การนิมนต์ด้วยจิตฯ (หลวงปู่ชอบ ฐานสโม)

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย โลกุตตระ, 10 กรกฎาคม 2010.

  1. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    <TABLE class=alt1 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    "เกี่ยวกับเรื่องราวความสามารถรับรู้วาระจิตคน ไม่ว่าอยู่ไกลเพียงไหนหรือแม้แต่อยู่คนละซีกโลกก็ตาม เรื่องเหล่านี้เคยได้ยินครูบาอาจารย์พูดกันอยู่มาก ระยะแรกๆผู้เขียนเข้ามากราบท่านก็ไม่มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องทำนองนี้เลย บ่อยครั้งที่รู้สึกแปลกใจว่าบางครั้งเราพูดกันอยู่อีกเมืองหนึ่งเหตุใดท่านจึงทราบ ระยะหลังก่อนท่านอาจารย์จวนจะเสียชีวิต ท่านเคยอธิบายให้ฟังว่า การรับรู้หรือรับฟังนี้ อย่าว่าแต่จะพูดกันอยู่ในศาลานี้เลย ต่อให้พูดกันอีกเมืองหนึ่ง หรือแม้กระทั่งอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง ก็สามารถได้ยินหรือรับรู้วาระจิตนั้น ถ้าเผื่อกำหนดจิตให้รับทราบ ดังนั้นความสามารถทำนองนี้ของบรรดาครูบาอาจารย์(บางองค์)จึงเป็นที่รู้และกลัวเกรงระมัดระวังของบรรดาเหล่าศิษย์ทั้งหลาย

    สำหรับหลวงปู่ของเรา ความสามารถในเรื่องทำนองนี้เป็นที่เลื่องลือกันเป็นอย่างมาก ในระยะแรกที่ผู้เขียนได้กราบท่านไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้สักเท่าไร เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปนานแล้ว มานั่งคิดย้อนถึงเรื่องนี้ โดยเฉพาะการที่พูดถึงกันว่า การนิมนต์ด้วยจิต คือ เวลาจะนิมนต์หลวงปู่หรืออยากพบท่าน ไม่ต้องนิมนต์ด้วยปากดอก เพียงแต่เราคิดถึงท่านก็จะมาหา หรือบางทีเป็นภาพปรากฏขึ้น

    ระยะแรกที่ผู้เขียนเริ่มรู้สึก คือ ครั้งหนึ่งจำไม่ได้แน่ชัดว่าเป็น พ.ศ. ไหน แต่เป็นปีต้น ๆ ที่เราเริ่มมีการจัดกฐินกัน เราดำริจะทอดกฐินที่วัดหลวงปู่ ผู้เขียน(คุณหญิงสุรีพันธุ์ )หมายถึงวัดป่าสัมมานุสรณ์ ที่จังหวัดเลย ก่อนหน้านี้นั้นการทอดกฐินเป็นสิ่งที่พวกเราไม่ได้คิดไม่ได้ฝันมาก่อนว่าจะต้องจัดทำกัน เมื่อมาเริ่มตั้งต้นด้วยกฐินที่วัดท่านอาจารย์วันในปี พ.ศ. 2519 แล้ว ก็ทำติดต่อกันมา โดยปีต่อมาเป็นวัดท่านอาจารย์จวน ปีถัดมาก็วัดป่าหนองแซงที่หลวงปู่หลุยจำพรรษาอยู่ต่อๆเนื่องไป บางปีเป็นวัดหินหมากเป้ง แต่เราตั้งใจกันไว้ว่าจะไม่ทอดกฐินปีละหลายวัด เพื่อว่าปัจจัยที่หามาจะได้สามารถไปช่วยทะนุบำรุงพระศาสนา สำหรับวัดที่ไปทอดในปีนั้นๆ ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำดีกว่าแบ่งทอดกฐินหลายๆวัด แล้วแบ่งไปวัดละนิดละหน่อย โดยจะจัดสร้างหรือบูรณปฏิสังขรณ์อะไรก็ลำบาก

    ปีนั้นตกลงกันว่าจะไปทอดกฐิน ณ วัดป่าสัมมานุสรณ์ โดยมีจุดประสงค์จะช่วยเรื่องงานก่อสร้างเจดีย์ของหลวงปู่ที่ท่านว่าจะไว้เก็บอัฐิธาตุของท่านให้เสร็จลุล่วงไป เรียนถามท่านอาจารย์บัวคำซึ่งเป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น ท่านว่ายังต้องใช้เงินอีกราว 7-8 แสนบาท หลังจากนั้นจึงมีการกำหนดแผนงานกฐินขึ้นมา โดยมากกฐินของพวกเราที่ทำกันมาก็มักจะประกอบด้วย กฐิน 1 วัด ตามด้วยผ้าป่าอีก 5-6 วัด แต่ถึงเวลาเข้าจริง ๆ กลายเป็นทอดผ้าป่า 8-9 บางทีถึง 10 วัด แถมวัดโน่น วัดนี่ โดยเฉพาะตอนหลวงปู่หลุยยังอยู่ท่านมักจะว่า เอ้า.....บังคับสุรีพันธุ์เอาบังคับเอาให้ไปช่วยวัดโน้นวัดนี้ อะไรทำนองนี้ เป็นเรื่องที่สนุกสนานชื่นอกชื่นใจที่หลวงปู่บอกทางบุญให้เรา

    เนื่องจากเราจัดไปทอดกฐิน-ผ้าป่าหลายวัด การเตรียมงานจะต้องมีการติดต่อให้ทราบก่อนว่า กฐินใหญ่จะต้องกำหนดวันที่ท่านว่างและอยู่วัด ทราบกำหนดของวัดใหญ่แล้วจะได้สามารถกำหนดรายการของวัดอื่นๆ และเส้นทางการเดินทางให้ต่อเนื่องกัน เวลานั้นผู้เขียนจึงอยากพบท่านเพื่อจะกราบเรียนถามถึงเรื่องนี้ คิดว่า เอ...ทำไงจะได้พบหลวงปู่ เราอยากพบท่านจะได้กราบเรียนถามท่านว่าว่างหรือเปล่า อยู่ๆก็มีเสียงโทรศัพท์มาถึงบอกว่า "หลวงปู่ชอบมาถึงกรุงเทพฯ แล้วสั่งให้โทรฯ บอกสุรีพันธุ์"

    ตอนนั้นไม่ทันเฉียวใจ ไปกราบท่านเวลาท่านมากรุงเทพฯ บางครั้งท่านมาพันที่ กม.27 บางครั้งท่านก็พักที่วัดอโศกการาม ผู้เขียนไปกราบท่านไม่ทันได้ฉุกคิด คิดว่าเป็นเหตุการณ์ประจวบเหมาะ บังเอิญอยู่เรื่อยๆ บังเอิญหลายๆครั้งเข้า เอ๊ะ มันไม่น่าจะบังเอิญ เราอยากพบท่านครั้งใด ท่านมักจะ บังเอิญ ต้องลงมากรุงเทพฯให้โทรฯ มาตามสุรีพันธุ์ว่า ท่านมาถึงแล้ว ทุกครั้งที่เรามีธุระอยากจะกราบเรียนถามท่าน

    เรื่องที่ต่อเนื่องและเห็นชัดเกี่ยวกับ การนิมนต์ทางจิต คือในปี 2535 เป็นปีแรกที่หลวงปู่เทสก์เตือนผู้เขียนว่า อายุล่วงไปมากแล้วควรงดการจัดทอดกฐิน ผ้าป่า ซึ่งเสียเวลาเตรียมการมาก หันมาภาวนาให้เป็นกิจจะลักษณะเสียที ผู้เขียนเรียนท่านว่า งานสร้างศาลาภูทอกยังไม่เรียบร้อย เพราะศาลานี้สร้างสำหรับถวายพระราชกุศล เวลานั้นผู้เขียนอยากพบหลวงปู่ชอบตั้งใจจะนิมนต์ท่านมาเป็นประธานในพิธีเททองหล่อพระประธานที่ภูทอก ในวันที่ 23 ตุลาคม ปี 2535

    วันหนึ่งซึ่งอยู่ในช่วงระยะที่ผู้เขียนไปจำพรรษาที่ วัดหินหมากเป้ง ได้ไปกราบอาจารย์ติ๊กที่วัดป่าห้วยลาด ซึ่งอยู่แถวภูเรือ จังหวัดเลย ขากลับคิดจะแวะวัดโคกมนเป็นเวลา 4 โมงกว่าเกือบ 5 โมง คุณอุดม ลัมกานนท์ ซึ่งไปกับผู้เขียนหันมาถามว่า

    "พี่ไม่แวะไปกราบหลวงปู่ก่อนหรือ"

    ตอนนั้นผู้เขียนเกรงว่าหากจะแวะโคกมนเราก็อดที่จะอ้อยอิ่งคุยกับท่านนาน คงกลับเข้าหินหมากเป้งไม่ทันเวลา 6 โมงเย็น ระยะนั้นที่วัดหินหมากเป้งมีระเบียบให้ปิดประตูใหญ่เวลา 6 โมงเย็น

    คนที่อยู่ในวัดหากจะต้องไปธุระข้างนอก ต้องเข้าวัดให้ทันก่อนเวลาปิดประตู หากกลับเข้าวัดช้าอาจจะเป็นเรื่องเป็นเรื่องยุ่งยากลำบาก

    วันนั้นผู้เขียนเลยตัดสินใจไม่แวะเข้าวัดโคกมน คุณอุดมถามอย่างสงสัยว่า

    "แล้วพี่จะนิมนต์หลวงปู่ได้ยังไง ท่านอาจารย์ติ๊กก็กำชับมาให้พี่นิมนต์หลวงปู่ชอบไปเป็นประธานงานเททองให้ได้"

    ผู้เขียนตอบเล่นๆ

    "ไม่เป็นไร นิมนต์หลวงปู่ทางจิตก็ได้ นิมนต์ขอให้ท่านมาพบเราที่วัดหินหมากเป้ง"

    สองวันต่อมา ขณะที่ผู้เขียนกำลังเดินจงกรมภายในกุฏิที่วัดหินหมากเป้ง กุฏิที่หลวงปู่เทสก์ได้เมตตาอนุญาตให้สร้างขึ้น โดยท่านเป็นผู้เลือกที่ให้อยู่ที่บริเวณริมแม่น้ำโขง ไว้สำหรับเป็นที่พักภาวนา มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ผู้เขียนเปิดประตูออกไปดู แม่ชีคนหนึ่งมาขอพบ พอถามว่ามีธุระอะไร

    แม่ชีบอกว่า "มาจากโคกมน หลวงปู่ให้มาล่วงหน้ามาบอกคุณหญิงว่าเดี๋ยวท่านจะมา"

    ผู้เขียนรู้สึกแปลกใจ "หลวงปู่มาเยี่ยมหลวงปู่เทสก์"

    แม่ชีตอบ "ใช่ ท่านให้แม่ชีมาบอกคุณหญิงก่อน"

    ผู้เขียนซักต่อ "แล้วหลวงปู่มาได้ยังไงละ"

    ก็ได้คำตอบว่า "มากันรถหลายคัน ส่วนคันที่แม่ชีนั่งมาเป็นคันหน้ามาถึงก่อน"

    ผู้เขียนรู้สึกตกใจ จำได้ว่าเป็นวันที่ 1 สิงหาคม เพียงสองวันหลังจากวันที่เกือบจะแวะวัดโคกมน!

    เทวดามากราบรูปหลวงปู่

    "หลวงปู่จะมาวัดหินหมากเป้ง....ก่อนอื่นคงต้องรีบไปเรียนหลวงปู่เทสก์ให้ท่านทราบก่อน เพื่อเตรียมต้อนรับหลวงปู่ชอบ ตัวผู้เขียน คิดว่านับเป็นโอกาสพิเศษ อันเป็นมงคลยิ่งที่หลวงปู่ทั้งสองท่านจะมาพบกัน ควรที่จะบอกต่อ ๆ ให้คนอื่น ๆ ในวัดได้ทราบด้วย

    ผู้เขียนก็รีบไปบอกพรรคพวกใครต่อใครให้ทราบกัน แล้วนึกขึ้นได้ เอ๊ะ แม่ชีที่มาบอกข่าวหายไปไหน อยากคาดคั้นถามให้แน่ใจอีกสักครั้ง เพราะเกิดลังเลว่าจะเชื่อคำบอกของแม่ชีคนนั้นได้แค่ไหน เกิดถ้าหลวงปู่ไม่มาอย่างที่บอกละ อารามตื่นเต้นกับข่าวนี้ เรารีบบอกคนโน้นคนนี้ให้ทราบกันหมด ก็ถ้าหลวงปู่ไม่มาละ เพื่อนฝูงคงหาว่าเป็นเด็กเลี้ยงแกะ แต่ถึงอย่างไรก็ตัดใจว่าคงเชื่อถือได้ ไม่น่าจะเป็นข่าวเท็จ

    เพียงชั่วครู่เดียวก็ทราบกันไปทั้งวัด ผู้เขียนรีบไปกราบเรียนหลวงปู่เทสก์ว่า โอกาสอย่างนี้หาได้ยากเป็นโอกาสพิเศษ ขอโอกาส ขออนุญาต หากล้องมาถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก หลวงปู่เทสก์ยิ้มอย่างเมตตา ท่านเห็นด้วยให้ไปหากล้องถ่ายรูปมา เรียนถามท่านว่า จะให้ใครเป็นผู้ถ่ายรูปดี หลวงปู่เทสก์ตอบผู้เขียนว่า

    "คุณนั่นแหละเป็นคนถ่าย"

    สักประเดี๋ยว หลวงปู่ชอบก็มา ชาววัดหินหมากเป้งทุกคนตื่นเต้นดีใจ แต่งตัวห่มผ้ามารอที่กุฏิเพื่อกราบหลวงปู่ต่างชื่นอกชื่นใจที่เห็นภาพหลวงปู่ทั้งสองมาพบกัน ตัวผู้เขียนถ่ายรูปเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกกระทั่งฟิล์มหมดม้วน ด้วยความดีอกดีใจต่อภาพที่ท่านยิ้มหัวต่อกัน คุยทักทายกันอย่างร่าเริงล้อเลียนกัน โดยเฉพาะที่ท่านทักกันเรื่อง "ขาลาย" เลยทำให้แอบทราบความลับว่า หลวงปู่เทสก์ก่อนบวชท่านก็เคยไปสัก "ขาลาย" เช่นเดียวกับหลวงปู่ชอบ แต่คนไม่ค่อยรู้กัน

    ภาพที่ถ่ายวันนั้น พอส่งฟิล์มไปล้าง ด้วยความปลาบปลื้มใจ ผู้เขียนสั่งอัดรูปอย่างละ 200 รูป 400 รูป มาแจกกันให้ทั่ววัด ต้องไปสั่งอัดถึงอุดรฯ และยังสั่งอัดรูปใหญ่อีกคิดจะเก็บไว้ถวายหลวงปู่ เกือบลืมเล่าไปว่า การมาวัดหินหมากเป้งคราวนั้น หลวงปู่ท่านพูดคล้ายกับว่า ที่นิมนต์มาท่านก็มาให้แล้ว มีธุระอะไร ผู้เขียนจึงถือโอกาสกราบนิมนต์ท่านไปเป็นประธานเททองหล่อพระที่ภูทอกในวันที่ 23 ตุลาคม

    วันหนึ่ง ผู้เขียนเจอกับเหตุการณ์น่าประหลาดอีก หลังจากเสร็จจากการทำวัตรเย็น ฟังเทศน์ และต่อท้ายด้วยการเจริญภาวนาที่ศาลาใหญ่ราวๆสามทุ่มก็เลิก ต่างแยกย้ายกันกลับกุฏิ ผู้เขียนเดินกลับกุฏิ โดยขณะนั้น ใจยังคงรู้สึกอิ่มเอมจากการภาวนา ผู้เขียนมองไปทางริมโขง พลันให้ฉงนใจที่เห็นกุฏิหลังหนึ่งสว่างไสว ทีแรกตกใจเพราะเหมือนๆ กับกุฏิของผู้เขียนมาก คิดว่าเราเผลอเปิดไฟทิ้งไว้ ปกติที่หินหมากเป้ง จะใช้ไฟฟ้ากันอย่างประหยัดมาก อย่างผู้เขียนเองจะเปิดไฟพอให้รู้ว่าอะไรอยู่ที่ไหนแล้วก็ปิด ใช้ไฟฉายส่องแทน เพราะไม่ต้องการใช้ไฟวัดอย่างฟุ่มเฟือย แต่ก็ไม่ใช่เพราะกุฏิของเรามีสองหน้าต่าง แต่กุฏิที่กำลังเห็นมีสามหน้าต่างข้างในสว่างไสว ข้างนอกสว่างจ้า ราวกับมีใครเอาไฟสปอร์ตไลท์สาดส่องทั้งตัวบ้าน

    ขณะที่ผู้เขียนกำลังจับตาจ้องมองภาพนั้น ไม่ได้หยุดเดินคงเดินไปช้าๆ จนกระทั่งเท้าสะดุดเอารากไม้เข้า เมื่อเงยหน้าอีกครั้งภาพกุฏิหลังนั้นหายวับไปแล้ว ผู้เขียนเดินต่อไปที่กุฏิที่พัก กุฏิผู้เขียนยังอยู่ในความมืด เพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจ เลยลองเปิดไฟรอบบ้านทุกดวงให้สว่าง แต่ก็หาได้สว่างเท่ากับกุฏิหลังที่เห็นเมื่อกี้นี้ไม่ อีกอย่างหนึ่ง มุมที่ผู้เขียนสังเกตเวลาเดินมาจากศาลานั้น ปกติจะมองไม่เห็นกุฏิที่ผู้เขียนอยู่ เพราะมีกุฏิหลังอื่นบัง แต่ภาพที่เห็นเมื่อสักครู่ที่ผ่านมากลับเห็นชัดประหนึ่งไม่มีกุฏิ หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาบดบังเลย

    ทำให้นึกไปถึงเมื่อครั้งสร้างกุฏิหลังนี้ ตอนนั้นหลวงปู่เทสก์ท่านได้เมตตาช่วยเลือกแบบให้ ใจเราอยากทำหน้าต่างสามบาน แต่เนื่องจากกั้นทำห้องนอนสองห้อง จึงไม่อาจทำได้ ช่างทำไว้ให้แต่หน้าต่างสองบาน จำได้ว่าหลวงปู่ยังบอกว่า

    "หน้าต่างถ้าไม่ชอบใจจะแก้ก็ได้นะ ให้เป็นหน้าต่างสามบาน"

    ยังคิดแปลกใจว่า หลวงปู่ท่านทราบได้อย่างไรว่า เราอยากได้หน้าต่างสามบาน เพราะไม่เคยบอกเรื่องนี้กับท่านหรือใครเลย แต่ก็เรียนท่านไปว่า หลวงปู่เมตตาอย่างไร ก็ให้เป็นไปตามนั้นคงไม่ต้องแก้ไขอะไร

    เป็นไปได้ไหมว่า การที่ใจเราอยากได้หน้าต่างสามบานกุฏิทิพย์ที่ปรากฏให้เห็นจึงมีหน้าต่างสามบาน หลวงปู่ชอบเคยบอกว่า เวลาพวกเทพมากันมากๆ แสงเทพจะสว่างไสวยิ่งกว่าเปิดไฟร้อยแรงเทียนหลายๆ ดวงพร้อมกัน หากเป็นแสงเทพจริงแล้ว เทพท่านมาที่กุฏิเรา ทำไม!

    ทันใดก็นึกขึ้นมาได้ว่า ได้เอาภาพหลวงปู่สององค์ที่ท่านกำลังคุยกันมาขยายใหญ่ใส่กรอบ ตั้งบูชาไว้ที่กุฏิที่พักชะรอยเหล่าเทพทั้งหลายคงจะมากราบรูปหลวงปู่ที่เราตั้งไว้บูชาในนั้น เพราะตามประสบการณ์ของผู้เขียนเวลาเห็นภาพทำนองนี้สิ่งที่เห็นจะชัดเจน หากว่ามีอะไรที่มาบดบังขวางสายตาอยู่ข้างหน้า ก็คล้ายกับจะถูกมองทะลุผ่านไปลอยเด่นราวกับไม่มีอะไรบดบังอยู่เลย

    รุ่งขึ้น ได้เล่าถวายหลวงปู่เทสก์เรื่องภาพกุฏินั้น เอารูปไปให้ท่านดูด้วยเรียนถามท่านถึงการที่กุฏิผู้เขียนสว่างไสว

    "เข้าใจว่าเป็นเพราะมีเทวดามากราบรูปหลวงปู่ใช่ไหมเจ้าคะ"

    ท่านทำหน้ายิ้มๆ ปกติหากเราเข้าใจไม่ถูกต้องหรือไม่ใช่แล้ว ท่านจะพูดปฏิเสธหรือทักท้วงคำพูดนั้นทันที

    ครั้นนำรูปนี้ไปเรียนถามหลวงปู่ชอบบ้าง

    "ใช่ไหมเจ้าคะ เทวดาเขามากราบรูปหลวงปู่ทั้งสององค์ ถึงได้มีแสงสว่างเจิดจ้าอย่างมากมาย ยิ่งกว่าเราเปิดสปอร์ตไลท์ทั้งบ้านเสียอีก"

    หลวงปู่อมยิ้มไม่ตอบ

    พูดถึงเทวดาที่หินหมากเป้ง ครั้งหนึ่งผู้เขียนไปนั่งภาวนาบนพลาญหินริมฝั่งโขงภาวนาไปพักใหญ่ออกรู้สึกเมื่อยจึงลืมตาขึ้นมองไปบนฟ้า เห็นองค์หลวงปู่เทสก์ใหญ่ ใหญ่มากคลุมทั้งวัดหินหมากเป้ง บอกให้เพื่อนที่อยู่ใกล้ๆ ดู บางคนเห็น บางคนก็ไม่เห็น พอไปเล่าถวายหลวงปู่ท่านก็ยิ้มๆ ถามว่า เห็นเหมือนกันเรอะ แต่ท่านไม่ได้ปฏิเสธอะไร ธรรมดาถ้าคิดไม่ถูกท่านจะบอกว่าคิดกันไปเอง หรืออะไรทำนองนั้น คราวนั้นท่านเพียงแต่ยิ้มๆแล้วเสริมว่า

    "เอ้า....ภาวนาต่อไปให้ดีนะ"

    อีกครั้งหนึ่ง ที่พลาญหินริมโขงเช่นกัน กำลังภาวนาไปสักสองชั่วโมง มีเวทนามาก เผลอลืมตามองไปทางมณฑปที่หลวงปู่อยู่ เห็นแสงที่ยอดไม้ เป็นวิมานเรือนยอดสวยมาก ธรรมดาก่อนหน้านี้ เวลาเราเห็นแสง จะเป็นแสงสีเดียว แต่แสงที่กำลังเห็นเป็นแสงหลายสี สีเขียว สีเหลือง สีแดง สุดท้ายเป็นแดงจัด แล้วปรากฏมีเทวดาเดินออกมาจากวิมานมาให้เราเห็น จำได้ว่าเครื่องแต่งกายเป็นสีแดงขลิบดำ ดูอยู่พักหนึ่งจึงบุ้ยใบ้ชี้มือให้เพื่อนคือ คุณ<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>ชมศรี สุทธเชื้อนาค ดู คุณชมศรีแต่แรกไม่เห็น ต่อมาก็เห็นภายหลังมาเล่ากัน เธอบอกว่าเป็นแสงสีขาวสีเดียว ไม่เป็นหลายสีอย่างผู้เขียนเห็น

    เมื่อเล่าถวายให้หลวงปู่ฟัง ท่านว่า

    "คุณสุรีพันธุ์เห็นวิมานเทวดา" เรียนท่านว่า

    "ทำไมสวยมาก"

    ท่านชี้มือไปที่ต้นมะม่วงใกล้กับอีกต้น

    "ต้นนี้ก็มีเทวดา"

    แล้วชี้ไปที่ต้นอื่นๆอีกหลายต้น

    "ต้นนั้น ก็มี"

    หรือบางวันมองมาทางมณฑป ก็ให้นึกแปลกใจ

    "เอ๊ะ..ทำไมวันนี้ท่านเปลี่ยนม่านไปแล้ว เป็นสีเขียวเรืองสวย เขียวอมฟ้าสวยมาก เมื่อวานเราก็ไม่ทันสังเกต"

    พอรุ่งขึ้นเช้ามามองอีกที

    "อ้าว ก็ม่านอันเก่านี่ เป็นม่านสีเหลืองซีดๆอย่างเก่า"

    พอไปเล่าถวายให้ท่านฟัง

    "หนูนึกว่าหลวงปู่ให้เปลี่ยนม่าน พอไปดูวันรุ่งขึ้นกลับเป็นม่านอันเก่า"

    เรียนท่านเพิ่มเติมว่า การเห็นทั้งหมดนี้เป็นการเห็นด้วยตาเนื้อ ไม่ได้เห็นในนิมิตร คือตาเห็น ๆ นี่แหละ หลวงปู่เทสก์ท่านอธิบายว่า เป็นอำนาจของสมาธิ คือก่อนหน้านั้นเราทำสมาธิ แม้เมื่อลืมตาแล้ว จิตก็ยังทรงอยู่ในสมาธิอีกระดับหนึ่ง จึงเห็นภาพที่ภพภูมิของมนุษย์ธรรมดามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า


    *********************************************************************************
    ที่มา http://www.watkoh.com/forum/index.php?topic=394.0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2010
  2. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    ได้ยินชื่อท่านมานานแล้วค่ะ สักวันคงมีโอกาสได้ไปวัดท่านบ้าง
     
  3. ลูกเกต

    ลูกเกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +104
    อนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ

    ขอท่านผู้รู้ บอกบุญ ที่ operation_worship@hotmail.com

    บุญของข้าพเจ้าสำเร็จเพียงใด ขอท่านจงสำเร็จเช่นนั้นด้วยเทอน สาธุ


    ______________________________________________
    ลูกศิษย์ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ
     
  4. fullmoonsun

    fullmoonsun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    735
    ค่าพลัง:
    +2,321
    Anumothana.....Sathu
     
  5. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    [​IMG]

    [​IMG]
     
  6. ธรรมญาณี

    ธรรมญาณี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +18
    เคยสงสัยเรื่องนี้ อยู่เหมือนกันค่ะ
    ขอบคุณ ที่แบ่งปันความรู้เพิ่มเติม
    ขออนุโมทนา ค่ะ
     
  7. SangsongTham

    SangsongTham Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +51
    ขอร่วมอนุโมทนาบุญด้วยคนครับ บารมีท่านช่างสูงหรือเกิน
     
  8. เด็ก3ขวบ

    เด็ก3ขวบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    349
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ขอกราบอนุโมทนาด้วยคับไม่มีพลังไหนจะยิ่งใหญ่เกินพลังจิตไปได้
     
  9. kornkamolk

    kornkamolk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +532
    โมทนา สาธุ กับบทความดีๆ ที่ท่านได้นำมาแบ่งปันความรู้ครั้งนี้ด้วยค่ะ

    สาธุ..:cool:
     
  10. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม


    .......ญาติโยมวัดบวรนิเวศ วิหาร และวัญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่าว่าเคยได้ประจักษ์ในอิทธิฤทธิของการปฏิบัติพระพุทธศาสนา ที่เกี่ยวกับท่านพระอาจารย์<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]ชอบ ฐานสโม</st1:personName> และเคยเล่าให้ฟังด้วยความปิติโสมนัสมหัศจรรย์ในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง

    ขอนำมาบันทึกไว้เพื่อให้บรรดาผู้สนใจในเรื่องอิทธิฤทธิปาฏิหาริย์ได้ซาบซึ้ง ในพระพุทธศาสนา ที่เป็นเพียงจุดเล็กน้อยนักเมื่อเปรียบเทียบกับความยิ่งใหญ่แห่งพระธรรมคำ ทรงสอน ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงนำให้มีผู้รู้ตาม เสด็จ ได้พ้นทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ได้เป็นผู้ชนะที่ไม่กลับแพ้อีกต่อไป

    เรื่องที่ปรากฏประจักษ์แก่ญาติโยม วัดญาณสังวรารามฯ เมื่อ ๒๐ - ๓๐ ปีมาแล้ว เมื่อท่านพระอาจารย์<st1:personName w:st="on" ProductID="หลวงปู่ชอบ ท่านยังมีชีวิตอยู่">หลวงปู่ชอบ ท่านยังมีชีวิตอยู่</st1:personName> ยังมิได้ละสังขารไปเช่นขณะนี้ ครั้งนั้นเกิดฝนแล้ง น้ำตามอ่าง ตามห้วยในบริเวณวัดญาณสังวรารามฯ แห้งขอด

    ผู้คนเดือดร้อน ญาติโยมผู้หนึ่งนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่หลวงปู่ท่านเคยเป็นพญานาคราช ที่ได้ยินผู้เล่าให้ฟัง โดยไม่เคยได้ฟังโดยตรงตรงจากหลวงปู่ท่าน เพราะไม่เคยรู้จักท่าน เรื่องที่เคยได้ยินก็คือ ที่ใดน้ำแล้งและหลวงปู่ได้รับอาราธนาไปโปรด พญานาคจะตามท่านไปทั้งครอบครัว ช่วยให้น้ำฟู่ฟู่ เต็มไปทุกแห่ง

    ช่วงที่น้ำแห้งทั่ววัดญาณสังวรารามฯ นั้น หลวงปู่ท่านไปโปรดผู้คนตามคำอาราธนาที่อเมริกา เป็นเหตุให้ลังเลกันอยู่เหมือนกันว่า หลวงปู่ท่านจะได้รับทราบคำร้องขอให้ท่านช่วยแก้ความเดือดร้อนเรื่องขาดน้ำ หรือไม่ เพราะท่านไปอยู่ไกลถึงต่างประเทศ แต่ด้วยความเดือดร้อนจริงๆ จึงตัดสินใจขอท่าน

    โดยรวมกันอ่านคำขอพร้อมกัน เป็นความจริงที่เล่ากันว่า เพียงผู้เขียนคำขอหลวงปู่จรดปากกาลงบนกระดาษเท่านั้น ฟ้าก็ลั่นสนั่นไปแล้ว เป็นสิ่งที่เหลือเชื่ออย่างยิ่งในหมู่ผู้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์

    ซึ่งเล่าต่อไปว่า เมื่อเขียนคำอ้อนวอนขอน้ำจากหลวงปู่จบ พร้อมกันอ่านเพียงสั้นๆ ฝนก็กระหน่ำหนักทันที ลูกเห็บตกเกรียวกราว เป็นที่รู้เห็นกันทุกถ้วนหน้า ความปิติตื่นเต้นยินดีพ้นจะพรรณนา ไม่กี่นาทีน้ำในบริเวณวัดญาณสังวรารามฯ ก็เต็มทั่ว

    เป็นความกรุณาที่ยิ่งใหญ่หาที่เปรียบมิได้ของหลวงปู่ท่าน ทุกคนซาบซึ้งเช่นนี้ และมีผู้หนึ่งเล่าในภายหลังว่าตั้งใจไปกราบขอบพระเดชพระคุณหลวงปู่ท่าน ทั้งที่ไม่เคยรู้จักท่านเลย รู้แต่ว่าขณะนั้นท่านอยู่อเมริกา

    ความตื่นเต้นซาบซึ้งในพระเดชพระคุณท่วมท้นจริงใจ ทำให้น้อมใจไปสัญญากับหลวงปู่ท่าน ว่าท่านกลับจากอเมริกาเมื่อใด อยู่ที่ไหน จะไปกราบสนองความเมตตา อย่างไม่น่าเป็นไปได้ของท่าน บรรดาผู้กราบขอรบกวนท่านนั้น ไม่มีผู้ใดรู้จักท่านมาก่อนเลย

    เพียงได้ยินชื่อเสียงและกิติศัพท์ความเคยเป็นพญานาคราช ในอดีตชาติของท่านเท่านั้น และเป็นยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ หลังเหตุการณ์ที่ฝนตกตามคำขอของญาติโยมวัดญาณสังวรารามฯ มาแล้ว ไม่นานวันขณะที่ญาติโยมพวกนั้นกลับจากวัดญาณสังวรารามฯ ไปรวมอยู่ใน “ห้องกระจก” วัดบวรนิเวศวิหาร

    มีสุภาพสตรีผู้หนึ่งเปิดประตูเข้าไปยืน พร้อมกับพูดขึ้นมาลอยๆ ไม่เจาะจงว่าพูดกับผู้ใด เธอพูดว่า “หลวงปู่ชอบ ท่านมาให้บอกห้องกระจกว่า ท่านมาแล้ว จะให้ท่านพักที่ไหน”

    สุภาพสตรีผู้นั้นพูดเช่นนั้นจริงๆ ไม่มีผู้ใดเคยพบเธอมาก่อน ว่าเป็นใครมาจากไหน เธอไม่เคยเข้าไปใน “ห้องกระจก” เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเธอ แต่เธอก็เป็นผู้นำคำบอกเล่าที่ตื่นเต้นแปลกใจที่สุดสำหรับพวกเรา

    ทุกคนไม่ถามอะไรทั้งสิ้น ลุกขึ้นพร้อมกันตามเธอออกประตู “ห้องกระจก” ทันที และที่หน้าห้อง ตรงทางไปสู่ศาลา ๑๕๐ ปี ทุกคนก็ได้เห็นท่านพระอาจารย์<st1:personName w:st="on" ProductID="ชอบ ฐานสโม">ชอบ ฐานสโม</st1:personName> นั่งหน้าสงบเฉยอยู่ในเก้าอี้เข็นที่ท่านนั่งเป็นประจำ เพราะท่านไม่เดินนานปีแล้ว

    เมื่อญาติโยมจาก “ห้องกระจก” เห็นตื่นเต้นเข้าไปกราบท่าน ท่านก็มองเฉยๆ มิได้แสดงอะไรทั้งสิ้น เพราะท่านก็มิได้รู้จักญาติโยมเหล่านั้นสักคนเดียว การที่สุภาพสตรีผู้นั้นบอกเมื่อเข้าไปใน “ห้องกระจก” เป็นที่อัศจรรย์ใจ ผู้รับฟังทุกคน “หลวงปู่ชอบ ท่านมาให้บอกห้องกระจกว่า ท่านมาแล้ว จะให้ท่านพักที่ไหน”

    เป็นไปได้อย่างไร ราวกับท่านได้รับคำบอกกล่าว จากพวกห้องกระจกว่ามุ่งมั่นจะได้กราบท่านด้วยความสำนึกในพระเดชพระคุณอย่าง จริงใจ ที่ท่านกรุณาให้น้ำตามคำขอ ทั้งที่ท่านอยู่อเมริกาแสดงว่าหลวงปู่ท่านได้ทราบถึงใจกตัญญูรู้คุณของผู้ ที่ซาบซึ้งพระคุณของท่านที่สุด

    จึงได้ตั้งใจจริงว่า จะไปกราบสำนึกพระคุณของท่านที่ให้น้ำตามคำขอ และที่ท่านอุตสาห์ไปถึงวัดบวรนิเวศวิหาร ไปถึงผู้อธิษฐานจิต ที่เพียงคิดในใจ และมิได้บอกกล่าวผู้ใดก่อนนั้นเลย ท่านมาและตรงไปที่ “ห้องกระจก” ทั้งยังบอกให้รู้ว่า ท่านมาแล้ว ใครฟังก็เหมือนมีผู้ไปอาราธนาท่านมา ท่านจึงมา

    เป็นความชื่นใจของผู้ได้รับอย่างพ้นพรรณนา หลวงปู่ท่านเมตตาอะไรเพียงนั้น ไม่ทำให้ต้องลำบากไปหาท่าน ท่านสู่มาหาถึงที่ทีเดียว ไม่ให้ซาบซึ้งไม่ให้ตื่นเต้นไม่ได้แล้ว หลวงปู่ท่านต้องรู้ ต้องเห็นจิตใจของผู้สำนึกในพระเดชพระคุณท่านแน่ จึงเมตตามาอนุโมทนา …..

    ************************************************************************************

    ที่มา : แสงส่องใจ ๒ มิถุนายน ๒๕๔๗ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
     
  11. kosabunyo

    kosabunyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,045
    จิง จริงคับ ขอยืนยัน
     
  12. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    อ่านข้อมูลมา 6 ชั่วโมง มีอะไรดี ดี มากจัง

    นอนไม่หลับ มา 2 เดือน เปิดเน็ตมา 6 ชั่วโมง ได้อะไรดี ๆๆ กลับไป รวมทั้งข้อมูลล่าสุดนี้ด้วย ขอบคุณค่ะ
     
  13. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    หลวงปู่ชอบกับพญานาค

    ....หลวงปู่ชอบ ฐานสโม เป็นศิษย์รูปหนึ่งของพระอาจารย์<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>มั่น ภูริทัตโต ... มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ชอบได้ธุดงค์ร่วมกับพระอาจารย์<st1:personName w:st="on" ProductID="มั่น ท่านเล่าไว้ว่า">มั่น ท่านเล่าไว้ว่า</st1:personName>

    “เราตามท่านพระอาจารย์มั่นไปปักกลดอยู่ริมบึงน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ในเขตป่าดงดิบ เราเดินสำรวจรอบๆ ปากบึง ได้พบความผิดปกติอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ เพราะปกติแล้ว น้ำในบึงย่อมเป็นที่พึ่งพาอาศัยของเหล่าสัตว์ป่าทั้งหลาย เมื่อมีสัตว์มากินน้ำแล้ว ย่อมต้องทิ้งร่องรอยไว้ แต่ที่นี่ ทำไมไม่ปรากฏรอยเท้าสัตว์เลย...

    เราจึงได้กำหนดจิตตรวจดู ก็ทราบว่า พญานาคไร้คุณธรรมตนหนึ่ง ได้พ่นพิษครอบคลุมน้ำในบึงเอาไว้ ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ หากกินน้ำในบึงนี้แล้ว ย่อมถึงความสิ้นชีวิต ด้วยพิษอันร้ายกาจนั้น เราจึงเข้าไปบอกพระธุดงค์รูปอื่นๆ อย่าแตะต้องน้ำในบึงนี้ และได้ไปเรียนให้ท่านอาจารย์ทราบ... ท่านอาจารย์ก็บอกว่า “เธอพูดถูกต้องแล้ว ขอให้งดให้น้ำก่อน เราจะไปติดต่อกับพญานาคเอง”

    ต่อมาวันหนึ่ง ท่านอาจารย์เรียกเราไปบอกว่า "เธอไปบอกให้พระรูปอื่นใช้น้ำในบึงได้แล้ว” ซึ่งเราได้ทราบภายหลังว่า ท่านอาจารย์ได้ทรมานพญานาคจนหมดทิฐิ แล้วบอกว่า “ท่านใยจึงพ่นพิษลงมา หมายจะสังหารพระสงฆ์ผู้ทรงศีล มิรู้หรือว่าเป็นกรรมหนักถึงตกนรกอเวจี ท่านจงรีบไปถอนพิษออกเสียเถิด”

    พระยานาคจึงไปถอนพิษออกจนหมดสิ้น ... ต่อมาพญานาคนั้น ได้ชวนพวกพ้องบริวารมาฟังธรรมจากท่านอาจารย์ และถวายอารักขาแก่คณะพระธุดงค์ จนย้ายไปที่อื่น <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ………………………………………………………………


    หลวงปู่ชอบ เมื่อคราวท่านนำหมู่คณะพระสงฆ์ธุดงค์ข้ามไปฝั่งลาว แล้วปักกลดอยู่ใกล้หมู่บ้านลาว ไม่ไกลจากแม่น้ำโขง ...หลังจากท่านฉันภัตตาหารแล้ว ชาวบ้านได้นำบาตรขอท่านไปล้าง และเทเศษอาหารลงไปในน้ำโขง

    ณ ขณะนั้น ท่านก็ได้ยินเสียง ตลิ่งพังครืนๆ พร้อมกับชาวบ้านที่อยู่ริมตลิ่ง วิ่งหน้าตื่นตกใจหนีมาหาท่าน.. ท่านกำหนดจิตตรวจดูก็รู้ทั่วทั้งหมด... พอชาวบ้านวิ่งมาถึง ก็เล่าให้ท่านฟังว่า

    “น้ำในแม่น้ำโขงที่ใสๆ อยู่ๆ ก็ขุ่นคลั่ก เหมือนมีอะไรมากวนน้ำจนน้ำเป็นน้ำวนใหญ่รุ่นแรง แรงหมุน ทำให้คลื่นน้ำมากระทบตลิ่ง จนตลิ่งพังทลายลง ถ้าวิ่งหนีไม่ทัน มีหวังจมลงไปในน้ำวนแน่ๆ”

    หลวงปู่ทราบแล้วว่า พญานาคในลำน้ำโขง มีความโกรธที่คนเหล่านั้นเอาน้ำพริก น้ำปลาร้าไปถูกตัวเขาซึ่งอยู่แถวนั้นพอดี เขาจึงใช้ลำตัวฟาดไปมาด้วยแรงฤทธิ์ ทำเอาน้ำวนและตลิ่งพัง.. หลวงปู่ชอบจึงบอกชาวบ้านว่า

    “อย่าเอาน้ำพริกน้ำปลาร้า เศษกับข้าว ไปเทลงในน้ำอีกเด็ดขาด”
    <O:p</O:p
    ต่อมา มีพระรูปหนึ่งถือดี ไม่เชื่อฟังหลวงปู่ชอบ... วันหนึ่งแอบเอาเศษน้ำล้างบาตร ไปเทลงในแม่น้ำ ก็เกิดเหตุอาเพท น้ำหมุนวน ตลิ่งพัง จนต้องรีบวิ่งหนี แทบเอาชีวิตไม่รอด... หลังจากนั้น ทุกคน จงยอมเชื่อฟังแต่โดยดี

    เมื่อเข้าพรรษา หลวงปู่ชอบ ได้จำพรรษาอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ไม่ไกลแม่น้ำโขงนัก... คืนหนึ่งพญานาคตนนั้น ได้ขึ้นมาถวายความเคารพหลวงปู่ ที่ได้ห้ามคนไม่ให้ทิ้งเศษอาหารลงแม่น้ำ ทำให้น้ำสะอาด อยู่สบาย. นาคตนนั้น ส่วนหัวมานมัสการที่ปากถ้ำ ส่วนหาง ยังอยู่ที่ฝั่งน้ำโขงซึ่งห่างกันไกลเป็นกิโลเลยทีเดียว...

    หลวงปู่ชอบเล่าว่า

    “เราพบว่า เขาสร้างกรรมไว้โดยไม่ตั้งใจ คือ เมื่อชาติก่อน เขาเป็นชายหนุ่มผู้มั่นในศีล๕ แต่วันหนึ่ง ถือวิสาสะว่าคุ้นเคย ได้ถือมีดของพระสงฆ์ไปใช้เป็นของส่วนตัว ด้วยกรรมนี้ เมื่อตายไป จึงมาเกิดเป็นพญานาค แม้แสดงฤทธิ์ได้ แต่อับวาสนาไม่ได้เป็นคน...”
    <O:p</O:p
    ที่มา http://sitantara.50webs.com/lablae/plablae06.html
     
  14. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    หลวงปู่ชอบ พบ พญานาคราช ที่น้ำตกไนแอการ่า


    ....นอกจากพม่าและลาว ในภายหลังท่านก็ได้รับนิมนต์ไปปีนัง มาเลเซีย สาธารณรัฐประชาชนจีน และสหรัฐอเมริกา สังเกตว่าการรับนิมนต์นั้น หลวงปู่มุ่งจะไปโปรดญาติโยมที่อยู่ในดินแดนเหล่านั้นด้วย ซึ่งหลายครั้งที่ท่านยอมรับว่า เคยมีชีวิตผูกพันเกี่ยวข้องกับท่านมาแต่ในภพชาติก่อน ๆ

    เฉพาะที่สหรัฐอเมริกานั้น หลวงปู่ได้เดินทางไปโปรดญาติโยม ถึง ๓ ครั้ง ครั้งแรกในเดือนเมษายน ถึง พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ไปในงานวางศิลาฤกษ์ศาลาของวัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนทาริโอ รัฐแคลิฟอร์เนีย ครั้งที่สอง เดือนตุลาคม ถึง พฤศจิกายน ในปีเดียวกันนั้น เพื่อเป็นประธานในงานทอดผ้าพระกฐินพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ณ วัดภูริทัตตวนาราม เช่นกัน ในวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๓ และครั้งที่สาม หลวงปู่รับนิมนต์เมตตาไปจำพรรษาให้ ณ วัดพุทธรัตนราม เมืองเคลเลอร์ รัฐเท็กซัส ในปีพรรษา พ.ศ. ๒๕๓๔

    โดยที่ปัจจุบันนี้ ในสหรัฐอเมริกา อันเป็นประเทศที่มีดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล มีคนไทย ลาว เขมร อพยพไปตั้งถิ่นฐานบ้านช่องอยู่มาก แยกย้ายกันไปประกอบอาชีพกระจายกันไปทั่วทั้งประเทศ แทบทุกคนเป็นพุทธศาสนิกชน จึงได้มีพระภิกษุสงฆ์จากไทยรับนิมนต์จากศรัทธาญาติโยมไปตั้งวัดให้นับเป็น สิบ ๆ วัด นับเป็นศูนย์กลางรวมจิตใจของชาวไทยและเพื่อนชาวพุทธชาติอื่น ๆ ด้วย เมื่อทุกคนทราบข่าวการเดินทางไปจากเมืองไทยของหลวงปู่แต่ละครั้ง ก็จะมีผู้คนมาคอยรอรับที่สนามบินอย่างเนืองแน่น

    ระหว่างที่พำนักอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ญาติโยมไทย - ลาวที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาในองค์หลวงปู่ ก็มักจะนิมนต์ท่านไปโปรดตามสถานที่ต่าง ๆ แล้วแต่โอกาสอันควร ท่านมีเมตตาเล่าให้บรรดาลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดติดตามท่านไปว่า ที่วัดที่ท่านไปพัก เช่นวัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนทาริโอ วัดเมตตาวนาราม เมืองแซนดิเอโก วัดญาณรังษี ใกล้กรุงวอชิงตัน ดี ซี รัฐเวอร์จิเนีย

    ตอนกลางคืนมีพวกเทวดามานมัสการและขอฟังธรรมกับท่าน บางทีก็มามาก บางทีก็มาน้อย สำหรับที่วัดพุทธรัตนาราม ซึ่งเป็นที่ท่านอยู่จำพรรษานั้น เทวดามาทุกวันเลย ถ้าไม่มาตอนกลางคืน ก็มาตอนกลางวัน โดยมากจะพากันมาตอนกลางคืน

    การที่เทวดาจะมากราบหลวงปู่ตามวัดต่าง ๆ นี้ แม้เวลาทำวัตรสวดมนต์ เขาก็มาร่วมอนุโมทนาด้วย อยู่ในบริเวณศาลาก็มี อยู่นอกศาลาก็มี มากันมากมาย ส่วนมากจะเป็นเทวดาผู้หญิงมากกว่าเทวดาผู้ชาย

    คราวหนึ่งญาติโยมชาวลาวอพยพที่มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมือง บัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก ได้มีศรัทธานิมนต์หลวงปู่พร้อมคณะลูกศิษย์ผู้ติดตามไปโปรดพวกเขายังเมืองบัฟ ฟาโล เพราะที่นั้นยังไม่มีวัดพุทธศาสนาที่จะทำบุญด้วย


    ท่านโปรดเขาอยู่ที่เมืองบัฟฟาโลนั้นระยะหนึ่ง ท่านเล่าว่า ที่นั้นเคยเป็นสมรภูมิรบได้มีพวกอินเดียนแดงที่สู้รบกันสมัยก่อนแล้วตายไปพา กันมาขอส่วนบุญมากมาย ต่อมาญาติโยมนิมนต์ท่านจาริกต่อไปยังน้ำตกไนแอการ่าที่อยู่ริมเขตแดนระหว่าง อเมริกาและแคนาดา

    ไปถึงที่น้ำตกไนแอการ่าสักพัก บนท้องฟ้าซึ่งปลอดโปร่งแจ่มใส มีแสงแดดเจิดจ้า ก็กลับมีเมฆดำเคลื่อนมาบังอย่างกะทันหัน แล้วมีฝนตกลงมาอย่างหนัก อย่างแทบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้คณะติดตามไปต้องรีบพากันหาที่หลบฝนกันอย่างจ้าละหวั่น เพราะเป็นที่แจ้ง ไม่มีที่กำบังเลย และก็ไม่มีวี่แววเรื่องฝนจะตกมาก่อน ฝนตกหนักสักพักจึงหยุด พอออกจากที่หลบฝนสักประเดี๋ยว ฝนก็ตกอีกเป็นรอบที่สอง ทำให้ต้องหลบเข้าหาที่มีหลังคามุงกันชุลมุน

    มีศิษย์บางคนสงสัยเรื่องฝนครั้งนี้ เพราะปกติเวลาช่วงนี้ของปีเป็นฤดูร้อนที่มีอากาศแจ่มใสตลอด ปราศจากฝนมาหลายเดือนแล้ว และพยากรณ์อากาศซึ่งเคยแม่นยำตลอดมา ก็มิได้กล่าวเลยว่าวันนั้นจะมีฝน ทำไมจึงมีฝนขึ้นมาได้ ฝนตกลงมามากเสียด้วย และตกถึง ๒ ครั้ง ๒ ครา จึงได้กราบเรียนถามท่าน

    ท่านตอบว่า “พญานาคเขามากราบ”
    “พญานาคที่ไหนขอรับ”
    “ที่นี่....ไนแอการ่า”
    “พญานาคมา ? ฝนก็มา..?”
    “อือ พญานาคมา”

    ผู้เขียนนึกถึงที่ท่านเคยเล่าไว้ครั้งหนึ่งนานมาแล้วว่า คราวหนึ่งท่านอยู่กับหลวงปู่แหวนที่วัดห้วยน้ำริน จังหวัดเชียงใหม่ ปีนั้นเชียงใหม่แห้งแล้งอย่างมาก พวกญาติโยมก็พากันมาอ้อนวอนท่าน ขอให้เมตตา ต้นผลหมากรากไม้จะเหี่ยวแห้งแล้งกันตายหมดแล้ว สวนลำไย นาข้าวจะล่มหมดแล้ว ตุ๊เจ้าไม่ช่วยคงจะแย่ไปตามกัน ท่านทั้งสองเห็นใจญาติโยมที่หน้าแห้งอกไหม้ไส้ขม พากันมาร้องทุกข์ด้วยน้ำตาปริ่มตา ก็ช่วยกันสวดมนต์ขอให้ฝนตก

    ท่านเล่าว่า ฝนตกหนักติดต่อกันสามวันสามคืน น้ำท่วมเชียงใหม่ทั้งเมือง
    ขอพญานาคเขา เขามาช่วยกันเต็มที่ ทั้งพ่อ ทั้งแม่ ลูกเล็กเด็กแดง ตัวเล็กตัวน้อย ชูคอพ่นน้ำกันเป็นฝอย เต็มไปหมด
    จริง...พญานาคมา ฝนก็มา


    ****************************************************

    ที่มา :หลวงปู่ชอบ พบ พญานาคราช ที่น้ำตก ไนแอการ่า ทวีปอเมริกา
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  15. samajitto

    samajitto วิถีทาง วิถีธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +42
    อนุโมทนา สาธุ ครับ...
    การฝึกฝนประหนึ่ง พระอาทิตย์ที่ขึ้นทุกเช้าแล้ว จักสำเร็จเป็นแน่แท้
     

แชร์หน้านี้

Loading...