รวม คติธรรม คำสอน ของ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย naruphol, 6 พฤษภาคม 2010.

  1. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    รวม คติธรรม คำสอน ของ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่

    [​IMG]

    ***"ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีความเพียร ไม่มีวันสำเร็จ"

    พระคุณเจ้าหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพระอริยสงฆ์ที่เป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงยิ่ง จากพุทธศาสนิกชนทุกเทศทุกวัย ทั้งในและ ต่างประเทศ

    แม้ หลวงปู่จะได้ลาขันธ์ไป ตั้งแต่คืนวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘ แต่ความทรงจำในกระแส เมตตา ปฎิปทาสัมมาปฎิบัติ จริยาวัตรที่งดงาม พร้อมกับธัมโมวาทอันล้ำค่า ของหลวงปู่ ก็ยังส่อง สว่างอยุ่กลางใจของพวกเราชาวพุทธทุกผู้ทุกนาม
    เมื่อ น้อมระลึกถึงหลวงปู่ที่ไร ความสุข สงบ ความโสมนัส ชื่นบาน ความสมหวัง โชคดี ความเป็นสิริมงคล จะดื่มด่ำอยู่ในจิตใจ อย่างไม่รู้อิ่มรู้คลาย
    ผู้ ที่โชคด มีโอกาสกราบไหว้ องค์หลวงปู่ ได้เคยฟังการปรารภธรรม แสดงธรรม จากหลวงปู่ ต่างก็ประจัษ์ความไพเราะ นุ่มนวลละมุนละไม ประดุจเสียงทิพย์ที่ไพบูลย์ด้วยธรรมะ อันเป็นสากลสัจจะ ยังความอิ่มเอิบ เบิกบาน และเป็นมงคลยิ่งแก่ชีวิต

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เป็นผู้สืบเนื้อนาบุญอันไพศาล นับเป็นพระอริยสาวก ที่ควรแก่กราบ ไหว้บูชาอย่างแท้จริง
    ท่าน เจ้าคุณ พระวิบูลธรรมาภรณ์ แห่งวัดสัมพันธ์วงศ์ กรุงเทพๆ ศิษย์ใกล้ชิดท่านหนึ่ง ได้รจนาถึงปฎิทาของหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ดังนี้ :-
    " หลวงปู่แหวนท่านมีศีลที่สมบูรณ์ คือเป็นพระสงฆ์ที่มีความปกติครบถ้วนไม่เกินหรือขาด สภาพของท่านเปรียบเสมือนป่าใหญ่ที่มีต้นไม้ใหญ่เล็กนานาชนิด ทังยืนต้น และล้มลุก มี ดอก ใบ ผล สมบูรณ์ ตามสภาพของพันธ์นั้นๆ จะมีต่างอยู่ก็คือกลิ่นของดอกไม้ ในป่า หอมตามลม แต่กลิ่นศีลของหลวงปู่หวลตามลมและทวนลม และ ไม่นิยมกาลเวลา หอมอยู่เสมอ
    หลวง ปู่มีจริยาวัตร คือความประพฤติที่เรียบร้อย งดงาม เต็มพร้อมด้วยสิกขา วินัย กฎระเบียบ การปฎิบัติของท่านเรียบง่าย ถูกต้องทั้งในสมาคมสาธารณะ และในที่รโหฐาน จะเป็นที่ชุมชนใหญ่ เล็ก ท่านทำตนเป็นกลางเสมอเหมือน ความประพฤติของท่าน เสมือนต้นไม้ใหญ่ ที่มีร่มเงามาก มีกิ่งก้านสาขาแผ่กว้างให้คนเดินทางได้อาศัยร่มเงาพัก นกกาอาศัยเกาะกิ่ง มีกาฝากก็ขึ้นแซม บ้างบางครั้งบางคราว

    หลวงปู่ท่านมีปฎิทา คือทางดำเนินสายกลางพอเหมาะพองาม ไม่ชอบระคนด้วยกลุ่มชนมาก ชอบหลีกเร้นอยู่ในที่สงบ ชอบชีวิตธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร ชีวิตของท่านอยู่กับป่ามาโดยตลอด แม้ในวัยชรา หลวงปู่จะปรารภเสมอว่า ขณะนี้ป่าธรรมชาติจะหายไป แต่มีป่ามนุษย์เข้ามาเทนที่ โดยท่านให้คติว่า ต้นไม้ในป่าต่างต้นต่างเจริญเติบโต แสวงหาอาหารเลี้ยงต้น ใบ ดอก ผลของมัน เอง ไม่แก่งแย่งเบียดเบียนกัน แต่มนุษย์ก็มีทางดำเนินเลี้ยงชีวิตตรงกันข้ามกับต้นไม้ในป่า
    หลวง ปู่ท่านมีเมตตาธรรมเป็นเลิศ มีสมาธิดี มีพลังจิตสูงเปี่ยมด้วยเมตตา ถ้าได้สนทนาธรรม กับท่าน สิ่งที่เป็นคำสอนอันสำคัญสำหรับชาวเราทั่วไป ก็คือ ท่านจะสอนให้หัดแผ่เมตตา ความปราถนาดี แก่คน สัตว์ ศัตรูหมู่มาร จะสอนให้แผ่ให้ทั่วจักรวาล ยิ่งแผ่มากจะทำให้จิตใจ สบาย รักชีวิต ทรัพทย์สินของคนอื่นเหมือนกับของตนเอง หลวงปู่ท่านสอนให้แผ่ความปราถนาดี ความสุขแก่ชนทุกชั้นทุกระดับ ใครจะได้รับมากน้อยสุดแต่วาสนาบารมีของผู้นั้น

    สรุป ได้ว่า หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ท่านสมบูรณ์บริบูรณ์ด้วย ศีล จริยวัตร ปฎิปทา คุณธรรม แผ่ขจรขจายไปทั่วทุกสารทิศ ทั้งตามลมและทวนลม เกียรติคุณ บริสุทธิคุณ ปรากฎในชุมชน ทั่วไป
    คุณแห่งศีล และเมตตาของท่าน เป็นเสมือนมนต์ขลัง ก่อให้เกิดศรัทธาปสาทะ มีคนจำนวน มากเดินทางไปกราบขอศีลขอพร ขอบารมีธรรม และบางรายขอทุกอย่างที่ตนมีทุกข์ เพื่อจะให้ พ้นทุกข์
    ทำให้เกิดศรัทธาสองทาง คือ คุณธรรม และวัตถุธรรม ผู้ใดต้องการธรรมะ ก็สดับตรับฟัง ศึกษาเอา ผู้ใดต้องการของขลัง รูปเหรียญวัตถุมงคลที่ระลึก ก็แสวงหาเอา ใครผู้ใีดปราถนาหรือ ศรัทธาอย่างใดก็ปฎิบัติอย่างนั้น ซึ่งก็คงสำเร็จประโยชน์ไม่มากก็น้อย "
    ในสมัย ที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ประชาชนจากใกล้ไกล ต่างแห่แหนไปกราบ หลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ ได้ปรารภถามว่า " พากันลำบากลำบนมากันทำไม"

    คำตอบจากประชาชนเหล่านั้นก็คือ " ต้องการมากราบบารมีของหลวงปู่ "
    หลวง ปู่ได้แนะนำว่า " บารมีต้องสร้างเอา เหมือนอยากให้มะม่วงของตนมีผลดก ก็ต้องหมั่น บำรุงรักษาเอา ไม่ใช่แห่ไปชื่นชมต้นมะม่วงของคนอื่น ต้องไปปลูก ไปบำรุงต้นมะม่วงของตนเอง การสร้างบารมีก็เช่นกัน ต้องสร้างต้อง ทำเอาเอง "
    (จาก หนังสือเรื่อง หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๓ เรียบเรียงโดย รศ.ดร.ปฐม -รศ.ภัทรา นิคมานนท์
    มีนาคม ๒๕๔๘

    ***ให้ตั้งสัจจะ...หลวงปู่ แหวน

    การ ปฏิบัติเราจะเดินก็ให้ตั้งสัจจะไว้ว่า จะเดินเท่านี้เท่านั้น หรือเราจะนั่งวันหนึ่งคืนหนึ่ง หรือถ้าเราสู้ไม่ไหวเราก็เอาแต่พอสมควร ให้ตั้งใจจริงๆ
    กำหนด ตั้งสัจจะไว้ในจิตในใจ ละความมัวเมาออกให้หมด คอยกำหนดจิตเข้ามาสู่ภายในให้ใจเบิกบาน ตั้งความสัจจะว่าจะภาวนาเป็นเวลาเท่านั้นเท่านี้ หรือถ้าจะเดินก็ให้กำหนด ระวังรักษาจิตใจของเรา ให้แช่มชื่นเบิกบานไม่ปล่อยจิตปล่อยใจให้เป็นธรรมเมา รักษาจิตใจให้ตั้งอยู่เฉพาะธรรมโม
    อย่า ละความเพียรความพยายาม ให้เพียรไปติดต่อกัน จะเป็นวันหนึ่งหรือคืนหนึ่งก็ได้ เช่น ตั้งสัจจะว่าจะนั่งตลอดคืนจะไม่นอน อย่างนี้ตั้งสัจจะไว้อย่างนี้เป็นการดี ตั้งสัจจะต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วตั้งใจให้ดี คอยระวังรักษาจิตใจของเรานั้นแหละ ให้ผ่องใสตลอดไป

    ให้ พยายามรักษาความดีความหมั่นความขยันของเราไว้ ให้สละความเกียจคร้านออกไปเสีย ปกติจิตของเรานี้มักจะไหลไปสู่ความเกียจคร้านความลุ่มหลง
    เรา ต้องพยายามหาอุบายมาเตือนตนอยู่เสมอ ด้วยความเพียรความหมั่น ให้รักษา กาย วาจา ใจ ของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ในสิกขาวินัย นำความผิดความชั่ว ออกจากกาย จากวาจา จากใจ
    อาศัย ความเพียรเป็นไปติดต่อ จึงจะชนะความเกียจคร้านได้ ความมัวเมา ความประมาทอันใดมีก็ให้ละเสีย ให้วางเสีย ทำจิตใจของเราให้ตั้งอยู่ในธรรมโม พิจารณากลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ ต้องอาศัยความเพียรความหมั่นความขยัน ไม่เช่นนั้นจิตมันจะตกไปสู่ความเกียจคร้าน
    เรา ต้องตักเตือนข่มขู่ ชักจูงแนะนำจิตของเราด้วยอุบายแยบคาย ถ้าจิตใจมันเกียจคร้าน เราต้องหาอุบายมาตักเตือน ชักจูงแนะนำ ให้มีความอาจหาญ ร่าเริง ให้เกิดความอุตสาหะขยันหมั่นเพียร ไม่ปล่อยให้จิตนิ่งเฉยเกียจคร้าน

    เรา ต้องละความเกียจคร้าน ความไม่ดีของจิตด้วยการอบรมภาวนาอย่างนี้ ถ้าเราตักเตือนชี้นำด้วยอุบายอันชอบ ในที่สุดจิตก็จะฟังเหตุผล เกิดความมุมานะพยายามในความเพียร เราต้องข่มขู่ตักเตือนบ่อยๆ ในสมัยที่จิตนิ่งเฉยต่อความเพียร
    ถ้า เราคอยประคับประคองจิต ด้วยอุบายข่มขู่ตักเตือน ด้วยอุบายแยบคาย จิตย่อมจำนนต่อเหตุผล ระวังรักษาสติไว้อย่าให้หลงลืม ฝึกหัดให้เกิดความรู้ความฉลาดเกิดขึ้นในจิตในใจของตน

    จิต ของเรา ถ้ามันเกียจคร้านขึ้นมา มันจะให้เรานอนท่าเดียว ถ้ามันเกิดอย่างนี้ขึ้นมา เราต้องหาอุบายมาข่มขู่ตักเตือน อุบายใดที่ยกขึ้นมาชี้แจงแล้วจิตยอมเชื่อฟังนั่นแหละคืออุบายที่ควรแก่จิตใน ลักษณะนั้น และในขณะนั้นๆ ถ้าเราไม่ข่มขู่ชี้โทษโดยอุบายที่ชอบ ใครเขาจะมาตักเตือนเรา บางครั้งจิตถ้ามันเกียจคร้านขึ้นมา มันจะวางเฉยในอารมณ์ทั้งหมด ในลักษณะเช่นนี้แหละ เราต้องหาอุบายมาทำให้จิตตื่นให้ได้ เช่นไหว้พระสวดมนต์ หรือยกธรรมบทใดบทหนึ่งขึ้นมาพิจารณา
    ให้ ตั้งอยู่ในความหมั่นความเพียร ในคุณงามความดีของตน พยายามเพ่งดูในจิตในใจของเรานี้แหละ ถ้าไม่อาศัยความขยันหมั่นเพียร ไม่ได้ จิตเรานี้มันมักจะไหลไปสู่อารมณ์ต่างๆ เป็นอดีตอนาคตไป เราต้องหาอุบายมาชี้แจงให้ตั้งอยู่ในปัจจุบันธรรม

    ถ้า เราไม่หมั่นหาอุบายมาอบรมจิตแล้ว ส่วนมากจิตมักจะเกิดความเฉื่อยชา วางเฉย ดังนั้น อุบายจึงเป็นของสำคัญ ยกขึ้นสู่การพิจารณาชี้แจง ให้จิตอาจหาญ ร่าเริง เห็นแจ้งในจิตในใจของเรา ถ้าจิตยิ่งเกิดเกียจคร้านเท่าไรเราก็ต้องเพิ่มความพยายามตักเตือน โดยอุบายให้มากขึ้นให้เท่าเทียมกัน จนเกิดความขยันขันแข็ง เบิกบานผ่องใส
    ให้ ตั้งอกตั้งใจตั้งสัจจะ ตรงต่อคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้เกิดความอุตสาหะวิรยะ ความพากความเพียร ในภาวนาในคุณความดี
    ให้ตั้ง อยู่ในสิกขาวินัย ในความหมั่นความเพียร

    ให้ ตั้งความสัจจ์ความเพียรไว้ อย่าเป็นคนเกียจคร้าน พระพุทธเจ้าสั่งสอนเราให้ตั้งอยู่ในมรรคในผล ให้พยายามรักษาจิตรักษาใจของเรา อาศัยความองอาจกล้าหาญ ในความพากความเพียรของเรา อย่าอ่อนแอท้อแท้ เราต้องสู้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าองอาจกล้าหาญจึงจะผ่านอุปสรรคไปได้
    ให้รักษาตา รักษาหู รักษาจมูก รักษากาย รักษาใจ ของตน ในทุกอิริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน
    จา โค ปฏินิสฺสคฺโค ให้ละเสีย ความถือตนถือตัว อันตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เขาก็เป็นปรกติอยู่ใจก็เป็นปรกติอยู่ รูป เสียง กลิ่น รส กามคุณทั้ง ๕ เขาก็เกิดมีอยู่อย่างนั้นละ เราเกิดมา นินทา สรรเสริญ โคตร ผีบ้า ผีบอ เขาก็ว่ากันอยู่อย่างนั้นละ ที่รับเข้ามามันหนักแน่นอยู่ในหัวใจ ปล่อยให้เขาป่นไปป่นมา ใจปรกติอยู่แล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นปรกติอยู่แล้ว จะไปเดือดร้อนทําไมเล่า ไปหอบเอาของเขามาสิมันเดือดร้อน ของเราก็มีเต็มขี้ปุ๋ม (พุง) อยู่แล้ว บาปเราก็มี บุญเราก็มี นินทา สรรเสริญ โคตรพ่อโคตรแม่ ของเรามีเยอะ แต่เราไม่พูด โยนทิ้งหมด ก็สบายดีละก้า ไปหอบเอาของเขา ขี้โลภมากมันถึงเดือดร้อน ลูกก็ตาม หลานก็ตาม ลูกมันพ้นระหว่างขาของเราแล้วโล้ ไปหอบมันสังมันเป็นทุกข์ มันรู้ได้เสียก็พอละ รีบตั้งอกตั้งใจ ทําอาชีพอันใด ๆ ก็ดี ให้ตั้งใจ อย่าไปขี้เกียจขี้คร้านก็พอละ ว่ากล่าวด้วยวาจาของตน ช่วยสงเคราะห์อุปการะสังคโห ช่วยสงเคราะห์ก็พอแล้ว อันเขาใหญ่ขึ้นมาแล้ว รู้ผิด รู้ถูก รู้ได้ รู้ดี รู้มั่ง รู้มี ไปหวัน...มันก็เป็นทุกข์ละก้า ทําอันใดไม่พออกพอใจ แล้วก็ไปเดือดเขา บ่รู้พอหลงก็หลงมาพอแล้ว โลภก็โลภมาพอแล้ว รักก็รักมาพอแล้ว ชังก็ชังมาพอแล้ว เอ้า!! หยุด...พอแล้ว

    ตัว สัญญา ตัวกิเลส มันตั้งขึ้นเสียก่อน ตัวกิเลสนั้นนะ ไปทักมันสัก ๓ ครั้ง มันก็ไม่หยุด อย่างพวกนอนในใบบัวกา ไต่หลังน้ำ...กา หมู่นี้มันเป็นเครื่องเล่นนับเข้าบารมี ๑๐ นี่ละ ขันติตัวอดมันได้ปีติ ได้กสิณฌาน กํามือจนเล็บมือผด (ทะลุ) หลังมือไม่รู้ตัว อันนั้นก็ยังไม่มีใครแก้ได้นา ไม่ยอมใครทีเดียว แต่ไม่ใช่ถึง เป็นแค่ฌานโลกีย์ทั้ง ๕ ปีติอันนี้ แต่อาจเป็นอยู่ในกามโลกอันนี้ บางคนก็ขี้หินป่งหู้ม (งอกปิด) รอบ ๆ ตัว บางคนก็ไปนั่งริมเก๊าไม้ (ต้นไม้) ป่งหุ้ม ได้สองหมื่นปีก็มี สามหมื่นปีก็มี เวลาจะอกก็กสิณนั้นละ เพิ่งกสิณให้แตกกระจาย พวกนี้ครั้งตายจากกามโลก ก็ไปพรหมโลก ไปดูเขาแล้วพวกนี้ เขาเป็นนักผนึกบารมีหนา ทานบารมี ทานภายนอก ทานภายใจ เขาก็ละได้ภายใจตัวอกุศล ตัวอกุศลาธัมมา นี้ละ เมาหลง เมาโกรธ เมาราคะ กิเลสตัณหานี่ละ มันเป็นกก เป็นเค้าเป็นเหง้า เป็นงูน กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ไปจากนี้ละ เขาละได้จริง ๆ หนาเขาอดได้แต่ไปแก้ไม่ไหวหรอก อันที่ปีติตัวนี้ แต่ถอนได้เหมือนกันนั้นละ เวลาตายจากกามโลกนี้ ก็ไปพรหมโลก พวกนี้ไม่ตกต่ำ แต่ได้กลับมาเกิดอยู่ แต่พวกเพ่งพวกนั้น ยังสําคัญว่าตนได้สําเร็จพนะนิพพานหนา... แต่มันไม่เป็นปัญญาวิมุตติ โลกุตรวิมุตติ ต้องแก้ไขอยู่เรื่อง จนกิเลสอาสวักขยญาณไปรู้กิเลสของตน กิเลสของกาย สิ้นไปหมด กิเลสของใจ เรามีกามฉันท์งอกขึ้น ดับไปแล้ว ก๋าลังศรัทธา ก๋าลังความเพียร ก๋าลังสติ ก๋าลังสมาธิ ก๋าลังโลกุตรปัญญา วิมุตติผู้แจ้งชัชวาล ตลอดจนถึงขันธปรินิพพาน ไตรวัฏมีเท่านี้แล้ว

    นวํ นตฺถิ เราไมjยินดี จะก่อภพใหม่ต่อไปอีกแล้ว มันก็หมดเรื่องกันเท่านั้นละก้า... มิเข้าไปนอนในท้องแม่นอนกินน้ำกาม เกิดแก่เจ็บตายไม่มีแก่เราต่อไป มันหมดสิ้นละทีนี้ ถ้าไม่หมดมันก็หมุนอยู่นั้นละ ค้นอยู่ในนี้ละ อย่าไปละ ท่านไม่ให้ประมาทก้อนธัมเมา อริยสัจธรรมทั้ง ๔ ก็อันนี้แล้ว ทุกข์มันก็เกิดนี่ละสมมติอันใดทุกข์ก็อันนั้นละ มรรคสัจอันในนิโรธธรรม เป็นธรรมอันดับทุกข์ก็อันนั้นละ... ค้นอยู่ในนี้แหละครั้งไปค้นที่อื่น เดี๋ยวก็ไปติดแผนที่ จําแผนที่ได้อันนั้นเป็นอย่างนั้น ๆ สติปัฏฐาน ๔ ไปรู้แต่แผนที่... ตัวธรรมแท้ๆ ไม่รู้ กายานุปัสสนาสติปัฏฐานไปรู้แต่แผนที่เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานก็รู้แต่แผนที่ แล้วก็ไปติดแผนที่นั่นละ มันใช้ไม่ได้ละ... มันต้องวางแผนที่
    อุ โปปทานํ อุปโก สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี สมคฺคานํ ตโป สุโข เผาลงที่เดียวนั้น ให้มันแจ้งในที่เดียว แล้วมันจึงเป็นสุข ไปคุม (จับ) แต่แผนที่นั้นแล้วมันก็ไม่ทันการณ์ แผนที่อันหนึ่ง ภูมิประเทศอันหนึ่ง อย่างเจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านว่าแต่ก่อนแปลเต็มที่นา แผนที่นี่ใช้วิภัตติปัจจัยได้ดี... ครั้งไปปฏิบัติได้รู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาแล้ว โอ๊ย!!! มันน่ารักงไกลกันตั้งหลายโยชน์ อันนั้นมันแผนที่ต่างหาก แผนที่ปริยัติธรรม... ให้น้อมเข้ามาที่ก้อนธัมเมานี่ละ ก้อนพระธรรมแต่เมานี่ ตัวนี่ละค้นเข้า ๆ จนแจ้ง ครั้งแจ้งแล้วก็รู้หมดละหมู่นั้น ครั้งมันแล่นอยู่ก็ของเก่า มันเป็นธัมเมาอยู่นั้นละ พุทโธธัมเมา สังโฆธัมเมา อกุศลาธัมเมา เมาหลง เมาโกรธ เมาราคะ กิเลสตัณหา มันต้องละ พวกที้ละก้า... จะไปละที่ไหน ? ค้นอยู่นั้นละ ตัวทุกข์ มันก็เกิดนั้น ถือตัวถือตนมันก็ถืออยู่นั่น ก้อนธัมเมานี่ละ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ สอนถึงแต่หนัง เนื้อหนังหุ้มห่ออยู่เป็นที่สุดรอบ ไม่รู้ดี รู้ชั่ว มันปิดบังหมด เป็นอวิชชาใหญ่โต อวิชามันตัวมืด... เอามันจนรู้แจ้งโล่ อรหํ มันก็หยุดละ... ไม่หยุดก็เป็นธัมเมาอยู่นั้นละ อวิชชาธัมเมา อตีตาธัมเมา อดีตก็เป็นธัมเมามาตั้งแต่ดึกดําบรรพ์

    นับ อสงไขยไม่ได้ นับล้านอสงไขยไม่ถ้วน เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด มาตั้งแต่ดึกดําบรรพ์ มาตั้งแต่อดีต อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา มันเรื่องของสังขาร รู้เท่าสังขาร รู้เท่าสมมติ วางสังขารหมด วางสมมติหมด ก็โลกวิทูรู้แจ้งโลก รู้แจ้งโลกแล้ว ก็รู้แจ้งธรรม ฉะนั้น ไม่ให้ประมาท ให้ค้นอยู่ในก้อนธัมเมาอันนี้ละ พระธัมเมาก็ว่ามันเมาอยู่กับรูปนี้ ไม่เมารูปนี้ก็รูปอื่นมีทั่วไป ครั้งค้นนี้ให้แจ้ง แล้วก็หลุดออก แล้วมันก็สบาย วางขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม เอาละอย่าไปเอามาก มันเป็นธัมเม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 020.jpg
      020.jpg
      ขนาดไฟล์:
      145.8 KB
      เปิดดู:
      1,376
  2. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    ***ของดีหลวงปู่แหวน สุจิณโณ

    ร่างของหลวงปู่ผู้ชรา จะถูกเผาไหม้ไปในวันมะรืนนี้ แต่ชื่อของหลวงปู่จะอยู่ในหัวใจของพุทธศาส- นิกชนไปอีกนานเท่านาน
    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ เป็นพระที่มีเมตตาสูงแผ่เมตตาบารมี ให้คนมั่งมี ร่ำรวยไม่รู้กี่ร้อยกี่พันราย
    แม้หลวงปู่จะตายไปแล้ว ร่างกายกำลังจะถูกเผาไหม้ไปในวันนี้ พรุ่งนี้ แต่บารมีหลวงปู่ ก็ยังทำให้คน ร่ำรวยอีกมหาศาล
    คนที่พิมพ์หนังสือที่ระลึกถึงหลวงปู่ คนที่ตัดสบงจีวรออกขายโดยบอกว่า เป็นของที่หลวงปู่เคยใช้ เมื่อหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ คนเป็นหมื่นเป็นแสนที่หลั่งไหลไปในงานศพของหลวงปู่ ไปโดยรถไฟ เครื่องบิน รถทัวร์ รถสองแถวเล็ก ฯลฯ สารพัดชนิด พวกนี้ร่ำรวยกันไปหมด
    หลวงปู่ช่วยให้อีกหลายร้อย หลายพันคนร่ำรวย แม้หลวงปู่จะตายไปสองปีแล้ว
    หลวงปู่แผ่เมตตาให้กับทุกคนในสมัยที่หลวงปู่มีชีวิตอยู่ แต่ไม่ค่อยมีใครแผ่เมตตาให้กับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ กันเลย
    ทุกคนรักหลวงปู่ ไปขอของที่หลวงปู่ใช้แล้วมาเก็บไว้เพื่อเป็นสิริมงคล อย่างเส้นผมของหลวงปู่นั้น แย่งกันนัก
    บางครั้งหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ถึงกับออกปากว่า "เฮาโกนหัวแล้ว เปิ้นยังจะฮื้อโกน แถมจะเอาผม เอาไปสร้างพระอะหยัง เฮาเจ็บหัว"
    แม้แต่น้ำที่ท่านอาบ ก็มีผู้ประสงค์เอาไปเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเขา หลวงปู่ก็ได้แต่พูดว่า "เฮาหนาวจะต๋าย เปิ้นก็จะฮื้อเฮาอาบน้ำอีก"
    ถ้าใครไปขอของดีจากหลวงปู่แหวน หลวงปู่จะบอกว่า "ของดีอะไร อะไรคือของดี ของดีมีอยู่ด้วย กันทุกคนแล้ว การที่มีร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ไข้ได้พยาธินั้น ก็มีของดีแล้ว การมีร่างกายแข็งแรง มีอวัยวะครบถ้วน ไม่บกพร่องพิกลพิการ อันนี้ก็มีของดีแล้ว จะต้องไปหาของดีที่ไหนกันอีก"
    แต่โอวาทของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ นั้นเป็น "ความยิ่งใหญ่" ที่หาเปรียบปานได้ยาก
    "คนเรามันรักสุข เกลียดทุกข์นี่ หนักก็หนักอยู่ตรงนี้แหละ ไม่รับความจริง"
    "คนเราเกิดมา นินทาก็ดี สรรเสริญก็ดี อย่าไปรับเอามาหมักไว้ในใจ ปล่อยผ่านไปเสีย"
    "ตัดอดีด อนาคต ลงให้หมด จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้ในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน ทำในปัจจุบัน แจ้งอยู่ ในปัจจุบัน"
    "ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีความเพียร ไม่มีความสำเร็จ"
    "มองดูท้องฟ้า เห็นดวงดาวเต็มไปหมด การเกิด การตาย ไม่รู้ว่าอีกเท่าไหร่ เกิดแล้วตาย เกิดแล้ว ตาย....."
    ร่างของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ จะถูกเผาไหม้ไปในวันมะรืนนี้แล้ว แต่ธรรมะของหลวงปู่จะอยู่ตลอด ไป
    ตั้งจิตอธิษฐานกันในวันเผาหลวงปู่ แม้จะไม่ได้ไปร่วมในพิธี สำรวมจิตให้มั่นคง ขอให้หลวงปู่แหวนพระแท้ๆ ของชาวไทยได้บรรลุถึงพระนิพพาน.
    ( คัดจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คอลัมน์ "สวัสดีเวลาเช้า" เขียนโดย มังกรห้าเล็บ (ไม่ได้บันทึกฉบับที่ไว้) )
     
  3. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    ***เหตุการณ์หลวงปู่แหวน กับ หลวงปู่ตื้อ....น่าขนพองสยองเกล้า

    เอา เรื่องราวแนวธรรมะมาฝาก....
    มีเหตุการณ์น่าขนพองสยองเกล้าครั้งหนึ่ง เขียนในนิตยสารโลกทิพย์ ดังนี้

    ในเช้าวันหนึ่ง หลวงปู่แหวนกับหลวงปู่ตื้อ ได้อาศัยบิณฑบาตที่หมู่บ้านชาวป่า มี 4-5 หลังคาเรือน ชาวบ้านพากันมาใส่บาตรด้วยความดีใจ เพราะนานๆ จึงจะมีพระธุดงค์มาโปรดสักที

    ชาวบ้านถามว่า พระคุณเจ้าทั้งสองจะไปไหน หลวงปู่บอกว่าจะมุ่งไปทางเทือกเขาที่มองเห็น แล้วจะลงไปทางสุวรรณเขต (อยู่ตรงข้ามกับมุกดาหาร) ชาวบ้านแสดงอาการตกใจ พร้อมทั้งทัดทานว่าอย่าไปทางโน้นเลย เพราะมียักษ์ปีศาจดุร้ายสิงอยู่ คอยทำร้ายคนและสัตว์ที่ผ่านไปทางนั้น
    หลวง ปู่ทั้งสอง กล่าวขอบใจในความหวังดี และบอกว่าท่านทั้งสองได้มอบกายถวายชีวิตให้พระศาสนาแล้ว ขออย่าได้ห่วงตัวท่านเลย แล้วท่านก็ออกเดินทางไปในทิศทางดังกล่าว
    หลวง ปู่ออกเดินทางโดยข้ามลำน้ำสองแห่ง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ป่าแถบนั้นเงียบกริบ ไม่ได้ยินเสียงสัตว์ต่างๆ เลย แม้แต่นกก็ไม่มี ดูผิดประหลาดมาก

    พอใกล้ค่ำหลวงปู่ทั้งสอง ก็มาถึงยอดเขาสูงที่มีลักษณะประหลาดมาก คือยอดเป็นสีดำคล้ายถูกไฟเผา รูปลักษณะดูตะปุ่มตะป่ำคล้ายหัวคนบ้าง หัวตะโหนกช้างบ้าง แปลกไปจากเขาลูกอื่นๆ

    หลวงปู่ทั้งสอง เลือกปักกลดค้างคืนข้างลำธารที่มีน้ำใสไหลผ่านอยู่ที่เชิงเขาลูกนั้น ปักกลดห่างกันประมาณ 10 เมตร เมื่อสรงน้ำพอสดชื่นแล้วต่างองค์ก็นั่งสงบภายในกลดของตน ทั้งสององค์ตระหนักในความประหลาดของสถานที่นั้น ไม่ได้พูดอะไรกันเพียงแค่นั่งสงบอยู่ภายในกลด

    ประมาณ 5 ทุ่ม หลวงปู่แหวน ก็ออกจากกลดเตรียมจะเดินจงกรม หลวงปู่ตื้อ ออกมาตามและพูดว่า "ผมรู้สึกว่าที่นี่วิเวกผิดสังเกตนะ"
    หลวงปู่แหวน ตอบ "ผมก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน"
    พูดกันแค่นี้แล้วต่างองค์ต่างก็เดิน จงกรมในทางของตน

    ต่อจากนั้นไม่นานก็มีเสียงกรีดแหลมเยือกเย็นดังลงมา จากยอดเขารูปประหลาดนั้น เสียงนั้นแหลมลึกบีบเค้นประสาทจนรู้สึกเสียวลงไปถึงรากฟันทีเดียว

    หลวง ปู่ตื้อ ถามพอได้ยินว่า "ท่านแหวนได้ยินแล้วใช่ไหม"
    หลวงปู่แหวน ตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า "ผมกำลังฟังอยู่"
    เสียงกรีดร้องนั้นใกล้เข้ามา ทุกที ฟังแล้วน่าขนพองสยองเกล้า ทั้งสององค์คงเดินจงกรมอยู่เงียบๆ ตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    ป่านั้นเงียบสงัดจริงๆ เสียงนกเสียงแมลงก็ไม่มี ครั้นแล้วเกิดพายุปั่นป่วนมาอย่างกระทันหัน ชนิดไม่มีเค้ามาก่อนเลย ต้นไม้โยกไหวรุนแรงราวกับจะถอนรากออกมา อากาศพลันหนาวเย็นวิปริตขึ้นมาทันที พลันปรากฏร่างประหลาดขึ้นร่างหนึ่ง ตัวดำมะเมื่อม สูงราว 7 ศอก มีขนยาวรุงรังคล้ายลิงยักษ์ แต่หน้าคล้ายวัวควาย ตาโปน มือสองข้างยาวลากดิน มันก้าวเข้ามาอยู่ห่างจากหลวงปู่ทั้งสองประมาณ 10 เมตรเห็นจะได้

    สัตว์ ประหลาดนั้นส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้น พลันพายุนั้นก็สงบลง แสดงว่ามันมีอำนาจเหนือธรรมชาติ สัตว์นั้นส่งกลิ่นเหม็นรุนแรงร้ายกาจเหมือนกลิ่นศพที ่กำลังขึ้นอืด มันกระทืบเท้าสนั่นจนแผ่นดินสะเทือน

    หลวงปู่แหวนเล่าในภายหลังว่า ท่านไม่รู้สึกกลัว แต่ขนลุกซู่ซ่าไปหมด เพราะไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาดอย่างนั้นมาก่อน ยังไม่รู้ว่าเป็นปีศาจหรือสัตว์อะไรแน่ ท่านได้กำหนดสติไม่ให้ใจคอวอกแวก ทอดสายตาไปยังสัตว์ประหลาดนั้น กำหนดจิตแผ่เมตตาไปยังร่างนั้น สัตว์ร่างยักษ์นั้นหยุดร้อง หยุดส่งกลิ่นเหม็น แสดงว่ารับกระแสเมตตาได้ มันค่อยๆ ทรุดร่างลงนั่งยองๆ เอามือยันพื้นไว้ ทำท่าแสดงความนอบน้อมต่อท่าน

    หลวง ปู่ตื้อ พูดพอได้ยินว่า "ท่านแหวนทำดีมาก" พร้อมทั้งเดินมาสมทบ แล้วพูดว่า "เขาแบกหามบาปหาบทุกข์อันมหันต์ เขามาหาเรา เพื่อให้ช่วยปลดทุกข์ให้เขานะ เขาสร้างกรรมไว้มาก เมื่อตายจากมนุษย์แล้วต้องมาเป็นปีศาจอสุรกาย ทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่"

    หลวง ปู่แหวน ได้กำหนดจิตถามดูก็ได้ความว่า สมัยเป็นมนุษย์เขามีการกระทำที่มากล้นด้วยตัณหา และความโลภ คือละเมิดศีลข้อ 2 และข้อ 3 อยู่เสมอ จึงต้องมาเป็นปีศาจอสุรกาย รับทุกข์อยู่ที่นั่นมากว่าร้อยปีแล้ว

    ปีศาจอสุรกายนั้นดูท่าทางอ่อน ลงมาก มันร้องไห้คร่ำครวญน่าสงสาร ขอความเมตตาจากพระคุณเจ้าทั้งสองให้เขาได้พ้นทุกข์ทรมานนั้นด้วยเถิด

    หลวง ปู่แหวน ได้พิจารณาเห็นว่า เขาสร้างกรรมซับซ้อนเหลือเกินใครจะช่วยเขาได้ พลันหลวงปู่ตื้อตอบมาในสมาธิว่า "กรรมเป็นเรื่องสลับซับซ้อนลึกซึ้งอยู่ก็จริง บางทีพระผู้มีศีลบริสุทธิ์และมีบารมีเช่นท่านแหวน ก็อาจจะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้ ลองอ่านพระคาถา หรือเทศนาธรรมให้เขาฟังดูสิ"
    หลวง ปู่แหวนได้กำหนดจิตว่าพระคาถา แล้วเทศนาให้เขาสำนึกบาปบุญคุณโทษ เขาค่อยๆ คลายความกังวลลง ก้มลงกราบด้วยความซาบซึ้ง

    "พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าได้กำหนดจิตพิจารณาตามกระแสธรรมของท่านแล้ว เกิดแสงสว่างกับข้าพเจ้าอย่างมหัศจรรย์ และข้าพเจ้าได้เห็นสภาวธรรม คือ ชาติ ชรา มรณะ อันเป็นทุกข์เป็นธรรมดาของสรรพสัตว์ทั้งหลายแล้วพระคุณเจ้า"
    สี หน้าเขาดูสดชื่นขึ้น ก้มลงกราบหลวงปู่ทั้งสององค์ แล้วร่างนั้นก็หายไป

    จาก หนังสือ "หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ" วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ (โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม3)
     
  4. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    ***การออกปฏิบัติธรรมในสมัยแรกๆ ของหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ พระอริยะแห่งดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่

    ส่วน หนึ่งของการรวบรวมเรียบเรียงโดย
    พระนาค อตฺถวโร
    วัดสัมพันธวงศ์ กทม.

    การ ออกปฏิบัติธรรมในสมัยแรกๆ หลวงปู่แหวนท่านยังไม่รู้จักวิธีภาวนา เวลาอยู่ในป่าในเวลากลางคืนมักจะเกิดความระแวงไปในเรื่องที่ไร้สาระต่างๆ ตามแต่จิตมันจะปรุงขึ้นมา ส่วนมากมักจะเป็นเรื่องหลอกตัวเองทั้งสิ้น ตามความเคยชินของจิตที่เคยเป็นอิสระมาตลอด โดยไม่มีขอบเขต ไม่มีเครื่องกั้น ไม่มีสิ่งควบคุม ครั้นมาปฏิบัติเข้าในระยะแรกก็รู้สึกดื่มด่ำดี แต่พอเอาเข้าจริงๆ จิตกลับฟุ้งปรุงไปเป็นอดีตกับอนาคต ไม่ได้คิดพิจารณาในเรื่องปัจจุบันนัก

    แต่เพราะอาศัยได้รับคำแนะนำ แก้ไข พร้อมทั้งอุบายในการแก้จิตในเวลาฟุ้งซ่าน อุบายการข่มจิตในเวลาเกิดความทะนงตน ประกอบการได้รับคำสั่งจากพระอาจารย์มั่นให้ไปอยู่ในที่ต่างๆ ได้อาศัยอาจารย์เสือบ้าง อาจารย์ช้างบ้างเป็นผู้ข่มขู่จิต ประกอบกับพยามยามประกอบความเพียรให้เป็นไปติดต่อไม่ขาดวรรคขาดตอน ทั้งกลางวันกลางคืน จิตก็ค่อยรวมตัวอยู่ในความควบคุมของสติรวมเข้าสู่สมาธิ ความเยือกเย็นในด้านจิตใจ เริ่มปรากฏผลให้ประจักษ์ ทำให้เกิดความมั่นใจในข้อปฏิบัติของตนที่ได้ดำเนินมาว่าไม่ผิดทาง

    เมื่อ ความสงบของจิตเริ่มปรากฏเป็นผลของการปฏิบัติความเพียร ซึ่งแต่ก่อนมาเคยฝึกทำมาตลอดนั้น พอจิตสงบลงความเพียรก็เร่งขึ้นตามส่วน เป็นเครื่องบำรุงส่งเสริมสมาธิปัญญาไปในขณะเดียวกัน เมื่อศรัทธามีกำลัง สมาธิมีกำลัง ปัญญาก็มีกำลังต่างก็ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ตั้งแต่สมาธิขั้นต่ำไปถึงปัญญาขั้นสูง ความสุขทางด้านจิตใจเริ่มปรากฏเป็นผลให้ชื่นชม ไม่เสียแรงที่ได้พยามยามตั้งใจปฏิบัติมา

    การปฏิบัติทางจิตนั้นเป็น ของละเอียดอ่อนมาก สติสัมปชัญญะต้องตื่นอยู่เสมอไม่เช่นนั้นจะตามไม่ทัน จิตซึ่งเป็นธรรมชาติ ชอบคิด ชอบปรุง ชอบแส่ส่ายไปหาอารมณ์ที่ใกล้ที่ไกล ไม่มีขอบเขต ถ้าอยู่ในที่ชุมชนอารมณ์ที่เข้ามานั้นส่วนมากจะเข้ามาทางตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง เมื่ออารมณ์เข้ามาทางไหน จิตก็รับรู้ต้อนรับทันที การต้อนรับอารมณ์ของจิตมักจะนำมาแบกมาหามมาทับถมตัวเอง การที่จะสลัดตัดวางนั้นไม่ค่อยปรากฏ เพราะเหตุนั้นจึงทำให้เราเป็นทุกข์ไปกับอารมณ์นั้นๆ เป็นสุขไปกับอารมณ์นั้นๆ เป็นความเพลิดเพลินไปกับอารมณ์นั้นๆ ทั้งนี้ก็เพราะขาดการพิจารณาของจิตนั่นเอง


    จิตที่ไม่มีสติไม่มี พี่เลี้ยงคอยควบคุม คอยแนะนำมักจะไปแบกไปหาม ไปหามเอาทุกสิ่งทุกสิ่งทุกอย่างมาทับมาถมตนเองให้เกิดทุกข์ ถึงกับบางคนตีอกชกตนเห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่น่ารื่นรมย์ กลายเป็นพิษเป็นภัยไปก็มาก ส่วนอารมณ์ของนักปฏิบัติผู้อยู่ในป่านั้น มักเกิดขึ้นกับจิตที่ชอบปรุงแต่งเป็นอดีตอนาคต ซึ่งอารมณ์ประเภทนี้ทำลายนักปฏิบัติมามากต่อมากแล้ว เหตุเพราะไม่รู้เท่าทันกลมายาของจิต เหตุเพราะขาดสติปัญญาพิจารณานั่นเอง

    ดัง นั้น การปฏิบัติจิตภาวนาจำต้องเป็นผู้ตื่นอยู่เสมอ อารมณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้าออกตามทวารต่างๆ นั้น ต้องได้รับการใคร่ครวญพิจารณาจากสติสัมปชัญญะเสียก่อนทุกครั้ง นอกจากความเป็นผู้มีสติประจำอิริยาบถแล้ว การบริโภคปัจจัย ๔ ก็ต้องพิจารณาโดยอุบายทุกครั้ง การพิจารณาปัจจัย ๔ ก่อนการบริโภคการใช้สอยนั้น เป็นอุบายข่มความทะเยอทะยานอยากของจิตได้ดี บางครั้งก็เกิดความแยบคาย เป็นอุบายของปัญญาได้ ดังนั้น การภาวนาก็คือการมีสติสัมปชัญญะคอยตักเตือนตนเองอยู่เสมอ ไม่ให้เกิดความประมาท ความมัวเมา มีอินทรีย์สังวรละเว้นบาปอกุศลแม้เพียงน้อย จำต้องอาศัยความหมั่นเพียร ความพยายามทางกาย ทางวาจา ทางใจของตน จึงจะรักษาตนให้รอดปลอดภัย ต้องกระทำให้มาก ให้เป็นไปติดต่อไม่ขาดวรรคขาดตอน
     
  5. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    ***หายป่วยด้วยพลังจิต

    คำอธิษฐาน เรื่องใดก็ตามจะเกิดขึ้นตามที่บุคคลนั้นต้องการได้ต้องอาศัยกำลัง ๔ ประการเป็นองค์ประกอบที่เสมอกันคือ กำลังฌาน ๑ กำลังกสิณ ๑ กำลังใจ ๑ กำลังอธิษฐาน ๑ โดยอาศัยสมาธิและอิทธิบาท ๔ เชื่อมประสาน

    กล่าว กันว่า บุคคลใดฝึกฝนอบรมอธิษฐานบารมีด้วยดำรงความซื่อสัตย์ไม่กลับกลอก มีความสามารถบังคับจิตใจได้ดี ยอมเสียสละทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างแม้ชีวิต ย่อมจะเกิดพลานุภาพเกินที่จะคาดคิดได้ว่ามีประมาณเพียงใด

    เพราะเมื่อ พลังจิตมีกำลังเข้มแข็ง การกระทำและคำพูดแต่ละคำที่เปล่งออกมาก็ย่อมศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์เดชเช่นกัน.
    มี เรื่องเล่ากันมาว่า...

    สิทธา เชตะวัน และ นิโรธ เกสรศิริ ได้เล่าเรื่องหลวงปู่แหวน ในนิตยสารโลกทิพย์ ฉบับเดือนมกราคม ๒๕๒๖ ไว้ดังนี้

    ครั้ง หนึ่งหลวงปู่แหวนเดินทางมาจากเชียงรายเพื่อจะไปลำปาง เดินทางมาถึงพะเยา ได้อาศัยรถลากไม้จากพะเยาถึงอำเภองาว รถเกิดติดหล่มก็เลยเดินไปก่อน กะจะไปพักหมู่บ้านข้างหน้า ขณะที่เดินทางมานั้นฝนก็ตกพรำตลอดเวลา พอตกเย็นถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เข้าไปอาศัยพักศาลาใกล้หมู่บ้าน

    วัน รุ่งขึ้นฉันเสร็จแล้วเดินทางต่อไป สมัยนั้นการเดินทางลำบากเพราะต้องฝ่าซอกหินธารเขาป่าก็เป็นป่าดงดิบพวกทากมี อยู่ทั่วไป เดินทางมาถึงศาลเจ้าพ่อประตูผาก็พอดีพลบค่ำ จะไปหาที่พักที่อื่นก็ไม่ทันเพราะเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว จึงอาศัยนอนบนศาลเจ้าพ่อประตูผานั้นเอง

    เมื่อ หยุดพักหายเหนื่อยดีแล้วก็ไหว้พระสวดมนต์ แผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์แล้ว ลงไปเดินจงกรมบ้าง นั่งบ้างสลับกันไป เวลากลางคืนพวกเสือมันมาร้องแถวใกล้ๆ ที่พัก แต่ละตัวสามารถล้มวัวทั้งตัวได้อย่างสบาย มันร้องรับกันเป็นทอดๆ ตกดึกอากาศเย็นจัดนอนไม่ค่อยหลับ

    พอ สว่างก็ออกเดินทาง ตกบ่ายรู้สึกอ่อนเพลียมาก หนักศีรษะคล้ายจะเป็นไข้ พยายามเดินเพราะอยู่กลางป่าเขาไม่มีหมู่บ้าน เดินไปได้ประมาณสองชั่วโมง รู้สึกว่าอาการไข้เริ่มปรากฏชัด ขารู้สึกว่าจะก้าวต่อไปไม่ไหวอ่อนไปหมด จึงแวะเข้าใต้ร่มไม้ข้างทาง วางกลด วางบาตรแล้วล้มตัวลงนอนหลับไปโดยไม่รู้สึกตัวเพราะพิษไข้ ช่วงเวลาที่หลับไปนั้นนานเท่าไรไม่อาจรู้ได้

    มา รู้สึกตัวก็ได้ยินเสียงซู่ๆ ของลมพัดยอดไม้ เสียงฟ้าคะนอง ฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ทั่วไป มองไปบนท้องฟ้ามีเมฆดำทะมึนเต็มท้องฟ้า ลมก็พัดกระโชกแรงขึ้น อาการไข้ก็ยังไม่สร่าง ฝนก็เริ่มลงเม็ดห่างๆ จะกางกลดก็สู้ลมพัดไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะไปหลบลมหลบฝนอยู่ที่ไหน ดูเหมือนจะหมดหนทางแก้ไข

    เมื่อ ไม่มีทางหลบลมและฝนได้แล้ว จึงรวบรวมกำลังกายลุกขึ้นนั่งสมาธิ ตั้งสัจจาธิษฐานอ้างเอาคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ อ้างถึงบุญบารมีของตนที่ได้บำเพ็ญมาตั้งแต่บวชมาด้วยดีว่า “ข้าพเจ้าบวชอุทิศต่อพระพุทธ ต่อพระธรรม ต่อพระสงฆ์ วันนี้ข้าพเจ้าเดินทางมาจะไปลำปาง เกิดอาการไข้หมดกำลังที่จะไปข้างหน้า ถ้าบุญบารมีของข้าพเจ้ามีอยู่จะได้บำเพ็ญพรหมจรรย์เพื่อทำหน้าที่ดับทุกข์ แล้ว ขอฝนอย่าได้ตกลงมาตรงที่ข้าพเจ้านอนอยู่นี้เลยแล้วแผ่เมตตาต่อเทพารักษ์ผู้ ศักดิ์สิทธิ์ตลอดจนนาคครุฑผู้มีอำนาจ อธิษฐานบอกกล่าวแก่เขาว่า

    “ขอ ได้โปรดบันดาลด้วยอำนาจฤทธิ์ของตนๆ ให้ฝนซึ่งกำลังจะตกลงมานี้ เว้นตรงที่ข้าพเจ้านอนอยู่นี้ ขอให้เปลี่ยนทิศทางไปเสียทางอื่น การที่จะห้ามฝนไม่ให้ตกนั้นมิใช่ฐานะ แต่ขออย่าได้ตกลงมาตรงที่ข้าพเจ้านอน ขอให้ผ่านไปทางอื่น”

    เมื่อ อธิษฐานเสร็จแล้วทำจิตให้แน่วแน่แผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั่วจักรวาลไม่มี ประมาณ เป็นที่น่าอัศจรรย์ ขณะที่ฝนกำลังลงเม็ดถี่โดยลำดับนั้น ได้เกิดมีลมพัดมาอย่างแรง จนทำให้ต้นไม้ลู่เอนไปตามทิศทางของลม และด้วยความแรงของลมสามารถทำให้ฝนเปลี่ยนทิศทางไปโดยฉับพลัน ฝนตกห่างจากที่อยู่ไปประมาณ ๑ เส้น วันนั้นฝนตกอยู่นานพอสมควร

    พอ ฝนหายแล้ว อาการไข้ก็ยังไม่สร่าง จึงล้มตัวลงนอนต่อไปโดยไม่ได้กางกลด มารู้สึกตัวอีกทีก็เป็นเวลากลางคืนแล้วเนื้อตัวเปียกชุ่มหมดอาจเป็นเพราะ เหงื่อออก หลังจากสร่างไข้ รู้สึกว่าตัวเบา กระหายน้ำ เมื่อดื่มน้ำแล้วร่างกายสดชื่นขึ้นมีกำลัง จึงออกเดินทางต่อไปในเวลากลางคืนนั้น
     
  6. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    ***พระมหากรุณาธิคุณ
    นับ แต่โบราณกาลมาจนถึงยุคปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่า ยังไม่มีพระคณาจารย์รูปใดที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ เท่าหลวงปู่แหวน ในระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

    นอกเหนือจากการเสด็จพระราชดำเนินถึง วัดดอยแม่ปั๋ง เพื่อนมัสการและสนทนาธรรม กับหลวงปู่หลายครั้งหลายครา แล้วยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จัดสร้างสิ่งมงคล โดยใข้รูปของหลวงปู่ นำมาแจกในพระราชพิธีสำคัญ

    หลวงปู่แหวน จึงเป็นพระสงฆ์องค์แรกในประเทศไทย ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงส่ง และนอกจากล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์แล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ ได้ทรงพระกรุณา เสด็จเยี่ยมหลวงปู่อยู่เนืองๆ

    ข้า ราชบริพารผู้หนึ่ง ได้เปิดเผยถึงหลวงปู่กับล้นเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า ภายหลังจากที่ข่าวพระองค์ทรงประชวรและประทับที่เชียงใหม่แล้ว หลังจากนั้น ก็เสด็จดอยแม่ปั๋ง หลวงปู่แหวนได้กราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตอนหนึ่งว่า

    " พระองค์นั้นมัวแต่ห่วงคนอื่น ไม่ห่วงพระองค์เองเลย"

    เมื่อได้ฟัง หลวงปู่กล่าวเช่นนั้น ล้นเกล้าฯ ทรงพระสรวลด้วยความพอพระทัย

    มีข่าว อีกครั้งหนึ่งว่า สมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรและประทับรักษาพระองค์ที่เชียงใหม่นั้น ข้าราชบริพาร ได้นำเฮลิคอบเตอร์มานิมนต์หลวงปู่ให้ไปที่พระตำหนักเพื่อแผ่พลังจิต ช่วยรักษาอาการประชวรของพระองค์ท่าน

    หลวงปู่ท่านปฎิเสธการนิมนต์ และได้บอกว่า “อยู่ที่ไหน ฮาก็ส่งใจไปถึงพระองค์ได้ ก็ส่งไป ทุกวันอยู่แล้ว”

    หลวง ปู่แหวน ท่านตั้งสัจจธิษฐานว่า แม้ท่านจะเจ็บป่วยก็ไม่ยอมไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่ในช่วงท้ายของชีวิต เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอาราธนา ท่านจึงยอมทำตาม และบอกว่า ในฐานะประชาชน หลวงปู่จึงไม่กล้าขัดพระราชประสงค์ได้
     
  7. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    ***คำสอนของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ (เรื่องกามกิเลส)

    การต่อสู้กามกิเลส เป็นสงครามอันยิ่งใหญ่ กามกิเลสนี้ร้ายนัก มันมาทุกทิศทาง ความพอใจ ก็คือ กิเลส ความไม่พอใจ ก็คือ กามกิเลส กาม กิเลสนี้อุปมาเหมือนแม่น้ำ ธารน้ำน้อยใหญ่ ไม่มีประมาณ ไหลลงสู่ทะเล ไม่มีที่เต็ม ฉันใดก็ดี กามตัณหา ที่ไม่พอดี ภวตัณหา วิภวตัณหา เป็นแหล่งก่อทุกข์ ก่อความเดือดร้อน ไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งหมด อยู่ที่ใจ สุขก็อยู่ที่ใจ ทุกข์ก็ อยู่ที่ใจ ใจนี่แหละ คือ ตัวเหตุ ทำความพอใจ ให้อยู่ที่ใจนี่


    กามตัณหา เปรียบเหมือนแม่น้ำ ไหลไปสู่ทะเล ไม่รู้จักเต็มสักที อันนี้ฉันใด ความอยากของตัณหา มันไม่พอ ต้องทำความ พอ จึงจะได้ เราจะต้องทำใจให้ผ่องใส ตั้งอยู่ในศีล ตั้งอยู่ในทาน ตั้งอยู่ในธรรม ตั้งอยู่ในสมาธิก็ดีทุกอย่าง เราทำความพอ ดี ความพอใจ นำออกเสีย ความไม่พอใจ ก็นำออกเสีย เวลานี้เราจะพักจิตทำกายของเรา ทำใจของเราให้รู้แจ้ง ในกายใน ใจของเรา รู้ความเป็นมา วางให้หมด วางอารมณ์ วางอดีตอนาคต ทั้งปวงที่ใจนี่แหละ

    คัดมาจาก หนังสือรวมคำสอนจากพระป่า
     
  8. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    ***อุบาย“หักอาลัย”ในเนื้อคู่ของหลวงปู่ แหวน สุจิณโณ

    เคยมีคำทำนายเกี่ยวกับเนื้อคู่ของหลวงปู่แหวน เมื่อสมัยที่เรียนมูลกัจจายน์ที่จังหวัดอุบลราชธานี
    ได้มีหมอดูทำนายว่า เนื้อคู่ของท่าน
    จะมีรูปร่างสันทัด ผิวเนื้อขาวเหลือง ใบหน้ารูปใบโพธิ์ แต่ท่านก็ไม่ได้สนใจอะไร
    ด้วยชีวิตนี้ท่านได้อุทิศทั้งชีวิตเพื่อพระ ศาสนาแล้ว
    จึงขอกล่าวถึงข้อความตอนหนึ่งในหนังสืออนุสรณ์หลวงปู่แหวน
    เกี่ยว กับในช่วงที่จิตของท่านนึกเห็นแต่หน้าของหญิงนางนั้น
    ที่สุดท่านก็ได้ บังคับจิตของท่านให้หลุดออกจากห้วงนั้น
    โดยใช้อุบายธรรมพิจารณาเหตุผลใน ทีละอย่าง
    จนท่านก็ประสบความสำเร็จ เนื้อความในหนังสือที่ยกมากล่าวอ้างนี้ความว่า

    วันหนึ่ง หลวงปู่แหวนได้มาพักบำเพ็ญอยู่ที่บ้านนาสอง เป็นหมู่บ้านที่ใหญ่พอสมควร
    พวก ชาวบ้านถิ่นนั้นมีแปลกอยู่อย่างคือ
    เวลาเห็นพระไปบิณฑบาต พวกเขาจะป่าวร้องกันมาใส่บาตรว่า

    “มาเน้อมาใส่บาตร ญาธรรมมาแล้ว
    หา น้ำอ้อยน้ำตาลมาใส่บาตร ญาธรรมมาแล้ว ท่านชอบของหวาน”

    เมื่อได้ยินคน ร้องประกาศเช่นนั้น ต่างก็เอาของมาใส่บาตรจนเต็ม
    พวกนี้เหมือนกับพวกไทย ใหญ่ ไทยใหญ่ถ้าเห็นพระไปบิณฑบาต
    เขาจะใส่บาตรด้วยน้ำอ้อยน้ำตาลกับข้าว เช่นกัน พวกเขาถือว่าเจ้บุ๊นไม่กินเนื้อสัตว์
    กินแต่ของหวาน แต่อย่างไรก็ตาม การฉันข้าวกับน้ำอ้อยน้ำตาลนั้นวันสองวันแรกก็ฉันได้ ดี แต่วันที่สามที่สี่รู้สึกเบื่อ

    วันหนึ่งใกล้ค่ำได้ไปสรงน้ำที่แม่น้ำ งึม มีหญิงสองคนแม่ลูกถ่อเรือมาตามลำน้ำงึม
    ถึงที่พระกำลังสรงน้ำอยู่ ก็ชำเลืองตามาทางพระหนุ่ม
    เมื่อสายตาของทั้งฝ่ายประสานกันเข้า ก็มีอานุภาพลึกลับและรุนแรงพอที่จะตรึงคนทั้งสองฝ่าย ให้ตะลึงไปได้
    ระหว่าง ทางที่เดินกลับที่พักในใจยังคิดถึงหญิงงามนั้นอยู่
    เมื่อมาถึงที่พัก
    จึง กลับได้สติหวนระลึกถึงคำนายของหมอดูเมื่อครั้งเรียนมูลกัจจายน์อยู่เมือง อุบล ที่ทำนายว่า

    “เนื้อคู่ของท่านอยู่ทางทิศนี้ รูปร่างสันทัด ผิวเนื้อขาวเหลือง ใบหน้าเหมือนใบโพธิ์”

    หญิงที่เราพบเห็นเมื่อตอน เย็นก็มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับคำทำนายของหมอดู เห็นจะเป็นหญิงคนนี้แน่
    เพราะ เมื่อเราเห็นเป็นครั้งแรกก็ทำให้เรามีจิตแปรปรวนแล้ว จึงตัดสินใจเดินทางกลับไทย
    เมื่อข้ามมายังฝั่งไทยได้ขึ้นไปทางอำเภอศรี เชียงใหม่
    ไปพักอบรมตนอยู่ที่พระบาทเนินกุ่มใหม่ ไปพักอยู่ที่พระบาทเนินกุ่มหมากเป้ง
    ณ ที่นั้นได้พบกับหลวงปู่มั่น ภูริทฺตโต ซึ่งท่านได้ปลีกตัวออกจากหมู่คณะ
    มาภาวนาอยู่บริเวณนั้น เมื่อได้พบกับอาจารย์อีก จึงดีใจมาก

    การพักอบรมตนอยู่กับหลวงปู่มั่น ก่อนเข้าพรรษาทำให้จิตสงบลง ไม่ฟุ้งซ่านเหมือนก่อน
    แต่ภาพของหญิงงาม นั้นยังปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว แต่เมื่อเร่งภาวนาเข้าภาพนั้นก็สงบลง
    หลัง จากเข้าพรรษาแล้ว ตั้งใจปรารถความเพียรอย่างเต็มที่
    การเร่งความเพียรใน ระยะแรก จิตที่ยังไม่มีอะไรมาวุ่นวายคงสงบตัวได้ง่าย
    มีอุบายทางปัญญาพอ สมควรเมื่อเร่งความเพียรหนักเข้าเอาจริงเอาจังเข้า กิเลส ก็เอาจริงเอาจังกับเราเหมือนกัน
    คือแทนที่จิตจะดำเนินไปตามที่เราต้องการ กลับพลิกไปหานางงามที่บ้านนาสอง ฝั่งแม่น้ำงึมนั้นอีก

    ทีแรกได้ พยายามปราบด้วยอุบายต่างๆ แต่ไม่สำเร็จ ยิ่งเร่งความเพียรดูเหมือนเอาเชื้อไปใส่ไฟ
    ยิ่งกำเริบหนักเข้าไปอีก
    เผลอ ไม่ได้เป็นต้องหาหญิงนั้นทันที บางครั้งมันหนีออกไปซึ่งๆ หน้า
    คือขณะที่ คิดอุบายการพิจารณาอยู่นั่นเอง มันก็วิ่งไปหาหญิงนั้นเอาซึ่งๆ หน้ากันทีเดียว

    อุบายการปฏิบัติวิชาต่างๆ ที่นำมาใช้ในการทรมานจิตในครั้งนั้น เช่น
    เว้นการนอนเสีย มีเฉพาะเวลานั่ง ยืน เดิน ทำอยู่เช่นนั้นหลายวันหลายคืน
    คอยจับดูจิตว่า มันคลายความรักในหญิงนั้นแล้วหรือยัง ปรากฏว่าไม่ได้ผล
    จิตยังคงวิ่งออก ไปหาหญิงงามอยู่เช่นเคย เผลอสติไม่ได้
    ต่อมาเพิ่มไม่นั่งไม่นอน มีแต่ยืนกับเดิน
    ทำความเพียรอยู่อย่างนี้จิตมันก็ไม่ยอม มันคงไปตามเรื่องตามราวของมันเช่นเคย

    คราวนี้เปลี่ยนวิธีใหม่เปลี่ยน เป็นอดอาหาร ไม่ฉันอาหารเลยเว้นไว้แต่น้ำ อุบายการพิจารณาก็เปลี่ยนใหม่
    คราว นี้เพ่งเอากายของหญิงนั้น
    เป็นเป้าหมายในการพิจารณาหายคลายสติ
    โดยแยก ยกพิจารณาทีละอย่างในอาการ ๓๒ ขึ้นโดยอนุโลมปฏิโลม พิจารณาเทียบเข้ามาหากายของตน
    พิจารณาให้เห็นถึงความเป็นจริงว่าอวัยวะ อย่างนั้นๆ ของตนก็มี ของหญิงก็มี
    ทำไมจะต้องไปรักไปหลง ไปคิดถึง เพ่งพิจารณาทีละส่วนๆ
    พิจารณาอยู่อย่างนั้นทั้งกลางวันกลางคืนทุกอริยาบท
    การ พิจารณาจนละเอียดอย่างไรขึ้นอยู่กับอุบายความแยบคายของปัญญาที่เกิดขึ้นใน ขณะนั้น

    ตอนหนึ่งพิจารณามาถึงหนังได้ความว่า คนเราหลงอยู่ที่หนัง หนังเป็นเครื่องปกปิดสิ่งที่ไม่น่าดูไว้
    ถ้าถลกหนังออก อวัยวะทุกส่วนก็หาส่วนที่น่าดูไม่ได้เลย เพ่งพินิจอยู่จนเห็นความเปื่อยเน่าผุพังสลายไป
    ไม่มีส่วนไหนที่จะถือว่า เป็นของมั่นคง ในขณะนั้นจิตซึ่งเคยโลดโผน โลดแล่นไปอย่างไม่มีจุดหมายมาก่อน

    พลัน ก็ยอมรับตามความจริง ตามเหตุผลของปัญญา
    ยอมตัวอย่างนักโทษผู้สำนึกผิด ยอมสารภาพถึงการทำตนแต่โดยดี

    ฉะนั้น นับแต่วินาทีการพิจารณาได้ยุติลง จิตยอมรับเหตุผลของปัญญาแล้ว
    เพื่อเป็น การทดสอบว่า “จิตยอมแล้ว” จึงได้ส่งจิตออกไปหาหญิงนั้นหลายครั้ง
    จิตคง สงบตัวไม่ยอมออกไป ความกำเริบความทรนงตัว ความโลดโผนของจิต
    จึงถึงความ สงบลงตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ไม่กำเริบอีกต่อไป
    จิตคงทรงเห็นตามสภาพ ความเป็นจริงของธรรมอยู่ทุกเมื่อ

    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ พระอริยะแห่งดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ ในสายหลวงปู่มั่น ภูริทฺตโต
    เดิมได้ รับการรวมรวม-เรียบเรียงโดย พระนาค อตฺถวโร วัดสัมพันธวงศ์ กทม.
    แต่บท ความนี้ได้คัดมาจากหนังสือธรรมโอวาท หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ซึ่งคุณแจ่ม เจิดจรัสได้นำมารวบรวมเรียบเรียงไว้้
     
  9. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    ***การปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังของ หลวงปู่แหวน

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้เล่าถึงการปลุกเสกพระ ที่ลูกศิษย์ลูกหาต่างถอดสร้อย และรวมพระเครื่องต่างๆ รอให้ ลป. ปลุกเสกให้ดังนี้ :-

    "พอ ใครขนเอาเครื่องรางไปวางเสร็จ หลวงปู่แหวนก็ัตั้งท่าสงบใจสงเคราะห์ อาตมาก็จับดูจิตของหลวงปุ่แหวน ดูอารมณ์จิตของท่านว่า จะทำยังไง ครั้นแล้ว ก็เห็นอารมณ์จิตของหลวงปู่แหวนผ่องใสเป็นดาวประกายพฤษ์เต็มดวง ลอยอยู่ในอกท่าน เวลานั้นกำลังจิตของหลวงปุ่แหวน ก็คิดว่า ขออารธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ให้มาโปรดช่วยทำของเหล่านี้ ให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เป็นมิ่งขวัญมงคล ของบรรดาท่า่นพุทธบริษัท ให้เข้าถึงพระธรรม
    โดยความจริง หลวงปุ่แหวน ไม่คิดว่าเสกให้เอาไปตีกับชาวบ้าน เอาไปปล้นชาวบ้าน ท่านเสกให้คนเข้าถึงธรรม

    ท่าน นึกในใจต่อไป หลวงปู่แหวนก็อาราธนาบารมีของพระอรหันต์ทั้งหมด บารมีของพรหม ของเทวดาทั้งหมด ตลอดจนกระทั่งครูบาอาจารย์ พอถึงพะอรหันต์ อาตมาก็เห็นหลวงปู่ตื้อ ปรี๊ดมาถึงข้างหลัง เอากำปั้นลงหลังอาตมาปั๊ปเข้าให้

    แล้วถามว่า เฮ้ย ... *********มานั่งอยู่ทำไมวะ

    อาตมาก็เลยบอกไปว่านี่ ... พระผี ไม่ต้องพูด

    (ลป.ตื้อ) หลวงปู่แหวน เชิญพระผีนะ ไม่ได้เชิญพระมีเนื้อหนังมังสา มีหน้าที่อะไรก็ำทำไป
    แล้ว ก็ได้เห็นกระแสจิตหลวงปู่แหวน เป็นประกายพฤกษ์ พุ่งออมาจากอกสว่างเจิดจ้า ใหญ่เหลือเกิน คลุมเครื่องรางของขลังทั้งหมด แสงสว่างประกายพฤกษ์ของจิตพระอรหันต์เจ้า แทรกลงไปในเครื่องรางของขลัง อยู่ผิวด้านหน้ายันข้างล่างสุด เรียกว่าคลุมหมดอาบลงไปหมด เลย โพลงสว่างสุกปลั่งไปหมด คล้ายตกอยู่ในเบ้าหลอม เป็นกระแสสว่างของจิตที่เยือกเย็น เต็มไปด้วยอำนาจพุทธบารมี เห็นแล้วรู้สึกเยือกเย็นสบายอย่างประหลาด บอกไม่ถูก

    นี่ เป็นการปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังของหลวงปุ่แหวน ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง ๓ นาที แต่ทว่า อานุภาพยิ่งใหญ่ ทรงความขลังศักดิ์สิทธิ์ เลิศล้ำน่ามหัศจรรย์
     
  10. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    ***ขอให้ฝนเลี่ยงห่าง..หลวงปู่แหวน

    เมื่อหลวงปู่เห็นว่า ไม่มีทางหลบฝนได้แน่แล้ว
    จึงได้รวบรวมกำลังกายลุกขึ้นนั่งสมาธิ
    ตั้ง สัจจาธิษฐานอ้างเอาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    อ้างถึงบุญบารมีที่ได้ บำเพ็ญตนด้วยดีมา ตั้งแต่บวชว่า

    " ข้าพเจ้าบวชอุทิศตนต่อพระพุทธ ต่อพระธรรม ต่อพระสงฆ์
    วันนี้ ข้าพเจ้าเดินทางมาเพื่อ จะไปลำปาง เกิดอาการไข้
    หมดกำลังที่จะไปข้างหน้า ถ้าบุญบารมีของข้าพเจ้ามีอยู่
    พอ ที่จะได้ บำเพ็ญพรหมจรรย์เืพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์แล้ว
    ขอฝนอย่าได้ตกลงมา ตรงที่ข้าพเจ้าอยู่นี้เลย"

    แล้วหลวงปู่ก็แผ่เมตตาต่อเทพารักษ์ สิ่งที่เจ้าที่ทางอธิษฐาน
    บอกกล่าวแก่เขาว่า

    " ข้าแต่เทพารักษ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ เจ้าที่เ้จ้าทาง ตลอดจนนาค ครุฑ
    ผู้มีอำนาจทั้งหลายก็ดี วันนี้ ข้าพเจ้าเดินทางมาจะไปลำปาง มาป่วยอยุ่กลางป่า
    หมดกำลังที่จะไป ข้างหน้า ขอให้ท่านทั้งหลาย อาศัยความเอ็นดูข้าพเจ้า
    ขอได้โปรดบันดาล ด้วยอำนาจฤทธิ์ของตนๆ ให้ฝนซึ่งกำลังตกมานี้
    ได้เว้นตรงที่ข้าพเจ้าอยู่ ตรงนี้ ขอไห้เปลี่ยนทิศทางไปทางอื่น
    การที่จะห้ามฝนไม่ให้ตกนั้นมิใช่ ฐานะ
    แต่ขออย่าได้ตกลงมาตรงที่ข้าพเจ้าอยู่ ขอให้ผ่าน ไปทางอื่น "

    เป็น ที่น่าอัศจรรย์

    เมื่อหลวงปู่อธิษฐานเสร็จ แล้วทำจิตให้แน่วแน่
    แผ่ เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั่วจักรวาลไม่มีประมาณ
    แล้่วท่านก็นั่งหลับตา ทำสมาธิสงบนิ่ง

    เป็นที่น่าอัศจรรย์ ขณะที่ฝนกำลังลงเม็ดถี่โดยลำดับนั้น
    ได้เกิดมีลมพัดมาอย่างแรง ต้นไม้ ลุ่เอนไปตามทิศทางลม
    ด้วยความแรงของลมที่พัดมานั้น
    สามารถทำให้ฝน เปลี่ยนทิศทาง ไปโดยฉับพลัน..

    ฝนตกห่างจากจุดที่หลวงปู่นั่งอยู่ออก ไปในรัศมี ๑ เส้น
    เว้น เฉพาะที่ๆ หลวงปู่อยู่เท่านั้น

    วันนั้นฝน ตกอยู่นานพอสมควร พอฝนหายแล้ว
    อาการไข้ก็ยังไม่สร่าง หลวงปู่จึงล้มตัวนอน ต่อไปโดยไม่ได้กางกลด

    ท่านมารู้สึกตัวอีกที ก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว รู้สึกว่าเนื้อตัวเปียกชุ่มหมด
    ส่วนหนึ่งเป็น เพราะ ยุงป่ารุมกัด และอีกส่่วนหนึ่ง เพราะเหงื่อออก

    หลวงปู่ไม่ได้ สนใจเกี่่ยวกับเรื่องเนื้อตัว รู้แต่ว่าสร้างไข้แล้ว
    รู้สึกว่าตัวเบา คอแห้งกระหายน้ำ จึงลุกขึ้นเอากาไปตักน้ำในลำธารใกล้ๆ
    ใช้ธรรมกรก(กระบอก กรองน้ำ) กรองน้ำใส่กาเต็มแล้ว ก็กลับมาที่เดิม
    นั่งภาวนาทำสมาธิจนรุ่ง เช้า

    ก่อนออกเดินทาง หลวงปู่ได้ทำใจให้สงบ
    แผ่เมตตาไปยังสรรพ สัตว์ทั้งหลาย
    การเดินทาง ในวันนั้น มีความสะดวก ปลอดภัย
    ไม่มี อุปสรรคอันตรายใดๆ..
     
  11. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    ***รูปปั้นขี้ผึ้ง หลวงปู่แหวน

    รูป ปั้นขี้ผึ้งของหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นแรกของวงการพระสงฆ์ไทย
    สืบเนื่องมาจาก นายแพทย์เฉลิม จันทราสุข นายแพทย์นักธุรกิจชื่อดัง ได้ล้มป่วย อาการหนัก มาก
    วันหนึ่ง ขณะที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล ได้เคลิ้มหลับฝันเห็นหลวงปู่แหวน มายืนข้างเตียง แล้วบอกว่าตนจะหาย ไม่ตายหรอก
    เมื่อ ดีขึ้น น.พ.เฉลิม ก็ตังจิตอธิษฐานว่า หากเป็นจริงดังที่ฝัน ก็จะสนองในพระเดชพระคุณ แห่งความเมตตาของหลวงปู่แหวน โดยจะทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วจะนำสิ่งนั้นถวายหลวงปู่
    แล้ว น.พ.เฉลิม ก็หายป่วยไข้จริงๆ จึงได้ว่าจ้าง สถาบันมาดามทูโซด์ แห่งประเทศอังกฤษ ให้ปั้นรูปหุ่นขี้ผึ้ง ขนาดเท่าองค์จริงของหลวงปู่ ในราคา ๑ ล้านบาท
    ทาง สถาบันฯ นี้ ไม่เคยปั้นรูปพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามาก่อน เพราะฉะนั้น การปั้นรูป หลวงปู่แหวน จึงเป็นครั้งแรก และองค์แรกของโลกเลยทีเดียว
    เดือน ธันวาคม ๒๕๒๑ ทางสถาบันฯ ได้ส่ง มิสจีน ปาเซอร์ ปฎิมากรมาดูองค์จริง และถ่ายรูปหลวงปู่ ๑๐๐ ภาพ แล้วจึงไปเริ่มปั้น ใช้เวลาร่วม ๑ ปี
    เดือน สิงหาคม ๒๕๒๒ ทางสถาบันฯ ได้จัดส่งหุ่นหลวงปู่มาทางเครื่องบิน ได้นำไปให้ประชาชนสักการะที่วัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพ ร่วมสิบวัน
    ตอน เช้าวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๒๒ ได้อัญเชิญหุ่นหลวงปู่ไปเชียงใหม่ ทางเครื่องบินของการบินไทย จัดในรูปของคนโดยสาร โดยนั่งเก้าอี้โดยสารธรรมดา ถึงเชียงใหม่ ๙.๐๐ น.
    กล่าว กันว่า ท้องฟ้าที่เชียงใหม่ ช่วงนั้นชุ่มฉ่ำด้วยสายฝนติดต่อกัน มา ๓ วัน ๓ คืน ก็ปรากฏเหตุมหัศจรรย์ อย่างปาฏิหาริย์ทันทีที่เครื่องบินร่อนลงสู่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท้องฟ้าแจ่มใส ฝนหยุดตก ชาวเชียงใหม่ไปรอต้อนรับมากมาย
    ได้อัญเชิญหุ่น หลวงปู่ขึ้นรถแห่ไปรอบๆ เมืองเชียงใหม่ แล้วนำไปประดิษฐานที่วัดดอยแม่ปั๋ง ในตอนบ่าย ได้มอบถวายหลวงปู่แหวนองค์จริง
    หลวงปู่หัวเราะชอบใจว่า " เออ... มันก็เหมือนกันนั่นแหละ .."
    หลวงปู่นั่งเคียงข้างรูปหุ่น ให้ประชาชนได้เปรียบเทียบแล้วก็นำไปประดิษฐานที่พลับพลาเรือนแก้ว ไว้เป็นที่สักการบูชาของศรัทธาสาธุชน
    ปัจจุบันรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งของหลวง ปู่ประดิษฐานอยู่ในห้องกระจก ภายในพิพิธภัณฑ์บริขารของหลวงปู่ ที่วัดดอยแม่ปั๋ง
    (จากหนังสือเรื่อง หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
    โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๓ เรียบเรียงโดย รศ.ดร.ปฐม -รศ.ภัทรา นิคมานนท์
    มีนาคม ๒๕๔๘ )
     
  12. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    ***หลวงปู่แหวนสำรวจถ้ำพระปัจเจก พุทธเจ้า

    ผู้เขียน เคยนำเสนอเรื่องนี้เล่ม ๒
    ที่นำเสนอในที่นี้ เป็นคำบอกเล่าของ หลวงปู่แหวน ถ้าเอาข้อมูลมาประกอบกัน ก็จะทำให้ เรื่องราวสมบูรณ์มากแล้ว ในประวัติ ของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ในโครงการ หนังสือ บูรพาจารย์ ขึ้น
    เรื่องราวมีดังนี้ :-
    วันหนึ่ง ขณะที่เตรียมบาตรจะออกไปบิณฑบาต ท่านอาจารย์ใหญ่ พูดขึ้นมาว่า " เมื่อคืนนี้ขณะที่ ภาวนาอยุ่ได้นิมิตไปว่า บนยอดเขาเชียงดาวนี้มีถ้ำ อยู่แห่งหนึ่ง เป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ในสมัยโบราณ ถ้ำนั้นกว้างขวางน่าอยู่ แต่พวกเราไปอยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีอาหาร นอกจากไม่มี อาหารแล้ว ขึ้นไปก็ขึ้นไม่ได้ เพราะไม่มีทางขึ้น"
    หลวงปู่ มั่น พูดแล้วก็นิ่งอยู่ หลวงปู่ตื้อ จึงพูดขึ้นว่า วันนี้ฉันเสร็จแล้ว กระผมจะขึ้นไปดู ได้ไหม? "
    ท่านอาจารย์ใหญ่กล่าวว่า " จะขึ้นไปได้อย่างไร มันไม่มีทางขึ้น"
    หลวงปู่ตื้อว่า " ไม่มีทางขึ้นก็จะลองดู คงจะพอมีทางบ้าง"
    หลวงปู่แหวนเล่าว่า " ท่านอาจารย์ใหญ่นิ่้วอยู่ไม่ได้พูดว่าอะไร เพราะทราบนิสัยกันดีว่า หลวงปู่ตื้อมักจะทำอะไรแผลงๆ อยู๋เสมอ แม้แต่เคยเถียงท่านอาจารย์ใหญ่ก็เคยเถียง ซึ่งท่านก็ไม่ ได้ว่าอะไร แต่สำหรับองค์อื่นแล้ว อย่าว่าแต่เถียงเลย ทำอะไรไม่ถูกแม่แต่เพียงเล็กน้อย ท่านก็ถือ เป็นเรื่องใหญ่ ต้องเทศน์กันเป็นเรื่องเป็นราวไปทีเดียว"
    หลวง ปู่แหวนเล่าต่อไปว่า " วันนั้น เมื่อฉันอาหารเสร็จแล้ว ก็ลองขึ้นไปดู เดินค้นหากันอยู่ นาน มองเห็นยอดหนึ่งสูงชะลูดขึ้นไป เห็นว่าเป็นที่แปลกกว่าที่อื่นๆ จึงปีนขึ้นไปดู เมื่อขึ้นไปใกล้ มองเห็นปากถ้ำอยู่ แต่เมื่อสำรวจลู่ทางที่จะขึ้นไปหาถ้ำนั้น ไม่มีทางขึ้น
    หลวง ปู่ตื้อ ได้พยายามจนสุดความสามารถจะชึ้นไปให้ได้ โหนเถาวัลย์ขึ้นไป เมื่อขึ้นไปสุด เถาวัลย์แล้ว เดินต่อไปอีกไม่ได้ จึงต้องลงถอยกันลงมา ซึ่งก็ตรงกับคำบอกเล่าของท่านอาจารย์ ใหญ่จริงๆ "
    เรื่องของถ้ำเชียงดาว มีเรื่องที่ลึกลับน่าสนใจอีกมาก เอาไว้ค่อยทะยอยเขียนตามโอกาสเหมาะ ต่อไป

    ท่านพระ อาจารย์นาค อตฺถวโร วัดสัมพันธวงค์ กรุงเทพๆ ผู้บันทึกเรื่องราวของ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ได้กล่าวถึงเชียงดาว ดังนี้ :-
    " เชียงดาว เคยเป็นรมณียสถานของผู้บำเพ็ญสมณธรรม ในสมัยก่อน แต่กาลเวลาได้ผ่านไป จนถึงสมัยปัจจุบัน เชียงดาวกลายไปเป็นสถานที่ท่องเที่่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ของคนทุกเทศทุกวัย
    เชียงดาวจึงเปลี่ยนสถานภาพจากรมณียสถานของนักปฎิบัต ิธรรมในสมัยก่อน กลายมาเป็น รมณียสถานสำหรับนักทัศนาจร
    เชียงดาว จึงกลายเป็นอโคจรสถานสำหรับสมณะผู้รักสงบ คำว่า เชียงดาวเป็นสถานที่อันเป็น มงคลที่หนึ่งในประเทศไทย จึงเป็นเพียงอดีตอันไกลโพ้น "

    ผู้เขียน เคยนำเสนอเรื่องนี้แล้ว ในประวัติ ของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ในโครงการ หนังสือ บูรพาจารย์ เล่ม ๒
    ที่นำเสนอในที่นี้เป็นคำบอกเล่าของ หลวงปู่แหวน ถ้าเอาข้อมูลมาประกอบกัน ก็จะทำให้ เรื่องราวสมบูรณ์มากขึ้น
    เรื่อง ราวมีดังนี้ :-
    วัน หนึ่ง ขณะที่เตรียมบาตรจะออกไปบิณฑบาต ท่านอาจารย์ใหญ่ พูดขึ้นมาว่า " เมื่อคืนนี้ขณะที่ ภาวนาอยุ่ได้นิมิตไปว่า บนยอดเขาเชียงดาวนี้มีถ้ำ อยู่แห่งหนึ่ง เป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ในสมัยโบราณ ถ้ำนั้นกว้างขวางน่าอยู่ แต่พวกเราไปอยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีอาหาร นอกจากไม่มี อาหารแล้ว ขึ้นไปก็ขึ้นไม่ได้ เพราะไม่มีทางขึ้น"
    หลวงปู่มั่น พูดแล้วก็นิ่งอยู่ หลวงปู่ตื้อ จึงพูดขึ้นว่า วันนี้ฉันเสร็จแล้ว กระผมจะขึ้นไปดู ได้ไหม? "
    ท่าน อาจารย์ใหญ่กล่าวว่า " จะขึ้นไปได้อย่างไร มันไม่มีทางขึ้น"
    หลวงปู่ตื้อ ว่า " ไม่มีทางขึ้นก็จะลองดู คงจะพอมีทางบ้าง"
    หลวงปู่แหวนเล่าว่า " ท่านอาจารย์ใหญ่นิ่้วอยู่ไม่ได้พูดว่าอะไร เพราะทราบนิสัยกันดีว่า หลวงปู่ตื้อมักจะทำอะไรแผลงๆ อยู๋เสมอ แม้แต่เคยเถียงท่านอาจารย์ใหญ่ก็เคยเถียง ซึ่งท่านก็ไม่ ได้ว่าอะไร แต่สำหรับองค์อื่นแล้ว อย่าว่าแต่เถียงเลย ทำอะไรไม่ถูกแม่แต่เพียงเล็กน้อย ท่านก็ถือ เป็นเรื่องใหญ่ ต้องเทศน์กันเป็นเรื่องเป็นราวไปทีเดียว"
    หลวง ปู่แหวนเล่าต่อไปว่า " วันนั้น เมื่อฉันอาหารเสร็จแล้ว ก็ลองขึ้นไปดู เดินค้นหากันอยู่ นาน มองเห็นยอดหนึ่งสูงชะลูดขึ้นไป เห็นว่าเป็นที่แปลกกว่าที่อื่นๆ จึงปีนขึ้นไปดู เมื่อขึ้นไปใกล้ มองเห็นปากถ้ำอยู่ แต่เมื่อสำรวจลู่ทางที่จะขึ้นไปหาถ้ำนั้น ไม่มีทางขึ้น
    หลวง ปู่ตื้อ ได้พยายามจนสุดความสามารถจะชึ้นไปให้ได้ โหนเถาวัลย์ขึ้นไป เมื่อขึ้นไปสุด เถาวัลย์แล้ว เดินต่อไปอีกไม่ได้ จึงต้องลงถอยกันลงมา ซึ่งก็ตรงกับคำบอกเล่าของท่านอาจารย์ ใหญ่จริงๆ "
    เรื่องของถ้ำเชียงดาว มีเรื่องที่ลึกลับน่าสนใจอีกมาก เอาไว้ค่อยทะยอยเขียนตามโอกาสเหมาะ ต่อไป

    ท่านพระ อาจารย์นาค อตฺถวโร วัดสัมพันธวงค์ กรุงเทพๆ ผู้บันทึกเรื่องราวของ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ได้กล่าวถึงเชียงดาว ดังนี้ :-
    " เชียงดาว เคยเป็นรมณียสถานของผู้บำเพ็ญสมณธรรม ในสมัยก่อน แต่กาลเวลาได้ผ่านไป จนถึงสมัยปัจจุบัน เชียงดาวกลายไปเป็นสถานที่ท่องเที่่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ของคนทุกเทศทุกวัย
    เชียงดาวจึงเปลี่ยนสถานภาพจากรมณียสถานของนักปฎิบัต ิธรรมในสมัยก่อน กลายมาเป็น รมณียสถานสำหรับนักทัศนาจร
    เชียงดาว จึงกลายเป็นอโคจรสถานสำหรับสมณะผู้รักสงบ คำว่า เชียงดาวเป็นสถานที่อันเป็น มงคลที่หนึ่งในประเทศไทย จึงเป็นเพียงอดีตอันไกลโพ้น "
     
  13. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    ***หลวงปู่แหวนพบเปรตที่ทำลายพระพุทธรูป

    พบเปรตสมัยใหม่
    ประสบการณ์ ส่วนหนึ่งของ หลวงปู่แหวน ขณะอยู่ที่ถ้ำเชียงดาว มีดังนี้ :-

    ใน ระหว่างพรรษา วันหนึ่งประมาณ ๕ โมงเย็น หลวงปู่แหวน กำลังเดินจงกรมอยู่ ก็มีเสียงดังโครมครามเหมือนกิ่งไม้ใหญ่หักลงมา จึงเหลียวไปดู กลายเป็นสัตว์ร่างใหญ่ร่างหนึ่ง เอาเท้าเกาะอยู่บนกิ่งไม้ห้อยหัวลงมา มีผมยาวรุงรัง เสียงร้องโหยหวน

    หลวงปู่บอกว่า ท่านไม่ได้นึกกลัว และไม่ได้ให้ความสนใจ ยังคงเดินจงกรมต่อไป

    เมื่อร่างนั้นเห็นว่า หลวงปู่ไม่สนใจ ก็หนีหายไป

    สอง สามวันต่อมา ก็มาปรากฏอีก แต่หลวงปู่ก็เดินจงกรมโดยไม่สนใจ หลังจากนั้นจึงมาปรากฏตัวให้เห็นทุกเย็น แต่ไม่ได้เข้ามาใกล้หลวงปู่ คงแสดงอาการเหมือนเดิมทุกครั้ง

    วัน หนึ่ง หลวงปู่ได้กำหนดจิตถามไปว่า ที่มานั้นเขาต้องการอะไร ทีแรกเขาทำเฉยเหมือนไม่เข้าใจ หลวงปู่จึงกำหนดจิตถามอีก เขาจึงบอกว่า ต้องการมาขอส่วนบุญ

    หลวงปู่ จึงกำหนดจิตถามต่อไปว่า เขาเคยทำกรรมอะไรมา จึงต้องมาทุกข์ทรมานอยู่ในสภาพเช่นนี้

    ร่าง นั้นได้เล่าถึงบุพกรรมของเขาว่า เขาเคยเป็นคนอยู่ที่เชียงดาวนี้ มีอาชีพลักขโมยและปล้นเขากิน ก่อนไปปล้น เขาจะเอาดอกไม้ธูปเทียน ไปขอพรและขอคุ้มครองกับพระพุทธรูปองค์หนึ่งในถ้ำ

    เขาทำอย่างนี้ทุก ครั้ง และก็แคล้วคลาดตลอดมา

    อยู่ มาวันหนึ่ง เขาไปขอพรพระพุทธรูป แล้วออกไปปล้นเช่นเคย บังเอิญเจ้าของบ้านรู้ตัวก่อน จึงเตรียมต่อสู้ เขาถูกเจ้าของบ้านฟันบาดเจ็บสาหัส จึงหนีตายเอาตัวรอดมาได้

    ด้วย ความโมโหว่า พระไม่คุ้มครอง เขาจึงกลับไปที่ถ้ำแล้วเอาขวานทุบเศียรพระพุทธรูป จนคอหัก ขณะเดียวกัน ก็ยังคุมแค้นอยู่ ตั้งใจว่า บาดแผลหายแล้ว จะกลับไปแก้แค้นเจ้าของบ้านให้ได้

    เผอิญ บาดแผลที่ถูกฟันนั้นสาหัสมาก เขาจึงต้องตายในเวลาต่อมา วิญญาณเขาจึงต้องมาเป็นเปรตทนทุกข์ทรมานอยู่ที่เชียงดาวแห่งนี้ จึงได้พยายามมาขอส่วนบุญ เพื่อให้พระท่านช่วยแผ่ให้ จะได้คลายความทุกข์ทรมานลงไปได้บ้าง

    หลวง ปู่แหวนท่านเล่าว่า บุพกรรมของเปรตตนนั้น หนักมากเหลือเกิน ท่านได้รวบรวมจิต อุทิศบุญกุศลไปให้ ตั้งแต่นั้นมา ร่างนั้นก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีก แต่จะได้รับบุญกุศลเพียงใดขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง

    หลวง ปู่บอกว่า เปรตตนนั้นเป็นเปรตสมัยใหม่ เพราะใช้คำแทนตัวเขาเองว่า "ผม" แต่เปรตตนอื่นๆ ที่หลวงปู่เคยพบมา จะใช้คำแทนตนว่า "เรา" หรือ “ข้าพเจ้า" จึงนับว่าเปรตตนนี้ เป็นเปรตสมัยใหม่


    ที่มา หนังสือโครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๓
     
  14. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    ***
    หลวงปู่แหวน เล่าเรื่องเปรตริมฝั่งแม่น้ำโขง
    เมื่อครั้งที่ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ บวชได้ไม่กี่พรรษา และมีวาสนาถวายตัวเป็นศิษย์ของท่าน พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ท่านได้รับคำสั่งสอนแนะนำในข้อธรรมต่างๆ อย่างกระจ่างแจ้ง ทำการเจริญภาวนากระทำความเพียรก้าวหน้าไปอีกหลายระดับ เป็นกำลังใจให้เกิดความวิริยะมานะที่จะสะบั้นสายใยแห่งกิเลสจนกว่าจะหมดสิ้น ในภพชาตินี้ ขณะจำพรรษาอยธู่กับพระอาจารย์มั่นที่บ้านนาหมีนายูง อำเภอน้ำโสน อุดรธานี ท่านพระอาจารย์มั่นได้บอกเล่าให้ ฟังว่า ใกล้ฝั่งแม่น้ำโขงมีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง ที่ถ้ำนั้นมีเปรตตนหนึ่งสิงสู่อยู่ไม่ยอมไปไหน หากหลวงปู่แหวนไปบำเพ็ญเพียรที่ใดนั้นก็ให้ถามเปรตดูสิว่าชาติก่อนกระทำกรรม อะไรไว้ถึงได้มาเกิดเป็นเปรต การที่ท่านพระอาจารย์มั่น กล่าวเช่นนี้ อาจจะมีเจตนาต้องการให้ศิษย์ผู้อ่อนพรรษาได้เรียนรู้สภาวธรรมด้วยการสัมผัส ตามความเป็นจริงโดยตัวเองก็ได้ เมือหลวงปู่แหวนน้อมรับคำบอกเล่าเช่นนั้นท่านจึงเดินทางไปที่ถ้ำดังกล่าว เพียงรูปเดียว ณ. ที่ถ้ำนี้เป็นสถานที่ร่มรื่นสงบสงัด เหมาะสมที่จะเจริญภาวนาอย่างยิ่ง ภายในถ้ำสะอาดสะอ้าน ด้านนอกปากถ้ำเป็นพื้นที่ราบเรียบพอจะใช้เป็นทางเดินจงกรมได้ ครั้นถึงเวลาเย็น เมื่อทำวัตรสวดมนต์แล้วท่านก็เข้าที่ภาวนาภายในถ้ำ ได้รับผลตามประสงค์ไม่มีอุปสรรค ตราบทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น คืนแรกผ่านไปด้วยดี คืนที่สองไม่มีสิ่งผิดปกติ กระทั่งคืนทีสามรูปเงาของเปรตจึงเริ่มปรากฎ โดยแสดงกายมืดดำ และมีความสูงใหญ่ น่าพรั่นพรึง ยืนปักหลักขวางหน้าถ้ำ หลวงปู่แหวนเห็นเปรตแล้วก็มิได้หวาดหวั่นแต่ประการใด เพียงแต่แผ่เมตตาให้ด้วยจิตกุศลเต็มเปี่ยม ปรารถนาจะให้พลังแห่งความเมตตาผ่อนคลายความทุกข์ซึ่งสุมรุมเปรตตนดังกล่าว อยู่ จากนั้นก็กำหนดจิตถามเปรตไปว่า "ชาติก่อนเคยทำกรรมอะไรไว้ถึงได้มาเป็นเปรต" เปรตตนนั้นเงียบเฉยไม่ตอบ และอันตรธานหายไป หลายคืนต่อมาปรากฎว่าเปรตตนเดิมาแสดงร่างร้ายให้หลวงปู่แหวนเห็นทุกคืนใน ลักษณะคืนแรก คือมายืนตระหง่านเงียบงันด้วยร่างอันสูงใหญ่ทะมึนดำ ประหนึ่งต้องการข่มขวัญให้พระธุดงค์กรรมฐานเกิดความหวาดกลัว ทว่าหลวงปู่แหวนมีจิตที่มั่นคงแน่วแน่อยู่ในธรรม ฉะนั้นท่านจึงตัดขาดไปจากความพรั่นพรึงทั้งปวงหมดสิ้น ........กระทั่งคืนหนึ่งเปรตมาปรากฎร่างให้หลวงปู่แหวนเห็นอีก เมื่อท่านแผ่เมตตาให้แล้ว กำหนดจิตสอบถามเช่นครั้งก่อนๆ คราวนี้เปรตยอมพูดติดต่อด้วย โดยเล่าให้หลวงปู่แหวนฟังว่า ชาติ ก่อนเมื่อเป็นมนุษย์เพศชายตนเป็นนักเลงไก่ชน ลุ่มหลงในการชนไก่ ซึ่งมีเดิมพันมาใช้จ่ายอย่างสำราญ คราวใดไก่ชนของตนพ่ายแพ้เสียเงินเดิมพันไปตนก็จะถูกโทสะครอบงำจัดการฆ่าไก่ ตัวที่ชนแพ้ และหากไก่ชนตัวใดสู้จนได้รับบาเจ็บหนัก หรือพิการ ตนก็จะฆ่าเอมากินหมดเช่นกัน ได้กระทำกรรมชั่วนี้เป็นอาจิณตั้งแต่หนุ่มยันแก่ ครั้นอายุมากก็ล้มป่วย มีอาการเจ็บปวดแสนสาหัสจนสิ้นใจตาย ตายแล้วยังต้องไปรับกรรมในนรกเป็นเวลานานจนประมาณมิได้ ครั้นพ้นจากนรกจึงมาผุดเป็นเปรต หลวงปู่แหวนจึงถามว่า "เหตุใดไม่ไปผุดไปเกิดเสียที ทำไมต้องมาเป็นเปรตเฝ้าถ้ำ เฝ้าป่า ให้ลำบากทุกข์ยากเช่นนี้" เปรตตอบว่า เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะยังห่วงเรื่องอาหารที่ได้เสพ เนื่องจากชาวบ้านที่อยู่ย่านนี้ นำหมูเห็ดเป็ดไก่ มาเซ่นสังเวยทุกครั้งที่เข้ามาตัดไม้และหาของป่า หากไปอยู่ที่อื่นกลัวจะอดอยาก เปรตยังเล่าต่อว่า หากชาวบ้านไม่เซ่นสังเวย ตนก็จะกระทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย ชาวบ้านจึงกลัวตนมาก หลวงปู่แหวนได้เทศนาชี้ทางให้เปรตผละจากที่อยู่อาศัยนี้ไปเสียเถิด เพราะถ้าจิตหลุดจากความยึดมั่นถือมั่นได้เมื่อใด ตนเองก็จะมีโอกาสไปเกิดใหม่ตามกระแสกรรมของตน มิเช่นนั้นก็ต้องจ่อมจมอยู่ก้บถ้ำแห่งนี้ เพราะความยึดมั่นยึดเหนี่ยวฉุดรั้งไว้ และถ้าสิงอยู่ถ้ำแห่งนี้ด้วยความหวงแหนสถานที่คอยหวาดระแวงว่าจะมีผู้อื่นมา แย่งถ้ำนี้ไปเปรตย่อมแสดงตัวให้ผู้พบเห็นหวาดกลัวเพื่อให้หนีไปเสีย หากมีพระธุดงค์รูปอื่นจาริกผ่านมา เปรตแสดงตัวเจตนาขับไล่เช่นที่เคยทำมา พระธุดงค์มีจิตเข้มแข็ง และมีสติมั่นคงย่อมไม่เกิดผลร้ายอะไร แต่หากพระธุดงค์จิตไม่แก่กล้า หวาดกลัวจนไร้สติ ย่อมเป็นผลให้เสียจริต หรืออาจถึงมรณภาพ บาปเวรก็จะตกแก่เปรต กลายเป็นอกุศลกรรมถมทับซับซ้อนจนไม่อาจพบกับทางสว่างได้อีก เปรตรับฟังด้วยความสงบ แต่ยังไม่สามารภกระทำตามคำเทศนาของหลวงปู่แหวนได้ ท่านเห็นว่าเปรตยังมีมิจฉาทิฐิมั่นคงท่านก็ต้องวางตนอยู่ในอุเบกขา เมื่อเจริญภาวนาครบกำหนดตามที่ได้กำหนดเจตนาเอาไว้แล้ว หลวงปู่แหวนจึงจาริกลับมากราบเรียนถวายรายงานต่อท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ณ บ้านนาหมีนายูง ซึ่งท่านพระอาจารย์มั่น ก็ไม่ได้กล่าวว่ากะไร ภายหลังเมื่อพระอาจารย์มั่นมีโอกาสผ่านได้เมตตาโปรดเปรตตนนั้น และเปรตตนนั้นก็หลุดพ้นไปจากถ้ำได้ในที่สุด
     
  15. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    ***ผจญผีกองกอย
    ชาวบ้านข่าระแด

    มีเหตุการณ์สะเทือนขวัญอีกครั้ง หนึ่ง ได้เขียนไว้ในหนังสือ พระธาตุปาฎิหารย์ ของ นิตยสารโลกทิพย์ ซึ่งขอนำมากล่าวโดยสรุปดังนี้ :-

    เมื่อหลวงปู่แหวน กับหลวงปู่ตื้อ จารึกมาถึงเทือกเขาใหญ่โตทิศใต้ แขวงเมืองคำม่วน เป็นป่า ดงเย็นอึมครึม เชื่อมโยงลงไปถึงสุวรรณเขต

    ในตอนเย็น พบสถานที่เหมาะ จึงปักกลดพักภาวนา ที่หุบเขาใต้เงื่อมผาแห่งหนึ่ง ทั้งสององค์ ปักกลดห่างกันพอสมควร คืนนั้นต่างองค์ต่างบำเพ็ญเพียรอยู่ในกลดเป็นปกติ

    ประมาณ ๓ ทุ่ม ในป่าดงเช่นนั้น ดูเงียบสงัดวังเวง ก็ได้ยินเสียงประหลาดคล้ายเสียงนกกลาง คืนร้อง " ก๋อย ก๋อย ก๋อย "

    เสียง นั้นดังใกล้เข้ามา แล้วดังรับกันล้อมรอบไปทั่วทิศ เสียงบีบเข้ามา " ก๋อย ก๋อย ก๋อย และมี แสงคบไฟนับสิบๆดวงมาจากเสียงนั้น ทำให้มองเห็นตัวผู้ถือได้ถนัด

    ร่างนั้นเป็นมนุษย์ร่างประหลาด ขนาดเด็กอายุ ๑๓-๑๔ ปี ผอม พุงโร ผิวคล้ำ ผมเผ้ารุงรัง จมูกแบน บ่งบอกว่าเป็นคนป่า ทุกคนมีอาวุธประจำตัว "หน้าทึ่น" คล้ายธนูแต่เล็กกว่า ใช้คล้องตัว ในบ่า พวกเขาสะพายกระบอกไม่ไผ่ใส่ลูกดอกอาบยาพิษ

    คนร่าง เล็กนั้นส่งเสียงรับกันเป็นทอดๆ โอบล้อมกลดธุดงค์เข้ามา พอได้ระยะก็พากันยก หน้าทึ่น เล็งเข้ามายังกลดทั้งสอง

    หลวงปู่ตื้อร้องบอกพอได้ยินว่า " ท่านแหวนระวัง " แล้วทั้งสององค์ก็กำหนดจิตหลับตา เข้าฌานทันที เป็นไปโดยอัติโนมัติ ปรากฎว่าลูกดอกอาบยาพิษ ที่ระดมยิงมานั้น ตกร่วงพรูห่าง จากกลดทั้งสองเป็นวา เป็นที่อัศจรรย์ยิ่ง

    พวกชาวป่า ต่างแปลกใจ ร้อง ก๋อย ก๋่อย ก๋อย ดังกระหึ่ม แล้วระดมยิงลูกดอกอีก ๒-๓ รอบ ก็ปรากฎผลเช่นเดิม คือลูกดอกตกลงดินก่อนจะไปถึงกลด ทำเอาพวกเขาตกใจกลัว ร้อง " ก๋อย ก๋ย กุ๋ย " แล้วต่างก็วิ่งหนีหายไป ในความมืด
    เมื่อคนป่าหนี กลับไปหมดแล้ว หลวงปู่ทั้งสอง จึงได้ออกมานอกกลด หลวงปู่ตือ ถามว่า " เป็น ไงท่านแหวน ตับไตไส้พุงของท่าน ยังดีอยู่หรือ ? "

    หลวงปู่แหวน ตอบไปว่า " ผมนั่งรออยู่ในกลด ให้พวกเขาเอาตับไตไส้พุงผมไปกิน ทำไมมัน ไม่เอาก็ไม่รู้ "

    ทั้งสององคืได้เดินจงกรม ไปจนดึก แล้วเข้าทำสมาธิต่อภายในกลดไปจนสว่าง
    ตอนเช้าพวกคนป่ากลุ่มนั้นเข้ามา ด่อมๆ มองๆ ด้วยความเกรงกลัวหลวงปู่ แสดงท่าให้พวกเขา เข้ามา ต่างค่อยๆเข้ามาด้วยเนื้อตัวสั่นเทา มาหมอบนิ่งเอาหัวซุกดิน คล้านสำนึกผิด และขอขมา

    พวกเขาเป็นพวกข่าระแด เป็นคนป่ากลุ่มหนึ่ง ชอบล่ามนุษย์เผ่าอื่นที่ล่วงล้ำเข้ามา แล้วเอาเนื้อ แบ่งกันกิน

    พวก ย่าระแด ได้นิมนต์หลวงปู่ทั้งสอง ไปยังที่พักของพวกเขา จัดอาหารนำมาถวาย ก็มีเนื้อ ย่าง ๒ ก้อน ได้ความว่า เป็นเนื้อของคนแก่ ซึ่งยอมสละชีวิตของตนเอง ให้เป็นอาหารของ ลูกหลาน

    หลวงปู่ อยู่โปรดพวกชาวป่าหลายวัน ทรมานและสอนพวกเขา ให้เลิกการฆ่ามนุษย์ด้วยกัน เมื่อเห็นว่า พวกเขาเชื่ออย่างจริงใจแล้ว ท่านทั้งสองก็ออกเดินทางต่อไป ด้วยความอาลัยอาวรณ์ ของพวกเขายิ่งนัก

    ( อ่านเรื่องโดยละเอียดใน พระธาตุปาฎิหารย์ ของนิตยสารโลกทิพย์)
     
  16. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    ***พญานาคในถ้ำเชียงดาว

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เล่าถึงพญานาคในถ้ำเชียงดาว ดังนี้:-
    ภาย ในถ้ำหลวง ที่ถ้ำเชียงดาว มีพญานาคอยู่ถ้ำดังกล่าวนี้ ต้องแยกขึ้นไปทางซ้ายมือ อยู่เหนือถ้ำหลวงเล็กน้อย พื้นถ้ำมีก้อนหินเป็นรูปกงจักรกับดอกบัว มีพญานาคเฝ้าอยู่ภายใต้แผ่นหินนี้
    เวลา มีพระเข้าไปภาวนาอยู่ภายในถ้ำนั้น ท่านแทบกระดุกกระดิกตัวไม่ได้เลย เป็นต้องถูกพญานาคกล่าวโทษทันที่ว่า สมณะอะไร ช่างไม่สำรวม คะนองกายเหมือนเด็กๆ
    ถ้าเดินไปสะดุดเอาก้อนหินดังกรอกแกรก เขาก็จะกล่าวโทษว่า สมณะอะไร จะเดินจะเหิน ไม่สำรวมระวัง รีบไปรีบมา เหมือนม้าแข่ง
    ไม่ว่าพระจะทำอะไร ต้องสำรวมทุกอิริยาบถ ถึงอย่างนั้นก็ไม่วายจะถูกตำหนิติเตียน
    พญา นาคนี้มีอัธยาศัยชอบพอกับ พระมหาบุญ ถ้าพระมหาบุญเข้าไปอยู่ในถ้ำนั้น ไม่ว่าท่านจะทำอะไร เช่น ทำเสียงกระแอมกระไอ เดินเสียงดัง ทำก้อนหินหล่น เธอก็เฉย ไม่แสดงกิริยาอะไรต่อต้าน เพราะมีจริตเหมือนกัน
    อย่าง ไรก็ตาม ไม่มีพระองค์ใด เข้าไปอยู่ในถ้ำนั้นได้นาน เพราะในถ้ำมีช่องให้อากาศเช้าไปทางเดียว คือทางปากถ้ำ เมื่อพระเข้าไปอยู่ข้างในแล้วปิดประตู อากาศภายนอกแทบเข้าไปไม่ได้เลย ทำให้อึดอัด หายใจไม่สะดวก
    ยกเว้น หลวงปู่มั่น องค์เดียว ที่ท่านเข้าไปอยู่ในถ้ำนั้นได้นานเป็นวันๆ
    หลวง ปู่มั่น เคยเทศน์แนะนำพญานาค แต่เธอไม่ยอมรับคำแนะนำ เพราะยังอาลัยอัตภาพปัจจุบันของตนอยู่ ในที่สุดท่านเห็นว่า เข้าไปทำความรำคาญให้แก่เธอ จึงไม่เข้าไปในถ้ำนั้นอีกเลย
    ที่ ถ้ำพญานาคนี้ หลวงปู่แหวน เข้าไปอยู่ ๑ วัน หลวงปู่ตื้อเข้าไปอยู่ ๓ วัน แต่ละองค์ที่เข้าไปอยู่ ต่างถูกพญานาคตำหนิกล่าวโทษเอาทั้งสิ้น พระท่านอยู่ไม่ได้เพราะส่งจิตออกไปดูทีไร เห็น พญานาคคอยจ้องหาเรื่องตำหนิพระอยู่ตลอดเวลา
    เมื่อ พระต่างองค์ต่างเห็นว่า ถ้าเข้าไปแล้วจะทำให้พญานาคสร้างบาปหนักเข้าไปอีก จึงได้ ช่วยเหลือเธอโดยการไม่เข้าไปรบกวนในที่อยู่ของเธออีกต่อไป
     
  17. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    ***เรื่องของแม่โสม อดีตหมอผีแห่งป่าเมี่ยงแม่สาย
    ช่วงที่พำนักที่นาหนานปวน- แม่ มา ในพรรษานั้น ในเวลากลางคืน หลวงปู่แหวนได้เดินเที่ยวไปมา ตามป่าเขาแถวนั้นบ่อยๆ โดยเฉพาะในคืนที่อากาศโปร่งไม่มีเมฆ แสงจันทร์เจิดจ้า เดินท่องป่าให้ความเพลินใจดี และไม่ปรากฏว่า มีสัตว์ร้ายอะไรมาแผ้วพานเลย( ความจริงท่านไปภาวนา ไม่ได้ไปเดินเที่ยวครับ)
    เวลา กลางวัน บางวันก็ขึ้นไปภาวนาอยู่ตามเนินหินสูงๆ บนภูเขา มีพวกเด็กๆ ที่มาเลี้ยงควาย แถวนั้น ขึ้นเอาน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่ไปถวายทุกวัน
    ในกลาง พรรษา มีคณะศรัทธาจากป่าเมี่ยงแม่สาย นำโดยแม่โสม มานิมนต์ว่า ออกพรรษาแล้ว ขอนิมนต์พระคุณท่านไปโปรดทางป่าเมี่ยงแม่สายบ้าง
    หลัง จากออกพรรษาไม่นานนัก คณะศรัทธาป่าเมี่ยงแม่สาย ก็มารับหลวงปู่ขึ้นไปตามที่เคยนิมนต์ไว้ ท่านจึงลาหนานปวนกับแม่มา เจ้าของสถานที่ เดินทางขึ้นป่าเมี่ยงแม่สาย พร้อมกับคณะศรัทธาที่มารับ
    หลวง ปู่เล่าว่า การไปป่าเมี่ยงแม่สายนั้น ต้องเดินทางขึ้นเขาลงห้วยไปหลายแห่งกว่าจะถึง ใช้เวลาเดินทางขาขึ้น ๖ ชั่วโมง และขาลงอีก ๔ ชั่วโมง ถ้าเดินไม่แข็งต้องใช้เวลานานกว่านี้
    (หมาย ความว่า ต้องเดินทางหนึ่งวันเต็มๆ กันเลย)
    หมายเหตุ : ป่าเมี่ยงแม่สาย อยู่อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ไม่ใช่อยู่ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย )
    ป่า เมี่ยงแม่สาย เป็นหมู่บ้านตั้งอยู่กลางหุบเขา มีลำธารน้ำไหลผ่านตลอดปี ชาวบ้าน มีอาชีพ ทำสวนเมี่ยงเป็นอาชีพหลัก (ต้นเมี่ยงเป็นชาชนิดหนึ่ง ชาวบ้านเก็บเอาใบมาหมัก เป็นเมี่ยงของชาวเหนือ)
    เดิม ชาวบ้านนับถือผี ถึงปีต้องทำพิธีเลี้ยงผี ไม่เช่นนั้น จะมีการเจ็บป่วยล้มตายกัน
    หัวหน้าหมู่บ้านคือแม่โสม ที่นำคณะไปนิมนต์หลวงปู่นั่นเอง นอกจากเป็นหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว แม่โสมแกเป็นหมอผีประจำหมู่บ้านด้วย
    เคย มีพระธุดงค์กรรมฐาน ไปพักอาศัยใกล้หมู่บ้าน ได้เทศน์สั่งสอนให้ ชาวบ้าน เลิกการนับถือ ผี ให้นับถือพระรัตนตรัยแทน ซึ่งก็มีพวกเลิกถือผีตามพระไม่กี่คน แม่โสมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อพระ ตัวแกเองได้ปฎิญญาณกับพระ เลิกถือผีโดยเด็ดขาด
    พอ ถึงเวลาเลี้ยงผีครบรอบปี ในหมู่บ้านไม่ได้ทำพิธีเซ่นทรวงผี เหมือนอย่างเคย ผีก็แสดงเดชออกมาทันที โดยเข้าสิงผู้คนในหมู่บ้าน วุ่นวายไปหมด
    ที่ สำคัญมาเข้าสิงลูกของแม่โสมเอง พร้อมขู่ว่า ถ้าแม่โสมไม่ออกจากพระรัตนตรัย แล้วกลับมาเซ่นสรวงผีอย่างเดิม จะหักคอลูกของแกให้ตายเสีย
    เมื่อ หัวหน้าหมู่บ้านและอดีตหมอผี เจอดีเช่นนี้ ก็ทำให้ครอบครัวของแกเดือดร้อนวุ่นวาย ไปหมด บางวันตัวแม่โสมเองยังถูกผีเข้าสิงลงดิ้นพราดๆ ไปเหมือนกัน
    แม่โสมแกเป็น คนถือสัจจะ จึงไม่ยอมเลิกนับถือพระรัตนตรัย
    ใน ที่สุดลูกคนหนึ่ง ของแกก็ตายลง คนที่สองก็เริ่มป่วย ผีมาเข้าสิงอีก พร้อมทั้งขู่ว่า จะเอาให้ตายหมดทั้งหมู่บ้าน รวมทั้งตัวแม่โสมเองด้วย
    ทำให้พวกชาวบ้าน เดือดร้อน และหวาดกลัวมาก ได้พากันขอร้องให้แม่โสม เลิกนับถือพระ รัตนตรัย แต่แม่โสมใจเด็ดยืนยันขอยอมตาย
    พวกลูกหลานและชาวบ้านมาขอร้องอ้อนวอนทุก วัน แกทนการรบเร้าไม่ได้ จึงไปปรึกษาพระ
    พระ ได้แนะนำให้เรียกชาวบ้านมาพร้อมกัน ให้ทุกคนรับพระไตรสรณาคมน์ และรับศีล แล้วพระก็สอนให้เข้าใจเรื่องพระรัตนตรัย พร้อมทั้งอานิสงส์ของศีล นอกจากนี้ให้ชาวบ้านสวดมนต์ และฝึกภาวนาทุกเย็น
    ในที่สุดการเจ็บป่วยใน หมู่บ้านเนื่องจากการกระทำของผีก็หมดไป ไม่เคยปรากฏอีกเลย
    โดยเฉพาะตัว ของแม่โสมเองนั้น ถ้าเกิดว่าผีเข้าใคร เพียงแต่มีคนพูดว่า “แม่โสมมา" ผีจะ รีบลนลานออกทันที
    ผี เคยเข้าสิงชาวบ้านและบอกว่า ที่บ้านแม่โสมนั้น เข้าไปใกล้ไม่ได้ มีแสงแพรวพราวอยู่ตลอดเวลา แม้ชื่อของแม่โสม ถ้าได้ยินแล้วไม่รีบออก หัวก็จะแตก
    นับ แต่นั้นมา ชาวป่าเมี่ยงแม่สาย ก็เลิกนับถือผี หันเข้าหาพระ ตัวแม่โสมเอง ก็ชักชวน ชาวบ้านสร้างวัดประจำหมู่บ้านขึ้น เป็นวัดฝ่ายกรรมฐาน แกเป็นผู้บำรุงวัดอย่างเข้มแข็ง วัดนั้นก็เป็นวัดกรรมฐาน มาจนทุกวันนี้
    ๑๔๐. การจำพรรษาที่ป่าเมี่ยงแม่สาย
    ใน พรรษานั้น หลวงปู่แหวน ได้จำพรรษาที่ป่าเมี่ยงแม่สาย ภายใต้การอุปัฎฐากของแม่โสม หัวหน้าหมู่บ้าน และชาวบ้านที่นั่น ซึ่งให้ความดูแลหลวงปู่เป็นอย่างดี
    หลวง ปู่ เล่าถึงบ้านป่าเมี่ยงแม่สายว่า ที่นั่นอากาศหนาวมากในฤดูหนาว ฝนตกชุกในฤดูฝน สำหรับองค์หลวงปู่นั้นอากาศถูกกับธาตุขันธ์ดี ฉันอาหารได้มาก แต่ไม่มีอาการอึดอัดง่วงซึม เวลาภาวนาจิตก็รวมลงสู่ฐานสมาธิได้เร็ว
    ทางด้านจิตภาวนา หลวงปู่บอกว่า การภาวนาที่นี่ได้ผลดีมาก นับว่าเป็นสัปปายะอีกที่หนึ่ง
    หลวง ปู่มั่น ท่านเคยจำพรรษาอยู่ที่นี่ ๑ พรรษา นอกจากนี้ ครูบาอาจารย์สายกรรมฐานองค์ อื่นๆ ก็เคยพำนักอยู่ที่ป่าเมี่ยงแม่สายนี้ อยู่หลายองค์เหมือนกัน
     
  18. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    ***หลวงปู่แหวน กับ ความศรัทธาของประชาชน
    ความ ศรัทธาของประชาชนหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ท่านเป็นตัวอย่างสมณะที่เจริญตามรอยแห่งเบื้องพระยุคลบาท ขององค์พระศาสดาอย่างมุ่งมั่น มอบชีวิตถวายจิตใจเพื่อรับใช้พระสัทธธรรม ท่านบำเพ็ญเพียร ทางวิปัสสนากรรมฐาน อย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เพื่อความหลุดพ้นจากโลกียภูมิ เข้าสู่โลกุตรภูมิ เป็นแดนพ้นทุกข์อย่างแท้จริงหลวงปู่แหวน ท่านสละสิ้นทุกอย่าง มุ่งบำเพ็ญสมณธรรมอย่างเดียว ท่านหลีกเร้นตนเองออกสู่ ทางสันโดษตลอดระยะยาวนานกว่า ๕๐ ปี ต้องฝ่าฟันอุปสรรคและความทารุณนานาประการ ไม่ว่าความทุรกันดาร โรคภัยไข้เจ็บ และความอดอยากหิวโหย แม้ร่างกายจะหนีจากธรรมชาติ เหล่านี้ไม่พ้น แต่จิตท่านไม่ติดอยู่ในสภาพทุกข์เหล่านั้น ท่านละวางทุกอย่าง ได้อย่างแท้จริง ดีก็ ไม่ติด ไม่ดีก็ไม่ติดหลวงปู่ขณะดำรงชีวิตอยู่ ท่านอยู่ด้วยความเมตตา เพื่อการสงเคราะห์สัตว์โลกอย่างแท้จริง ใครจะเอาประโยชน์อะไรจากท่านได้ ท่านไม่เคยขัดข้อง ตราบใดที่ไม่ผิดวินัยท่านอนุโลมตาม เสมอด้วยเหตุนี้ สาธุชนที่ศรัทธาในหลวงปู่ จึงได้หลั่งไหลไปที่วัดดอยแม่ปั๋ง จุดประสงค์อย่างอื่นที่ นอกเหนือจากการได้กราบได้เห็น ได้ทำบุญกับองค์ท่านแล้ว ส่วนใหญ่ต้องการให้หลวงปู่เป่าหัวให้บ้าง ต้องการได้น้ำมนต์บ้าง ต้องการได้ของดีเพื่อความมีโชคลาภ ความเป็นศิริมงคล รวมทั้ง ต้องการให้หลวงปู่แผ่พลังจิตเพื่อปลุกเสกวัตถุมงคลต่างๆ เพื่อความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ ท่านก็อนุโลมทำให้ด้วยความเมตตา ใครจะรับอะไร ได้เพียงไร ขึ้นอยู่กับผู้นั้นเองสิ่งของที่มีผู้ขอกันมาก ได้แก่ ก้นยาขี้โย จีวร ไม้เท้า แม้แต่เส้นเกศา เล็บ ตลอดจนขี้ไคลในตัวท่าน และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวท่าน ก็ถือเป็นศิริมงคลทั้งนั้นหลวงปู่ท่านถึงกับออกปากว่า “ฮาโกนหัวแล้ว เปิ้นก็ยังฮื้อโกน แถมจะเอาฮาไปสร้างพระ อาหยัง ฮาเจ็บหัว"หลวงปู่ท่านพูดสำเนียงเหนือปนอิสาน หมายความว่า เราโกนหัวแล้ว เขาก็ยังมาให้โกนอีก บอกว่าจะเอาไปสร้างพระ อะไรนั่น เราเจ็บหัวแม้แต่น้ำที่ท่านอาบ ก็มีผู้ต้องการขอไปเพื่อเป็นศิริมงคล แม้ท่านสรงน้ำเสร็จแล้ว ยังมาขอให้ท่านสรงซ้ำอีก ท่านถึงกับพูดว่า “ฮาหนาวจะต๋าย เปิ้นก็จะฮื้อฮาอาบน้ำอีก"นอกจากนี้ยังมีคนไปรุมขัดถูขี้ไคลตามเนื้อตามตัว ท่าน ขัดแล้วขัดอีก หรือตัดเล็บท่าน ตัดแล้วตัดเล่า เพื่อจะเอาไปทำพระเครื่อง ทำวัตถุมงคลต่างๆ จนหลวงปู่บอกว่า ท่านแสบไปทั้ง เนื้อทั้งตัว ดังนี้เป็นต้นเอาเป็นว่าใครมีโอกาสหยิบฉวยแย่งอะไรจากท่าน เอาประโยชน์อะไรได้จากท่าน ต่างก็เอา กันไป หลวงปู่ท่านปล่อยวางเฉย ใครจะทำอะไรก็ตามใจ(สงสารหลวงปู่นะครับ)ขอบคุณ
     
  19. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    ***เรื่องราวพระอรหันต์ทั้งสอง กับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

    พระคุณเจ้าทั้งสองทั้งองค์หลวงปู่แหวน และองค์หลวงปู่หลุย ล้วนแล้วเป็นศิษย์เอกหลวงปู่มั่นทั้งสิ้น ได้อบรมธรรมจากหลวงปู่มั่นมาอย่างเข้มแข็ง ท่านทั้งสองเป็นพระหมดกิเลสแล้วสาธุ

    คัดจากหนังสือชีวประวัติหลวงพ่อ ทวี จิตฺตคุตฺโต
    วัดอรัญญวิเวก (ป่าลัน)
    ต.ปงน้อย กิ่ง อ.ดอยหลวง จ.เชียงราย

    เรื่องของหลวงปู่หลุย จันทสาโร

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงปู่หลุยท่านได้มาพักที่วัดดอยแม่ปั๋ง กะว่าจะอยู่กับหลวงปู่แหวนไปสักพักนึงก่อน เพราะว่าเป็นคนจังหวัดเลยด้วยกัน พออยู่ต่อมาหลวงปู่หลุยได้ยินข่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จมากราบหลวงปู่แหวน หลวงปู่หลุยได้ยินดังนั้นก็รีบไปอยู่ที่อื่น ไปอยู่ที่อำเภอแม่แตง หลวงปู่หลุยท่านกลัวพูดกับพระราชามหากษัตริย์ไม่เป็น หลวงปู่หลุยท่านพูดว่า "พูดกับพระราชาไม่เป็น นี่คอขาดบาดตายนะเรา เป็นพระป่าพระดงไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร"

    ท่านพูดเมื่อพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จมากราบหลวงปู่แหวนแล้ว หลวงปู่แหวนท่านก็พูดกับในหลวงว่า "ท่านหลุยก็มาอยู่นี่แหละ แต่หนีไปอยู่ที่แม่แตงแล้ว กลัวพูดกับพระราชามหากษัตริย์ไม่เป็น กลัวคอขาดบาดตาย ว่าอย่างนั้น"

    สมเด็จพระราชินีก็พูดออกมาว่า "ไม่เป็นอย่างนั้นดอกพระเจ้าข้า พวกดิฉันไม่ได้ถือยศฐาบรรดาศักดิ์อะไรหรอกเจ้าข้า พูดแบบนี้เป็นกันเองนี้แหละเจ้าข้า" แล้วพระราชินีก็พูดกับหลวงปู่แหวนว่า "เมื่อดิฉันกลับจากที่นี้ไปแล้ว จะไปกราบหลวงปู่หลุยให้ได้ ไม่ต้องกลัวเจ้าข้า"

    ในหลวงท่านเสด็จมากราบหลวงปู่แหวนแต่ละครั้ง ตั้งแต่บ่ายสองโมง จนถึงหนึ่งทุ่มสองทุ่มเป็นประจำ การเสด็จมาวัดดอยแม่ปั๋ง แต่ละครั้ง ถือเป็นการส่วนตัวพระองค์เอง

    ครั้นต่อมาสมเด็จพระราชินี ได้ให้ราชเลขาไปตามหาหลวงปู่หลุย ว่าท่านอยู่ที่ไหน ก็ทราบว่าหลวงปู่หลุยท่านไปพักอยู่ที่วัดหลวงปู่ตื้อ หรือว่าวัดพระอาจารย์เปลี่ยน ผู้เขียนก็จำไม่ค่อยได้ สมเด็จพระราชินีก็ได้เสด็จไปกราบหลวงปู่หลุย ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่หลุยก็ได้เข้าๆ ออกๆ อยู่กับพระราชวังตลอดมา ตราบเท่าหลวงปู่หลุยมรณภาพ

    อันนี้คือด้วยพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม ที่เป็นพระมหากษัตริย์ไทยของเรา ได้เข้าไปถึงประชาชนทุกที่ทุกแห่งหนตำบลใดก็ตาม มีพระเจ้าพระสงฆ์ที่ท่านได้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในป่าในเขาที่ไหนๆ ก็ตาม ท่านก็ย่อมเข้าถึงที่ทุกๆ แห่ง


    เรื่องของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ

    หลวง ปู่แหวนได้ป่วยหนัก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านได้อาราธนาให้ หลวงปู่แหวนไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเชียงใหม่ ตึกสุจิณฺโณ ในหลวงท่านได้รับเอาหลวงปู่ไว้เป็นคนไข้ของพระองค์เอง จนในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2528 หลวงปู่แหวนท่านก็ได้ละขันธ์อย่างสงบนิ่ง ในเวลา 21.53 น.

    ข่าว การมรณภาพของหลวงปู่แหวน ซึ่งตรงกับวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2528 ก็ได้ทราบถึงฝ่าละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราและพระบรม ราชินีนาถ เหมือนกับว่าดินฟ้าถล่มไปทั่วเมืองไทย ในหลวงก็ได้พระราชทานโกศหลวง และรดน้ำอาบศพ ที่สถานพระราชทานปริญญาบัตรแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้นก็ได้มี บุคคลทั่วทิศานุทิศ ไปเคารพศพหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็ได้นำศพของหลวงปู่แหวนมาตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดดอยแม่ปั๋ง ตามเดิม

    สิริ อายุหลวงปู่แหวนได้ 99 ปี ในหลวงท่านขออายุหลวงปู่แหวนให้ได้ 120 ปี แต่หลวงปู่ก็พูดกับในหลวงว่า เอาเพียง 99 ปี ก็พอเถอะ มันลำบากผู้อยู่ แล้วก็ได้ 99 ปี ตามที่ว่าเอาไว้จริงๆ อันนี้คือพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามธรรมวินัยของพระพุทธศาสนาแท้จริง ขอให้พวกเราทุกๆ คน จงนำเอาเป็นตัวอย่างของหลวงปู่แหวนนี้ ไว้สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป ศาสนาของเราจะได้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปข้างหน้า
     
  20. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,075
    ***อัฐธาตุที่แหลกละเอียดของหลวงปู่แหวน


    ในปี 2544 ข้าพเจ้ามีบุญได้ไปกราบบุคคลผู้หนึ่งซึ่งได้ปฏิบัติธรรมมานานและมีจริยวัตร น่าเลื่อมใส และมีโอกาสได้รับหนังสือจากท่านชื่อว่า " ขอกราบคาราวะในชาติสุดท้าย " โดยท่านเขียนขึ้นมาเอง จากการที่ท่านได้เดินทางไปกราบพระสามีจิปฏิปันโนสงฆ์ ในปี 2531 กระผมจึงขออนุญาตนำบทความตอนหนึ่งมาลงให้ผู้ที่สนใจและเป็นแนวทางปฏิบัติแด่ กัลยาณมิตรทั้งหลายในห้องศาสนานี้ บทความตอนหนึ่งว่า
    พระสามีจิปฏิปันโน สงฆ์องค์แรกที่ผมและธิดาในธรรมพร้อมกับบุรุษอีก 1 คน ไปกราบคาราวะถวายเครื่อง
    สักการะคือ พระคุณเจ้าปัญญาปทีโปภิกขุ แห่ง วัด อรัญญวิเวก อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ เมื่อพระคุณเจ้าและกระผมได้วิสสาสะกันใน 2 วาระนี้ โอกาสหนึ่งผมได้เรียนถามท่านว่า

    " โยมทราบว่าท่านเป็นชาวจังหวัดสกลนคร มาอยู่ที่เชียงใหม่นานแล้ว เมื่อไหร่จะกลับไปอยู่ที่สกลนครต่อไป "

    " เชียงใหม่กับสกลนครคำสมมติ "

    พระคุณเจ้าเอ่ยตอบและพูดต่อไปว่า

    " อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน โลกนี้มันก็อยู่แค่นี้เอง เราอยู่ที่ไหนมันก็มีแค่นี้ ไม่ได้มีอะไรเพิ่มขึ้นหรือลดลง "

    พระเถระกล่าวในตอนท้าย ผมได้ปรารภกับท่านถึง อัฐธาตุหลวงปู่แหวนผู้ล่วงลับไปแล้ว เรียนถามว่า

    " ได้มาเก็บไว้บ้างหรือหาไม่ "

    พระคุณเจ้าเล่าให้ฟังว่า

    " ในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่แหวน สุจิณโณ เมื่อวันเสาร์ที่ 17 มกราคม 2530 ณ เมรุ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จว.เชียงใหม่ที่ผ่านมานั้น อาตมาไม่ได้อัฐธาตุของหลวงปู่แหวนมาเลย แต่ก็น่าประหลาดอยากจะเล่าให้ฟังคือ เมื่อกลับมาที่วัดตอนเย็นวันเสาร์ที่ 17 มกราคมนั้น มีโยมจาก จว.สมุทรสาคร มานั่งสนทาธรรมอยู่ 2 คน ขณะที่นั่งคุยกันนั้น ได้มีวัตุชิ้นเล็ก ๆ ชนิดหนึ่ง มีสีขาวหล่นมาจากเพดานห้อง ตกลงมาบนปกหนังสือที่ตั้งวางข้าง ๆ อาตมาได้ยินเสียงดังแป๊ะ เห็นวางอยู่บนปกหนังสือนั้น ทีแรกก็ไม่ได้สนใจว่าเป็นอะไร จึงได้คุยกับโยมต่อไปตามปกติ ครู่ต่อมาได้หล่นลงมาอีกเม็ดหนึ่ง ขนาดเท่ากัน รูปพรณสัณฐานสีขาวอย่างเดียวกัน อาตมานึกว่าเป็นก้อนเศษฝุ่นหล่นลงมา จึงหยิบขึ้นมาดูทั้งสองเม็ด เอามือมาขยี้ ๆ ดู กระทบนิ้วมือแข็งผิดปกติขยี้ไม่แตก จึงพินิจดูให้แน่ใจ ก็เห็นว่าเป็นอัฐธาตุ คงจะเป็นของหลวงปู่แหวนท่านมาโปรด แล้วเอาให้โยมสองคนที่มาสนทนาไปพินิจพิจารณาดู เขาก็ว่าเป็นพระธาตุแน่ อาตมาจึงหากล่องมาบรรจุนำเก็บไว้ในห้องบนกุฏิ คืนวันนั้นขณะที่อาตมาทำความเพียรอยู่ได้เห็นหลวงปู่แหวนท่านมาดุว่า

    " อ้าว คุณนี่นึกว่าปล่อยวางหมดแล้ว ยังติดอยู่ในกระดูกอีกหรือ เดี๋ยวจะทำลายกระดูกให้แหลกละเอียดเดี๋ยวนี้ "

    ครั้นแล้วเมื่ออาตมา นำอัฐธาตุมาดูพบว่าอัฐธาตุได้แหลกละเอียดกระจายออกจาก กัน เล็กกว่าเม็ดกรวดเม็ดทราย ซึ่งอาตมาได้เก็บไว้ดูจนถึงบัดนี้ " โยมอยากขอดู " เมื่อพระคุณเจ้าเล่าจบ ก็ได้ไปหยิบกล่องบรรจุอัฐธาตุที่แหลกละเอียดนั้นมาให้ดู ใสเหมือนแก้วแตกละเอียดฉันใดก็ฉันนั้น


    บทความดังกล่าวเป็นของ ท่านดิลกโสภณ เขียนเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2544 ท่านเป็นฆราวาสปัจจุบันท่านได้ละสังขารไปแล้วและพบว่ากระดูกของท่านใสดั่ง แก้วเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

    จากคุณ : สาวกภูมิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...