กรรมฐานพุทธภูมิปรมัตใกล้เต็ม

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 9 กรกฎาคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องของ พระพุทธภูมิที่บำเพ็ญบารมีถึงมาขั้นปรมัตแล้ว และท่านผู้นี้หลวงพ่อท่านก็ได้ให้การยอมรับ และลงใน หนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๓ (หนังสือนี้ส่วนตัวผมเชื่อเต็มร้อยว่าหลวงพ่อท่านตรวจสอบและรับรองทุกเรื่อง ส่วนท่านจะตรวจสอบวิธีไหนนั้นไม่ทราบ เพราะเคยทราบจากลูกศิษย์ใกล้ชิดว่า หลวงพ่ออ่านหนังสือพิมพ์แค่พาดหัวข่าวก็รู้เนื้อหาทั้งเล่ม ไม่งั้นจะเผยแพร่ในนามของวัดโดยระบุหลวงพ่ออนุญาตที่หน้าปกหนังสือไม่ได้) ท่านชื่อ จ.ส.อ.เสริมชัย บังเอิญเราเป็นกลุ่มเดียวกัน และท่านก็ได้เมตตาถ่ายทอดวิชาความรู้หลายอย่างให้ โดยเฉพาะด้านอารมณ์พุทธภูมิ ท่านแนะนำผมให้ได้รู้จักกับ คณะพุทธภูมิหลายกลุ่ม และได้พิสูจน์สิ่งที่ผมสงสัย โดยเฉพาะอารมณ์พุทธภูมิได้จนหมดสิ้น ผมก็ไม่ได้เปิดเผยความปรารถนา-การปฏิบัตินอกกลุ่ม เป็นสาธารณะมาหลายสิบปีแล้ว ตอนนี้คิดว่าถึงเวลาที่จะเปิดเผยบางอย่าง ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ใหญ่สำหรับบางท่าน

    ------------------------------------------------


    ประวัติชีวิตของผมในตอนต้น ก่อนที่ผมจะมาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง...

    ผมเองได้เคยคัดค้านคำสอนของหลวงพ่อมาก่อน เพราะผมไม่เคยเชื่อว่าระยะเวลาเพียง ๒-๓ ชั่วโมง จะพาผู้อื่นไปท่องเที่ยวนรกสวรรค์ได้ ผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องการสะกดจิตกันมากกว่า ขนาดพระที่วัดอื่นๆ ก็บวชมานานแล้วราว ๑๐-๒๐ ปี พระบางท่านก็ยังไม่เคยเห็นอะไรกันเลย ทั้งๆ ที่พระท่านก็ตั้งใจปฏิบัติกันดีมาตลอด ซึ่งผมเองเคยปฏิบัติโดยใช้สติปัฏฐาน ๔ มาตลอด วิธีนี้เขาปฏิเสธนิมิต เพราะนิมิตทำให้คนหลงตัวเอง และก็ทำให้นักปฏิบัติ เป็นบ้ามาแล้วเป็นจำนวนมาก ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทางที่ดีควรใช้สติปัฏฐานจะดีกว่า เพราะเป็นทางสายเอก ที่พระอริยะทั้งหลายปฏิบัติแล้วพ้นทุกข์จริง และผมก็เชื่อคำสอนในมหาสติปัฏฐานมาโดยตลอด...

    ...สัปดาห์ต่อมา แม่ได้ส่ง หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน มาให้ เมื่อผมได้อ่านหนังสือแล้ว ก็รู้สึกอยากมีฤทธิ์ขึ้นมาทันที ในวันต่มา น้องชายคนเล็กก็ได้นำ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน ของหลวงพ่อมาให้ เมื่อผมอ่านแล้วศรัทธาหลวงพ่อมาก และเมื่อพิจารณาตามธรรมที่ท่านเขียนไว้ ผมจึงเข้าใจว่าท่านรู้จริง เพราะท่านเคยไปศึกษา วิธีปฏิบัติจากพระอาจารย์เก่งๆ หลายท่านในกาลก่อน แนวการเขียนของหลวงพ่อนั้น ก็แจกแจงแยกเป็นหมวดหมู่ ซึ่งเมื่ออ่านแล้วจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น ผมจึงปฏิบัติตามหหนังสือของท่านเป็นครั้งแรก และสิ่งที่สำคัญที่สุด ก่อนที่จะปฏิบัตินี้ก็คือ การนำดอกไม้ธูปเทียน มากราบขอขมาหหลวงพ่อก่อน แล้วผมก็เริ่มปฏิบัติในหมวดฉฬภิญโญ ผมจริงนำอุปกรณ์ซึ่งเตรียมจะใช้นั้นคือ ดินสีอรุณ กว่าผมจะได้ดินเท่ากำปั้นมาได้ ผมต้องเสียเวลาไปถึง ๗ วัน เพราะต้องไปหาตามกลางนาที่เขาขุดขึ้นมาใหม่ๆ ต้องแตกแดด จนแสบหลังไปหมด พอผมได้ดินมาแล้ว ผมก็ยังปฏิบัติไม่ได้เพราะเป็นไข้อย่างหนัก ตอนนี้ผมไม่ต้องพิจาณาทุกข์เลย เพราะรู้ว่าเวลที่ป่วยมันทุกข์ขนาดไหน พอทุเลาผมก็ลองปฏิบัติใหม่ โดยการวางอารมณ์ตามหลวงพ่อสอนทุกอย่าง ผมปฏิบัติแบบนี้ถึง ๗ วันก็ยังไม่ได้อะไรเลย แม้แต่นิมิตเล็กๆ น้อยๆ ผมก็ยังไม่เห็น

    ในวันต่อๆ มา พระน้องคนกลางที่บวชอยู่ที่วัดหลวงพ่อ ท่านก็ส่งหนังสือปฏิปทาท่านผู้เฒ่า มาให้ ผมได้อ่านเรื่องคุณรัชนี แล้วรู้สึกว่าทำไมผู้หญิงยังปฏิบัติได้ ผมจึงเกิดทิฐิขึ้นมาอย่างแรงกล้า มุ่งมั่นรักษาศีลละเอียดทันที พอผมรักษาศีลได้ ๗ วัน ก็ตรงกับเดือน พ.ย. ๒๕๒๕ เป็นวันที่หลวงพ่อมาสอนที่ซอยสายลม และวันนี้ผมตั้งใจไปฟังคำสอนจากหลวงพ่อให้ได้ เมื่อผมไปถึงสายลมและได้เข้าไปนั่งข้างใน แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปนั่งใกล้ๆ หลวงพ่อ จึงมานั่งห่างๆ อยู่แถวข้างหลังพอมองเห็นหลวงพ่อได้ชัด ทั้งๆ ที่วันนี้คนยังไม่ค่อยมากเหมือนทุกวัน (เย็นวันศุกร์) หลวงพ่อท่านก็ลงมาคุยกับลูกศิษย์ ลูกศิษย์ทุกคนพร้อมกันก้มกราบท่าน พอผมกราบท่านแล้ว ผมเงยหน้าขึ้นมาปรากฏว่า เห็นท่านจ้องมองหน้าผมอยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกัน ก่อนที่ผมจะมาหาท่านมีเพื่อเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อท่านผิวดำ แต่เมื่อเห็นท่านในวันนี้แล้ว ผมก็เห็นท่านมีผิวขาวเหลือง ใบหหน้าอิ่ม และก็ไม่เหมือนกับรูปถ่ายที่เคยเห็นมาก่อน จากนั้นท่านก็คุยกกับผู้ที่นั่งอยู่แถวหน้า และท่านก็พูดถึงวิธีการปฏิบัติพระกรรมฐาน ในขณะที่ท่านกำลังบรรยายธรรมอยู่นั้น ผมกำลังตั้งใจฟังอยู่ ผมเริ่มเห็นว่า สีเหลืองจากจีวรของท่านเริ่มเป็นประกายแล้วค่อยๆ แผ่ขยายใหญ่จนเต็มห้อง ผมดีใจจนน้ำตาไหล จึงทำให้สมาธิตก ภาพที่เห็นก็หายไป ผมตั้งสติและเพ่งมองหลวงพ่อใหม่ ตอนนั้นปรากฏว่ามีสีรุ้ง ๖ สีเข้มๆ ลอยเป็นวงๆ ออกมา จากกลางอก ของหลวงพ่อ จากนั้นเององค์หลวงพ่อก็หายไป เห็นแต้สีรุ้ง ๖ สี ค่อยๆ จางลงแล้วเปลี่ยนมาเป็นสีขาว จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นสีแก้วสว่างเต็มไปหมด เป็นอันว่า ผมก็ต้องเลิกมอง เพราะเมื่อมองท่านแล้วรู้สึกตาลาย หูไม่ได้ยิน ท่านสอนธรรม จึงก้มมองที่พื้นแล้วฟังหลวงพ่ออธิบายธรรมดีกว่า เมื่อฟังแล้วรู้สึกเข้าใจดีกว่าอ่านหนังสือ จึงคิดว่าเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว ผมพยายามจะทำตามที่หลวงพ่อสอนไว้

    รุ่งขึ้นของวันเสาร์ วันนี้ผมตั้งใจปฏิบัติพระกรรมฐาน ผมได้จัดหาดอกไม้ธูปเทียน เงิน ๑ สลึง หนังสือหลวงพ่อรูปหลวงปู่ปาน พระพุทธรูป (ซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้ มีคนจีนคนหนึ่งซึ่งขายของอยู่หน้ากองเรือนจำ แกหล่อด้วยปูน ยังไม่เข้าพิธีปลุกเสก นำมาให้ผม) เมื่อผมจัดเตรียมครบแล้ว ผมก็ทำพิธีเรียนกรรมฐานตามที่หลวงพ่อสอน (ผมอ่านหนังสือยังจำไม่ค่อยได้ จึงต้องกางตำราดู) จากนั้นก้เริ่มปฏิบัติพระกรรมฐาน ตามสูตรหลวงปู่ปาน คือ

    ๑. ระงับนิวรณ์ ๕

    ๒. ปลงขันธ์ ๕

    ๓. เพ่งพระพุทธรูป

    ๔. กำหนดลมฐาน ๓ ควบคำภาวนาว่า พุท - โธ


    การระงับนิวรณ์ ๕ นั้น ผมทำแบบสั้นๆ คือ ผมเพ่งดูอาการเต้นของชีพจร พอรู้อาการเต้นของชีพจรได้ชัดเจน อาการของนิวรณ์ทั้ง ๕ ก็หายไปจากจิตเอง

    การปลงขันธ์ ๕ พิจารณาร่างกายไม่ใช่เรา - ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา พยายามให้ใจรู้ความจริงในกาย

    การเพ่งพระพุทธรูป ผมก็เอาใจให้ไปอยู่กับพระพุทธเจ้า

    การกำหนดลม ๓ ฐาน ควบคำภาวนาว่า พุท - โธ ในตอนแรก หายใจเข้าภาวนาว่า พุท หายใจออกภาวนาว่า โธ คำภาวนากับลมหายใจ ต้องให้รู้สึกว่าพอดีกัน จากนั้นสังเกตุอาการของลมมากระทบกับฐานที่ตั้งของสติที่กำหนดไว้ ๓ ฐาน คือ รู้ลมหายใจกระทบโพรงจมูก...กระทบหน้าอก...กระทบฐานเหนือสะดือ หายใจออกจากฐานเหนือสะดือ...กระทบหน้าอก...กระทบโพรงจมูก

    ผมพยายามทำตามที่หลวงพ่อสอนไว้ทุกอย่าง ลมหหายใจนั้นผมไม่เคยทิ้ง คือ บางครั้งผมก็เพ่งลมหายใจ บางครั้งผมก็พิจารณาลมหายใจ เพื่อให้ใจสงบยิ่งอยู่กับกาย เมื่อใจสงบนิ่งดีแล้ว ก็น้อมนำใจมาพิจารณาให้รู้ความจริงของกาย จากนั้นพิจารณาทุกข์ ใจก็ต้องการอยากไปอยู่กับพระพุทธเจ้า ผมยังไปไหนไม่ได้ ผมก็พยายามส่งใจไปอยู่กับพระพุทธเจ้าก่อน ซึ่งเป็นการปฏิบัติแบบโง่ๆ ของผม เมื่อผมปฏิบัติตาหลวงพ่อด้วยความจริงใจ และด้วยศรัทธาที่มั่นคง ในขณะที่ปฏิบัติอยู่นี้ เข้าใจว่า คงวางอารมณ์ได้ถูกต้องแล้ว พระพุทธรูปที่เพ่งอยู่จึงมีสีเหลืองออกจากองค์ท่านเรื่อยๆ พอปฏิบัติเข้าวันที่ ๓ ในขณะที่นั่งสมาธิ เข้าใจว่าคงวางอารมณ์ได้ถูกต้องที่หลวงพ่อสอน จึงมีสีรุ้ง ๖ สีเข้มๆ ออกจากหน้าอกของพระพุทธรูปเรื่อยๆ จากนั้น ภาพพระพุทธรูปก็ค่อยๆ หนาขึ้น แล้วพระพุทธรูปก็หายไป เปลี่ยนมาเป็นพระพุทธเจ้ากายเนื้อ มานั่งแทนที่ ผผมดีใจจนน้ำตาไหล พอสมาธิตก พระพุทธเจ้ากายเนื้อก็หายไป พอวางอารมณ์ถูกต้องก็เห็นเหหมือนเดิมอีก ๒ ครั้ง เป็นอันว่าผมหมดสงสัย เพราะผมเห็นพระพุทธเจ้าองค์จริงด้วยตาเนื้อ

    วันต่อๆ มา ผมได้เอาลูกแก้วของหลวงพ่อ มาวางที่ฝ่ามือพระพุทธรูปที่เพ่งอยู่ ขณะนั้นผมเข้าใจว่า คงวางอารมณ์ถูกต้องตามที่หลวงพ่อสอน จึงเห็นลูกแก้วส่องแสงออกมา แล้วก็เห็นพระพุทธรูปองค์ที่เป็นแก้ว ท่านออกมาจากพระพุทธรูปที่เพ่ง จนถึง ๔ องค์ แล้วพระพุทธรูปแก้วทั้ง ๔ องค์ก็หมุนแบบทักษิณาวัฏ อยู่เหนือศรีษะผม ๓ รอบ จากนั้นก็เห็นลูกแก้วลอยมาจากท้องฟ้ามากมาย เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เป็นแสนๆ ล้านลูก มาติดตามต้นไม้ ใบไม้ ฯลฯ มองไปทางไหน แม้พื้นดิน พื้นน้ำ ต้นไม้ ใบไม้ ก็ขาวโพลน ในที่สุดก็สว่างเป็นแก้วประกายพรึก ไปทั่วทั้งหมด

    วันต่อๆ มา ผมจุดเทียนมาเพ่งดู แล้วพยายามวางอารมณ์ ตามที่หลวงพ่อสอน เข้าใจว่าวางอารมณ์ได้ถูกต้องแล้ว เพราะเห็นเปลวไฟค่อยขยับ แล้วก็ขยายใหญ่ออกไปเรื่อยๆ จากนั้นเปลวไฟก็แยกออก แล้วพุ่งเข้าหากายผม จิตใจผมไม่หวั่นไหว ยังคุมอารมณ์ได้เป็นปกติ โดยคิดว่าแม้จะตายในกองไฟก็ยอม เมื่อใจวางเฉยในกายได้ต่อเนื่อง ไฟก็เริ่มเป็นสีเหลืองอ่อน แล้วจางลงเรื่อยๆ จนไฟเปลี่ยนมาเป็นสีขาว แล้วก็เป็นไฟที่สว่างเป็นแก้วประกายพรึกในที่สุด

    วันต่อๆ มา ผมเอาน้ำใส่ในขันมาเพ่งแล้ววางอารมณ์ตามที่หลวงพ่อสอน เข้าใจว่าคงวางอารมณ์ได้ถูกต้องแล้ว น้ำในขันจึงค่อยๆ หมุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกระจายไปเต็มห้อง แล้วน้ำก็มีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งท่วมถึงเข่าที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ จากนั้นก็ท่วมถึงอก ท่วมจมูก ท่วมศรีษะ แต่จิตใจผมก็ไม่หวั่นไหว คิดว่าแม้ตายในน้ำก็ยอม พอใจวางเฉยในกายได้ต่อเนื่อง น้ำก็ค่อยๆ ใสขึ้นเรื่อยๆ แล้วน้ำก็สว่างเป็นแก้วประกายพรึกพริ้วเป็นระรอกไปทั่วบริเวณกว้าง

    วันต่อๆ มา ผมได้ทบทวนกสิณกองต่างๆ ตามที่หลวงพ่อสอนไว้ในหนังสือ โดยการเข้าฌานสลับกสิณแต่ละกอง ผมพยายามทำสลับกันไป สลับกันมา เพื่อให้เกิดความชำนาญ ในลักษณะอาการเปลี่ยนสีของกสิณแต่ละกอง เวลาที่ใจเข้าถึงฌานของกสิณที่สูงขึ้น จากนั้นผมก็ทำกสิณให้เป็นวิปัสสนาญาณ ตามที่หลวงพ่อสอนไว้ ทีแรกรู้สึกว่าขัดข้องนิดหน่อย แต่พอผมทำตามที่หลวงพ่อสอนบ่อยๆ เข้า ผมจึงได้รู้ว่า กสิณสว่าง สะอาด และบริสุทธิ์ได้มากขึ้น ก็ด้วยการให้ใจ เข้าถึงวิปัสสนาญาณอย่างถูกต้อง

    วันต่อๆ มา หลังจากที่ผมกลับจากงานศพลูกชายของเพื่อน พอกลับมาถึงบ้านผมก็นั่งกรรมฐานต่อ จากนั้นผมก็พิจารณาความตายตามที่หลวงพ่อสอน เข้าใจว่าคงอารมณ์ได้ถูกต้องแล้ว เพราะผมมองเห็นพระพุทธเจ้า ท่านเสด็จเข้ามาในบ้าน แล้วท่านก็ตรัสว่า "เธอจงเตรียมตัวตาย" แล้วกายเนื้อผมก็ล้มลงตายทันที จากนั้นผมก็มีกายใหม่เป็นกายพระสงฆ์ ที่ออกจากกายเนื้อที่นอนตาย กายพระสงฆ์ใหม่ของผมนี่แปลกมาก เพราะมีดอกบัวมารองรับที่เท้าด้วย แล้วกายใจ (กายใน หรือกายทิพย์) ของผมที่เป็นพระสงฆ์ก็เข้าไปกราบพระพุทธเจ้า

    จากนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "เธอจงดูอาการของธาตุลม ที่กำลังลอยออกจากโพรงกระดูกของเธอ" แล้วผมก็เห็นว่ามีลมเหมือนไอน้ำ ค่อยๆ ลอยออกจากโพรงจมูกของกายเนื้อผมที่นอนตาย

    จากนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "เธอจงดูอาการของธาตุไฟ ที่กำลังออกจากกายของเธอ" แล้วผมก็เห็นเปลวไฟสีเหลืองอ่อนๆ กำลังลอยอกจากหน้าท้องกายเนื้อผมที่นอนตาย

    จากนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เธอจงดูอาการของธาตุน้ำ ที่กำลังใหลออกจากกายเธอ" แล้วผมก็เห็นกายเนื้อที่นอนตายนั้น ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นซากศพที่ขึนอืด พอง หนังเริ่มปริ น้ำเหลืองค่อยๆ ไหล

    จากนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "เธอจงดูอาการของแร้งกา ที่กำลงจิกกินซากศพของเธอ" แล้วผมก็เห็นฝูงแร้งกาบินว่อนมาซากศพผม แล้วแย่งกันจิกกินซากศพ

    จากนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เธอจงดูฝูงสนัขป่า ที่กำลังไล่แร้งกา แล้วมาแย่กันกัดกินซากศพเธอ" แล้วผมก้เห็นฝูงสุนัขป่า วิ่งตรงมาขับไล่แร้งกา และแย่งกันกินซากศพผม

    จากนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เธอจงดูโครงกระดูกที่กายของเธอ ยังมีเศษเนื้อเอ็นติดอยู่" แล้วผมก็เห็นเศษเนื้อ และเอ็น ติดอยู่ตามข้อต่อของโครงกระดูกที่กายของผม

    จากนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เธอจงดูอาการของโครงกระดูก ที่กายของเธอ จะค่อยๆ หลุดกระจัดกระจายออกไปในบริเวณกว้าง"...แล้วผมก็เห็นลมพัดมาถูกโครงกกระดูก ทำให้กระจายไปทั่วเป็นบริเวณกว้าง

    จากนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "เธอจงดูอาการ ของเศษกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อย จะค่อยๆ สลายไปเป็นฝุ่นละอองไปในที่สุด"...แล้วผมก็เห็นพายุหมุนค่อยๆ หมุนเคลื่อนเข้าไป ในบริเวณที่มีเศษกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วเศษกระดูนั้น ก็ขยับเขยื้อนเคลื่อนไปตามพายุที่หมุน จากนั้นก็มองไม่เห็นเสากระดูก มีแต่ความว่างเปล่า

    จากนั้น พระพุทธเจ้าและหลวงพ่อท่านก็พากายใจของผมไปที่วัดท่าซุง ผมมองเห็นเทวดา และพระสงฆ์เป็นจำนวนมากมานั่งรอพระพุทธเจ้า อยู่ที่หน้าโบสถ์ทั้งด้านนอกและด้านใน แล้วผมก็มองเห็นพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ท่านเอาเทียนสีเหลืองขนาดใหญ่มาวาง พระอานนท์ท่านก็เอาวงล้อธรรมจักรทองคำมาวางกึ่งกลางระหว่างเทียน ๒ เล่ม พระมหากัจจายนะท่านเอาอาสนะทองคำมาวาง ให้พระพุทธเจ้าท่านทรงประทับ จากนั้นเทวดาและพระสงฆ์ทั้งหมด ที่อยูในบริเวณนั้นก็กัมกราบพระพุทธเจ้า ๓ ครั้ง พระพุทธเจ้าท่านทรงพยากรณ์ไว้ว่า ...

    "ณ บริเวณแห่งนี้ต่อไป ความเจริญรุ่งเรืองจะมีมาก มีผู้คนเข้ามาถึงมรรคผลเป็นจำนวนหลายล้านคน ส่วนพระโพธิสัตว์ที่ได้รับคำพยากรณ์ จากพระพุทธเจ้าก็จะมารวมอยู่ที่แห่งนี้ด้วย จากนั้นจะมีผู้มีบุญใหญ่ที่ชาวโลกทั้งหลาย รอคอยกันมานานจะมาปรากฏกายให้เห็น...ซึ่งท่านผู้นี้จะเป็นผู้สอนอริยประเพณี และพุทธประเพณี และท่านจะพาผู้ที่มีใจอยู่ในธรรม ไปเยี่ยมโลกธาตุจักรวาลอื่น ดุจฝูงนกบินขึ้นไปในอากาศ และอีกไม่นาน พระศาสดาทั้งหลายจะถูกรวมเป็นหนึ่งโดยท่านผู้นี้" จบคำพยากรณ์

    จากนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "พระโพธิสัตว์ใหญ่ ในขณะที่ท่านบำเพ็ญบารมีสำคัญๆ อยู่ และก็ผ่านอุปสรรคบารมีนั้นไปได้แล้ว ชาวโลกก็เห็นความสำคัญของท่านเป็นพิเศษ ยกย่องท่านเป็น "พระเจ้า" เพราะท่านมีฤทธิ์ มีคุณธรรมประจำใจ มีความบริสุทธิ์ใจต่อสัตว์โลกทั้งหลาย แม้ตถาคตเอง ขณะบำเพ็ญบารมีในปลายศาสนาพระพุทธกัสสป ชางโลกทั้งหลายก็ยกย่องตถาคตให้เป็นพระเจ้า ๕๐๐ ชาติ และพระโพธิสัตว์อีกหลายท่าน ที่เป็นพระทธเจ้าต่อจากตถาคตในกัปนี้ ขณะที่บำเพ็ญบารมีอยู่ในโลกมนุษย์ บริวารก็ยกย่องและเรียกท่านว่า "พระเจ้า" ส่วนท่านปานกับท่านวีระ เป็นพระโพธิสัตว์บารมีเต็มเธอก็รู้ ท่านทั้งสองทำอะไรไว้ในโลกมนุษย์บ้างเธอก็ยังไม่รู้ แต่เรื่องนี้ยากนักที่มนุษย์จะรู้ เพราะเป็นพุทธวิสัย แต่ถ้าเธอฉลาดพอ อีก ๗ ปี เธอก็รู้อะไรได้เพียงนิดหน่อย เธอใกล้ตายเมื่อไรเธอจะรู้ครบทุกอย่าง"

    จากนั้นพระพุทธเจ้าก็เสด็จยืนขึ้น ได้ชวนหลวงพ่อกับผมไปดูสถานที่สำคัญต่างๆ ในโลกมนุษย์ ที่พระโพธิสัตว์ใหญ่หลายท่าน ได้สร้างไว้ขณะบำเพ็ญบารมีอยู่ในโลกมนุษย์ แต่ก็ดูได้ไม่มากนัก พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เวลานี้ใกล้สว่างแล้ว ควรกลับกันก่อน ไว้ในโอกาส ที่เธอปฏิบัติพระกรรมฐานได้สูงขึ้น ฉันกับท่านวีระจะพาเธอมาดูอีก" เวลาต่อมา พระพุทธเจ้าและหลวงพ่อก็มาผมมาส่งที่บ้าน จิตก็เข้ามาในกาย ผมก็เห็นของแปลกที่ติดตามมาด้วย ๒ อย่างคือ

    ๑.
    นิมติลูกแก้วใหญ่ที่สว่างจ้าลอยอยู่ อยู่ศูนย์กลางกาย

    ๒. นิมิตดอกบัวหลวงสีชมพูสดอยู่ที่เท้า ความจริงนิมิลูกแก้ว ผมเห็นมานานแล้ว ในขณะที่ผมกำหนดลมหายใจใหม่ๆ พอลมหยุดก็เห็นนิมิตลูกแก้ว ผ่านรูจมูกด้านขวา ผ่านช่องคอ ผ่านหน้าอก มาหยุดที่ฐานเหนือสดือ บางครั้ง ลูกแก้วมาซ้อนกันหลายลูก จากเล็กไปหาใหญ่ หรือจากใหญ่ไปหาเล็ก บริเวณเหนือศูนย์กลางกาย แต่ทุกครั้งที่ใขเห็นนิมิต ใจก็อยู่ในสภาพที่สงบ นิมิตลูกแก้วนั้นผมเห็นประจำ แต่ผมก็ไม่ฉลาดในเรื่องนิมิต เพราะตัวผมเองเริ่มปฏิบัติจากสายที่ปฏิเสธนิมิต ในขณะนั้น พระพุทธเจ้าท่านยังอยู่ ท่านตรัสว่า "เธอไม่เคยเชื่อเรื่องนิมิต และวิธีสอนของท่านวีระมาก่อน เพราะเธอกลัวจะถูกสะกดจิต ฉันก็เลยให้เธอเห็นทุกอย่างด้วยตา เธอจะได้หมดสงสัย แต่ถ้ากายตายจริง แล้วก็ต้องใช้ใจเห็น กายนั้นเป็นของหยาบ ใจนั้นเป็นของละเอียด การเห็นทางใจ สำคัญกว่าการเห็นทางตา" แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสสอนวิธีเจริญนิมิตอาโลกสิณในกาย ก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านจะเสด็จกลับ ท่านได้อธิบายการปฏิบัติทางสายกลางไว้แบบสั้นๆ คือ "ทางสายกลางนั้น กายใจเป็นผู้เดิน ออกจากกายที่สกปรก และโลกแห่งความทุกข์ ถ้าผ่านเทวโลก พรหมโลกได้จริง การใจก็ถึงนิพพาน"

    วันต่อๆ มา ในขณะปฏิบัติ ผมก็เพียรพยายามวางอารมณ์ ตามที่หลวงพ่อท่านสอนก่อน มิฉะนั้นแล้ว จะเข้ารอยต่อของอารมณ์จิต ที่พระพุทธเจ้าท่านมาสอนไม่ได้ ในขณะนี้ ผมเข้าใจว่าคงวางอารมณ์ได้ถูกต้องแล้ว จึงเห็นอาการกายเนื้อค่อยๆ ตาย จากนั้นกายใจเริ่มออก นึกจะไปไหนก็แบ่งแยกกายใจไปตามสถานที่นั้นๆ คือใช้ทั้งในมยิทธิ และทิพยจักขุญาณ ผมแบ่งกายใจเพลินจนครบ ๗ วัน จึงคิดว่าเราเล่นสนุกอยู่กับโลกมนุษย์จนเพลิน จนลืมคิดไปว่า ทางที่จะไปแดนเทวดานั้นอยู่ทางไหน มองไม่เห็นเลย ส่วนคนอื่นที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อด้วยกัน เขาไปกันได้อย่างไร ผมเองก็ไม่เคยไปฟังเขาสอนกันด้วย ผมจะทำกายใจให้เหาะไปในอากาศก็ไม่ได้ เพราะหนักเหมือนกายเนื้อ ผมออกมาคนเดียวนั้นไม่เหมือนผมอยู่กับพระพุทธเจ้าและหลวงพ่อ เพราะเวลานั้นท่านทั้งสองไปทางไหน ผมก็ตามท่านไปได้สบาย ถึงแม้ว่า สถานที่จะไกลขนาดไหนในโลก ก็ใช้เวลาเพียงลัดนิ้วมือเดียว พอเวลาผมอยูคนเดียว ผมไม่มีแรงเลยและขณะที่ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า หาทางเพื่อจะไปแดนเทวดาอยู่นั้น ผมก็เห็นบันใดพญานาคสีเขียวค่อยๆ ทอดย้อยลงมาจากอากาศ อยู่เหนือศรีษะกายใจที่ผมยืนอยู่ จากนั้น ผมก็เห็นพระพุทธเจ้าท่านเสด็จยืนอยู่ที่ปลายบันใดฯ แล้วท่านตรัสว่า
    "เธอจงกลับไปปพิจารณาธรรม ให้ละเอียดใหม่ ถ้าเธอเข้าใจแล้ว จะมาเทวโลกได้" จากนั้นพระพุทธเจ้าท่านก็เสด็จกลับ บันใดฯ ก็หายลับตามไปด้วย

    วันต่อๆ มาผมก็เพียรพยายามปฏิบัติต่อ อาการลมหายใจนั้น ผมไม่เคยทิ้งเลยปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อทุกอย่าง เมื่อเห็นจิตสงบเป็นสมาธิแล้ว ก็น้อมจิตพิจารณาธรรม พยายามทำกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง จึงเกิดปัญญาขึ้น ที่ผมวางกายเนื้อได้ ผมจึงมีกายใหม่คือ "กายใจ" (กายของใจ หรือของจิต คือ กายในกาย, กายทิพย์, กายภายใน) แต่กายใจของผมก็ยังติดอยู่ (อยากเห็นวัตถุต่างๆ ) ในโลกมนุษย์ แต่ถ้าผมดับความพอใจ ในโลกมนุษย์ได้จริง ผมก็ไปโลกทิพย์หรือแดนเทวดาได้ เข้าใจว่าคงวางอารมณ์ได้ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าท่านสั่ง ให้กลับมาพิจารณาใหม่ เพราะเวลานี้กายใจได้เปลี่ยนเป็นกายเทวดา แล้วออกจากกายเนื้อที่นั่งพิงข้างฝาเหมือนตายอยู่ จากนั้นก็เห็นบันใดพญานาคสีเขียวมาทอดรอรับ กายใจก็ก้าวขึ้นบันใดแล้วลอยไปอย่างรวดเร็ว เห็นหมื่นโลกธาตุ แสนโกฏิจักรวาล (๑ พันล้าน = ๑ โกฏิ) ลอยอยู่กลางอากาศแสงก็ส่องสว่าง กระจายกันอยู่เป็นกลุ่ม เล็กบ้างใหญ่บ้างเป็นจำนวนมาก พอพ้นเขตของโลกธาตุ ก็ถึงขอบจักรวาล พอพ้นเขตจักรวาลขึ้นไป ก็เข้าไปแดนเทวดาชั้นดาวดึงส์...เอ้อ มิน่าเล่า พวกนั่งเครื่องบิน หรือขับจรวดถึงไม่เห็นแดนเทวดา เพราะเขายังไม่พ้นระบบสุริยะจักรวาลที่เราอยู่ (ความจริงอยู่คนละภพ คนละมิติ นะครับ) แล้วแดนเทวดาชั้นดาวดึงส์ ก็ห่างจากระบบสุริยะเรามากมายไม่รู้กี่แสนล้านๆ เท่า กายใจที่พุ่งขึ้นมาที่นี่เร็วมากกว่าแสงอาทิย์ ไม่รู้เท่าไร คงเป็นอย่างนี้เอง ที่นักวิทยาศาสตร์คุยกับนักพุทธศาสตร์ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เรื่องแบบนี้ไว้ผมมีความรู้แตกฉานเมื่อไร ผมคงจะคุยให้เขาได้เข้าใจบ้างนะ แต่อีกนั่นแหละ ปัญญาคนเราไม่กัน พูดไป ก็เหมือนเต่าคุยกับปลา

    พอสุดบันใดพญานาคสีเขียว ก็เห็เจดีย์ทองสูงใหญ่ มีรั้วรอบขอบชิดประดับไปด้วยแก้ว ๙ ประการ รัศมีเจิดจ้าสวยงามมากจริงๆ ผมเดินบนถนนที่สวยงาม ตรงไปยังเจดีย์ใหญ่ พอผ่านประตูเข้าไปก็มองเห็น เทวดา พรหม และพระสงฆ์ นั่งกันอยู่เต็มไปหมด
    ขณะที่ยืนมองอยู่ ได้ยินเสียงเทวดาท่านหนึ่งเรียกผมว่า "คุณเข้ามากราบพระพุทธเจ้าข้างในก่อน" จากนั้น เทวดาท่านนั้นก็นำทางพาผมเข้าไป พอพ้นเขตที่นั่งของเทวดาและพรหม ก็เห็นพระสงฆ์นั่งกันอยู่เป็นจำนวนมาก และแถวหน้ามีนั่งกันอยู่หลายองค์ องค์ที่ ๑ ถึงองค์ที่ ๔ เป็นพระพุทธเจ้า ไปแล้วในกัปนี้ แต่ในจำนวนแถวหน้าก็มีครูของผมนั่งอยู่ด้วย ผมจึงเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า ๔ องค์ พร้อมกราบครู และกราบพระองค์อื่นด้วย แต่ผมก็นึแปลกใจ ในฐานะของครู เมื่อเวลาที่ท่านอยู่ในโลกมนุษย์ ท่านก็ถ่อมตัวเองเหมือนกับพระธรรมดา พอผมเห็นท่านบนเทวโลกท่านก็นั่งอยู่กับพระพุทธเจ้า เวลานี้ปัญญาผมมีน้อย จึงวิเคราะห์ครูไม่ค่อยออก แต่ผมก้เชื่อว่า ครูของผมมีความรู้และมีบุญจริง

    วันต่อๆ มา ผมแอบไปดูรุ่นพี่ๆ ที่ชั้นดุสิต ดูวิมานแถวหน้า ๑๐๐ วิมาน ไม่เห็นพี่ๆ อยู่กันเลย จึงถามเทวดาที่เฝ้าวิมาน ท่านตอบว่าเขาไปธุระกัน ผมไปแดนเทวดาครบ ๗ วัน ก็ไม่เห็นได้อะไรเลย จึงคิดไปแดนพรหมต่อ จึงเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน สักครู่หนึ่ง ก็เห็นบรรดาพยานาคที่เป็นแก้วแกมทอง ค่อยๆ ทอดลงมาจากกลางอากาศอยู่เหนือศรีษะกายใจที่ผมยืนอยู่ จากนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาอยู่ปลายบันใด แล้วท่านตรัสว่า "เธอจงกลับไปพิจารณาธรรมให้ละเอียดใหม่ ถ้าเธอเข้าใจแล้วจะมาพรหมโลกได้" จาก
    นั้นพระพุทธเจ้าท่านก็เสด็จกลับ บันใดก็หายลับตามไปด้วย

    แล้วผมก็กลับมานั่งสมาธิใหม่ พอเห็นว่าจิตสงบดีแล้ว ก็น้อมจิตมาพิจารณาธรรมใหม่ พยายามทำกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง ปัญญาจึงเกิด คือ รู้เท่าทันความจริงว่า กายใจมาถึงเทวโลกก็ยังติดอยู่ (อยากพบรุ่นพี่) ในเทวโลก
    ถ้าเราดับความพอใจในเทวโลกได้จริง
    ผมก็ไปพรหมโลกหรือแดนพรหมได้แน่ เข้าใจว่าคงวางอารมณ์ได้ถูกต้อง ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งให้กลับมาพิจาณาใหม่ เพราะตอนนี้กายใจเปลี่ยนเป็นกายพรหม ออกจากกายเนื้อนั่งพิงข้างฝา เหมือนตายอยู่ จากนั้นก็เห็นบันใดพญานาคที่เป็นแก้วแกมทองมารอรับกายใจ ผมก้าวลอยขึ้นไปตามบันใด ผ่านโลกธาตุน้อยใหญ่ต่างๆ พอพ้นเขตโลกธาตุก็ถึงขอบจักรวาล พอพ้นขอบจักรวาลก็มาถึงแดนต่างๆ ของเทวดา พอพ้นเขตเทวดาก็มาถึงแดนพรหม ผ่านแดนพรหมชั้นต่างๆ มาถึงปลายบันใดพญานาค มาหยุดอยู่ที่หน้าวิมาน ของท้าวสหัมบดีพรหม ตั้งใจว่าจะมาหาท้าวสหัมบดีพรหม ท้าวผกาพรหม และพรหมอีกหลายท่าน พอผมไปหาท่านตามวิมาน ก็ไม่พบท่าน

    (
    หมายเหตุ
    ทีแรกผมไม่ทราบว่า การที่เทวดาชั้นดุสิตและพรหม อีกหลายท่านไม่ยอมให้ผมพบท่านเพราะเหตุใด แต่ตอนหลังผมขึ้นนิพพานได้แล้ว ถึงรู้ว่าการที่ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายไม่ยอมให้ผมพบ เพราะท่านเกรงว่าผมจะเสียเวลา ความจริงแล้วท่านก็อยู่ในวิมานของท่าน และกำลังที่เป็นทิพย์ผมน้อยกว่าท่าน ผมจึมองไม่เห็น)

    ผมเสียเวลาอยู่ในแดนพรหมอีก ๗ วันจากนั้นก็มาที่จุดสุดเขตแดนพรหม ผมเงยหน้าขึ้นไป ก็เห็นแต่อากาศแก้วที่สว่างใสไปหมด ผมจะมองให้ทะลุขึ้นไปข้างบน ผมก็มองไม่เห็น จะขึ้นไปข้างบนต่อก็ขึ้นไม่ได้ ก็จำใจต้องกลับก่อน


    วันต่อๆ มาผมเพียรพยายามทำจิตให้เป็นอากาศแก้วดู ทำอยู่ได้พักใหญ่ๆ ในช่วงตอนเย็น ภรรยาก็ได้เวลากลับจากที่ทำงานตามปกติ แต่พอวันนี้เธอเปิดประตูเข้ามาก็ส่งเสียงด่าทันที ด่าฝ่ายเดียวอยู่พักใหญ่ทั้งๆ ที่ผมก็รู้ว่าตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา เธอเป็นคนไม่มีปากเสียงอะไรกับใครเลย แต่วันนี้มาแปลก เธอด่าโคตรพ่อโคตรแม่ของผมตลอด ผมกำลังนั่งสมาธิอยู่โดยเอาจิตไปเพ่งอยู่กับอากาศแก้ว เข้าใจว่าผมนั่งสมาธินานเกินไปหน่อย พอถอนอารมณ์ออกมาแลว จึงเห็นคนด่านอนหลับสบายกับลูกไปแว พอลุกขึ้นมาอาบน้ำ เพื่อนคนหนึ่งได้ตะโกนถามว่า " ส. เมียมึงด่าโคตรพ่อโคตรแม่อยู่ตั้งนาน มึงหูแตกไปแล้วหรือไง ถึงได้ไม่มีเสียงมึงพูดสักคำ น่ากลัวว่า มึงนี่ใกล้บ้าเข้าไปทุกทีแล้ว" ผมก็ได้แต่ฟังเพื่อนแล้วก็ยิ้มๆ จากนั้นขอตัวไปอาบน้ำ

    วันต่อๆ มา ผมเริ่มจบปฏิบัติ ก็ได้กลิ่นธูปและยานัตถุ์ เวลาผ่านไปไม่นาน ผมก็เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จเข้ามาในห้อง กับหลวงพ่อ ผมเข้าไปกราบท่านทั้งสอง ต่อจากนั้น หลวงพ่อก็สอนว่า "การที่แกถูกด่า แล้วแกเอาจิตไปอยู่กับอากาศแก้วนั้น เป็นสมถะ ไม่ใช่วิปัสสนาญาณ ถ้าเป็นวิปัสสนาญาณ จะต้องสู้ความจริง คือต้องมีสติสัมปชัญญะ รู้เท่าทันอารมณ์ที่เข้ามากระทบ ตาเห็นรูป ต้องรู้ว่ารูปไม่เที่ยง หูได้ยินเสียงให้รู้ว่า เสียงไม่เที่ยง ดูอาการของจิตที่นิมิตดวงแก้วก็ได้" พอหลวงพ่อท่านสอนเสร็จ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า "ถ้าเธอฉลาดพอ ภายใน ๗ วัน เธอก็จะไปนิพพานได้"
    พอผมกราบพระพุทธเจ้า และหลวงพ่อแล้วท่านก็เสด็จกลับ

    วันต่อๆ มาขณะที่ผมปฏิบัติก็เพียรพยายามวางอารมณ์ ตามที่พระพุทธเจ้าและหลวงพ่อท่านสอน แต่ก็ยังปฏิบัติอะไรไม่ถูก เพราะขณะนี้ผมถูกด่ามากกว่าเดิม อยู่ในบ้าน ภรรยาก็ด่า ออกไปทำงานผู้บังคับบัญชาก็ด่า มีหนำซ้ำยังถูกเพื่อนๆ ด่ากันอีกด้วย แต่ผมก็พยายามควบคุมจิต ไม่ให้หวั่นไปกับอารมณ์ที่มากระทบ แล้วผมก็น้อมจิต มาพิจารณาอาการไม่เที่ยงของสิ่งที่มากระทบ พออาการจิตเริ่ยอมรับความจริง อารมณ์ปลอดโปร่งของจิตก็เริ่มเกิดขึ้น ผมถุกด่าถึง ๗ วัน ก็ไม่เห็นมีใครมาด่าอีก แต่ตอนนี้ชักเริ่มสงสัยเหมือนกันว่า นิพพานนั้นเป็นอย่างไร หรือว่าบารมีของผมยังอ่อนเกินไป ที่จะรู้เรื่องนี้ เพราะหลวงพ่อทานพูดไว้ในหนังสือว่า "ผู้ที่บารมีเต็มแล้วเท่านั้น ที่จะสามารถไปนิพพานได้" แต่ถ้าให้ผมปฏิบัติ แบบตาบอดคลำช้าง หรือไม่รู้ ไม่เห็นทางเลย ผมไม่ต้องการ ในเวลาขณะนั้น ประมาณ ๑๙.๔๐ น. ผมคิดอะไรไม่ออก ผมก็ได้เปิดวิทยุฟัง พอดีเปิดตรงจังหวะ มีพระองค์หนึ่งท่านพูดถึงเรื่อง
    "มหาปรินิพพานสูตร"
    ก็จับใจความได้ถึง พระอานนท์ถามพระอนุรุธว่า "เวลานี้พระพุทธเจ้าท่านเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานหรือยัง" พระอนุรุทธท่นตอพระอานนท์ว่า "ในเวลานี้ พระพุทธเจ้าท่านเข้าฌาน ๑ - ฌาน ๒ - ฌาน ๓ - ฌาน ๔ - ฌาน ๕ - ฌาน ๖ - ฌาน ๗ - ฌาน ๘ - ฌาน ๙ (สัญญาเวทนายิตยิโรธ หรือเหตุดับทุกข์) จากนั้นพระพุทธเจ้าท่านก็ถอยมา ฌาน ๘ - ฌาน ๗ - ฌาน ๖ - ฌาน ๕ - ฌาน ๔ - ฌาน ๓ - ฌาน ๒ - ฌาน ๑ แล้วก็กลับเข้ามา ฌาน ๒ - ฌาน ๓ - ฌาน ๔ แล้วพระพุทธเจ้า ท่านก็เสด็จดับขันธิ์ปรินิพพาน ในระหว่างฌาน ๔ กับ ฌาน ๕

    เมื่อผมได้ฟัง ผมก็ควบคุมอาการของจิต เข้าฌานตามไปด้วย ฌานที่ ๑ - ๘ ผมไม่สงสัย เพราะพระพุทธเจ้ากับหลวงพ่อท่าน มาสอนผมไว้แล้ว แต่ฌานี่ ๙ ผมยังไม่เข้าใจภาษาปฏิบัติ เพราะผมยังไม่รู้วิธีปรับอาการของจิต ให้เข้าถึง ผมจดบันทึกพระสูตรนี้ไว้ แล้วพิจารณาอยู่หลายเที่ยว จึงเกิดอาการสงสัยพระสูตรนี้ อีกหลายอย่างคือ

    ๑. พระพุทธเจ้า ท่านพ้นจากการเป็นฤาษีแล้ว ไม่น่าจะเรียกว่า ท่านเข้าฌาน น่าจะเรียกว่า ท่านเข้าสัมมาสมาธิ จึงจะถูกกว่า เพราะฌานนั้นได้แต่ระงับทุกข์ ส่วนสัมมาสมาธิต่างหากที่ดับทุกได้จริง

    ๒. ฌาน - สมาธิ - สัมมาสมาธิ จะมีอาการแตกต่างกันอย่างไร ทั้งนิมิต และอารมณ์ของจิต

    ๓. จะทำณาน ให้เป็นสัมมาสมาธิด้วยวธีการปฏิบัติอย่างไร

    ๔. จากสัมมาสมาธิ จะปรับอาการของจิตให้เข้าถึง สัญญาเวทนายิตนิโรธ จะทำด้วยวิธีไหน มีขั้นตอนในการปฏิบัติอย่างไร

    ๕. ฌานที ๔ คือ กสิณที่สว่างเต็มส่วน เปรียบเสมือนน้ำแข็งแห้งที่อยู่เต็มก้อน

    ๖. ฌานที่ ๕ หรือ อรูปฌานที่ ๑ เปรียบเสมือนน้ำแข็งแห้ง ที่ละลายเป็นไอไปหมดแล้ว แต่ความสว่างของไอก็ยังกระจายกันอยู่

    ๗. ระหว่างฌานที่ ๔ กับฌานที่ ๕ ก็เปรียบเสมือนน้ำแข็งแห้ง ที่ละลายเป็นไอไปแล้วครึ่งก้อน ถ้าอาการของจิตยู่ในลักษณะครึ่งๆ กลางๆ อย่างนี้แล้ว จิตจะออกไปได้อย่างไร


    หมายเหตุ : พระสูตรนี้ผมไม่ได้ว่าใครเขียนผิด แต่ถ้าใครบำเพ็ญมาในลักษณะ พุทธวิสัย ก็จะรู้ได้ถูกต้องเอง ขณะที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ท่านเสด็จมาพยากรณ์ให้


    เรื่องการไปนิพพานนั้น ที่ผมยังไปไม่ได้ แต่ผมก็ไม่โทษใคร เพราะผมไปจับอารมณ์ผิดเอง คือไปจับในส่วนของผล ที่พระโพธิสัตว์นั้นเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว และกำลังจะไปอยู่นิพพาน ผมลืมนึกถึงเหตุ ที่พระโพธิสัตว์กำลังพิจารณา วางอารมณ์ก่อนที่จะตรัสรู้เล็กน้อย นี่ผมมันโง่จริงๆ เพราะเรื่องนี้หลวงพ่อได้เขียนไว้ในหนังสือ "เรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ" ซึ่งผมเองก็เคยอ่านพบมาแล้ว แต่ผมมันเลวจริงๆ ที่จำไม่ได้ จึงต้องเสียเวลาไปค้นหนังสือมาดูใหม่อีก (ตอนพุทธประวัติ ที่หลวงพ่อเล่าตามภาพ) พอเปิดพบแล้วก็พยายามวางอารมณ์ตาม ทีแรกก็ยังงงๆ เพราะกำหนดอารมณ์ตามท่านไม่ถูก จึงต้องถอนจิตออกมาทำสมาธิให้แนบแน่นใหม่อีก พอเห็นว่า จิตมีอาการวางเฉยในสิ่งทั้งหลายได้จริงแล้ว ก็น้อมจิตเข้ามาพิจารณาธรรมที่ลึกซึ้งใหม่ ผมทำอย่างนี้หลายๆ ครั้ง จนผมเกิดความมั่นใจว่า ในขณะนี้ผมคงปฏิบัติได้ถูกต้อง ตามที่หลวงพ่อเขียนไว้แล้ว เพราะแต่ก่อน กายใจของผมเป็นกายพรหม แต่ปัจจุบันกายใจของผมเปลี่ยนเป็นกายพระวิสุทธิเทพไปแล้ว

    จากนั้นผมก็เห็นบันใดพญานาคแก้ว ค่อยๆ ทอดลงมารอรับ ขณะนั้นความรู้สึกของกายเนื้อก็หมดไป เหลือแต่ความรู้สึกของกายใจเท่านั้น พอกายใจของผมก้าวถึงบันใดแล้ว บัดนี้ทุกภพภูมิทั้งหลาย ก็เปิดออกพร้อมๆ กันให้ผมเห็น ตั้งแต่มหานิพพาน จนถึงมหานรก ผู้ที่อยู่ตามภูมิต่างๆ ก็โมทนาให้ จากนั้นกายใจก็ลอยขึ้นไปในอากาศ ผ่านโลกธาตุนอ้ยใหญ่ต่างๆ พอพ้นเขตโลกธาตุก็ถึงขอบจักรวาล พอพ้นขอบจักรวาลออกมา ก็เข้าแดนเทวดา ชั้นดาวดึงส์และเทวดาชั้นต่างๆ พอพ้นเขตแดนเทวดาชั้นต่างๆ ออกมา ก็เข้าเขตแดนพรหมชั้นต่างๆ พอพ้นเขตแดนพรหมชั้นต่างๆ พอพ้นเขตแดนพรหมชั้นต่างๆ ออกมา ก็เข้าเขตแดนอากาศแก้วชั้นต่างๆ (แดนอรูปพรหม ๔) พอพ้น เขตแดนอากาศแก้วชั้นต่างๆ ออกมา ก็เข้าเขตแดนเมืองแก้ว (พระนิพพาน) พอพ้นปลายบันใดพญานาคแก้ว ก็พบวิมานแก้วเห็นแสดงสว่างมากเหมือนเพชร แล้วกายใจผมก็เดินเข้าวิมานแรก ที่ได้เห็นได้พบพระวิสุทธิเทพจำนวนมาก แต่แถวหน้ามีพระนั่งอยู่หลายองค์ องค์ที่ ๑ ถึง องค์ที่ ๔ เป็นพระพุทธเจ้าในกัปนี้ ในจำนวนแถวหน้าก็มีครูผมนั่งรวมอยู่ด้วย และผมก็กราบพระและครู จากนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านก็พาผมชมรอบๆ วิมานของท่าน ผมตั้งใจขึ้นนิพพานครั้งนี้ ก็ตั้งใจว่าจะมาอยู่ แต่หาวิมานของผมเองไม่พบ จึงคิดที่จะไปอยู่กับพระพุทธเจ้า แต่ท่านก็ไม่ยอมให้อยู่ด้วย ท่านตรัสว่า "เวลานี้เธอยังอยู่นิพพานไม่ได้ เธอกลับไปบำเพ็ญบารมีทั้งหมด ให้ครบถ้วนก่อน ถ้าบารมีเต็มแล้วจะมาอยู่นิพพานได้ทันที" เมื่อพระพุทธเจ้าท่านตรัสให้กลับ ผมก็จำเป็นต้องกลับก่อน พอกลับมาแล้ว ผมก็ยังเห็นนิพพานได้ทุกอริยาบถ

    พอวันศุกร์ ต้นเดือน ธ.ค. ๒๕๒๕ หลวงพ่อท่านมาที่ซอยสายลม วันนี้ผมตั้งใจมากราบกายเนื้อของหลวงพ่อ พอเวลา ๕ โมงเย็น ท่านก็มาคุยกับลูกศิษย์ ทีแรกท่านคุยกับผู้ที่นั่งอยู่ข้างหน้าก่อน แล้วท่านก็มองมาที่ผม พร้อมเรียกให้ผมมานั่งอยู่ใกล้ๆ และท่านก็ถามว่า "แกต้องการคำยืนยันอะไร ก็ถามมา" ผมก็ถามการรู้การเห็นที่ผ่านมา หลวงพ่อท่านตอบว่า "ผู้ที่บำเพ็ญบารมีแบบนี้ใกล้ๆ ชาติสุดท้าย จะรู้มากเห็นมากด้วยกันทุกคน ฉันเองก็เห็นทุกภพทุกภูมิพร้อมๆ กันมานานแล้ว" และความลับของหลวงพ่อที่ถูกปกปิดมานาน ก็ถูกเปิดเผยออก เมื่อมีพยานบุคคลที่ร่วมรู้เห็นอยู่ด้วย ซึ่งผมเองเป็นผู้ซักถาม

    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD height="100%" vAlign=top width="85%">ขณะนั้น ปัญญาผมยังมีน้อย ใคร่ครวญถึงเรื่องอื่นไม่ค่อยจะออก จึงคิดในใจว่าหลวงพ่อท่านคงบารมีเต็มจริง จากประสบการณ์ของผมที่ผ่านมา ในขณะที่หลวงพ่อท่านอยู่กับพระพุทธเจ้าองค์กก่อนๆ เห็นท่านพูดคุยเป็นกันเองมาก ในเวลาที่หมดสมมุติทางโลกชั่วคราว ซึ่งอาการอย่างนี้ จะไม่มีกับผู้บำเพ็ญฯ มาต่างประเภทกัน หรือว่าหลวงพ่อท่านลาจากพุทธภูมิ แล้วมาเข้าอารมณ์อรหัตตโพธิญาณ เพราะผมรู้ว่าพระโพธิสัตว์บารมีเต็มอีกหลายท่าน ที่ยังไม่ยอมเป็น เพราะต้องการความพิเศษ อีกหลายอย่าง ซึ่งเรื่องนี้พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านเคยตรัสให้ฟังว่า "ถ้าพระเมตตรัย และพระรามเจ้า ไม่ต้องการสมมุติพิเศษมากกเกินไป ก็เป็นพระพุทธเจ้าก่อนตถาคตไปนานแล้ว เพราะพระโพธิสัตว์ทั้ง ๒ ท่าน ได้รับคำพยากรณ์มาก่อนตถาคต ๑๒ อสงไขย" นี่คือเรื่องที่พพระพุทธเจ้าท่านเล่าให้ฟัง แต่พอผมถามว่า "หลวงปู่ปานท่านบารมีเต็มตรงไหน ในโลกมนุษย์ และหลวงพ่อด้วย" พระพุทธเจ้าท่านไม่ตรัสตอบ แต่ทรงแย้มพระโอษฐ์ ซึ่งเรื่องนี้ผมก็พอรู้บ้างแล้ว ในขณะที่พระพุทธเจ้า "พยากรณ์วัด่าซุง" เวลานี้ผมยอมรับปัญญาบารมีของหลวงพ่อ หรือว่าท่านถึงภูมิสูงที่สุดจริงๆ ท่านจึงทราบอาการตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้าได้อย่างละเอียด ถ้าผมไม่ได้หลักการจากหลวงพ่อ ชาตินี้ทั้งชาติผมคงไปนิพพานไม่ได้ เพราะกายและใจของผมหนักเกินไป ที่จะรับคำสอนจากพระองค์อื่น

    เมื่อต้นเดือน ก.ค. ๒๕๒๖ ผมได้บวชตามที่แม่ตั้งใจ พอบวชให้แม่แล้ว ก็เห็นว่าหายป่วยจริง เพราะรู้ว่าแม่ไปทำไร่ที่จันทบุรีได้เป็นปกติ ขณะที่ผมบวชทีแรก ผมตั้งใจว่าจะไม่สึก แต่ผมตัดสังโยชน์ไม่ขาด คือ กิเลสมันถูกระงับไว้ชั่วคราวเท่านั้น เผลอเมื่อไรก็เกิดอารมณ์ฟุ้งซ่านเมื่อนั้น และในช่วงปลายพรรษา ผมชัดสงสัยตัวเองมากขึ้นว่า "บำเพ็ญมาเพื่อถึงนิพพาน หรือเพื่ออยู่นิพพาน" เพราะญาณ ๘ ผมไม่คล่องเหมือนพระรุ่นพี่ ขนาดตัวผมเองในชาติที่แล้วเป็นใครยังไม่สามารถรู้เลย ถามพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ตรัส สงสัยเหมือนกันว่า ทำไมมีแต่คนชวนให้ลาพุทธภูมิ แต่ทำไมไม่เห็นมีใครชวนให้บำเพ็ญต่อ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้ากันบ้าง หรือว่าหลวงพ่อต้องการให้รู้เอง ในเวลานั้นใจผมแบ่งเป็น ๒ ฝ่ายอยู่ตลอดเวลา (ทีแรกคิดจะลาพุทธภูมิ แต่อีกใจหนึ่งก็ต้องการบำเพ็ญต่อ) ในเลานั้นจิตใจสับสนอยู่ตลอดเวลา และกำลังใจ ก็ยังไม่เข้มแข็งเหมือนพระรุ่นพระ จึงต้องสึกออกมาก่อน

    ขณะสึกออกมาเป็นฆราวาส ก็ยิ่งวางอารมณ์ได้ยากมาก เพราะบุคคลภายนอกไม่เหมือนภายในวัด ผมออกจากวัดมา ๙ เดือนแล้วผมยังปฏิบัติอะไรไม่ได้เท่าที่ควร จากนั้นผมจึงมาเปลี่ยนคำอธิษฐานใหม่ และเวลาที่กล่าวคำอธิษฐานแบบนี้ จิตใจก็ยังเปลี่ยนแปลงไปมากกว่เดิม คือ บางครั้ง จิตใจคิดอยากฆ่าคนเลว ทำให้อารมณ์จิตมันตก ในขณะที่ปฏิบัติกับหลวงพ่อใหม่ๆ สังขารุเปกขาญาณยังมีมาก แต่เวลานี้ ผมลดกำลังใจมาเหลือเพียง พรหมวิหาร ๔ (ในข้อ ๒) คือ คิดสงสารสัตว์โลกทั้งหลาย ที่ต้องมาทนทุกข์ทรมานอยู่ในวัฏสงสาร ซึ่งพอผมคิดถึงเรื่องความทุกข์ของสัตว์โลกทั้งหลาย แล้วก็อดกลั้นนำตาไว้ไม่ได้ เพราะภายในวัฎสงสารเป็นภัยทีน่ากลัวอย่างใหญ่หลวง เพราะมีกลลวงอยู่อย่างมากมาย หาทางได้ยาก สัตว์โลกทั้งหลายตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ทุกข์แล้วทุกข์อีก น้ำตานองหน้ามาแล้ว ไม่รู้กี่พันล้านชาติ เวลานี้ผมรู้วิธีดับทุกข์แล้ว แต่จะให้ผมหนีทุกคนเดียวนั้น ผมไม่ต้องการ ผมพยายามสังเกตุกำลังใจตนเองอยู่ตลอดเวลา มองดูแล้วเหมือนคนปัญญาอ่อน เพราะนั่งน้ำตาไหลคนเดียว อยู่เป็นประจำ แล้วอารมณ์แบบนี้ไม่เคยมีมาก่อน ถ้ามองผิวเผินเหมือนคนไม่มีแรงและกำลังใจ แต่พอคิดที่จะแก้ทุกข์ ให้สัตว์โลกทั้งหลายเท่านั้น กำลังใจกลับมามีขึ้นมากกว่าเก่า หลายร้อยเท่าทวีคูณ แต่นั่นเป็นเรื่องของกำลังใจ ส่วนความรู้ที่แท้จริงในอดีต และอนาคตยังไม่มี อีกหลายเดือนต่อมา ก็ยังไม่มีอะไรก้าวหน้าในด้านกรรมฐาน (ญาณ ๘) ชักอึดอัดขึ้นมากทุกวัน เลยตัดสินใจยอมตาย รู้ในโลกมนษย์ไม่ได้ ถ้าตายจริงไปอยู่แดนเทวดา คงได้รู้อะไรจริงๆ

    ผมจึงลางานเพื่อปฏิบัติ ก็ตั้งใจเลิกกินข้าวและน้ำ วันแรกๆ พอทนได้ พอหลายวันเข้าหูชักอื้อ ตาลาย จนในที่สุดตาก็มองไม่เห็นอะไร ความรู้สึกทางกายก็เริ่มหมดไป (ผมหายใจขาด ชีพจรหยุดเต้น) เหลือแต่สติสัมปชัญญะทางใจ กายใจ เริ่มออกจากกายเนื้อ เหมือนงูลอกคราบ

    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width="85%">
    --------------------------------------------------------

    หมายเหตุ : กายใจออกไป

    ครั้งที่ ๑ เป็นลักษณะของ กายพระสงฆ์
    ๒ กายเทวดา
    ๓ กายพรหม
    ๔ กายพระนิพพาน
    ๕ กายเนื้อ แบบพระพุทธเจ้า


    กายใจออกไปครั้งที่ ๕ นี้สูงและใหญ่มาก มีรัศมีรอบกาย สีสวยสดชัดเจน จากนั้นก็เห็นบันใดพญานาคสีเขียว หลายบันใดมาทอดรอรับ บันใดใหญ่อยู่กลาง มีบันใดเล็กลงมาอีกข้างละ ๗ บันใด เห็นเทวดาโปรยดอกไม้ทิพย์มาให้ มองเห็นผู้ติดตามจำนวนมาก เหมือนเมล็ดข้างโพดที่แกะแล้ว เป็นจำนวนหมื่นๆ แสนๆ ล้านเมล็ดที่เรียงรายอยู่ในลานกว้างใหญ่ พอกายใจก้าวขึ้นบันใดพญานาคทุกภพภูมิก็เปิดออก ตั้งแต่มหานิพพานถึงมหานรก วันนี้เห็นชัดเจนและเห็นกว้างกว่าทุกครั้งที่เคยเห็นมา บริวารที่เดินตามขึ้นมาด้วย เต็มไปหมดทุกบันใด พอมาสุดปลายบันใดพญาคสีเขียว มองเห็นเทวดาและพระสงฆ์จำนวนมาก กำลังทำพิธีกันอยู่ เห็นพระใหญ่นั่งอยู่แถวหน้าหลายองค์ องค์ที่ ๑ ถึงองค์ที่ ๔ เป็นพระพุทธเจ้าที่นิพพานไปแล้ว จำนวนแถวหน้าก็มีครูของผมนั่งอยู่ด้วย

    วันนี้ ถึงผมจะรู้อะไรจริง ก็ไม่สามารถที่จะให้คุณหรือโทษผู้อื่นได้อีก เพราะในขณะนั้น ผมคิดว่าผมตายไปจากโลกมนุษย์แล้ว กายใจของผม เดินเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า และกราบพระองค์ที่นั่งต่อมา ผมไม่ได้แปลกใจในฐานะของครู ผมเชื่อมั่นทุกสิ่งทุกอย่างของครูมานานแล้ว ผมขึ้นข้างบนทุกครั้งเห็นครูนั่งอยู่ตรงนี้เป็นประจำ ที่นั่งข้างบนไม่เหมือนที่นั่งอยู่ในโลกมนุษย์ เพราะในโลกมนุษย์ก็นั่งกันโดยสมมุติ แต่ไม่ได้นั่งตามบารมีธรรม ที่นั่งข้างบนนั้นต้องนั่งตามกติกาทุกอย่าง ที่นั่งของพระอินทร์ เทวดาองค์อื่นจะมานั่งไม่ได้ ที่นั่งของท้าวสหัมบดีพรหมองค์อื่นก็จะมานั่งไม่ได้ ที่ประทับของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ พระพุทธเจ้าองค์นั้นๆ ก็ต้องตามลำดับการตรัสรู้ก่อน-หลังของท่าน ผู้ที่บำเพ็ญบารมีในลักษณะพระโพธิสัตว์ ถ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตจริงๆ ก็จะต้องมีรุ่นพี่ รุ่นน้อง คือผู้ที่ยังไม่ได้รับคำพยากรณ์ เวลานี้ผมรู้ว่ามีรุ่นพี่ ๑๐๐ ท่าน แม้ว่าบารมีธรรมของผมยังไม่แข็งพอ แต่ก็รู้จริงถึงวิถีทางของการบำเพ็ญ คิดว่าภายภาคหน้าได้เป็นพระพุทธเจ้าจริงก็พอใจ

    จากนั้น ก็ลาพระพุทธเจ้าและครูและรุ่นพี่ คิดว่าจะไปพักอยู่ชั้นดุสิตสักครู่หนึ่ง แล้วก็จะมาจุติในโลกมนุษย์ เพื่อบำเพ็ญบารมีต่อใหม่ คิดจะไปแต่ยังไม่ทันไป ครูก็เรียกเข้าไปหาพร้อมถามว่า "นั่นแกจะไปไหน" ผมตอบครูว่า "จะไปพักชั้นดุสิตสักครู่" ครูบอกว่า "แกยังไม่ตายจริง" ครูพูดอีกว่า "มโนมยิทธิที่พระพุทธเจ้ามาสอนแกนั้น ดูแปลกดี ท่านสอนพระโพธิสัตว์องค์อื่นในโลกด้วยกสิณ แต่มาสอนแก กลับใช้อสุภกรรมฐาน วิธีนี้ดี เพราะเหมือนตายจริงๆ ฉันเองก็ทำตามที่พระพุทธเจ้ามาสอนแกเหหมือนกัน แต่ฉันไปไหนนานๆ ไม่ค่อยได้เพราะฉันมีลูกศิษย์มาก"

    วันต่อๆ มาผมได้ค้นพบในพระไตรปิฏกเล่มที่ ๓๓ หน้า ๓๖๐ บรรทัดที่ ๕ วรรคที่ ๒ มีใจความว่า "นิมิตเหล่าใดเคยปรากฏ ในขณะที่พระโพธิสัตว์ในปางก่อน นั่งเข้าสมาธิอันประเสริฐ นิมิตเหล่านั้นปรากฏในวันนี้"

    นิมิตทั้งหมดมี ๒๔ นิมิต นิมิตที่สำคัญที่สุดอยู่ในหน้า ๓๖๒ บรรทัดที่ ๓ ถึงบรรทัดที่ ๖ ใจความว่า "เทวดาทั้งปวงย่อมปรากฏเว้นไม่มีรูป แม้วันนี้ก็ปรากฏทั้งหมด ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ขณะนั้นนรกมีประมาณเท่าใด ก็ปรากฎหมดเท่านั้น แม้วันนี้ก็ปปรากฏทั้งหมด ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ จากนั้นก็มีนิมิตย่อยอีก ๒ นิมิต แล้วก็มีบทสรุปว่า นิมิตเหล่านี้ย่อมปรากฏเพื่อประโยชน์แก่การตรัสรู้ของสัตว์"

    ต่อมา พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันได้มีพระเมตตามาแสดงเหตุ - ผล ในการปรากฏนิมิต แต่จะพูดว่าเป็นนิมิตก็ไม่ถูกนัก เพราะพระพุทธเจ้าท่านแสดงให้ผมเห็นด้วยตา ต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าทั้งหลายพร้อมพระสาวก รวามทั้งพรหมและเทวดาในหหมื่นโลกธาตุ

    ผลของแห่งการปฏิบัติทั้งหมดนี้ ผมได้มาจากหลวงพ่อวัดท่าซุงโดยตรง แต่ในจำนวนลูกศิษย์ของหลวงพ่อด้วยกัน ก็มีจำนวนมากทั้งพพระและฆราวาสที่มีอยู่ทั่วโลก หลายๆ ท่านก็ยังมีความรู้แตกฉาน มากกว่าผมอีกหลายเท่า ซึ่งท่านเป็นผู้ใหญ่ในทางธรรมกันหมดแล้ว ส่วนตัวผมก็เข้ามาปฏิบัติไม่นาน ผมได้รู้ได้เห็นอะไรบ้างเล็กๆ น้อย ก็อดที่จะนำมาพูดไม่ได้ ถ้าไม่ได้ความรู้พิเศษจากหลวงพี่วิรัช ผมก็เขียนอะไรไม่ค่อยถูกแน่

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ศ.ธรรมทัสสี

    http://sites.google.com/site/sphrathewtheph/Home-4-2
     
  2. nutt_nst

    nutt_nst เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,470
    อนุโมทนาครับ เคยจับจังหวะหัวใจเหมือนกันครับ จับลมหายใจมันยังบังคับได้ จับการเต้นของหัวใจเลย ^^ ลองดูครับ
     
  3. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p

    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com
    <O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา

    [​IMG]</O:p>
     
  4. bhothisata

    bhothisata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +5,182
    ครับความเห็นส่วนตัวเช่นกัน หนังสือลูกศิษย์บันทึกมีด้วยกันสามเล่ม เป็นหนังสือที่ี่ลูกศิษย์ทำถวาย มิได้หมายความว่าหลวงพ่อรับรองลูกศิษย์ว่าจะไม่หลงหลังจากที่ส่งเรื่องให้ท่าน ที่กล่าวเช่นนี้เพราะได้ประสบกับตัวเอง ดังนั้นโปรดใช้ปัญญาไตร่ตรองว่า ลูกศิษย์ท่านใด ยังทรงอารมฌ์อยู่ได้หรือไ่ม่ เพราะหากยังไม่ถึงอริยะเพียงใด อารมณ์เฝืออาจเกิดขึ้นได้ ไม่มีข้อยกเว้นครับ
     
  5. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ขออนุโมทนาบุญกับท่าน ศ.ธรรมทัสสี และน้อง VANCO ในธรรมทานด้วยนะครับ

    อ่านแล้วรู้สึกมีกำลังใจในการปฏิบัติดีมาก ทำให้เกิดความมุ่งมั่นว่าสักวันจะต้องปฏิบัติ

    ไปให้ถึงจุดที่ ได้เห็นทุกภพภูมิทั้งหลายเปิดออกพร้อมๆ กัน

    ให้เห็น ตั้งแต่มหานิพพานจนถึงมหานรก




    .
     
  6. Nok Nok

    Nok Nok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +3,297
    [​IMG]
    กราบอนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...