มีใครเป็นลูกหลานท่านท้าวกุเวรณุราชบ้างหรือเปล่า

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย มีแปปเดียว, 16 สิงหาคม 2010.

  1. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ท้าวกุเวร มีอีกพระนามหนึ่งที่รู้จักกันดีคือ ท้าวเวสสุวรรณ (ภาษาสันสกฤต: वैश्रवण Vaiśravaṇa, ภาษาบาลี: वेस्सवण Vessavaṇa) เป็นอธิบดีแห่งอสูรย์หรือยักษ์ หรือเป็นเจ้าแห่งผี เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุทรงอิทธิฤทธิ์อานุภาพมากประทับ ณ โลกบาลทิศเหนือ มียักษ์เป็นบริวาร
    คนไทยโบราณ นิยมนำผ้ายันต์รูปยักษ์ผูกไว้ที่หัวเตียงเด็กเพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารังควาญแก่เด็ก ท้าวกุเวร องค์นี้มีกล่าวถึงในอาฏานาฏิยปริตว่านำเทวดาในสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา มาเฝ้าพระพุทธเจ้าและได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวก ไมให้ยักษ์หรือบริวารอื่นๆของท้าวจตุโลกบาลไปรังควาญ

    ท้าวกุเวร หรือ ท่านท้าวเวสสุวรรณ นั้น ส่วนมากเราจะพบเห็นในรูปลักษณ์ของยักษ์ ยืนถือกระบองยาว หรือ คทา (ไม้เท้าเป็นรูปกระบอง) กันซะส่วนใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังมีรูปเคารพของท่านในรูปของชายนั่งในท่า มหาราชลีลา มีลักษณะอันโดดเด่นคือ พระอุระพลุ้ย อีกด้วย กล่าวกันว่า ผู้มีอาชีพสัปเหร่อ หรือ มีอาชีพประหารชีวิตนักโทษ มักพกพารูปท้าวเวสสุวรรณ สำหรับคล้องคอเพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง ป้องกันภัย จากวิญญาณร้าย ที่จะเข้ามา เบียดเบียน ในภายหลัง ภาพลักษณ์ของท้าวกุเวร ที่ปรากฏในรูปของชายพุงพลุ้ย เป็นที่เคารพนับถือ ในความเชื่อว่า เป็นเทพแห่งความร่ำรวย แต่ท้าวกุเวรในรูปของท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งมาในรูปของยักษ์ เป็นที่เคารพ นับถือว่า เป็นเครื่องราง ของขลัง ป้องกัน ภูติผีปีศาจ
    “สารานุกรมไทย” ฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน เล่มที่ 3 หน้า 1439
    กล่าวถึง ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ ไว้ว่า กุเวร-ท้าว พระยายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์ มียักษ์ และคุยหกะ (ยักษ์ผู้เฝ้าขุมทรัพย์) เป็นบริวาร ท้าวกุเวรนั้น บางทีก็เรียกว่า ท้าวไวศรวัน (เวสสุวรรณ) ภาษาทมิฬ เรียก กุเวร ว่า กุเปรัน ซึ่งมีเรื่องอยู่ในรามเกียรติ์ว่า เป็นพี่ต่างมารดาของ ทศกัณฐ์ และทศกัณฐ์ไปแย่งบุษบก ของท้าวกุเวรไป ท้าวกุเวรมีรูปร่างพิการ ผิวขาว มีฟัน 8 ซี่ และมีขาสามขา (ภาพท้าวเวสสุวรรณจึงมักเขียนท่ายืนแยงแย ถือไม้กระบองยาว อยู่หว่างขา) เมืองท้าวกุเวร ชื่อ อลกาอยู่ บนเขาหิมาลัย มีสวนอุทยานอยู่ไหล่เขาแห่งหนึ่ง ของเขาพระสุเมรุ ชื่อว่า สวนไจตรต หรือ มนทร มีพวกกินนร และคนธรรพ์เป็นผู้รับใช้ ท้าวกุเวรเป็นโลกบาล ประจำทิศเหนือ จีน เรียกว่า โต้เหวน หรือ โต้บุ๋น ญี่ปุ่น เรียก พสมอน
    ท้าว กุเวรนี้ สถิตอยู่ยอดเขายุคนธรอีสานราชธานี มีสระโกธาณีใหญ่ 1 สระ ชื่อ ธรณี กว้าง 50 โยชน์ ในน้ำ ดารดาษไปด้วยประทุมชาติ และคลาคล่ำไปด้วย หมู่สัตว์น้ำต่างพรรณ ขอบสระมีมณฑป ชื่อ ภคลวดี กว้างใหญ่ 12 โยชน์ สำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ปกคลุมด้วยเครือเถาภควดีลดาวัลย์ ซึ่งมีดอกออกสะพรั่งห้อยย้อยเป็นพวงพู ณ สถานที่นี้ เป็นสโมสรสถาน ของเหล่ายักษ์บริวาร และยังมีนครสำหรับเป็นที่แปรเทพยสถานอีก 10 แห่ง ท้าวกุเวรมียักษ์ เป็นเสนาบดี 32 ตน ยักษ์รักษาพระนคร 12 ตน ยักษ์เฝ้าประตูนิเวศ 12 ตน ยักษ์ที่เป็นทาส 9 ตน
    นอก จากนี้ยังมีกล่าวว่า ท้าวเวสสุวรรณยังมีกายสีเขียว สัณฐานสูง 2 คาวุต ประมาณ 200 เส้น มีอาวุธเป็นกระบอง มีพาหนะ ช้าง ม้า รถ บางทีปราสาท อาภรณ์มงกุฎประดับรูปนาค ดำรงอิสริยศเป็นเจ้าแห่งยักษ์ มีบริวารแสนโกฏิ ถือโล่แก้ว ประพาฬ หอกทอง
    ลัทธิความเชื่อของพราหมณ์
    กล่าว ถึงประวัติของท้าวเวสสุวรรณไว้ว่า ทรง เป็นโอรสของ พระวิศรวิสุมนี กับ นางอิทาวิทา แต่ในมหาภารตะว่า เป็นโอรสของพระปุลัสต์ ซึ่งเป็นบิดาของ พระวิศรวัส กล่าวว่า ด้วยเหตุที่ท้าวกุเวร ใฝ่ใจกับท้าวมหาพรหม เป็นเหตุทำให้บิดาโกรธ จึงแบ่งภาคเป็น พระวิศวรัส หรือ มีนามหนึ่งว่า เปาลัสตยัม ซึ่งรามเกียรติ์ไทยเรียกว่า ลัสเตียน
    ท้าว ลัสเตียน หรือ พระวิศวรัสซึ่งเป็นภาคหนึ่งของ พระวิศรวิสุมนี นั้น ได้นางนิกษา บุตรีท้าวสุมาลีรักษา เป็นชายา มีโอรสด้วยกันคือ ทศกัณฐ์ กุมภกรรณ พิเภก และ นางสำมะนักขา ดังนั้น ท้าวกุเวร จึงเป็นพี่ชายต่างมารดา และร่วมบิดาเดียวกับทศกัณฐ์ เหตุที่ท้าวกุเวรผิดใจกับผู้เป็นพ่อ เพราะไปฝักใฝ่กับท่านท้าวมหาพรหม ซึ่งเป็นเทวดา ทำให้ผู้เป็นพ่อ คือ พระวิศรวิสุมนีโกรธ เพราะถือทิฐิว่า ตนเป็นยักษ์ ที่เป็นเทวดาต่ำศักดิ์กว่า ไม่ควรไปยุ่งกับเทวดา ที่บนสวรรค์ชั้นสูงกว่า เห็นคนอื่นดีกว่าพ่อของตน ก็เลยแบ่งภาคออกไปมีเมียใหม่ ลูกใหม่ ซะเลย ที่ท้าวกุเวร มีใจฝักใฝ่กับท่านท้าวมหาพรหมนั้น เป็นเพราะท้าวกุเวรนั้น ต้องการบำเพ็ญตบะบารมี หรือ สร้างสมความดี ด้วยการเข้าฌาน และบำเพ็ญทุกรกิริยา นานนับพันปี จนท่านท้าวมหาพรหมโปรดปราน ประทานบุษบกให้ อันบุษบกนี้ หากใครได้ขึ้นไปแล้ว สามารถล่องลอยไปไหนมาไหนได้ตามต้องการ
    เดิมที นั้น ท้าวกุเวรครองกรุงลงกา ซึ่งมีพระวิศกรรม เป็นผู้สร้างให้ แต่นางนิกษา ได้ยุยงให้ทศกัณฐ์ ชิงกรุงลงกา มาจากท้าวกุเวร ทั้งยังชิงเอาบุษบกอันพระพรหมได้ประทานแก่ท้าวกุเวรมาด้วย ดังที่ได้บอกเอาไว้แล้วว่า บุษบกนี้ สามารถลอยไปไหนมาไหนได้ดังใจนึก แต่มีข้อห้ามมิให้หญิงที่ถูกสมพาส (แปลว่า การอยู่ร่วม การร่วมประเวณี) จากชาย 3 คน นั่ง ซึ่งต่อมานางมณโฑ ได้นั่งบุษบก จึงไม่สามารถ ที่จะลอยไปไหนมาไหน ได้อีกเลย สำหรับ นางมณโฑ ที่แต่เดิมเป็นนางฟ้า ที่พระอิศวรประทานให้กับทศกัณฐ์ ต้องกลายมาเป็นหญิงสามผัว ด้วยเหตุที่ว่า เมื่อทศกัณฐ์ได้รับตัวนางมณโฑจากพระอิศวรมาแล้ว ก็อุ้มพานางเหาะกลับมายังกรุงลงกา ขณะที่เหาะข้าม มาระหว่างทาง ได้เหาะข้ามเมืองขีดขิน ซึ่งมี “พาลี” เป็นเจ้าเมือง พาลีโกรธ ที่ทศกัณฐ์บังอาจ อุ้มหญิงสาว เหาะข้ามหัว โดยไม่เกรงใจ จึงเหาะขึ้นไปรบกับทศกัณฐ์ ทศกัณฐ์สู้ไม่ได้ เพราะพาลีได้รับพร จากพระอิศวรว่า หากรบด้วยผู้ใด ศัตรูผู้นั้นจะมีกำลังลดลงครึ่งหนึ่ง หรือมีความสามารถลดน้อยกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง เมื่อทศกัณฐ์ เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงถูกพาลีแย่งชิงเอานางมณโฑไปเป็นมเหสี ต่อมา เมื่อพาลีคืนนางมณโฑ ให้กับทศกัณฐ์แล้ว เมื่อตอนที่หุงน้ำทิพย์ “หนุมาน” ได้เข้าไปทำลายพิธี โดยปลอมตัวเป็นทศกัณฐ์ แล้วร่วมสังวาส กับนางมณโฑ นางมณโฑ จึงเป็นหญิงที่ผ่านการสมพาสชายมาถึง 3 คน คือ พาลี ทศกัณฐ์ และ หนุมาน เมื่อทศกัณฐ์ ให้นางมณโฑ ขึ้นนั่งบุษบกนี้ทีหลัง บุษบกก็เกิดการขัดข้องทางเทคนิค ไม่ลอยไปไหนมาไหน ตามต้องการ เหมือนเก่า
    ครั้น เมื่อท้าวกุเวรต้องเสียกรุงลงกาไปแล้ว ท้าวมหาพรหมท่านก็สร้างนครให้ใหม่ ชื่อ “อลกา” หรือ “ประภา” อันตั้งอยู่ที่เขาหิมาลัย มีสวนชื่อ “เจตรรถ” อยู่บนเขามันทรคีรี อันเป็นกิ่งแห่งเขาพระสุเมรุ บ้างก็ว่า ท้าวกุเวร อยู่ที่เขาไกรลาส ซึ่งพระวิษณุกรรมเป็นผู้สร้างให้



    ความเชื่อตามพระพุทธศาสนา
    ใน พระสูตรที่ชื่อว่า “อาฏานาฏิยะ” กล่าวว่า ท้าวกุเวร ตั้งเมืองอยู่ในอากาศ ข้างทิศที่อุตรกุรุทวีป (เหนือ) และ เขาพระสุเมรุ ยอดสุทัศน์ (ที่เป็นผาทอง) ตั้งอยู่ มีราชธานี 2 ชื่อ คือ อาลกมันทา และ วิสาณา มีนครอีก 8 นคร
    ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้น ยังมีชื่ออีกหลายชื่อ เช่น ธนบดี หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์ ธเนศวร หมายถึง ผู้เป็นเจ้าแห่งทรัพย์ อิจฉาวสุ หมายถึง มั่งมีได้ตามใจ ยักษ์ราชหมายถึง เจ้าแห่งยักษ์ มยุราช หมายถึง เป็นเจ้าแห่ง กินนร รากษเสนทร์ หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในพวกรากษส ส่วนในเรื่องรามเกียรติ์ เรียกท้าวเวสสุวรรณว่า ท้าวกุเรปัน
    ในทางพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงอดีตชาติของท้าวกุเวร เอาไว้ใน พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม 3 ภาค 2 - หน้าที่ 151 ว่า ในสมัยที่โลกยังว่าง จากพระพุทธศาสนา ไม่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัตินั้น มีพราหมณ์ ผู้หนึ่ง นามว่า กุเวร เป็นคนใจดีมีเมตตากรุณา ประกอบสัมมาชีพ ด้วยการทำไร่อ้อย นำต้นอ้อย ตัดใส่ลงไปในหีบยนต์ แล้วบีบน้ำอ้อยขายเลี้ยงชีวิตตน และบุตรภรรยา ต่อมากิจการ เจริญขึ้น จนเป็นเจ้าของ หีบยนต์สำหรับบีบน้ำอ้อยถึง 7 เครื่อง จึงสร้างที่พักสำหรับ คนเดินทาง และบริจาคน้ำอ้อย จากหีบยนต์เครื่องหนึ่ง ซึ่งมีปริมาณน้ำอ้อยมากกว่าหีบยนต์เครื่องอื่น ๆ ให้เป็นทาน แก่คนเดินผ่านไปมา จนตลอดอายุขัย ด้วยอำนาจ แห่งบุญกุศลที่บริจาคน้ำอ้อยให้เป็นทานนั้น ทำให้กุเวรได้ไปอุบัติเป็นเทพบุตร บนสวรรค์ชั้น จาตุมหาราชิกา มีนามว่า"กุเวรเทพบุตร" ต่อมากุเวรเทพบุตร ได้เทวาภิเษกเป็นผู้ปกครองดูแล พระนครด้านทิศเหนือ จึงได้มีพระนามว่า "ท้าวเวสสุวรรณ"
    ตาม หลักฐานในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ยืนยันว่า "ท้าวกุเวร" หรือ "ท้าวเวสสุวรรณ" เทวราชพระองค์นี้ ได้สำเร็จเป็น พระอริยบุคคลชั้นโสดาบันเมื่อครั้ง "จุลสุภัททะ ปริพาชก" เกิดความสงสัยในความเป็นมาแห่ง องค์สมเด็จ พระพุทธเจ้า ท่าน "ท้าวเวสสุวรรณ" องค์นี้แหละ ที่ได้เสด็จไปร่วมต้อนรับด้วย และ ยังเป็นประจักษ์พยาน เรื่องพระมหาโมคคัลลานะ ใช้เท้าจิกพื้นไพชยนตวิมาน ของพระอินทร์จนเกิดการ สั่นสะเทือนไป ทั้งดาวดึงส์ เทวโลก อันเป็นการเตือนสติสักกะเทวราชอีกด้วย และก็เชื่อกันตาม ฎีกามาลัยเทวสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 2 - หน้าที่ 435 ว่า "คทาวุธ" ของ "ท้าวเวสสุวรรณ" นั้น เป็นยอดศัสตราวุธ มีอานุภาพสามารถทำลายโลกใบนี้ให้เป็น จุณวิจุณภายในพริบตา
    จะ เห็นได้ว่า ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้น ท่านเป็นเทพที่สำคัญยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง ที่พิทักษ์รักษา พระพุทธศาสนา ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า ท่านท้าวสักกะเทวราช หรือ พระอินทร์เลยทีเดียว ตามวัดวาอารามต่าง ๆ จะมีรูปปั้นยักษ์ 1 ตน บ้าง 2 ตนบ้าง ยืนถือกระบองค้ำพื้น ส่วนมากจะมี 2 ตน เฝ้าอยู่หน้า ประตูโบสถ์ หรือ วิหารที่เก็บของมีค่า มีพระพุทธรูป และโบราณสมบัติล้ำค่าของทางวัดบรรจุอยู่ ด้านละ 1 ตน หรือไม่ก็บริเวณลานวัด หรือที่ที่มีคนผ่านไปมาแล้วเห็นโดยง่าย บ้างก็สร้างเอาไว้ในวิหาร หรือ ศาลาโดยเฉพาะก็มี ซึ่งยักษ์เหล่านั้น ถ้าเป็น ตนเดียว ก็จะหมายถึง รูปเคารพของท้าวเวสสุวรรณ แต่ถ้าเป็น 2 ตนก็จะเป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวรรณ คอยทำหน้าที่ ปกปักรักษา ดูแลบริเวณวัด
     
  2. อศูนย์น้อย

    อศูนย์น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +495
    มารายงานตัว ครับผม อิอิ
     
  3. คะรุทา

    คะรุทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,243
    ค่าพลัง:
    +3,477
    มารายงานตัวเช่นกันค่ะ
     
  4. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    เทวภูมิชั้นที่หนึ่ง ชื่อ จตุมหาราชิกาภูมิ
    หมายถึง ภูมิที่มีเทวดา ๔ องค์เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ชื่อว่าจตุมหาราชา (จตุ แปลว่า ๔) อยู่ประจำทั้ง ๔ ของภูเขาสิเนรุ คือ
    ๑. ท้าวธตรัฏฐะ อยู่ทิศตะวันออก ปกครองคันธัพพเทวดาทั้งหมด
    ๒. ท้าววิรุฬหกะ อยู่ทิศใต้ ปกครองกุมภัณฑเทวดา (เทวดาท้องใหญ่โต) ทั้งหมด
    ๓. ท้าววิรูปักขะ อยู่ทิศตะวันตก ปกครองนาคเทวดาทั้งหมด
    ๔. ท้าวกุเวระ หรือ ท้าวเวสสุวัณ อยู่ทิศเหนือ ปกครองยักขเทวดาทั้งหมด
    ที่อยู่ของเทวดาทั้ง ๔ นี้ อยู่ตรงกลางของภูเขาสิเนรุ ในระดับเดียวกับยอดเขายุคันธร อันเป็นภูเขาล้อมภูเขาสิเนรุชั้นแรก
    ท้าวมหาราชทั้ง ๔ องค์นี้ เป็นผู้รักษามนุษยโลกด้วย จึงเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า ท้าวจตุโลกบาล เทวดาที่บังเกิดอยู่ในจตุมหาราชิกาทั้งหมด เป็นบริวารอยู่ภายใต้อำนาจการปกครอง และมีหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติรับใช้ท้าวมหาราชทั้ง ๔
    บริวารที่ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ปกครอง ตั้งอยู่ตอนกลางของเขาสิเนรุ เสมอกับยอดเขายุคันธร อาณาเขตแผ่กว้างโดยรอบจรดขอบจักรวาล และภูเขาสัตตบรรพ์ ลงมาจนถึงพื้นแผ่นดินที่มนุษย์อยู่ ตลอดทั่วมหาสมุทรทั้งหมด
    เทวดาประเภทต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การปกครองของท้าวจตุมหาราช คือ
    เทวดาที่อาศัยอยู่ตามภูเขา (ปัพพตัฏฐเทวดา)
    เทวดาที่อยู่ในอากาศ (อากาสัฏฐเทวดา)
    เทวดาที่ตายเพราะมัวเพลิดเพลินในการเล่น (ขิฑฑาปโทสิกเทวดา) เล่นกีฬา
    จนลืมบริโภคอาหาร
    เทวดาที่ตายเพราะความโกรธ (มโนปโทสิกเทวดา)
    เทวดาที่ทำให้อากาศเย็นเกิดขึ้น (สีตวลาหกเทวดา)
    เทวดาที่ทำให้อากาศร้อนเกิดขึ้น (อุณหวลาหกเทวดา)
    เทวดาที่อยู่ในพระจันทร์ (จันทิมาเทวปุตตเทวดา)
    เทวดาที่อยู่ในพระอาทิตย์ (สุริยเทวปุตตเทวดา)
    ถ้าแบ่งเทวดาชั้นจตุมหาราชิกา ออกตามสถานที่อยู่อาศัย แบ่งได้ ๓ ประเภท
    ๑. ภุมมัฏฐเทวดา อยู่บนพื้นดิน
    ๒. รุกขัฏฐเทวดา อยู่บนต้นไม้
    ๓. อากาสัฏฐเทวดา อยู่ในอากาศ

    ภุมมัฏฐเทวดา ได้แก่เทวดาที่อาศัยอยู่ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ภูเขา แม่น้ำ มหาสมุทร ใต้ดิน บ้าน เจดีย์ ศาลา ซุ้มประตู เป็นต้น เทวดาบางองค์ก็มีวิมานของตน ณ ที่นั้นๆ โดยเฉพาะ องค์ใดไม่มี ก็ถือเอาสถานที่ ที่ตนอาศัยอยู่ เช่น วัด บ้าน ภูเขา มหาสมุทร แม่น้ำ นั้น เป็นวิมานของตน

    รุกขัฏฐเทวดา มี ๒ จำพวก พวกหนึ่งมีวิมานอยู่บนต้นไม้ อีกพวกหนึ่งอยู่บนต้นไม้แต่ไม่มีวิมาน รุกขวิมานเป็นวิมานที่ตั้งอยู่บนยอดของต้นไม้ สาขัฏฐกวิมานเป็นวิมานที่อาศัยตั้งอยู่บนสาขาของต้นไม้ทั่วไป

    อากาสัฏฐเทวดา เทวดาจำพวกนี้มีวิมาน เป็นที่อยู่ของตนเองโดยเฉพาะ เช่น พระอาทิตย์ พระจันทร์ และดาวทั้งหลาย ทั้งภายในภายนอกวิมานประกอบไปด้วย รัตนะ ๗ อย่าง ซึ่งบังเกิดขึ้นด้วยอำนาจกุศลกรรม คือ แก้วมรกต แก้วมุกดา แก้วประพาฬ แก้วมณี แก้ววิเชียร เงิน ทอง แต่ละวิมานประกอบด้วยรัตนะไม่เท่ากัน บางวิมานมีเพียง ๑-๒ รัตนะ บางวิมานก็มีมาก สุดแต่กุศลที่ตนสร้างเอาไว้ วิมานเหล่านี้ลอยหมุนเวียนไปรอบๆ เขาสิเนรุอยู่เป็นนิจ
    ในบางแห่ง จัดเอารุกขัฏฐเทวดารวมไว้เป็นพวกเดียวกับภุมมัฏฐเทวดา

    เทวดาชั้นจตุมหาราชิกาที่มีใจโหดร้าย มีอยู่ ๔ จำพวก คือ
    ๑. เทวดายักษ์ ทั้งชาย หญิง (ยักโข ยักขินี)
    ๒. เทวดาคันธัพพะ ชาย หญิง (คันธัพโพ คันธัพพี)
    ๓. เทวดากุมภัณฑ์ ชาย หญิง (กุมภัณโฑ กุมภัณฑี)
    ๔. เทวดานาค ชาย หญิง (นาโค นาคี)

    ยักษ์ มี ๒ จำพวก จำพวกหนึ่งเป็นเทวดายักษ์ มีรูปร่างสวยงาม มีรัศมี อีกพวกหนึ่งเป็นดิรัจฉานยักษ์ รูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ไม่มีรัศมี พวกเทวดายักษ์นั้น บางทีมีความพอใจในการเบียดเบียนสัตว์นรกให้เดือดร้อน เมื่อมีจิตคิดอยากเบียดเบียนขึ้นมาเมื่อใด ก็จะเนรมิตตนเองเป็นนายนิรยบาลบ้าง เป็นแร้งยักษ์ กายักษ์ สุนัขยักษ์ บ้าง เที่ยวลงโทษหรือไล่จับสัตว์นรกกิน เทวดาพวกนี้อยู่ในความปกครองของท้าวกุเวระ หรือท้าวเวสสุวัณ




    คันธัพพเทวดา ได้แก่เทวดาที่ถือกำเนิดอยู่ในต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม และจะอาศัยอยู่ในเนื้อไม้ตลอดไป แม้ต้นไม้นั้นจะผุพัง โค่นล้ม หรือถูกคนตัดเอาไปทำการก่อสร้างเป็นสิ่งต่างๆ คันธัพพเทวดาเหล่านี้ก็ไม่ยอมละทิ้งที่อยู่ของตน คงอาศัยอยู่กับไม้นั้นเรื่อยๆ ไป บางคราวยังแสดงตนให้มนุษย์เห็น เรียกกันว่า นางไม้ ถ้าเอาไม้นั้นไปทำเรือก็เรียกว่า แม่ย่านางเรือ เทวดาพวกนี้มีฤทธิ์เดชอยู่บ้าง เมื่อไม่พอใจอาจทำให้เกิดอุปสรรค รบกวนผู้อยู่อาศัย เกิดการเจ็บป่วย หรือทำอันตรายทรัพย์สมบัติให้พินาศ ถ้าพอใจก็ช่วยดูแลรักษาคุ้มครองให้คุณประโยชน์
    คันธัพพเทวดาเกิดในต้นไม้ มีกลิ่นหอม มี ๑๐ จำพวก เรียกว่า “กัฏฐยักขะ” ได้แก่พวกที่เกิดอยู่ใน
    ๑. ราก ๖. น้ำหอม
    ๒. แก่นไม้ ๗. ใบไม้
    ๓. เนื้อไม้ ๘. ดอกไม้
    ๔. เปลือกไม้ ๙. ผลไม้
    ๕. ตะคละต้นไม้ ๑๐. เง่าใต้ดิน
    พวกเหล่านี้ต่างกับรุกขเทวดา ตรงที่ไม่ยอมทิ้งที่อยู่อาศัย พวกรุกขเทวดานั้น หากมีผู้ทำลายต้นไม้ที่ตนอยู่ ก็จะย้ายวิมานไปอยู่ที่ต้นไม้ต้นอื่น
    คันธัพพเทวดาอีกพวกหนึ่ง เกิดขึ้นในร่างกายมนุษย์ เป็นคันธัพพเทวดาหญิง บางจำพวกมาเกิดในร่างกายของมนุษย์หญิง ชาวโลกเรียกกันว่า คนผีสิง ทั้งนี้เพราะผู้นั้นเคยทำอกุศลกรรมไว้ในอดีตชาติ
    คนที่ถูกผีสิง มีอยู่ ๒ จำพวก พวกที่หนึ่ง ถูกพวกคันธัพพเทวดามาอาศัยเกิด ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา อีกพวกหนึ่ง เมื่อมนุษย์นั้นเจริญเติบโตแล้ว คันธัพพเทวดาจึงมาอาศัยเกิด หญิงที่ถูกคันธัพพเทวดาสิงอยู่นี้ เมื่อเกิดความไม่พอใจผู้หนึ่งผู้ใดแล้ว สามารถใช้เทวดาที่อาศัยอยู่ในร่างกายตนไปประทุษร้ายเอาได้ต่างๆ นานา ตามแต่โอกาสจะเหมาะ
    หญิงที่ถูกคันธัพพเทวดาเข้าสิงอยู่ ในเวลาปกติมีความเป็นอยู่ต่างๆ เหมือนคนธรรมดา แต่เมื่อถึงเวลาวันเพ็ญ พระจันทร์เต็มดวง ด้วยอำนาจของคันธัพพเทวดาที่สิงอยู่ ทำให้หญิงนั้นพาร่างออกเที่ยวแสวงหาอาหารในเวลากลางคืน ในขณะที่กำลังเที่ยวหาอาหาร จะมีแสงเป็นประกายออกมาจากร่างกาย ด้วยอิทธิฤทธิ์ของคันธัพพเทวดา
    คันธัพพเทวดาทั้งหมดเหล่านี้ อยู่ภายใต้การปกครองของท้าวธตรัฏฐะ

    กุมภัณฑเทวดา เป็นเทวดาจำพวกหนึ่งที่เรียกกันว่า รากษส มีลักษณะรูปร่างไม่สวยงาม พุงใหญ่ ตาพองโตสีแดง มีที่อยู่ ๒ แห่งคือ ในมนุษยโลก และ นิรยโลก
    พวกที่อยู่ในมนุษยโลก มีหน้าที่รักษาป่า ภูเขา ต้นไม้ สระโบกขรณี แม่น้ำ พุทธเจดีย์ แก้วรัตนะ ต้นยาที่ประเสริฐ ต้นไม้ที่มีดอกหรือเนื้อไม้หอม เช่น ที่ภูเขาเวปุลละที่มีแก้วมณี และต้นมะม่วงที่เรียกกันว่า อัพภันตระ เป็นต้น สถานที่ต่างๆ ที่ท้าวจตุมหาราชกำหนดให้กุมภัณฑเทวดาดูแลรักษานั้น ถ้ามีผู้ล่วงล้ำ กุมภัณฑเทวดาสามารถจับกินได้โดยไม่มีโทษ
    กุมภัณฑเทวดาที่อยู่ในนิรยโลก ได้แก่ นายนิรยบาลรากษส การากษส สุนัขรากษส แร้งรากษส เทวดาพวกนี้มีหน้าที่คอยลงโทษสัตว์นรก และจับสัตว์นรกกิน เช่นเดียวกับพวกเทวดายักษ์ เมื่อเวลาต้องการเบียดเบียนสัตว์นรก ก็เนรมิตกายเป็นนายนิรยบาล และสัตว์ยักษ์เหล่านั้น
    เทวดาพวกนี้อยู่ในความปกครองของ ท้าววิรุฬหกะ

    นาคเทวดา พวกนี้มีกำเนิด ๒ อย่าง คือ เกิดอยู่ใต้ดินธรรมดาแห่งหนึ่ง และเกิดอยู่ใต้ภูเขาแห่งหนึ่ง เรียกนาคทั้ง ๒ พวกนี้ว่า ปฐวีเทวดา
    นาคเทวดาพวกนี้มีอิทธิฤทธิ์ และเวทย์มนต์คาถา สามารถแปลงกายท่องเที่ยวไปในมนุษยโลก แปลงร่างเป็นคนบ้าง สุนัขบ้าง เสือบ้าง ราชสีห์บ้าง พวกที่มีจิตใจดุร้ายบางทีก็เนรมิตกายเป็นนายนิรยบาล เป็นแร้งยักษ์ กายักษ์ สุนัขยักษ์ ลงโทษ หรือจับสัตว์นรกกิน
    บางที ในถิ่นที่อยู่อาศัยของนาคเทวดา มีงานสนุกสนานรื่นเริงกัน ด้วยการละเล่นชนิดต่างๆ บางครั้งกระเทือนรุนแรง จนกระทั่งทำให้แผ่นดินไหวได้เหมือนกัน

    เทวดาชั้นจตุมหาราชิกาที่มีจิตใจโหดร้ายทั้ง ๔ จำพวกนี้ ไม่ใช่ชอบเบียดเบียนเฉพาะสัตว์อื่นๆ แม้พวกเดียวกันก็เบียดเบียนซึ่งกันและกันอยู่เป็นประจำ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จึงจำต้องจัดตั้งให้มีหัวหน้าคอยดูแลควบคุม ห้ามปราม ไม่ให้ไปเบียดเบียนสัตว์อื่นๆ และทะเลาะวิวาทซึ่งกันและกัน
    บางครั้ง ในมนุษยโลกมีคนตายมากผิดปกติ ถ้ามีการจัดตั้งเครื่องสังเวยบูชาท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ แล้ว อันตรายต่างๆ ค่อยทุเลาลงได้
    อย่างไรก็ดี เทวดาชั้นนี้มีด้วยกันหลายประเภท บางพวกก็เลื่อมใสนับถือพระพุทธศาสนา บางพวกก็ไม่เลื่อมใส ชอบเบียดเบียนสัตว์อื่น บางพวกมีใจเป็นกุศล รักษาคน รักษาพระพุทธศาสนา รักษาโลก รักษาสถานที่สำคัญต่างๆ รักษาแก้วรัตนะ เป็นต้น
     
  5. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ท้าวกุเวร มีอีกพระนามหนึ่งที่รู้จักกันดี คือ ท้าวเวสสุวรรณ เป็นอธิบดีแห่งอสูรย์หรือยักษ์ หรือเป็นเจ้าแห่งผี เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุ ทรงอิทธิฤทธิ์อานุภาพมากประทับ ณ โลกบาลทิศเหนือมียักษ์เป็นบริวาร คนไทยโบราณนิยมนำผ้ายันต์รูปยักษ์ผูกไว้ที่หัวเตียงเด็ก เพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารังควาญแก่เด็กว ท้าวกุเวรองค์นี้มีกล่าวถึงในอาฏานาฏิยปริตว่านำเทวดาในสวรรค์ชั้นจตุมหา ราชิกา มาเฝ้าพระพุทธเจ้าและได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวก ไม่ให้ยักษ์หรือบริวารอื่นๆ ของท้าวจตุโลกบาลไปรังควาญ

    ท้าว เวสสุวรรณ เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งมีท้าวมหาราชทั้งสี่ปกครอง คือ ท้าวธตรัฏฐะ ท้าววิรุฬหกะ ท้าววิรูปักชะ และท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร) ประจำทิศต่างๆ ทั้งสี่ทิศโดยเฉพาะท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร) เป็นใหญ่ปกครองบริวารทางทิศเหนือ ว่ากันว่าอาณาเขตที่ท้าวเธอดูแลปกครองรับผิดชอบมีอาณาเขตใหญ่โตมหาศาล กว้างขวาง และเป็นใหญ่ (หัวหน้าท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ) กว่าท้าวมหาราชองค์อื่น

    ท้าวเวสสุวรรณ เป็น เทพแห่งขุมทรัพย์ เป็น มหาเทพแห่งความร่ำรวย มั่งคั่ง รักษาสมบัติของเทวโลก ทั้งเป็นเจ้านายปกครองดูแลพวกยักษ์ ภูตผีปีศาจทั้งปวง (ในคัมภีร์เทวภูมิ กล่าวไว้ว่า ท้าวเวสสุวรรณได้บำเพ็ญบารมี มาหลายพันปี รับพรจาก พระอิศวร พระพรหม ให้เป็นเทพแห่งความร่ำรวย ) นอกจากนี้หน้าที่ของท้าวเวสสุวรรณมีมากมาย เช่น การดูแลปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา, ปกป้องคุ้มครองแก่ผู้นั่งสมาธิปฏิบัติพระกรรมฐาน เป็นต้น

    ในคัมภีร์โบราณ ได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดหวัง ความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ให้บูชารูป ท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวกุเวร


    คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวกุเวร
    อิติปิโสภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ
    มรณังสุขัง อะหังสุคะโต นะโมพุทธายะ
    ท้าวเวสสุวรรณโณ จตุมหาราชิกา ยักขะพันตา ภัทภูริโต
    เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโมพุทธายะ
    &&&&&&&&&&

    พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 151​
    บทว่า เพราะฉะนั้น มหาชนจึงเรียกท้าวกุเวรมหาราชว่า ท้าว
    เวสวัณ ดังนี้ มีเรื่องเล่าว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ ท้าวมหาราชนี้
    เป็นพราหมณ์ ชื่อ กุเวร ได้สร้างโรงหีบอ้อย ประกอบเครื่องยนต์ ๗ เครื่อง
    กุเวรพราหมณ์ได้ให้ผลกำไรซึ่งเกิดขึ้นที่โรงเครื่องยนต์แห่งหนึ่ง แก่
    มหาชนที่มาแล้ว มาแล้วได้กระทำบุญ. ผลกำไรที่มากกว่า ได้ตั้งขึ้นในที่นั้น
    จากโรงที่เหลือ กุเวรพราหมณ์เลื่อมใสด้วยบุญนั้นจึงถือเอาผลกำไรที่เกิด
    ขึ้น แม้ในโรงที่เหลือ ให้ท่านตลอดสองหมื่นปี. เขาได้ถึงแก่กรรมไปเถิด
    เป็น เทพบุตรชื่อกุเวร ในสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกา. ต่อมาได้ครอง
    ราชสมบัติในราชธานีชื่อ วิสาณะ. ตั้งแต่นั้น จึงเรียกว่า ท้าวเวสวัณ.
    พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต -หน้าที่ 154
    ก็สมัยนั้นแล นันทมารดา อุบาสิกา ชาวเมืองเวฬุกัณฏกะ ลุกขึ้น
    ในเวลาใกล้รุ่ง สวดปารายนสูตรทำนองสรภัญญะ สมัยนั้นท้าวเวสวัณ
    มหาราชมีกรณียกิจบางอย่าง เสด็จจากทิศอุดรไปยังทิศทักษิณ
    ได้ทรงสดับนันทมารดาอุบาสิกาสวดปารายนสูตรทำนองสรภัญญะ
    ประทับรอฟังจนจบ ขณะนั้น นันทมารดาอุบาสิกา สวดปารายนสูตร
    ทำนองสรภัญญะจบแล้วนิ่งอยู่ ท้าวเวสสวัณมหาราชทรงทราบว่า
    กถาของนันทมารดาอุบาสิกาจบแล้ว จึงทรงอนุโมทนาว่า สาธุ
    น้องหญิง สาธุ น้องหญิง นันทมารดาอุบาสิกาถามว่า ก่อนท่าน
    ผู้มีพักตร์อันเจริญ ท่านนี้คือใครเล่า.
    เว. ดูก่อนน้องหญิง เราคือท้าวเวสสวัณมหาราช ภาดาของเธอ.
    บทว่า โก ปเนโส ภทฺรมุข ความว่า เพราะเสียงที่ดังถึง
    เพียงนี้ ก้องไปในที่ ๆ มีอารักขาไว้ดังนี้ นันทมารดาอริยสาวิกา
    ผู้บรรลุผล ๓ แล้ว ปราศจากความเกรงกลัว ปิดหน้าต่าง มีสีเหมือน
    แผ่นทองคำ กล่าวว่า พ่อปากดี พ่อปากงาม ท่านนี้เป็นใคร เป็นนาค
    หรือครุฑ เป็นเทวดา เป็นมาร หรือเป็นพรหม ดังนี้แล้ว เมื่อจะกล่าว
    กับท้าวเวสวัณ จึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า อหนฺเต ภคนิ ภาตา ความว่า
    ท้าวเวสวัณ ทรงสำคัญพระอริยสาวิกาผู้เป็นพระอนาคามีว่าพี่
    เพราะพระองค์เองเป็นพระโสดาบัน จึงตรัสว่าภคินิพี่ท่าน แล้วจึง
    สำคัญพระอริยสาวิกาผู้เป็นพระอนาคามีนั้นนั้นว่าเป็นน้องของ
    พระองค์อีก เพราะนางยังอยู่ในปฐมวัย แต่พระองค์แก่กว่า เพราะ
    ทรงมีพระชนมายุ ๙ ล้านปีแล้ว จึงตรัสเรียกพระองค์เองว่า ภาตา
    พี่ชาย.
    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 365

    ในบทว่า ราชาปิ ต เวสฺสวโณ กุเวโร นี้มีอธิบายว่า ยักษ์
    นั้นชื่อว่าเป็นพระราชาเพราะอรรถว่าเป็นที่ยินดี ชื่อว่า เวสวัณ เพราะครอง
    ราชสมบัติในวิสาณราชธานี. พึงทราบว่า ชื่อว่ากุเวรตามชื่อเดิม. ได้ยินมาว่า
    ยักษ์ชื่อกุเวรนั้นเป็นพราหมณ์มหาศาล ทำบุญมีทานเป็นต้น เกิดเป็นใหญ่ใน
    วิสาณราชธานี เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า กุเวร. ดังที่ท่านกล่าวไว้ในอาฏานาฏิย-
    สูตรว่า
    กุเวรสฺส โข ปน มาริสา มหาราชสฺส วิสาณา นาม ราชธานี
    ตสฺมา กุเวโร มหาราชา เวสฺสวโณติ ปวุจฺจติ.
    ความว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ราชธานีชื่อว่าวิสาณะเป็นของท้าวกุเวร
    มหาราช เพราะฉะนั้น ท้าวกุเวรมหาราชจึงมีชื่อว่า เวสวัณ.
    ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

    เรื่อง เกร็ดเล็กๆน้อยๆของท้าวเวสวัณ
    พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 435
    ข้อความบางตอนจาก อาฬวกสูตร
    นัยว่า อาวุธ ๔ อย่างคือ วชิราวุธ
    ของท้าวสักกะ ๑ คทาวุธของท้าวเวสวัณ ๑
    นัยนาวุธของพญายม ๑ ทุสสาวุธของอาฬวก
    ยักษ์ ๑ เป็นอาวุธประเสริฐในใลก.
    ก็ถ้าท้าวสักกะโกรธ พึงประหารวชิราวุธบนยอดภุเขาสิเนรุ พึงแทง
    ทะลุลงไปภายใต้ได้ตลอด ๑๖๘,๐๐๐ โยชน์. คทาวุธอันท้าวเวสวัณปล่อยไปใน
    เวลาโกรธ ตีศีรษะของยักษ์หลายพันให้ตกลงแล้ว กลับนาตั้งอยู่ยังเงื้อมมืออีก
    ด้วยเหตุเพียงพญายมโกรธ มองดูด้วยนัยนาวุธ พวกกุมภัณฑ์หลายพัน ล้ม
    พินาศไป เหมือนหญ้าบนกระเบื้องร้อน. ถ้าอาฬวกยักษ์โกรธ พึงปล่อย
    ทุสสาวุธไปในอากาศ ฝนไม่ตกตลอด ๑๒ ปี ถ้าปล่อยไปในแผ่นดิน รุกขชาติ
    มีต้นไม้และหญ้าทั้งหมดเป็นต้น เหี่ยวแห้งแล้ว จะไม่งอกขึ้นอีกในระหว่าง
    ๑๒ ปี. ถ้าปล่อยไปในสมุทร น้ำจะแห้งหมด เหมือนหยาดน้ำบนกระเบื้อง
    ร้อน. ถ้าปล่อยไปที่ภูเขาแม้เช่นสิเนรุ ภูเขาพึงกระจายออกเป็นชิ้นใหญ่ชิ้นน้อย.
     
  6. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ลูกขอกราบพระบาทท่านท้าวปู่เวสสุวรรณผู้เป็นพระอริยบุคคลด้วยความเคารพ
    ขอสืบทอดเจตนารมณ์ของปู่ฯ ปกปักและปกป้องบวรพุทธศาสนาสืบไป
    ขอลูกหลานปู่เวสสุวรรณทั้งหลายจงลุกขึ้นเถิด
    อย่าให้อายหมู่นาคและครุฑเลย
    จงแผลงเดชศักดาให้ปรากฏ
    น้อมประณตแทบบาทสุคตจ้าว
    ปู่กุเวรณุราชพ่อแห่งเรา
    เป็นหลักเสาศาสนาอย่าลืมเลือน
    สุริยวงศ์พงศ์ยักษ์จงพรักพร้อม
    อย่ายินยอมให้พระธรรมตกต่ำเสมือน
    พุทธต้องเสื่อม เพราะบริษัท นั้นลืมเลือน
    อย่าแชเชือน หน้าที่รักษ์ หลักพุทธธรรม
    อริยะสัจสี่ นี่แหละหนา
    กฏไตรลักษณ์ ย้ำในใจไม่ถลำ
    ทำความดี ละชั่ว กลัวบาปกรรม
    เราจะค้ำ สัทธรรมไว้ ให้มั่นคง
     
  7. interionut

    interionut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +619
    รายงานตัวฮับ !!!

    ^_^
     
  8. Tobyss

    Tobyss สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +21
    ศรัทธาองค์พ่อมากครับ..

    เรียนเชิญร่วมบุญบูรณะวัด และพิธีบวงสรวง

    ท้าวเวชสุวรรณมหาราชา พระนางสุพรรณอัปสรจอมเทวี

    ที่วัดนางตะเคียน อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม

    ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 วันพฤหัสที่ 19 สิงหาคม 2553 เวลา 9.00 น.

    เรียนเชิญ เรียนเชิญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 29649-2.jpg
      29649-2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.4 KB
      เปิดดู:
      1,999
    • IMG_3186.jpg
      IMG_3186.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.2 KB
      เปิดดู:
      952
    • IMG_3185.jpg
      IMG_3185.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.9 KB
      เปิดดู:
      1,103
    • Tlu2sd080640-02.jpg
      Tlu2sd080640-02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62 KB
      เปิดดู:
      1,249
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2010
  9. CoccInelle

    CoccInelle เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +255
    ไม่แน่ใจว่าใช่ป่ะน่ะค่ะ
    แต่มีผู้มีญาณบอกว่าท้าวจตุโลกบาททั้งสี่คอยดูแล
    โดยเฉพาะปู่ท่านหนึ่งนุ่งขาวทั้งชุด หนวดเคราก็ขาวสนิทถือคทา เวลาไปไหนไปเป็นแพ็ค
    แต่ทุกครั้งที่สวดมนต์ก็ไม่ลืมส่งบุญถึงท่านค่ะ
     
  10. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ขอแผนที่ไปวัดหน่อยครับ
     
  11. Nakraksa

    Nakraksa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    3,481
    ค่าพลัง:
    +14,350
    รายงานตัวค่ะ เคารพท่านมาก ทุกวันนี้อาราธนาให้ท่านช่วยคุ้มครองเสมอค่ะ ทั้งตัวเองและที่อยู่อาศัย สบายใจขึ้นมากค่ะ เวลาที่ทำกุศลใดๆ ก็ถวายท่านเสมอค่ะ
     
  12. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    การอัญเชิญท้าวเวสสุวัณเข้าสู่บ้านหากจะนำภาพท้าวเวสสุวัณก็ดี รูปหล่อ รูปบูชาหรือรูปหล่อขนาดเล็กห้อยคอ รวมไปถึงเหรียญ เมื่อจะนำเข้าบ้านให้หันหน้าไปทางทิศเหนือ ตั้งจิตให้สงบ นึกถึงองค์ท้าวเวสสุวัณอธิษฐานเชิญท่านเข้าบ้าน นึกถึงภาวนาในใจ บอกเจ้าที่เจ้าทางแล้วขอบารมีท้าวเวสสุวัณ ให้คุ้มครองตนเองและบริวาร ให้เจริญรุ่งเรืองอยู่เย็นเป็นสุข จากนั้นเชิญท่านขึ้นสู่ที่ตั้งบูชาการบูชาท้าวเวสสุวัณ ทุกครั้งให้จุดธูป ๙ ดอกการถวายของ ได้แก่หมากพลู น้ำเปล่า ผลไม้ ๕ ชนิด ได้แก่ ส้ม ขนุน สัปปะรส ฟักทองมะพร้าวอ่อน
    ตามตำนาน กล่าวว่า ท้าวเวสสุวัณ ท่าน จะออกตรวจตราดูความประพฤติของคนในโลกทุกวันขึ้น แรม ๑๕ ค่ำ ด้วยพระองค์เองในวันดังกล่าว แนะนำว่าให้นำดอกไม้ ธูปเทียน ประกอบผลไม้มงคล ๕ อย่าง ได้แก่ ส้ม ขนุน สัปปะรส ฟักทองมะพร้าวอ่อน น้ำเปล่า ๕ แก้ว ขึ้นบูชาในเช้าวันขึ้นหรือ แรม ๑๕ ค่ำนี้ให้สมาทานรักษา ศีล ๕ ใส่บาตรพระ ทำบุญบริจาคทาน สวดมนต์ยามค่ำก่อนนอนและสวดคาถาบูชาท้าวเวสสุวัณ จากนั้นพึงขอพรจากท่านจะสำเร็จตามที่ปรารถนาทุกประการ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1264478816.jpg
      1264478816.jpg
      ขนาดไฟล์:
      84.9 KB
      เปิดดู:
      5,329
  13. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    คาถาบูชาพระเวสสุวรรณ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เวสสะ พุ กะ (หัวใจท้าวเวสสุวรรณ) <o:p></o:p>
    โอม นะโม มหาเวสสุวัณโณ มหาไตรโลโกทิพจักขุง มหาไตรโลกานัง มหาภูเตรสะวะกัง ทิพพะมันตัง อะระหังพุทโธนะโมพุทธายะ เวส สะ พุ กะ นะมะ อะระหัง อะสังวิสุโลปุสะพุพะ มะอะอุ อิสวาสุ สุสวาอิ อิติ อิติ มหาเทวัง มหายักขัง ปัตตโลกัง มหาอิทธิฤทธิ อิทธิฤทธัง ระหังปะสิทธิเม ฯ <o:p></o:p>
     
  14. nalin101

    nalin101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +2,029
    เป็นหลานปู่ท่านท้าว สายตรงส่งลงมาเลยค่ะ ยินดีที่รู้จักลูกหลานปู่ทุกคนเลยค่ะ
    สำหรับของบูชา ปู่ท่านท้าว ปู่ยมและ เทวดาสายท่าน(สายที่ดูแลนรก ดูแลความเป็นความตาย) ท่านชอบดื่มสุราค่ะ เนื่องจากท่านเคยบอกว่าคนข้างล่างดื่มกันเป็นประจำมันติด(น้ำทองแดงที่ว่า) ท่านว่าขอแค่มีเหล้าเท่านั้นพอ
    ส่วนของอื่นตามแต่ศรัธทา (แต่คนส่วนใหญ่มักติดว่าเทวดาไม่ดื่มเหล้า) ท่านมีหลายรูปลักษณ์แล้วแต่ท่านจะ มาให้เห็น มีทั้งรูปที่เป็นยักษ์ รูปที่เป็นเทวดา ค่ะ ที่สำคัญปู่ใจดี ไม่ดุเหมือนรูปยักษ์เขี้ยวโง้งที่เห็นที่หน้าวัดค่ะ ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่เปิดกระทู้ไว้ แต่อย่าไปคิดแข่งกับเชื้อสายนาคาและพญาครุฑเลยค่ะ เพราะทุกคนล้วนมาเพื่อสร้างบุญญาบารมีค่ะ
     
  15. nalin101

    nalin101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +2,029
    อ้อที่สำคัญมากปู่หล่อค่ะ ยามมาเป็นเทวดาค่ะ ไม่พุงพุ้ยเหมือนที่ใครๆว่าไว้
     
  16. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    หลักฐานในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ยืนยันว่า "ท้าวกุเวร" หรือ "ท้าวเวสสุวรรณ" เทวราชพระองค์นี้ ได้สำเร็จเป็น พระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน


    [​IMG] Dhammasarokikku View my profile

    <IFRAME style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 210px; HEIGHT: 100px; OVERFLOW: hidden; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" src="http://www.facebook.com/plugins/like.php?href=http%3A%2F%2Fakkarakitt.exteen.com%2F20080629%2Fentry&layout=standard&show_faces=true&width=210&action=like&colorscheme=light" frameBorder=0 allowTransparency scrolling=no></IFRAME>


    [​IMG] Akkarakitt

    akkarakitt




    [​IMG]

    มาเป็นพระโสดาบันกันดีกว่า

    posted on 29 Jun 2008 10:06 by akkarakitt in Dharma
    พระโสดาบันนั้นดีไฉน
    สืบเนื่องมาจากไปอ่านบล็อกของรุ่นน้องคนหนึ่ง เห็นเขาอธิษฐานให้ไปเกิดทันพระศรีอาริยเมตไตรย พระพุทธเจ้าองค์ต่อไป เลยคันนิ้วขึ้นมา เอาคีย์บอร์ดมาเกา พิมพ์เม้นท์เสียยาวเหยียด ถ้าเป็นเรื่องธรรมะนี่ น้ำไหลไฟดับทีเดียว ไหน ๆ ก็เสียเวลาเกาไปหลายชั่วโมง เห็นว่า ผลพลอยได้จากการเกานิ้วด้วยคีย์บอร์ดนี้ จะไปฝังตัวอยู่ในบล็อกคนอื่น ก็ดูจะมีประโยชน์น้อยไปหน่อย เอามาขึ้นเป็นเอนทรี่ใหม่เลยดีกว่า
    เมื่อพูดถึง พระโสดาบัน หรือพระอริยเจ้า คนทั่วไปที่ห่างไกลวัด ห่างไกลธรรมะ ไม่มีเวลาศึกษา จะจินตนาการถึง อุบาสก อุบาสิกา นุ่งขาว ห่มขาว จริยาวัตรเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ ละแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง ไม่ฝักใฝ่ในกามารมณ์ ไม่แต่งหน้า ทาปาก หรือการแต่งตัว หรือไม่ก็เป็นพวกพระห่มเหลือง ที่บำเพ็ญเพียรได้ขั้นหนึ่ง จนสำเร็จธรรมขั้นต้น
    เป็นความเข้าใจที่ห่างไกลความจริงมากพอควร
    การปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน หรือที่เรียกว่า อริยบุคคล ก็คงยากเย็นแสนเข็ญ ต้องไปวัด ต้องสวดมนต์ ต้องไปนั่งหลับตาปี๋ ขัดสมาธิ เดินจงกรม เป็นชั่วโมง ๆ ต่อเนื่อง เป็นเดือน เป็นปี ต้องฝึกกรรมฐานอย่างโน้น อย่างนี้ วุ่นวายตายเลย ไม่มีเวลาไปนั่งทำสมาธิเช่นนั้นหรอก
    นั่นก็ยังห่างไกลความเป็นจริง
    ก่อนจะเข้าถึงหน้าตาของพระโสดาบัน หรือพระอริยบุคคล เบื้องต้นในพระพุทธศาสนา ขอเกริ่นนำถึงข้อดีของการเป็นพระโสดาบันก่อนดีกว่า ขอโค้ดเม้นท์ที่ไปพิมพ์ไว้เลยละกัน
    ความจริงแล้ว ตามเนื้อความในหนังสือเรื่อง ๗ เดือนบรรลุธรรม ของดังตฤณ เขาแนะว่า โอกาสเกิดเป็นมนุษย์ช่างยากลำบากนัก โอกาสนี้ ที่เกิดมาทันได้รับฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้า ศาสนายังไม่ได้เสื่อมสูญไป พระไตรปิฎกยังอยู่ครบ มิได้หาได้ง่ายนัก เกิดคราวหน้า อาจจะโผล่ไปเจอช่วงที่ว่างจากพระศาสนาก็ได้ อาจจะไปเกิดในประเทศซูดานก็ได้ อาจจะไปเกิดในครอบครัวที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ หรืออาจจะไปเกิดเป็นแมว หมา ฟังธรรมไม่รู้เรื่องก็ได้ ฉะนั้นแล้ว ควรทำชาตินี้ให้ดีที่สุดครับ อย่าไปหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าจะไปเกิดทันยุคพระศรีอาริยเมตไตรยเลยครับ ถ้าคิดเช่นนั้นวันนี้ วันหน้าไปเจอพระศรีอาริย์ก็จะอธิษฐานอย่างเดียวกันนี้อีกครับ ว่าขอให้ไปเกิดทันพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป หรือขอให้ข้าพเจ้าเข้าสู่พระนิพพานในอนาคตกาล .... โน้น
    เอาอย่างนี้ครับ อธิษฐานคราวหน้า ขอให้ถึงพระนิพพานชาตินี้เลยครับ
    อย่าไปคิดเลยครับว่า บารมียังไม่พอ จะไปถึงนิพพานได้รึ
    บารมีแปลว่า กำลังใจ ครับ กำลังใจมันทำกันได้ในชาติปัจจุบันครับ ไม่ต้องสะสมมาแต่ชาติปางก่อน
    หรือถ้ามองว่า นิพพานอยู่สูงไป ไกลไป งั้นขอพระโสดาบันก็ได้ครับ ถ้าได้โสดาบันแล้ว ขึ้นไปบำเพ็ญต่อข้างบนได้ (ครูบาอาจารย์ท่านแนะให้หวังสูงไว้ก่อนครับ เหมือนจะขึ้นต้นไม้ ให้หวังยอดไม้ไปเลย ถ้าไปไม่ถึง ไปหล่นอยู่แถวกิ่งใดกิ่งหนึ่ง ก็ยังดีกว่า หวังจะขึ้นให้ถึงกิ่งใดกิ่งหนึ่ง แล้วตกลงมาบนพื้น)
    พระโสดาบัน คือ ผู้ที่แรกเข้าสู่กระแสพระนิพพาน ครับ
    อกุศลกรรมในอดีตทุกชาติที่ผ่านมา และชาติปัจจุบัน ที่มีกำลังขนาดพาไปอบายภูมิ ๔ ได้ไม่มีโอกาสให้ผลครับ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่มีเกิดในอบายภูมิ ๔ แล้ว ทีนี้จะไปนอนเท้งเต้งที่ไหน ก็ไม่ต้องห่วง ไม่มีโอกาสเกิดเป็น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ตลอดกาล ...เย้ [​IMG]
    ถ้าบารมีอย่างอ่อน เรียก สัตตักขัตตุง (บางตำราเขียนว่า สัตตักขัตตุปรมะ) เกิดอีก ๗ ชาติเข้านิพพาน
    บารมีอย่างกลาง เรียก โกลังโกละ เกิดอีก ๓ ชาติ แล้วไม่ต้องเกิดอีก
    บารมีอย่างเข้ม เรียก เอกพีชี เกิดอีกทีเดียว แล้วขึ้นไปเล่นหมากฮอร์สกับพระอรหันต์ บนโน้นได้
    นับข้อดีได้ขนาดนี้ มาลุย เพื่อเป็นพระโสดาบันกันเถอะครับ
    การปฏิบัติเพื่อเป็นพระโสดาบัน มีดังนี้ครับ
    ๑.รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
    ๒.เคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยใจจริง
    ๓.ระลึกถึงความตายเสมอ ๆ หรือ รักพระนิพพานเป็นอารมณ์
    ง่ายไหมครับ ๒ ข้อแรกน่าจะผ่านไปได้ง่าย ๆ คุณผู้หญิงก็แค่ลดละเลิกตอแหล สตรอเบอรี่ เพียงอย่างเดียว ก็น่าจะได้ศีล ๕ มานอนกอดสบาย ๆ ส่วนคุณผู้ชายคงต้องลดละเลิกหลายข้อหน่อย โดยเฉพาะข้อ ๕ สุรามาเป็นระยะนี่ หรือสุรามาเมาเป็นหมานี่ ต้องเลิกเด็ดขาดเลยครับ เลิกขาดไปเลยนะครับ ไม่ใช่ประเดี๋ยวก็แอบไปจิบ เพื่อเข้าสังคม ประเดี๋ยวไปดริ๊งค์ เพราะเพื่อนชวน ประเดี๋ยวไปก๊ง เพราะเขามีลานเบียร์ ที่หน้าเวิร์ลเทรด อย่างนั้นใช้ไม่ได้ครับ
    คงจะมายากข้อ ๓
    ถ้ากำลังใจสูง มีความฉลาดในอารมณ์ จิตใจเข้มแข็ง แบบพุทธจริต ก็ลุยนึกถึงความตายไปเลยครับ เจ๊เด็กหญิงเปสการีธิดา แกอายุแค่ ๑๓ ขวบเอง ได้ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์เรื่องชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง และจงไม่ประมาท แล้วเจ๊แกก็กลับไปนึกถึงความตาย แค่ ๓ ปีให้หลัง ตอนนี้ไปนอนตีพุงอยู่ที่ชั้นดุสิต ได้โซดา เอ้ย...โสดา ไปเรียบโร้ยโรงเรียนทอหูก
    ระลึกถึงความตาย
    ระลึกอย่างไร ไม่ใช่ไปคิดถึงแล้ว หดหู่ เศร้าหมอง หมดอาลัยตายอยากนะครับ อย่างนั้นคิดแบบไม่ฉลาด ต้องคิดว่า ความตายนั้น เป็นเรื่องธรรมดาของโลก มีเกิดแล้ว ก็ย่อมมีตายเป็นธรรมดา เห็นข่าวคนตายในหนังสือพิมพ์ ในทีวี ไม่ใช่ไปนั่งวิพากษ์วิจารณ์ แหมไม่น่าตายเลย จบมาก็สูง หน้าตาก็ดี ไม่น่าไปโดดตึกเอ็มไพร์ตายเลย อย่างนั้นไม่เกิดประโยชน์ ต้องคิดว่า ดูซี บางคนตายตั้งแต่อยู่ในท้อง บางคนเด็กอยู่ก็ตาย บางคนวัยรุ่นก็ตาย บางคนอายุกลางคนก็ตาย บางคนแก่แล้วค่อยตาย บางคนสวยก็ตาย บางคนหล่อแบบบิ๊กดีทูบี ก็ตาย บางคนไม่หล่อไม่สวย ก็ตาย บางคนนั่งอยู่ก็ตาย นอนอยู่ก็ตาย เดินอยู่ก็ตาย ยืนอยู่ก็ตาย บางคนตายเช้า ตายบ่าย ตายค่ำ ความตายมิได้เลือกวัย ผิวพรรณ วรรณะ เวลา อาการ สถานที่ ไม่มีนิมิตหมายใด ๆ จู่ ๆ ลมมันจะพัด ก็พาเอาคนพม่าตายไปเป็นแสน นั่งอยู่ในบ้านดี ๆ แป๊บเดียวก็กลายเป็นศพไปแล้ว ฉะนั้นเราจึงไม่ควรประมาท น้อมเข้ามาหาตัว วันหนึ่งเราก็จะตายเช่นเขา คิดอย่างนี้เรื่อย ๆ บ่อย ๆ ให้เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องฝืนใจทำ นึกได้ก็ทำ นึกไม่ได้ก็ปล่อยมันไป แรก ๆ ก็จะรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง อกสั่นขวัญแขวน พอคิดบ่อยเข้า ก็จะชินไปเองครับ แม้คนรอบข้างเราก็เช่นกันครับ เขาก็มีโอกาสตายพอ ๆ กับเรา ก็ลองคิดดูว่า ถ้าเกิดเขาตายขึ้นมา เราจะรู้สึกอย่างไร กับคนที่เรารักมาก ๆ คิดครั้งแรก น้ำตาไหลเลยครับ แต่พอคิดบ่อย ๆ เข้า ก็จะชิน การคิดเช่นนี้ มีคุณมากกว่ามีโทษครับ แม้ไม่ได้บรรลุโสดา แต่เวลาเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เราจะทำใจได้ก่อนคนอื่นครับ
    ถ้าวิธีนี้ ปฏิบัติไม่ไหว หนักเกินไป ทำใจยาก ก็มีอีกวิธีครับ เขาเรียกว่า อุปสมานุสสติ ให้รักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ทำบุญทุกอย่าง อธิษฐานอย่างเดียวเลยว่า ขอไปนิพพาน เรื่องเกิดชาติหน้าขอให้รวย ให้สวย ให้มีแฟนหล่อ ๆ ให้เก่ง ให้เฮง ไม่มีสำหรับเรา นั่นมันอธิษฐานให้เกิดใหม่ชัด ๆ
    ทำอะไร ๆ ก็คิดถึงแต่พระนิพพาน พรหมไม่เอา สวรรค์ไม่เอา มนุษย์ไม่เอา อบายภูมิ ๔ ไม่เอา เกิดใหม่ไม่เอา ชาติหน้าไม่เอา คิดอยู่เรื่อย ๆ จนชิน เวลาอยู่ในเหตุการณ์หวาดเสียว พยายามระลึกให้ได้ ถ้าข้าพเจ้าต้องตายเวลานี้ ขอไปพระนิพพานจุดเดียว
    ไม่ยากใช่ไหม....
    จบแค่นี้ละ ง่าย ๆ สั้น ๆ ต่อจากนี้ จะอธิบายหน้าตาของพระโสดาบัน ใครไม่อยากรู้ หรือรู้แล้ว ก็ข้ามไปเลย
    ลักษณะของพระโสดาบัน
    ดังที่ได้กล่าวตอนต้นว่า คนทั่วไปมักจะนึกว่า โสดาปัตติผล เป็นอะไรที่ลึกลับซับซ้อน มีอยู่เฉพาะในคัมภีร์โบราณศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาพุทธ ชื่อ พระไตรปิฎก คงไม่มีแล้วในปัจจุบัน บางคนแย่หนักกว่านั้น เข้าใจว่า อริยมรรค อริยผล ดูได้จากพัดยศ ยิ่งสมณศักดิ์สูง ยิ่งเป็นพระที่ทรงคุณวิเศษมาก เป็นความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไปไกล บางคนก็คิดว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายตั้งแต่ พระโสดาบัน ขึ้นไป เป็นผู้ตัดกามารมณ์ได้โดยสิ้นเชิง เห็นร่างกายของผู้อื่น เป็นสิ่งน่ารังเกียจ การเสพกาม เป็นสิ่งน่ารังเกียจ พระไตรปิฎก ไม่ได้แจกแจงลักษณะของพระโสดาบันไว้ เพียงแต่ให้เกณฑ์วัด ความเป็นพระโสดาบันไว้ จะกล่าวถึงในตอนท้าย ฉะนั้นจึงไม่สามารถบอกรูปร่างหน้าตา ของพระโสดาบันโดยตรง จากพระไตรปิฎกได้ ทำได้เพียงเทียบเคียง กับประวัติพระอริยบุคคลที่ถูกบันทึกไว้
    อ้างถึง นางวิสาขามหาอุบาสิกา กันดีกว่า เธอได้เป็นพระโสดาบันตั้งแต่ ๗ ขวบ ๗ ขวบ!!! ครับท่านผู้อ่าน เด็ก ป.๑ - ป.๒ บรรลุธรรมซะแล้ว แถมไม่รู้ตัวด้วยว่า ตัวเองได้โสดาปัตติผล จนได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า เมื่อโตแล้ว ถึงมั่นใจ ฉะนั้นใครเข้าใจว่า พระอรหันต์เด็กไม่มี เด็ก ๆ บรรลุธรรมไม่ได้ เข้าใจใหม่ได้แล้วครับ หลวงเฮียเรวตะ น้องชายพระสารีบุตร ก็บรรลุอรหัตตผล ตั้งแต่ ๗ ขวบครับ กลับมาว่าประวัติของมหาอุบาสิกากันต่อ เธออายุได้ ๑๖ ก็แต่งงาน แต่งงานแล้วมีลูก ๒๐ คน ๒๐ คน!!! ครับท่านผู้อ่าน คนที่รังเกียจการเสพกาม หรือละกามคุณ ๕ ได้แล้ว จะมีลูกได้ถึง ๒๐ คนหรือขอรับ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ฉะนั้น พระโสดาบันยังเสพกามอยู่ครับ ยังมีผัว มีเมีย เหมือนคนธรรมดาทั่วไป พระโสดาบันแต่งหน้าหรือเปล่า แต่งตัวหรือเปล่า มีอยู่คราวหนึ่งเธอไปทำบุญที่วัด แล้วลืมเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ไว้ที่วัด พระอานนท์เก็บไว้ให้ เลยเป็นเรื่อง เพราะเธอถือว่า สิ่งใดที่พระคุณเจ้า แตะต้องแล้ว ก็ถือเป็นของพระคุณเจ้าแล้ว เธอจะไม่เอามาใช้อีก ครั้นถวายไว้แล้ว ก็หาประโยชน์อันใดแด่ภิกษุสามเณรไม่ เธอจึงนำออกเปิดประมูลบนอีเบย์ จะนำเงินที่ได้ถวายวัด แม้มีคนอยากได้ แต่ก็ไม่สามารถสวมใส่ได้ เพราะเครื่องประดับหนักเหลือประมาณ เธอจึงเล่นเกม อัฐยายซื้อขนมยาย นำออกประมูลเอง แล้วก็ซื้อกลับไปเอง ถ้าเป็นสมัยนี้ อีเบย์คงได้ค่าคอมมิสชั่นรวยไปเลย เพราะประมูลไปในราคา ๙ โกฏิ (๙๐ ล้าน) เท่าราคาตอนบิดาของเธอจ้างทำขึ้นมา เอ้า....ถ้าคนไม่รักสวยรักงาม ไฉนจะมีเครื่องประดับอลังการเช่นนี้ละครับ มาถึงตรงนี้ พอจะเห็นภาพหรือยังครับว่า พระโสดาบัน ก็คือชาวบ้านชั้นดี ดีดีนี่เอง ไม่ใช่พวกพ่อขาว แม่ขาว ถือศีล ๘ อยู่ตามวัด ไม่ใช่พระห่มผ้าเหลือง นั่งทำสมาธิเคร่งเครียดอยู๋ในวัด ฉะนั้น เรา ๆ ก็เป็นได้ครับ พระอริยเจ้าไม่ใช่ซุปเปอร์ฮีโร่ในตำนาน เป็นคนธรรมดา ๆ เหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ นี่ละครับ
    เกณฑ์วัดความเป็นพระโสดาบัน
    อันนี้พอจะสาธยายได้ครับ เพราะมีระบุไว้ในพระไตรปิฎก พระโสดาบันคือผู้ที่ละ สังโยชน์ ๓ ประการแรก จาก ๑๐ ประการได้ครับ ขอเขียนเฉพาะ ๓ ประการแรกนะครับ อีก ๗ ประการถ้าสนใจ ลองไปหาอ่าน ศึกษาเอง ไม่น่ายาก สังโยชน์ ๓ ข้อแรก มีดังนี้ครับ
    ๑. สักกายทิฏฐิ บาลีแปลว่า การพิจารณาเห็นขันธ์ ๕ มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา พูดง่าย ๆ ก็เห็นอะไรว่า เป็นเรา เป็นของเรา หรือ อัตตา นั่นละครับ ถ้าละได้ นั่นเป็นระดับพระอรหันต์ครับ ระดับพระโสดาบันนี่ แค่เห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดา และไม่ประมาท เท่านั้น (ดูทั่นเปสการีธิดา เป็นตัวอย่าง)
    ๒. วิจิกิจฉา ความสงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถ้ามีความมั่นใจในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ก็ย่อมไม่มีความสงสัย (ควรพิสูจน์ให้เห็นจริงก่อนแล้วค่อยเชื่อ ค่อยมั่นใจ นะครับ ไม่งั้นจะไปขัดกับ กาลามสูตร)
    ๓. สีลัพพตปรามาส บาลีแปลว่า การลูบคลำศีล เขียนให้เข้าใจง่าย ๆ ก็มีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นอย่างสูง ท่านว่าคำไหนคำนั้น ศีลท่านให้รักษาให้บริสุทธิ์ ก็ถือตามนั้น ไม่มีต่อรอง ขอบี้ยุงหน่อยน่า ขอจิ๊กตังค์แม่หน่อยได้มะ ขอมีกิ๊กได้ป่ะ ขอสตรอเบอรี่นิดหนึ่งนะ โธ่...ขอกินไวน์แก้วเดียวเท่านั้นละ เหล่านี้ไม่มีในเรา
    สามอย่างนี้ เป็นตัววัดเท่านั้นนะครับ เหมือน milestone หรือ หลักกิโล ว่า เราเดินมาถึงไหนแล้ว เรื่องนี้รู้ไว้ใช่ว่าครับ ท่านแนะไว้ว่า การไปมัวครุ่นคิดว่า เราเป็นพระอริยเจ้าหรือยัง เป็นพระอริยเจ้าขั้นไหน เป็นสิ่งไม่ควรคิดครับ ถ้าไปนั่งไล่ อุ๊ย ๑ ๒ ๓ เรามีครบแล้วนี่หว่า เราเป็นพระอริยเจ้าแล้ว สบายแล้ว ไม่ต้องปฏิบัติอะไรแล้ว เพราะที่ทราบมาว่า เมื่อปฏิบัติถึงโลกุตตรธรรม (ธรรมเหนือโลก มีโสดาปัตติผล เป็นต้น) แล้ว ไม่มีเสื่อม นั่นเป็นทางแห่งความประมาทครับ ปมาโท มัจจุโน ปทัง ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตายครับ ตายจากกายเนื้อนี่ยังดีนะครับ ถ้าตายจากความดีนี่ แย่เลย
    วิเคราะห์ให้ลึกลงไปอีกหน่อย มีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง พูดให้ฟังว่า คำว่า ศีลบริสุทธิ์ มันบริสุทธิ์ ทั้งกายวาจาใจ นะครับ มิใช่แค่ กายกับวาจา ใจมันคิดชั่วไม่เป็น เอาอย่างนี้ดีกว่า ฉะนั้น ถ้าจะเอาศีลเป็นตัววัดว่า เราได้โสดาหรือยัง ต้องรวมใจเข้าไปด้วยครับ ถึงจะบริสุทธิ์ ท่านว่า พระโสดาบันกำลังใจในการรักษาศีลระดับ ยอมตายดีกว่าศีลขาด ครับ ก็ลองไปคิดใคร่ครวญดู เกิดมีใครเอาปืนมาจ่อหัวเรา บังคับให้พูดโกหก หรือ ให้กินเหล้า แล้วเรายอมตายดีกว่าทำอย่างนั้น โอเชครับ สอบผ่าน
    สรุปว่า ศีล สำคัญที่สุดเลย สำหรับพระโสดาบัน สมาธ้ง สมาธิ ยังไม่สำคัญเท่าไหร่ครับ
    ฉะนั้นแล้ว ง่ายขนาดนี้ มาเป็นพระโสดาบันกันเถอะครับ [​IMG]
    ปล. อีกอย่างหนึ่ง อย่าไปเข้าใจว่า คนที่สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลแล้ว จะไม่เจอเรื่อง ซวย ๆ แย่ ๆ นะครับ กฎแห่งกรรมนี้ แม้พระพุทธเจ้าเอง ก็เลี่ยงไม่ได้ครับ พระพุทธเจ้าเองก็ปรินิพพานตอนพระชนมายุ ๘๐ พรรษา เพราะเคยไปฆ่ายักษ์ไว้ในอดีตชาติ ตอนกระหายน้ำ ขอน้ำพระอานนท์ ก็ไม่ได้ฉัน เพราะเคยไปทำวัวอดน้ำ ตอนไปเมืองโกสัมพี ก็ถูกพระนางมาคันทิยา จ้างคนมาด่า พระโมคคัลลานะ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย ก็ถูกโจรตีตาย เพราะเคยฆ่าพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ พระนางสามาวดี เป็นพระโสดาบัน ก็ถูกเผาทั้งเป็น ฯลฯ เรื่องความเป็นอริยบุคคล กับ กฎแห่งกรรม เป็นคนละเรื่องกันครับ
    เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 สิงหาคม 2010
  17. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    เป็นลูกหลานท่าน มาเจริญรอยตามท่านดีกว่า
    มาปฎิบัติเพื่อความเป็นเป็นพระโสดาบันกันเถอะพวกเรา
    ใช้คิริมานนท์สูตรเป็นแผนที่เดินทางกันเถอะ
     
  18. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ปั<!--sizec--><!--/sizec--> จจุบันเป็นที่กล่าวขานกันมาก ว่าที่วัดนางตะเคียน ตำบลคลองเขิน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม มี ยักษ์ชื่อว่า แม่ใหญ่ หรือ พระนางสุพรรณอัปสร
    ให้โชคลาภแม่นมาก มีผู้คนทั่วไปถูกหวยกันมากมาย

    เมื่อผู้เขียนทราบข่าวลือดังกล่าวก็รีบบึ่งไปพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าเป็นเรื่องจริง หรือ เปล่า เพื่อจะได้นำเรื่องราวมาเสนอแนะให้ท่านผู้อ่านที่เคารพรักทันที ที่ชอบ
    ด้านแสวงโชคลาภได้ทราบกันและเผื่อมีโอกาสว่างจะได้เดินทางมากราบไหว้ ขอโชคลาภกันบ้าง

    เมื่อเดินทางไปถึงวัดนางตะเคียนและได้พูดคุยกับชาวบ้านละแวกนั้นๆ ก็ได้รับคำยืนยันว่า เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริง และเกิดมานาน หลายปี จนถึงปัจจุบัน

    ในสมัยก่อนวัดนางตะเคียน แห่งนี้ยังไม่เจริญเหมือนปัจจุบันนี้ วัดมีสภาพรกร้างน่ากลัวมาก ชาวบ้านเล่าว่า ผีดุมากหลอกหลอนผู้คนเป็นประจำทำให้
    ยามค่ำคืนมักจะไม่ค่อยมีใครกล้าเดินผ่านวัด โดยเฉพาะต้นตะเคียนใหญ่ 2 ต้นที่ลือว่ามีเจ้าแม่ตะเคียนสิงสถิตอยู่ (ปัจจุบันตายหมดแล้ว)

    วัดนางตะเคียน สมัยก่อนด้านริมคลองหน้าวัดจะมีรูปปั้นยักษ์ รูปปั้นฤาษี เรียงรายเป็นทิวแถว และเข้าใจว่ามีวัดเดียวในจังหวัด สมุทรสงครามก็ว่าได้
    ซึ่งรูปปั้นต่างๆ เหล่านี้เก่าแก่มาก ครั้นกาลเวลาล่วงมาหลายสิปปี สายน้ำได้เซาะตลิ่งด้านริมคลองหน้าวัดไปเรื่อยๆทำให้ตลิ่งซึ่งมีรูปปั้นยักษ์ รูปปั้นฤาษี และ รูปปั้นอื่นๆ พังทลายจมลงไปในน้ำและ ก็ไม่มีใครคิดที่จะงมขึ้นมา

    จนเวลาล่วงเลยไปนานหลายสิบปีก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั้งประมาณปลายปี พ.ศ 2551 ที่ผ่านมาก็เกิดมีข่าวขึ้นมาว่า ... มีชาวบ้านคนหนึ่งฝันไปว่ามียักษ์ตนหนึ่งจมอยู่ในน้ำริมคลองวัดนางตะเคียนมานานหลายสิ
    บปีแล้วและนอนหนาวอยู่ในน้ำด้วย ตอนแรกชาวบ้านคนนี้ไม่เชื่อภายหลังได้นำความฝันไปพูดคุยและปรึกษากับผู้รู้หลายๆ คน



    [​IMG]

    <!--coloro:#33CC00--><!--/coloro-->ขวาพระนางสุพรรณอัปสร<!--colorc--><!--/colorc-->

    ในที่สุดก็สรุปว่าให้ลองดูก่อนโดยได้ไปจ้างประดาน้ำที่มีความชำนาญและมีประสบการณ์ทา
    งด้านการดำน้ำโดยเฉพาะ
    เมื่อประดาน้ำลงไปงมดูปรากฏว่า พบท่อนหินขนาดค่อนข้างใหญ่ อยู่กลางคลอง แต่ก็ไม่สามารถนำขึ้นมาได้จึงนำเรือเครนมายกก็ยกไม่ขึ้นอีก
    สร้างความอัศจรรย์ให้แก่ผู้ที่อยู่บนริมฝั่งทั้งสองเป็นอย่างมาก

    ภายหลังมีชาวบ้านแถวนั้นให้ทำบายศรีและทำพิธีบวงสรวงขึ้นก็ปรากฏว่าเรือเครนสามารถยก
    ท่อนหินนั้นขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
    พอได้ขึ้นมาแล้วเมื่อสำรวจดูก็พบว่ามีแต่ส่วนตัว (เศียร) นั้นไม่มีและทราบต่อมาท่อนหินนั้นเป็นยักษ์ชื่อพระนางสุพรรณอัปสรที่จมอยู่ใต้น้ำนาน
    หลาย
    สิบปี(บางคนก็บอกว่าประมาณ 100ปี)




    ส่วนสภาพที่เห็นในขณะนั้นซึ่งเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์มาก คือในอ้อมแขน ของพระนางสุพรรณอัปสรนั้นอุ้มบุตรชายของตนไว้ด้วย แต่สำหรับส่วนหัวที่หายไปนั้น เมื่อก่อนเคยมีคนนำมาไว้ที่ใต้ต้นไทรหน้าวัด แต่ภายหลังมีนักนิยมสะสมของเก่ามาเช่าบูชาเอาไป และไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน เนื่องจากไม่ได้มีใครสนใจ จึงทำให้หายไปตั้งแต่บัดนั้นจนถึงทุกวันนี้

    สมัยก่อนวัดนางตะเคียนคนเฒ่าคนแก่เล่าว่ามีคนเคยเห็นยักษ์ออกมาเดินเผ่นพล่านภายในบร
    ิเวณวัดด้วยบางครั้งก็เป็นพวกบริวารยักษ์ลงมาเล่นน้ำที่ลำคลองหน้าวัดนางตะเคียนนั้น
    อย่างสนุกสนาน ต่อมาภายหลังยักษ์ที่สร้างไว้ริมตลิ่งได้จมลงไปในน้ำหายไปจนหมดและได้มา ทำพิธีงมขึ้นมา ตามความฝันของชาวบ้านคนหนึ่ง และ เมื่อข่าวการงมยักษ์พระนางสุพรรณอัปสรขึ้นมาจากลำคลองหน้าวัดนางตะเคียนได้แล้วข่าวน
    ี้ก็เริ่มแพร่กระจายจากปากต่อปาก รวมทั้งสื่อแขนงต่างๆไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ วิทยุ ทีวี ต่างก็ลงข่าว และ แพร่ภาพออกไปทั้งที่ทราบกันอยู่
    เป็นเหตุทำให้ผู้ที่ทราบข่าวต่างก็เริ่มทยอยมายังวัดนางตะเคียนตลอดเวลาวัดที่เคยเงี
    ยบเหงาก็กลับคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง

    ขอย้อนมาถึงเรื่องการงมยักษ์นางสุพรรณอัปสรกันต่อ เมื่อได้มีการงมยักษ์สุพรรณอัปสรขึ้นมาได้แล้วก็ได้นำมาไว้บนศาลาริมน้ำใกล้ กับที่งมขึ้นมา ในวันนั้นและวันต่อๆมาก็เริ่มมีนักแสวงโชคลาภ หรือผู้ที่ชอบเล่นหวยต่างก็เดินทางมากราบไหว้ขอเลขเด็ดโดยการเขย่าติ้วบ้างขัดถูและเ
    พิ่งพินิจพิจารณาดูบ้าง ผลก็ ปรากฏว่ามีผู้โชคดี ถูกหวยตรงๆ ได้เงินคนละหลายแสนบาท พอมางวดต่อไปก็มีผู้ถูกอีก ทำให้ข่าวแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว จึงทำให้คนในละแวกสมุทรสงครามและใกล้เคียงเดินทางมาขอโชคลาภแทบทุกวัน และหลังจากนั้นค่อนๆ ก็มีผู้ที่มีจิตศรัทธาทั้งผู้เฒ่าผู้แก่ คนหนุ่มสาวพากันมาบริจาคทรัพย์คนละเล็กละน้อย เพื่อให้ช่างปั้นศรีษะหรือส่วนหัวของยักษ์พระนางสุพรรณอัปสรขึ้นแทนของเก่าที่สูญหาย
    (ที่เห็นส่วนศรีษะ (หัว) ปัจจุบันคือของใหม่ที่ปั้นขึ้นมาแทนของเดิม)


    ปัจจุบันยักษ์พระนางสุพรรณอัปสรได้เคลื่อนย้ายมาประดิษฐาน ณ สถานที่แห่งใหม่ เป็นฐานปูนปูกระเบื้อง ลดหลั่นตาม ลำดับโดยแบ่งสถานที่ประดิษฐานให้พระ นางสุพรรณอัปสรอยู่ทางทิศตะวันออก พร้อมเหล่าบริวารและมีรั้วล้อมรอบทั้งสี่ด้าน และ ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้ามณฑปเก่าแก่



    [​IMG]

    <!--coloro:#66CCCC--><!--/coloro-->บริเวณรอบศาล<!--colorc--><!--/colorc-->

    เมื่อพระนางสุพรรณอัปสรจอมเทวีได้ประดิษฐาน ณ ที่ใหม่ดังกล่าวผู้คนจากทั่วสารทิศ ก็เดินทางมากราบไหว้ตลอดเวลา ตั้งแต่เช้าจรดเย็น กระทั้งมืดค่ำ
    จากการสอบถาม พูดคุยกับคุณ ป้าแย้ม สมบูรณ์ อายุ 70 ปี เรื่องแม่บ้านผู้สละเวลาการทำงานบ้านมาช่วยเหลือในด้านการบริการดอกไม้ธูปเทียนตามกำ
    ลังศรัทธาแก่ผู้ที่เดินทางมากราบไหว้พระนางสุพรรณอัปสรได้เปิดเผยว่า
    ทุกวันไม่ว่าจะเป็นวันธรรมดา เสาร์ อาทิตย์ วันนักขัตฤกษ์ จะมีผู้คนเดินทางมาด้วยรถส่วนตัวบ้าง เหมารถมาบ้าง ขับรถมอเตอร์ไซด์มากราบไหว้กันเป็นประจำ และบางรายที่มีโชคลาภ ถูกหวยมากๆ ก็จะนำสิ่งของที่ได้บนบานมาถวายให้ ทั้งของคาวของหวาน พวงมาลัย ประทัด หรือ บางรายที่บนด้วยละคร ภาพยนต์ พอถึงเวลาก็นำมาแสดง และฉายถวายให้ ดังเช่นเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2552 ที่ผ่านมาหยกๆ ก็มีชาวบ้านคนหนึ่งบ้านอยู่แถวๆวัดนางตะเคียนไม่ห่างไกลกันมากนัก ทราบข่าวว่ามากราบไหว้บนบานต่อหน้ารูปปั้นพระนางสุพรรณอัปสรจอมเทวี ขอโชคลาภกับท่าน

    ปรากฏว่าถูกตรงๆ ได้เงินไปมากพอสมควร (แต่ไม่ขอเปิดเผยจำนวนเงินที่แท้จริง) หลังจากนั้นก็นำภาพยนต์มาฉายให้เป็นภาพยนต์ใหม่เอี่ยมชนโรงเลยทีเดียว





    ในด้านความศักดิ์สิทธิ์ของยักษ์พระนาง สุพรรณอัปสรจอมเทวี เท่าที่เล่าขานสืบต่อๆ กันมาปากต่อปาก ท่านมีความศักดิ์สิทธิ์มาช้านานตั้งแต่อดีตก่อนที่จะจมลงไปอยู่ในน้ำ สมัยก่อนก็จะมีชาวบ้านมากราบไหว้บนบานเสมอ ครั้นพองมเจอขึ้นมาแล้วนำมาประดิษฐานไว้บริเวณดังกล่าว ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เสื่อมคลาย บางรายมีเรื่องเดือดร้อนเพราะขายที่ขายทางไม่ได้ก็มาจุดธูปเทียนอธิฐานบอกกล่าวกับท่
    าน ก็ ปรากฏว่าขายที่ขายทางได้อย่างเหลือเชื่อ ส่วนบางคนรับราชการตามกองต่างๆ ที่มีความเชื่อถือเกี่ยวกับสิ่งเร้นลับที่ตนประสบมาแล้วประสบผลสำเร็จก็เดินทางมาขอใ
    ห้มีหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า ให้ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งก็ประสบผลสำเร็จสมหวัง
    บางรายแต่งงานมาหลายปีไม่ มีบุตรไว้ชมเชยและเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า มีคนแนะนำให้ลองเดินทางมากราบไหว้ก็มาลองดู ปรากฏว่าได้บุตรไว้ชมเชยหลายคู่ด้วยกัน คนเฒ่าคนแก่เล่าว่า

    ใครที่มาบนบานขอลูกกับพระนางสุพรรณอัปสรจอมเทวีแล้วได้บุตรสมใจแล้วก็อย่าลืมเลี้ยงด
    ูให้ดีด้วยจะเลี้ยงทิ้งๆขว้างๆ หรือดุด่าทุบตีไม่ได้เด็ดขาดท่านอาจจะได้รับความเดือดร้อนหรือมีเรื่องวุ่นวายในครอบ
    ครัว เนื่องจากลูกของท่านก็คือลูกของพระนางสุพรรณอัปสรจอมเทวีด้วย ดังจะเห็นได้จากรูปปั้นของท่านที่โอบกอดลูกไว้ในอ้อมแขนอย่างเหนียวแน่น แสดงให้เห็นว่าพระนางรักลูกน้อยมาก
    บางท่านที่มีความเชื่อมากๆ พอมีลูกน้อยเกิดขึ้นมาก็จะมาขอนม (นมกล่องที่ชาวบ้านนำมาถวายให้) ไปให้ลูกของตัวเองนำไปดื่มกิน เด็กก็จะสมบูรณ์แข็งแรง มีความเฉลียวฉลาด (อยู่ที่ความเชื่อของแต่ละบุคคลขอให้อยู่ในวิจารณญาณของท่านผู้อ่านด้วย)
    ในสมัยก่อนที่รูปปั้นพระนางสุพรรณอัปสรจอมเทวี ประทับยืนอยู่ริมตลิ่งด้านลำคลองหน้าวัดนั้น บรรดาเรือหางยาวที่วิ่งรับผู้โดยสารจากตลาดแม่กลองไป ตามสถานที่ต่างๆ ละแวกวัด



    [​IMG]

    <!--coloro:#33CC00--><!--/coloro-->บริเวณวัดนางตะเคียน<!--colorc--><!--/colorc-->

    พอแล่นเรือผ่านก็มักจะยกมือขึ้นกราบไหว้แสดงความเคารพแทบทุกลำเพราะมีความเชื่อว่าท่
    านจะคุ้มครองให้ความ ปลอดภัยทางด้านอุบัติเหตุหรือมีผู้โดยสารเต็มลำ

    แต่ถ้าใครลบหลู่ดูหมิ่นไม่เชื่อถือเวลา แล่นเรือผ่านทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แถมไม่ยกมือขึ้นไหว้ แสดงความเคารพเหมือนเรือลำอื่นๆ เท่าที่ทราบเขาเล่ากันว่าเรือลำนั้นเครื่องจะเกิดอาการขัดข้องและดับไปเฉยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ หรือไม่ก็เรือเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำหรือชนคอสะพานชนตลิ่งทำให้เรือเสียหาย
    สมัยก่อนคลองนางตะเคียนหน้าวัดนับเป็นเส้นหนึ่งที่บรรดาพ่อค้าขายพืชผักผลไม้ ขายหมู ขายก๋วยเตี๋ยวเรือ และเรือขายสินค้าอื่นๆ มักจะพายเรือมาเร่ขายให้กับชาวบ้านที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมคลอง (สมัยนี้แทบจะไม่มีหลงเหลือให้เห็นกันแล้ว เนื่องจากมีถนนหนทางดี ผู้คนจึงขับรถไปซื้อของกันเอง)
    คร้นพอพายเรือหรือขับเรือที่บรรทุกสินค้าเหล่านั้นมาผ่านรูปปั้นยักษ์พระนางสุพรรณอั
    ปสรจอมเทวีจะยกมือขึ้นกราบไหว้อธิษฐานขอให้ขายดิบขายดี พร้อมกับใช้มือวักน้ำบริเวณสั้น ประพรมสินค้าพืชผัก ผลไม้ที่บรรทุกมาเต็มลำ ของนั้นจะขายดิบขายดีจนกลายเป็นความเชื่อสืบต่อกันมาจนกลายเป็นประเพณีและยึดถือเรื่
    อยมาถึงปัจจุบัน

    และ อีกเรื่องหนึ่งจริงเท็จอย่างไรไม่อาจทราบได้ เพราะเรื่องนี้เกิดมานานหลายสิบปีตั้งแต่วัดยังไม่เจริญ เขาเล่ากันว่าตอนกลางคืนเคยมีคนพรายเรือมาเจอเหล่ายักษ์ลงมาอาบน้ำและเล่นน้ำกันอย่า
    งสนุกสนาน พอพาคนไปดูก็ปรากฏว่าไม่มีแล้วจะเห็นแต่รูปปั้นที่ยืนอยู่ลักษณะเหมือนเปียกน้ำหรือเ
    ล่นน้ำมาใหม่ๆ เท่านั้น

    ความเฮี้ยนและความศักดิ์สิทธิ์ของยักษ์พระนางสุพรรณอัปสรจอมเทวีชาวบ้านละแวกนั้นต่า
    งก็ยอมรับนับถือมากแม้ปัจจุบันจะงมขึ้นมาจากท้องน้ำมาประดิษฐานกลางแจ้งด้านหน้ามณฑป
    จตุรมุขเก่าแก่แล้วก็ตามที่ผู้คนก็ยังให้ความเคารพนับถือเสมอมา
    ในวันที่ผู้เขียนเดินทางไปทำข่าวนั่งสังเกตุเห็นผู้คนทยอยกันมาเรื่อยๆ พอคนนี้กราบไหว้บนบานเรียบร้อยแล้ว คนใหม่ หรือชุดใหม่ ก็เข้ามาแทนที่สลับหมุนเวียนเช่นนี้ตั้งแต่เช้าจรดเย็น
    เมื่อเข้าไปสอบถามก็ล้วนจะมาจากแดนไกลแทบทั้งสิ้น บางคนก็บอกว่าพึ่งมาครั้งแรก จากคำบอกกล่าวของเพื่อนๆ ที่เคยเดินทางมาแล้วประสบผลสำเร็จ
    บางคนก็บอกว่ามาหลายครั้งแล้วที่มาอีกก็เนื่องจากได้โชคลาภเลขเด็ดตรงๆเลยเกิดความเช
    ื่อมั่นอยากจะมาลองพิสูจน์อีก ครั้งและเหมือนอัศจรรย์ถึงมาอีกครั้งก็ถูกอีก จึงได้นำของมาแก้บนถวายให้
    บางคนบอกว่าไม่เคยเดินทางมาวัดนางตะเคียนแม้แต่ครั้งเดียว ภายหลังทราบข่าวว่ารูปปั้นพระนางสุพรรณอัปสรจอมเทวี ให้โชคลาภแม่นถูกกันหลายรายก็ลองเดินทางมาขอดูบ้าง
    มีอยู่ครอบครัวหนึ่งมากับประมาณ 7-8 คน มีเด็กเล็กอายุประมาณ 7 ขวบ หรือ 8 ขวบไม่แน่ใจ คุณแม่กำลังพากันไปกราบไหว้รูปปั้นพระนางสุพรรณอัปสรจอมเทวี เผอิญผู้เขียนได้ยินคุณแม่พูดกับบรรดาญาติที่มาด้วยกันว่า ลูกชายตนเองเมื่อคืนนี้ฝันเห็นยักษ์ท้าวเวสสุวรรณและบอกให้คุณแม่พาไปดูท้าวเวสสุวรร
    ณที่ไหนก็ได้

    คุณแม่ของเด็กคนนั้นจึงพามาที่วัดนางตะเคียน จังหวัดสมุทรสงครามพอเด็กคนนี้เห็นรูปปั้นยักษ์พระนางสุพรรณอัปสรจอมเทวีเท่านั้นแหล
    ะ แกก็บอกว่าเหมือนยักษ์ที่แกฝันเมื่อคืนนี้เลยนับว่าเป็นเรื่องแปลกมาก
    เรื่องราวอภินิหารเร้นลับ แปลกมหัศจรรย์ของรูปปั้นยักษ์พระนางสุพรรณอัปสรเชื่อว่ายังมีอีกมากมายเล่าขานไม่รู้
    จบแน่นอน ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็อยู่ที่ตัวท่านเองเป็นผู้ตัดสิน แต่เชื่อเหลือเกินว่าคนที่เคยพบเห็นมากับตัวเอง และ ประสบผลสำเร็จมักจะให้ความศรัทธานับถือเป็น อย่างมาก




    <!--coloro:#C0C0C0--><!--/coloro--><!--sizeo:1--><!--/sizeo-->ขอขอบคุณ
    palungjit.org
    น่าไปเที่ยวสุดสัปดาห์เนอะ
    http://touronthai.com/gallery/placeview.php?place_id=33005005<!--sizec-->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 สิงหาคม 2010
  19. andnamwan

    andnamwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +207
    มารายงานตัวค่ะ(f)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2010
  20. Tobyss

    Tobyss สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +21
    เข้าตัวเมืองสมุทรสงคราม แล้วถามคนแถวนั้นดูครับ
    วัดนางตะเคียนเป็นวัดเก่าแก่ ที่ในพื้นที่รู้จักกันดี
    เชิญมาร่วมกันบูรณะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...