุษย์ต่างดาวในสายตาของชาวดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวศุกร์ ฯลฯ ไปเสียแล้ว
    โครงสร้างทางกายภาพหรือองค์ประกอบของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ บนดาวอังคารมีความแตกต่างจากดาวเคราะห์โลก โดยสิ้นเชิง จึงเป็นเหตุให้ชาวดาวอังคารมีรูปร่าง ตลอดจนการดำรงชีวิตที่ไม่เหมือนมนุษย์โลกด้วยเช่นกัน อาทิ การเกิดและการมีอายุขัย มนุษย์โลกอาศัยการเกิดจากเชื้อของพ่อและฝังตัวอ่อนอยู่ในท้องของแม่ประมาณ 9-10 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการลบความทรงจำที่มีในอดีต จนกระทั่งคลอดออกมาเป็นทารก เจริญวัยเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ชรา และเสียชีวิต มีอายุได้ไม่เกิน 100 ปี หรือ 100 ปีเศษเท่านั้น แต่สำหรับชาวอังคาร พวกเขามีสภาพเป็น “พลังงาน” ไม่ได้ประกอบโครงสร้างเป็น “รูป” หรือ “ร่างกาย” อย่างชัดเจน
    การเกิดของพวกเขาน่าจะเรียกว่าเป็นการ “อุบัติ” ขึ้นมากกว่าเพราะเป็นการรวมตัวของพลังงานขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ โดยอาศัยพลังงานจากธาตุสีเหลือง หรือธาตุเมตตาเป็นตัวกำหนด (ไม่ต้องอาศัยการตั้งครรภ์) เมื่อกระบวนการเกิดใหม่เสร็จสิ้น พวกเขาจะดำรงความเป็น “พลังงาน” ไปเรื่อยๆ มีชีวิตเป็นนิรันดร์ คือมีอายุขัยมากเป็นหมื่นๆ ปี จึงทำให้พวกเขาได้รู้เห็นปรากฏการณ์และการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เคยเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์โลกมาโดยตลอด และเนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูง จึงสามารถล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย
    เนื่องจากโครงสร้างของร่างกายมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มนุษย์โลกประกอบด้วยกายหยาบและกายละเอียด ในขณะที่ชาวดาวอังคารมีสภาพเป็นกายละเอียดหรือพลังงานเพียงอย่างเดียว ดังนั้น “อาหาร” และ “การดำรงชีวิต” ของมนุษย์โลกและชาวดาวอังคารจึงแทบจะไม่เหมือนกันเลย
    กายหยาบ เป็นโครงสร้างที่ประกอบขึ้นเป็นรูปร่างกาย และมองเห็นได้ชัดเจนด้วยตา อาหารที่ใช้บำรุงหล่อเลี้ยง คือ อาหารหลัก 5 หมู่ นำเข้าสู่ร่างกายโดยทางปาก ระบบทางเดินอาหาร และอาศัยก๊าซออกซิเจนเพื่อช่วยในการสันดาปและการทำงานของหัวใจและปอด
    กายละเอียด เป็นกายในรูปของพลังงานที่เนื่องด้วยกระแสลมปราณและวิญญาณ (ธาตุรู้) ฉะนั้นอาหารของชาวดาวอังคารจึงอยู่ในรูปของพลังงานด้วยเช่นกัน ได้แก่กระแสลมปราณ และธาตุเมตตา (กุศล) ซึ่งเป็นธาตุสีเหลืองๆ และมีอิทธิพลต่อความนึกความคิด ดังนั้นการกระทำหรือการทำลายชีวิตอื่นๆ ฯลฯ จะเป็นสาเหตุทำให้พลังงานหรือกายละเอียดและพลังจิตของพวกเขาอ่อนกำลังลง และจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างลำบาก
    อาหารที่สำคัญสำหรับพวกเขาอีกอย่างหนึ่ง คือ “น้ำ”
    พระภิกษุสงฆ์หรือผู้ฝึกจิตที่เข้ากรรมฐานเป็นเวลาหลายๆ วัน หรือเป็นแรมเดือน บุคคลเหล่านี้มิได้ทานอาหาร พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยน้ำ ปิติ และกระแสลมปราณ
    ชาวดาวอังคารไม่มีศาสนา ไม่รู้จัก “นิพพาน” เพราะพวกเขาส่วนใหญ่พอใจในการมีชีวิตที่เป็นนิรันดร์ เหตุการณ์วิกฤตใดๆ ที่เคยเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์โลกในอดีต ชาวดาวอังคารเคยรู้เคยเห็นมาก่อนแล้ว โดยเฉพาะการวนรอบของการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครบรอบ 10,000 ปี ด้วยความปราถนาดีและอยากช่วยเหลือมนุษย์โลก ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ในครอบครัว “สุริยจักรวาล” เดียวกัน ชาวดาวอังคารจึงได้ติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โลกตั้งแต่ยุค “อาณาจักรแอตแลนตีส” ซึ่งเป็นยุคที่มีผู้สนใจศึกษาเกี่ยวกับ “พลังจิต” อย่างแพร่หลาย พร้อมทั้งได้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการสร้างและการใช้ประโยชน์จากรูปทรงสามเหลี่ยมพีระมิด
    ชาวดาวอังคารสร้างบ้านเรือนอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน เพื่อให้ปลอดภัยจากรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์ เนื่องจากสภาพของการมีกายละเอียด (พลังงาน) ทำให้พวกเขาทนต่อแสงแดดได้ไม่มากนัก ประตูทางเข้าจะปิดสนิทเมื่อเวลา 03.00 น. เพื่อป้องกันอันตรายจากแสงแดด
    ชาวดาวอังคารสามารถใช้พลังจิตสร้างรูปหยาบให้ปรากฏต่อสายตามนุษย์โลกได้ แต่เนื่องจากการที่พวกเขาส่วนใหญ่มีพลังจิตสูงคลื่นความถี่จากพลังงานของพวกเขาอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์โลกได้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องสะกดจิตมนุษย์โลกให้หยุดการเคลื่อนไหวก่อนที่พวกเขาจะปรากฏตัวขึ้น
    องค์ธรรมมิกราช
    พวกเราคงรู้จักและเคย “ฝัน” กันทุกคน มีทั้งฝันดีและฝันร้าย มิหนำซ้ำในบางครั้งเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วยังคงจำความฝันได้อย่างแม่นยำเหมือนกับได้ไปเผชิญกับสิ่งที่ฝันมาจริง การฝันเป็นการท่องเที่ยวด้วยกายทิพย์หรือกายละเอียด โดยมีกระแสลมปราณทำหน้าที่ดุจสายใยแห่งชีวิต ตามไปทั่วทุกหนแห่ง และหากสายใยของกระแสลมปราณขาดไป บุคคลผู้นั้นจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต เนื่องจากกายทิพย์ไม่สามารถกลับเข้าซ้อนอยู่กับกายหยาบได้ ผู้ที่มีพลังจิตสูงสามารถใช้กายทิพย์เดินทางไปที่ใดก็ได้ตามความต้องการ โดยที่กายหยาบหรือตัวรูปร่างกายอยู่ในที่อีกแห่งหนึ่ง
    พระพุทธองค์เป็นผู้ที่มีพลังจิตและญาณหยั่งรู้ที่เรียกว่า พระสยมภูญาณ ที่สามารถรู้เห็นความเป็นไปของสัตว์โลก พระพุทธองค์ทรงใช้ญาณหยั่งรู้เป็นประจำทุกเช้า เพื่อทรงตรวจดูว่าในแต่ละวันพระองค์จะไปโปรดใครได้บ้าง อย่างเช่นในกรณีของท่านองคุลีมาล ที่ถูกอาจารย์สอนให้ทำในสิ่งที่ผิดและเป็นบาปอย่างมหันต์ ด้วยการสั่งฆ่าคนให้ได้ครบ 1,000 คน ก่อนจึงจะได้เรียนขั้นสุดยอดของวิชา และคนลำดับที่ 1,000 ก็คือแม่ของตน เมื่อพระพุทธองค์ทรงรู้โดยพระสยมภูญาณ จึงทรงเมตตาช่วยท่านองคุลี มาล ให้พ้นจากวิบากกรรมที่จะต้องฆ่าแม่ของตนเองด้วยความไม่รู้ และกลายเป็นบาปหนัก
    ในเช้าวันเกิดเหตุนั้น พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่กันคนละเมืองกับท่านองคุลีมาล ไม่สามารถเสด็จด้วยพระองค์เองได้ทัน จึงทรงโปรดด้วย “กายทิพย์” ใช้พลังจิตสร้างรูปหยาบปรากฏต่อสายตาของท่านองคุลีมาล ทรงช่วยท่านองคุลีมาลให้พ้นจากกรรมหนักที่กำลังจะทำมาตุฆาต (ฆ่าแม่) และทรงเทศนาโปรดจนสำเร็จ บรรลุเป็นพระอรหันต์
    ในครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ทรงถอดกายทิพย์ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพระพุทธมารดา ซึ่งกำลังเสวยผลบุญอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นสถานที่อยู่ของพระอินทร์หรือท้าวสักกะ (สวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่ต่ำกว่าสวรรค์ชั้นดุสิต ผู้ที่เสวยผลบุญอยู่ในชั้นที่สูงกว่าสามารถเดินทางลงมายังสวรรค์ชั้นที่ต่ำกว่าได้)
    ส่วนกายหยาบหรือตัวรูปร่างกายของพระพุทธองค์ มีเทวดาอาสาคอยเฝ้าปกป้องรักษาไม่ให้เกิดภัยอันตราย เพราะถ้าหากกายหยาบสูญสลายหรือบาดเจ็บ กายทิพย์หรือกายที่เนื่องด้วยกระแสลมปราณ จะไม่สามารถกลับเข้าสู่ร่างได้เลย บุคคลนั้นก็ต้องเสียชีวิต
    พระพุทธองค์ทรงใช้เวลาในการเทศนาโปรดพระพุทธมารดาและเหล่าเทวดานางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นเวลาประมาณ 45 นาที แต่ถ้าเทียบเป็นเวลาของมนุษย์โลก จะนานประมาณ 3 เดือน ในครั้งนั้นพระพุทธมารดา ท้าวสักกะ (พระอินทร์) และกลุ่มเทวดาอีกเป็นจำนวนมาก ได้บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน ท้าวสักกะได้ปาวารณาตนอาสาขอทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดมให้มีอายุไปจนครบ 5,000 ปี และในระหว่าง 5,000 ปี นั้น พระพุทธศาสนาจะเข้าสู่กลียุคถึง 5 ครั้งด้วยกัน จำต้องมีเทวดาอาสาจุติลงมาเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยแก้ไขให้คำสอน (ธรรมะ) ของพระพุทธองค์ให้ดำรงอยู่อย่างถูกต้องเหมือนดังเดิม เทวดาที่อาสาลงมาทำงานรับใช้ศาสนาทั้ง 5 องค์ 5 วาระนี้เรียกว่า “องค์ธรรมิกราช” ดังนั้นพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดม จึงเป็นศาสนาที่มีเทวดาคอยรักษาดูแล
    เมื่อกล่าวถึงเทวดาทั้งหลาย ท่านเหล่านี้อยู่ในสภาพของกายละเอียด อาหารของเทวดาก็คล้ายคลึงกับชาวดาวอังคาร เนื่องจากเทวดา พรหม มีแต่เฉพาะกายละเอียดและวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้) ที่ยังดับไม่ได้ อาหารคือตัวบุญ ตัวกุศล ที่เคยทำไว้ในอดีตเมื่อครั้งเกิดมาเป็นมนุษย์ ใช้เป็นพลังงานบุญช่วยหล่อเลี้ยงสร้างแสงสว่างให้กายทิพย์ของตนเอง ดังนั้นบุญญาธิการของเหล่าเทวดา พรหม จึงวัดกันด้วย “แสงสว่าง” และในทำนองเดียวกันธาตุเมตตา (บุญ,กุศล) จะเป็นพลังงานที่ช่วยเสริมสร้างพลังจิตและหล่อเลี้ยงกายละเอียดของชาวดาวอังคารให้เข้มแข็ง
    พลังงานเส้นแสง
    บนดาวอังคารจะมีวัตถุรูปทรงสามเหลี่ยมพีระมิดอยู่มากมาย เพื่อใช้ประโยชน์ในการสะเทินพลังงานความร้อนและแสงจากดวงอาทิตย์ และยิ่งไปกว่านั้น พีระมิดยังเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยในการเดินทางท่องจักรวาล หรือเดินทางไปยังดาวดวงอื่นๆ โดยเฉพาะดาวเคราะห์โลกของเรา
    การเดินทางในแต่ละครั้ง สิ่งที่พวกเขาใช้เป็นพาหนะคือสิ่งหรือวัตถุที่พวกเราเคยเห็นและเรียกกันว่า “ยาน” หรือ “จานบิน” อาจจะมีหลายๆรูปแบบ ก่อนการเดินทางพวกเขาต้องตรวจสอบหรือเช็คก่อนว่าจะใช้ “เส้นแสง” เส้นใด เดินทางไปยังจุดหมาย หลังจากนั้นผู้ที่จะเดินทางก็จะเข้าสู่กระบวนการ โดยเริ่มจากการนำยานพร้อมลูกเรือที่จะเดินทางเข้าไปยังพีระมิดใหญ่ เพื่อใช้พลังจิตเปลี่ยนสภาพของยานพาหนะจากวัตถุให้เป็นพลังงานแสงและพุ่งทะลุออกไปทางยอดแหลมของพีระมิด เข้าสู่เส้นทางของ “เส้นแสง” ที่ได้เลือกไว้แล้ว และเมื่อเข้าสู่เขตบรรยากาศของโลกแล้ว ถ้าหากพวกเขาอยากปรากฏตัวต่อสายตาของชาวโลก พวกเขาจะใช้พลังจิตเปลี่ยนสภาพของยานพาหนะจากพลังงานแสงให้เป็นวัตถุ ดังที่พวกเราบางคนเคยมีโอกาสได้พบเห็นมาบ้างแล้วในระยะที่ไกลพอสมควร เนื่องจากถ้ายานหรือจานบินปรากฏให้เห็นในระยะสายตาปกติ อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อนัยน์ตาหรือเซลล์ในร่างกายของมนุษย์โลกได้ เนื่องจากความถี่ของเสียงที่เกิดจาการทำงานของเครื่องยนต์ในยานอยู่ในระดับที่มีความถี่สูงมากเกินกว่าที่ร่างกายของมนุษย์จะรับได้ เราจึงได้เห็นจานบิน หรือฝูงจานบินในระยะที่ไกลๆ เท่านั้น
    ชาวดาวอังคารชอบที่จะเดินทางมายังดาวเคราะห์โลกของเราเสมอ ความรู้เกี่ยวกับพลังพีระมิดได้ถ่ายทอดให้กับชาวแอตแลนตีส และในยุคนั้น ชาวแอตแลนตีสได้ใช้คริสตัลซึ่งเป็นแก้วหินใส สร้างเป็นพีระมิดที่มีขนาดใหญ่ไว้ทั่วราชอาณาจักร และแต่ละคนจะมีพีระมิดคริสตัลขนาดเล็กเก็บไว้ใช้ประจำตัว ชาวแอตแลนติสที่มีพลังจิตสูงโดยเฉพาะกลุ่มนักบวช จะเป็นผู้ที่เดินทางไปในสถานที่ต่างๆด้วยพลังจิต ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่เข้าไปในพีระมิดคริสตัล และใชัพลังจิตเปลี่ยนสภาพของกายหยาบให้เป็นพลังงานแสง พุ่งออกไปในทางยอดแหลมของพีระมิดคริสตัล เข้าสู่เส้นทางของ “เส้นแสง” ที่ได้เลือกไว้เรียบร้อยแล้ว
    ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันที่มนุษย์โลกก้าวไปถึงครั้งล่าสุด คือการสร้าง “ปรมาณู” เป็นอาวุธร้ายแรง และนำมาทำลายล้างมนุษย์ชาติ ดังเช่นการใช้ระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฺฮิโรชิมา และนางาซากิของประเทศญี่ปุ่น เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 และเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2541-2542 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบพลังงานตัวใหม่คือ “เส้นแสง” และเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุดว่า “เส้นแสง” จะได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นอาวุธชนิดใหม่ที่ทรงอานุภาพยิ่งกว่าระเบิดปรมาณูเสียอีก “อาวุธเส้นแสง” เป็นอาวุธที่ผลิตขึ้นเพื่อทำลายนิวเคลียสและเซลล์ในร่างกาย ซึ่งตรงกันข้ามกับระเบิดปรมาณูซึ่งจะทำลายวัตถุ เช่นอาคารบ้านเรือน อาวุธเส้นแสงชนิดใหม่นี้สามารถปรับความถี่และอำนาจของการกระจายของเส้นแสงได้ตามความต้องการ เหมือนกับการทำงานของเตาไมโครเวฟ
    ชาวดาวอังคารมีความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ทางจิตไปจนถึงระดับการใช้พลังจิตเปลี่ยนวัตถุให้เป็นพลังงานแสง และเปลี่ยนจากพลังงานแสงให้กลับเป็นวัตถุอีกครั้ง ซึ่งเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายของพลังงาน ซึ่งสูงกว่าพลังงาน “เส้นแสง”
    จากแอตแลนติสสู่อียิปต์
    มนุษย์โลกเมื่อครั้ง 10,000 ปีที่ผ่านมา ในยุคของอารยธรรมแอตแลนตีส ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ได้เคยพัฒนามาจนถึงการสร้าง “อาวุธเส้นแสง” แล้ว ความมีอำนาจ ความแตกต่างกันในแนวความคิด และความศรัทธาความเชื่อ ได้ทำร้ายเหล่ามวลมนุษยชาติมาจนนับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งกระหายอำนาจมากเท่าใด ย่อมส่งผลร้ายได้มากเท่านั้น
    บนทวีปแอตแลนติกในครั้งนั้นประชาชนได้แตกแยกออกเป็นหลายกลุ่ม จนในที่สุดเหลือประชาชนเพียง 2 กลุ่มใหญ่ที่ไม่สามารถปรองดองกันได้ ต่างผ่ายต่างมียุทโธปกรณ์ที่ล้ำหน้า ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้โดยสันติวิธี สงครามและอาวุธที่ทันสมัยมีอานุภาพร้ายแรงที่สุด คือศักดิ์ศรีของจอมทัพผู้อหังการ
    ในครั้งนั้นนักบวชนามว่า รตะ (อ่านว่าระตะ) เป็นผู้ที่มีพลังจิตสูงและเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ความเมตตา ได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้า 1 เดือน ว่าจะเกิดสงครามใหญ่และอาณาจักรแอตแลนตีสจะถึงวาระของการล่มสลาย กลุ่มที่เชื่อคำพยากรณ์ของท่านรตะได้ต่อเรือขนาดใหญ่ บรรทุกผู้คนอพยพออกจากอาณาจักรแอตแลนตีส มาขึ้นฝั่งที่ดินแดนของประเทศอียิปต์โบราณ
    เมื่อครบ 1 เดือน ตามคำพยากรณ์ของท่านรตะ สงครามใหญ่ได้เปิดฉากขึ้น และเนื่องจากผู้นำของทั้งสองกลุ่มต่างแข็งกร้าวเข้ากัน อาวุธ “เส้นแสง” ที่ทันสมัยที่สุดจึงถูกนำมาใช้ แรงกดอย่างมหาศาลที่เกิดจากการยิงอาวุธเส้นแสงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุดต่อมนุษยชาติ และการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลกตามลำดับ คือ
    1. อาณาจักรแอตแลนตีส ซึ่งตั้งอยู่บนทวีปแอตแลนติก ที่เคยเป็นศูนย์กลางของคาวามเจริญในแทบทุกด้าน ได้ถึงกาลอวสานล่มสลาย พื้นทวีปทรุดตัวลงไปอย่างรวดเร็วกลายสภาพเป็นพื้นน้ำในชั่วพริบตา ประชาชนที่กำลังสนุกสนานร่าเริง หรือขลุกอยู่กับภารกิจประจำวันต้องจบชีวิตลงอย่างเอน็จอนาจโดยที่ไม่ทันจะรู้ตัว หมดโอกาสที่จะช่วยเหลือตนเองให้พ้นจากอันตรายได้ มนุษย์ สัตว์ อาคารบ้านเรือน พีระมิดคริสตัล และเค้าโครงของอารยธรรมทั้งหลาย ยังคงฝังซากของอดีตอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร เพื่อรอจังหวะเวลาของการวนรอบของเหตุการณ์ที่จะเวียนมาบรรจบอีกครั้ง และถ้าหากคู่อริทั้ง 2 กลุ่มในอดีต ไม่สามารถก้าวพ้นไปจากวิบากหรือเหตุที่ได้สร้างไว้ได้ การย้อนรอยของกรรมหรือพลังงานคงจะต้องเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อถึงเวลา
    2. เพื่อเป็นการรักษาสภาพสมดุลของลักษณะทางกายภาพตามอัตราส่วนของการมีพื้นดิน 1 ส่วน และพื้นน้ำ 3 ส่วน จึงทำให้พื้นน้ำแถบทะเลอาหรับ เปลี่ยนสภาพเป็นทะเลทราย ที่เรียกว่าสะฮาราในปัจจุบันนี้ เนื่องจากปริมาณของน้ำได้ถ่ายเทไปรวมตัวกันที่มหาสมุทรแอตแลนติกและฝังอาณาจักรแอตแลนตีสอยู่ใต้มหาสมุทร บริเวณกว้างใหญ่ไพศาลของทะเลทรายสะฮาราและคาบสมุทรอาหรับจึงกลายเป็นดินแดนมหาเศรษฐีของโลก เนื่องจากมีทรัพยากรที่ล้ำค่าคือ น้ำมัน การใช้อาวุธเส้นแสงคือ เหตุ หรือพลังงานที่คู่อริได้ร่วมกันสร้างไว้แล้ว ตั้งแต่ในอดีตเมื่อ 10,000 ปีที่ผ่านมา
    3. การเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทำให้เกิดการเคลื่อนที่และการเปลี่ยนแปลงสภาพของพื้นน้ำและพื้นดินอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ทำให้แผ่นดินของทวีปยุโรปและทวีปเอเชียเคลื่อนเข้ามาชนกันในทันที แรงปะทะทำให้แผ่นดินทั้งสองทวีปถูกบีบ กลายเป็นภูเขาหิมาลัยสูงเสียดฟ้า และช่องว่างที่เกิดจากการคลายตัวของพื้นดินจะปรากฏให้เห็นเป็นแนวยาวจากภูเขาหิมาลัยในประเทศอินเดียผ่านหลายจังหวัดในประเทศไทย และไปสิ้นสุดที่ จ.กาญจนบุรี นักธรณีวิทยาเรียกช่องว่างที่เกิดขึ้นนี้ว่า “รอยเลื่อน” และ ถ้าเมื่อใด “อาวุธเส้นแสง” ถูกนำมาใช้อีกครั้ง เมื่อนั้นยอดเขาหิมาลัยจะเปลี่ยนสภาพจากยอดเขาสูง กลายเป็นที่ราบกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ที่สุดของเอเชียและของโลก และอาณาจักรแอตแลนตีสคงจะถูกดันให้โผล่พ้นจากก้นมหาสมุทรเปลี่ยนสภาพไปเป็นพื้นทวีปที่กว้างใหญ่อีกครั้ง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงพื้นน้ำจากมหาสมุทรแอตแลนติกจะไหลไปรวมอยู่ที่ใดของโลก เพื่อทำให้เกิดความสมดุลตามอัตราส่วนของการมีพื้นน้ำ 3 ส่วนและพื้นดิน 1 ส่วน เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตนั้น อาณาจักรแอตแลนตีสเป็นผู้ยิงอาวุธเส้นแสงจึงทำให้เกิดแรงกดอย่างมหาศาลลงไปบนพื้นทวีปจนจมลงไป ชาวแอตแลนตีส จึงต้องรับผลของเหตุที่ได้สร้างขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นในอนาคตหากมีประเทศใดยิงอาวุธเส้นแสงขึ้นอีกครั้ง ประเทศนั้นก็จะถูกกดให้จมลงไปกลายเป็นพื้นน้ำในพริบตาเช่นกัน และแรงกดที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง รวดเร็วนี้ จะไปดันอาณาจักรแอตแลนตีส ให้โผล่พ้นน้ำขึ้นมาอีกครั้ง
    ท่านรตะสามารถล่วงรู้ว่า “อาวุธเส้นแสง” จะเป็นทั้งเหตุและผลของการล่มสลาย และฟื้นคืนกลับมาใหม่ ของอาณาจักรแอตแลนตีส ตามกฎของการวนรอบในทุกๆ 10,000 ปี ความรู้สึกเสียดายอาณาจักรแห่งความศิวิไลซ์และความโศกสลดเสียใจที่ไม่สามารถช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติเดียวกันได้ ในครั้งนั้นท่านรตะจึงได้ให้สัจจะหรือให้คำมั่นสัญญา ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างเหตุของท่านไว้ ซึ่งสัจจะนั้นมีความหมายว่า “เมื่อใดที่ถึงวาระการวนรอบของเหตุการณ์เดิมท่านจะเป็นผู้มาช่วยฉุดแอตแลนตีสคืนกลับขึ้นมา”
    สัจจะที่ได้ให้ไว้ถือว่าเป็นภารกิจผูกมัด จดบันทึกเก็บเป็นพลังงานไว้ในใจ ซึ่งเจ้าของสัจจะ จะเพิกเฉยหรือลืมไม่ได้ เพราะเป็นเหตุที่ตนได้สร้างไว้ในอดีต
    คณะของท่านรตะที่รอดชีวิตมา ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวพื้นเมือง อารยธรรมแอตแลนตีสจึงได้แพร่กระจายในดินแดนของประเทศอียิปต์โบราณ จนพัฒนากลายเป็นอารยธรรมแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ในยุคต่อมา
    มหาพีระมิด
    ท่านรตะเป็นเพียงมนุษย์โลกคนหนึ่ง ที่เมื่อถึงอายุขัยก็ต้องตายและไปเกิดเป็นธรรมดา ความทรงจำและความมีพลังจิตสูงย่อมถูกลบไปเมื่ออยู่ในท้องแม่ ฉะนั้นเมื่อถึงวาระของการกลับมาทำหน้าที่ตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้ต่อชาวแอตแลนตีส ท่านรตะจำเป็นต้องสร้างวัตถุที่สามารถดำรงอยู่ได้เป็นเวลานับหมื่นปีเพื่อเป็นสัญญลักษณ์เตือนความทรงจำ และใช้เป็นตัวช่วยในการทำหน้าที่เมื่อถึงวาระตามสัจจะที่ได้กระทำไว้
    ในครั้งนั้น ท่านรตะได้รับความช่วยเหลือจากชาวดาวอังคารมาช่วยสร้างสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายให้ปรากฎไว้ในประเทศอียิปต์โบราณ รอเวลาที่ท่านรตะเวียนกลับมาเกิดใหม่และไขปริศนาในอนาคต
    สัญลักษณ์เหล่านั้นได้แก่ องค์สฟิงซ์ และมหาพีระมิดทั้ง 3 องค์ ซึ่งวัตถุแต่ละอย่างที่สร้างขึ้นจะให้ความหมายที่แตกต่างกันไป
    พีระมิดทั้ง 3 องค์ได้สร้างขึ้นในบริเวณที่เป็นศูนย์กลางของโลก พีระมิดแต่ละองค์ตั้งอยู่ในระยะที่ห่างเท่าๆกัน และทุกองค์มีขนาดเดียวกัน โดยพีระมิดองค์ที่สร้างอยู่ตรงกลางจะสร้างคร่อมศูนย์กลางของโลกซึ่งมีลักษณะเป็นโพรง หรือหลุมพลังงานลึกลงไปใต้โลก ซึ่งท่านรตะได้ใช้พลังจิตวางแผ่นหินใหญ่สีดำที่เป็นแร่มโนธาตุ ปิดหลุมพลังงานเอาไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านรตะกลับมาเปิดแผ่นหินใหญ่นี้ด้วยตนเองในอนาคต และภายในพีระมิดอีก 2 องค์ ได้ขุดเป็นโพรงเชื่อมไปถึงหลุมพลังงานภายในพีระมิดองค์กลาง และมีองค์สฟิงซ์ทอดลำตัวยาวไปทางทิศตะวันตกและหันใบหน้าไปทางทิศตะวันออก โดยองค์สฟิงซ์และองค์พีระมิดกลางได้ถูกสร้างให้อยู่ในแนวที่ตรงกัน
    ก้อนหินแต่ละก้อนที่ใช้สร้างพีระมิดทั้ง 3 องค์ล้วนมีขนาดใหญ่มากเกินกว่ากำลังของมนุษย์จะยกวางได้ วิธีการหรือเทคนิคของการสร้างในครั้งนั้น คือการใช้พลังจิตเปลี่ยนวัตถุจากหินก้อนใหญ่ให้เป็นพลังงานแสงก่อน และนำพลังงานแสงนั้นมาจัดวางลงในรูปแบบที่ต้องการ แล้วจึงค่อยใช้พลังจิตเปลี่ยนพลังงานแสงให้กลับเป็นวัตถุคือก้อนหินอีกครั้ง สำหรับองค์สฟิงซ์ที่มีขนาดใหญ่มากได้สร้างขึ้นจากก้อนหินก้อนใหญ่เพียงก้อนเดียว สิ่งที่พิเศษที่สุด คือ ใบหน้าขององค์สฟิงซ์ที่มีลักษณะเหมือนใบหน้าของมนุษย์ ไม่ได้เกิดจากการแกะสลักลงบนหินแต่อย่างใด แต่เป็นผลงานการใช้พลังจิตกดประทับรูปหยาบของใบหน้าองค์ประมุขของชาวดาวอังคารลงไปบนก้อนหิน องค์สฟิงซ์ถูกสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ 2 อย่าง คือ
    1. กระแสลมปราณจากดาวอังคารจะถูกเชื่อมไว้กับจมูกขององค์สฟิงซ์ เพื่อให้ชาวดาวอังคารได้ใช้ในระหว่างที่มาอยู่บนดาวเคราะห์โลก
    2. จมูกขององค์สฟิงซ์เปรียบเหมือนเป็นประตูกลประตูแรก ที่ใช้สำหรับไขปริศนาความลับของทฤษฎีพีระมิดแอตแลนติก
      พีระมิดและองค์สฟิงซ์ที่ท่านรตะและชาวดาวอังคารช่วยกันสร้างขึ้นในครั้ง 10,000 ปีที่ผ่านมา มีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นตัวกลไกเชื่อมโยงการทำงานของพลังจิต พลังพีระมิด พลังงานในโลก และพลังงานของดวงดาว เมื่อถึงเวลาครบรอบ 10,000 ปีของการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพบนพื้นผิวโลกอีกครั้ง
    แนวความคิดและความเชื่อในพลังของพีระมิดในยุค 5,000 ปีของอารยธรรมอียิปต์แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ เป็นความเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตายว่า พวกเขาจะได้ไปอยู่ในเมืองที่มีความศิวิไลซ์มากที่สุด เส้นทางที่จะพาพวกเขาไป คือ โพรงพลังงานที่เป็นศูนย์กลางของโลกตั้งอยู่ภายในพีระมิดองค์กลาง ฉะนั้นพวกเขาจึงนำศพและสมบัติไปเก็บไว้ในห้องโถงพีระมิดให้ปลอดจากการทำลายของพลังงานแม่เหล็กโลก ศพจึงไม่เน่าเปื่อยและรอวันที่จะมีชีวิตคืนกลับมาใหม่อีกครั้ง นอกจากนั้นพีระมิดทั้ง 3 องค์ได้ถูกสร้างเพิ่มเติมจนกลายเป็นมหาพีระมิดที่มีขนาดแตกต่างกันเป็นองค์ใหญ่ องค์กลาง และองค์เล็ก ตามลำดับ ดังที่ปรากฎอยู่ในปัจจุบันนี้
    องค์สฟิงซ์และพีระมิดทั้ง 3 องค์มีความสัมพันธ์ และมีความหมายซึ่งกันและกันเป็นอย่างยิ่ง ลึกลงไปใต้พื้นดินของเท้าคู่หน้าข้างขวาขององค์สฟิงซ์ จะเป็นแร่มโนธาตุสีดำชนิดเดียวกับที่เป็นแผ่นหินใหญ่สีดำที่ปิดทับส่วนที่เป็นโพรงพลังงานภายในพีระมิดองค์กลาง ซึ่งกลไกของการทำงานจะเกิดขึ้นเมื่อครบวาระ 10,000 ปี และผู้ทรงพลังจิตได้กลับมาเกิดใหม่ เพื่อทำหน้าที่ตามสัจจะที่เคยให้ไว้ โดยการใช้พลังจิตดึงกระแสลมปราณจากดาวอังคารมาที่จมูกของสฟิงซ์เท่ากับเป็นการปลุกหรือสร้างความมีชีวิตใหม่ให้แก่องค์สฟิงซ์ พลังกระแสลมปราณจะพุ่งลงไปหาแร่มโนธาตุสีดำที่อยู่ใต้เท้าขวาข้างหน้า พลังมโนธาตุและพลังกระแสลมปราณจะพุ่งต่อไปยังโพรงพลังงานศูนย์กลางของโลกซึ่งอยู่ใต้พีระมิดองค์กลาง และดันแผ่นหินสีดำเผยอออก และ “ลม” หรือพลังงานยังถูกดันต่อไปถึงศูนย์กลางของพีระมิดอีก 2 องค์ จนในที่สุด “ลม” หรือ “พลังงาน” นั้นถูกดันไปจนถึงอาณาจักรแอตแลนตีส ที่ฝังตัวนิ่งสงบอยู่ใต้มหาสมุทรแอตแลนติก
    การคืนสัจจะได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 แต่เงื่อนไขสำคัญที่สุดที่จะช่วยดึงให้อาณาจักรแอตแลนตีส โผล่ขึ้นมาก็คือ ได้มีการใช้อาวุธเส้นแสงอีกครั้ง ซึ่งชนวนของการเกิดสงครามใหญ่ก็ได้ส่อเค้าให้เห็นกันบ้างแล้ว
    พุทธศาสนาของพระสมณโคดม (บทส่งท้าย)
    ศาสนาพุทธของพระสมณโคดมได้สืบทอดอายุมาจนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลาประมาณ 2,500 ปีแล้ว และจะดำรงอยู่ต่อไปจนครบ 5,000 ปี ยุคปัจจุบันนี้ เรียกกันว่า เป็น “ยุคกึ่งพุทธกาล” ที่หลักธรรมคำสอนของพระสมณโคดมถูกบิดเบือนจนผิดเพี้ยนไปจากคำสอนเดิมที่ได้รับการชำระและสังคายนาในครั้งแรก หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพาน เมื่อพุทธศตวรรษที่ 2 (พ.ศ. 200-300) ในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งในครั้งนั้นพระองค์ได้โปรดให้ส่งพระสมณฑูต 2 รูป นามว่า พระโสณะเถระ และพระอุตตระเถระ ออกเดินทางไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ
    พระโสณะเถระเป็นพระอรหันต์ ส่วนพระอุตตระเถระเป็นพระสงฆ์ที่ทรงพลังจิต (มีฤทธิ์) ได้แสดงฤทธิ์โดยการสร้างเท้าขวาให้มีขนาดใหญ่ขึ้นมากและกดประทับฝ่าเท้าลงบนแผ่นหิน ดังที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในหลายบริเวณของดินแดนสุวรรณภูมิ สร้างความเข้าใจผิดให้แก่เหล่าพุทธศาสนิกชนและผู้พบเห็นในยุคต่อมาตราบจนปัจจุบัน โดยเข้าใจว่าเป็นรอยเท้าของพระพุทธองค์ ซึ่งถ้าศึกษาจากประวัติศาสตร์แล้วจะพบว่าในช่วงที่ทรงมีพระชนม์ชีพและทรงเผยแพร่พระพุทธศาสนานั้น พระสมณโคดมไม่เคยเดินทางมายังดินแดนแถบสุวรรณภูมิเลย
    พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญสูงสุด จนเรียกได้ว่าเป็น “ยุคทอง” ของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว หลังจากเวลาที่ผ่านไปกว่า 1,000 ปี พระพุทธศาสนาได้แยกย่อยออกเป็นหลายนิกายหลายลัทธิ และลัทธิสำคัญได้เข้ามาเผยแพร่ในดินแดนสุวรรณภูมิอีกครั้งในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช คือลัทธิลังกาวงศ์ ซึ่งมีสิ่งที่แตกต่างไปจากพระพุทธศาสนาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชอยู่หลายประการ เช่น พระสงฆ์เริ่มฉันเนื้อสัตว์, มีการแต่งตั้งพระสงฆ์ให้มีสมณศักดิ์ ฯลฯ
    จากยุคสุโขทัย-กรุงศรีอยุธยา-กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ ระยะเวลาผ่านไปอีกร่วม 1,000 ปี การถ่ายทอดและสืบทอดหลักธรรมคำสอนย่อมมีความผิดเพี้ยนเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน หลักธรรมและวิธีฝึกปฏิบัติที่ถูกต้องยังคงมีเหลืออยู่ไม่ได้สูญหายไปจนหมดสิ้น เพียงแต่บุคคลที่สนใจจะมีโอกาสได้เข้าไปศึกษาเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นความถูกต้องเหล่านั้นหรือไม่ (หรือจะรอเวลาให้เกิดเหตุการณ์ “การวนรอบ” เสียก่อนจึงค่อยคิด)
    พลังงานเสียง พลังงานแสง ตลอดจนธาตุบริสุทธิ์ของพระสมณโคดมยังคงเป็นพลังงานที่มีอยู่ในโลกนี้ ฉะนั้นผู้รู้ ผู้มีพลังจิต ยังคงสามารถเข้าไปค้นพบพลังงานเสียง พลังงานแสง (ภาพพระพุทธองค์) และพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ได้อยู่เสมอ ตราบจนกระทั่งครบ 5,000 ปี ซึ่งในวันนั้น พลังงานเก็บพลังงานตกค้างทุกชนิดของพระสมณโคดมจะมารวมตัวกันและถูกทำลายโดยเตโชธาตุ (ธาตุไฟ) จนหมดสิ้น เป็นการปิดฉากพระพุทธศาสนาที่มีศาสดาทรงพระนามว่า “พระสมณโคดม” และเมื่อถึงยุคของศาสดาองค์ใหม่ที่ทรงพระนามว่า “ศรีอารยเมตไตรย” จะเป็นช่วงระยะเวลาที่ผู้คนในยุคนั้นจะมีอายุยืน มีโอกาสในการประพฤติปฏิบัติธรรมได้นาน เนื่องมาจาก “แกนพลังงานโลก” ได้คืนกลับมาสู่ความเป็นปกติเรียบร้อยแล้ว (ได้กลับคืนสู่สภาพปกติก่อนหน้านั้นเป็นเวลานานแล้ว)
    knowledge5 - ingdhamma
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]
    สติ - พลังงาน - อารมณ์

    การจะเข้าใจกลไกการเปลี่ยนแปลงของพลังงานในโลกที่มีต่อสุขภาพจิตได้ ก่อนอื่น ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของสิ่งที่เรียกว่า จิต นี้ก่อน สภาพเดิมของจิตนั้น ไม่มีตัว ไม่มีชื่อเรียก ไม่ยึดเกาะสิ่งใด ไม่มีสิ่งใดยึดเกาะได้ ไม่เกี่ยวข้องกับกาลเวลาและสถานที่ ไม่เกี่ยวข้องกับสสาร พลังงาน หรือแรงใดๆ ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นเหตุ สิ่งที่เป็นผล ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีการเคลื่อนไปสู่การเปลี่ยนแปลงเป็นสภาวะใดๆ ทั้งไม่อาจระบุตำเเหน่งที่ตั้งได้ แต่เพราะความไม่รู้หรืออวิชชาของจิตเอง จึงไปหลงยึดเกาะอาศัยสิ่งต่างๆ เอามาเป็นที่เกิดและเป็นที่อยู่ของจิต จนปรุงแต่งเกิดสภาพที่มีตัวตนและมีแรงขับเคลื่อนเกิดขึ้น สิ่งที่เป็นที่เกิดและเป็นที่อาศัยของจิตสำหรับมนุษย์เราที่เกิดมาแล้ว ก็คือ ความรู้สึกที่เกิดที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย อารมณ์ที่เกิดที่ใจ หรือหัวใจ และความคิดที่สมอง
    ดังนั้น สิ่งที่จะเป็นปัจจัยต่อการปรุงแต่งและเปลี่ยนแปลงของสภาพจิต ก็คือสิ่งที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของ อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ซึ่งสามารถจำแนกได้ 2 ประการด้วยกัน คือ ปัจจัยทางกายภาพ และ ปัจจัยทางพลังงาน
    ปัจจัยทางกายภาพ มีทั้งปัจจัยที่มาจากภายนอก และ ปัจจัยจากภายในร่างกาย ปัจจัยที่มาจากภายนอก ก็เช่น แสงหรือภาพที่มา
    กระทบและปรากฏต่อสายตา เสียงที่ได้ยินที่หู กลิ่นที่กระทบจมูก รสชาติอาหารที่ลิ้น การสัมผัสทางร่างกายจากสิ่งต่างๆ สิ่งเหล่านี้เมื่อเกิดการกระทบสัมผัสแล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึก ชอบใจ ไม่ชอบใจ หรือเฉยๆ เป็นสิ่งที่มาจากภายนอก เข้ามาแล้วก็ทำให้เกิดอารมณ์ ความคิดต่างๆขึ้น ส่วนปัจจัยที่เกิดขึ้นภายในก็คือ การเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง รวมทั้งสารเคมีที่หลั่งออกมาจากต่อมไร้ท่อที่ผลิตฮอร์โมนชนิดต่างๆ เพราะแม้การเปลี่ยนแปลงของสารเคมีเหล่านี้เพียงเล็กน้อย เช่น ปริมาณที่สารหลั่งออกมา
    องค์ประกอบทางเคมี ก็ล้วนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ และความคิด ทั้งนั้น เมื่อพลังงานในโลกเปลี่ยน ลมปราณอ่อนกำลังลง ด้วยเหตุที่ลมปราณคือพลังการไหลเวียนของเลือดดังที่ได้กล่าวตั้งแต่ต้น เมื่ออ่อนกำลังลงจึงมีผลทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดเสื่อมประสิทธิภาพ การนำสารอาหารนำอากาศ เข้าสู่เซลล์ จึงทำได้ไม่ดี เซลล์ที่อยู่ลึกหรืออยู่ไกลจากหัวใจก็จะ
    ได้รับสารอาหาร ได้รับอากาศไม่เต็มที่ ในขณะที่การนำเอาของเสียออกจากเซลล์พร้อมกับเลือดก็ทำได้ไม่ดีเช่นกัน จึงทำให้เซลล์ต่างๆอ่อนแอและเสื่อมถอยลง โดยเฉพาะกับเซลล์สมอง เซลล์ในต่อมไร้ท่อที่ผลิตฮอร์โมน จึงทำให้สารเคมีต่างๆที่ร่างกายผลิตขึ้นเกิดความผิดปกติ จนมีผลต่ออารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของคนเรา
    ปัจจัยทางพลังงาน พลังงานที่มีผลต่ออารมณ์ ความคิดของเรา ก็คือ ลมปราณ นั่นเอง เพราะแสงสีของพลังลมปราณนั้นมีความหมายที่สัมพันธ์กับระดับของ อารมณ์และความคิด สีของแสงลมปราณที่ดีนั้นก็ได้แก่
    ลมปราณแสงสีเหลือง เป็นแสงของอารมณ์แห่งความเมตตาและ เป็นแสงของกายที่บ่งบอกถึงสุขภาพที่แข็งแรง ถ้าอยากมีสุขภาพแข็งแรงมีอายุยืนยาว จิตของเราก็ควรอยู่กับอารมณ์ ความคิด ที่ประกอบด้วยความเมตตาให้มากๆ
    ลมปราณแสงสีขาว เป็นแสงของอารมณ์แห่งความบริสุทธิ์ของใจ เป็นแสงที่บ่งบอกถึงใจที่เปี่ยมด้วยความสุขอันละเอียดประณีต ที่ประกอบด้วยความบริสุทธิ์ของศีล ความไม่คิดเบียดเบียน และความเกรงกลัวละอายต่อบาปอกุศล
    ลมปราณแสงใสไม่มีสีและสภาพพลังความว่าง เป็นสภาพของใจที่เปี่ยมด้วยอารมณ์อุเบกขาอันสงบลึกซึ้ง สันติ สันโดษ ลมปราณแสงใสไม่มีสีนี้เป็นแสงสว่างของความนึกคิด เป็นคลื่นของความนึกคิดโดยตรง ความจริงแล้วเรายังสามารถจัดแยกคลื่นความคิดเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในด้านพลังงานที่มีผลต่ออารมณ์และความคิด แต่ในครั้งนี้ขออธิบายรวมเรียกกันทั้งหมดไปว่า คือ พลังลมปราณเพื่อความเข้าใจที่รวบรัดขึ้น เพราะอารมณ์กับความคิดนั้น แม้จะเป็นสภาพพลังงานคนละส่วนกันแต่ก็มีความสัมพันธ์กัน
    และมักจะเคลื่อนไหวไปด้วยกัน และมักเป็นเหตุปัจจัยสืบต่อให้แก่กันและกัน
    สีของแสงอื่นๆ นอกจากนี้ก็มีความหมายที่แตกต่างออกไป สีของแสงที่น่าสนใจ เช่น
    แสงสีเขียว เป็นแสงของผลแห่งการกระทำความดี แสงสีชมพู เป็นแสงของอารมณ์ความรักที่นุ่มนวล แสงสีน้ำเงิน เป็นแสงอารมณ์กามราคะ แสงสีแดง เป็นแสงความคิดความต้องการความสำเร็จทางโลก แสงสีม่วงคล้ำ เป็นแสงอัลตราไวโอเลต และเป็นแสงของโรคมะเร็ง แสงสีเทา-ดำ เป็นแสง ความคิดที่ฟุ้งซ่านเครียด และเป็นแสงของสภาพร่างกายจิตใจที่เจ็บป่วย ร่างกายอ่อนแอ เป็นต้น
    พลังลมปราณที่สามารถมีอิทธิพลเหนี่ยวนำจิตใจของเราได้จะเกิดขึ้นได้ด้วยกลไก 2 ประการ
    ประการแรก โดยทางตรง จากการที่จิตสัมผัสกับลมปราณโดยตรง ทั้งจากการที่ลมปราณเคลื่อนเข้ามาหากระแสจิตที่อยู่ภายในร่างกายหรือ จิตส่งกระแสคลื่นออกไปรับสัมผัสพลังลมปราณที่อยู่ภายนอกร่างกาย
    ประการที่สอง โดยทางอ้อม จากการที่จิตรับคลื่นพลังลมปราณผ่านทางอวัยวะรับคลื่น อวัยวะที่สำคัญ ก็คือ สมอง กับ หัวใจ ร่างกายของเรานี้มิเพียงเป็นอวัยวะที่เป็นสสารวัตถุที่มีระบบประสาทสำหรับรับสัมผัสจากสสารวัตถุ จากแสง เสียง ที่เป็นสิ่งเร้าที่รู้จักคุ้นเคยตามปกติเท่านั้น แต่ทว่ายังมีความสามารถรับสิ่งที่ละเอียดเช่นคลื่นอารมณ์และความคิดได้ เช่น สมองนั้นไม่เพียงเป็นอวัยวะที่ใช้คิดและเก็บความจำเก็บความคิดเท่านั้น ยังสามารถรับคลื่นความคิดจากภายนอกได้ ส่วนหัวใจก็ไม่เพียงทำหน้าที่สูบฉีดเลือด ยังสามารถรับคลื่นของอารมณ์จากภายนอกได้ อีกทั้งเป็นที่เก็บอารมณ์ที่ผ่านมาในอดีตด้วย นอกจากนี้ยังมีจุดหรือศูนย์รับพลังลมปราณที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งต่อมไร้ท่ออีก 7 จุด ซึ่งเรียกว่า จักระ หรือ วัฏจักร ทั้ง 7 ก็เป็นอวัยวะที่สามารถรับคลื่นลมปราณได้เช่นกัน อีกทั้งยังมีระบบรับคลื่นพลังระบบจุดลมปราณ 12 จุดที่ละเอียดลงไป แต่ยังไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ เพราะเพียงยก
    ตัวอย่าง สมอง กับ หัวใจ ก็คงพอได้เห็นภาพและคงพอเกิดความเข้าใจแล้ว
    เมื่อคลื่นพลังงานในโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะพลังลมปราณ ซึ่งอีกนัยหนึ่งคือคลื่นของอารมณ์และความคิดเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมลง การไหลเวียนลดลง ความถี่ของพลังงานต่ำลง และถูกทำลายไปมาก แสงสีของปราณจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเป็นแสงที่มีระดับความถี่ต่ำกว่าแสงสีเหลืองมาก จนเกิดเป็นกลุ่มพลังแสงสีมืดสีดำเพิ่มมากขึ้นๆในโลก คลื่นของพลังที่เป็นกุศล คือ ความเมตตา ความบริสุทธิ์ ความว่าง จึงเหือดหายเจือจางลงไป ขณะที่พลังที่มืดดำซึ่งเป็นระดับอารมณ์ความคิดที่เป็นไปในทางอกุศล เป็นอารมณ์ที่หนักและหยาบ อารมณ์ความคิดสีมืดดำที่เกิดเพิ่มขึ้นมาในโลกนี้ เมื่อจิตเข้าไปสัมผัสก็พบว่าส่วนใหญ่เป็น ความคิดเบียดเบียนผู้อื่น ที่มากับความโลภ ความโกรธ ความพยาบาท กามราคะ รวมถึง อารมณ์ซึมเศร้า ก้าวร้าว เศร้าหมอง มองโลก มองผู้อื่น มองตนเองในแง่ร้าย มีความขัดเคืองใจง่าย แม้ขัดเคืองใจในเรื่องเล็กน้อยก็กลายเป็นอารมณ์รุนแรงได้
    พลังสีมืดดำเหล่านี้เมื่อไหลเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ หากเคลื่อนเข้าสู่สมอง ก็จะปรากฏเป็นความคิดด้านอกุศลแล้วเหนี่ยวนำให้สมองคิดตัดสินใจทำเรื่องต่างๆไปในทางอกุศลมากกว่าทางกุศล หากเคลื่อนเข้าสู่หัวใจก็จะเป็นอารมณ์ที่เป็นไปในทางอกุศลมากกว่าทางกุศล อีกทั้งการหลั่งสารเคมีในสมองก็ดี ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจากต่อมไร้ท่อก็ดี ต่างก็หลั่งสารที่ทำให้คนเกิดความคิดและอารมณ์ไปในทางอกุศลมากกว่าทางกุศลด้วยดังนั้น ทุกขณะของความคิดที่ปรากฏในสมอง ทุกอารมณ์ที่ปรากฏในใจ จะเป็นเรื่องอกุศลมากกว่าเรื่องที่เป็นกุศล และแม้จะนึกคิดเรื่องที่เป็นกุศล ความคิดอกุศลก็จะแทรกเข้ามาบ่อยครั้ง คนที่มีพื้นฐานทางจิตใจที่ดีก็มีจะภูมิคุ้มกันไม่เชื่อตามความคิดที่เป็นอกุศล แต่ถ้าเป็นคนที่พื้นฐานทางจิตใจไม่ดีนักก็จะถูกกระตุ้นให้เชื่อความคิดที่เป็นอกุศล แล้วไปพูดหรือกระทำเรื่องที่เป็นอกุศลต่างๆ
    ที่สำคัญก็คือ พลังความถี่ต่ำสีมืดดำที่เป็นพลังงานอกุศลนี้ ได้ส่งผลต่อความถี่ของจิตด้วย เพราะมันไปเหนี่ยวนำให้คลื่นความถี่ของจิตลดลง ทั้งจากการที่จิตได้สัมผัสกับพลังความถี่ต่ำโดยตรง หรือ เหนี่ยวนำให้ที่อยู่ของจิตคือสมองและหัวใจเกิดความคิดและอารมณ์ที่เป็นอกุศล เมื่อที่อยู่ของจิตถูกทำให้ลดพลังงานลง มันก็จะไปดึงความถี่ของจิตให้ลดลงไปด้วย จิตยิ่งได้เข้าไปร่วมกับอารมณ์อกุศลมากเท่าใดก็จะทำให้จิตเสียพลังงานไปมากเท่านั้น แล้วที่กล่าวว่ามีความสำคัญก็เพราะ ความถี่ของจิต หรือ แรงสืบต่อ หรือ แรงสั่นสะเทือนของจิตนี้ ก็คือ คุณภาพของจิต ที่เราเรียกว่า สติ นั่นเอง สตินั้นจัดเป็นพลังของจิตอย่างหนึ่ง ที่มีความสำคัญมาก เนื่องด้วย สตินั้น คือ ภูมิคุ้มกันโรคทางจิต
    การที่ภูมิคุ้มกันโรคทางจิตหรือสติอ่อนแอลงนี้ เมื่อเกิดความคิดหรืออารมณ์ขึ้นโดยเฉพาะที่เป็นอกุศล จิตก็จะถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำได้ง่ายเพราะความถี่ของจิตมีค่าน้อยกว่าความถี่และความหนาแน่นของอารมณ์ แรงสั่นสะเทือนของจิตจึงมีไม่พอที่จะผลักดันหรือสลายคลื่นอกุศลที่เข้ามาครอบงำจิต ทำให้จิตไม่สามารถสลัดอารมณ์ที่เป็นอกุศลนั้นออกไปได้โดยง่าย จิตก็จะถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยคลื่นความคิดและอารมณ์อกุศลนั้น แล้วถูกแรงขับเคลื่อนจากความคิดและอารมณ์อกุศลให้ไปกระทำสิ่งต่างๆ อีกทั้งการที่กำลังสติอ่อนแอนี้ จะทำให้จิตมีความไวต่อการแก้ปัญหาทางอารมณ์ช้าลง สติเกิดไม่ทันที่จะเข้ามาพยุงมาประคองสภาวะจิตให้อยู่เป็นปกติเมื่อเกิดอารมณ์อกุศลที่ร้ายแรงขึ้น
    การที่สติอ่อนกำลังลงจึงมีผลโดยตรงต่อการลดความสามารถของจิตในการควบคุมและการปล่อยวางอารมณ์ ซึ่งมีผลต่อเนื่องถึงสภาพจิตทั้งแบบเรื้อรังและแบบฉับพลันแบบเรื้อรังก็คือจิตรู้สึกนึกคิดอยู่กับเรื่องราวที่เป็นอกุศลนั้นอยู่นานๆ และความคิดและอารมณ์นั้นก็หมุนวนเข้ามาให้จิตเกิดวิตกวิจารณ์อยู่บ่อยครั้ง วนไปวนมา ยิ่งเวลาผ่านไปหากจิตยังไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพ
    จิตที่เป็นปกติ สภาพการรับรู้ของจิตก็จะถูกบิดเบือนไปมากขึ้น จนทำให้เกิดความหลงผิด จิตเกิดการปักใจเชื่อในความเห็นผิดนั้นๆ จนไม่สามารถแยกแยะว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควรและเมื่อความสามารถในการควบคุมตนเองลดลงก็จะไปกระทำสิ่งที่เป็นอกุศลต่างๆได้ ทั้งทางกาย และทางวาจา
    ส่วนแบบฉับพลันก็คือ เมื่อเกิดความคิดอารมณ์อกุศลพลุ่งพล่านขึ้นมาทันทีทันใด จิตก็ไม่มีกำลังสติพอจะตระหนักรู้ในความเคลื่อนไหวของความคิดและอารมณ์นั้น ตั้งสติไม่ทัน จิตก็จะถูกครอบงำอย่างรวดเร็ว ไม่เป็นตัวของตัวเอง จนไปกระทำการต่างๆ ตามแรงของความคิดและอารมณ์อกุศลนั้น ทั้งทางกาย และทางวาจา

    knowledge6 - ingdhamma
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]
    ผลกระทบของพลังงานต่อสมถะกรรมฐาน

    ผลกระทบอีกด้านหนึ่งจากการเสื่อมถอยของพลังลมปราณ เป็นผลกระทบต่อการฝึกจิต นั่งสมาธิของกลุ่มผู้ฝึกปฏิบัติสมาธิเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการฝึกสมาธิในลักษณะ สมถะกรรมฐาน ซึ่งเป็นการฝึกรวมจิตให้นิ่งอยู่ที่ฐานใดฐานหนึ่ง หรือจุดใดจุดหนึ่งในร่างกาย เพื่อให้จิตเกิดความสงบ จนจิตเข้าสู่ความสงบในระดับต่างๆ ระดับของความสงบนี้เราเรียกว่า ฌาน ยกตัวอย่างเช่น รูปฌานสี่ระดับ คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ความสงบในระดับต่างๆ นี้ก็มีลักษณะอาการทางจิตอันละเอียดประณีตแตกต่างกันไป กล่าวโดยสรุปคือ
    ปฐมฌาน - ความนึกคิด เคลื่อนไหวช้าลง จนสงบระงับ จิตละเอียดกว่าลมหายใจ จนรู้สึกว่าลมหายใจเบาบางลงๆ จนเลือนหายไป จิตไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของลมหายใจ
    ทุติยฌาน - เกิดอาการปีติขึ้นภายใน เช่น รู้สึกร่างกายย่อ ขยายตัวโยกโคลง รู้สึกอิ่มเอิบ เย็นซาบซ่าน จนน้ำตาไหล ขนลุก
    ตติยฌาน - เกิดสุขอันประณีตขึ้นภายใน ในฌานสามระดับตื้น จะเริ่มปรากฏแสงสว่างภายในขึ้น เห็นเป็นแสงสีต่างๆ จากนั้นในระดับกลาง จะพบแสงสีเหลือง จากนั้นในระดับลึก จะพบแสงสีขาวบริสุทธิ์ เกิดความสุขอันละเอียดประณีตขึ้นภายใน แสงสีขาวนี้สามารถเรียกชื่อได้อีกอย่างว่า มโนวิญญาณธาตุ หรือ ธาตุรู้ที่อยู่ที่ใจ ถ้าจิตอยู่กับความสว่างสีขาวจนถึงขาวใสไปสักระยะ จากนั้นภาพนิมิตต่างๆก็จะปรากฏขึ้น
    จตุตถฌาน - สภาพของความสงบที่ปรากฏในระดับนี้ จะเป็นสภาพของ ความว่าง ความเป็นหนึ่งเดียวของจิตรวมไปถึง อารมณ์อุเบกขาเป็นสภาพที่ไม่มีแสงสี ไม่มีนิมิต ไม่มีความนึกคิดใด จิตใจความนึกคิดนิ่งสนิทไม่เคลื่อนไหว รวมเป็นหนึ่งเดียว
    ก่อนการเสื่อมถอยของพลังลมปราณนั้นการรวมจิตเพื่อเข้าสู่ความสงบ ก็สามารถกระทำได้เป็นปกติ ไม่ยากไม่ง่าย สามารถกระทำได้ตามสมควรแก่ความเพียรของแต่ละบุคคล และเมื่อจิตรวมตัวเข้าสู่ความสงบแล้วก็สามารถทรงตัวดำรงสภาพจิตอยู่ในความสงบนั้นได้นานตามกำลังจิตที่ได้ฝึกฝนมา แต่หลังจากพลังลมปราณเริ่มเกิดการเสื่อม จนเสื่อมถอยลงมากในปัจจุบัน สภาพการณ์ที่ปรากฏแก่การทำสมาธิก็คือ
    จะรู้สึกดูเหมือนว่าจิตรวมตัวเกิดความสงบในระดับปฐมฌานได้เร็วกว่าเดิม เพราะลมหายใจดับไปเร็วมาก แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าความนึกคิดยังเคลื่อนไหวเร็วอยู่ ไม่เบาบางลงไปพร้อมๆกับการเลือนหายไปของลมหายใจ คือ สภาพการณ์ก่อนที่ลมปราณเกิดการเสื่อม เมื่อลมหายใจดับไป ความนึกคิดก็จะดับตามลงไปพร้อมๆ กัน เพราะลมกับจิตนั้นเป็นสิ่งที่เนื่องกันอยู่ ลมหยาบจิตก็หยาบ ลมละเอียดจิตก็ละเอียด แต่ภายหลังเมื่อลมปราณเสื่อมลงไปแล้ว เมื่อทำสมาธิจนลมละเอียดแล้วแต่จิตยังไม่ยอม
    ละเอียด ต้องรออีกสักระยะและต้องใช้ความพยายามรวมจิตเพิ่มขึ้นความนึกคิดถึงจะเบาบางลงไป ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการที่ลมปราณเสื่อมลงไปแม้ไม่ได้รวมจิตทำสมาธิก็รู้สึกว่าสืบลมหายใจเข้าออกยากอยู่แล้ว รู้สึกลมหายใจตื้น หายใจไม่อิ่มไม่เต็มเหมือนลมไม่เข้ามาในร่างกาย พอมานั่งสมาธิพยายามปรับลมหายใจให้ละเอียดให้ลมหายใจหายไป ก็จะทำได้เร็ว แต่คลื่นความคิด
    อกุศลที่เพิ่มมากในโลกจะเป็นตัวคอยรบกวนคลื่นจิต คลื่นสมองให้จิตสงบช้าลง
    สำหรับความสงบตั้งแต่ระดับทุติยฌานไป ก็จะพบว่าตรงกันข้ามกับปฐมฌาน เนื่องจากการจะรวมจิตเข้าสู่ความสงบลึกเข้าไปนั้น ใช้เวลาและความพยายามมากกว่าขึ้นกว่าเดิมมาก ทั้งๆที่ผู้ฝึกก็ฝึกมานานมีทักษะความชำนาญในการฝึก แต่ก็กลับทำได้ยาก สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือ สภาวะของปีติ รวมถึง แสงสว่าง ภาพนิมิตต่างๆ ความว่าง ปรากฏได้ยากกว่าเดิม อีกทั้งเมื่อปรากฏแล้ว กำลังของปีติ กำลังของแสงสว่าง ลดลงไปมาก และอาการปีติ แสงสว่าง ภาพนิมิต ความว่าง ที่เกิดขึ้นแล้วจะตั้งอยู่ได้ไม่นาน ตั้งอยู่ได้สักระยะก็จะเลือนดับหายไป จากนั้น ถ้าจิตไม่ถอนตัวออกมาจากความสงบเร็วกว่าเดิม ก็จะเกิดเป็นความมืดดำเข้ามาแทรก หรือปรากฏเป็นแสงสีเขียวอ่อนจนถึงสีเขียวคล้ำ หรือเป็นหมอกสีขาวขุ่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็คือ แสงเฉื่อย ลมปราณพิษที่เข้าแทรกและมาทำลายพลังปราณที่ดีของเรานั่นเอง ลักษณะเช่นนี้ก็จะเกิดวนไปวนมา คือ เมื่อรวมจิตจนเกิดปีติ แสงสว่าง ความว่างขึ้น
    มาเมื่อใดก็จะถูกปราณพิษเข้ามาทำลายเมื่อนั้น ถ้าเราทรงจิตให้นิ่งสงบต่อไปกับพลังงานที่เป็นพิษเหล่านี้ ก็จะพบว่าจิตนั้นก็เกิดความสงบได้เช่นกัน แต่เป็นความสงบที่หนัก ไม่เบาสบาย พอออกจากสมาธิก็รู้สึกว่า จิตไม่โล่งเบาตัวก็ไม่เบา อาจมีอาการมึนศีรษะ อ่อนเพลีย จนถึงกับมีอาการป่วยเป็นไข้ไม่สบายได้ อีกทั้งจะสังเกตว่าจิตเกิดความขัดเคืองได้ง่าย หงุดหงิดง่าย มีความ
    คิดอกุศลปรากฏขึ้นบ่อยๆ ก็จะทำให้ผู้ปฏิบัติสมาธิเกิดข้อสงสัยในทักษะทางจิตและแนวทางการปฏิบัติของตนว่า ทำไมการปฏิบัติสมาธิไม่ก้าวหน้า

    สำหรับการฝึกจิตในระดับสมถะกรรมฐานนี้ถ้าฝึกจนรู้วิธีดับความนึกคิด ความวิตกกังวล ความเครียดทางอารมณ์ได้แล้ว ใช้เป็นเครื่องอยู่ของจิตเป็นครั้งคราว แล้วยกระดับการฝึกไปสู่ระดับของ วิปัสสนากรรมฐาน อันเป็นการฝึกจิตให้มีกำลังสติเพิ่มขึ้น ถ้าปฏิบัติเช่นนี้ก็จะไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย แต่ถ้าฝึกรวมจิตให้สงบ อยู่กับปีติ นิมิต ต่อเนื่องเป็นประจำแล้ว ในระยะยาวจะเกิดผลเสียกับสุขภาพร่างกายได้ เพราะสมถะกรรมฐานเป็นการทำให้จิตเคลื่อนไหวน้อยที่สุด จนจิตเกิดความนิ่ง รวม
    ศูนย์เข้าไป เมื่อจิตนิ่งแล้วพลังงานในร่างกายก็จะเคลื่อนไหวน้อยตามไปด้วยลมปราณ เลือดลม ก็จะไหลเวียนช้า ทำให้สุขภาพร่างกายอ่อนแอ
    ยิ่งมาถึงในปัจจุบันนี้ปราณในโลกเสื่อมถอย และเกิดปราณพิษขึ้น ก็จะยิ่งเกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อผู้ฝึกเกิดประสบการณ์ทางจิตสัมผัสกับปราณพิษพบแสงสีเขียวอ่อนจนถึงสีเขียวคล้ำ หรือเป็นหมอกสีขาวขุ่นโดยไม่รู้ว่าสิ่งเหล่า
    นี้เป็นพิษต่อร่างกายจิตใจของเรา นำจิตเข้าไปรวมเป็นหนึ่งกับพลังเหล่านี้ หรือไม่ก็ดึงพลังเหล่านี้เข้ามาสู่ร่างกาย ก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพมาก

    โรคที่มักเกิดกับผู้ฝึกสมาธิแบบรวมจิตให้นิ่งๆ อยู่กับความสงบอยู่กับปีติ อยู่กับภาพนิมิต เป็นประจำก็คือ โรคเสื่อมถอยชนิดต่างๆ ที่มักป่วยกันก็ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดตีบ โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดนี้ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติที่สูงอายุก็ต้องระวังในเรื่องเส้นโลหิตในสมองตีบหรืออาจถึงขั้นแตกได้ ซึ่งจะทำให้ป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์อัมพาตตามมา อีกทั้งโรคไตก็ป่วยเป็นกันมาก
    มีเรื่องที่ต่อเนื่องมาจากการฝึกจิตแบบสมถะฯ อีกด้านหนึ่งที่อยากกล่าวถึง เพื่อเป็นข้อพิจารณาให้กับผู้ที่นำเอาพลังจากการฝึกสมถะฯไปใช้ประโยชน์ เพราะเป็นกิจกรรมที่นิยมทำกันมาก กรณีแรกก็คือ เมื่อผู้ฝึกสมาธิสามารถรวมจิตให้สงบ จนเข้าถึงพลังลมปราณแสงสีเหลืองอันเป็นพลังเมตตา หรือพลังความบริสุทธิ์แสงสีขาวของมโนวิญญาณธาตุแล้ว ได้นำเอาพลังของตนเองที่ตนเองเข้าถึงนั้น ถ่ายเท บรรจุลงไปในวัตถุมงคลต่างๆ หรือไม่ก็ไปดึงเอา พลังลมปราณ พลังบริสุทธิ์จากธรรมชาติ ดึงเข้ามาบรรจุลงไปในวัตถุมงคล เพื่อให้วัตถุนั้นเกิดเป็นสิ่งที่แผ่พลัง เมตตามหานิยม เสริมสร้างสิริมงคล ความปลอดภัย เสริมโชคลาภให้แก่ผู้ที่มีวัตถุมงคลนั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีเป็นสิ่งให้ผู้คนยึดเหนี่ยวเคารพบูชา ช่วยสืบต่อพระศาสนา แต่ผู้ที่ประกอบกิจบรรจุพลังต้องระวัง เพราะในสมัยนี้พลังปราณในโลกเสื่อมลง เหลือน้อยลงเมื่อนำพลังในตัวเองออกมาใส่วัตถุจะทำให้พลังในตัวเองเสื่อมลง ถ้าเป็นสมัยก่อนเมื่อถ่ายเทพลังออกไป พลังก็ไม่เสียสมดุลเท่าใด เพราะปราณ และพลังบริสุทธิ์ในโลกยังมีมากอยู่ สามารถดึงเข้ามาทดแทนได้เร็วได้ทัน แต่สมัยนี้เมื่อเสียพลังไปแล้ว พลังจะกลับสู่สมดุลยากมากทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ง่ายอีก และถึงแม้จะไม่ได้นำพลังในตนเองถ่ายเทออกไป ใช้พลังจิตดึงเอาพลังจากธรรมชาติมาใช้แทน ก็หนีไม่พ้นผลกระทบ เพราะพลังในธรรมชาติที่พร่อง
    ไปก็จะมาดึงเอาพลังในร่างกายของผู้ประกอบกิจไหลเข้าไปแทนที่ ใครเป็นคนที่สร้างเหตุ ก็จะเป็นผู้รับผล หลบหนีไม่ได้ ก็จะทำให้เกิดการเจ็บป่วยตามมาอีกเช่นกัน
    อีกกรณีหนึ่ง ผู้ฝึกสมาธินำพลังของตน หรือ เชื่อมตัวเองกับพลังจากธรรมชาติ แล้วถ่ายเทพลังไปให้กับบุคคลอื่นที่กำลังป่วยจากโรคต่างๆ เพื่อหวังผลในการบำบัดรักษา ซึ่งถ้าได้กระทำพอสมควรไม่มากเกินไปจนพลังของตนเสียสมดุลก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าทำมากเกินไปก็จะเกิดผลเสีย เพราะเกิดกรณีที่ผู้ให้การบำบัดถ่ายพลังให้ แล้วรักษาสมดุลของพลังตนเองไม่ได้ อีกทั้งยังได้รับ
    พลังด้านลบจากผู้รับการบำบัดไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย แล้วขับพลังด้านลบออกไม่ทัน ก็ทำให้เกิดการเจ็บป่วยขึ้นมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ฝึกสมาธิควรพิจารณาในการนำพลังไปใช้อย่างระมัดระวังด้วย

    knowledge7 - ingdhamma
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]


    ถอดรหัสพิบัติภัย
    เทปบันทึกรายการ"ถอดรหัสภิบัติภัย" ชุด"ภาวะโลกร้อน" ออกอากาศทางสถานี NBT เดือน มีนาคม 2552
    วิทยากรผู้ร่วมรายการ: พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ , ดร. อาจองค์ ชุมสาย ณ อยุธยา
    [ame="http://www.esnips.com/doc/61e9dc5f-5db5-433c-a62d-271b544ff60b/cd9-1"]จากญาณทัสนะถึงภาวะโลกร้อน ช่วงที่ 1[/ame]
    [ame="http://www.esnips.com/doc/15dc696e-b66f-4e42-9d50-274ff66cace7/cd9-2"]จากญาณทัสนะถึงภาวะโลกร้อน ช่วงที่ 2[/ame]
    [ame="http://www.esnips.com/doc/e0ea2c5a-30f0-4fff-bb8c-afbf9dcbd21b/cd10-1"]พลังพีระมิดกับวิกฤตโลกร้อน ช่วงที่ 1[/ame]

    [ame="http://www.esnips.com/doc/002314f1-d8bd-4aa8-9e9a-6d5909c467ba/cd10-2"]พลังพีระมิดกับวิกฤตโลกร้อน ช่วงที่ 2[/ame]

    knowledge8 - ingdhamma
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]
    สโตนเฮนจ์ (StoneHenge)
    สโตนเฮนจ์ (StoneHenge) แห่งเมืองซาลเบอรี่ (Salisbury) ประเทศอังกฤษ มีอายุนานประมาณ 5,000-6,000 ปีผู้สนใจสามารถหาข้อมูลละเอียดมากเท่าที่ต้องการได้จากแหล่งข้อมูลอื่นๆ หากเป็นความรู้ที่ได้มาจากวิทยาศาสตร์ทางจิต จำเป็นต้องให้เครดิตกับ “ชาวแอตแลนตีส” ก่อนเมื่อประมาณ 13,000 ปี ล่วงมาแล้ว มหาอาณาจักรแอตแลนตีส เป็นศูนย์รวมของสรรพวิทยาการและ
    อารยธรรมในยุคนั้น เรียกกันว่า “ยุคพีระมิด” เนื่องจากใช้พลังของพีระมิดเป็นพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ทางจิต พลังจิต การสื่อสาร การเดินทาง การรักษาโรค การคำนวณบอกเวลาทางดวงดาวและกาแลคซี่ทั้ง 3 (ปฏิทินดาราศาสตร์) วิวัฒนาการด้านพลังงาน พลังจิต ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จากชาวดาวอังคาร จนสามารถก้าวไปถึงลำดับสุดท้าย คือการเปลี่ยนวัตถุเป็นแสง และการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ
    วิวัฒนาการด้านพลังงานมีด้วยกัน 7 ระดับ คือ 1. ความร้อน 2. แสง 3. เสียง 4. แม่เหล็กไฟฟ้า 5. ปรมาณู 6. เส้นแสง 7. การเปลี่ยนวัตถุเป็นแสงและการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ
    1 เดือนล่วงหน้าก่อนการล่มสลายของมหาอาณาจักร มีนักบวชรูปหนึ่ง เป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา ยุคที่เหลือแต่พระธรรมคำสอน ของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ก่อนพระสมณโคดมของยุคนี้) นักบวชเป็นผู้มีความสามารถมาก มีพลังจิตสูง รู้อดีต อนาคต จึงได้รู้ถึงเวลาของการล่มสลายและยุบตัวจมลงในมหาสมุทรของมหาอาณาจักร ที่จะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือน จากสาเหตุการใช้ “อาวุธแสง” ทำสงครามทำลายล้างแผ่นดินคู่อริ นักบวชได้ชักชวนและอพยพบุคคลที่เชื่อพาลงเรือ เดินทางร่วม 1 เดือนพ้นออกมาจากการยุบตัวของทวีปขึ้นฝั่งที่แถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ประเทศอียิปต์ในปัจจุบันนี้ นักบวชได้บอกไว้อีกว่า “แผ่นดินมหาอาณาจักรแอตแลนตีสนี้จะคืนกลับอีกครั้งในรอบ 13,000 ปีข้างหน้า จะเป็นแผ่นดินที่สมบูรณ์ด้วยทรัพยากรและจิตวิญญาณของมนุษย์” พร้อมทั้งยืนยันสัจจวาจาในครั้งนั้น โดยใช้พลังจิตและความช่วยเหลือจากชาวดาวอังคาร สร้างสัญลักษณ์ สฟิงซ์ (Sphinx) ขึ้น ด้วยวิธีของการเปลี่ยนวัตถุเป็นแสงและการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ เพื่อเคลื่อนย้ายหินขนาดใหญ่ทำเป็นรูปสิงห์หมอบ มีใบหน้าเป็นชาวดาวอังคาร จัดวางไว้ในแนวทิศตะวันออก ตะวันตก มีพลังมโนธาตุสำหรับสร้างเป็นแกนพลังงานโลกใหม่อยู่ที่เท้าหน้าขวาของสฟิงซ์
    การสร้างสฟิงซ์มีจุดมุ่งหมายสำคัญ 3 อย่าง
    1. เป็นสัญลักษณ์แทนคำมั่นสัญญาของนักบวชที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อกลับมาแก้ไขเหตุที่ได้สร้างไว้ในอดีต
    2. จมูกสฟิงซ์เป็นแหล่งของพลังกระแสลมปราณ เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการหายใจของชาวดาวอังคารในยามที่แวะเวียนมาเยือนโลกของเรา แต่ในที่สุดจมูกถูกอาวุธสงครามทำลายแตกหักจนจมูกตัน ชาวดาวอังคารจึงค่อนข้างลำบากเมื่อมาท่องโลก
    3. เมื่อถึงเวลาครบรอบของการเปลี่ยนแปลงแรงดึงดูดเข้าสู่อิทธิพลของอีกกาแลคซี่ ผู้กลับมาทำหน้าที่จะใช้เท้าขวาเหยียบลงบนเท้าหน้าขวาของสฟิงซ์ เกิดการขับเคลื่อนของพลังมโนธาตุและกระแสลมปราณม้วนหมุนเป็นเกลียวเข้าสู่ศูนย์กลาง สร้างเป็นแกนพลังงานโลกใหม่ มีขั้วโลกอยู่ในแนวทิศตะวันออกและตะวันตก นักบวชรูปนั้น มีนามว่า รต (อ่านว่า ระตะ)
    นับเป็นเวลาหลายพันปีที่อารยธรรมแอตแลนตีสได้ถ่ายทอดสู่อนุชนรุ่นหลัง แตกแยกออกเป็นหลายเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ แยกกระจัดกระจายออกจากลุ่มแม่น้ำไนล์ไปทั่วทุกส่วนของโลก พร้อมกับนำความรู้ของแอตแลนตีสเผยแพร่อย่างกว้างขวาง เช่นการทำมัมมี่ เคล็ดลับของการมีอายุยืน พลังพีระมิด รวมทั้งหลักการคำนวณของดวงดาวและกาแลคซี่ทั้ง 3 เป็นปฏิทินดาราศาสตร์ที่อธิบายถึงการสับเปลี่ยนแรงดึงดูดที่มีอิทธิพลต่อโลกและระบบสุริยจักรวาลในช่วง 26,000 ปี

    [​IMG]

    ชาวมายา (มายัน) เป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งที่สืบเชื้อสายและมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการเผยแพร่อารยธรรมแอตแลนตีสสู่สายตาชาวโลกเป็นหลักฐานที่มีชีวิต บ่งบอกยืนยันว่า “แอตแลนตีส” มีอยู่จริง มิใช่เป็นเพียงตำนานเล่าขาน ชาวมายาจึงได้สร้างปฏิทินดาราศาสตร์ขึ้นด้วยเสาหิน แท่งหินขนาดใหญ่จำนวนหลายร้อยแท่งจัดวางเป็นวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง และวิธีการสร้างเป็นวิธีเดียวกับการสร้างสฟิงซ์ คือเป็นผลงานของมนุษย์ผู้มีพลังจิตสูงร่วมมือกับชาวดาวอังคารในการเปลี่ยนหินแท่งใหญ่ที่มีน้ำหนักมากกว่า 1 ตัน ให้เป็นพลังงานแสงก่อนแล้วเคลื่อนย้ายนำไปจัดวางในที่ที่ต้องการ และใช้พลังจิต เปลี่ยนพลังงานแสงคืนเป็นแท่งหินแท่งใหญ่อีกครั้งสโตนเฮนจ์ เป็นสัญลักษณ์ที่มีอายุประมาณ 5,000-6,000 ปี ใกล้เคียงกับยุคมหาพีระมิดของประเทศอียิปต์ ศาสตร์พีระมิดของชาวอียิปต์ เป็นตัวแทนของชาวแอตแลนตีสในการถ่ายทอดพลังของพีระมิดในศาสตร์การทำมัมมี่ทำสถานที่เก็บศพ เคล็ดลับการมีอายุยืน ยารักษาโรค ฯลฯ ตลอดจนปลูกฝังความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายที่แสนงดงาม ในขณะที่สโตนเฮนจ์ของชาวมายาสร้างขึ้นเพื่อเตือนภัยแก่ชาวโลกเมื่อถึงวาระการเปลี่ยนแปลงแรงดึงดูดของแต่ละกาแลคซี่ ในรอบ 13,000 ปี

    [​IMG] [​IMG]
    [​IMG]

    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้ไขปริศนาและอ่านความลับจากการจัดวางเสาหินเป็นวงกลม 3 วงไว้ดังนี้
    เสาหินวงนอก เป็นวงกลมขนาดใหญ่ มีเส้นรอบวงกว้างโอบล้อมครอบคลุมวงกลมเล็กอีก 2 วงหมายถึง กาแลคซี่อันโดรเมดา (Andromeda Galaxy) พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่สะเทิน เพราะมีทั้งพลังงานเบา ดี และพลังงานหนัก มีขนาดใหญ่มาก เหมือนแผ่อาณาเขตปกป้องควบคุมไว้ทั้งกาแลคซี่ทางช้างเผือกและกาแลคซี่ไตรแองกุลัม
    เสาหินวงกลาง หมายถึง กาแลคซี่ทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) เป็นกาแลคซี่ที่ดึงดูดระบบสุริยจักรวาลของเราไว้ในขณะนี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่หนัก เพราะพลังงานแรงดึงดูดที่เรียกว่าพลังงานแม่เหล็กโลกกำลังให้โทษอย่างรุนแรง และจะนำไปสู่การพลิกเพื่อเปลี่ยนแกนพลังงานโลกใหม่เข้าสู่อิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมอีกครั้ง เมื่อครบวาระ 13,000 ปี
    เสาหินวงใน หมายถึงกาแลคซี่ไตรแองกุลัม (Triangulum Galaxy) มีขนาดเล็กกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกพระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่เบา เพราะเต็มไปด้วยพลังงานดี เบา ขาวนวล เหลืองสบาย เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ และกำลังส่งอิทธิพลค่อยๆดึงโลก และระบบสุริยจักรวาลไปทางทิศตะวันออกทีละน้อยๆจนกว่าจะถึงวาระแกนโลกพลิกอีกครั้ง โลกและระบบสุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมอย่างสมบูรณ์ไปอีกประมาณ 13,000 ปี
    ฉะนั้นในช่วงระยะเวลา 26,000 ปี สุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก 13,000 ปี และอีก 13,000 ปีจะสลับมาอยู่ในอิทธิพลของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม ดังนั้นเราคงพอจะรู้เหตุผลอย่างชัดเจนแล้วว่าการที่ขั้วโลกเหนือไม่ชี้ตรงไปทางทิศเหนือเสียทีเดียว ตามอิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือกแต่กลับตั้งเอียงไปทางทิศตะวันออก องศาเพราะต้านแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมไม่ได้ การมีแรงดึงดูดระหว่าง 2 แรงที่แตกต่างคือมากกว่าและน้อยกว่าทำให้กาแลคซี่ทางช้างเผือกส่งแรงดึงดูดมายังโลกเราในลักษณะดึงเข้าและผลักออกเข้าหาศูนย์กลาง เป็นแรงยืดและแรงหด ในขณะที่กาแลคซี่ไตรแองกุลัม
    ตั้งอยู่ทางขวามือตรงกับทิศตะวันออก แรงดึงดูดที่ส่งมาจึงเกิดขึ้นเป็นแรงรับและแรงเหวี่ยง คือเหวี่ยงซ้าย-ขวา
    ผลจากการรับแรงกระทบแรงดึงดูดจากทั้งสองกาแลคซี่เป็นสาเหตุทำให้โลกของเรากำเนิดสิ่งมีชีวิตที่มีขันธ์ ครบ 5 ขันธ์ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) และตั้งชื่อเรียกว่า “มนุษย์” ซึ่งมีความแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่นที่อาจจะมีขันธ์เพียง 4 ขันธ์ เพราะขาดตัว “รูป” พวกเขาจึงมีลักษณะเป็นเพียงพลังงานท่องเที่ยวไปได้ทั่วจักรวาลและใช้พลังจิตเพื่อสร้าง “รูป” ขึ้นมาบ้างในบางครั้ง
    ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา ทั้งแรงดึงเข้า-แรงผลักออก และแรงรับ-แรงเหวี่ยง จากทั้งสองกาแลคซี่เริ่มผิดปกติ คือมนุษย์แทบจะไม่รู้สึกถึงการกระทบของแรงเนื่องจากความหนาแน่นของพลังงานแม่เหล็กโลกที่ถมลงในโลกได้มาถึงจุดอันตราย ทำให้เกิดสภาพนิ่งเหมือนหยุดหมุน เป็นเหตุให้เชื้อไวรัสแบคทีเรีย ธรรมดาๆ กลับมาระบาดอีกครั้งพร้อมกับการกลายพันธุ์ ซึ่งภาวะนิ่งแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

    สฟิงซ์ สื่อความหมายบอกสถานที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นจุดสร้างแกนพลังงานโลกใหม่
    สโตนเฮนจ์ บอกถึงกำหนดเวลาการเปลี่ยนขั้วอำนาจของแรงดึงดูดที่มีต่อโลกและระบบสุริยจักรวาล

    ระบบวงโคจรของโลกและสุริยจักรวาลจะยังคงเคลื่อนที่ผิดปกติต่อไปอีก ถูกพลังงานแม่เหล็กโลกดึงเข้าใกล้ขอบกาแลคซี่ทางช้างเผือกทางทิศตะวันออกมากยิ่งขึ้น (ในอดีตเคยถูกดึงเข้าใกล้ทางทิศเหนือมาก่อน) เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า พลังงานแม่เหล็กโลกกำลังอัดแน่นเพิ่มมากขึ้นๆ ทางทิศตะวันออก และเมื่อความหนาแน่นทวีขึ้นจนถึงอัตราสูงสุดจะเกิดการรีดตัวเป็นเส้นตรง พุ่งออกจากกาแลคซี่ทางช้างเผือกไปทางทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตรงเข้าหากาแลคซี่อันโดรเมดา แต่เนื่องจากกาแลคซี่อันโดรเมดามีขนาดใหญ่กว่ามาก จึงมีพลังแรงดึงดูดมากกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกเป็นหลายพันเท่า พลังงานแม่เหล็กโลกจึงถูกอัด เด้งกลับคืนเข้าสู่ระบบสุริยจักรวาลและกาแลคซี่ทางช้างเผือก ซึ่งการเสียดสีของพลังงานจากทั้ง 2 กาแลคซี่ในครั้งนี้ จะทำให้แสงสว่างวาบขึ้น มองเห็นได้ทั่วจักรวาล ทั้งดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ต่างได้รับแสงสว่างนี้ถ้วนทั่วกัน มนุษย์ในโลกจะเห็นแสงนี้ปรากฏขึ้นทันทีทันใด แบบที่ไม่ต้องตั้งตาคอย เป็น “แสงที่วาบ” อย่างรวดเร็ว เหมือนละครปิดฉากและผ้าม่านเวทีถูกดึงปิดทันที จากนั้นจะเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและพลังงานของโลก สุริยจักรวาลครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งเหมือนกับที่มหาอาณาจักรแอตแลนตีสเคยประสบมาแล้วเมื่อ 13,000 ปีที่ผ่านมา แต่ในครั้งนี้เป็นการวนครบรอบเปลี่ยนเข้าสู่อิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม เป็นเวลาอีกประมาณ 13,000 ปี และถ้าหากปรากฏการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นจริง โลกของเราจะมีทั้งแกนสสารและแกนพลังงานโลกใหม่ โดยมีขั้วโลกตั้งอยู่ ณ จุดที่ตั้งของสฟิงซ์ มีการเปลี่ยนที่กันระหว่างพื้นดิน 1 ส่วน กับพื้นน้ำ 3 ส่วนทั่วโลก มหาสมุทรแอตแลนติกคงมี
    โอกาสคืนกลับมาเป็นผืนแผ่นดินกว้างใหญ่อีกครั้ง เทือกเขาหิมาลัยอาจจะลดต่ำลงมาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ของทวีปเอเชีย (เปลี่ยนแผนที่โลกใหม่) กล่าวโดยรวมคือช่วงเวลา 13,000 ปีครั้งนี้จะเป็นยุคทองของทรัพยากรธรรมชาติและจิตวิญญาณของมนุษย์ นักบวชรูปนั้น ได้ทำหน้าที่ของท่านเรียบร้อยแล้ว

    ภาพแสดงถึงกาแลคซี่ทั้ง 3 ที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ เป็นภาพที่ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ใช้ “จิต” ศึกษา
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame="http://www.esnips.com/doc/b689d1c0-6341-4b88-a83d-9587d2ee0b5a/TV5-1"][​IMG][/ame]


    [ame="http://www.esnips.com/doc/b689d1c0-6341-4b88-a83d-9587d2ee0b5a/TV5-1"][​IMG][/ame] [ame="http://www.esnips.com/doc/b689d1c0-6341-4b88-a83d-9587d2ee0b5a/TV5-1"]รายการ The Show Magic - เครื่องสลายเมฆหมอก / ดึงดูดเมฆฝน[/ame]


    (ออกอากาศทาง ท.ท.บ. 5 ปี 2552)

    knowledge9 - ingdhamma
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ธัมมะอาสา [​IMG]
    โคตรเลเซอร์....อาวุธใหม่ของสหรัฐ

    [​IMG]

    ซานฟรานซิสโก-สหรัฐเปิดตัว ซูเปอร์เลเซอร์ ราคาแสนกว่าล้านบาท หวังใช้เป็นอาวุธชนิดใหม่แทนนิวเคลียร์ ขนาดใหญ่เท่ากับสนามแข่งม้า
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript1.1 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-1044823792492543&output=js&lmt=1283235683&channel=8724309246&adtest=off&ea=0&feedback_link=on&flash=10.0.45.2&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff178%2F%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%81.248273/page-16&dt=1283235683164&shv=r20100818&jsv=r20100825&prev_slotnames=6922411748%2C7486718593&correlator=1283235681335&frm=0&adk=582750156&ga_vid=2008874596.1282709192&ga_sid=1283233223&ga_hid=568896806&ga_fc=1&ga_wpids=UA-7034934-1&u_tz=420&u_his=72&u_java=1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=738&u_aw=1024&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1003&bih=599&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff178%2F%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%2F&fu=0&ifi=3&dtd=31"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript1.1 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-1044823792492543&output=js&lmt=1282972960&num_ads=3&channel=8724309246&ad_type=text&adtest=off&ea=0&feedback_link=on&flash=10.1.53.64&url=http%3A%2F%2Fwww.bangkokbiznews.com%2Fhome%2Fdetail%2Fit%2Fscience%2F20090602%2F47443%2F%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A5%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%258C..%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2598%25E0%25B9%2583%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2590.html&dt=1282972960828&shv=r20100818&jsv=r20100825&correlator=1282972960890&frm=0&adk=892370135&ga_vid=1837837098.1282972961&ga_sid=1282972961&ga_hid=582456617&ga_fc=0&u_tz=420&u_his=2&u_java=1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=738&u_aw=1024&u_cd=16&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1003&bih=513&ref=http%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2Fl.php%3Fu%3Dhttp%253A%252F%252Fwww.bangkokbiznews.com%252Fhome%252Fdetail%252Fit%252Fscience%252F20090602%252F47443%252F%2525E0%2525B9%252582%2525E0%2525B8%252584%2525E0%2525B8%252595%2525E0%2525B8%2525A3%2525E0%2525B9%252580%2525E0%2525B8%2525A5%2525E0%2525B9%252580%2525E0%2525B8%25258B%2525E0%2525B8%2525AD%2525E0%2525B8%2525A3%2525E0%2525B9%25258C..%2525E0%2525B8%2525AD%2525E0%2525B8%2525B2%2525E0%2525B8%2525A7%2525E0%2525B8%2525B8%2525E0%2525B8%252598%2525E0%2525B9%252583%2525E0%2525B8%2525AB%2525E0%2525B8%2525A1%2525E0%2525B9%252588%2525E0%2525B8%252582%2525E0%2525B8%2525AD%2525E0%2525B8%252587%2525E0%2525B8%2525AA%2525E0%2525B8%2525AB%2525E0%2525B8%2525A3%2525E0%2525B8%2525B1%2525E0%2525B8%252590.html%26h%3Da6160&fu=0&ifi=1&dtd=109"></SCRIPT>นายอาร์โนลด์ ชวาเซเนกเกอร์ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียในสหรัฐ ได้เดินทางไปร่วมพิธีเปิดเครื่องยิงแสงเลเซอร์ทรงพลังที่สุดในโลกที่ห้องปฏิบัติการณ์แห่งชาติลิเวอร์มอร์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ท่ามกลางบุคคลสำคัญในวงการเข้าร่วมเป็นสักขีพยานถึง 3,500 คน เมื่อวันศุกร์ (29 พ.ค.)
    เครื่องยิงแสงเลเซอร์นี้ในเวลาในการคิดค้นและสร้างนานกว่า 20 ปี พร้อมงบประมาณอีก 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 122,000 ล้านบาท)
    รายงานข่าวเผยว่า เครื่องยิงแสงเลเซอร์นี้มีชื่อว่า เนชั่นแนล อิกนิชั่น แฟซิลิตี้ (นิฟ) สามารถจำลองพลังงานของระเบิดไฮโดรเจน และดวงอาทิตย์ได้ มีขนาดใหญ่เท่ากับสนามแข่งม้า ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ยิงแสงเลเซอร์ออกมาได้ถึง 192 ลำแสงไปรวมยังเป้าหมายที่มีขนาดเล็กเท่าเม็ดถั่วได้ ซึ่งเท่ากับการจุดระเบิดแบบฟิวชั่น ทำให้เกิดพลังงาน และแรงกดดันเทียบเท่ากับแกนกลางของดวงดาวหรือดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ที่มีความร้อนมหาศาล
    นายเอ็ดเวิร์ด โมเสส ผู้อำนวยการนิฟอธิบายว่า ปฏิกิริยาฟิวชั่นเกิดขึ้นจากการที่ซูเปอร์เลเซอร์กระทบกับอะตอมไฮโดรเจนซึ่งจะก่อให้เกิดพลังงานที่มีความร้อนมากพอที่จะจุดระเบิดขึ้น ทั้งยังเชื่อด้วยว่า เครื่องจะสามารถทำการทดลองที่ไม่เคยมีทางเป็นไปได้โลกขึ้นด้วย โดยคาดว่า หลังจากเปิดตัวแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะทดลองกำลังของระบบราว 1 ปี ก่อนจะทดลองระบบเต็มกำลังในปีหน้า
    ทั้งนี้ เครื่องที่เริ่มต้นสร้างเมื่อปี 2540 ได้รับงบประมาณจากสำนักงานความปลอดภัยด้านพลังงานนิวเคลียร์แห่งชาติ (เอ็นเอ็นเอสเอ) ของกระทรวงพลังงาน โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการช่วยรับประกันเรื่องความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีอาวุธนิวเคลียร์ที่มีอายุเก่าแก่ลงทุกปีของประเทศ แต่ขณะเดียวกันก็สามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานสะอาดที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ด้านฟิวชั่นเคยตั้งเป้าไว้มานานถึงครึ่งศตวรรษ
    ขณะที่นายทอม ดีอากอสติโน ผู้อำนวยการสำนักงานเอ็นเอ็นเอสเอกล่าวว่า เครื่องนิฟเป็นเสาหลักสำคัญของเอ็นเอ็นเอสเอในการยับยั้งนิวเคลียร์โดยไม่จำเป็นต้องทำการทดลองนิวเคลียร์ และยังจะมีบทบาทสำคัญในการแปลงโฉมการรักษาความมั่นคงของประเทศในศตวรรษที่ 21 นี้ด้วย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ตัวนี้คือพลังงานที่จะทำให้ กลางคืนสว่างเป็นกลางวัน
    พระอาทิตย์ดวงใหม่?


    National Ignition Facility

    [​IMG]




    [​IMG]

    [​IMG]

    Lawrence Livermore National Laboratory

    Weapons and Complex Integration

    สหรัฐฯ เตรียมยิงซูเปอร์เลเซอร์ทดสอบ “นิวเคลียร์ฟิวชัน” ต.ค.นี้


    [SIZE=-1]<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body style="FONT-SIZE: x-small; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(102,102,102); FONT-FAMILY: Tahoma; TEXT-DECORATION: none" vAlign=baseline align=middle>
    ห้องปฏิบัติการของเอ็นไอเอฟที่จะปล่อยลำเลเซอร์พลังงานสูง 192 ลำ ไปยังเป้าที่มีขนาดเพียงเมล็ดพริกไทย เพื่อให้เกิดการระเบิดจากภายในแล้วสร้างปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันขึ้น (บีบีซีนิวส์)
    [/SIZE]


    สหรัฐฯ ได้ฤกษ์ยิงซูเปอร์เลเซอร์ทดสอบ “นิวเคลียร์ฟิวชัน” แหล่งพลังงานแห่งอนาคต รูปแบบเดียวกับปฏิกิริยาบนดวงอาทิตย์ แม้ยังอยู่ในขั้นทดลอง แต่ก็เป็นก้าวสำคัญ ที่อาจเปลี่ยนแปลงวงการวิทยาศาสตร์และนโยบายพลังงานไปตลอดกาล

    หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ดิอินดิเพนเดนท์รายงานว่า หน่วยงานการเผาไหม้เครื่องยนต์แห่งสหรัฐฯ หรือเอ็นไอเอฟ (The US National Ignition Facility : NIF) จะยิงซูเปอร์เลเซอร์ 192 ลำ จากห้องปฏิบัติการขนาด 3 เท่าของสนามฟุตบอล ให้รวมกันที่จุดเดียวซึ่งมีขนาดประมาณเมล็ดพริกไทย เพื่อให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันขึ้นในเดือน ต.ค.นี้

    ทั้งนี้ ปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิวชันเป็นปฏิกิริยาที่เกิดการเผาไหม้ขึ้นที่ใจกลางดวงอาทิตย์ ขณะเดียวกันก็เป็นเสมือน “จอกศักดิ์สิทธิ์” ของวงการพลังงานสะอาดที่ยั่งยืน และแม้ว่าจะเป็นเพียงการเดินเครื่องเพื่อทดสอบเทคโนโลยี แต่การทดลองครั้งสำคัญนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏฺวัติที่จะเปลี่ยนแปลงวิทยาศาสตร์ด้านพลังงานและนโนบายพลังงานไปตลอดกาล

    นักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ ใช้เวลาหลายทศวรรษ เพื่อไล่ตามความฝันในการสร้างพลังงานจากนิวเคลียร์ฟิวชันที่จะสร้างพลังงานสะอาดอันไม่จำกัดจากไฮโดรเจน ธาตุที่มีอยู่เกลื่อนเอกภพ โดยปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน จะเกิดขึ้นเมื่อนิวเคลียสของ 2 อะตอมผลักกันได้อย่างยากลำบาก ที่สุดจะหลอมรวมกันกลายเป็นอนุภาคที่หนักขึ้น และปฏิกิริยาลูกโซ่ที่คงที่จะเกิดขึ้นเมื่อนิวเคลียสของอะตอมชนกันมากขึ้น และในกระบวนการนั้นจะปลดปล่อยพลังงานปริมาณมหาศาลออกมา

    ดวงดาวทั้งหลายต่างเจิดจ้าด้วยปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน แต่ยังไม่มีใครที่จะสามารถจัดการปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันให้มั่นคงและยั่งยืนภายใต้เงื่อนไขที่ควบคุมได้ ส่วนปัญหาใหญ่ที่นักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ฟิวชันต้องเผชิญคือ จะเพิ่มอุณหภูมิมหาศาลและความดันที่จำเป็นให้เพียงต่อพื้นที่อันจำกัดได้อย่างไร

    การสร้างพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชันที่ยั่งยืน จำเป็นต้องมีเงื่อนไขที่สุดขั้วมากกว่าใจกลางดวงอาทิตย์ ซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง 100 ล้านองศาเซลเซียส และนักวิทยาศาสตร์ของเอ็นไอเอฟที่ห้องปฏิบัติการลอว์เรนซ์ลิเวอร์มอร์สหรัฐฯ (Lawrence Livermore National Laboratory) ในแคลิฟอร์เนีย ได้มาถึงจุดที่เข้าใกล้ชัยชนะเหลือสิ่งกีดขวางมากกว่าที่ใครเคยทำได้มาก่อน

    ห้องปฏิบัติการของเอ็นไอเอฟเพิ่งจะแล้วเสร็จเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่ง ภายในห้องปฏิบัติมีอุปกรณ์ทางแสงและอิเล็กทรอนิกส์ ที่ออกแบบให้ปลดปล่อยเลเซอร์ใน 192 ทิศทาง เพื่อสร้างพลังงานให้กับลำแสงที่รวมแล้วมีพลังงานมากถึง 1.8 เมกะจูลส์ แต่หัวใจสำคัญของห้องปฏิบัติการคือแคปซูลเบอริลเลียมที่มีขนาดเท่าเมล็ดพริกไทย ซึ่งออกแบบให้รองรับการกระแทกอย่างรุนแรงของเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่อยู่ในรูปดิวเทอเรียม (deuterium) และทริเทียม (tritium) ซึ่งทั้งคู่ต่างเป็นไอโซโทปของไฮโดรเจน แต่มีความแตกต่างของมวลอะตอม

    เป้าหมายในการทดลองคือพุ่งลำเลเซอร์ทั้งหมดไปยังแคปซูล แล้วจุดระเบิดด้วยพัลส์หรือคลื่นสั้นเป็นช่วงๆ ของพลังงาน ซึ่งการทดลองดังกล่าวจะทำให้เชื้อเพลิงระเบิดอยู่ภายในทันทีที่อุณหภูมิและความดันสูงยิ่งกว่าที่มีอยู่ในใจกลางดวงอาทิตย์

    เมื่อพุ่งชนกันแล้ว นิวเคลียสดิวเทอเรียมและทริเทียมจะหลอมรวมกันและปลดปล่อยพลังงานออกมาวูบหนึ่ง หากการทดลองสำเร็จ จะมีพลังงานปริมาณมากกกว่าที่ใส่เข้าไปในแคปซูลออกมา และการศึกษาล่าสุดที่รายงานในวารสารไซน์ได้แสดงให้เห็นว่า นักวิทยาศาสตร์ได้มาถึงเป้าหมายดังกล่าวแล้ว

    ดร.ซีกฟรีด เกลนเซอร์ (Dr.Siegfried Glenzer) และคณะได้อธิบายถึงการทดลองแรก ซึ่งเลเซอร์ทั้ง 192 ลำถูกยิงทดสอบไปยังเป้าหมายที่ไม่ได้ใส่เชื้อเพลิง แต่สามารถสร้างพลังงานได้ถึง 40% ของพลังงานสูงสุดที่เอ็นไอเอฟจะสร้างได้ หากแต่ปัญหาสำคัญที่ต้องเอาชนะให้ได้คือ การทำให้แคปซูลเกิดระเบิดภายใน

    “เรากำลังทำของจริง และดูท่าจะดีกว่าที่คาดไว้” ดร.เกลนเซอร์เขียนไว้ในรายงานที่เผยแพร่ในวารสารไซน์

    การทดลองสร้างปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันนี้เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนแคปซูลภายในทรงกระบอกทรงคำที่เรียกว่า “ฮอล์รอม” (hohlraum) ซึ่งมีรูปให้ลำเลเซอร์พุ่งไปชน และการทดลองจุดระเบิดเผาไหม้ให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันที่ยั่งยืนนั้นจะเริ่มทำอย่างจริงจังในเดือน พ.ค.53 นี้ ส่วนการตัดสินใจว่าจะเดินเครื่องเต็มกำลังในเดือน ต.ค.นี้เลยหรือไม่นั้น จะตัดสินใจอีกครั้งในเดือน ก.ค.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เมื่อใดที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก!!

    เครดิต คุณธัมมะอาสา
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ตามรอย-พระมหาชนก.248273/page-16
     
  12. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    เลเซอร์ = อาวุธเส้นแสงซินะ

    จาก ประวัติศาสตร์โลก เมื่อประมาณ 10,000 ปีเศษ ได้กล่าวถึงอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่มีความเจริญรุ่งเรืองมากบนทวีปแอตแลนติก ชาวแอตแลนตีสในยุคนั้นมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ทางจิตสูงมาก โดยเฉพาะความรู้ในการสร้างพีระมิดและนำพลังแกนพีระมิดมาใช้ให้เกิดประโยชน์ รวมทั้งวิวัฒนาการในการสร้างอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรง โดยการนำพลังงานเส้นแสงมาใช้ซึ่งอาวุธชนิดนี้เรียกว่า “อาวุธแสง”

    ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน สามารถค้นพบพลังงาน และนำมาใช้ประโยชน์เพียง 5 ชนิดจากจำนวนพลังงาน 7 ชนิด คือ

    1. พลังงานความร้อน

    2. พลังงานแสง

    3. พลังงานเสียง

    4. พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า

    5. พลังงานปรมาณู

    6. พลังงานเส้นแสง

    7. การเปลี่ยนพลังงานจากวัตถุเป็นพลังงานแสง และการเปลี่ยนจากพลังงานเสงเป็นวัตถุ

    พลังงานลำดับที่ 6 คือพลังงานเส้นแสง นักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันได้ค้นพบแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนจของการพัฒนาแต่ชาวแอตแลนตีสในยุคที่ผ่านมาถึง 10,000 ปีเศษ ได้มีการนำพลังงานตัวนี้มาใช้ก่อนแล้ว

    พลังงานลำดับที่ 7 คือการเปลี่ยนพลังงานจากวัตถุเป็นพลังงานแสง และการเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นวัตถุ ซึ่งเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายทางวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ทางจิต เป็นความสามารถของมนุษย์ดาวอังคารเพื่อนต่างดาวที่อยู่ในครอบครัวสุริย จักรวาล เช่นเดียวกับดาวโลกของเรา

    ชาวแอตแลนตีสได้นำอาวุธแสงมาใช้ในสงครามทำลายล้างจนนำไปสู่การล่มสลายของ อาณาจักร ผลกระทบที่เกิดจากการใช้อาวุธแสง ทำให้ทวีปแอตแลนติก เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงแผ่นดินทรุด ยุบตัวลง เปลี่ยนสภาพจากผืนแผ่นดินเป็นมหาสมุทรในทันที อาณาจักรแอตแลนตีส จึงยังคงจมอยู่ใต้มหาสมุทรตราบจนทุกวันนี้ ซึ่งถ้าหากเมื่อใดที่การย้อนรอยของกรรมปรากฎขึ้น อาวุธแสงถูกนำมาใช้อีกครั้ง อาณาจักรแอตแลนตีส อาจจะมีโอกาสโผล่พ้นพื้นมหาสมุทรอวดตนเองแก่สายตาชาวโลกอีกครั้งหนึ่ง

    ก่อนที่จะเกิดสงครามที่นำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักรประมาณ 1 เดือน นักบวชชาวแอตแลนตีสรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูงได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น กับทวีปแอตแลนตีส นักบวชรูปนี้ได้นำชาวแอตแลนตีสที่เชื่อในคำพยากรณ์เดินทางออกมาจากทวีปและ ได้สร้างที่อยู่ใหม่ในดินแดนของชาวอียิปต์อารยธรรมแอตแลนตีสจึงได้ถ่ายทอด สู่ชาวอียิปต์ โดยเฉพาะการสร้างพีระมิดและการใช้ประโยชน์จาก พลังพีระมิดในยุคอารยธรรมอียิปต์แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2010
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พี้นมหาสมุทรบริเวณออสเตรเลียสูงขี้น 13 ฟุตต่อวัน !






    • <LI class=user-picture>[​IMG]
    • djmoder
    Posted: Sat, 2010-05-22 21:55</SPAN>
    รายงานข่าวจากประเทศออสเตรเลียแจ้งว่าขณะนี้ระดับพี้นมหาสมุทรใต้ทะเลปรับตัวสูงขี้นอย่างรวดเร็ว ขนาด 12 ฟุตต่อวันตั้งแต่ช่วงมีนาคม ถีง ช่วงเมษายน คศ 2010 ที่ผ่านมาและยังมีแนวโน้มสูงขี้นเรื่อยๆ ซี่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง รายละเอียดของข่าวสามารถอ่านต่อได้จากลิงค์ข้างล่าง
    http://reinep.wordpress.com/2010/05/...y-in-australia
    [​IMG]

    his is very disturbing. More and more things are happening that really shouldn’t. Is the 2012 events we are waiting for, starting already? The National Oceanic and Atmospheric Administration has a Tsunami station in event mode activated for Station 55023 – STB Coral Sea located at 14.803 S 153.585 E (14°48’9″ S 153°35’6″ E). The tsunami station has been in event mode since the large quakes occurred in the area for several days now. This is triggered by the buoys’ anomalies of water column height above the sea floor. If you do a data search for 2010 March 20th to 2010 April 13th you get this- Over 100 meters or 328 feet less distance from buoy to sea floor in 24 days! That’s 13 feet per day since the quakes. As you will see from the waves on the line graph it matches the tide lines perfectly
    กูเกิลแปลภาษา
    จะรบกวนมากของเขา สิ่งที่เพิ่มมากขึ้นจะเกิดขึ้นที่จริงไม่ควร 2012 เป็นกิจกรรมที่เรากำลังรอเริ่มมาแล้ว แห่งชาติมหาสมุทรและมีบรรยากาศการบริหารสถานีสึนามิในโหมด event เปิดใช้งานสำหรับสถานี 55023 -- STB Coral Sea อยู่ที่ 14.803 S 153.585 E (14 48'9 ฐ"S 153 ° 35'6"E) สถานีสึนามิที่ได้รับในโหมดเหตุการณ์ตั้งแต่ quakes ใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่อีกหลายวันแล้ว นี้จะเรียกจากทุ่น'ความผิดปกติของความสูงคอลัมน์น้ำบนพื้นทะเล หากคุณค้นหาข้อมูลสำหรับ 2010 20 มีนาคมถึง 13 เมษายน 2010 คุณได้รับนี้ - Over 100 เมตรหรือ 328 ฟุตน้อยลงห่างจากทุ่นถึงพื้นทะเลใน 24 วัน! ที่ 13 ฟุตต่อวันตั้งแต่ quakes เป็นคุณจะเห็นได้จากคลื่นในกราฟเส้นตรงกับเส้นน้ำสมบูรณ์

    [​IMG]

    Coral Sea tide chart So Station buoy 55023 is still on the surface. Its not the lunar cycles, checked that as well. There also has been a very odd sea surface temperature in the same location See link CSIRO web page [link] Note the area in blue on the map on the left then see the unusually cold surface temperatures on the surface in the map on the right. Seismic activity has also offers a good insight as to what may be occurring.
    กูเกิลแปลภาษา

    แผนภูมิปะการังน้ำทะเลดังนั้นสถานีทุ่น 55023 ยังคงอยู่บนพื้นผิว ไม่มันรอบดวงจันทร์, ตรวจสอบที่ดี นอกจากนี้ยังได้รับน้ำทะเลอุณหภูมิพื้นผิวแปลกมากอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน See link CSIRO web [หน้า link] หมายเหตุพื้นที่สีฟ้าในแผนที่ด้านซ้ายแล้วดูเย็นผิดปกติอุณหภูมิผิวบนพื้นผิวที่ในแผนที่ด้านขวาของ กิจกรรมแผ่นดินไหวได้ยังมีความเข้าใจที่ดีเป็นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น

    [​IMG]


    Note the long time periods of S waves on this seismic station is the upward thrust of the ocean floor by 13 feet per day? Does anyone know what’s going on in this area? Is 2012 events already on it`s way?
    It is also now speculated that the Indo Australian Plate is moving north-west, colliding with and subducting beneath the Eurasian Plate and this movement is allegedly causing the Indo Australian Plate to tip so that the western half of Australia will sink while the eastern seaboard will rise. However, the rate of movement of the Plate is so slow that it seems unlikely that that subduction is causing the rapid sea level rises recorded in the Coral Sea before the two NOAA buoys were taken off line, or at least their readings no longer made public.
    What`s the conclusion?
    กูเกิลแปลภาษา

    หมายเหตุช่วงเวลายาวของคลื่น S ที่สถานีแผ่นดินไหวนี้เป็นแรงผลักขึ้นของพื้นมหาสมุทรโดย 13 ฟุตต่อวัน? ใครรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่นี้หรือไม่ 2012 แล้วมีกิจกรรมบนทาง`s?
    นอกจากนี้ยังคาดการณ์นี้ที่อินโด Australian Plate เคลื่อนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ, colliding ด้วยและ subducting ใต้ Eurasian Plate และการเคลื่อนไหวนี้จะถูกกล่าวหาว่าทำให้เกิดการอินโด Australian Plate ปลายเพื่อให้ครึ่งตะวันตกของออสเตรเลียจะจมในขณะที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกจะ ขึ้น อย่างไรก็ตามอัตราการเคลื่อนไหวของแผ่นที่เป็นดังนั้นช้าที่ดูเหมือนว่าไม่น่าที่มุดตัวที่ทำให้เกิดระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเก็บไว้ใน Coral Sea ก่อนสอง NOAA ทุ่นถูกเอาออกเส้นหรืออย่างน้อยการอ่านของพวกเขาทำไม่ประชาชน
    What`s สรุปได้หรือไม่

    [​IMG]


    In my view and many others one theory is, that it is more likely that at least parts of Lemuria are beginning to rise with totally uncertain consequences for Australia and especially the east coast. In any event the seismic activity around Vanuatu and along the western boundary of the Pacific Ring of Fire in the southern hemisphere indicates that the east coast of Australia and especially the Queenslanc coast needs to be on alert for possible tsunamis when generated there. Anyway big changes are going on here on earth, that`s for sure.
    กูเกิลแปลภาษา

    ในมุมมองและอื่น ๆ มากมายทฤษฎีหนึ่งของฉันคือว่ามีแนวโน้มว่าอย่างน้อยส่วนของ Lemuria จะเริ่มขึ้นกับผลแน่นอนทั้งหมดสำหรับออสเตรเลียและโดยเฉพาะฝั่งตะวันออก ในทุกกรณีกิจกรรมแผ่นดินไหวรอบวานูอาตูและตามขอบตะวันตกของแปซิฟิกวงแหวนแห่งไฟในพื้นที่ภาคใต้พบว่าชายฝั่งตะวันออกของประเทศออสเตรเลียและโดยเฉพาะอย่างยิ่งชายฝั่ง Queenslanc ต้องในการแจ้งเตือนสำหรับสึนามิเป็นไปได้เมื่อมีการสร้าง อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่เกิดขึ้นบนโลกที่`s แน่นอน

    บทความที่เกี่ยวข้อง
    http://palungjit.org/threads/เมืองโบราณที่จมอยู่ใต้น้ำ.254448/

    มูทวีปแห่งมารดร มู ทวีปแห่งมารดร

    ทวีปมู(Mu) หรือ รีมูเลีย(LeMUria) นครอันตธาน <!-- google_ad_section_end -->http://palungjit.org/threads/%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A1%E0%B8%B9-mu-%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2-lemuria-%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%99.70540/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2010
  14. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ชาวแอตแลนติสเกิดใหม่ กับ หายนะโลก

    ( 5.1 ) ภิกษุรูปนั้นได้เล่าให้ผมฟังว่า จักรวาล เกิดจากเส้นแสง ( ศัพธ์ที่ท่านบัญญัติเอง ) ตัว ' เส้นแสง ' นี้ ไม่รู้ว่ามีต้นกำเนิดที่ไหน มันไม่มีจุดเริ่มต้นที่ไหนรู้แต่ว่ามันมีอยู่เต็มไปหมดเลยทั่วทั้งจักรวาล มนุษย์ต่างดาวค้นพบ ' เส้นแสง ' นี้ได้ จึงเดินทางทั่วทั้งจักรวาลได้ ผมถามท่านว่าจักรวาลกำเนิดจากการระเบิดที่เรีบกว่า ' บิ๊กแบง ' ไม่ใช่หรือครับ ท่านปฏิเสธว่าไม่ใช่ ( ต่อมาภายหลัง เมื่อผมได้ไป อ่านเอกสารเกี่ยวกับ UFO และมนุษยต่างดาว ผมก็พบข้อความที่กล่าวถึงมนุษย์ต่างดาวที่เดินทางมาพบกับมนุษย์และก็ปฏิเสธ ทฤษฎีบิ๊กแบงว่าเป็นกำเนิดจักรวาลด้วยเช่นกัน )

    " ถ้านักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาเรื่องของพลัง ( งาน ) เรื่องของการทรง การเคลื่อนตัวและการเปลี่ยนแปลงของพลังจากหยาบเป็นละเอียด เป็นถี่ สักวันหนึ่งพวกเขาก็คงจะเจอเส้นแสง พอเจอเส้นแสงพวกเขาก็จะรู้ว่า กำเนิดจักรวาลเป็นอย่างไร รู้ว่าการเดินทางของมนุษย์ ต่างดาวเป็นอย่างไร "

    " ที่ท่านบอกเรื่องกำเนิดปิรามิดนั้นเป็นอย่างไรครับ "

    " พวกชาวแอตแลนติสที่รอดตาย เขาใช้แรงดึงดูดระหว่างดวงจันทร์และดวงดาวอื่น ๆ มาเป็นแรงดึงก้อนหินขึ้นไปในอากาศ ไปตั้งเรียงเป็นชั้น ๆ "

    " คนสมัยนี้ทำเช่นนั้นไม่ได้หรือครับ "

    " ทำไม่ได้ ต้องใช้พลังจิตดึงก้อนหินให้ลอยแล้วใช้พลังแรงเหวี่ยงต่าง ๆ ปิรามิดนั้นเขาใช้แรงหักมุมสามเหลี่ยมแล้วดันเข้าไป อยู่ตรงกลางแล้วก็หักศอกลงมา ... ช่าวแอตแลนติสสมัยนั้นมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่สูงมาก และยังมีการผนวกพลังจิตเข้าช่วย แต่เมื่อใดที่พวกเขาค้นคว้าเรื่องแสงพวกเขาก็จะเริ่มศึกษาเรื่องการรวมพลัง จิตเข้ากับวัตถุ "

    " ผมอยากให้ท่านเล่าเรื่องบทบาทของชาวแอตแลนติสในอดีตกาล รวมทั้งบทบาทที่จะในอนาคตข้างหน้านี้ได้มั้ยครับ "

    ผม จะขอขยายความเกี่ยวกับเรื่องราวของแอตแลนติสให้ท่านผู้อ่านที่ยังไม่ทราบ ภูมิหลังได้รับทราบก่อนที่จะมาฟังคำอธิบาย จากภิกษุรูปนั้นกันดังนี้



    *** @@@ ***

    ( 5.2 ) อาจ จะมีพวกเราหลายคนที่ยังไม่ทราบว่า โลกเรานี้เคยมีอารยธรรมที่รุ่งเรืองยิ่งใหญ่ดำรงอยู่เมื่อหลายหมื่นปีก่อน และเป็นอารยธรรม แรกสุดของมนุษยชาติที่เป็นบ่อเกิดของอารยธรรมรุ่นหลัง ๆ ที่พวกเรารู้จักกันดีด้วย แต่อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งแรกของโลกใบนี้หรือ " ดินแดนแอตแลนติส " แห่งนี้กลับต้องล่มสลายจมหายลงไปใต้สมุทรภายในวันเดียวคืนเดียวเท่านั้น อันเกิดจากภัยธรรมชาติที่มาจาก แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และลมพายุไต้ฝุ่น ( น้ำท่วม ) ที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน

    เรื่องรางของ ' แอตแลนติส ' ได้ถูกทำให้แพร่หลายสู่วงกว้างตั้งแต่เมื่อ สองพันปีกว่าปีก่อนก็เพราะพลาโตนักปราชญ์ชาวกรีกได้บันทึก เอาไว้ โดยพลาโตได้ทราบเรื่องราวของแอตแลนติสมาจากครีเทอัสผู้เป็นลุงของพลาโตอีกที หนึ่ง ครีเทอัสได้เล่าเรื่องอันแปลกแต่จริง ให้พลาโตฟังเกี่ยวกับการเดินทางของโซลอน นักปราชญ์และพ่อค้านักผจญภัยชาวเอเธนส์ ซึ่งได้เคยเดินทางไปอียิปต์มาแล้ว เมื่อปี 571 ก่อนคริสต์กาล และที่อียิปต์นี้เองที่โซลอนได้รับรู้ เรื่องราวอันแสนประหลาดจากนักบวชแห่งเมืองซาอิสแถบบริเวณดินดอนสามเหลี่ยม ปากแม่น้ำไนล์อีกทีหนึ่งว่า

    " ... เมื่อประมาณ 2 - 3 หมื่นปีมาแล้ว มีเกาะทวีปแห่งหนึ่งอยู่ถัดจาก ' เสาค้ำฟ้าของเฮอคิวลิส ' ( ชื่อเดิมของช่องแคบยิบรอลต้า ในปัจจุบัน ) เกาะ แห่งนี้มีชื่อว่าแอตแลนติส เป็นศูนย์กลางแห่งอาณาจักรอันยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองซึ่งเต็มไปด้วยประชาชนผู้ มั่งคั่ง และมีอารยธรรมอันสูงส่ง ทั้งเมืองดารดาษไปด้วยอาคารบ้านเรือนที่สร้างด้วยทองคำอันเหลืองอร่ามระยิบ ระยับ จัดว่าเป็นเกาะทวีปที่ใหญ่ กว่าเอเชียไมเนอร์และลิเบีย รวมกันเสียอีก "

    " ... เกาะแอตแลนติส สามารถติดต่อกับแผ่นดินอื่น ๆ ได้โดยทางเรือ แอตแลนติสในยุคนั้นจัดได้ว่าเป็น ' เมืองสวรรค์บนพื้นพิภพ ' ที่ ล้อมรอบด้วยทะเลอันกว้างใหญ่เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยที่ราบอันสมบูรณ์ มีแม่น้ำลำธารต่าง ๆ มากมายทั้งภูเขาสูงอันสลับซับซ้อน ลดหลั่นกันลงมาอีกเป็นระยะ ๆ นอกจากนี้ภายใต้พื้นดินส่วนใหญ่ยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ล้ำค่านานาชนิด ด้วยแสนยานุภาพ ของกองทัพเรืออันยิ่งใหญ่ของชาวแอตแลนติส ทำให้อาณาจักรแห่งนี้สามารถขยายอำนาจและอิทธิพลแผ่ขยายไปจนถึงลิเบีย อาณาเขตเขตตอนเหนือของอียิปต์และไกลออกไปถึงยุโรปจรดกับดินแดนเทอรีเนีย ( ตอนเหนือของอิตาลีในปัจจุบัน ) "

    " ... แต่แล้วจู่ ๆ อาณาจักรอันยิ่งใหญ่และเกรียงไกรแห่งนี้ ก็กลับจมลงหายลงไปในใต้พื้นทะเลลึกเพียงชั่ววันและคืนเดียวเท่านั้น โดยมีสาเหตุมาจากการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดและอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในโลกที่ทำให้กลุ่มชาวแอตแลนติสผู้ เกรียงไกร ถูกกลืนชีวิตไปจนเกือบหมดสิ้น "

    กล่าว กันว่าชาวแอตแลนติสจำนวนน้อยที่สามารถรอดชีวิตจากภัยพิบัติครั้งนั้นไปได้ อย่างหวุดหวิด ต่อมาได้อพยพไปอยู่ที่อื่น ส่วนมุ่งสู่ดินแดนทิศตะวันตกกลายมาเป็นบรรพบุรุษของพวกอินเดียน ชาวอินคา และชาวมายา เป็นต้น ส่วนที่มุ่งสู่ดินแดนทิศตะวันออก ก็กลายเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์เผ่าโครมันยองซึ่งมีร่างกายสูงใหญ่ บึกบึน กระดูกข้อมือข้อเท้าใหญ่ มีกล้ามเนื้อแข็งแร็งเหมือน กันทุกประการ มิหนำซ้ำคนเหล่านี้ที่ต่างอยู่อาศัยอยู่คนละฟากฟ้า แต่ต่างก็มีตำนานที่เล่าสืบกันมาเหมือน ๆ กันว่าเคยมีดินแดนแห่งหนึ่ง ที่เจริญรุ่งเรืองมาก ต่อมาเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ที่ทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของบรรพบุรุษของพวก เขาจนย่อยยับ

    นอกจากนี้ ยังเป็นที่น่าสังเกตว่าชนชาติต่าง ๆ มักมีตำนานเกี่ยวกับ ' น้ำท่วมโลก ' เหมือน ๆ กันและส่วนใหญ่มักจะเล่าคล้าย ๆ กันว่า มีผู้รอดชีวิตเป็นผู้เริ่มต้นออกไปแยกย้ายสร้างอาณาจักรใหม่แทนอาณาจักรเดิม ที่ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น

    *** @@@ ***


    ( 5.3 ) ภิกษุนั้นได้อธิบายถึงบทบาทของชาวแอตแลนติสในอดีตกาล รวมทั้งบทบาทที่จะมีในอนาคตข้างหน้าให้ผมฟังดังต่อไปนี้

    " ... ชาวแอตแลนติสเดี้ยวนี้ก็มาเกิดกันเป็นพวกนักวิทยาศาสตร์ที่วิวัฒนาการสมัยใหม่ ที่เขาเกิดขึ้นใหม่นี้เขาก็ยังมีความทรงจำในอดีต อันไกลโพ้นอยู่ ... ใน อดีตชาวแอตแลนติสสมัยนั้นก็มีความเจริญรุ่งเรืองไม่แพ้กับสมัยปัจจุบันนี้ แต่ว่าวิวัฒนาการของมนุษย์นี่เมื่อมาถึงจุด สูงสุดก็เอาวิวัฒนาการนั้นมาทำลายกัน เมื่อวิวัฒนาการถูกทำลาย ความสูงของมนุษย์นั้นก็ดับลงไป ... วิวัฒนาการสูงสุดของมนุษย์คือ การได้ค้นพบเรื่องแสง เมื่อค้นพบก็นำมาทำลายกัน แสงนี้เป็นต้นกำเนิดของวัตถุ ร่างกายเราก็ดีหรือวัตถุในโลกมันกำเนิดมาจากแสงทั้งสิ้น ถ้า เมื่อใดมนุษย์นี้สามารถไปรู้ความจริงในข้อนี้เรื่องแสงนี้ก็จะนำมาใช้ในการ ทำลาย เพราะมนุษย์ส่วนมากมีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่ก็เลยเอาโทสะมาทำลายกัน เมื่อทำลายแล้วความเสื่อมสลายทางวัตถุก็เกิดขึ้น "

    " ... "

    " อย่างที่เกิดขึ้นในสมัยแอตแลนติสนั้น ตอนนั้นมนุษย์ก้มีความก้าวหน้าทางวิวัฒนาการมากจนสามารถคิดค้นเรื่องแสงได้ แล้ว ทีนี้ตอนแรก ก็ใช้แสงให้มันเกิดประโยชน์ แต่พอนาน ๆ เข้าก็มีชาว แอตแลนติสบางกลุ่มนำเอามาใช้เป็นอาวุธ ในขณะเดียวกันก้มีชาวแอตแลนติสอีกกลุ่ม ที่ศึกษาเรื่องจิตวิญญาณจนรู้เรื่องอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับแอตแลนติสนั้น โดยมีอยู่คนหนึ่งที่ได้เตือนพวกเพื่อน ๆ เขาในสมัยแอตแลนติสนั้นว่า ... อีกไม่นานจะเกิดภัยพิบัติร้ายแรง เกาะแอตแลนติสต้องถูกถล่ม แล้วน้ำจะท่วมเกาะ ... แต่คนอื่นส่วนใหญ่เขาไม่เชื่อ ที่คนเขาไม่เชื่อใน จุดนี้เพราะว่าวิวัฒนาการในสมัยนั้นมันก้าวหน้ามาก อย่าง ไรก็ดีก็ยังมีคนกลุ่มน้อยที่เชื่อในคำเตือนของเขาผู้นั้น จึงผละหนีออกจาก เมืองแอตแลนติสมาอยู่ตามที่ราบสูงในที่ไกล ๆ ที่ไม่ท่วมน้ำง่าย แล้วในที่สุดก็มาอาศัยอยู่กับพวกคนพื้นเมืองตามทีค่คุณโยมว่าเมื่อวานนี้ ... "

    " ครับ "

    " คราวนี้นะ เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ หายนะ ของเกาะแอตแลนติส มันก็เกิดขึ้นจริง ๆ พวกเขาก็เอาแสงไปทำลายกันเอง เสร็จแล้วก็เกิดแผ่นดิน ไหวแยกแล้วก็ภูเขาไฟระเบิด อะไรต่าง ๆ เกาะแอตแลนติสก็จมน้ำไป แล้วทีนี้ทวีปนี่ก็เคลื่อนตัวมาชนกัน คือมหาสมุทรแอตแลนติสตอน นี้เป็นมหาสมุทร แต่เมื่อก่อนมันเป็นแผ่นดิน แต่แผ่นดินมันเคลื่อนตัว มันแยกตัวแล้วมาชนกันเป็นภูเขาหิมาลัย ซึ่ง รอยต่อของมันหลังจาก ภูเขาหิมาลัยนี่มันจะมีรอยแยกพาดผ่านที่จังหวัดกาญจนบุรีของเรา ถ้าเกิดมีการเคลื่อนตัวของวัตถุหรือการเคลื่อนตัวของภูเขาไฟ ก็จะเป็น อันตรายต่อประเทศไทยในจุดนี้เหมือนกัน "

    " ... "

    " พวก แอตแลนติสนั้นส่วนใหญ่เสียชีวิตหมดตอนที่เกาะจมน้ำและวิวัฒนาการต่าง ๆ ก็พลอยล่มสลายตามไปด้วย พวกทีรอดออกไปส่วน มากก็ไม่ได้เอาอะไรออกมา แต่ความรู้พวกเขามีก็เอามาสร้างพวกพีระมิดบ้างสฟิงค์บ้าง แต่ชาวแอตแลนติสที่ออกมาส่วนใหญ่จะศึกษาทางจิต เมื่อเขาออกมาลูกหลานของพวกเขาไปแต่งงานกับคนพื้นเมือง ความรู้ศาสตร์เกี่ยวกับทางจิตวิญญาณของพวกเขานี่ก็ลดต่ำลง จนกลายเหมือนมนุษย์ธรรมดาเหมือนพวกพื้นบ้านพื้นเมืองแต่ก็ยังมีความสามารถ พิเศษเหลืออยู่นิด ๆ หน่อย ๆ แต่ไม่มากเหมือน กับชาวแอตแลนติสสมัยก่อน "

    " ... "

    " แต่ชาวแอตแลนติสก็กลับมาเกิดกันมากในยุคปัจจุบันแบบว่านักวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ที่มีขึ้นเดี่ยวนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของพวกแอตแลนติส ที่เกิดออกมาแล้ว ส่วนหนึ่งที่อาตมากลัวที่สุดคือกลัวเขาค้นพบเรื่องแสง พวกมนุษย์นี้ไม่ฉลาด ค้นพบอันใดก็เอาไปทำลายกัน ... อาตมามีลูกศิษย์อยู่ที่ญี่ปุ่นคนหนึ่งเป็นนักวิชาการ เขาพูดให้อาตมาฟังว่าขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นกำลังทำอิเล็กตรอนให้เดิน เท่ากับ ความเร็วของแสง เขาก็ถามอาตมาว่ามันจะเกิดอะไร มันจะเป็นผลอย่างไร มันจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะทำสำเร็จไหม อาตมาก็บอกว่าเมื่อเขา ทำอิเล็กตรอนซึ่งเป็นประจุไฟฟ้า ปกติการเคลื่อนตัวของมันช้ากว่าแสง อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเขาทำได้สำเร็จ คำตอบของอาตมาก็คือ ... เขาจะพบกับเส้นแสง เมื่อเขาพบกับเส้นแสงของจักรวาลนี้ เขาก็จะรู้ต้นกำเนิดของดวงดาว ต้นกำเนิดของจักรวาล ความคิดความรู้เกี่ยวกับกำเนิดจักรวาลที่ว่าเกิดจากบิ๊กแบงนั่นมันจะเปลี่ยน ไป หลังจากที่เขาค้นพบคตวามจริงของเส้นแสงอันนี้ "

    " ... "

    " แต่ก็น่าห่วงอีก เพราะ มนุษย์นี่เวลาค้นพบอะไร ชอบนำไปทำลายกัน เขาจะเอาความรู้จากเส้นแสงนี้ เช่น พอรู้ว่าแสงนี้เป็นตัวกำเนิด ของวัตถุ เขาก็จะเอาเส้นแสงนี้ไปทำลายเซลล์ในมนุษย์ของเราอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายมาก มีทั้งบาป ทั้งบุญ ทั้งคุณ ทั้งโทษอยู่ในตัวของ มันเอง ... มนุษย์นี้ค้นพบอะไรก็มักให้โทษกับสิ่งนั้น อย่างการค้นพบน้ำมันเอามาทำเครื่องยนต์ เดี๋ยวนี้ก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นอย่างมาก เช่น โรค เอดส์หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องก็เกิดจากการที่แสงไม่สามารถสะท้อนกลับไปสู่ ชั้น บรรยากาศของโลก มันย้อนกลับคืน เพราะควันน้ำมันขังมันไว้ มันสะท้อนกลับไปสู่นอกโลกไม่ได้ ก็ไปดึงควันน้ำมันลงมา ความถี่มันต่ำ จนมีค่าเท่ากับศูนย์ มันก็ซึมซาบเข้าร่างกาย ทำให้คนมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคภัยไข้เจ็บอะไรต่าง ๆ ก็จะตามมาทีหลัง "

    " ที่ท่านอาจารย์ห่วงก็คือว่าชาวแอตแลนติสรุ่นใหม่ที่จะเกิดขึ้นมานี่จะค้นพบแสง แสงที่ว่านี้คือเส้นแสง ใช่ใหมครับ "

    " คุณโยมต้องเข้าใจว่าแสงเดินทางเป็นเส้นตรง เส้นตรงนี้เขารู้ว่ามันเป็นเส้น มันเดินทางเป็นเส้น อันนั้นเป็นเส้นของแสงอาทิตย์ แต่ที่เขาจะค้นพบในอนาคตต่อไปนี้จะเป็นเส้นแสงที่เป็น แสงจักรวาล ที่เป็นต้นกำเนิดของรูปของวัตถุของทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเขาสามารถ ทำอิเล็กตรอนให้เท่ากับความเร็วของแสงเขาก็จะเจอในส่วนนี้ "

    " แสงจักรวาลนี้ ท่านอาจารย์หมายถึง อาทิตย์ดวงใหญ่ ( มหาไวโรจนะ ) หรือเปล่าครับ "

    " ไม่ใช่ คือเส้นแสงมันเกิดมา เราก็ไม่รู้ว่ามันเกิดมายังไง มันมีของมันอยู่แล้ว "

    " แล้วที่ท่านอาจารย์เกรงก็คือว่าถ้าค้นพบอันนี้แล้วผู้คนก็จะนำไปใช้ประหัต ประหารกัน เพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่เหมือนชาวแอตแลนติส สมัยก่อนใช่ใหมครับ "

    " ใช่ มันก็จะย้อนรอยชาวแอตแลนติสสมัยนั้นอีก เพราะสมัยนั้นเขาก็เจอสิ่งนี้ก็เอามาทำลายกันจนแผ่นดินล่ม อะไรต่าง ๆ มันจะย้อนกลับมา อีกครั้งหนึ่ง "


    *** @@@ ***


    ( 5. 4 ) ผมมองหน้าภิกษุรูปนั้นด้วยความซาบซึ้งและศรัทธาทั้งเคารพด้วยจิตบูชาสูงสุด
    " ท่านอาจารย์ครับ ตัวผมคิดว่าบุคคลที่เป็น อริยะ อย่างท่านอาจารย์ น่าจะมีอายุยืนยาวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว จะหาใครมาช่วยโลกใบนี้ให้รอดพ้นจากความหายนะเหมือนชาวแอตแลนติสสมัยก่อนเล่า ครับ คนประเภทท่านอาจารย์นี้กว่าจะมาเกิด ในโลกไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ นะครับ "

    " ทำไมพูดอย่างนั้นเล่าคุณโยม ทุกวันนี้อาตมารอวันตาย เราจะอยากอายุยืนไปทำไมกัน "

    " เราไม่ได้อยู่เพื่อตัวของเราเองนี่ครับ เราอยู่เพื่อจะได้ช่วยเหลือผู้คน "

    " มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรอก การเกิดของคนเราแต่ละคนไม่ใช่แค่ชาตินี้ ชาติเดียวหรอกนะคุณโยม มันตั้งหมื่นชาติแสนชาติ แล้วทีนี้ถึง เรามารู้เรื่องความจริงพวกนี้แล้ว ก็ใช่เราจะไปฝืนกฏแห่งกฏแห่งกรรมได้เมื่อไหร่กัน เราไม่ทำหรอก เราอยู่เพราะกฏแห่งกรรม เพราะว่า อาตมาเคยสร้างกรรมในอดีตมีอยู่ 2 - 3 อย่าง ตอนนี้อาตมากำลังลบมันอยู่ ถ้ามันหมดเหตุของมันเสียแล้ว อาตมาก็จะไปตามอายุขัย "

    " แล้วใครจะมาช่วยโลกใบนี้ล่ะครับ "

    " คุณโยม โลกเรานี้ไม่เคยขาดคน ( ดี ) หรอก มันมีคนอยู่เรื่อย ๆ บางทีคุณโยมเรียนไปเรียนมา คุณโยมรู้อาจจะเป็นโพธิสัตว์ก็ได้นะ "

    " ตัวผมไม่มีความสามารถและบุญบารมีถึงขนาดนั้นหรอกครับ ท่านอาจารย์ แต่ตัวผมคิดว่าผมอยากจะช่วยผู้คนครับ "

    " ถ้าคุณโยมมีเจตนาจะเลื่อนการหลุดพ้นออกไปอีกก็ตามใจ แต่ตัวอาตมาทุกข์มากเหลือเกินที่อยู่ตอนนี้ก็เพราะต้องจำใจช่วยคน เดี๋ยวนี้ก็กำลังรีบเร่งทำอยู่ต่อไปจะเกิดอุปสรรคหลายอย่าง เราต้องมาช่วยกัน "

    " ท่านอาจารย์ครับ ที่ผมห่วงตรงนี้ก็คือว่าจะมีการสูญเสียผู้คนจำนวนมากมายมหาศาล ผมอยากจะช่วยให้สูญเสียน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะว่าแต่ก่อนที่ผมจะได้มาเจอท่าน ผมก็ได้เจอหลาย ๆ เรื่อง ราวกับไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันมีเหตุหลายอย่างทีเดียว รวมทั้งน้องชายของ ผมด้วย คือมันน่าจะเป็นโอกาสที่เราจะช่วยสังคมได้นะครับ อย่างน้อยการทำความดีก็น่าจะช่วยให้เรารอดพ้นจากวิบากกรรมที่มันจะเกิด ขึ้นทั่วโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ได้ ไม่ใช่หรือครับ "

    " วิบากกรรมนี้มันจะมาก็เพราะว่า คน ! โรคภัยไข้เจ็บต่อไปนี้จะเป็นอิทธิพลของแสงเท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่เราช่วยเหลือได้ในขณะที่ เรายังทำอะไรไม่ได้ก็คือคนเราต้องมีศีลธรรม ถ้าคนที่มีศีลธรรม มีความเมตตาเสียสละมีจำนวนมากขึ้นก็จะเป็นการไปเพิ่มพลังแสงสว่าง ให้กับโลกนี้ แต่ถ้าตัวเราไม่มีศีลธรรมมันก็จะไปเพิ่มความมืดให้กับตัวเอง ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เกิดอะไรขึ้นมามันก็เสียชีวิต "

    " ที่ผมห่วงมากตอนนี้มากกว่าไข้เจ็บทางกายก็คือไข้เจ็บทางวิญญาณของพวกมนุษย์ครับ "

    " วิญญาณดี ๆ เขาไม่อยากอยู่ในภพมนุษย์แล้วหละ เดี๋ยวนี้มันร้อนมาก "

    " ก่อนอื่น ผมคงต้องฝึกวิชาทางด้านจิตให้ก้าวหน้าไปกว่านี้ก่อน พอฝึกได้แล้วก็คงพอจะช่วยคนอื่นได้ "

    " ถ้าช่วยได้นี่ดีมากเลย แต่อาตมานี่ตอนนี้มันแค่ครึ่งตัวเท่านั้น ทุกวันนี้บางทีคนเขาก็ไม่มีเจตนาดี จะเอาเรื่องของอาตมาไปลงหนังสือพิมพ์ "

    " ผมบอกท่านได้เลยครับว่า เรื่องของท่านจะไปปรากฏทั้งทางทีวี และหนังสือพิมพ์ในไม่ช้านี้อย่างแน่นอนครับ "

    " นั่นเดี๋ยวมันจะเป็นทุกข์อีกนะ "

    " ผมขอเรียนท่านตามตรงนะครับว่า ตั้งแต่ปีที่แล้ว ผมเริ่มรู้สึกเคว้งคือคล้าย ๆ กับมีลางสังหรณ์ว่า มันจะเกิดอะไรที่ไม่ดีกับสังคมนี้และ โลกใบนี้แน่ ๆ เลย แต่ผมก็ยังไม่ทราบสาเหตุและแนวทางในการแก้ไข ครั้นพอผมได้มาเจอท่าน ตัวผมเองเหมือนมีญาณว่าต้องเป็นท่านแน่ ๆ เพราะไม่มีใครอีกแล้วที่จะมาจุดประกายชี้ทางออกให้กับสังคมนี้ "

    " เดี๋ยวนี้อาตมาก็รู้ตัวเองว่า ถ้าอาตมาไม่ทำอะไรคงโดนด่าแน่ อย่างตอนที่อาตมาสอนวิธีรักษาโรคเอดส์ให้พระที่ว่าในถ้ำแห่งนั้นนะ นี่ขนาดคนเดียวยังมีน้ำเหลืองไหลเยิ้มออกมาขนาดนี้และถ้าเป็นสิบคนยี่สิบคน คงไม่คละคลุ้งไปหมดเหรอ อาตมาก็เลยบอกว่าพอแล้ว อาตมาก็เลยโดนด่าว่าใจดำอำมหิต รู้แล้วไม่สอนคน ... พอมาตอนหลังที่ได้รู้ข่าวว่ามีคนเป็นโรคเอดส์ถึงสี่ห้าแสนคนแล้ว ใจมันก็ กระวนกระวายก็เลยมานึกว่า ทำไมเราใจดำอำมหิตเหลือเกิน ทำไมไม่ทำอย่างนี้ ทำไมไม่สร้างอันนั้นขึ้นมา ทำไมไม่สอนคน จิตมันก็กลุ้มเรื่อย ๆ จิตหนึ่งก็ทุกข์ว่ามันไม่ใช่เรื่องของเรา เราเป็นพระ แต่อีกจิตหนึ่งมันก็บอกว่าคนอื่นเขาไม่รู้ ตัวเรารู้ทำไมไม่เผยแพร่ ออกไป ในใจมันเร่งเร้าอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ อาตมาตอนนี้ก็เลยเป็นแค่ครึ่ง ๆ ถ้าหากมีคนไหนมาช่วยสนับสนุนอาตมาก็คงไม่ทุกข์แล้ว "

    " แต่ท่านอาจารย์ก็เคยบอกผมเองไม่ใช่หรือครับว่ามีนิมิตปรากฏแก่ท่านตั้งหลาย ครั้ง คือท่านได้ถามฟ้าว่าภาพที่ท่านเห็นด้วยญาณทัศนะ ของท่านนั้นเป็นจริงหรือเปล่าและฟ้าก็ส่งเสียงร้องครืน ๆ ทุกครั้งที่ท่านถาม นี่ก็แสดงว่าตัวท่านอาจารย์ย่อมไม่อาจปฏิเสธเจตนาของฟ้าดิน ที่มอบหมายให้แก่ท่านอาจารย์ได้แล้ว "

    " มันก็ต้องปล่อยไปตามเหตุ เดี๋ยวนี้อาตมาว่าในช่วงเร็ว ๆ นี้ มันคงจะมีคนเข้ามาเยอะ "

    " ถ้าผมเขียนเผยแพร่ออกไป ก็คงมีคนเข้ามาเยอะครับ "

    " ถ้ารักษาทางยาจะช่วยเหลือคนไม่ได้เยอะช่วยเหลือได้นิด ๆ หน่อย ๆ แต่พอพลังจิตที่มีวิธีการหมุนมันจะช่วยคนได้เยอะ "

    " ที่ผ่านมาผมพึ่งคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุมาโดยตลอด พอท่านมรณภาพไปก็ยังรู้สึกคว้าง เมื่อผมได้พบท่านจึงรู้สึกว่าเป็น ความหวังให้แก่ชาวพุทธทั้งชาติเลยครับ "

    " มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคุณโยม อย่าไปว่ามันเป็นความหวังอะไรอย่างนั้นเลย คือถ้าเอาวิธีการทางศาสนา มันจะไม่มีวิธีการยึดติดตัวบุคคล มันควรจะเป็นไปตามตัวเอง ส่วนมากคนไทยชอบยึดติดในตัวบุคคล "

    " ผมทราบครับ แต่ตัวผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น ผมพูดในความหมายที่ว่ามันต้องมีครู ครูที่จะมาให้เคล็ดลับและคำสอนครับ อย่างตัวผม และน้องชายพอได้มาหัดกับท่านยังได้ในส่วนนี้มากเลย ผมคิดว่าสิ่งที่ท่านบอกมานี้มันเป็นเคล็ดนะครับ มันไม่ใช่อย่างหนังสือที่ท่านเขี่ยนนี่ ก่อนมานี่ ผมอ่านมาตั้งหลายสิบรอบแล้วก็ยังมีบางส่วนที่ไม่เข้าใจ แต่พอผมได้มานั่งฝึกกับท่านอาจารย์ฟังเสียงท่านอาจารย์ได้พักเดียว จากที่อ่านตัวหนังสือไม่เข้าใจ มันกลายเป็นเข้าใจขึ้นมากเลย เพราะฉะนั้นแล้ว คำว่าติดบุคคลผมจึงหมายถึงว่าศิษย์ก็ยังพึ่งครูอยู่ เพราะว่า ศิษย์ยังไม่สามารถปีกกล้าขาแข็งพอที่จะบินได้ด้วยตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่ติดบุคคลที่เป็นบุคคลาธิษฐาน เพียงแต่ต้องการคำชี้แนะที่เป็นเคล็ดลับ และอุบายเพื่อช่วยให้พ้นทุกข์ได้ เพราะว่าเรื่องนี้ถ้ารู้กับไม่รู้มันจะต่างกันราวฟ้ากับดินเลยนะครับ "

    ( 5.5 ) ภายหลังจากที่ผมได้ฟังภิกษุรูปนั้นอธิบายถึงบทบาทของชาวแอตแลนติสในอดีตกาล รวมทั้งบทบาทที่จะมีในอนาคตข้างหน้าแล้ว ผมเกิดความสงสัยอยากรู้ขึ้นมา 2 ประเด็น เกี่ยวกับเรื่องนี้

    ( 1 ) สาเหตุ และสภาพการณ์ในขณะที่เกาะแอตแลนติสล่มสลายนั้นเป็นอย่างไร
    ( 2 ) ประโยชน์ของแสงที่ชาวแอตแลนติสนำมาใช้นั้นเป็นอย่างไร รวมทั้งวิชาการใช้พลังแสงของชาวแอตแลนติสนั้นเป็นอย่างไร

    ภาย หลังที่ผมกลับจากการไปหาภิกษุรูปนั้นได้หนึ่งอาทิตย์ ผมก็ต้องเดินทางไปวิจัยและสัมมนาทางวิชาการที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา หลายอาทิตย์ ดูเหมือนเป็นเรื่อง ' บังเอิญ ' อีกครั้งที่ในระหว่างนั้น ผมสามารถค้นพบคำตอบ 2 ประเด็น เกี่ยวกับแอตแลนติสได้

    สำหรับประเด็นแรกกับสาเหตุและสภาพการณ์ในขณะที่เกาะแอตแลนติสล่มสลายนั้น ผมได้รับคำอธิบายสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกเป็น คำอธิบายของมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อ ' เซ็มยาเซ ' ซึ่งได้ถ่ายทอดเรื่องนี้ให้แก่ผู้ติดต่อชาวโลกที่ชื่อ ' ไมเยอร์ ' ( ชาวสวิส เกิด ค.ศ. 1937 ) แห่งองค์การ FIGU ( Freie Interessengememeinschhaft Grenz - und Fur Geisteswissenschaften und Ufologiestudien ) ( รายละเอียดเรื่องราวของ ' ไมเยอร์ ' ผมจะกล่าวในบทหลัง ๆ ) อย่างที่สองเป็นคำอธบายของ ' แฟรงค์ อัลเปอร์ ' ผู้รักษาโรค ด้วยพลังจิตและเป็น ' คนทรงเจ้า ' ( Chaneller ) จากงานเขียนเรื่อง ' EXPLEORING ATLANTIS ' ( 1986 ) ของเขา

    ท่าน ผู้อ่านอย่าเพิ่งปฏิเสธทันทีทันใดว่าเป็น ' เรื่องเหลวไหล ' เลยนะครับที่ผมต้องพึ่งแหล่งข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาวกับคนทรงเจ้า เพราะเรากำลังพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายหมื่นปีก่อน โดยไม่มีหลักฐานที่เป็นเอิกสารใด ๆ หลงเหลือให้เราทราบความจริงเลย ถ้าท่านผู้อ่านจะคิดว่าเหลวไหลทั้งเพ หนังสือเล่มนี้ของผมก็ต้องเป็นหนังสือที่เหลวไหลทั้งเพตั้งแต่แรกแล้วในสาย ตาของท่านผู้อ่านอย่าง แน่นอนครับ แต่ถ้าท่านผู้อ่านติดตามอ่านหนังสือเล่มนี้ของผมแต่แรก ท่านผู้อ่านก็จะรู้ว่าผมเป็นคน ' เอาจริงเอาจัง ' ขนาดไหน และยิ่งถ้าท่านผู้อ่านงานเขียนของผมในอดีตมาทั้งหมด ท่านก็น่าจะรู้ว่าผมไม่เคยเขียนงานที่เหลวไหลและไร้สาระออกมาเลย งานเขียนของผมแต่ละชิ้นล้วนมีเป้าหมายและจุดประสงค์ที่ชัดเจนทั้งสิ้น

    ผม อยากจะบอกพวกเราว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะรู้ ' ความจริง ' ในบางเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องในอดีตอันไกลโพ้นที่ตรวจสอบไม่ได้ กับเรื่องในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราไม่มี ' ญาณทัศนะ ' วิธีการดีที่สุดที่เราจะเข้าใกล้ คตวามจริงก็คือต้องเปิดใจให้กว้าง ที่สุดรับฟังคำอธิบายทุกประเภทที่อาจขัดแย้งกันเอง โดยยังไม่ต้องปักใจเชื่อถืออันไหนก่อนทั้งสิ้น จนกว่าจะมีหลักฐานเชิงประจักษ์ หรือมีข่าวสารข้อมูลเพิ่มเติมที่จะทำให้เชื่อเช่นนั้นได้ ท่านผู้ อ่านจะต้องเข้าใจนะครับว่าผมกำลังค้นหา ' ความจริง ' ในอดีตกับอนาคต ซึ่งเป็นงานที่ยากลำบากที่สุดและท้าทายที่สุดอย่างที่ผมไม่เคยประสบมาก่อน

    ผมจะเริ่มจากคำอธิบายของมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อ ' เซ็มยาเซ ' ก่อนนะครับ

    ' เซ็มยาเซ ' มาจากกลุ่มดาวเพลอาเดียสและเป็นสตรีเพศ เธอมาเยือนไมเยอร์ ครั้งแรกในวันที่ 28 เดือนมกราคม ค.ศ. 1975 เวลา 14.31 นับเป็นมนุษย์ต่างดาวคนที่สามที่มาติดต่อกับไม่เยอร์ คนแรกชื่อ ' สุฟาตะ ' เป็นชายชรา คนที่สองเป็นสตรีชื่อ ' แอสเกต ' เซ็มยาเซทำการติดต่อไม่เยอร์ราว ๆ 200 ครั้งในช่วงระหว่างปี 1975 ถึง 1978 ในนั้นมีถึง 115 ครั้ง ที่มีการบันทึกบทสนทนาระหว่าง เซ็มยาเซกับไมเยอร์เอาไว้ การติดต่อกับไมเยอร์อย่างเป็นทางการของเซ็มยาเซสิ้นสุดลงในวันที่ 28 เดือนมกราคม ค.ศ. 1986 รวมแล้วเป็นเวลาถึง 11 ปีเต็ม บทสนทนาระหว่างเซ็มยาเซกับไม่เยอร์ถูกนำมาถ่ายทอดเป็นตัวอักษรโดยพิมพ์เป็น หนังสือชุดได้ถึง 32 เล่ม ที่เปิดเผยออกมาแล้ว ภาพถ่ายจานบินของมนุษย์ต่างดาวที่ไม่เยอร์ถ่ายและบันทึกเวลาเอาไว้นั้น ชัดเจนมาก และมีหลายใบมากจนกล่าวว่า ผู้ใดก็ตามที่ติดตามเรื่องราวของ UFO แล้วจะต้องศึกษาเรื่องราวของ ' อดัมสกี้ ' กับ ' ไมเยอร์ ' นี้อย่างละเลยไม่ได้เลยทีเดียว ในหนังสือที่ผมอ่านนั้นผมได้เห็นภาพมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อ ' แอสเกต ' ผู้มาจากดาว ' ดัล ' ด้วย เธอเป็นผู้หญิงผมสีทอง เหมือนสาวฝรั่งสวยขนาดนางแบบ แต่มีลักษณะที่ต่างกับชาวโลกตรงที่ติ่งหูของเธอค่อนข้างยาวกว่าคนธรรมดาเท่า นั้น ( เหมือนติ่งหูพระพุทธรูปที่เราเห็น )

    เซ็มยาเซ ได้เล่าเรื่องราวของ ' แอตแลนติส ' ให้ไมเยอร์ฟังดังต่อไปนี้

    " เมื่อสี่หมื่นปีที่แล้ว พวกลูกหลานของมนุษย์ต่างดาว ( แต่คนโบราณเข้าใจผิดไปเรียกพวกเขาว่าเป็น ' เทพเจ้า ' ) ได้กลับมาเยือนโลกและ ปกครองโลกในนามของ ' เทพเจ้า ' อีกครั้ง นามของผู้ปกครองคือ แอตแลนโต ภรรยาของผู้ปกครองคือ คาเรียทีเด บิดาของนางชื่อมูราส แอตแลนโต ได้สร้างเมืองแอตแลนติสขึ้นที่เกาะแอตแลนติสใหญ่ ขณะที่มูราสได้สร้างเมืองมูขึ้นมาที่แอตแลนติสเล็ก เมืองแอตแลนติส กับเมืองมู จึงเป็นสองมหานครที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดบนพื้นพิภพในยุค นั้น สันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองของเมืองทั้งสอง ดำรงสืบเนื่องยาวนานมาเป็นเวลาหลายพันปี จน กระทั่งมีนักวิทยาศาสตร์ 2 - 3 คนที่ตกเป็นทาสของกิเลสบ้าอำนาจจึงคิดการใหญ่ แต่ชาวเมืองทั้งสองนครไม่ยอมจึงลุกฮือขึ้นต่อต้านขับไล่นักวิทยาศาสตร์พวก นั้นให้จำต้องลี้ภัยไปอยู่นอกสุริยะจักรวาล นี่เป็นเหตุการณ์ เมื่อหนึ่งหมื่นห้าพันปีที่แล้ว "

    " พวกนักวิทยาศาสตร์ที่หลบหนีไปอยู่นอกระบบสุริยะจักรวาลเป็นเวลาสองพันปี ต่อมาได้พัฒนาเทคโนโลยีล้ำยุคจนมีความมั่นใจว่า จะมาบุกโลกแก้แค้นได้ แล้วก็ส่งพวกตนภายใต้การนำของ ' เอาลาส ' จำนวนสองร้อยคนนั่งยานอวกาศ มายึดครองพื้นที่ที่ตรงแถบฟลอริดา ในปัจจุบันนี้ ' เอาลาส ' ผู้นี้แหละที่เป็นผู้ยุยงแหย่ให้ชาว เมืองแอตแลนติสกับชาวเมืองมูบาดหมางกัน จนกระทั่งเกิดเป็นสงคราม ครั้งใหญ่ที่สุด โดยน้ำมือของนักวิทยาศาสตร์จากต่างด่าว จนทำให้ทั้งเมืองมูและเมืองแอตแลนติสต้องล่มจมพินาศไปพร้อม ๆ กัน "

    " เมื่อใดก็ตามที่พวกนักวิทยาศาสตร์กับพวกชนชั้นปกครองที่คลั่งศาสนาเกิดบ้า อำนาจขึ้นมา เมื่อนั้นพวกเขาก็จะก่อสงครามซึ่งนำความ ย่อยยับมาสู่อารยธรรมของมนุษยชาติ ... ทั้งชาวเมืองมูและชาวแอตแลนติสต่างถูกยุยงให้เกลียดชังซึ่งกันและกัน จนกระทั่งนำไปสู่ภาวะ สงครามอย่างไม่ต่างกับยุคสมัยนี้เท่าไหร่นักหรอก " เซ็มยาเซ พูดกับไม่เยอร์ด้วยภาษาเยอรมันที่คล่องแคล่วอย่างชัดถ้อยชัดคำ

    " ที่ตั้งของนครมูอยู่ตรงทะเลทรายโกบี ขณะที่ที่ตั้งของนครแอตแลนติสเป็นเกกาะใหญ่อยู่ระหว่างทวีปแอฟริกากับ ทวีปอเมริกา กำลังรบ ของทั้งสองฝ่ายยิ่งใหญ่พอ ๆ กัน และมีเทคโนโลยีขั้นสุดยอดเหมือนกันแต่คนละแบบกัน กองทัพฝ่ายแอตแลนติสมีกำลังทหารสี่ล้าน แปดแสนคน มียานอาวุธที่ติดอาวุธแสงมหาปะลัย มีเรือรบประจัญบาน หนึ่งแสนสองหมื่นสามพันลำกับเรือเร็วติดอาวุธแสงอีกหนึ่งหมื่น หกพันสี่ร้อยสามสิบเอ็ดลำ ขณะที่ฝ่ายมูก็มีอาวุธที่ร้ายแรงเช่นกันแต่เสียเปรียบพวกแอตแลนติสในด้าน กำลังทัพ "

    " ดังนั้นพวกนักวิทยาศาสตร์ของฝ่ายมู จึงคิดค้นเทคโนโลยีที่จะนำเอาดาวพระเคราะห์ดวงเล็ก ๆ มาทำให้เป็นเหมือนกระสุนปืนใหญ่ จักรวาลเพื่อยิงถล่มพวกแอตแลนติส โดยพวกเขาได้นั่งยานอวกาศออกไปจนเลยวงโคจรของดาวอังคาร เพื่อเสาะหาดาวพระเคาะห์ ดวงเล็ก ๆ ที่เหมาะสม ในที่สุดพวกเขาก็พบดาวเล็ก ๆ ดวงหนึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายกิโลเมตร พวกเขาได้ใช้พลังงานจากอะตอม และ อิเล็กทรอนิกส์ผลักดันให้ดาวเล็ก ๆ ดวงนั้น หลุดวงโคจรเดิมและเคลื่อนย้ายเข้ามาสู่วงโคจรโลก การหมุนรอบตัวเองของดวงดาวนี้ ถูกทำให้หยุดชะงักและพวกมูได้นำเอาเครื่องยนต์ขนาดยักษ์เข้าไปติดตั้งบนดาว เล็ก ๆ ดวงนี้ ทำให้ดาวเล็ก ๆ ดวงนี้กลายเป็นดุจ กระสุนปืนใหญ่จักรวาลที่สามารถบังคับเครื่องยนต์ให้ขับเคลื่อนไปตามทิศที่ ต้องการได้โดยใช้คลื่นซูเปอร์โซนิค พวก มูสร้างอาวุธนี้เสร็จช้าไปนิดเดียวเพราะ ก่อนหน้านั้นเพียงครึ่งวันกองทัพแอตแลนติสได้ยกพลเข้ามาถล่มนครมูและทำลาย นครมูจนพินาศย่อยยับ แต่ตอนนั้น เครื่องยนต์ขนาดยักษ์บนดาวเล็ก ๆ ดวงนั้นได้เริ่มทำงานแล้ว พวกแอตแลนติสนึกว่าตนเองชนะสงครามแล้ว ในขณะที่หลงระเริงยินดี ในชัยชนะของตนอยู่นั้น ดวงดาวเล็กที่ติดเครื่องจักรของพวกมูก็วิ่งเข้าใส่บรรยากาศของโลกและระเบิด กลางเวหาในตำแหน่งความสูง หนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองกิโลเมตรจากพื้นดิน
    ส่วน หนึ่งกลายเป็นลูกอุกกาบาต ตกลงมาถล่มนครแอตแลนติสย่อยยับ ขณะเดียวกันดวงดาวเล็กส่วนที่เหลืออีกสองในสามตกลงบนทะเล ทะลุพื้นโลก ทำให้ความร้อนใต้พื้นโลกที่เป็นแมกม่าพุ่งทะลักออกมาบนพื้นโลก ขณะเดียวกันก็เกิดเป็นคลื่นทะเลยักษ์สูงถึงสองพันสามร้อย เมตรและกลืนนครแอตแลนติสจนจมลงใต้ทะเลในที่สุด .... นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยเก้าสิบแปดปี ก่อน "

    *** @@@ ***


    ( 5.6 ) ส่วนคำอธิบายอย่างที่สองของคนทรงเจ้าที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง ' แฟรงค์ อัลเปอร์ ' นั้น ไม่ค่อยเน้นเรื่องสาเหตุและสภาพการณ์ ในขณะล่มสลายของเมืองแอตแลนติสเท่าไหร่นัก แต่ไปเน้นที่วิชาพลังแสงของชาวแอตแลนติสที่เป็นคุณประโยชน์มากกว่า เพราะเขา บอกว่าเรื่องราวการล่มสลายของแอตแลนติสถึงรู้ไปโดยละเอียดก็ไม่เกิดประโยชน์ ถึงเขาจะออกตัวเช่นนั้นก็ตาม เราก็ยังสามารถทราบ เรื่องราวการล่มสลายของแอตแลนติสจาก การเข้าทรงของ แฟรงค์ อัลเปอร์ จนได้ภาพที่ชัดเจน พอสมควรเลยทีเดียว ดังต่อไปนี้

    คำบอกเล่าจากชาวแอตแลนติสที่ชื่อ ' สโตเลนส์ ' ที่มาเข้าทรง

    " เราจะเริ่มเล่าจากเรื่องราวของทวีปเรมูเลียหรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่าทวีปมู อารยธรรมทวีปมูนี้ดำรงยาวนานกว่าหนึ่งแสนปี ชาวมูแบ่งออกได้ เป็นสองพวก พวกหนึ่งรักสันติอีกพวกหนึ่งชอบทำสงคราม ทั้งสองพวกนี้ต่างมีวิทยาการที่ก้วหน้าในระดับที่สูงมาก พวก ที่นักสันติมักให้ ความสนใจกับเรื่องความรู้ความเจริญและพระเจ้า แต่พวกที่กระหายสงครามมักให้ความสนใจในเรื่องพลัง ( Power ) และชอบใช้มันในทาง ทำลาย "

    " แอตแลนติสเกิดขึ้นหลังทวีปมูราว ๆ สองหมื่นปีคือเมื่อ แปดหมื่นเก้าพันปีก่อนคริสตกาล ในหมู่ชาวแอตแลนติสไม่มีพวกกระหาย สงครามอยู่เลย เมื่ออารยธรรมแอตแลนติสเจริญรุ่งเรืองขึ้นพวกกระหายสงครามของฝ่ายมูได้ ตัดสินใจขยายอิทธิพลมาถึงแอตแลนติส พวกมูได้แอบขุดอุโมงค์ใต้ดินที่เชื่อมทวีปมูกับทวีปแอตแลนติสเข้าด้วยกัน เพราะความพยายามที่จะยึดครองแอตแลนติสของพวกมูได้นำ ไปสู่ภาวะสงครามระหว่างเมืองสองเมืองนี้และดำรงความขัดแย้งมานานถึงห้าหมื่น ปี ในตอนแรกก็เป็นแค่การปะทะสู้รบกันในระดับ เล็กย่อย แต่ครั้นแล้วผ่านไปความรุนแรงในการสู้รบของทั้งสองฝ่ายก็หนักหน่วงยิ่งขึ้น เรื่อย ๆ จนในที่สุดก็นำมาซึ่งการล่มสลายของทั้งสอง ฝ่าย และทวีปมูกับทวีปแอตแลนติสต่างจมลงสู่ก้นทะเลคราวที่เกิดการขยับตัวของเปลือกโลกครั้งใหญ่ เมื่อแปดหมื่นห้าพันปีก่อนคริสตกาล "

    คำบอกเล่าจากชาวแอตแลนติสที่ชื่อ ' อะดามิส ' ที่มาเข้าทรง

    " แอตแลนติสถูกสร้างขึ้นบนโลกโดยมนุษย์ต่างดาวในฐานะที่เป็นอารยธรรมทดลอง โดยมีเป้าหมายเพื่อถ่ายทอดวิทยาการที่ล้ำยุคให้แก่ ชาวโลกในอนาคตได้ใช้ประโยชน์โดยเฉพาะต่อวิวัฒนาการของมนุษย์ "

    " สาเหตุหลักที่ทำให้แอตแลนติสล่มสลายนั้นมาจากการเปลี่ยนแปลงแห่งคลื่นของโลกใบนี้ "

    " การล่มสลายของ แอตแลนติสเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุอันหนึ่งก็คือชาวแอตแลนติสจำนวนมากที่มุ่งขยายความเป็นอัตตา ของตัวเองมากไปจนถึงขีดจำกัดในการเจริญเติบโตของมัน ถ้า พวกเขาพอใจที่จะหยุดอยู่แค่ระดับการเจริญเติบโตและพลังที่ควบคุมได้ที่ ตนเองไปถึง การล่มสลายก็คงไม่เกิดขึ้น แต่มนุษย์เป็นสัตว์ที่ไม่อาจอยู่นิ่งได้ กฏของ จักรวาลได้บังคับให้มนุษย์ต้องเคลื่อนไหวไปไม่ ทิศทางใดก็ทิศทางหนึ่ง และทิศทางที่ชาวแอตแลนติสเลือกเดินต่อไปอีกนั้นเป็นทิศทางที่เป็นลบ ระแวงสงสัย อัตตาแรงกล้า และหลงตัวเองจึงนำไปสู่ จุดจบของแอตแลนติสในที่สุด "

    ถ้า จะให้ผมสรุป ' จุดร่วม ' ในคำอธิบายของเกี่ยวกับการล่มสลายของแอตแลนติส ภิกษุรูปนั้นกับของมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อ เซ็มยาเซ และคนทรงเจ้าที่ชื่อ แฟรงค์ อัลเปอร์ ก็คงจะได้แก่ ' ความขัดแย้งจนถึงขั้นทำสงครามกันด้วยอาวุธมหาประลัยอย่างอาวุธแสง ' ที่ตรงกันระหว่างคำอธิบายของมนุษย์ต่างดาวกับคนทรงเจ้าคือสงครามเกิดขึ้นระ หว่างพวกมูกับพวกแอตแลนติส นอกนั้นมีความแตกต่าง กันในรายละเอียดไม่ว่าเรื่องระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ล่มสลายรวมทั้งชื่อที่ เป็นมาของ ' มู ' ภิกษุรูปนั้นได้บอกกับผมว่า " ชาวแอตแลนติสไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวที่เข้ามาบนพื้นโลก แต่เป็นคนในมนุษย์โลกของเรา ที่มีวิวัฒนาการไปเรื่อยจนถึงขั้นสูง " แต่คำอธิบายของมนุษย์ต่างดาวและคนทรงเจ้าจะบอกว่าชาวแอตแลนติสเป็นมนุษย์ ต่างดาวที่อพยพมาอยู่บนโลก อนึ่ง พลาโตได้เขียนไว้ว่า การล่มสลายของแอตแลนติสเกิดจาก ' ภัยธรรมชาติ ' แต่ถ้าฟังจากสามท่านนี้ เราจะได้ข้อสรุปว่าเกิดจาก ' ภัยสงครามล้างโลก ' ด้วยอาวุธมหาประลัย

    คำอธิบายของใครน่าเชื่อถือที่สุด ? ผมขอให้ขึ้นกับดุลยพินิจของท่านผู้อ่านแต่ละท่าน ตัวผมมีหน้าที่ไปเสาะหาข้อเท็จนำมาเสนอให้พวก ท่านพิจารณาเท่านั้น แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัวของผมอย่างตรงไปตรงมา ผม ก็จะขอบอกว่า ถ้าภิกษุรูปนั้นใช้ ' ญาณทัศนะ ' ของท่าน ศึกษาเรื่องราวของแอตแลนติสจริง ( ซึ่งผมเชื่อเช่นนั้นว่า ท่านมีญาณทัศนะจริงด้วยเหตุผลต่าง ๆ ที่ผมได้กล่าวไปแล้ว ) คำอธิบายของ ท่านโดยภาพกว้างอย่างรวม ๆ อยู่ในระดับที่น่าเชื่อถือได้ทีเดียว เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับแหล่งข่าวอื่น ๆ ที่ผมเสาะหามาประกอบเทียบเคียง

    ส่วน ประเด็นที่สองเกี่ยวกับวิชาพลังแสงของชาวแอตแลนติสวนั้นผมได้พบคำตอบว่าวิชา พลังแสงของชาวแอตแลนติสที่ใช้ทั้งในการสร้าง สรรค์และการทำลายในเวลาต่อมานั้น คือพลังแสงที่มาจากผลึกคริสตัล ! ดังที่ผมจะได้ขยายความในบทต่อไป


    - คัดจาก มังกรจักรวาล ภาค สมาธิหมุน -
    ที่มา http://www.sookjai.com/index.php?topic=2865.0
     
  15. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    สารคดี That's Impossible Death Rays and Energy Weapons
    เกี่ยวกับอาวุธแสงเลเซอร์
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=-kdfnqHYHHU]YouTube - That's Impossible Death Rays and Energy Weapons 1[/ame]
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=DyDU_p4Os8s]YouTube - That's Impossible - Death Rays and Energy Weapons 2[/ame]
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=lCT03rl2_Cg]YouTube - That's Impossible - Death Rays and Energy Weapons 3[/ame]
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=sbRc8I-O38g]YouTube - That's Impossible - Death Rays and Energy Weapons 4[/ame]
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=xYTVfMadXQk]YouTube - That's Impossible Death Rays and Energy Weapons 5[/ame]

    ปัจจุบัน usa สร้างแสงเลเซอร์ที่มีความแรงสูง ใช้แสงทำลายหัวรบ ขีปนาวุธ ได้ตั้งนานแล้ว
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=cCBwLJjzDJQ]YouTube - MTHEL (THEL) - Mobile Tactical High Energy Laser[/ame]
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อ้างอิงบทสนทนาของคุณธัมมะอาสา

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">แต่ Nirvana คิดว่าคงจะสำเร็จได้ยาก เพราะเหตุและปัจจัยแห่งความสำเร็จยังมองไม่เห็น ยิ่งในสภาวะการณ์ปัจจุบันความคิดและเส้นทางสายดำมืด (อกุศล) กำลังมีกำลังแผ่ปกคลุมไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย

    พลังนี้มีอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง แต่ในที่สุดความชั่วจะกลืนกินตัวมันเอง
    ดังนั้นคงต้องรอให้ "ฝีแตก" คือ หลังภัยพิบัติไปแล้วจึงจะสามารถสานต่อไปได้ ครับ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    2 ปีที่เหลือนี้ ยังไม่ถึงเวลาสละเรือ
    ขอทำหน้าที่ให้สุดแรงสุดกำลังก่อนครับ

    ไว้มีข่าว..
    สหรัฐสร้างบ้านในอวกาศ
    มีเทคโนโลยี ทำให้กลางคืนสว่างเป็นกลางวัน
    แล้วค่อยตัวใครตัวมันครับ
    +++++++++++++
    <TABLE class=tborder style="MARGIN: 10px 0px" cellSpacing=1 cellPadding=6 425><THEAD><TR><TD class=tcat style="TEXT-ALIGN: center" colSpan=2>[ame="http://www.youtube.com/watch?v=fF_QLi8NqDM"]YouTube - Star Power on Earth: Path to Clean Energy Future[/ame] </TD></TR></THEAD><TBODY><TR><TD class=panelsurround align=middle></EMBED></TD></TR></TBODY></TABLE>

    Star Power on Earth: Path to Clean Energy Future

    ทำไม? สหรัฐจึงต้องสร้าง พลังงานที่ทำให้
    กลางคืนสว่างเป็นกลางวัน

    ดวงอาทิตย์ดวงเล็กดวงใหม่!!? ในอวกาศ<!-- google_ad_section_end -->

    +++++++++++++++++++++

    <TABLE class=tborder style="MARGIN: 10px 0px" cellSpacing=1 cellPadding=6 425><THEAD><TR><TD class=tcat style="TEXT-ALIGN: center" colSpan=2>[ame="http://www.youtube.com/watch?v=rxERIDL8Cw0"]YouTube - CERN News - Aug 28, 2010: AMS From CERN to Space![/ame] </TD></TR></THEAD><TBODY><TR><TD class=panelsurround align=middle></EMBED></TD></TR></TBODY></TABLE>​


    CERN News - Aug 28, 2010: AMS From CERN to Space!

    ล่าสุด สดๆร้อนๆครับ
    จากCERN
    เตรียมประกอบในอวกาศ!!
    (ตัวนี้เป็นแค่มิเตอร์วัด)


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=NNyrG_WZ3rI"]YouTube - Spectrometer to Fly in Space[/ame]

    อาวุธแสง?! ลมสุริยะ!?
    จะเป็นไปไม่ได้?!!<!-- google_ad_section_end -->

    http://palungjit.org/threads/ตามรอย-พระมหาชนก.248273/page-17<!-- google_ad_section_end -->
     
  17. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    โลกนี้วุ่นวายจริงหนอ..เมื่อไรจะจบเสียที เบื่อการรอคอย เวียนว่ายตายไป ไม่มีที่สิ้นสุด หลากหลายรูปแบบ ไม่รู้ทำไปเพื่ออะไร? งงจริงๆ
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ที่มนุษย์ทำไปก็เพราะไม่รู้เป็นเหตุ
    วันไหนที่รู้ ก็เลิกเกิด เลิกทำไปเอง
    เราก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ก็เลยยังเกิดไม่เลิกอยู่เนี่ย หาทางออกไม่เจอ ก็วนไปวนมาอยู่เนี่ย
    ถ้ารู้ ก็จบแล้ว ไม่มาเกิดแล้ว ไม่มาวุ่นวายแล้ว อยู่กับสันติสุขได้ก็ดีหนอ
    ตอนนี้ก็อยู่ไปอย่างนี้ก่อนหนอ
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]
    ภาพ พระอาจารย์รัตน์ แห่งสมาธิหมุน

    คืนหนึ่งภายหลังจากการฝึกสมาธิหมุนจบสิ้นลง หลวงพ่อมักจะเปิดโอกาสให้ถามคำถามต่าง ๆ ที่ผู้มาฝึกเกิดสงสัยขึ้น หากไม่มีคำถามหลวงพ่อก็มักจะเล่าประสบการณ์ของท่านให้ฟังกัน คืนนั้นท่านพูดถึงการขึ้นไปเผยแพร่ธรรมะบนดอยของท่าน รวมไปถึงการประกอบพิธีสมโภชพระธาตุที่สร้างขึ้นบนดอย ซึ่งขณะที่กำลังบรรจุพระธาตุเข้าองค์เจดีย์นั้น ฟ้าที่ขมุกขมัวก็เปิดเป็นแสงสว่างจ้าส่องลงมาเป็นลำ สร้างความแปลกใจแก่คนที่อยู่ในพิธี หลวงพ่อบอกว่า ท่านถึงกับขนลุก ซึ่งผมเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย ยังอดแปลกใจไม่ได้

    จากนั้นท่านเล่าว่า ขณะที่ท่านจะแผ่เมตตานั้น ท่านไม่สามารถที่จะทำได้ เพราะว่าวิญญาณบนดอยไม่ยอมรับการแผ่เมตตานั้น เนื่องจากถึง เวลาที่พวกเขาจะได้ลงมาเกิดแล้ว ท่านได้อธิบายต่ออย่างละเอียดว่า แต่เดิมชาวเขาไม่ได้อยู่บนดอย แต่อยู่ในที่ลุ่มเป็นเจ้าแผ่นดินเดิม พระของพวกเขาจะกินเจคล้าย ๆ กับพระจีน แต่เมื่อพุทธศาสนาลังกาวงศ์เข้ามาสู่ประเทศไทยสมัยสุโขทัย พระของลัทธิลังกาวงศ์นั้น ฉันเนื้อได้ และมีลักษณะเหมือนพระในปัจจุบัน พวกเจ้าถิ่นเดิมก็ถูกทำลายล้าง จนต้องหนีขึ้นไปอยู่บนดอยนับตั้งแต่นั้นจนเหลือชาวเขา ในปัจจุบัน ซึ่งบัดนี้วิญญาณที่ถูกทำลายล้างไปนั้น ได้เวลาที่จะกลับลงมาแล้ว พวกเขาจึงไม่ยอมรับการแผ่เมตตาที่ได้แผ่ไปให้

    " มันเป็นกรรมของพวกเขา เคยทำอย่างไรกับพวกเขาก็จะต้องโดนกลับคืนบ้าง อีกหน่อยพระทั้งหลายจะต้องถูกยึดเงินจนหมด และก็ไม่สามารถอยู่ในสภาพพระเช่นนี้ได้ เมื่อเรื่องพระหมดไปหลังจากนั้นอีกประมาณปีครึ่งก็จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 "

    ผมถึงกับตะลึงที่ท่านพูดถึงเรื่องนี้ออกมาโดยไม่มีใครถามท่านเลย และเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินกับหูที่ท่านได้พูดถึงเรื่องอนาคต ท่านบอกว่า จริง ๆ แล้วไม่ค่อยอยากเล่านัก เพราะจะทำให้คนตื่นกลัวกัน แต่ที่ท่านเล่าให้ฟังก็เพื่อไม่ให้พวกเราประมาท และเรื่องราวต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นนั้นอยู่ในวิสัยของท่านที่จะรู้ได้

    " โยมก็จำเอาไว้เล่น ๆ ก็แล้วกัน ถ้าหากเหตุการณ์เหล่านี้มันเกิดขึ้นก็จะนึกได้ว่า อ๋อ หลวงพ่อเคยพูดไว้ "

    ท่านกล่าวอย่างติดตลก ในคืนถัดมาเมื่อผมได้มีโอกาสซักถามกับท่านโดยตรง ท่านได้เล่าเกี่ยวกับรายละเอียดของเรื่องที่จะเกิดขึ้นอย่างชัดเจน มีการระบุถึงบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ด้วย แต่ผมคงจะขอข้ามส่วนนี้ไป เพราะเป็นรายละเอียดปลีกย่อยเกินไป และโดยส่วนตัวแล้ว ผมสนใจในภาพรวมที่จะเกิดขึ้นมากกว่า

    " ถ้าเกิดสงครามโลกแล้วเราจะทำอย่างไรดีครับ ? " มีคนถามขึ้น

    " ไม่ต้องกลัวหรอกโยม " ท่านตอบ

    แต่แทนที่คำตอบของท่านจะทำให้หายกลัว สำหรับผมแล้วกลับตะลึงหนักเข้าไปอีก เพราะท่านได้พูดต่อว่า

    " ไม่รู้ว่าพวกเราจะได้อยู่ทันดูสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือเปล่า "

    หลายคนอาจดีใจว่า สงครามโลกอาจจะใช้เวลาอีกนานกว่าจะเกิดซึ่งตัวเองก็คงตายไปเสียก่อนอะไรทำนองนั้น แต่ในความคิดของผม คนเราอาจมีสิทธิ์ตายจากภัยพิบัติอย่างอื่นได้ก่อนเกิดสงคราม ซึ่งหลังจากนั้นหลวงพ่อได้เล่าต่อไปว่า การใช้น้ำมันอย่างสิ้นเปลืองจะทำให้ ธาตุต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นโลกแปรปรวนในแกนกลางของโลกซึ่งเอียงอยู่ประมาณ 23 องศาครึ่ง จะมีมโนธาตุมากขึ้น คือมันจะกลวง และเบาขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดมันจะพลิกตัวลงอย่างกระทันหัน (หลวงพ่อทำมือให้ดู)

    "ทำให้เกิดภัยพิบัติอย่างรุนแรงแก่มนุษย์ทั้งหลาย คนจะลอยเคว้งคว้างไปทั่ว บ้างหาที่เกาะแต่ไม่อยู่"


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    คนที่จะรอดได้ก็คือคนที่สามารถตัด " จิตใจ " ออกจากร่างกายที่เจ็บปวดได้เท่านั้น (ท่านยกตัวอย่างคนที่ถูกผ่าตัดแล้วไม่เจ็บ) และท่านยังบอกว่าการทดลองนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส จะทำให้เหตุการณ์นั้นเกิดเร็วยิ่งขึ้น ผมไม่แน่ใจว่าที่ท่านบอกว่าแกนโลกจะพลิกนั้นเป็นอย่างเดียว ' Pole Shift ' หรือเปล่า ?

    หลวงพ่อท่านกล่าวต่ออีกว่า ภัยพิบัติทางธรรมชาติจะมากขึ้น อากาศแปรปรวน แผ่นดินไหว น้ำท่วมจะรุนแรงขึ้นตามลำดับ (จากกรุงเทพ ฯ ถึงนครสวรรค์จะจมน้ำหมด และศูนย์กลางจะย้ายมาอยู่ที่ลำพูน)

    สำหรับสงครามโลกครั้งที่ 3 นั้น ท่านบอกว่าอาวุธนิวเคลียร์จะไม่น่ากลัวเท่า " อาวุธแสง " ซึ่งขณะนี้นักวิทยาศาสตร์สหรัฐที่ได้รับรางวัล โนเบลในปี ค.ศ. 1995 ได้ค้นพบอนุภาคที่เป็นต้นกำเนิดของอาวุธแสงแล้ว เพียงแต่เขายังไม่รู้ว่ามันสามารถนำมาใช้เป็นอาวุธได้เท่านั้นเอง ซึ่งอนุภาคตัวนี้หลวงพ่อท่านบอกว่าเป็นตัวที่ทำให้แรงชนิดที่ 6 (พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่าแรงมี 7 ชนิด) ซึงสามารถทะลุทะลวงผ่านทุกสิ่งไปได้ ตัวอนุภาคนี้เองที่เป็นตัวเดียวกับที่หลวงพ่อเรียกว่า "เส้นแสง" ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของจักรวาล

    ท่านยังให้ข้อสังเกตว่า 1 ปีก่อนเกิดสงครามโลก คนสามารถขึ้นไปสร้างบ้านเรือนอยู่บนอวกาศและสามารถทำกลางคืนให้เป็นกลางวันได้ คู่สงครามที่จะเกิดในครั้งนี้คือเอเชีย (จีน ?) กับยุโรป การทำลายล้างนั้นจะใช้อาวุธแสงยิงมาจากอวกาศ ไล่ยิงกันเป็นแนวไปสิ้นสุดที่พีรามิด บรรยากาศหลังจากที่หลวงพ่อพูดจบ มันเงียบอย่างบอกไม่ถูก จนหลวงพ่อต้องถามขึ้นว่า

    " ใครอยากช่วยไม่ให้เหตุการณ์เหล่านี้ (ภัยธรรมชาติ) เกิดขึ้นบ้าง? ถ้าไม่อยากให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ก็ต้องเลิกใช้นำมันกันให้หมดจะทำได้ไหมล่ะ ? "

    ไม่มีใครตอบท่านเลย ... สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งคือสัญญาณเวลาที่จะเกิดเหตุการณ์เหล่านั้น ซึ่งพอสรุปได้ว่าก่อนเกิดสงครามโลก 1 ปีถึง 1 ปีครึ่งจะมีเหตุการณ์ เหล่านี้เป็นสัญญาณคือ ... ในไทยพระจะถูกยึดเงิน ในระดับโลกจะมีการสร้างบ้านเรือนบนอวกาศ แต่ภัยพิบัติทางธรรมชาติจะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ซึ่งมีทางเป็นไปได้ โดยตรรกะว่าเมิ่อเกิดภัยธรรมชาติจะเกิดความแร้นแค้น ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งต่าง ๆ อันจะเป็น ชนวนให้เกิดสงครามขึ้นมาได้ แต่ที่สำคัญก็คือระยะเวลาเหลืออีกเท่าไร เดือนสิงหาคใมใช่หรือไม่ ? หลวงพ่อท่านบอกว่าระบุไม่ได้ ขนาดนั้น ผมจึงต้องถามท่านใหม่ว่า

    " อีกประมาณ 4 - 5 ปีข้างหน้านี้ใช่ไหมครับ " ท่านตอบว่า " ประมาณนั้น "

    เช้าวันรุ่งขึ้น หลังการฝึกในช่วงเช้ามืดจบลง หลวงพ่อท่านได้บอกเคล็ดลับของการฝึกสมาธิหมุนให้แก่ผู้อบรมที่ยังเหลืออยู่ จากนั้นท่านก็ให้พรและกล่าวลากับทุกคน ผมจากวัดของหลวงพ่อมาหลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ ริม 2 ข้างทางนั่นสงบเงียบเหลือเกิน แต่ในจิตใจของผมล่ะ ...

    ผมเองไม่รู้สึกตื่นกลัวมากนัก ถ้าหากเหตุการณ์ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นจริง อาจเป็นเพราะผมเองก็มีภาพเหล่านั้นอยู่บ้างแล้ว แต่ไม่คิดว่ามันจะร้าย แรง และรวดเร็วอย่างที่หลวงพ่อท่านบอก โดยส่วนตัวของผมบัดนี้ได้พบคำตอบแล้วว่า ทำไมความรู้สึกก่อนมาที่วัดนี้ของผมจึงเป็น ต้องไปมากกว่าควรไป

    สิ่งที่ผมได้รับรู้นั้นมันทำให้คลายความยินดีในเรื่องความสำเร็จทางการงานที่เพิ่งได้รับมาหมาด ๆ ลงอย่างหมดสิ้น สิ่งที่ผมนึกออกตอนนั้น ก็คือ

    " ต่อไปนี้เราจะประมาทไม่ได้แล้ว "

    (แหล่งที่มา จากหนังสือ มังกรจักรวาล1 ตอนสมาธิหมุน นอสตราดามุส และมนษย์ต่างดาวว่าด้วยญาณทัศนะกับหายนะของโลกก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 โดย ดร.สุวินัย ภรณวลัย)

    ที่มา http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=33386
    เครดิต คุณเกษม & <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Premsuda (May)<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2641346", true); </SCRIPT> http://palungjit.org/threads/พระอาจ...วแน่นอน-กรุงเทพถึงนครสวรรค์จะจมน้ำหมด.214619/<!-- google_ad_section_end -->
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หายนะโลก อาวุธเส้นแสง จดหมายข่าวกัลยาณมิตร ฉบับทีุ่ึ8
    ถอดรหัสพิบัติภัย



    เทปบันทึกรายการ"ถอดรหัสภิบัติภัย" ชุด"ภาวะโลกร้อน" ออกอากาศทางสถานี NBT เดือน มีนาคม 2552


    วิทยากรผู้ร่วมรายการ: พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ , ดร. อาจองค์ ชุมสาย ณ อยุธยา
    ดำเนินรายการโดย: คุณสายสวรรค์ ขยันยิ่ง


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=kUru61qs0N0"][/ame]
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=kUru61qs0N0"]ถอดรหัสภิบัติภัย [/ame]1
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Fvv51Kexxys"][/ame]
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Fvv51Kexxys"]ถอดรหัสพิบัติภัย [/ame]2
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=AANQGsYEeHM"][/ame]
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=AANQGsYEeHM"]พลังพีระมิดกับวิกฤตโลกร้อน[/ame] 1
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=AYXcvkYCN6U"][/ame]
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=AYXcvkYCN6U"]พลังพีระมิดกับวิกฤตโลกร้อน[/ame] 2
    จดหมายข่าวฉบับนี้
    ยังเกาะติดกับกระแสภัยพิบัติ จากนักปราชญ์ทั้งทางธรรมและทางโลกสองท่าน


    จากวีดีทัศน์ แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานภาครัฐ ไม่ได้เห็นความสำคัญหรือเข้าไปเสริมหนุนการทำงานของทั้งสองท่านแต่อย่างใด ทั้งๆที่เป็นเรื่องที่รัฐบาลควรมีวิสัยทัศน์ในการตั้งงบประมาณหรือตั้งศูนย์วิจัยด้านพุทธศาสตร์อย่างจริงจัง และควรใช้วิทยาศาสตร์เพื่อสื่อสาร หรืออธิบายพุทธศาสตร์ซึ่งเป็นศาสตร์ที่สูงกว่าให้คนทั่วไปได้เข้าใจในขั้นต้น


    จากประวัติ ดร.อาจองค์ ที่ท่านเคยทดลองเป็นนักการเมืองและท่านก็พบคำตอบว่า มิอาจแก้ไขปัญหาของประเทศชาติได้ จึงหันมาทุ่มแทให้กับการศึกษา สร้างโรงเรียนและเป็นครูสอนเด็กๆ


    การเมืองที่มีบรรจุภัณฑ์สวยงามชื่อประชาธิปไตยนี้ จึงมิใช่เหตุแห่งความเจริญ แต่เป็นเหตุแห่งความเสื่อมที่จะสร้างหายนะให้กับประเทศชาติต่อไปในอนาคต


    ในบรรดาวิกฤติต่างๆที่จะเกิดขึ้นภายภาคหน้านี้ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้เมตตาบอกกับลูกศิษย์เกี่ยวกับภัยพิบัติและภัยจากสงคราม รวมความได้ว่า...


    นอกจากวิกฤติในประเทศแล้วผู้ที่จะรอดจากอาวุธชนิดใหม่ที่มีอนุภาพมากยิ่งกว่าสงครามนิวเคลียร์ได้นั้น
    ส่วนมากจะเป็นมังสะวิรัต


    ในที่นี้ผู้เขียนเข้าใจว่าประเทศที่เป็นพุทธและเป็นประเทศมังสะวิรัตนั้นก็คือศรีลังกาและอินเดียจะมีผู้รอดชีวิตมากที่สุดซึ่งจะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เห็นกฏแห่งกรรมได้อย่างชัดเจน


    อาวุธที่มีอนุภาพยิ่งกว่านิวเคลียร์นั้นคืออาวุธเส้นแสง!!(+รังสี)
    ซึ่งสามารถทะลุทะลวงวัตถุและเครื่องป้องกันต่างๆได้ ในวงกว้าง


    จากจดหมายข่าวกัลยาณมิตรฉบับที่6 นั้นทำให้เราทราบว่า...


    ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์กำลังก้าวสู่ พลังงานเส้นแสง(เลเยอร์ที่6)โดยมีการแข่งกันพัฒนาระหว่างยุโรปและอเมริกา
    ประเทศไทยเองก็มีวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนาและนำพลังงานชนิดนี้มาใช้ประโยชน์ โดยมีเครื่องกำเนิดแสงสยาม
    ตั้งอยู่ที่สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน(องค์การมหาชน)จ.นครราชสีมา โดยได้อนุมัติโครงการในปี พ.ศ.2539


    การพัฒนาพลังงานชนิดนี้ในยุโรปนั้นเราจะรู้จักกันดีจากสื่อต่างๆในชื่อของเซิร์น CERN: European Center for Nuclear Research แต่เราจะไม่ค่อยรู้จัก Tevatron ของ Fermilab ในประเทศอเมริกา


    โดยโปรเจ็คเทวาตรอนนี้จะปิดตัวลงในพ.ศ.2553 ซึ่งหมายความว่าการค้นคว้าวิจัยต่างๆสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว!!


    [​IMG]
    The Large Hadron Collider is placed in a tunnel 27 kilometers beneath France and Switzerland, between the Jura Mountains and the Alps. CERN's headquarters are near Geneva. (Images copyright CERN)


    [​IMG]


    Tevatron Project


    [​IMG]

    Tevatron ของ Fermilab

    จากข้อมูลต่างๆ ทั้ง HAARP,Tevatron และตัวอย่างการใช้งานที่ชัดเจนจาก [ame="http://www.youtube.com/watch?v=LThD0FMvTFU&feature=related"]MTEL hight Energy Laser [/ame]
    ทำให้เห็นว่า..


    อาวุธเส้นแสงนั้นมิใช่นิยายวิทยาศาสตร์อีกต่อไป!!


    มองอนาคตจากอดีต


    -หากพิจารณาย้อนกลับไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากอเมริกาประสบความสำเร็จในการวิจัยอาวุธนิวเคลียร์สดๆร้อนๆ อาวุธชนิดนี้ก็ถูกนำมาทดลองใช้จริงในฮิโรชิม่าและนางาซากิ


    เหตุผลที่สหรัฐตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์นี้ นอกจากจะทำให้ญี่ปุ่นยอมแพ้เพื่อยุติสงครามแล้ว ยังเป็นสงครามจิตวิทยาชิงความเป็นผู้นำโลก ในสงครามเย็นกับรัสเซียอีกด้วย


    -การที่สหรัฐตัดสินใจทำสงครามกับอีรัก เกิดจากการหายไปของขีปอาวุธนิวเคลียร์จำนวนหนึ่ง ในช่วงการล่มสลายของประเทศรัสเซีย การที่สหรัฐเข้าใจว่าอาวุธนิวเคลียร์นี้อยู่กับประเทศอีรักจึงเป็นสาเหตุหลักในการทำสงคราม โดยมีผลประโยชน์ด้านน้ำมันเป็นสาเหตุรอง(หรือไม่!?)


    และเรื่องนี้น่าจะเชื่อมโยงกับการที่...


    สำนักข่าวเอพีระบุว่า ศาลไทยตัดสินไม่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่เป็นพ่อค้าอาวุธ
    คือนายวิคเตอร์ บูท เจ้าของฉายา The Merchant of Death ให้สหรัฐ ในวันที่ 12 ส.ค.2552
    เนื่องจากถูกรัสเซียขู่ว่า...
    อาวุธรัสเซียจะเกลื่อนภาคใต้ของไทย!!


    [​IMG]


    [​IMG]


    คดีนี้ มีความสำคัญมากต่อการควานหาอาวุธนิวเคลียร์ที่หายไป แม้แต่ประธานาธิปดีบุชเองก็ย้ำกับนายกสมัคร(นายกในสมัยนั้น)ว่าเรื่องนี้สำคัญมากเพียงใดกับสหรัฐ


    ปัจจุบันมี 8 ประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ คือ สหรัฐฯ รัสเซีย จีน สหราชอณาจักร ฝรั่งเศส อินเดีย ปากีสถาน และอิสราเอล ในที่นี้ไม่รวมประเทศที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์เช่น เกาหลีใต้และอิหร่าน



    คำถามก็คือ...ในปัจจุบันที่มีกำแพงสกัดกั้นการยิงอาวุธนิวเคลียร์ทั่วทั้งในสหรัฐและยุโรปนี้
    จะมีเหตุผลอะไรที่บังคับให้สหรัฐจำเป็นต้องใช้อาวุธที่มีอนุภาพทำลายล้างมากกว่านิวเคลียร์เพื่อประหัตประหารกันอีกด้วยหรือ? (และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่างยักษ์นอกศาสนาในพุทธทำนาย)


    เหตุผลคงจะไม่ต่างกับการตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์กับประเทศญี่ปุ่นและการทำสงครามในประเทศอีรักมากนัก


    เพราะหากสมดุลนิวเคลียร์ถูกทำลายลงและมีการใช้อาวุธเชื้อโรค
    หรือมีผู้ก่อการร้ายนำอาวุธนิวเคลียร์ที่หายไปมาใช้ ประเทศต่างๆก็จะระเวงซึ่งกันและกัน
    อันบังคับให้ ผู้ที่ชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ


    รวมถึงความเชื่อเรื่องวันพิพากษาในศาสนาที่มีพระเจ้าทั้งสองศาสนานั้น
    พอจะเป็นเหตุผลที่ให้อ้างถึงความชอบธรรมในการทำลายล้างมวลมนุษยชาติกันเองได้!!!?


    แต่เหตุผลประการหนึ่งที่น่าตกใจและมิอาจอ้างความชอบธรรมใดๆได้เลยก็คือ
    เพื่อเป็นการควบคุมและลดประชากรโลกที่มีอัตราเพิ่มขึ้นมากเกินไป ในแผน new world order
    ก่อน Tipping point เพื่อให้โลกปลอดภัยจาก climate change


    ซึ่งในขณะนี้ เหลือเวลานับถอยหลังเพียง 88 เดือน!!


    Countdown: Humanity Has Only 100 Months to Save the Planet From Climate Change Tipping Point




    [​IMG]


    [​IMG]




    [​IMG]

    ต้องขอบคุณภาพยนต์อนิเมชั่นเหล่านี้ที่อธิบายเรื่องราวต่างๆให้เราสามารถเข้าใจง่ายขึ้น


    [​IMG] A short animation explaining how climate systems work

    Image by Leo Murray



    จากการจับแพะชนแกะของผู้เขียน โดยไม่รวมกระแสวันสิ้นโลกอื่นๆ
    เช่น...


    -ข้อมูลจากNASA เรื่องการพลิกกลับขั้วของแม่เหล็กโลก(Magnetic Pole Reversal)ในปี ค.ศ.2012
    ที่แม้จะไม่มีใครใช้อาวุธเส้นแสง จากภาวะที่โลกภาวะแม่เหล็กโลกไม่เสถียรภาพ โลกก็จะได้รับอันตรายจากรังสีคอสมิคและพายุฟ้าฝ่าที่มากกว่าปกติถึงพันเท่า

    ที่มา http://gotoknow.org/blog/forearth/293150

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...