ไม่ได้ฌาณเป็นพระอรหันต์ได้ไหมครับ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย perfex, 16 กรกฎาคม 2010.

  1. perfex

    perfex เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +124
    ถ้าผมต้องการเป็นพระอรหันต์ แต่ผมไม่ได้ฝึกสมาธิจนถึงขั้นได้ปฐมฌาณ หรือฌาณอื่นๆ ผมจะเป็นพระอรหันต์ได้หรือไม่ครับ ตอนนี้ผมยังไม่ได้ฌาณ แต่มีความรู้สึกว่าสามารถละกิเลสได้เยอะ และคิดว่าต่อไปจะต้องตัดได้หมด
    ก็เลยสงสัยว่าจะสามารถเป็นไปได้หรือ ? ถามแบบคนความรู้น้อยครับ โปรดชี้แนะด้วย
     
  2. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    [VDO]http://www.youtube.com/v/wz0feiutZgw&hl=en_US&fs=1">
    name="allowFullScreen" value="true"><EMBED type="text/html; charset=UTF-8" src="<a href=" target="_blank" href="http://www.youtube.com" www.youtube.com http:>http://www.youtube.com/v/wz0feiutZgw&hl=en_US&fs=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></EMBED>[/VDO]เป็นได้หรือไม่อยู่ที่ตัวเรามีความเพียรแค่ไหน สั่งสมไปเรื่อย ๆ พยายามเข้าแล้ววันข้างหน้าจะสมปราถนาดั่งทีตั้งใจ

    พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ
    ธรรมมัง สะระนัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2010
  3. bigboom007

    bigboom007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +570
    งั้นก็ต้องถามพระอรหันต์ละคับ
     
  4. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ขจัดกิเลสให้สิ้นได้ก็เป็นได้กันทุกคนนั่นแหละ อย่างพระพุทธเจ้าตรัสไว้ใจความว่า ทุกคนเป็นพระพุทธเจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2010
  5. singhol

    singhol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,376
    ค่าพลัง:
    +1,941
    หมั่นดูใจไว้ไม่ให้ประพฤติผิดศีลธรรม...ตามคำสอนของพระพุทธองค์ก็เพียงพอแล้วครับ
     
  6. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    ไปดูหัวข้อ ที่หลวงพ่อฤาษี ท่านกล่าวไว้ว่า มีพระอรหันต์ แบบต่างๆ หนึ่งในนั้น ก็มีแบบแนวสติปัฎ..... อะไรนั่นน่ะ ที่ไม่ได้มีคุณวิเศษอื่นเลยนอกจาก ละกิเลสได้แค่นั้น
     
  7. พรม

    พรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +163
    ถ้าตัดกิเลสได้จริงก็เท่ากับตัดนิวรณ์ที่เป็นอุปสรรคของการทำทำสมาธิได้ด้วย
    ถ้าตัดกิเลสได้หมดสิ้นอย่างพระอรหันต์ ก็เท่ากับนิวรณ์อุปสรรคของการทำสมาธิไม่มีเลยเมื่อการทำสมาธิไม่มีอุปสรรคเลยการทำฌานใดๆก็ง่ายดายอย่างที่คุณคิดไม่ถึง
    ถ้าเป็นพระอรหันต์ได้ฌานอะไรนี้เหมือนกับเป็นของแถมที่จะทำก็ทำได้ง่ายๆ
    ง่ายเหมือนเกิดขึ้นเอง
     
  8. Pisek

    Pisek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +106
    ขอร่วมแสดงความเห็นในมุมมองหนึ่งละกันครับ ... กิเลส มีหลายระดับ แต่เพื่อให้เข้าใจง่ายมักจะแบ่งกันว่า กิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างกลาง กิเลสอย่างละเอียด กิเลสอย่างหยาบ สามารถละได้ง่าย เพียงทำความรู้ความเข้าใจให้ถูกต้องก็อาจตัดได้แล้ว เช่นเรามีความอยากได้สิ่งของชิ้นหนึ่งแต่ต้องเสียเงินซื้อมา เราพิจารณาแล้วเห็นว่ายังไม่สมควรต้องซื้อก็ตัดใจได้ ละได้ แต่กิเลสอย่างกลาง ต้องใช้การพิจารณา ใช้สติกำกับและปัญญาใคร่ครวญอย่างมากจึงจะละได้ เช่นอารมณ์โกรธของคน ที่เรามักมีเหตุผลต่างๆ มากมายที่จะโกรธ อ้างสารพัดว่าได้ทนถึงที่สุดแล้วจึงระเบิดอารมณ์ออกมา แต่สุดท้ายก็คือเราแสดงอารมณ์โกรธออกไปแล้ว การจะลดอารมณ์เช่นนี้ได้เราต้องฝึกฝนการควบคุมจิตใจ ระงับอารมณ์ เราต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการควบคุมอารมณ์ตนเอง ก็คือต้องใช้กำลังมากขึ้น ในส่วนของกิเลสอย่างละเอียดยิ่งต้องใช้กำลังของจิตมากขึ้นในการกล่อมเกลาให้จิตใจของเราต่อสู้กับกิเลสทั้งหลายที่เข้ามาหลอกล่อเราให้พลั้งเผลอ กำลังจิตที่เข้มข้นของเราจะช่วยให้เราต่อสู้กับกิเลสด้วยความมีสติ สามารถใคร่ครวญพิจารณาให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง จนชนะกิเลสทั้งหมดและหลุดพ้นได้ในที่สุด จะเห็นว่าเมื่อเราต้องการชนะกิเลสได้มากขึ้นจะต้องใช้กำลังของจิตเป็นอย่างมาก บางคนอาจมีฐานกำลังของจิตหรือพลังจิตมากอยู่แล้วซึ่งเกิดจากการสั่งสมมาแต่ในอดีต มาในภพชาตินี้เพียงใช้ปัญญานำเพื่อพิจารณาไปตามเหตุ ตามผล ก็อาจจะสามารถตัดกิเลสจนหมดได้ แต่สำหรับผู้ที่ยังสั่งสมกำลังของจิตหรือพลังจิตมายังไม่เพียงพอ ทางออกก็คือต้องทำเพิ่มขึ้น สั่งสมไปเรื่อยเหมือนฝากเงินแบบประจำไม่ต้องรีบถอน ถึงวันหนึ่งก็ต้องมีมากเพียงพอที่จะนำไปใช้เพื่อตัดกิเลสได้ ... แต่วิธีการสั่งสมกำลังของจิตหรือพลังจิต ผมเองยังรู้อยู่เพียงวิธีเดียวคือการทำสมาธิ เช่นเดินจงกรม หรือนั่งสมาธิ ทำไปอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ กำลังของจิตจะพอกพูนมากขึ้น ติดตัวเราไปทุกภพทุกชาติ เพื่อนำมาช่วยตัดกิเลสได้ในที่สุด.... ขอแสดงความเห็นเพียงนี้ ขออนุโมทนาครับ.....
    เพิ่มเติมอีกนิด... ฌาน เป็นเพียงผลของการปฏิบัติสมาธิ ก่อให้เกิดความสุข อิ่มเอมใจ เมื่อเราสามารถทำจิตของเราให้สงบจากอารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามามากมาย คงเหลืออยู่เพียงอารมณ์เดียวให้เป็นความสงบนิ่งได้แล้วจดจ่อในอารมณ์นั้น ฌานจะเกิดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ ถึงไม่อยากได้แต่ก็จะได้เอง ในทางกลับกันหากอยากได้มากกลับจะไม่ได้ แต่การจะไปถึงฌานระดับไหนก็ขึ้นอยู่กับกำลังของสมาธิที่เราเพียรทำแล้วครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2010
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=160 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle>

    </TD></TR><TR><TD class=gensmall2 vAlign=center align=middle>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ตอบโดยคุณทิวน้ำ

    อัชฌาสัยในการปฏิบัติมี 4 อย่างด้วยกัน คือ

    1. อัชฌาสัย สุกขวิปัสสโก
    2. อัชฌาสัย เตวิชโช
    3. อัชฌาสัย ฉฬภิญโญ
    4. อัชฌาสัย ปฏิสัมภิทัปปัตโต
    …………………………..

    อัชฌาสัยสุกขวิปัสสโก

    ท่านไม่เอาดีทางฌานสมาบัติ พอมีสมาธิเล็กน้อย ก็เจริญวิปัสสนาญาณควบกันไปเลย
    คุมสมาธิบ้าง เจริญวิปัสสนาบ้าง เมื่อสมาธิเข้าถึงปฐมฌาน วิปัสสนาก็จะมีกำลังตัดกิเลสได้ สามารถจะได้มรรคผลแล้วเมื่อตอนที่สมาธิเข้าถึงปฐมฌาน ท่านก็เริ่มวิปัสสนาเลย (หากสมาธิยังไม่ถึงปฐมฌาน จะบรรลุมรรคผลไม่ได้)

    อัชฌาสัยสุกขวิปัสสโก ท่านไม่ใส่ใจที่จะทำสมาธิให้สูง หรือทำสมถะให้สูง เพื่อให้ได้คุณวิเศษที่จะได้ ฤทธิ์ ของฌาน ซึ่งต้องได้ฌาน 4 ขึ้นไป ด้วยเหตุนี้ พอท่านมีกำลังจิตในปฐมฌาน ท่านสามารถเริ่มต้นขบวนการวิปัสสนาตัดหรือละกิเลสได้แล้ว ท่านก็เริ่มวิปัสสนาเลย

    ดังนั้น พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก ท่านจึงไม่มีความรู้จริงในเรื่องนรก-สวรรค์ของจริง และไม่รู้ ไม่เห็น เรื่องผี โอปาติกะ เทพ พรหม เปรต ฯลฯ จึงไม่สามารถถอดจิตออกไปตรวจสอบสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนได้

    ในครั้งพุทธกาล พระโมคลานะ พระอานนท์ และพระอรหันต์อื่นๆ รวมทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกท่านฝึกสมาธิ หรือทำสมถะจนได้ฌาน 4-8 มาแล้วทั้งนั้น พอได้รับคำชี้แนะจากพระพุทธเจ้า ไม่นานนักท่านก็บรรลุอรหันต์ อรหันต์ในครั้งนั้นจึงเป็นอรหันต์เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต จำนวนมาก

    ในปฐมสังคายนา ก็กำหนดกฎให้อรหันต์ฉฬภิญโญและปฏิสัมภิทัปปัตโต ที่มีอภิญญาครบ 6 อย่างเข้าร่วมเท่านั้น ซึ่งยังหาได้มากถึง 500 รูปเพื่อทำสังคายนาพระไตรปิฎก

    เหตุที่ห้ามพระอรหันต์สุกขวิปัสสโก เข้าร่วมในปฐมสังคายนา เพราะอรหันต์สุกขวิปัสสโก เป็นอรหันต์แห้งแล้งจากโลกีย์อภิญญาใดๆทั้งสิ้น เพราะท่านได้แค่ปฐมฌาน ในขณะที่ผู้จะได้อภิญญา 5 จะต้องเข้าถึงอย่างน้อย จตุตถฌาน หรือ ฌานที่ ๔ (the Fourth Absorption ) จิตจะมีองค์ฌานเดียว คือ เอกัคคตา จึงมีพลังจิตรู้เห็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนในพระไตรปิฎกว่าเป็นความจริง

    chalermsak

    อนึ่ง สุกขวิปัสสกบุคคล ผู้ไม่ได้ฌานเจริญวิปัสสนาภาวนากำหนดพิจารณารูปนามที่เป็นกามธรรมเพียงอย่างเดียว เมื่อมรรคจิตเกิดขึ้นก็ย่อมบริบูรณ์พร้อมด้วยองค์ฌานทั้ง ๕ จัดว่าเป็นปฐมฌานโสดาปัตติมัคคจิต สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค ของสุกขวิปัสสกบุคคล ก็จัดเข้าเป็นปฐมฌานด้วยกันทั้งสิ้นตามที่อัฏฐสาลินีอรรถกถา แสดงไว้ว่า
    วิปสฺสนานิยาเมน สุกฺขวิปสฺสกสฺส อุปฺปนฺนมคฺโคปิ ปฐมชฺฌานิโก โหติ แปลว่า ว่าโดยวิปัสสนานิยาม แม้มรรคที่เกิดขึ้นแล้วแก่ผู้เจริญ วิปัสสนาล้วนๆ ก็ย่อมประกอบด้วยองค์ปฐมฌาน
    พระอริยะสุกขวิปัสสกบุคคล เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปัญญาวิมุตติ พระอริยะนี้มีมากกว่าพระอริยะที่เป็นฌานลาภีบุคคล ก็ฌานลาภีบุคคลนี้สำเร็จเป็นพระอริยะแล้ว

    อิเมสํ หิ สารีปุตฺต ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ สฏฺฐิ ภิกฺขู เตวิชฺชา สฏฺฐิ ภิกฺขู ฉฬาภิญฺญา สฏฺฐิ ภิกขู อุภโตภาควิมุตฺตา อถ อิตเร ปญฺญาวิมุตฺตา
    แปลว่า ดูก่อนสารีบุตร ในภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ ภิกษุ ๖๐ องค์เป็นเตวิชชบุคคล ๖๐ องค์ เป็น ฉฬภิญญาบุคคล ๖๐ องค์ เป็นอุภโตภาควิมุตตบุคคล ที่เหลือเป็นปัญญาวิมุตตบุคคล

    ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า ผู้สำเร็จมรรคผล เพราะเห็นอนิจจลักษณ์ และอนัตตลักษณ์มีมากกว่าผู้เห็นทุกขลักษณ์ เพราะว่าผู้ที่เห็นทุกขลักษณ์นี้เป็นผู้มีปุพพาธิการ ยิ่งด้วยสมาธิ
    เตวิชชบุคคล ได้แก่ พระอรหันต์ผู้มีวิชชา ๓ คือ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทิพยจักขุญาณ และอาสวักขยญาณ
    ฉฬาภิญญาบุคคล ได้แก่ พระอรหันต์ผู้มี อภิญญา ๖ หรือเรียกว่า วิชชา ๖ คือปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทิพยจักขุญาณ อาสวักขยญาณ เจโตปริยญาณ ทิพยโสตญาณ และอิทธิวิธญาณ
    อุภโตภาควิมุตตบุคคล ได้แก่ พระอรหันต์ผู้เป็นฌานลาภีบุคคล หรือเรียกว่า เจโตวิมุตตบุคคล
    ปัญญาวิมุตตบุคคล ได้แก่ พระอรหันต์ผู้เป็นสุกขวิปัสสก

    อ้างอิงคำพูด:
    กบนอกกะลา
    แรก..ๆ ยังไม่ได้..

    พอ..เป็นอรหันต์แล้ว..มาฝึกทีหลังได้อะป่าว..คับ

    ตอบโดยคุณ chalermsak
    ได้ อะครับ ตามหลักฐาน ในพระไตรปิฏก อรรถกถา และพระวิปัสสนาจารย์ ดังนี้

    21049.สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา จากพระไตรปิฏก อรรถกถ
    <!-- l -->viewtopic.php?f=2&t=21049&p=98655#p98655<!-- l -->

    ตรงตอนที่ ๒ นี้ก็หมายความว่า ท่านเจริญเฉพาะวิปัสสนาล้วนๆ มาก่อน ...ยังมิทันที่เธอจะทำสมถะให้สมบูรณ์เลย ก็ใช้ปัญญาพิจารณาถึงเบญจขันธ์โดยความเป็นไตรลักษณ์เสียแล้ว...นี่เป็นคำอธิบายตามนัยของฎีกา

    ส่วนคำของอรรถกถาท่านหมายความง่ายๆ ว่า ได้วิปัสสนาแล้วแต่อยากได้ฌานก็ทำฌานให้เกิดขึ้นเท่านั้น เราก็พอจะถือเอาความได้ว่า พระอริยะผู้ที่เป็นวิปัสสนาลาภี คือ ผู้ที่ได้วิปัสสนาจนเป็นพระโสดา - สกทาคามี -อนาคามี และพระอรหันต์แล้ว แต่ต้องการที่จะได้ฌาน ก็มาทำฌาน คือ สมาธิ หรือสมถะให้เกิดขึ้นในภายหลังจนกระทั่งได้สมาบัติ ๘ อย่าง นี้เรียกว่า ทำสมถะที่มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นฯ
    .....................................................
    สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
    <!-- l -->viewtopic.php?f=2&t=21049<!-- l -->

    ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
    <!-- l -->viewtopic.php?f=2&t=21062<!-- l -->

    การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
    <!-- l -->viewtopic.php?f=2&t=29201<!-- l -->

    แสดงกระทู้ - พระอรหันต์ สุขขวิปัสสโก ไม่ต้องมี สมาธิเลยหรือ? &bull; ลานธรรมจักร

    ------------------
    ความเห็นส่วนตัว

    พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก เมื่อบรรลุธรรมแล้ว ของเก่าที่มีมาแต่เดิมก็จะได้ฟื้นคืนหมด (เคย
    ได้ฟังมา แต่จำอ้างอิงไม่ได้) หมายความว่า ถึงแม้ชาติปัจจุบันไม่ได้ฝึกฌาณสมาบัติแต่มี
    ของเก่าอยู่(เพียงแต่ไม่รู้ตัวว่ามีเพราะไม่ได้ฝึกในชาตินี้) แล้วฝึกวิปัสนาเป็นอัชฌาสัยสุก
    ขวิปัสสโก จนสำเร็จตัดกิเลสได้ก็จะได้ของเก่าคืนมาด้วย แต่ถ้าของเก่าไม่มีก็ไม่ได้ฌาณ
    สมาบัติ เป็นปัญญาวิมุตติอย่างเดียว แต่ตามตำราว่าไว้ว่าในสมัยพุทธกาลพระอรหันต์
    ปัญญาวิมุตติมีมากที่สุด
     
  10. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ให้ย้อนดู ความยึดมั่นถือมั่นใน วิธีการ ที่ใช้อยู่ มีไหม หากมี ก็จะใช้ไม่ได้

    ทีนี้ ก็จะงงระหว่าง การไม่ลังเลสงสัยในวิธีการ กับ การยึดมั่นถือมั่น

    ก็ต้องพิจารณาตรง เจตนาหาร คือ วิธีที่ปฏิบัติอยู่ยังต้องอาศัยเจตนาบังคับให้
    ทำให้เป็นให้ถืออยู่หรือเปล่า หากยังใช้เจตนาก็แปลว่า เกิดความยึดมั่นถือมั่น
    อยู่ ก็จะยังใช้ไม่ได้

    แต่ถ้าไม่แลเห็น ความจงใจเจตนา แต่ จิตเขาพิจารณาเดินวิธีการนั้นเอง ก็
    จะเรียกว่า มันมีอิทธิบาท4โดยตัวของมันเอง จิตมันพึ่งตัวเอง ไม่ได้พึ่งความ
    เป็นเรา แบบนี้ก็จะเป็นเรื่องที่เกิดจาก จิตมันไม่ได้ลังเลในการปฏิบัติด้วยตัวมัน

    จะเรียกว่า มันทำโดยอัตโนมัติของมันก็ได้ หรือ จะใช้คำว่า มันลงที่ใจ แบบ
    หลวงตาบัวก็ได้ สำหรับคนที่ไม่ชอบคำว่า อัตโนมัติ เวลาปฏิบัติมันลงใจ มันจะ
    หมุนของมันเอง การที่มันหมุนของมันเองคุณจะรู้สึกได้ว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง
    และ จิตนี่ยังไงมันก็ต้องเก็บสมาธิเข้ามา เก็บฌาณเข้ามา แต่คุณจะไม่รู้สึกว่าตัว
    เองได้ทำฌาณ แต่หากมันเก็บเยอะแล้วเราเผลอใช้ชีวิตแบบฝุ้งซ่าน ก็มักจะมีอะไร
    ให้เห็นแปลกๆยามหลับ ก็ไม่ต้องไปพะวงจับมันมาเป็นของตน อย่าไปขโมยผลงาน
    ของจิตมัน จะเสียงานใหญ่

    อันนี้คัดบางส่วนมาจากคำสอนหลวงตามหาบัว เทศน์ไว้เมื่อไม่กี่วันมานี่เอง

    อ่านเต็มๆ ที่

    เพียรด้วยจิตใจที่ดึงดูด เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2010
  11. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    สมาธิถ้าทำได้ ฌานมันก็ต้องได้ เหมือนซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ควรหมั่นเจริญสมาธิให้มาก โดยไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปเทียบฌาน ทำให้บ่อยครับ

    ว่าเรื่องฌานควรจะได้ครับ มิเช่นนั้นจะไม่มีกำลังไปละนิวรณ์ได้เลย ถ้าละนิวรณ์ไม่ได้ วิัปัสสนาจะเจริญได้ก็จะยาก เพราะมัน หดูหู่ มันฟุ้ง มันขี้เกียจ มันคับแค้นใจ ตลอด

    จริงอยู่การละนิวรณ์อาจละได้นอกเหนือจากอำนาจสมาธิไประงับความฟุ้งซ่าน อาทิโยนิโสมนสการ แต่ก็เช่นเดียวกัน

    สมาธิก็เป็นกำลัง เป็นบาทฐานให้สามารถโยนิโสมนสิการ แยกเหตุ แยกผล จนสามารถปลดเปลื้องนิวรณ์ด้วยปัญญานำได้

    แล้วต่อไปจึงจะวิปัสสนาธรรมในหมวดอื่นได้ครับ และกำลังสมาธิในระดับอุปจารสมาธิ ก็มีกำลังในความเห็นมาก สามารถพิจารณารูปนามได้ชัดเจน ต่อยอดการฟาดฟันหรือรู้เท่าทันกิเลสทั้งปวงได้

     
  12. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    กิเลสดับ ตัณหาดับ ทุกข์ดับ อย่างสิ้นเชิง ไม่กำเริบได้อีก เป็นไม่เป็นก็เป็นละครับ
     
  13. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    ตามหลักวิชาการนะครับ.........

    ถ้าชาติที่แล้วได้ อนาคามี...แต่ตายก่อน มาเกิดใหม่ได้ต่อยอด พอนั่งสมาธิจิตสงบปุ๊บ อาจบรรลุปั๊บเลย.....ผมคิดเอาเองนะ เป็นจริงได้หรือเปล่า...ไม่รู้

    นี่ไง ...ก็มันไม่มี ญาณวิเศษ...... อะไรกับเขา ก็ต้องเดาไปอย่างงั้นแหละ..........ขออภัยอย่าถือเป็นอารมณ์..เดี๋ยวหมั่นไส้ผม อารมณ์โกรธจะเกิดกับท่าน.
     
  14. ศิษย์ธรรมเทพ

    ศิษย์ธรรมเทพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +786
    ได้ฌาณแต่กิเลสไม่หมด อดเป็นพระอรหันต์
    พระอรหันต์กิเลสหมด ไม่ได้ฌาณไม่เป็นทุกข์
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    พระอรหันต์ ไม่มีฌาณ แล้ว พระพุทธองค์จะสอน สัมมาสมาธิทำไม

     
  16. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    มรรค มีองค์ ๘ มีสัมมาทิฐิเป็นเบื้องต้น มีสัมมาสมาธิเป็นปริยายฯ

    ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ครบองค์มรรค ๘

    ตราบใด ถ้ายังมีผู้ประพฤติปฏิบัติในองค์มรรค ๘ โลกไม่สิ้นพระอรหันต์

    องค์มรรค ๘ เป็นปฏิปทาทางเดินของพระอริยะเจ้าฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010
  17. glory01

    glory01 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2010
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +50

    การละกิเลสได้คือคุณวิเศษอันสูงสุดไม่ใช่หรือครับ พระพุทธเจ้าทรงโปรดสอนสัตว์โลกก็เพราะต้องการให้ละกิเลสไม่ใช่หรือครับ

    โพสทำนองนี้แบบนี้ควรไปขอขมาพระพุทธเจ้านะครับ
     
  18. topwords

    topwords สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +2
    สัมมาสมาธิมีอยู่หลายขั้น โดยเรียงตามลำดับได้ดังนี้ คือ

    ขณิกสมาธิ
    อุปจารสมาธิ
    อัปนาสมาธิ
    ปฐมฌาณ
    ทุติยฌาณ
    ตติยฌาณ
    จตุตถฌาณ
    อากาสานันจายตนฌาณ
    วิญญาณันจายตนฌาณ
    อากิญจัญญายตนฌาณ
    เนวสัญญานาสัญญายตนฌาณ
    นิโรธสมาบัติ

    คือ ขอให้เราได้สมาธิขั้นขณิกสมาธิ หรือ อุปจารสมาธิ คือให้มีสมาธิที่สามารถทำจิตของเราให้สงบพอที่จะพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงตามหลักมหาสติปัฏฐาน 4 ได้ และทำต่อเนื่อง โดยไม่ย้อท้อก็เพียงพอที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้แล้วครับ (สติปัฏฐาน 4 , มรรคมีองค์ 8 , อริยสัจ 4 ก็คืออันเดียวกันครับ เพียงแต่แยกกันพูดออกมาให้เห็นภาพให้ชัดเจนเป็นลำดับๆเฉยๆ แต่เหมือนพิจารณาดูแล้วก็คืออันเดียวกันครับ ทุกอย่างรวมลงที่ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หมด ลองพิจารณาดูนะครับ)

    ดังที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ได้ตรัสไว้แล้วว่าทางไปสู่พระนิพพานนั้นมีหลายทางด้วยกัน ตามแต่อุปนิสัยวาสนาของแต่ละบุคคล จะอ้อมจะเร็วยังไง เป้าหมายก็คือพระนิพพานเหมือนกัน ถึงเหมือนกัน

    และเมื่อบรรลุธรรมขั้นสูงสุดคือพระอรหันต์แล้ว ก็จะได้ญาณอภิญญาขั้นที่ 6 คือ อาสวขยญาณ คือ ญาณทำลายกิเลสอาสวะทั้งหลาย ซึ่งจะเกิดขึ้นพร้อมๆกัน เมื่อเป็นดังนี้แล้วก็เรียกได้ว่าเป็นพระอรหันต์ที่มีคุณวิเศษ เพราะได้ญาณที่เลิศที่สุดแล้ว

    ส่วนเรื่องของฤทธิ์ต่างๆนั้นเช่น เหาะเหินเดินอากาศ ดำดิน ล่องหน ทำคนเดียวให้เป็นหลายคนได้ หูทิพย์ ตาทิพย์ นั้นเป็นส่วนของญาณอภิญญาขั้นที่ 1-5 ตามแต่วาสนาของแต่ละองค์ คือบารมีของแต่ละองค์นั้นท่านจะไม่เหมือนกัน

    ผมขออนุโมทนาสาธุการในความตั้งใจของท่านด้วยนะครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2010
  19. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    พระอรหันต์แบบขี้เกียจ

    ขออนุญาติครับ
    ถ้าคุณคิดแบบคุณยายไฮ ที่ได้ปริญญาโทก็เก๋ไปอีกแบบ
    ถ้าคุณคิดของคุณเองว่าคุณละกิเลสได้ตามแบบของคุณ
    คุณก็น่าจะมีสิทธิ์ ตั้งศาสนาใหม่ได้?
    แล้วคุณจะมาคิดเป็นพระอรหันต์อยู่ทำไม?
    ถ้าคุณมีสติปัญญญาจนละกิเลสเองได้ ก็น่าจะมีสติปัญญาตั้งชื่อใหม่ๆ
    แทนคำว่าพระอรหันต์ได้
    ลองตั้งดูนะครับ
    จะลองเผยแผ่สิ่งที่คุณรู้ในเว็บนี้ก็น่าจะได้
    เผื่อผมจะได้เลิกเป็นกบในกะลาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆตามไปด้วย
    ขออนุโมทนาด้วยครับ
    ลุงมหา
     
  20. pra_TopSecret

    pra_TopSecret เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +868
    หากเป็น การบรรลุฉับพลัน ไม่ต้องไปนั่งทำอะไรเลยซักกะนิด ก็ได้ครับ

    แต่ว่า หาก ปฏิบัติตามวิปัสสนา แล้ว

    หากไม่ได้เริ่มต้น จากการทำฌาน เลย
    ก็ได้

    แต่ว่า เมื่อ วิปัสสนาญาณ ก้าวไปถึง
    สังขารุเปกขาญาณ และ อนุโลมญาณ และ โคตรภูญาณ
    ผู้ปฏิบัติวิปัสสนา จะเจอสภาวะของ ฌาน 1 ถึง ฌาน 5 ครับ

    เป็นการก้าวข้าม ฌาน 5 และเข้าสู่ สมาบัติ หรือการดับสงบ

    แต่ถ้า ปฏิบัติแบบนี้มา เท่าที่ผมเจอ
    แทบไม่รู้สึกเลยว่า กำลังเข้าฌาน เพราะ ฌาน ผ่านได้ง่ายดายมาก ได้รวดเร็ว
    อาจเป็นเพราะ การทำวิปัสสนา ตั้งแต่ ญาณ แรก ถึง สังขารุเปกขาญาณ นั้น ช่วยให้อินทรีย์ แก่กล้าพอที่เข้าฌานได้ไม่ยากก็ได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...