อานิสงส์ของการทำบุญด้วยแรงงาน

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 20 พฤษภาคม 2010.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    [​IMG]


    ถาม : หลวงพ่อครับ ทำทานด้วยแรง (ไม่ชัด)

    ตอบ: ในเรื่องของการทำบุญ ส่วนใหญ่แล้ว อานิสงส์จะเป็นเรื่องของกามาวจรสวรรค์

    ถ้าหากว่ามีวัตถุเป็นอามิสบูชา ก็จะอยู่ลักษณะที่ว่า เกิดมาชาติใหม่ก็จะร่ำรวยมาก

    ถ้าหากว่า อาศัยลงแรงอย่างเดียว เราทำอะไรไป เราอาจจะได้อย่างนั้น อย่างเช่น เอราวัณเทพบุตร เอราวัณเทพบุตรนี่ท่านเป็นช้าง เขาเอาท่านไปใช้แรงงานในลักษณะที่ว่า สร้างศาลาเพื่อสาธารณะ ท่านก็เลยได้ขึ้นไปเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ นั่นก็ออกแต่แรงเหมือนกัน

    ถาม : เคยฟังรายการวิทยุ เขาบอกว่า ผู้ที่ทำบุญทานโดยไม่มีการสร้างวิหารทาน ผู้ที่ทำบุญในลักษณะแค่ตักบาตร เมื่อตายไปจะไม่มีวิมาน ?

    ตอบ: ไม่มีจ้ะ จะไปเป็นบริวารของเทวดาที่เขามีวิมานอยู่ หากว่ามีส่วนของวิหารทาน จะมากน้อยเพียงใดก็ตาม สร้างเอง ร่วมสร้าง มีอานิสงส์วิหารทานด้วยกันทั้งหมด อย่างเช่นว่า เขาสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างกระทั่งห้องน้ำ ห้องส้วม ก็ได้นะจ๊ะ ก็เป็นวิหารทาน แล้วแถมมีอานิสงส์พิเศษด้วย เพราะว่าเป็นที่ดับทุกข์ของชาวบ้านเขา ดังนั้น หากต้องการอานิสงส์วิหารทาน ก็เขาทำที่ไหนก็ร่วมกับเขาไป จะเล็กน้อยแค่ไหนก็ได้เหมือนกันจ้ะ

    ถาม : แล้วการสร้างเมรุละเจ้าคะ ?

    ตอบ: สร้างเมรุเป็นด้วยจ้ะ แล้ว จะได้ตัวปัญญาด้วย เพราะว่าเป็นมรณานุสสติอยู่ ตัวปัญญาที่เห็น จะเป็น ธรรมทานด้วย

    ถาม : แล้วเขาก็บอกอีกว่า ผู้ที่ไปบอกบุญคนอื่น จะมีบริวารเป็นสมบัติ แล้วก็จะได้รับบุญก่อนคนอื่น แล้วผู้ที่ทำบุญตามจะมาเป็นบริวารจริงมั้ยเจ้าคะ ?

    ตอบ: ก็ไม่แน่เหมือนกันจ้ะ ถ้าตัวเองดีแต่บอก แต่ตัวเองไม่ทำขึ้นมาไปเจอบริวารเก่งกว่า ก็ยุ่งเหมือนกัน ถ้าถามว่าจริงมั้ย ? มันจริงของเขา แต่ว่าขณะเดียวกัน เราไม่ได้เกิดชาติเดียวนี่ มันเกิดไปเรื่อย เราอาจจะเปลี่ยนการกระทำเมื่อไหร่ก็ได้ อันที่เขาว่ามาหมายถึงว่า หลังจากนั้นแล้ว เราไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นจะเป็นไปตามที่เขาบอก




    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมกราคม ๒๕๔๖(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2010
  2. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    แรงแลกบุญ ดีค่ะ ได้ความรู้เพิ่มเติม ขอบคุณค่ะ อนุโมทนาสาธุ....
     
  3. fullmoonsun

    fullmoonsun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    735
    ค่าพลัง:
    +2,321
    Anumothana Sathu
     
  4. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p

    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่

    www.tangnipparn.com<O:p
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา



    [​IMG]</O:p>
     
  5. สิงหนาท

    สิงหนาท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    673
    ค่าพลัง:
    +4,805
    อนุโมทนาสาธุ เข้าใจแจ่มแจ้งมากขึ้นแล้วครับ :cool:
     
  6. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    โมทนาสาธุครับ
    เชิญร่วมทำบุญสร้างพระประธานสมเด็จองค์ปฐมพร้อมวิหารแก้ว
    http://palungjit.org/threads/เ�...��.153668/
     
  7. มาพบพระ

    มาพบพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    643
    ค่าพลัง:
    +1,973
    ขออนุโมทนา สาธุ เราไม่ควรประมาทหมั่นประกอบการกุศลทั้ง ใจ วาจา กาย ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อปูทางไปสู่พระนิพพานต่อไปครับ
     
  8. dalin

    dalin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +338
    ท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาท ควรจะรีบทำบุญกันให้มากๆ การที่เราเกิดมาได้ในชาตินี้ก็เพราะเราได้ทำบุญไว้แต่ในอดีตชาติ จึงเป็นเหตุให้เราได้เกิดมา เมื่อเราเกิดมาแล้วอย่าได้อยู่อย่างไม่ทำบุญโดยกินบุญเก่าหมดไปวันๆ พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนให้ทำบุญไว้ดังนี้ คือ ๑.การให้ทาน ๒.การรักษาศีล ๓.การภาวนา
    การให้ทานคือการให้สิ่งของแก่ผู้ยากไร้จนถึงการให้แก่ผู้ทรงศีล ซึ่งแสดงออกถึงการไม่ยึดติดในวัตถุที่ตนมี และกล้าให้ อันเป็นเหตุให้เกิดบุญ การรักษาศีล คือการงดเว้นไม่ทำสิ่งที่เป็นการเบียดเบียน มีศีล๕ เป็นต้น จัดเป็นให้อภัยทาน อันเป็นเหตุให้เกิดบุญ และการภาวนา คือการเจริญสติ คอยระลึกนึกรู้ไม่ให้จิตใจอยู่ภายใต้อกุศลจิต อกุศลธรรมอันเป็นเหตุแห่งการเกิดกิเลส หรือการยึดมั่นถือมั่น สิ่งเหล่านี้เป็นบาปไม่ควรเสพ โดยพยายามคิดนึกอยู่เสมอๆ ว่าเราจะระวังไม่ให้จิตยินดี ยินร้าย หรือพอใจ ไม่พอใจ ต่อการได้เห็นรูป การได้ยินเสียง การได้รมกลิ่น การได้ลิ้มรส การได้สัมผัส มีเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง และระวังจิตใจในการคิดนึกในเรื่องเก่าๆที่ผ่านไปแล้ว การมีสติระลึกนึกรู้ไม่ยินดี ยินร้าย หรือพอใจ ไม่พอใจ ได้จัดเป็นจิตที่เป็นกุศลจิต หรือกุศลธรรม อันเป็นเหตุให้เกิดบุญอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเราปฏิบัติได้อย่างนี้เราจะได้รับความสุข มีสุขชาตินี้ และสุขชาติหน้า.
     
  9. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405

    "พระมหากัสสปโปรดหญิงตกยาก".....

    ในสมัยที่พระพุทธเจ้า ทรงประทับในกรุงราชคฤห์นั้น ได้มีหญิงตกยากคนหนึ่งที่สามีตาย ลูกก็ตาย เพราะเป็นช่วงที่อหิวาตกโรคกำลังเกิดขึ้น ทำให้ผู้คนตายเป็นจำนวนมาก ส่วนนางนั้นก็หนีออกจากบ้าน โดยไม่มีอะไรติดตัวมา อาหารก็ไม่มีจะกิน เที่ยวเดินโซชัดโซเซออกไปไกลจนไปพบหมู่บ้าน ๆ หนึ่ง แล้วก็เข้าไปขออาศัยในบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้ก็จนเหมือนกัน เมื่อเข้าไปในบ้านเจ้าของบ้านหลังนั้น ก็ให้ข้าวยาคูและข้าวตังเพราะเห็นนางแล้วสงสาร

    ในวันนั้นเองเป็นวันที่พระมหากัสสปออกจากนิโรธสมาบัติพอดี เมื่อออกจากสมาบัติแล้วก็พิจารณาว่าจะไปโปรดใครดี และเมื่อพิจารณาด้วยทิพยจักษุแล้วก็เห็นนางหญิงตกยากคนนี้แล้ว ก็พิจารณาว่า คน ๆ นี้ใกล้ตายและยังเป็นมารดาเมื่อชาติปางก่อนอีกด้วย ดังนั้นจำเป็นต้องช่วย จากนั้น องค์พระมหากัสสปก็ออกเดินไปบิณฑบาต เดินไปยังบ้านที่หญิงตกยากอาศัยอยู่

    มีเรื่องว่า ขณะที่พระมหากัสสปกำลังเดินทางจะไปรับบาตรของหญิงตกยากนั้น ก็ได้มีพระอินทร์มาคอยดักใส่บาตรก่อน โดยแปลงกายเป็นคนแก่ออกมาจากป่าเพื่อใส่บาตร แต่พระมหากัสสป กลับรู้ว่าชายแก่คนนี้เป็นท้าวสักกเทวราช จึงถวายพระพรว่า "มหาบพิตร ท่านฉลาดในการบุญ แต่ทำไมกลับมาแย่งชิงสมบัติของคนยากจนเสียเล่า" เมื่อท้าวสักกเทวราชได้ฟัง ก็รู้ว่าพระมหาเถระทราบว่าตนเป็นใคร แล้วก็แปลงกายกลับดังเดิม แล้วกราบนมัสการลากลับสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ต่อจากนั้นพระมหากัสสป ก็เดินไปยืนเฉพาะหน้าของหญิงตกยากคนนั้น ในขณะช่วงที่นางรับอาหารมาใหม่ ๆ เมื่อนางเห็นพระยืนอยู่ นางก็มองอาหารที่มีอยู่ก็เกิดความละอายใจที่ตนไม่มีของจะทำบุญ ถึงมีก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรใส่บาตรพระ นางจึงพูดว่า"ขอพระคุณเจ้าไปโปรดข้างหน้าเถิด" แต่พระมหากัสสปก็ไม่ไป กลับยืนอยู่ที่เดิม

    เมื่อมีผู้อื่นมาใส่บาตรท่าน ท่านก็ไม่เปิดบาตรให้ผู้อื่นใส่ เมื่อนางหญิงตกยากเห็นเป็นเช่นนั้น นางหญิงตกยากก็คิดว่า "ท่านคงมาโปรดเราแน่" นางจึงตัดสินใจเทข้าวตังที่ได้มาลงในบาตร ด้วยมืออันสั่นเทา

    ด้วยความรู้สึกที่ปิติยินดีในทานของตน เมื่อพระมหากัสสปรับบาตรแล้วก็ขอนั่งที่บ้านนั้น เพื่อฉันข้าวตัง แล้วก็เดินจากไป ในคืนนั้นเอง หญิงตกยากก็ตายลง ไปบังเกิดเป็นเทวดาที่มีฤทธิ์มาก ในสวรรค์ชั้นนิมมานรตี ด้วยแรงแห่งบุญที่ได้ตักบาตร แม้อาหารที่เป็นข้าวตัง อันเป็นอาหารที่ไม่มีรสเลิศ แต่เมื่อทำกลับพระที่ทีคุณเลิศก็ให้ผลมาก ........
     
  10. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    ทัททัลลวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร?

    นางภัททาเทพธิดาจึงถามต่อไปด้วยคาถา ๓ คาถาว่า

    แม่สุภัททา เธอจงบอกถึงการอุบัติของเธอในหมู่เทพเจ้าเหล่านิมมานรดี ซึ่งเป็นที่ที่สัตว์ทั้งหลาย ได้สั่งสมบุญไว้อย่างเพียงพอ จึงจะมาบังเกิดได้ เธอได้มาบังเกิดในที่นี้ เพราะทำบุญสิ่งใดไว้ และใครเป็นผู้สั่งสอน เธอเป็นผู้รุ่งเรืองยศ และถึงความสุขพิเศษไพบูลย์ถึงเช่นนี้ เพราะได้ให้ทานและรักษาศีลเช่นไรไว้ แม่เทพธิดา ฉันถามเธอแล้ว นี่เป็นผลแห่งกรรมอะไร โปรดบอกฉันด้วย.
    นางสุภัททาเทพธิดาตอบว่า
    เมื่อชาติก่อน ฉันมีใจเลื่อมใสได้ถวายบิณฑบาต ๘ ที่แก่สงฆ์ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล ๘ รูปด้วยมือของตนเอง เพราะบุญกรรมนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะงามเช่นนี้ ฯลฯ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2010
  11. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    เรื่อง ลาชเทวธิดา

    เรื่องลาชเทวธิดานี้มีมาในพระธรรมบทภาคที่ ๕ เรื่องมีอยู่ว่าในสมัยนั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระเชตวันทรงปรารภนางเทพธิดาชื่อว่า ลาชเทวธิดา แปลเป็นภาษาไทยว่า นางเทพธิดาข้าวตอก หรือตามที่ชอบเรียกกันทั่วไปว่า นางฟ้าข้าวตอก เนื้อความมีอยู่ว่า

    ในเวลานั้น ท่านพระมหากัสสป อยู่ที่ปิบผลิคูหา ได้เข้านิโรธสมาบัติสิ้นเวลา ๗ วัน เมื่อออกจากสมาบัติแล้วก็ดำริว่า วันนี้ถ้าเราไปบิณฑบาตจะมีใครสงเคราะห์เราไหม จึงใช้ทิพจักขุญาณดูก็ทราบว่า เวลานี้มีหญิงสาวคนหนึ่งเป็นลูกจ้างเฝ้านาข้าวสาลี เธอกำลังปลิดเมล็ดข้าวสาลี เพื่อจะใช้คั่วเป็นข้าวตอกเก็บไว้กินเมื่อยาวหิว เพราะการที่คอยคนที่นำอาหารมาส่งให้อาจจะสายเกินไป ถ้าหิวก็กินข้าวตอกแก้หิวไปพลาง ๆ ก่อน เมื่อเห็นแล้วท่านก็พิจารณาต่อไปว่า เมื่อเราไปที่เธอ เธอจะมีศรัทธาใส่บาตรไหม ก็ทราบด้วยใจที่เป็นทิพย์ว่า เมื่อเราไปถึงที่นั่นเธอมีศรัทธาที่จะถวายข้าวตอก ท่านจึงเหาะไปเพราะอยู่ไกลกันเกินกว่า ๖๐ โยชน์ ถ้าเดินไปคงไม่ไหว เมื่อใกล้จะถึงท่านก็ลงมาสู่พื้นดิน เดินไปที่ใกล้กระท่อมที่เธอพักอยู่ เมื่อเธอเห็นเข้า เธอก็ดีใจว่าวันนี้เธอได้ทำบุญแน่ เพราะเธอเป็นคนจน จึงต้องมาเป็นลูกจ้างเขาเฝ้านาข้าวโพด ความจริงตามบาลีท่านเรียกว่าข้าวสาลี เมื่อเผลอไปเขียนว่าข้าวโพดเข้า แต่ในที่บางแห่งท่านแปลคำว่า สาลิ คือ ข้าวโพด แต่ในปัจจุบัน
    นี้แขกเมืองอินเดียเขามีข้าวสาลีขายต่างประเทศ ก็ยังไม่เคยเห็นข้าวสาลีเลยว่าเหมือนข้าวโพดหรือเปล่า

    เป็นอันว่าเธอคั่วข้าวตอกก็แล้วกัน เมื่อเธอเห็นท่านก็ออกปากนิมนต์ว่า ขอพระคุณเจ้าหยุดก่อนเจ้าข้า เธอดีใจมากที่เธอพบพระพร้อมทั้งที่เธอมีข้าวตอก ด้วยเธอเคยคิดเมื่อเห็นพระแต่ไม่มีของทำบุญว่า เราเห็นพระแต่เราไม่มีของทำบุญจิตใจนั้นอยากทำบุญ บางคราวมีของเพื่อทำบุญแต่ไม่มีพระมา สมัยนั้นพระมีน้อยที่มีก็เป็นพระอริยเจ้าเป็นส่วนมาก มาคราวนี้เธอมีข้าวตอกและก็มีพระมาบิณฑบาตด้วย เมื่อท่านหยุดแล้วเธอก็นำขันน้ำที่ใส่ข้าวตอกเต็มขันออกไป ค่อย ๆ เกลี่ยลงในบาตรท่านพระมหากัสสปด้วยความเคารพ เมื่อใส่เสร็จเธอก็นั่งลงพนมมือไหว้ด้วยใจเคารพยิ่ง กล่าวคำปรารถนาว่า

    "ธรรมใดที่พระคุณเจ้าเห็นแล้ว ขอฉันเห็นธรรมนั้นด้วยเถิดเจ้าค่ะ"

    พระมหากัสสปท่านก็กล่าวว่า "เอวัง โหตุ" แปลเป็นไทยที่พอฟังสะดวก ๆ ว่า "เธอต้องการอย่างไร ขอให้ได้อย่างนั้นสมความปรารถนาเถิด"

    คำว่า ธรรมใดที่พระคุณเจ้าเห็นแล้วนั้น คำว่า "เห็น" หมายถึงการบรรลุธรรมนั้น เมื่อท่านให้พรแล้วท่านก็กลับ เธออาศัยที่ได้ทำบุญสมความตั้งใจมาเป็นปี ๆ เพิ่งมีโอกาสทำบุญคราวนี้ และเป็นการทำบุญครั้งเดียวในชีวิต ทั้งนี้เพราะความจนบังคับ เธอปลื้มใจมาก เมื่อท่านกลับไปแล้วด้วยความดีใจและปลื้มใจที่ได้ทำบุญ จึงกระโดดโลดเต้นไปเดินไปในเวลานั้นท่านบอกว่า มีงูพิษร้ายตัวหนึ่งอยู่ในรูระหว่างทางที่เธอเดินไป เมื่อเธอไปถึงตรงนั้นก็กัดเธอทันทีเธอล้มลงตายเพราะพิษงู เมื่อตายแล้วไปเกิดเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวิมานทองคำสูงประมาณ ๓๐ โยชน์ ตัวเธอสูง ๓๐๐ เส้น แวดล้อมด้วยนางฟ้าที่เป็นบริวาร ๑,๐๐๐ คน ที่วิมานของเธอมีข้าวตอกทองคำใส่ขันทองคำห้อยอยู่รอบวิมาน
     
  12. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    ไวยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยขวนขวายในกิจที่ชอบ หมายความว่า ในการสร้างพระพุทธรูปและพระฐานบัวประดิษฐานนั้น จะต้องอาศัยคนเป็นจำนวนมาก การวิ่งเต้นช่วยกันในงานหล่อพระในงานฉลองพระ เป็นต้น ถือว่าเป็นมหากุศลมีผลไม่น้อย เช่น พระเจ้าจันทปัชโชติ พระไวยาวัจจกเถระ เป็นตัวอย่างดังนี้คือ
    ก. พระเจ้าจันทปัชโชติ ได้ช่วยนายรับบาตรพระมาใส่อาหารและนำกลับไปถวายพระ ปรารถนาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และปรารถนาให้มียานพาหนะดี เดินทางได้วันละหลายๆ โยชน์ และปรารถนาให้ตนมีอำนาจวาสนามาก ครั้นตายแล้วก็ได้ไปเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินมีนามว่า พระเจ้าจันทปัชโชติสมความปรารถนา
    ข. พระไวยาวัจจกเถระ ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าพระวิปัสสี ท่านเป็นผู้ช่วยเหลือในกิจการของวัดและได้ช่วยเหลือในงานทำบุญต่างๆ ตายจากชาตินั้นได้ไปเกิดในสวรรค์ จุติมาเกิดเป็นพระราชาได้ออกบวชเจริญวิปัสสนากรรมฐานสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แตกฉานในปฏิสัมภิพาทั้ง ๔ ได้วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ดังนั้นผู้สร้างพระพุทธรูปและพระฐานบัวประดิษฐานจึงชื่อว่าได้บำเพ็ญไวยาวัจจมัยกุศลไปด้วย
     
  13. บุญบันดาล

    บุญบันดาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    688
    ค่าพลัง:
    +1,000
    Anumothana satu satu satu
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...