บันทึกการ ปฏิบัติ (ครูสันตินันท์)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Ayukawa, 24 เมษายน 2010.

  1. Ayukawa

    Ayukawa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +573
    <dd>หัวข้อนี้ได้คัดลอกมาจากLink อย่าลืมดูจิต! - บันทึกการปฏิบัติ (ครูสันตินันท์) ผมไปอ่านเจอโดยบังเอิญเห็นว่า น่าสนใจมากก็เลยคัดลอกมาให้อ่านกันครับ</dd><dd>ผมลังเลใจอยู่นานที่จะเล่าถึงการปฏิบัติธรรมของตนเองเพราะมันเป็นเพียง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งถ้าใครตั้งใจปฏิบัติก็ทำกันได้ แต่ด้วยความเคารพในคำสั่งของครูบาอาจารย์รูปหนึ่ง คือหลวงพ่อพุธ ฐานิโย แห่งวัดป่าสาลวัน ที่ท่านสั่งให้เขียนเรื่องนี้ออกเผยแพร่ ผมจึงต้องปฏิบัติตาม โดยเขียนเรื่องนี้ให้ท่านอ่าน
    </dd><dd>ผมเป็นคน วาสนาน้อย ไม่เคยรู้เรื่องพระธุดงคกรรมฐานอย่างจริงจังมาก่อน จนแทบจะละทิ้งพระพุทธศาสนาไปแล้ว เพราะเกิดตื่นเต้นกับลัทธิวัตถุนิยม แต่แล้ววันหนึ่ง ผมได้พบข้อธรรมสั้นๆ บทหนึ่งของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ มีสาระสำคัญว่า
    <center>"จิตส่งออก นอกคือสมุทัย มีผลเป็นทุกข์
    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค มีผลเป็นนิโรธ" </center>
    </dd><dd>ผมเกิดความซาบซึ้งจับจิตจับใจ และเห็นจริงตามว่า ถ้าจิตไม่ออกไปรับความทุกข์แล้ว ใครกันล่ะที่จะเป็นผู้ทุกข์ จิตใจของผมมันยอมรับนับถือหลวงปู่ดูลย์เป็นครูบาอาจารย์ตั้งแต่นั้น
    </dd><dd>ต่อ มาในต้นปี พ.ศ. 2525 ผมมีโอกาสด้นดั้นไปนมัสการหลวงปู่ดูลย์ที่จังหวัดสุรินทร์ เมื่อไปถึงวัดของท่านแล้ว เกิดความรู้สึกกลัวเกรงเป็นที่สุด เพราะท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่ และไม่เคยรู้จักอัธยาศัยของท่านมาก่อน ประกอบกับผมไม่คุ้นเคยที่จะพบปะพูดจากับพระผู้ใหญ่มาก่อนด้วย จึงรีรออยู่ห่างๆ นอกกุฏิของท่าน
    </dd><dd>ขณะที่รีรออยู่ครู่หนึ่ง นั้น หลวงปู่ดูลย์เดินออกมาจากกุฏิของท่าน มาชะโงกมองดูผม ผมจึงรวบรวมความกล้าเข้าไปกราบท่านซึ่งถอยกลับไปนั่งเก้าอี้โยกที่หน้าประตู กุฏิ แล้วเรียนท่านว่า "ผมอยากภาวนาครับหลวงปู่"
    </dd><dd>หลวงปู่หลับ ตานิ่งเงียบไปเกือบครึ่งชั่วโมง พอลืมตาท่านก็แสดงธรรมทันทีว่า การภาวนานั้นไม่ยาก แต่มันก็ยากสำหรับผู้ไม่ภาวนา ขั้นแรกให้ภาวนา "พุทโธ" จนจิตวูบลงไป แล้วตามดูจิตผู้รู้ไป จะรู้อริยสัจจ์ 4 เอง (หลวงปู่ท่านสอนศิษย์แต่ละคนด้วยวิธีที่แตกต่างกันตามจริตนิสัย นับว่าท่านมีอนุสาสนีปาฏิหารย์อย่างสูง) แล้วท่านถามว่าเข้าใจไหม ก็กราบเรียนว่าเข้าใจ ท่านก็บอกให้กลับไปทำเอา
    </dd><dd>พอขึ้นรถไฟ กลับกรุงเทพเกิดเฉลียวใจขึ้นว่า ท่านให้เราดูจิตนั้นจะดูอย่างไร จิตมันเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหนและจะเอาอะไรไปดู ตอนนั้นชักจะกลุ้มใจไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ก็ภาวนาพุทโธไปเรื่อยๆจนจิตสงบลง แล้วพิจารณาว่าจิตจะต้องอยู่ในกายนี้แน่ หากแยกแยะเข้าไปในขันธ์ 5 ถึงอย่างไรก็ต้องเจอจิต จึงพิจารณาเข้าไปที่รูปว่าไม่ใช่จิต รูปก็แยกออกเป็นสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น หันมามองเวทนาแล้วแยกออกเป็นอีกส่วนหนึ่ง ตัวสัญญาก็แยกเป็นอีกส่วนหนึ่ง จากนั้นมาแยกตัวสังขารคือความคิดนึกปรุงแต่ง โดยนึกถึงบทสวดมนต์ เห็นความคิดบทสวดมนต์ผุดขึ้น และเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ถึงตอนนี้ก็เลยจับเอาตัวจิตผู้รู้ขึ้นมาได้
    </dd><dd>หลังจากนั้น ผมได้ตามดูจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถรู้ว่า ขณะนั้นเกิดกิเลสขึ้นกับจิตหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นและรู้ทัน กิเลสมันก็ดับไปเอง เหลือแต่จิตผู้รู้ ซึ่งรู้ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งไปเรื่อยๆอย่างเป็นอิสระจากกิเลส และอารมณ์ต่างๆ ต่อมาภายหลังผมได้หาหนังสือธรรมะมาอ่าน จึงรู้ว่าในทางปริยัติธรรมจัดเป็นการจำแนกรูปนาม จัดเป็นการเจริญวิปัสสนาแล้ว แต่ในเวลาปฏิบัตินั้น จิตไม่ได้กังวลสนใจว่าเป็นวิปัสสนาญาณขั้นใด
    </dd><dd>ปฏิบัติอยู่ 3 เดือน จึงไปรายงานผลกับหลวงปู่ดูลย์ว่า "ผมหาจิตเจอแล้ว จะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไป"
    </dd><dd>คราวนี้ปรากฏว่าท่านแสดงธรรมอัน ลึกซึ้งมากมาย เกี่ยวกับการถอดถอนทำลายอุปาทานในขันธ์ 5 ท่านสอนถึงกำเนิดและการทำงานของจิตวิญญาณ จนถึงการเจริญอริยมรรค จนมีญาณเห็นจิตเหมือนมีตาเห็นรูป
    </dd><dd>ท่านสอนอีกว่า เมื่อเราดูจิต คือตามรู้จิตเรื่อยๆ ไปนั้น สิ่งปรุงแต่งจะดับไปตามลำดับ จนถึงความว่าง
    </dd><dd>แต่ในความว่างนั้นยังไม่ว่างจริง มันมีสิ่งละเอียดเหลืออยู่คือวิญญาณ ให้ตามรู้จิตเรื่อยๆ ไป ความยึดในวิญญาณจะถูกทำลายออกไปอีก แล้วจิตจริงแท้หรือพุทธะ(หลวงปู่เทสก์เรียกว่าใจ) จึงปรากฎออกมา
    </dd><dd>คำ สอนครั้งนี้ลึกซึ้งกว้างขวางเหมือนฝนตกทั่วฟ้า แต่ภูมิปัญญาของผมมีจำกัด จึงรองน้ำฝนไว้ได้เพียงถ้วยเดียว คือได้เรียนถามท่านว่า "ที่หลวงปู่สอนมาทั้งหมดนี้ หากผมจะปฏิบัติด้วยการดูจิตไปเรื่อยๆจะพอไหม"
    </dd><dd>หลวงปู่ดูลย์ตอบว่า "การปฏิบัติก็มีอยู่เท่านั้นแหละ แม้จะพิจารณากายหรือกำหนดนิมิตหมายใดๆ ก็เพื่อให้ถึงจิตถึงใจตนเองเท่านั้น นอกจากจิตแล้วไม่มีสิ่งใดอีก พระธรรม 84,000 พระธรรมขันธ์ก็รวมลงที่จิตตัวเดียวนี้เอง
    </dd><dd>หลังจากนั้นผมก็ เพียรดูจิตเรื่อยๆ มา มีสติเมื่อใดดูเมื่อนั้น ขาดสติแล้วก็แล้วกันไป นึกขึ้นได้ก็ดูใหม่ เวลาทำงานก็ทำไป พอเหนื่อยหรือเครียดก็ย้อนดูจิต เลิกงานแล้วแม้มีเวลาเล็กน้อยก็ดูจิต ดูอยู่นั่นแหละ ไม่นานก็เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้
    </dd><dd>วัน หนึ่งของอีก 4 เดือนต่อมา ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นปลายเดือนกันยายน 2525 ได้เกิดพายุพัดหนัก ผมออกจากที่ทำงานเปียกฝนไปทั้งตัว และได้เข้าไปหลบฝนอยู่ในกุฏิพระหลังหนึ่งในวัดใกล้ๆ ที่ทำงาน ได้นั่งกอดเข่ากับพื้นห้องเพราะไม่กล้านั่งตามสบายเนื่องจากตัวเราเปียกมาก กลัวกุฏิพระจะเลอะมาก พอนั่งลงก็เกิดเป็นห่วงร่างกายว่า ร่างกายเราไม่แข็งแรง คราวนี้คงไม่สบายแน่
    </dd><dd>สักครู่ก็ตัดใจว่า ถ้าจะป่วยมันก็ต้องป่วย นี่กายยังไม่ทันป่วยใจกลับป่วยเสียก่อนแล้วด้วยความกังวล พอรู้ตัวว่าจิตกังวลผมก็ดูจิตทันที เพราะเคยฝึกดูจนเป็นนิสัยแล้ว
    </dd><dd>ขณะ นั้นนั่งกอดเข่าลืมตาอยู่แท้ๆ แต่ประสาทสัมผัสทางกายดับหายไปหมด โลกทั้งโลก เสียงฝน เสียงพายุหายไปหมด เหลือแต่สติที่ละเอียดอ่อนประคองรู้อยู่เท่านั้น (ไม่รู้ว่ารู้อะไรเพราะไม่มีสัญญา)
    </dd><dd>ต่อมามันมีสิ่งละเอียดๆ ผ่านมาสู่ความรับรู้ของจิตเป็นระยะๆแต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพราะจิตไม่มีความสำคัญมั่นหมายใดๆ
    </dd><dd>ต่อมาจิตมีอาการไหวดับวูบ ลง สิ่งที่ผ่านมาให้รู้ดับไปหมดแล้ว แล้วก็รู้ชัดเหมือนตาเห็นว่า ความว่างที่เหลืออยู่นั้น ถูกแหวกพรวดอย่างรวดเร็วและนุ่มนวลออกไปอีก กลายเป็นความว่างที่บริสุทธิ์หมดจดอย่างแท้จริง
    </dd><dd>ในความว่าง นั้น จิตซึ่งเป็นอิสระแล้วได้อุทานขึ้นว่า "เอ๊ะ จิต ไม่ใช่เรานี่"
    </dd><dd>จาก นั้นจิตได้มีอาการปิติยินดี ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น พร้อมๆ กับเกิดแสงสว่างโพลงขึ้นรอบทิศทาง จากนั้นจิตจึงรวมสงบลงอีกครั้งหนึ่งแล้วถอนออกจากสมาธิ เมื่อความรับรู้ต่างๆ กลับมาสู่ตัวแล้ว ถึงกับอุทานในใจ(จิตไม่ได้อุทานอย่างทีแรก)ว่า "อ้อ ธรรมะเป็นอย่างนี้เอง เมื่อจิตไม่ใช่ตัวเราเสียแล้ว สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่เป็นตัวเราอีกต่อไป"
    </dd><dd>เมื่อผมไปกราบหลวงปู่ดูลย์ และเล่าเรื่องนี้ให้ท่านทราบ พอเล่าว่าสติละเอียดเหมือนเคลิ้มๆ ไป ท่านก็อธิบายว่า จิตผ่านฌานทั้ง 8
    </dd><dd>ผมได้แย้งท่านตามประสาคนโง่ว่า ผมไม่ได้หัดเข้าฌาน และไม่ได้ตั้งใจจะเข้าฌานด้วย
    </dd><dd>หลวงปู่ดูลย์อธิบายว่า ถ้าตั้งใจก็ไม่ใช่ฌาน และขณะที่จิตผ่านฌานอย่างรวดเร็วนั้น จิตจะไม่มานั่งนับว่ากำลังผ่านฌานอะไรอยู่ การดูจิตนั้นจะได้ฌานโดยอัตโนมัติ (หลวงปู่ไม่ชอบสอนเรื่องฌาน เพราะเห็นเป็นของธรรมดาที่จะต้องผ่านไปเอง หากสอนเรื่องนี้ ศิษย์จะมัวสนใจฌานทำให้เสียเวลาปฏิบัติ)
    </dd><dd>พอผมเล่าว่าจิตอุทาน ได้เอง หลวงปู่ก็บอกอาการต่างๆ ที่ผมยังเล่าไม่ถึงออกมาตรงกับที่ผมผ่านมาแล้วทุกอย่าง แล้วท่านก็สรุปยิ้มๆว่า จิตยิ้มแล้ว พึ่งตัวเองได้แล้ว ถึงพระรัตนตรัยแล้ว ต่อไปนี้ไม่จำเป็นต้องมาหาอาตมาอีก
    </dd><dd>แล้วท่านแสดงธรรมเรื่อง จิตเหนือเหตุ หรือ อเหตุกจิต ให้ฟังมีใจความว่า อเหตุกจิต มี 3 ประการคือ
    </dd><dd>1. ปัญจทวารวัชนจิต ได้แก่ความไหวตัวของจิตขึ้นรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย
    </dd><dd>2. มโนทวารวัชนจิต ได้แก่ความไหวตัวของใจขึ้นรับรู้อารมณ์ทางใจ
    </dd><dd>3. หสิตุปปาท หรือจิตยิ้ม เป็นการแสดงความเบิกบานของจิตที่ปราศจากอารมณ์ปรุงแต่ง เพื่อแสดงความมีอยู่ของจิตซึ่งไม่มีตัวตนให้ปรากฏออกมาสู่ความรับรู้
    </dd><dd>อเห ตุกจิต 2 อย่างแรกเป็นของสาธารณะ มีทั้งในปุถุชนและพระอริยเจ้า แต่จิตยิ้มเป็นโลกุตรจิต เป็นจิตสูงสุด เกิดขึ้นเพียง 3 - 4 ครั้งก็ถึงที่สุดแห่งทุกข์
    </dd><dd>หลังจากนั้นผมก็ปฏิบัติด้วยการดู จิตเรื่อยมา และเห็นว่าเวลามีการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย จะมีคลื่นวิ่งเข้าสู่ใจ หรือบางครั้งก็มีธรรมารมณ์เป็นคลื่นเข้าสู่ใจ
    </dd><dd>หาก ขณะนั้นขาดสติ จิตจะส่งกระแสไปยึดอารมณ์นั้น ตอนนั้นจิตยังไม่ละเอียดพอ ผมเข้าใจว่าจิตวิ่งไปยึดอารมณ์แล้วขยับๆ ตัวเสวยอารมณ์อยู่จึงไปเรียนให้หลวงปู่ดูลย์ทราบ
    </dd><dd>ท่านกลับตอบ ว่า จิตจริงแท้ไม่มีการไป ไม่มีการมา
    </dd><dd>ผมได้มาดูจิตต่ออีกสัก ครึ่งปีต่อมา วันหนึ่งจิตผ่านเข้าสู่อัปปนาสมาธิและเดินวิปัสสนา คือมีสิ่งให้รู้ผ่านมาสู่จิต แต่จิตไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าคือสิ่งใด จากนั้นเกิดอาการแยกความว่างขึ้นแบบเดียวกับเมื่อจิตยิ้ม คราวนี้จิตพูดขึ้นเบาๆว่า จิตไม่ใช่เรา แต่ต่อจากนั้นแทนที่จิตจะยิ้ม จิตกลับพลิกไปสู่ภูมิของสมถะ ปรากฏนิมิตเป็นเหมือนดวงอาทิตย์โผล่ผุดขึ้นจากสิ่งห่อหุ้ม แต่โผล่ไม่หมดดวง เป็นสิ่งแสดงให้รู้ว่ายังไม่ถึงที่สุดของการปฏิบัติ
    </dd><dd>ปรากฏการณ์ นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การดำเนินของจิตในขั้นวิปัสสนานั้นหากสติอ่อนลง จิตจะวกกลับมาสู่ภูมิของสมถะ และวิปัสสนูปกิเลสจะแทรกเข้ามาตรงนี้ถ้าไม่กำหนดรู้ให้ชัดเจนว่า วิปัสสนาพลิกกลับเป็นสมถะไปแล้ว นักปฏิบัติจึงต้องระวังให้มาก โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยพบกับจิตยิ้ม(สำนวนของหลวงปู่ดูลย์) หรือใจ (สำนวนของหลวงปู่เทสก์) หรือจิตรวมใหญ่(สำนวนของท่านอาจารย์สิงห์)
    </dd><dd>เมื่อ ผมนำเรื่องนี้ไปรายงานหลวงปู่ดูลย์ ท่านก็ว่า ดีแล้ว ให้ดูจิตต่อไป
    </dd><dd>ผม ก็ทำเรื่อยๆ มา ส่วนมากเป็นการดูจิตในชีวิตประจำวัน ไม่ค่อยได้นั่งสมาธิแบบเป็นพิธีการ ต่อมาอีก 1 เดือน วันหนึ่งขณะนั่งสนทนาธรรมอยู่กับน้องชาย จิตเกิดรวมวูบลงไป มีการแยกความว่างซึ่งมีขันธ์ละเอียด(วิญญาณขันธ์)ออกอีกทีหนึ่ง แล้วจิตก็หัวเราะออกมาเองโดยปราศจากอารมณ์ (ร่างกายไม่ได้หัวเราะ) มันเป็นการหัวเราะเยาะกิเลสว่า มันผูกมัดมานาน ต่อๆ ไป จิตจะเป็นอิสระยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
    </dd><dd>เหตุการณ์นี้ทำให้ได้ความ รู้ชัดว่า ทำไมเมื่อครั้งพุทธกาล จึงมีผู้รู้ธรรมในขณะฟังธรรมเกิดขึ้นได้เป็นจำนวนมาก
    </dd><dd>ผมนำ เรื่องนี้ไปรายงานหลวงปู่ดูลย์ คราวนี้ท่านไม่ได้สอนอะไรอีกเพียงแต่ให้กำลังใจว่า ให้พยายามทำให้จบเสียแต่ในชาตินี้ หลังจากนั้นไม่นานท่านก็มรณภาพ
    </dd><dd>หลวง พ่อพุธ ฐานิโย ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์อีกรูปหนึ่ง เคยสั่งให้ผมเขียนเรื่องการปฏิบัติของตนเองออกเผยแพร่ เพราะอาจมีผู้ที่มีจริตคล้ายๆ กันได้ประโยชน์บ้าง ผมจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้น เพื่อสนองคำสั่งครูบาอาจารย์ และเพื่อรำลึกถึงหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ผู้เปี่ยมด้วยอนุสาสนีปาฏิหารย์ รวมทั้งหวังว่าจะเป็นประโยชน์สักเล็กน้อย สำหรับท่านที่กำลังแสวงหาหนทางปฏิบัติอยู่</dd>
     
  2. คาคะ

    คาคะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    424
    ค่าพลัง:
    +1,533
    อนุโมธนาคะ
     
  3. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เห็นมั้ยหลวงพ่อพุธท่านก็บอก
    ขั้นแรกให้ภาวนาพุทโธ จนจิตวูบลงไปก่อน

    แต่นี่ไม่รู้ล่ะว่าจิตวูบไม่วูบ
    จะดูจิตเลยทีเดียว
    อย่างนี้ก็ถูกกิเลสมัดคอหมดล่ะ

    <DD>
    </DD>
     
  4. incense_sticks

    incense_sticks Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2010
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +41
    อนุโมธนาครับ
     
  5. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,255
    ขออนุโมทนา สาธุ ๆ
    กับท่านทั้งหลาย ที่ได้ร่วมกันทำบุญ
    สร้างกุศลทุกเผยแพร่พระธรรมทุกอย่างในกาลนี้ ด้วยครับ
    นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
     
  6. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    เอาสันตินันท์..ออกไปเถอะ จขกท..สอนผิดๆ
    ต้องหลวงปู่ดุลย์ อตุดล จึงของแท้ครับ
     
  7. บรมบรรพต

    บรมบรรพต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +245
    ถูกครึ่งหนึ่ง หมายความว่าอาจผิดหมดก็ได้
    จิตส่งออก มี ๔ อย่างด้วยกัน คือ
    ๑.จิตส่งออกทุกข์
    ๒.จิตส่งออกพ้นทุกข์
    ๓.จิตไม่ส่งออกทุกข์
    ๔.จิตไม่ส่งออกพ้นทุกข์

    จิตส่งออก มี ๔ อย่างนี้แลฯ

    อย่างไรก็ตามหลวงปู่ดุลย์ท่านก็เป็นพระอรหันต์แน่นอนดูจากคำสอนของท่านนะครับ แต่อาจจะเป็นพระอานาคามีเกือบตลอดชีวิตก็ได้ พระสายป่าส่วนใหญ่ไปนิพพานที่พรหมโลกชั้นสุทธาวาสครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2010
  8. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256

    ท่านสันตินันท์( หลวงพ่อปราโมทช ) สอนผิดอย่างไร....ครับ

    แล้วอย่างที่ถูกคืออะไร......ครับ

    แล้วคุณ....เอามาจากที่ไหนว่าท่านสอนผิดครับ....

    จำเขามาพูด....หรือ...ปฏิบัติเองจึงรู้ว่าผิด

    หากปฏิบัติเอง....อาการที่คุณปฏิบัติได้เป็นอย่างไร
     
  9. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    มหาภัยในวงกรรมฐาน<!-- google_ad_section_end -->

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--zone = "15";url = "http://ads.palungjit.org";//--></SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript src="http://ads.palungjit.org/show.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://ads.palungjit.org/show.php?z=15&w=0&pl=0&ad_type=0&shape=0&c_border=0&c_background=0&c_text1=0&c_text2=0&c_text3=0&c_text4=0&c_text5=0&c_text6=0&c_text7=0&c_text8=0&c_text9=0&c_text10=0&code=1010676742484"></SCRIPT>

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

    เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕


    มหาภัยในวงกรรมฐาน

    <O:p</O:p

    <O:p</O:p
    เรายังขาดทองคำอยู่อีก ๑๕๐ กิโล ๒๓ บาท ๕๖ สตางค์ จะครบจำนวน ๕๐๐ กิโล เราก็ได้มาเรื่อย ๆ กฐิน ๘๔,๐๐๐ กอง ยังไม่ได้ไปแตะเลยนะ เราจะรวบรวมได้ทองคำเท่าไรๆ พอจวนเวลาแล้วได้เท่าไร ขาดเท่าไร นั่นละจะถอนออกมาทันที บวกเข้าไปอย่างน้อย ๕๐๐ กิโล เวลานี้ยังไม่ได้แตะกฐิน ๘๔,๐๐๐ กอง ที่เข้าไว้แล้ว ๆ ยังไม่ได้ไปแตะ รวบรวมทองคำข้างนอกได้เสียก่อน ขาดเหลือเท่าไรแล้วนั่นละ ทีนี้หมดหวังจากข้างนอกแล้วจะเอาออกมาให้ได้เลย เวลานี้ฟังว่าขาด ๑๕๐ กิโล ๒๓ บาท ๕๖ สตางค์ ที่ว่าขาดจาก ๕๐๐ นะ หลอมทีไรมันก็ลดบ้างเป็นธรรมดา ถ้าไม่ใช่ทองแท่งนะ ถ้าเป็นทองแท่งไม่ลด<O:p></O:p>
    (ลูกศิษย์ : ตอนนี้เขากำลังออกอากาศวิทยุไทย-ลาวไปเทกซัส สหรัฐอเมริกา ซึ่งตรงกับเวลา ๒ ทุ่มที่อเมริกาครับ ถ่ายทอดสดแบบนี้ตั้งแต่วันอังคารถึงวันเสาร์เป็นประจำ) ทางนู้น ๒ ทุ่ม ทางนี้ก็ ๒ โมงเช้าพอดีกัน ทางนู้นเขาขอมานี่ ให้ติดต่อไปรออยู่ที่นั่นใช่ไหม (ลูกศิษย์ : ครับ เรียบร้อยแล้วเขาติดต่อมาแล้ว) เขาติดต่อมา พอพูดนี้ปั๊บก็ออกสหรัฐเดี๋ยวนั้นเลย เหมือนเราพูดสู่กันฟังเดี๋ยวนี้ กับทางสหรัฐฟังกับเราฟัง ได้ยินพร้อมกันเลย<O:p</O:p
    นี่ก็เรื่องมาจากสหรัฐเข้ามาหาเรา เรื่องภัยของพุทธศาสนาเรา เวลานี้เท่าที่ทราบตามที่เขามาบอกเล่าก็คือว่า ไปจากเมืองไทยนี้แหละ แล้วไปจากจุดสำคัญเสียด้วย จุดสำคัญคือวงกรรมฐานหลวงปู่มั่นที่ชาวพุทธเราตายใจ เรียกว่ายอมรับแล้วตายใจ อบอุ่นตลอดมาในสายหลวงปู่มั่นนี้ เวลานี้พระสายนี้กำลังออกไป เราอยากจะพูดเต็มอัตราของความผิดความถูกในการแสดงออกของรายนี้ว่า มหาภัยในวงกรรมฐานเรา ออกอย่างนี้ก่อนนะ กำลังเริ่มแสดงตัวเป็นพิษเป็นภัยต่อจิตใจของประชาชนชาวพุทธเรา ทั้งเมืองไทยและที่อื่น ๆ เวลานี้กำลังเริ่มแสดง<O:p</O:p
    การแสดงออกของรายนี้พูดให้ตรง ๆ ไปก็คือว่า อยากยกตนยกตัวให้เขาร่ำลือว่าเป็นผู้รู้อรรถรู้ธรรมเลิศเลอ ถึงขั้นสิ้นสุดวิมุตติพระนิพพาน ก็เคยพูดอยู่แล้วตั้งแต่เมืองไทยเรา เป็นต้นไป นี่เราทราบอย่างนี้แล้ว เราทราบมาจากลูกศิษย์ลูกหาวงชาวพุทธด้วยกันนั้นแหละว่า เวลานี้เขาว่าพระองค์นี้กำลังอวดฤทธิ์อวดเดช อวดรู้อวดฉลาด อวดมรรคผลนิพพาน บรรลุมรรคบรรลุผล มิหนำซ้ำเขายังออกมาอย่างแจ่มแจ้งเข้าอีกว่า พระองค์นี้ว่าได้หนังสือจากหลวงตาบัวไปในการพิมพ์แจกในงานศพท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ วัดโพธิสมภรณ์ ซึ่งเป็นอุปัชฌาย์ของหลวงตาบัว เวลาเขาพิมพ์แจกทานในงานศพนี้ เขาบอกว่าพระองค์นี้ได้รับแจกหนังสือเล่มนี้ด้วย<O:p</O:p
    นี่ละฉากต้นที่จะขึ้น ท่านทั้งหลายพิจารณาเอา เราพิจารณาตามเรื่องราวที่เขามาบอกเล่าให้ฟังอย่างแจ่มแจ้ง ไม่มีคำว่าโกหกหรือปลอมแปลงไปที่ไหนว่า หนังสือเล่มนี้พระองค์นี้เป็นผู้มาเล่าให้ฟัง พอได้รับแจกหนังสืองานศพ ซึ่งหลวงตาบัวเป็นผู้เทศน์ในหนังสือเล่มนี้ทุกกัณฑ์ ลูกศิษย์ทางกรุงเทพฯ เขาพิมพ์แล้วมาแจกในงานศพท่านเจ้าคุณอุปัชฌายะเรา ที่วัดโพธิสมภรณ์ เขาบอกว่า ท่านเอาหนังสือเล่มนี้มาอ่านดู อ่านดูแล้วรู้สึกว่าจับใจ ๆ หนังสือเล่มนี้เลยติดย่ามไปตลอดเลย นี่ตามที่เขามาเล่าให้ฟังอย่างนี้ เราไม่ได้ไปเห็นเอง เราพูดตามคำบอกเล่า <O:p</O:p
    หนังสือเล่มนี้ก็เลยติดย่ามไปเลยเรื่อย ๆ ว่าได้คติได้ความรู้วิชาแปลก ๆ ต่างๆ จนถึงขั้นแปลกประหลาดและอัศจรรย์จากหนังสือเล่มนี้ ว่าได้ธรรมะแปลกประหลาดอัศจรรย์จากหนังสือเล่มนี้ จากนั้นหนังสือเล่มนี้เป็นยังไง… (ต่อมาท่านได้นิมิตว่าหลวงตาไปบอกว่าพึ่งตัวเองได้แล้ว หลวงตากับพระองค์นี้ต่างองค์ต่างก็แยกกัน ไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว) ฟังซิน่ะ มาแสดงเป็นนิมิตขึ้นว่าช่วยตัวเองได้แล้ว ต่อยครูต่อยอาจารย์ก็หงายหมาได้แล้ว ว่าอย่างงี้ก็ได้ เราจะจับได้อันนี้เองนะ คือว่าหนังสือเล่มนี้เป็นฐานเหยียบขึ้นที่จะยกตัวขึ้นมา เพราะในปัจจุบันนี้บรรดาพี่น้องชาวพุทธทั้งหลายก็ทราบทั่วถึงกันแล้วว่า เขายอมรับหลวงตาบัวเป็นครูเป็นอาจารย์ อยากจะว่าทั่วประเทศไทย <O:p</O:p
    เพราะฉะนั้นหนังสือเล่มนี้ออกจากหลวงตาบัว จึงเป็นที่ตายใจของท่านเหล่านั้น ไอ้นี้เองก็เอาหนังสือนี้ออกประกาศว่าได้รับความรู้ความวิเศษมาจากนี้ จนกระทั่งช่วยตัวเองได้หรือเลี้ยงตัวเองได้ จากนี้ก็แยกกันเลย ว่าอย่างงี้นะ เราไม่ได้ลืม ผู้มาบอกเล่าไม่ใช่ผู้มาโกหก นี่แหละจึงเป็นฐานเหยียบขึ้นได้เป็นอย่างดี เพราะหนังสือเล่มนี้ออกจากหลวงตาบัว ใครก็มีความเคารพอยู่แล้ว แล้วพระองค์นี้ก็ได้หนังสือหลวงตาบัวไปอ่าน จนได้อย่างที่กล่าวมาแล้วนี้ คติทุกสิ่งทุกอย่าง แปลกประหลาดอัศจรรย์จนเลิศ ถึงขนาดว่าช่วยตัวเองได้แล้ว ทีนี้ไม่ต้องเกี่ยวข้องกัน นี่เป็นฐานเหยียบขึ้นได้เป็นอย่างดี เพราะเขาเคารพเราจากหนังสือนี้ แล้วพระองค์นี้รู้อรรถรู้ธรรมจากนี้ เขาก็ต้องยอมรับ ใช่ไหมล่ะ<O:p</O:p
    นี่เราก็ทราบมาเป็นลำดับ สำหรับเราเป็นคนทิฐิสูง เรายังไม่อยากเชื่อ เราว่าอย่างงี้ก่อน ก่อนที่จะเรื่องนี้จะมาประกาศย้อนหลังอีกนะ เราไม่อยากเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นคติเตือนใจดังที่กล่าวมานี้ เพราะเรื่องราวมันชักแสดงเป็นฟืนเป็นไฟออกข้างนอกแล้ว เราเชื่อเลยว่า ให้เรานี้เป็นฐานเหยียบขึ้นเพื่อยกตนเหยียบพระพุทธศาสนา หัวใจประชาชน ด้วยความปรารถนาลามกของพระองค์นี้ก็ได้ เราอยากว่าอย่างนั้น แล้วต่อมามันก็เป็นอย่างที่ว่า นี่ก็ออกมาอีกแหละ เขาบริจาคทานดังพี่น้องทั้งหลายบริจาคทั่วประเทศไทย เพื่อผ้าป่าช่วยชาติของเรา <O:p</O:p
    เราก็ไปในงานศพ ไอ้ตัวนี้ก็ไปในงานศพก็ไปพูดให้เขาฟัง อันนี้เขาก็มาเล่าให้ฟัง เราไม่เห็นเองนะ แต่เราเอาคำพูดที่เขามาเล่าให้ฟัง เขาไม่ได้ตั้งใจมาโกหกเรา ว่าพระองค์นี้ว่าหลวงตาบัว เขามาบริจาคอย่างนี้แล้วก็เอาเข้าพุงตัวเองหมด นี่เข้ากันได้ไหมกับหนังสือเล่มนี้ติดย่ามไปสี่ปีห้าปี จนกระทั่งช่วยตัวเองแล้ว ช่วยได้แล้วที่จะฟาดหลวงตาบัวให้หงายหมาลงไป แต่นี้ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันใช่ไหม ไม่เกี่ยวก็ได้ อยู่ทางนู้นก็ได้ฟัดมาทางนี้ ทางนี้อยู่ทางนี้ก็ได้ ฟัดไปก็ได้ ใครจะหงายหมาก็แล้วแต่จะหงาย ก็มีเท่านั้น<O:p</O:p
    เรื่องเวลานี้กำลังเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา โดยพระองค์นี้ยกตนโพนตัว ว่าเป็นผู้วิเศษวิโสมานานพอสมควรแล้ว เราจับไว้เสมอ เราไม่เชื่อพระองค์นี้ว่าอย่างงี้เลย แล้วก็เอาเทปมาให้เราฟังอีกด้วย เราก็พูดเปิดอกเลยเชียวนะ เทปที่องค์วิเศษนี้ละเทศน์ ฟาดไป วกไปเวียนมา จนกระทั่งฟังไม่ได้นะเรา จนกระทั่งว่ามาเป็นปัญหาถามตัวเองเข้าอีกทีหนึ่ง หือ เราเทศน์สอนโลกเราก็เทศน์สอนแบบนี้ละเหรอ มันทำไมฟังไม่ได้ ภาษาธรรมทำไมเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่เป็นภาษาฟืนไฟเผาไหม้ศาสนาและหัวใจคน จะเป็นภาษาอย่างนี้ไม่ได้ นี่ต้องเป็นภาษาอย่างที่ว่านั้นแหละ เผาหัวใจคนชาวพุทธเรา เราอ่านแล้ว<O:p</O:p
    นี้เราก็พูดเพียงย่อม ๆ คือจะฟังเทปฟังไม่ได้ว่างั้นเถอะ ไม่ถึง ๕ นาที ฝืนกรูด ๆ มันจะไม่ยอมฟัง ไอ้เราพูดตรง ๆ ก็เรียกว่า ธรรมกถึกองค์หนึ่ง หลวงตาบัวเทศน์ทั่วประเทศไทย ถึงจะไม่พูดว่า ธรรมกถึก แปลว่านักเทศน์ เราก็เทศน์ทั่วประเทศไทย แล้วทำไมฟังเทศน์กัณฑ์นี้มันเป็นยังไง มันฟังไม่ได้เลย ขวาง ๆ ตลอดเวลา แล้วฝืนใจ เอา ต้องฟัง ผู้เทศน์ยังเทศน์ได้ เราจะฟังเอาเหตุเอาผลทำไมจะฟังไม่ได้ เราก็ฟังตลอดจนจบ จนกระทั่งตอบปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างฟังหมด ด้วยความฝืนใจฟังนะเพื่อเอาเหตุเอาผล <O:p</O:p
    พอจบลงแล้วว่าเทศน์ไม่มีภูมิ เราพูดอย่างนี้เลย แม้แต่สมาธิก็ไม่มี ว่าอย่างนี้เลยนะ คนเทศน์มีภูมิจะไม่เทศน์อย่างนี้ ถึงขนาดนั้นละ มันผางออกมาเลยเชียว เพราะฝืนฟังไปตลอดจนกระทั่งจบ จะไม่ฟัง ฝืนฟังเพื่อเอาเหตุเอาผล พอได้ความแล้วก็บอกอย่างนี้ละ บอกว่าเทศน์ไม่มีภูมิ แม้แต่สมาธิก็ไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่าง การโต้ตอบปัญหาในแง่ใด ๆ ขวาง ๆ ไปตลอดเวลา นี่เรื่องราวก็สืบต่อมา ทีนี้ก็ระบาดออกไปทางนู้น ก็ตัวสำคัญตัวนี้เอง ว่าจะไปแสดงฤทธาศักดานุภาพทางนู้น แสดงแบบไหนพี่น้องฟังเอานะ นี่เขามาเปิดให้เราฟัง เรื่องราวทุกอย่างเขาไม่ได้มาโกหก เราก็พูดด้วยความไม่โกหก ตามที่ได้ยินได้ฟังมาเป็นอย่างนี้ <O:p></O:p>
    เงื่อนที่เราจับได้เบื้องต้นไปจากหนังสือเรา ยกเทิดทูนเรา เพื่อจะเหยียบหัวเราขึ้นไปนั่นเอง เราก็บอกโดยตรง นี่มันไม่ใช่จะเทิดทูนเรานะนี่ จะเหยียบหัวเรา เพราะคนเคารพนับถือเรามาก ต้องเอาเราเป็นโล่บังหน้า แล้วได้ความรู้วิเศษอัศจรรย์มาจากหนังสือเล่มนี้ก็มาส่อถึงเรา เพื่อให้เขายอมรับนั่นเองพูดง่าย ๆ ความจริงก็คือเหยียบหัวเราขึ้นนั่นเอง เพื่อจะให้สูงเด่น ความหมายว่าอย่างงั้น ว่าอย่างงี้แหละเรา เราพูดแล้ว เวลานี้กำลังขึ้นแล้ว พี่น้องชาวพุทธเราให้ฟังด้วยดีนะ เราฟังเสียงธรรมมานานแล้ว เสียงนี้เป็นยังไง ฟัง หรือเลิศกว่าธรรมพระพุทธเจ้าก็ให้รู้กันซิ เทียบเคียงกันให้รู้ <O:p</O:p
    พูดออกมาคำไหน ๆ เราหยิบได้ละเล็กละน้อย ถ้าเป็นประจันหน้ากันแล้ว ถ้าหากว่าตอบก็จะตอบกันอย่างชัดเจนกว่านี้ แต่นี้เราฟังงู ๆ ปลา ๆ เราก็พูดแบบงู ๆ ปลา ๆ อย่างงี้แหละ จึงเอาคำแน่นอนยังไม่ได้จากคำบอกเล่าเท่านั้น นี่เป็นอย่างนี้ให้ฟังเอานะบรรดาพี่น้องทั้งหลาย เวลานี้กำลังไปแสดงฤทธาศักดานุภาพอยู่ทางสหรัฐฯ จะเอาให้เป็นวิเศษวิโส เหยียบย่ำทำลายย้อนขึ้นมาหาประเทศไทยที่ชาวพุทธเราเคารพนับถือพุทธศาสนามาดั้งเดิม จะเหยียบให้แหลกหมด จะเอาศาสดาองค์ใหม่ คือเทวทัตตัวทำลายทั้งพระพุทธเจ้าและศาสนธรรมให้ฉิบหายไปจากแดนแห่งชาวพุทธเรา ไม่ให้มีเหลือเลย ไม่สงสัยเลยแหละเรา<O:p></O:p>
    ลงได้พูดถึงขนาดนี้แล้วออกมาจากเจตนาร้ายทีเดียว ไม่ได้มีอะไร ฟังธรรมะ เสียงอรรถเสียงธรรมก็รู้ มันไม่ใช่เสียงธรรม มันเสียงมหาภัย ข้าศึกศัตรูต่อศาสนธรรมร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ สวนทางกันไปเลย เราก็ได้ยินมาแว่ว ๆ อีกข้อหนึ่ง อันนี้ก็เป็นคำบอกเล่าเช่นเดียวกัน ว่ายกพระเบญจวัคคีย์ทั้งห้าขึ้นเทศน์ อวดตนยกเบญจวัคคีย์ พระพุทธเจ้าเทศน์เบญจวัคคีย์ทั้งห้า ท่านไม่เห็นเทศน์ถึงศีลถึงสมาธิอะไร ท่านฟาดสัมมาทิฏฐิ ที่แกยกเอามากมายนั่นแหละ ยกสัมมาทิฏฐิแบบของแกนะ ไม่ใช่ยกแบบพระพุทธเจ้าสอนโลกนะ ว่าท่านไม่เห็นพูดถึงศีลถึงสมาธิ ท่านพูดถึงเรื่องปัญญาเลย ถ้าพูดต่อหน้าเราให้เราตอบ ก็โคตรพ่อโคตรแม่มึงเคยได้ภาวนาหรือ มันถึงมาอวดกูอย่างนี้ มึงอย่ามาอวด <O:p</O:p
    พระเบญจวัคคีย์นี้ ตั้งแต่อัญญาโกณฑัญญะไปทำนายพระพุทธเจ้า จากนั้นมาท่านออกปฏิบัติตัวและทำนายพระพุทธเจ้าว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยถ่ายเดียว คืออาจารย์เหล่านั้นที่มาทายพระพุทธเจ้า คือสิทธัตถราชกุมารเวลาประสูติทีแรก อาจารย์ทั้งหลายทำนายเป็นสองแง่ ถ้าอยู่ทางโลกจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าเสด็จออกบวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้า แต่อัญญาโกณฑัญญะในเบญจวัคคีย์ทั้งห้า ชี้นิ้วเลย นี้จะเป็นพระพุทธเจ้าโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ท่านเหล่านี้ก็ออกบวชรอ ยังไงก็จะเป็น ทำนายแล้วก็ออกบวชรอ พอพระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวช เบญจวัคคีย์ทั้งห้าก็ติดพันเลย นี่แหละเรื่องราวมัน<O:p</O:p
    เวลาพระองค์ไปทำทุกกรกิริยาของผู้ที่บำเพ็ญยังไม่เข้าอกเข้าใจ ยังไม่เคยรู้เคยเห็นก็ด้นเดาไปธรรมดาเหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ นี่แหละ อดพระกระยาหารก็นึกว่าจะได้ตรัสรู้ ทางนี้ก็จ่อ เห็นว่าไม่ใช่ทางพระพุทธเจ้าก็พลิกจากอดพระกระยาหารนั้นเสีย กลับมาเสวยพระกระยาหาร นางสุชาดาไปถวายข้าวมธุปายาส ๔๙ ก้อนที่ต้นโพธิ์ใหญ่ เอา รื้อออกมาปริยัติก็รื้อออกมา ในคืนวันนั้นพระพุทธเจ้าก็พลิกมาทางอานาปานสติ ทีนี้เบญจวัคคีย์ทั้งห้าเห็นพระพุทธเจ้าทรงทำความขวนขวายมาก โลภมาก กลับมาเสวยพระกระยาหาร เรียกว่ามากินข้าวเหมือนเรา ไม่ได้ตรัสรู้ละ หมดหวังแล้วพวกเรา เผ่นหนี <O:p</O:p
    เวลาพระองค์สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้วจึงไปสอนก็ไม่ยอมลง สรุปความลงเลย จากนี้พระองค์ก็รับสั่งย่อ ๆ เพื่อให้ท่านเหล่านั้นสะดุดใจ ว่าเราได้ตรัสรู้แล้ว เราได้รู้แล้วเห็นแล้วในธรรมทั้งหลาย เราได้ตรัสรู้เรียบร้อยแล้ว คำเหล่านี้ที่เรามาพูดกับพวกเธอทั้งหลายนี่เคยได้ยินเราพูดไหม แต่ก่อนท่านเหล่านี้มาบำเพ็ญกับพระพุทธเจ้าอยู่ก็ไม่เคยรับสั่งพูดว่ายังไง จนกระทั่งถึงแหวกแนวหนีไปแล้ว ทีนี้เวลาพระองค์ทรงบำเพ็ญด้วยอานาปานสติ ในวันเดือนหกเพ็ญ ได้ตรัสรู้ขึ้นมา หลังจากนั้นก็ไปเทศน์สอนเบญจวัคคีย์ทั้งห้า พระเบญจวัคคีย์ทั้งห้าไม่เคารพ ว่าทำความขวนขวายมาก โลภมากแล้วจะมาสอนหาประโยชน์อะไร <O:p></O:p>
    พระองค์จึงได้ย้อนเอาธรรมนี้ขึ้นมา ธรรมนี้เราเคยพูดไหมแต่ก่อน ที่พวกเธอทั้งหลายอยู่กับเราเป็นเวลานานเคยได้ยินไหม สะดุดใจ พอสะดุดใจก็ยอม ฟังซิถ้าต้องการความจริงจริงๆ พระองค์ก็แสดงขึ้นถึง เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพาขึ้นมรรค ๘ เลย จากนั้นท่านเหล่านี้ก็ได้ตรัสรู้ธรรม เอาย่อ ๆ เลยนะ คือเบื้องต้นพระอัญญาโกณฑัญญะนี้แหละได้บรรลุพระโสดา อายสฺมโต โกณฑญฺญสฺส วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุ อุทปาทิ ใช่ไหมล่ะ ในขณะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่นั้น พระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุ อุทปาทิ ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว ปราศจากมลทินความมัวหมองทั้งหลาย แน่วแน่ต่อมรรคผลนิพพานแล้ว จากนั้นพระพุทธเจ้าทรงรับสั่งตอบรับกันว่า อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ พระอัญญาโกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ได้รู้แล้วหนอ รับรองความรู้ความเห็นของพระอัญญาโกณฑัญญะ <O:p</O:p
    หลังต่อจากนั้นไปก็เทศน์อนัตตลักขณสูตร ยกไตรลักษณ์ขึ้นมา เบญจวัคคีย์ทั้งห้าได้ตรัสรู้ธรรมหมด บรรลุธรรมหมดทั้งห้าองค์ ส่วนพระอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุพระโสดาฯ ตั้งแต่เทศน์ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ทีแรกนะ นี่ละพระองค์ไม่ได้แสดงศีล ไม่ได้แสดงสมาธิเพราะอะไร ท่านเหล่านี้บำเพ็ญศีลมาตั้งแต่วันบวชแล้ว ถ้าหากว่าไม่เป็นความจริง แล้วท่านทั้งหลายได้เห็นในตำราไหมว่า เบญจวัคคีย์ทั้งห้านี้บวชมาห้าคน ไปเที่ยวปล้น เที่ยวฆ่า เที่ยวจี้คนทั่วประเทศเขตแดนมา เคยเห็นไหม ถ้าว่าท่านไม่มีศีล ท่านไปหาปล้นหาฆ่าใคร ๆ แม้แต่สัตว์ตัวหนึ่งก็ไม่เคยได้ยินเบญจวัคคีย์นี้ฆ่าคนฆ่าสัตว์นะ ท่านบำเพ็ญมาแต่นู้น<O:p></O:p>
    ศีลท่านสมบูรณ์แล้ว จะไปกล่าวถึงทำไม สมาธิ จิตใจท่านอิ่มด้วยสมาธิแล้ว ยังเหลือแต่ด้านปัญญาที่ยังไม่ออกได้เท่านั้น ก็อยู่ในช่องนี้จะออกนี้ พระพุทธเจ้าจึงแสดง เทฺวเม ภิกฺขเวฯ ถึงเรื่องปัญญาล้วน ๆ เปิดทางจากสมาธิที่จิตใจอิ่มอารมณ์ อิ่มทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย คิดนั้นวุ่นนี้ นี่เป็นหัวใจที่หิวโหยเข้าใจไหม นี้จิตอิ่มตัว คือจิตอิ่มทางสมาธิ มีความสงบเย็นเรียบร้อยแล้ว ศีลท่านก็รักษามาตั้งแต่วันบวช ในตำรับตำราก็ไม่เคยได้ยินว่า เบญจวัคคีย์ทั้งห้าไปหาฆ่าผู้ฆ่าคนทั่วประเทศเขตแดน แล้วบำเพ็ญสมาธิขึ้นมาจนกระทั่งถึงมรรคผลนิพพาน ก็ไม่เคยได้ยิน ท่านไม่ฆ่าคนก็ทราบแล้ว <O:p></O:p>
    สมาธิของท่านก็แน่นหนามั่นคงดีแล้ว เป็นฐานของด้านปัญญา เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงอริยสัจสัมมาทิฏฐิขึ้นแล้ว จากนั้นพระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้บรรลุธรรมโสดาปัตติผล พอวันหลังขึ้นปัญญาล้วน ๆ เลย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ขึ้นปัญญาล้วน ๆ ในอนัตตลักขณสูตร ท่านเหล่านี้บรรลุธรรมด้วยปัญญาล้วน ๆ เพราะพระพุทธเจ้าเปิดทางด้านปัญญาให้ในเวลานั้น เพราะทางสมาธิ ทางศีลท่านสมบูรณ์แล้ว จำเป็นอะไรจะต้องมาเทศน์ถึงเรื่องศีลเรื่องสมาธิอีกต่อไป ถ้าไม่อย่างงั้นจะเรียกว่าศาสดาองค์เอกหรือ สอนโลกไม่รู้จักแง่หนักเบาของโลก สอนโลกได้ยังไง <O:p</O:p
    นี่ก็คือศาสดาเอกนั่นเอง ผู้ที่จะสอนขึ้นด้าน อนุปุพพิกถา ๕ ก็สอน เรียงไปโดยลำดับก็มี พระพุทธเจ้าเองสอนจะเป็นใครสอน สอนตั้งแต่เรื่องพื้นฐานดั้งเดิม เรื่องทาน เรื่องศีล ผู้ที่มีการทำบุญให้ทานแล้วย่อมไปสวรรค์ เทศน์เป็นลำดับ จากสวรรค์แล้วก็ อาทีนพไปสวรรค์แล้วก็ไม่ค่อยแน่นอน ก็เห็นโทษเรื่องความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ยังไม่พ้น จากนั้นก็เทศน์ถึง เนกขัมมะ เมื่อเห็นโทษแล้วออกบวช สลัดปัดทิ้งออกหมด นี่ท่านเทศน์เป็นลำดับ ๆ ไปตั้งแต่ขั้นพื้น ๆ เรื่องทาน เรื่องศีล สวรรค์ จากนั้นก็อาทีนพ เนกขัมมะไปเรื่อย สูง ๆ ไปเรื่อย <O:p</O:p
    ผู้ที่ควรเทศน์อย่างนี้พระองค์ก็เทศน์ ผู้ที่ควรจะปัดออกเลย เช่นอย่างพระเบญจวัคคีย์ทั้งห้านี้เป็นผู้ควรอย่างยิ่งแล้วต่อมรรคผลนิพพานในเวลานั้น เหมือนหนึ่งว่าประตูนี้รอแต่จะมีผู้มาเปิดปากคอก เพราะสัตว์ทั้งหลายรออยู่ปากคอกแล้วที่จะออก พอเปิดคอกปั๊บก็ เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตนฯนี้คือเปิดปากคอก ท่านเหล่านั้นก็พุ่งออกได้ พระอัญญาโกณฑัญญะออกก่อน พออันดับที่สองเปิดคอกใหญ่ก็พุ่งออกทั้งห้าองค์เลย ท่านจะไปแสดงทำไมเรื่องศีล ท่านไปฆ่าใครที่ไหน ท่านรักษาศีลมาตั้งแต่วันท่านออกบวช สมาธิท่านบำเพ็ญมาตั้งแต่ท่านออกบวช <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าจะไปกล่าวถึงอะไรเมื่อสมบูรณ์แล้ว อันใดที่ยังบกพร่อง คือปัญญา พระองค์ก็แสดงถึงเรื่องของปัญญา สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป แหวกออกด้วยกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เปิดออกหมด นี่เบญจวัคคีย์ทั้งห้าบรรลุธรรมด้วยปัญญา เพราะสมควรแก่ขั้นปัญญาแล้ว นี่พระพุทธเจ้าสอนโลกควรหรือไม่ควร เราไปหางมเงาอะไร จนกระทั่งถึงเอาปลามาแกงกินอิ่มแล้ว ยังไปตามหารอยปลา ปลาเอามาจากบึงไหน อยู่บึงไหน มันเป็นบ้าหรือมันจึงหาร่องหารอยนั่น เขาเอามากินจนอิ่มท้องแล้ว<O:p</O:p
    นี่พระพุทธเจ้าท่านแสดงไปถึงนิพพานแล้ว มันยังมาดึงหาศีล หาธรรมอะไรอีก ถ้าไม่ใช่บ้าสอนคน ถ้าเป็นศาสดาสอนโลกก็ดูเอาซิเป็นยังไง ผู้ที่สอนโดยลำดับก็มี ผู้ที่เปิดปากคอกออกเลยเดี๋ยวนี้ก็มี เข้าใจเหรอ นี่ละให้พิจารณา เพียงเท่านี้มันค้านไหม ธรรมพระพุทธเจ้า พิจารณาซิ ถ้าว่าเป็นผู้รู้ธรรมจริง ๆ ทำไมจึงไม่รู้แง่หนักเบาที่พระพุทธเจ้าสอนโลกล่ะ ต้องรู้ซิ อันใดที่ผ่านมาแล้วไปยุ่งกับมันทำไม ที่ยังไม่ได้ผ่านเปิดออกให้ผ่าน นั่นถึงถูก นี่ละมันขวางกันไหมกับธรรมพระพุทธเจ้า พิจารณาซิ<O:p</O:p
    แล้วยังมีอะไรอีกล่ะ (ลูกศิษย์ : ไปนิพพานง่ายนิดเดียว) นั่นฟังดู ไปนิพพานง่ายนิดเดียว โคตรพ่อโคตรแม่มันเคยไปนิพพานที่ไหนสักที มันมาโกหกโลกอย่างงั้น (ลูกศิษย์ : เขาว่าอวิชชานี่คือความไม่รู้ เขาก็ทำตรงข้ามกับความไม่รู้ คือใช้ความคิดใช้ปัญญาหาความรู้ก็ไปนิพพานได้แล้ว) แล้วปัญญาโคตรพ่อโคตรแม่มันหามาแข่งพระพุทธเจ้าที่ตรงไหน ตั้งแต่โคตรพ่อโคตรแม่มันไม่เคยมีปัญญามันเอามาอวดพระพุทธเจ้าได้ยังไง ใครจะเลิศเลอยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก ในเรื่องปัญญาปรีชาญาณ ว่าง่ายนิดเดียวๆ ก็ง่ายละซีมันเป็นเหมือนหนอนอยู่ในส้วม มันก็ง่ายนิดเดียวละซี ถ้าเป็นคนที่จะบึกบึนออกจากส้วมจากถานมันก็ต้องยากซิ แต่ผู้ที่จะจมลงในถานมันก็ง่ายแหละ อย่างที่ว่ามันง่ายนิดเดียว ก็มันปีนลงถาน<O:p</O:p
    เอาว่าไป (กราบเรียนอีกข้อหนึ่งจากเทปที่อัดมาเลย บอกว่าที่เรามาช้าอยู่นี่ ก็เพราะเรามามัวถือศีล มาทำสมาธิ มาภาวนาพุทโธ ๆ อยู่ ครั้งพุทธกาลสำเร็จกันมาก ๆ เพราะเขาใช้ปัญญา) เมื่อถึงขั้นปัญญาแล้วสมาธิหรือความนอนจมอยู่ในมูตรในคูถ ท่านไม่สนใจ ถึงขั้นปัญญาท่านจะออกทางด้านปัญญาทีเดียว ธรรมพระพุทธเจ้าให้เหมาะให้สมแก่ผู้ได้ยินได้ฟัง ดังที่พูดตะกี้นี้แล้ว แล้วพูดอะไรตะกี้นี้ (มานั่งภาวนาพุทโธ ๆ กันอยู่เสียเวล่ำเวลา ต้องใช้ความคิดด้านปัญญาไปเลย แล้วจะสำเร็จกันเยอะๆ) ปัญญาโคตรพ่อโคตรแม่มันมาจากไหน ปัญญาประเภทนี้ ในพระพุทธเจ้าไม่มี มีแต่ สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส ศีลเป็นเครื่องทำความอบอุ่นแก่จิตใจให้ทำความสงบเย็นใจได้ง่าย ไม่ระแคะระคายว่าศีลตนไม่บริสุทธิ์ <O:p</O:p
    สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสาผู้ที่มีสมาธิเป็นเครื่องอบรมจิตใจให้มีความอบอุ่นแล้ว การพิจารณาทางด้านปัญญาเพื่อความหลุดพ้นนี้คล่องตัว นั่น ปญฺญา ปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติจิตที่ปัญญาซักฟอกแล้วย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ นี่คือพระโอวาท ท่านสอนบรรดาพระสงฆ์ทุกองค์เว้นไม่ได้ในเหล่านี้นะ สอนตั้งแต่ศีลขึ้นไป ศีลหนุนจิตใจให้สงบ สมาธิหนุนปัญญาให้เดินคล่องตัว ปัญญาเป็นเครื่องซักฟอกจิตให้พ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ นี่เป็นพระโอวาทที่สอนพระบวชใหม่ พอบวชจบลงแล้วจะสอนพระโอวาทนี้ อนุศาสน์ว่าไง นิสสัย ๔ คือประเภทนี้ อกรณียกิจ ๔ นิสสัย ๔ คือประเภทนี้แหละ<O:p</O:p
    อกรณียกิจ ๔ คือไม่สมควรอย่างยิ่งไม่ให้ทำในกิจ ๔ ประการ เช่น ฆ่าสัตว์อย่างนี้เป็นต้น หรืออวดอุตตริมนุสสธรรม ตนโง่เหมือนหมาตายว่าเป็นอรหันต์สดๆ อย่างนี้เลวร้ายมาก ปาราชิโก โหติ อสํวาโส ผู้อวดอุตตริมนุสสธรรม ด้วยเจตนาที่เลวร้ายเหล่านี้ เรียกว่าหมดสิทธิ์ขาดจากความเป็นพระ อสํวาโส โลกร้อนอยู่โลกไม่ได้ อสํวาโส หาที่อยู่ไม่ได้ แปลเลยนั่น นี่ท่านก็แสดงไว้อย่างงั้น อรหันต์พระพุทธเจ้าท่านดำเนินตามธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น นี่ได้ธรรมแหวกแนวมาจากไหนจะมารื้อโลกรื้อสงสาร เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปมีอย่างที่ไหน พิจารณาซิ<O:p</O:p
    แล้วพูดถึงปัญญา เมื่อถึงขั้นปัญญาแล้วปัญญาจะออกเอง เมื่ออยู่ในขั้นที่จะอบรมต้องอบรมให้จิตสงบเย็นใจ เมื่อเย็นใจแล้วจิตอิ่มตัวในอารมณ์ไม่วุ่นวายแล้ว พาออกเดินทางด้านปัญญาพุ่งทางด้านปัญญา ผู้ที่มีจิตใจพร้อมแล้วที่จะออกทางปัญญาไม่ต้องมาสอนสมาธิกัน สอนหาอะไร ออกทางปัญญาเปิดประตูให้ เอ้า ออก ๆ เลย นี่พระพุทธเจ้าสอนโลก ใครจะเหมาะสมยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก ไม่งั้นจะว่าเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วได้เหรอ เอ้า มีอะไรว่ามาซิ<O:p</O:p
    (อีกข้อหนึ่ง ใครอยากได้เป็นพระโสดาบัน ก็ไม่ยากครับผม สละความโลภอย่างเดียว โกรธยังมีอยู่ก็ได้ หลงยังมีอยู่ก็ได้ อย่าโลภก็แล้วกันเป็นพระโสดาบัน)<O:p</O:p
    ให้โสดาบันเลย ละความโลภได้อย่างเดียว ความโกรธ ราคะตัณหา จะมี ๒๐ ผัว ๒๐ เมียก็ได้ไม่เป็นไร ละความโลภได้อย่างเดียว คำว่าโลภมันแปลว่าอะไร แปลว่าได้ ๒๐ เมีย ๓๐ ผัวไม่พอใช่ไหม ความโลภมันเป็นข้าศึกกันหรือไม่ มันเอาพูดหาพ่อหาแม่มันหาอะไรเข้าใจหรือ นี่เห็นไหมมันอวดเอาอย่างต่อหน้าต่อตานี่เลวมากที่สุดเลยเทียว วันนี้เอาแค่นี้เสียก่อน ให้เอาไปพิจารณา<O:p</O:p
    (พระองค์นี้ยังไม่ได้โสดาบันเพราะยังโลภอยู่ เขาบอกว่าชนะความโลภแล้วจะได้โสดาบัน ถ้างั้นคนนี้ยังไม่ได้โสดาบัน)<O:p</O:p
    ไม่ได้โสดาบัน เขาก็มีโสเดาได้เข้าใจไหม ไม่ได้โสดาเขาก็มีโสเดา เขาเดาไปเรื่อยได้นี่วะจะไปว่าอะไร เอาละพอเป็นคตินะเข้าใจหรือ ให้เป็นคติเครื่องพิจารณาที่เราพูดวันนี้นะ ผลของการสำเร็จโสดาเป็นอะไรมันก็รู้แล้วในธรรมทั้งหลาย มันมาพูดหลับหูหลับตาชนฝาให้คนตาดีเขาดูได้ยังไง ตั้งแต่หมาตาบอดมันก็ยังไม่ไปชนต้นเสา ไอ้คนตาบอดชนนะ หมาตาบอดมันไม่ชนต้นเสานะมันหลบนั้นหลีกนี้ แต่คนตาบอดนี้ชนปึ๋งๆ เลย พระตาบอดยิ่งแล้วชนได้ดะไปเลย หัวพระพุทธเจ้าก็ชน ธรรมพระพุทธเจ้าจะเอาให้พังเลย นี่ละที่ว่าพระตาบอด เราไม่อยากเรียกพระนะ บักตาบอดเหมาะดี ก็ว่างั้นล่ะซิ เวลาจะเอาก็ต้องฟัดกันเลยเต็มเหนี่ยวซิ ลงมาแล้วก็เป็นคนธรรมดา เวลาขึ้นก็ซัดกันล่ะซิ เอาแค่นี้ละ ให้เอาไปพิจารณา เวลานี้กำลังไประบาดสาดกระจายอยู่ทางเมืองนอกเมืองนาสหรัฐ ทางนั้นเขาก็อยากฟัง อยากฟังเราก็ยื่นให้เลยเอาเลย มันเคยเป็นมาจากเมืองไทยนี้แล้ว ไม่มีใครยอมรับมัน มันก็โดดไปเมืองนอกมันจะไปฟาดเมืองนอก กลัวจะไม่มีโลกอยู่อีกนู่นน่ะ เข้าใจไหม เอาละพอ<O:p</O:p

    <!-- google_ad_section_end -->


    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kengkenny : 23-04-2010 เมื่อ 07:35 PM
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2010
  10. บรมบรรพต

    บรมบรรพต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +245
    ท่านสันตินันท์( หลวงพ่อปราโมทช ) ท่านใช้คำผิดไปนิดหนึ่ง คือที่ว่า จิตไม่ใช่เรา ความจริงต้องใช้ว่า จิตมีความโกรธ ไม่ใช่ตัวตนของเรา จิตตัวรู้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเรา จิตก็จะหลุดพ้น พอจิตหลุดพ้นแล้ว จิตหลุดพ้นตัวนี้จะไม่ใช่ตัวตนของเราก็ไม่ได้แล้วนี่ แต่ถ้าท่านคิดว่าแม้จิตหลุดพ้นก็เป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตนของเรา ก็หมายความว่าท่านไปถึงอรูปฌาน ข้ออากิญจัญญายตนฌานโดยไม่รู้สึกตัว เพราะมันใกล้เคียงกันมาก ถ้าไม่ได้บรรลุอรหัตผลจะดูไม่ออกเลยครับ

    สังเกตุจากหลวงพ่อชา ที่ก่อนท่านจะมรณะภาพท่านนอนไม่รู้สึกตัวมาประมาณสัก ๒ ปี ถ้าแบบนี้ก็จะเป็น ๒ อย่าง ครับ คือเข้านิโรธสมาบัติ หรือสมาบัติแปด อยู่ ๒ ปีจึงมรณะภาพทีหลังโดยไม่รู้ว่าตนเองมรณะภาพเมื่อไหร่ แต่นิโรธสมาบัติก็ไม่ใช่พระนิพพาน ถ้าจะเข้าพระนิพพานท่านต้องถอยจิตลงมาที่รูปฌาน ๔ ก่อนถึงจะเข้าสู่พระนิพพานได้ แต่ท่านก็ไม่รู้สึกตัวไปเลย ๒ ปี แล้วก็มรณะภาพเลย

    อีกอันคือ สมาบัติแปด คือถ้าท่านคิดว่า จิตไม่ใช่ตัวตนของเราแล้วหลับไปราว ๒ ปี ถึงจะมรณะภาพก็อาจจะเป็นอรูปฌานครับ<!-- google_ad_section_end -->

    แต่อย่างไรก็ตามถ้าท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วอาจจะมีกรรมเก่าทำให้นอนไม่รู้สึกตัวอยู่ ๒ ปีก็อาจจะเป็นไปได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2010
  11. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    คุณเจตนาอย่างไรคุณสองชาติ...หากทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าหลวงตาท่านพูดถึงพระอาจารย์ปราโมทช

    ก็เรียกว่า...เจตนาไม่บริสุทธิ์ครับ เพราะเท่าที่จำได้....ตอนนั้นหลวงพ่อปราโมทย์ท่านยังไม่ได้บวช

    หลวงตาท่านพูดถึงพระอีกองค์หนึ่งต่างหาก.......




    ***********************************************
     
  12. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    การดูจิตนี่ทำได้ครับ
    แต่คุณต้องมีสติสัมปชัญญะเสียก่อน
    ต้องดูตรงนี้ให้ดีนะครับ ต้องมีสติสัมปชัญญะเสียก่อน

    คือสติสัมปชัญญะนี่ คือสติที่สืบเนื่องกันไป
    ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนสติเป็นเหมือนสายน้ำ ไม่ใช่หยดน้ำ

    สติสัมปชัญญะต้องตามดูจิตไปดังหลวงพ่อพุธท่านกล่าว
    เมื่อดูจิตจะเห็นสังขารความคิดความปรุงต่าง ๆออกมาจากจิต
    เมื่อฝึกไปเรื่อย ความคิดต่าง ๆ จะหดสั้นเข้ามา เข้ามา ไม่ยืดยาว
    สติก็จะทำให้จิตรู้ได้ชัดว่า สังขารความคิดความปรุงก็อย่าง
    ตัวเราก็อย่าง ต่างอันต่างอยู่ต่างจริงของตนเอง

    นี่ล่ะครับฝึกไปเรื่อย ความคิดความปรุงสังขาร
    จะสั้นเข้า การคิดเรื่องต่างจะไม่ยืดยาว ด้วยความมีสติ
    จนเมื่อชำนาญจะเห็นชัดว่าความคิดใดเป็นอกุศล
    ความคิดใดเป็นกุศล เราก็ให้ความคิดที่เป็นกุศลเจริญต่อไป
    แล้วธรรมเครื่องแก้กิเลส จะเกิดจากการให้ความคิดที่เป็นกุศลเจริญขึ้น

    เมื่อดูความคิดของจิต จนจิตอิ่มพอ
    จิตจะสงบเข้ามา จะรู้สึกว่าตรงจุดแห่งความสงบนั้นเป็นความว่าง
    ก็ให้ใช้สติจ่อดูที่ความว่างของจิตนั้น

    เมื่อจิตพักจนพอ จิตจะออกมาคิดมาปรุงใหม่
    เราก็จ่อดูจิตไปเหมือน ทำเหมือนเดิมซ้ำ ๆ อย่าปล่อยอย่าวาง

    สำคัญนะครับ สติที่จะดูจิตได้นี่ต้องไม่ใช่สติที่เกิดดับ
    สติต้องต่อเนื่องเป็นสายน้ำ คือมีระดับของสมาธิพอประมาณ
    จึงจะสามารถดูจิตได้

    หลวงพ่อพุธท่านจึงบอกไงครับ
    ว่าต้องพุทโธ จนจิตวูบลงไปก่อนนะ
    ค่อยตามดูจิต

    เอ้า...ผมปฏิบัติแบบดูจิตมาแล้ว
    ได้ผลอย่างนี้ล่ะ
    ใครเห็นผิดตรงไหนแย้งมานะครับ

    จะได้ส่งเสริมความรู้ในทางธรรมซึ่งกันและกัน...
     
  13. ผ่องใสจัง

    ผ่องใสจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +25
    วิจารณ์ข้อเขียนของสันตินันท์ โดย พระอาจารย์สงบ

    ประเด็น: ผมภาวนาครับ หลวงปู่หลับตานิ่งเงียบไปเกือบครึ่งชั่วโมง พอลืมตาท่านก็แสดงธรรมทันทีว่าการภาวนานั้นไม่ยาก แต่มันยากสำหรับผู้ไม่ภาวนา ขั้นแรกให้ภาวนาพุทโธ จนจิตวูบลงไป แล้วตามดูจิตผู้รู้ไป จะรู้อริยสัจ ๔ เอง (หลวงปู่ท่านสอนศิษย์แต่ละคนด้วยวิธีที่แตกต่างกันตามจริตนิสัย นับว่าท่านมีอนุสาสนีปาฏิหาริย์อย่างสูง) แล้วท่านถามว่าเข้าใจไหม ก็กราบเรียนท่านว่าเข้าใจ ท่านก็บอกว่าให้กลับไปทำเอาเอง

    พอขึ้นรถไปกลับกรุงเทพคิดเฉลียวใจขึ้นว่า ท่านให้เราดูจิตนั้นจะดูอย่างไร จิตมันเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหนและจะเอาอะไรไปดู ตอนนั้นชักจะกลุ้มใจ ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรก็ภาวนาพุทโธไปเรื่อยๆ จนจิตสงบลง แล้วพิจารณาว่าจิตจะต้องอยู่ในกายนี้แน่ หากแยกแยะเข้าไปในขันธ์ ๕ ถึงอย่างไรต้องเจอจิต จึงพยายามเข้าไปที่รูปว่าไม่ใช่จิต รูปก็แยกออกเป็นสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น หันมามองเวทนาแล้ว แยกออกไปเป็นอีกส่วนหนึ่ง ตัวสัญญาก็แยกเป็นอีกส่วนหนึ่ง จากนั้นมาแยกตัวสังขาร สังขารคือความคิดนึกปรุงแต่งโดยนึกถึงบทสวดมนต์ เห็นความคิดบทสวดมนต์ผุดขึ้นและเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ถึงตอนนี้ก็เลยจับเอาตัวจิตผู้รู้ขึ้นมาได้

    หลวงพ่อ: ผิดครับผิด ผิดครับ อธิบายตรงนี้ก่อน ตัวสัญญาแยกส่วนหนึ่ง จากนั้นมาแยกตัวสังขารถึงความคิดนึกปรุงแต่งโดยนึกถึงบทสวดมนต์ ความคิดบทสวดมนต์ผุดขึ้นและเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ตอนนี้ถึงเลยจับว่าตัวจิตคือผู้รู้ขึ้นมาได้ บทสวดมนต์น่ะใครเป็นคนเห็นมัน บทสวดมนต์เป็นจิตไหม บทสวดมนต์เป็นความคิดนะ บทสวดมนต์ หนังสือสวดมนต์เป็นหนังสือใช่ไหม เราไปท่องจำมาใช่ไหม จิตมันสงบก็ได้ เห็นบทสวดมนต์ขึ้นมามันเป็นจิตไหม

    เห็นบทสวดมนต์ก็ไม่ใช่จิต หลวงปู่หล้าเมืองลาวนะอ่านหนังสือไทยไม่ออก เวลาจิตสงบไปแล้วหนังสือผุดขึ้นมาเลยจนท่องปาฏิโมกข์ได้ ปาฏิโมกข์กับเราเป็นอันเดียวกันหรือเปล่า ปาฏิโมกข์เป็นหนังสือใช่ไหม แล้วเราไปท่องปาฏิโมกข์มาใช่ไหม แล้วหลวงปู่หล้าท่านเห็นหนังสือเต็มไปหมดเลย แล้วท่านก็ท่องมา ท่องมา แต่ท่านภาวนาของท่าน

    เห็นบทสวดมนต์ขึ้นมาและเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ถึงตอนนี้ก็เลยจับได้จิตผู้รู้ขึ้นมาได้ จับได้คือจับบทสวดมนต์ได้ใช่ไหม ถึงบอกจับจิตได้ มันก็ยังไม่ใช่ ไม่ใช่หรอก จิตคือจิต จิตไม่ใช่ความคิด ความคิดเป็นการแสดงออกของจิตเท่านั้น จิตเป็นพลังงานอันหนึ่ง แล้วความคิด จิตนี่เหมือนน้ำ เติมสีลงไปน้ำถึงออกเป็นสีนั้น คิดเรื่องสิ่งใดขึ้นมาจิตแสดงตัวออกชัดเจน แล้วจิตมันต้องทิ้งสิ่งนี้เข้ามา จิตจับจิตถึงจะเห็นจิต ความคิดนั่นแหละจับความคิด แต่ถ้าจับบทสวดมนต์มันเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องธรรมดาไง ขีดมาแล้วว่าเป็นปัญหา กูยังมองไม่เป็นปัญหาเลยนะนี่

    ประเด็น: ปฏิบัติอยู่ ๓ เดือนจึงไปรายงานผลให้หลวงปู่ดูลย์ว่า ผมหาจิตเจอแล้วจะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไป

    หลวงพ่อ: อ๋อ นี่เป็นหนังสือเขาเองเลย เป็นตัวเขาเองเลยใช่ไหม อ๋อ ยิ่งเป็นตัวเขาเองเลยเรายิ่งจับยิ่งชัด เรานึกว่าลูกศิษย์เขียนมา เอาใหม่

    ประเด็น: หลังจากนั้นผมได้ตามดูจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถรู้ว่าขณะนั้นเกิดกิเลสขึ้นกับจิตหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นจะรู้ทัน กิเลสมันก็ดับไปเอง

    หลวงพ่อ: ผิด เดี๋ยวจะตอบ “กิเลสมันก็ดับไปเอง เหลือแต่จิตผู้รู้” เพราะเขาเข้าใจอย่างนี้ไง เขาถึงเข้าใจผิด เราจะเอาตรงนี้ก่อนเลยก็ได้ เพราะเขาเข้าใจผิดอย่างนี้เห็นไหม พอความคิดเกิดขึ้นใช่ไหม พอเขารู้ทันกิเลสก็ดับ เขาเข้าใจว่าความคิดเป็นกิเลสไง เรารู้ทันความคิด ความคิดก็ดับใช่ไหม เห็นไหม นี่ความคิดเขานะ นี่เขาเขียนเองนะ ขณะที่เกิดกิเลสขึ้นกับจิตหรือไม่ “ถ้าเกิดขึ้นและรู้ทันกิเลสมันก็ดับไปเอง” ขณะจิตถึงเป็นอัตโนมัติไง ที่เขาว่าจิตเป็นอัตโนมัติ อัตโนมัตินี่กูรับไม่ได้นะ


    คนผิดอย่างไรก็ผิด อ้าว เราคิดขึ้นมานะ แล้วเราก็รู้ทันความคิด ความคิดก็หยุด กิเลสดับนี่ไง ความคิดเกิดขึ้นมา พอเกิดรู้ทันกิเลสก็ดับ เขาไม่แยกว่ากิเลสกับความคิดคนละอันนะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะพระโสดาบันเวลากิเลสมันดับไปแล้วความคิดยังอยู่นะมึง

    ถ้าความคิดไม่อยู่นี่ขันธ์ ๕ มันอยู่ที่ไหน พระอรหันต์นะกิเลสตายไปแล้ว หลวงตาพูดอยู่นี่เอาอะไรมาพูด ท่านจำคนนู้นคนนี้ได้เป็นสัญญาไหม เป็นความคิดหรือเปล่า กิเลสตายไปแล้วความคิดยังมีนะ กิเลสกับความคิดมันคนละตัวนะ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่กิเลส แต่ปัจจุบันนี้พวกเราขันธ์ ๕ เป็นกิเลสหมด เพราะอะไรรู้ไหม เพราะกิเลสมันยึด มันเป็นพลังงานอยู่แล้ว นี้ขันธ์ ๕ มันเกิดจากอวิชชา เกิดจากพลังงานตัวนี้ มันก็เลยเป็นกิเลสไปด้วย

    เวลาเราชำระกิเลสสะอาดไปแล้ว ขันธ์ ๕ มันก็เป็นความคิดเฉยๆ ไม่มีกิเลสเลย แล้วถ้าความคิดดับคือกิเลสมันดับ โอ้ย กูปวดหัว ปวดหัวน่าดูเลย ขอยากินหน่อย ไม่ใช่ กิเลสกับความคิดคนละเรื่องกันนะ แต่กิเลสมันอาศัยความคิดเป็นเครื่องดำเนิน อย่างรถมันต้องวิ่งบนถนน ถนนไม่ใช่ของเรานะ เราเป็นเจ้าของรถ แต่รถมันจะออกไปธุระมันต้องไปวิ่งบนถนนใช่ไหม

    ความคิดมันเหมือนถนน กิเลสเรานี่มันเป็นพลังงาน เป็นตัวกิเลส ตัวอยาก พอตัวอยากมันอยากแสวงหาอะไรมันก็ผ่านความคิด เอาความคิดไปหากินไง กิเลสไม่ใช่ความคิด กิเลสเป็นกิเลสล้วนๆ เลย เอาหนังสือมานะ เอามาอ่านนะ โอ้โฮ กูจับผิดได้ทั้งเล่มเลย เราจับผิดได้ทั้งนั้นเลย

    แต่เมื่อก่อนเราไม่พูดนะ ใครจะสื่อสารอะไรต้องผ่านคนนี้เพราะเขามีโทรศัพท์ ใครจะเข้ามาหาเราก็ต้องผ่านคนนี้ แล้วคนนี้จะพาเข้ามา แล้วส่วนใหญ่พอพาเข้ามาเขาจะนั่งฟังอยู่ด้วย คนนี้จะรู้เรื่องทุกเรื่อง ฉะนั้นพอมีอะไรเขาจะโทรศัพท์นัดมาแล้วเขาจะมาหาเรา แล้วเวลาเขาอธิบาย อธิบายเพราะว่าลูกศิษย์เขาเชื่อ คนนี้เขาจะบอกเราว่าหลวงพ่อ ทำไมหลวงพ่อไม่ยอมรับเขาล่ะ เขาก็พูดดี้ดี ทำไมหลวงพ่อไม่ยอมรับเขา บอกเราพูดกับเขานะ โธ่ กูกัดลิ้นกูไว้เลยนะ กูจะขำ ไม่พยายามขำ ก็เขาพูดมา เขาว่าเขาดี แต่เราเห็นจุดบกพร่องมหาศาลเลย เราเห็นจุดบกพร่องแล้วทำไมไม่บอกเขา เราก็บอกเขาว่าก็บอกเขามาหลายทีแล้ว แล้วพอบอกเขาแล้ว เขาก็บอกคนนู้นจะมากราบ จะมากราบ

    สติ สตินี่เราเป็นคนยืนยันว่าเราเป็นคนบอกเขาเองเขาบอกสติไม่ต้องฝึก ทุกอย่างไม่ต้องทำอะไรหมดเลย ถ้าทำผิดหมด ถ้าตั้งใจผิดหมดเลย คือทำแบบไม่รู้ โทษนะ เหมือนลูกเรามันไม่รู้ มันไม่รู้เป็นพระอรหันต์ละ ทำแบบนี้ ทำแบบนี้ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเป็นพระอรหันต์ เด็กๆ ถ้าทำแบบเราไม่ได้อะไรเลย ถ้าทำแบบนี้ เมื่อกี้แจกยาคูลท์นี่เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นเลย ถ้าทำแบบไม่รู้ก็เป็นพระอรหันต์

    มันจะเป็นไปได้อย่างไร เราถึงบอกว่าสติต้องฝึก หลวงตาจะเน้นตลอดเลย ถ้าไม่ฝึกสติไม่ได้นะ เริ่มต้นถ้าขาดสติ ความเพียรจะไม่เป็นความเพียรนะ ต้องตั้งสติ แล้วสติมันต้องฝึก ต้องพยายามสร้างขึ้นมา เขาบอกว่า สติสร้างไม่ได้ มันจะเกิดเอง สติเกิดเองนี่นะ ถ้ามันชำนาญแล้วมันจะเป็นของมันเอง ถ้ามันชำนาญ แต่ถ้าไม่ชำนาญมันทำไม่ได้หรอก สติจะเกิดเองไม่ได้หรอก

    เรื่องสติลูกศิษย์มาถามเยอะมาก สติกับจิตเป็นอันเดียวกัน ไม่ใช่ ถ้าสติกับจิตเป็นอันเดียวกันนะ คนเราเกิดมาจิตมันอยู่กับเราตลอดเวลา แต่เราจะเผลอบ่อยมากเลย สติเกิดจากจิต ไม่ใช่จิต สติคล้ายๆ ความคิด ความคิดลองคิดบ่อยๆ สิ คิดจนชำนาญ คิดเรื่อยๆ ความคิดอันนี้จะชัดเจน แล้วกูลืม เรายั้งความคิดเราไว้ พรุ่งนี้จะไปเที่ยว กลัวจะไปไม่ทัน พรุ่งนี้จะไปเที่ยว พรุ่งนี้จะไปเที่ยว โอ้โฮ มันคิดแต่เรื่องจะไปเที่ยวนะ จน เออ ใช่ๆ พรุ่งนี้จะไปเที่ยว สติเหมือนกัน ระลึกขึ้นมา สติๆๆๆ จนชำนาญนะ

    “สติจะเกิดเอง” ถ้าสติเกิดเองนะ ขี้ลอยน้ำมา เรานอนเฉยๆ สติจะเกิดเอง นอนไปเหอะ มันตื่นเพราะมันปวดเมื่อย มันตื่นเพราะมันนอนจนมันปวด มันเมื่อย มันถึงตื่น สติจะเกิดเองก็เหมือนนอนให้สติเกิดเอง เป็นไปไม่ได้หรอก เราเน้นอันนี้ไปเขาก็เขียนใหม่เลย ทีแรกก็บอกไม่ต้องฝึกเลย พอบอกเขาเขียนใหม่เลยว่าสติมันจะเป็นเอง สติห้ามสร้าง สติสร้างกับสติเป็นเอง ทีแรกบอกไม่มีเลย

    แล้วก็มาอันนี้เห็นไหม ถ้ามัน พอรู้ทันความคิดกิเลสมันดับไปเอง คำว่ากิเลสมันดับไปเองนี่มันเป็นไปได้ไหม มันเป็นไปได้ไหม ถ้ากิเลสดับไปเองมันก็เหมือนกับฤๅษีชีไพรไง พอเข้าสมาธิ พอสมาธิมันว่างหมด มันปล่อยหมด มันก็นึกว่าเป็นนิพพานไง ถ้าสติจะดับไปเอง มันเหมือนกับเราเข้าสมาธิ แล้วเขายังปฏิเสธสมาธิอีกนะว่าสมาธิไม่ต้องทำ ทั้งๆ ที่เขาทำอยู่ เราถึงประกาศประจำ การปฏิบัติทุกลัทธิ ทุกแขนง ผลของมันคือสมาธิหมด ผลของมันเป็นสมถะ ผลของมัน แต่เพราะคนไม่รู้จักว่ามันเป็นสมาธิ เป็นสมถะหรือเป็นวิปัสสนาเลยเหมาเอารวมว่าเป็นนิพพาน

    ผลของการปฏิบัติทั้งหมด เราพูดไว้พัฒนาการของจิต ที่เราพูดพัฒนาการของจิตเราพูดเพื่อตรงนี้ไง เราบอกว่ามึงไม่ต้องทำอะไรเลย มึงอยู่เฉยๆ จิตมันเกิดดับ จิตนี่พัฒนาการของมันเป็นอย่างนี้เอง แล้วเราไปตามดู มันก็เลยดู แล้วมันชัดเจนขึ้นมาก็เลยคิดว่าอันนี้คือนิพพาน พัฒนาการทางจิตไม่ต้องปฏิบัติ ไม่ต้องทำอะไรเลย ดูสตินี่ทุกข์ขนาดไหนเดี๋ยวก็ดับ ความคิดความโกรธขึ้นมานี่เดี๋ยวก็ดับ ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น จริงไหม ไม่ต้องปฏิบัติหรอก สติตามความคิดไปนี่มันดับหมด

    ฉะนั้นการปฏิบัติทุกวิธีการ ผลของมันคือสมถะทั้งหมด ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามา เขาก็เอาตรงนี้เป็นนิพพานกัน แต่พระพุทธเจ้าปฏิเสธหมด พระพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมา แต่ปัจจุบันนี้ ไอ้พวกที่ปฏิบัตินี่คงจะมีพื้นฐานอ่อนแอมาก พอเขาเจอเรื่องแค่นี้เขาถึงตื่นเต้น ไม่ใช่ กิเลสดับไปเอง ไม่มี ถ้ากิเลสดับไปเองนะ พวกเราเข้าแถวเลย แหะๆๆ เดี๋ยวมึงเป็นนิพพานหมด เพราะกิเลสมันดับไปเอง

    ประเด็น: เหลือแต่จิตผู้รู้ ซึ่งรู้ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งไปเรื่อยๆ หากเป็นอิสระจากกิเลสและอารมณ์ต่างๆ ต่อมาภายหลังผมได้หาหนังสือธรรมะมาอ่านจึงรู้ว่า ในทางปฏิบัติธรรม จัดเป็นการจำแนกรูปนามเป็นการเจริญวิปัสสนาแล้ว

    หลวงพ่อ: โอ้โฮ ล้มตึงเลย กูเอ้ย อย่างนี้ไงถึงไปรับรองโยมผู้หญิงคนนั้นว่าปฏิบัติไม่เป็นคือโสดาบันไง ปฏิบัติเป็นจะไม่ใช่ไง เพราะอะไรรู้ไหม

    ประเด็น: ต่อมาภายหลังได้หาหนังสือธรรมะมาอ่าน จึงรู้ว่าในทางปริยัติธรรม จัดเป็นการจำแนกรู้รูปนาม จัดเป็นการเจริญวิปัสสนาแล้ว แต่ในเวลาปฏิบัตินั้นจิตไม่ได้กังวลสนใจว่าเป็นวิปัสสนาขั้นใด

    หลวงพ่อ: อันนี้เราบอกว่าผู้หญิงคนนั้นปฏิบัติไม่เป็นแล้วเขาบอกเป็นพระโสดาบันใช่ไหม “หนังสือธรรมะหามาอ่านจึงรู้ว่าในทางปริยัติจัดว่าเป็นการจำแนก จัดเป็นวิปัสสนาแล้ว” แสดงว่าตอนวิปัสสนามึงไม่รู้ว่าวิปัสสนา มึงไม่รู้จักวิปัสสนาเลยเนาะ เป็นพระโสดาบันแล้วยังไม่รู้จักว่าวิปัสสนาเป็นอย่างไรเลยเนาะ เหอะๆๆ ต้องให้หนังสือมาบอกว่าเป็นวิปัสสนาหรอก อ้าว มึงคิดสิ เอ็งกินข้าวอิ่มมาแล้ว เอ็งต้องไปหาหนังสือ อ๋อ หนังสือเขาเขียนว่าอิ่มเป็นอย่างนี้ อ๋อ กูเพิ่งรู้

    เพิ่งรู้ว่าอิ่มตอนอ่านหนังสือ เหอะๆๆ มึงไม่รู้จักว่ามึงอิ่มหรือ มารู้เอาตอนอ่านหนังสือว่าหนังสือเขียนว่าอิ่มแล้ว บังคับให้กูอิ่ม กูก็อิ่มเลย แต่ตอนกินกูยังไม่อิ่ม แต่พออ่านหนังสือ หนังสือบอกให้อิ่ม กูเลยอิ่มด้วย เหอะๆๆ มันทางตรรกะ ให้คิดย้อนกลับ ใครพูดอะไรให้คิดย้อนกลับ ย้อนกลับความคิดเขา คำพูดของเขาเราย้อนกลับเราจะย้อนกลับนะ มันต้องมีที่มาที่ไป ถ้าเอ็งย้อนกลับปั๊บเอ็งจะเห็นเลย

    พออย่างนี้ปั๊บนะแล้วก็ไปดูหนังสือที่เขาเขียนออกมา แล้วพูดถึงคำพูดของเขาที่ไปรับรองคนอื่น มันก็เป็นทัศนะคติอันนี้อันเดียวไง ผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนที่เขามาเล่าให้ฟัง ผู้หญิงเขาเถียงเอง หนูไม่รู้อะไรเลยนะ ยายภาวนาไม่เป็นนะ ยายอ่านหนังสือไม่ออกนะ เรายังถามเขาอยู่เลยว่ายายคนนี้มีตังค์หรือเปล่าวะ สงสัยยายคนนี้มีตังค์แล้วถึงได้เป็นโสดาบัน ถ้าไอ้นี่ไม่มีตังค์สงสัยคงไม่ได้เป็น เราถามลูกศิษย์เราเลย เฮ้ย ยายคนนี้แกมีตังค์หรือเปล่า เพราะมีตังค์ก็เลยเป็นโสดาบัน

    เพราะอะไรรู้ไหม ก็มันเข้ากับอันนี้ไง มันเข้ากับแบบว่าในเวลาปฏิบัติจิตไปๆ มาๆ ไม่เข้าใจว่าเป็นวิปัสสนา ปฏิบัติอยู่ ๓ เดือนจึงไปรายงานผลกับหลวงปู่ดูลย์ว่าผมหาจิตเจอแล้วจะต้องพิจารณาอย่างไร เรายังไม่ได้อ่านคำตอบนะ ถ้าเป็นหลวงปู่ดูลย์ตอบนะ มึงยังไม่เห็นจิต เวลาปฏิบัติแล้วไปหาหลวงปู่ ยังไม่ใช่ ยังไม่ใช่ นั่นเป็นอาการของจิต เวลาไปดูจิตนี่นะ กลับไปหาหลวงปู่ดูลย์นะ หลวงปู่ดูลย์จะบอกว่าไม่ใช่ประจำท่านจะบอกว่าเห็นอาการ เห็นอาการ พอวิ่งไปหาหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์บอกว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่

    มันก็เป็นอันเดียวกับที่เราพูดบ่อย ที่ญี่ปุ่น หมอเขารักษาคนไข้แล้วก็เป็นลูกศิษย์เซน ลูกศิษย์เซนเขาถาม ตั้งปัญหาขึ้นมาให้ลูกศิษย์ปฏิบัติ ตบมือข้างเดียวเสียงอะไร เขารักษาคนไข้ไปนะ เขาได้ยินเสียงน้ำตก จิตมันประหวัดไปว่าเสียงซู่ๆ โอ้ คงจะเป็นเสียงนี้ ก็ไปรายงานอาจารย์บอกว่าเสียงเหมือนน้ำตก ไม่ใช่ พอมันรักษาคนไข้ไป มันก็จิตของมันก็คิดวิตกวิจารไป พอได้ยินเสียงนกร้อง มันก็นึกไปหาอาจารย์ว่าเสียงเหมือนเสียงนกร้อง ไม่ใช่ ไม่ใช่อยู่ ๑๗ ปี สุดท้ายไปถามอาจารย์เขาเพราะจิตสงบแล้ว ถามอาจารย์ว่าเสียงตบมือข้างเดียวคืออะไร ไม่มีหรอก กูหลอกให้มึงคิด เสียงตบมือข้างเดียวไม่มี

    แต่เสียงตบมือข้างเดียวคืออะไร คือให้จิตมันย้ำคิดอยู่ตรงนั้นเหมือนกำหนดคำว่าพุทโธ เสียงตบมือข้างเดียวคือเสียงอะไร จิตมันก็พยายามจะคิดว่าเสียงตบมือข้างเดียวคือเสียงอะไร เสียงตบมือข้างเดียวคือเสียงอะไร หลวงปู่ดูลย์บอกให้ดูจิต ดูจิต จิตมันเป็นอย่างไร พอจิตมันสงบ จิตมันดีขึ้นมาก็วิ่งไปหาท่าน ไปรายงานท่าน หลวงปู่ผมเห็นจิตแล้วครับ ไม่ใช่ นั่นเป็นความคิด เป็นอาการของจิต

    แล้วถ้าที่เขาพูด ถ้าเขาใช้ความคิด ความคิดหยุดแล้ว หยุดแล้วก็ไม่ใช่จิต ไม่เห็น ไม่เห็นหรอก แต่ถ้าเราสอนนะ ปัญญาอบรมสมาธิใช้ความคิดไล่ความคิดไป สิ่งที่ความคิดหยุด ใครเป็นคนหยุด ความคิดมันเกิดจากใคร ความคิดมันดับไปจากใคร แล้วใครเป็นคนคิด เราสอนอย่างนี้ แต่เขาพยายามจะบอกว่าเหมือนกัน เหมือนกัน พยายามจะบังคับให้เหมือนกัน เขาบังคับ ทำไมไม่ยอมรับเขา ไม่เหมือนเพราะดูเฉยๆ มันดูเพ่ง ดูเพ่งเป็นกสิน

    แต่ปัญญาวิปัสสนาใคร่ครวญไม่ใช่ดูเพ่ง ดูแบบใคร่ครวญ เราเป็นเจ้าขององค์กร เจ้าของบริษัท เราต้องตั้งงบประมาณ เราต้องมีนโยบาย เราต้องมีบุคลากร เราต้องบริหารจัดการทั้งหมด แต่ดูจิตโดยที่ไม่พิจารณามันเหมือนกับภารโรง มันยืนอยู่หน้าประตู แลกบัตรไปแลกบัตรมา กูก็ดู ใครเข้ามากูเห็นทุกคนนะ กูเห็นทุกคน แล้วมึงทำอะไร ก็กูดูเฉยๆ กูไม่ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าเป็นเจ้าของ เจ้าของคือจิต ฉะนั้นมาบอกปฏิบัติอยู่ ๓ เดือนไปรายงานหลวงปู่ ผมหาจิตเจอแล้วจะต้องปฏิบัติต่อไปอย่างไร ถ้าเป็นความจริงนะ หลวงปู่จะบอกว่ายังไม่เห็นจิต เพราะอะไรนะ เพราะมันดับใช่ไหม พอกิเลสมันดับ แล้วมันเหลืออะไร เขาเขียนว่ากิเลสดับนะ แล้วนี่บอกเลย บอกว่าเห็นจิต มันกลับกันแล้ว

    ประเด็น: คราวนี้ปรากฏว่าท่านแสดงธรรมลึกซึ้งมากขึ้น เกี่ยวกับการถอดถอนทำลายอุปาทานในขันธ์ ๕ สอนถึงกำเนิดและการทำลายจิตวิญญาณ จนถึงเจริญอริยมรรค จนมีญาณเห็นจิตเหมือนมีตาเห็นรูป

    หลวงพ่อ: อ้าว วงเล็บหลวงปู่ดูลย์เลยนะ

    ประเด็น: ท่านสอนอีกว่า เมื่อเราดูจิตคือตามรู้จิตเรื่อยๆ ไปนั้น สิ่งปรุงแต่งจะดับไปตามลำดับ จนถึงความว่าง แต่ในความว่างนั้นยังไม่ว่างจริง มันมีสิ่งละเอียดเหลืออยู่คือวิญญาณ ให้ตามรู้จิตเรื่อยๆ ไป ความยึดในวิญญาณจะถูกทำลายออกไปอีก แล้วจิตจริงแท้หรือพุทธะ หลวงปู่เทสก์เรียกว่าใจจึงปรากฏออกมา คำสอนครั้งนี้ลึกซึ้งกว้างขวางเหมือนฝนตกทั่วฟ้า แต่ภูมิปัญญาของผมมีจำกัดจึงรองน้ำฝนไว้ได้เพียงถ้วยเดียว คือได้เรียนถามท่านว่า ที่หลวงปู่สอนมาทั้งหมดนี้ หากผมจะปฏิบัติด้วยการดูจิตไปเรื่อยๆ จะพอไหม หลวงปู่ดูลย์ตอบว่า การปฏิบัติก็มีอยู่เท่านั้นแหละ แม้จะพิจารณากายหรือกำหนดนิมิตหมายใดๆ ก็เพื่อให้ถึงจิตถึงใจตนเองเท่านั้น นอกจากจิตแล้วไม่มีสิ่งใดอีก ธรรมะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ก็รวมลงที่จิตเดียวนั่นเอง

    หลังจากนั้นผมก็เพียรดูจิตเรื่อยมา มีสติเมื่อใดดูเมื่อนั้น ขาดสติแล้วก็แล้วกันไป นึกขึ้นมาได้ก็ดูใหม่ เวลาทำงานก็ทำไป พอเหนื่อยเครียดก็ย้อนดูจิต เลิกงานแล้ว ต่อมา..

    หลวงพ่อ: ลัด ตัดเลย อ่านไม่ไหว โทษนะ โทษนะจะอาเจียน

    ประเด็น: ต่อมา มันมีสิ่งละเอียดผ่านความรู้และคิดเป็นระยะ พอแต่ได้รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพราะจิตไม่มีความสำคัญมั่นหมาย ต่อมาจิตมีอาการไหวดับวูบลง สิ่งที่ผ่านมาให้รู้ดับไปหมดแล้ว แล้วก็รู้ชัดเหมือนตาเห็นว่าความว่างที่เหลืออยู่นั้นถูกแหวกพรวดอย่างรวดเร็วและนุ่มนวลออกไปแล้ว ออกไปอีก กลายเป็นความว่างอย่างหมดจดอย่างแท้จริง ในความว่างนั้น จิตซึ่งเป็นอิสระแล้วอุทานขึ้นมา เอ๊ะ จิตไม่ใช่เรา

    หลวงพ่อ: เอ๊ะ จิตไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไร เราแย้งได้หมด ถ้าเราแย้งแล้วมันแสบนะ จิตไม่ใช่เรา ถ้าเป็นโสดาบันนะ หลวงตาท่านอธิบายเห็นไหม เวลาจิตมันแยก กายเป็นกาย จิตเป็นจิตที่มันแยกออกเป็น ๓ ทวีปเลย จิตมันรวมลง จิตไม่ใช่เรา คำว่าจิตไม่ใช่เราจิตมันพูดเอง จิตไม่อิสระเลยนะ จิตตอนที่ลง คำพูดคำจามัน เพราะจิตนี้ไม่ใช่เรานี่เป็นขันธ์ใช่ไหม สัญญาไหม เป็นสังขารไหม ความคิด จิตไม่ใช่เราเป็นความคิดเปล่า จิตนี้ไม่ใช่เราเป็นความคิดไหม ถ้าความคิดกับจิตเป็นอันเดียวกันอยู่มันจะแยกได้ไหม เอ๊ะ จิตไม่ใช่เรานี่เป็นความคิดเปล่า

    แล้วตัวความคิดกับจิตมันยังคิดได้ ความคิดกับจิตมันยังเป็นอันเดียวกันอยู่หรือเปล่า แล้วมันแยกได้ไหม เวลามันพูดมันลืมไปนะ มันลืมไปว่ามีคนรู้นะ มันลืมไปว่ามีคนรู้ทันนะ มันก็อุทานขึ้นมา เอ๊ะ จิตนี้ไม่ใช่เรา เหอะๆ แล้วอุทานนี่เป็นสังขารหรือเปล่า มันอธิบายไม่ถูก อธิบายไม่เป็น โอ้โฮ ถ้ามันจิตมันวูบลงอย่างที่หลวงตาพิจารณากายแล้วมันขาด

    ถ้าเราไม่รู้ไม่เห็นเลยนะ เราก็จะคล้อยตามมันไป แต่บังเอิญกูเสือกรู้วะ กูเสือกรู้แล้วมันไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนกัน เขาพูดนะ ให้ใครก็ได้พูด ใครพูดแล้วเหมือนนะ ใช่ หลวงตาท่านไปฟังหลวงปู่เขียนเห็นไหม หลวงปู่เขียน ๙ ประโยค

    คนที่ขอนแก่นเขาเป็นลูกศิษย์ ลูกศิษย์หลวงตาด้วยลูกศิษย์หลวงปู่เขียนด้วย แล้วก็ไปทอดผ้าป่าหลวงปู่เขียน แล้วก็นิมนต์หลวงตาไปด้วย หลวงตาไปนั่งฟังอยู่ ท่านฟังหมดแหละ หลวงปู่เขียนเทศน์ ๙ ประโยค ท่านบอกว่าตอนนั้นยังไม่มีอะไร คือมันเป็นคำพูดทั้งหมด จับได้หมด คนเป็นนะฟังออก แล้วพอหลวงปู่เขียนกระดูกเป็นพระธาตุเป็นพระอรหันต์ ท่านสงสัยเป็นพระอรหันต์ตอนไหนวะ ก็ตอนที่ไปฟังมันยังไม่ใช่แล้วหลวงปู่บุญมี เห็นไหมถึงเอาเทปไปให้ท่านฟัง ท่านบอกท่านฟังเทปอยู่ตลอดเวลา ท่าน ๙ ประโยค ท่านก็ไล่ของท่าน แล้วท่านเป็นอัมพาต ๒๐ ปี ท่านนอนอยู่บนเตียง ๒๐ ปี ๒๐ ปีนี่ปฏิบัติอยู่ตลอดนะ คนไปไหนไม่ได้นอนแหมะอยู่ ๒๐ ปี มันฟังออก

    ประเด็น: จากนั้นจิตมีอาการปิติ ยินดี ยิ้มแย้ม แจ่มใสขึ้นมาพร้อมๆ กับเกิดแสงสว่างโพลงขึ้นรอบทิศทาง

    หลวงพ่อ: อ๋อ คล้ายกับไอ้นั้นเลย พาราเมา ว้อ..

    ประเด็น: เกิดแสงสว่างโพลงขึ้นรอบทิศทาง จากนั้นจิตจึงรวมสงบลงอีกครั้งหนึ่งแล้วถอนออกจากสมาธิ เมื่อความรู้ต่างๆ กลับมาสู่ตัวแล้วกลับอุทานในใจ จิตไม่ได้อุปาทานอย่างทีแรก

    หลวงพ่อ: แหะๆๆ นี่ขั้นที่ ๒ แล้วนะ นี่ ทีแรก กูบอกแล้วว่าจิตกับขันธ์เป็นอันเดียวกัน นี่จิตไม่ได้อุปาทานอย่างทีแรกวงเล็บด้วยนะ

    ประเด็น: อ๋อ ธรรมะเป็นอย่างนี้เอง เมื่อจิตไม่ใช่ตัวเราเสียแล้ว สิ่งใดสิ่งหนึ่งในตัวเรา สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่เป็นเราอีกต่อไป สิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่เป็นเราอีกต่อไปนะ

    หลวงพ่อ: เดี๋ยวดูผลตอบมัน

    ประเด็น: เมื่อผมไปกราบหลวงปู่ดูลย์และเล่าเรื่องนี้ให้ท่านทราบ พอเล่าว่าสติละเอียดเหมือนเคลิ้มไป ท่านก็อธิบายว่าจิตผ่านฌานทั้ง ๘ ผมได้แย้งท่านตามประสาคนโง่ว่า ผมไม่ได้หัดเข้าฌานและไม่ได้ตั้งใจจะเข้าฌานด้วย หลวงปู่อธิบายว่าถ้าตั้งใจก็ไม่ใช่ฌาน และขณะที่จิตผ่านฌานอย่างรวดเร็วนั้น จิตจะไม่มานั่งนับว่ากำลังผ่านฌานอะไรอยู่ การดูจิตนั้นจะได้ฌานโดยอัตโนมัติ หลวงปู่ไม่ชอบสอนเรื่องฌานเพราะเห็นเป็นของธรรมดาที่ต้องผ่านไปเอง หากสอนเรื่องนี้แม้ศิษย์มัวสนใจฌานก็เสียเวลาปฏิบัติ

    หลวงพ่อ: ถ้าอย่างนั้น ไอ้ตรงนี้ที่มันบอกว่าไอ้คนนี้ได้ฌาน เข้ารูปฌาน อรูปฌาน ไม่ใช่ ไม่ใช่ หลวงปู่ดูลย์จะไม่พูดอย่างนั้น คำว่าฌานมันรวดเร็วเนี่ย เราตอนนี้ยังไม่ได้อ่านข้างหน้านะ แต่เราตีความเลยว่าหลวงปู่ดูลย์ เห็นไหม จิตผ่านฌาน ทั้ง ๘ ใช่ไหม ถ้าฌาน ทั้ง ๘ ถ้าพูดตามเป็นจริงนะ มันต้องเป็นมรรค ๘ ไม่ใช่ฌาน ๘ ถ้าผ่านมรรค ๘ ใช่ ถ้าผ่านฌาน ๘ ไม่ใช่

    ประเด็น: พอผมเล่าว่า จิตอุทานได้เอง หลวงปู่ก็บอกอาการต่างๆ ที่ผมยังเล่าไม่ถึงออกมาตรงกับที่ผมผ่านมาแล้วทุกอย่าง แล้วท่านก็สรุปยิ้มๆ ว่า จิตยิ้มแล้ว พึ่งตัวเองได้แล้ว พึ่งรัตนตรัยแล้ว ต่อไปนี้ไม่จำเป็นต้องมาหาอาตมาอีก

    หลวงพ่อ: เราไม่เชื่อนะนี่ ไม่เชื่อหรอก ถ้าไม่ต้องมาหาอาตมาอีก หลวงตานี่ กูไม่เชื่อตั้งแต่ที่นี้นะ ไม่เชื่อหมดเลย ถ้าจิตยิ้มแล้วนะ ถ้าเป็นจริงแล้วนะ นี่เราไม่เชื่อก่อนนะ แต่ถ้าเป็นจริง ไม่ต้องมาหาเรา หลวงตา หลวงปู่มั่นเคาะให้ออกมาพิจารณาอสุภะขั้นอนาคา ขั้นอนาคานะ พิจารณาอสุภะอยู่ หลวงปู่มั่นนอนป่วยอยู่ที่บ้านภู่ เดินจงกรมอยู่ข้างล่าง พอมีปัญหาขึ้นไป ป่วยอยู่นี่ลุกไม่ไหวเลย พอหลวงตาขึ้นไปกราบถามปัญหาธรรมะ หลวงปู่มั่นขึ้นมาตอบปัญหาเลย คนป่วยคนกำลังจะตาย แต่พอธรรมะเข้ามา ท่านยังจะลุกขึ้นมาตอบเลย เข้าใจไหม ไม่เข้าใจหลวงตาไม่ขยับเลย พอเข้าใจ เข้าใจ หลวงตาก็ลงมาปฏิบัติต่อ ท่านก็ล้มหงายนอนตึงเลย

    เนี่ยถามตอบ ถามตอบอยู่อย่างนั้นจนถึงที่สุด เห็นไหม ตรงนี้ผ่าน ผ่านตอนเผาหลวงปู่มั่นก่อนไง พอ ๒๕๙๒ ผ่านมา ๒๕๙๓ หลวงตาไปเห็นจุดและต่อม ถ้าหลวงปู่มั่นอยู่ ผมจะผ่านคืนนั้นเลยเพราะหลวงปู่มั่นไม่อยู่ ผมต้องหาอยู่ ๘ เดือน แล้วพระอนาคามีมันจะรู้เรื่องเลยว่ามันติดอย่างไร ตัวเองข้องอย่างไร แล้วบอกไม่ต้องมาหาผมแล้ว เป็นโสดาบันไม่ต้องมาหาผมแล้ว กูไม่เชื่อ กูไม่เชื่อ หลวงปู่มั่น หลวงตาเป็นพระอนาคานะยังขึ้นถามแล้วถามเล่า ถามแล้วถามเล่า

    หลวงตาเล่าประจำ ท่านนอนป่วยนะ ท่านนอนช่วยตัวเองไม่ได้เลยเพราะหลวงตาเป็นคนล้วงเสลด เป็นวัณโรค แล้วอากาศหนาวทางอีสาน ต้องล้วงเพราะหายใจด้วยตัวเองก็ไม่ได้ หายใจด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องเอาปากเข้าไปดูดเองเลย ดูดเชื้อวัณโรคออกมาจากปากหลวงปู่มั่นเลย แล้วเอานิ้วเข้าไปล้วงเอาเสลดออกมา ท่านยังช่วยตัวเองท่านไม่ได้เลย พอปัญหามันติดขึ้นไปกราบนะ ลุกขึ้นมานั่งเลย อธิบายเลย เข้าใจไหม เข้าใจไหมก็รอบหนึ่งแล้วนะ เข้าใจไหม หลวงตาท่านบอกไม่เข้าใจ ก้มเฉยๆ ก็อธิบายซ้ำ อธิบายซ้ำ เข้าใจไหม ถ้าเข้าใจก็กราบ ๓ ทีแล้วลง พอกราบ ๓ ทีแล้วลง พอหลวงตาลงมาเดินจงกรม ท่านก็นอนแผ่อย่างเดิมเพราะท่านป่วย แต่จิตไม่ป่วย แหม แล้วเป็นโสดาบันไม่ต้องมาหาผมแล้ว ทำเองได้เนี่ย มึงจะไปไหน

    ไม่เชื่อเพราะถ้าเป็นหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นมาตลอด หลวงปู่มั่นเคี่ยวมาตลอด แล้วพอของเรานี่ได้แค่นี้แล้วปล่อยเลย โดยข้อเท็จจริงถ้ามึงไม่ได้ปฏิบัตินะ มึงก็พูดไป แต่คนปฏิบัตินะ แล้วเราพูดด้วยเรากันเองมันก็เหมือนกับว่าเราจะหาข้อมูลมาหักล้างเขา แต่เราเอาหลวงตาเป็นตัวอย่าง แล้วหลวงตาท่านพูดเองใช่ไหม ขึ้นลง ขึ้นลงกุฏินั่นแหละ เดี๋ยวก็ขึ้นไปถาม เดี๋ยวก็ขึ้นไปกราบ ไอ้คนหนึ่งก็ป่วยนะ เอาผมไปคืนนี้นะ เอาผมไปคืนนี้นะ ผมจะไปตายอยู่นั่น ไอ้พอขึ้นไปกราบก็ลุกขึ้นมาตอบ ขึ้นมาตอบ โธ่ แก้จิต

    หลวงปู่มั่นพูดไว้แล้ว หมู่คณะพากันปฏิบัตินะ แก้จิตมันแก้ยากนะ ผู้เฒ่าตายไปแล้วจะไม่มีใครแก้นะ แล้วนี่บอกว่าไม่ต้องมาหากูเลยนะ มึงไปแก้กันเองไป โห้.. ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัตินะ เราอยู่ในวังวนของกิเลสด้วยกัน กูก็จะเชื่อมึงนะ ไอ้เราเองก็นะ โอ้โฮ แลบออกมาจากร่องตีน โดนเหยียบปลิ้นออกมาจากร่องเท้า โดนเหยียบมาจนแลบไปแลบมา เราเอาชีวิตเรา ไม่ใช่มันติดขัด ติดขัดที่ว่าจะพูดอะไรเอาตัวเองอ้าง มันมีเขามีเราไง มันติดขัด มันพูดไม่ได้เต็มปาก พูดเต็มปากก็จะหาว่าอวด

    ประเด็น: เมื่อแสดงธรรมเรื่อย จิตเหนือเหตุหรืออเหตุกจิต มีใจความว่าอเหตุจิตมี ๓ ประการคือ ปัญจทวาราวัชชนจิต ได้แก่ความไหวตัวของจิตขึ้นสู่อารมณ์ มโนทวาราวัชชนจิต หสิตุปปาทจิต หรือจิตยิ้มเป็นการแสดงความเบิกบานของจิตที่ปราศจากปรุงแต่ง เพื่อแสดงความมีอยู่ของจิต ซึ่งไม่มีตัวตนไปปรากฏความรู้ออกสู่ความรับรู้ อเหตุกจิตสองอย่างเป็นของสาธารณะที่มีทั้งในปุถุชนและอริยเจ้า แต่จิตยิ้มเป็นโลกุตตรจิต เป็นจิตสูงสุด เกิดขึ้นเพียง ๓-๔ ครั้งก็ถึงที่สุดแห่งทุกข์

    หลวงพ่อ: อ๋อ.. อันนี้นะ อันนี้เขาว่าอยู่ในพระไตรปิฎกไหม อันนี้ ไอ้อเหตุกจิตของเขาว่านี่ มันมีอยู่ในพระไตรปิฎกอธิบายไว้ไหม เราไม่รู้นะ นั่นอะสิ เราจะบอกศัพท์อย่างนี้มันเป็นศัพท์ของใคร เพราะเมื่อก่อนเราเข้าใจว่าคำว่าจิตยิ้มของเขาคือพระโสดาบัน นี่เขาก็บอกอย่างนี้นะ อย่างแรกเป็นสาธารณะมีสอง จิตยิ้มเป็นโลกุตตรจิต เป็นจิตสูงสุดเกิดขึ้นเพียง ๓-๔ ครั้ง คือจิตยิ้มนี้ยังไม่ใช่ไง ๓-๔ ครั้งถึงที่สุดแห่งทุกข์ เกิดขึ้นเพียง ๓-๔ ครั้งก็ถึงที่สุดแห่งทุกข์ แล้วนี่พอจิตยิ้มมาเป็นโสดาบัน แล้ว ๓-๔ ครั้งมันสิ้นสุดแห่งทุกข์ อ๋อ ลัดสั้นอีกละสิ เดี๋ยวนะ ตรงนี้ค้านได้อีก ค้าน ค้านตลอด ค้านตลอด ไม่เห็นด้วยสักอย่างหนึ่ง


    ประเด็น: หัวใจมันมีการเป็นคลื่นเข้าสู่ใจ หากขณะนั้นขาดสติจิตจะส่งกระแสไปยึดอารมณ์นั้น ตอนนั้นจิตไม่ละเอียดพอ พอเข้าใจว่าจิตวิ่งไปยึดอารมณ์แล้วขยับไปเสวยอารมณ์ ตัวเสวยอารมณ์อยู่จึงไปเรียนหลวงปู่ทราบ หลวงปู่ตอบว่าจิตจริงแท้ไม่มีการไปและไม่มีการมา

    หลวงพ่อ: จิตจริงแท้นี่เราพูดบ่อย พระอรหันต์ไม่มีจิต จิตจริงแท้ไม่มีการไปและไม่มีการมามันเป็นการอธิบายธรรมะ ธรรมะของพระอรหันต์มันไม่มีการไปและไม่มีการมาเป็นปัจจุบัน แต่จิตจริงแท้มันเป็นสมมุติ พระอรหันต์ไม่มีจิต มีจิตคือมีภพ มีสถานที่ จิตเดิมแท้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้เป็นผู้ผ่องใส จิตเดิมแท้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส มหายานบอกว่าเจอพุทธะเจอจิตให้ฆ่าจิตก่อน เจอจิตให้ฆ่าจิตก่อนนะ เจอพุทธะเจอพระพุทธเจ้าที่ไหนต้องฆ่าพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ฆ่าพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ก็ตัวจิตนี่ไง ถ้าไม่ฆ่าพระพุทธเจ้าก็จิตเดิมแท้ ไม่มีการไปไม่มีการมา

    ถ้าจะศึกษามหายาน ศึกษาเรื่องเซนต้องทำความเข้าใจกับมันให้เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจนะคำพูดเราตีความผิดหมด มันเป็นโศลก เป็นคำที่เขาเรียกว่าอุปมาอุปไมย มันเป็นคำพูดให้เราเข้าไปทำลายกิเลส “จิตไม่มีการไปไม่มีการมา ท่านตอบว่าจิตแท้ไม่มีการไปและไม่มีการมา” ไม่มีการไปไม่มีการมา ถ้าคำพูดของพระอรหันต์เราก็ฟังได้ แต่ถ้าจิตเดิมแท้ไม่มีการไปไม่มีการมา ไม่มีการไปไม่มีการมา มีมันอยู่ก็คือตัวภพไง คือตัวอวิชชา

    นี่พูด ถ้าเป็นตัวอวิชชา นี่พูดถึงความจริงนะ แต่ถ้าเป็นปุถุชนมันเป็นสัญญา มันเป็นการสร้างภาพ ไม่ใช่อะไรเลย เราตีความว่าพวกนี้ปุถุชนหมดนะ ไอ้หัวโล้นมันถามว่าหลวงพ่อไม่ได้ขั้นหรือ ไม่มี กูไม่เชื่อ เขายังคิดว่าอย่างน้อยก็เป็นอนาคา ไอ้ที่เราไปนั่น ที่บอกว่าละความกลัวได้เป็นอนาคา เราบอกไม่ใช่ อนาคาต้องละกามราคะ ถ้าอย่างนั้นผมไปเป็นสกิทา สกิทาก็ไม่ใช่ สกิทาก็ต้องแยกกายและจิต อย่างนั้นผมเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันก็ไม่ใช่ อย่างนั้นผมก็เป็น แหะๆๆ ไอ้นี่ก็นั่งฟังอยู่ด้วย

    เราไปเจออย่างนี้มาเยอะ พอคิดอะไรได้ก็คิดว่าตัวเองเป็นพระอนาคา แล้วก็สร้างอารมณ์เป็นอนาคากัน เราไปคุยมาแล้ว นั่งฟังอยู่ด้วย แหะๆๆ ลืมหรือยังก็ไม่รู้ แต่เราไม่ลืมนะ พอเราไปคุยกับใครที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์จะไม่ลืม แต่พวกนี้มันจะลืม เพราะอะไร เพราะมันฟังเหมือนนิยาย แต่สำหรับเราไม่ใช่นะ เราเหมือนหมอนะ เหมือนหมอนี้คืออาการไข้ คนที่เป็นอาการไข้ เราเป็นหมอ เราเห็นอาการไข้ เราเข้าใจถึงเชื้อ เชื้อมันแตกต่าง เชื้อพัฒนาการไหม กิเลสมันเป็นอย่างไร เราคุยกับใครเรื่องธรรมะนะ จริงๆ นะ ไม่ลืมนะ ฝังเลยละ ถ้ามานะ ถ้าใครพูดธรรมะกับเราไว้นะ ถ้ามาครั้งต่อไปนะ ถ้าจำคนนี้ได้นะต่อได้เลยนะ ไม่ต้องปูพื้นใหม่ ถ้าธรรมะได้คุยกับใครนะ ล็อกไว้เลยนะ ไม่มีเคลื่อน ไม่มีเคลื่อน ถ้าคุยเรื่องอื่นนะ กูจำไม่ได้ เคลื่อนหมด แต่เรื่องธรรมะนะ ใครคุยกับเราไว้แล้วนะ ล็อกไว้เลย ล็อกไว้เลย ไม่มีเคลื่อน

    ประเด็น: ผมได้มาดูจิตต่ออีกสักครึ่งปีต่อมา วันหนึ่งจิตผ่านเข้าไปสู่อัปปนาสมาธิและเดินวิปัสสนาคือมีสิ่งให้รู้ ผ่านมาสู่จิต แต่จิตไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าคือสิ่งใด จากนั้นเกิดอาการแยกความว่างขึ้นแบบเดียวกับจิตยิ้ม

    หลวงพ่อ
    : ก๊อบปี้แล้วไหมละ แหะๆ แบบเดียวกับจิตยิ้ม โสดาปัตติมรรค สกิทาคามรรค อนาคามรรค แบงค์ร้อยกับแบงค์ห้าร้อยกับแบงค์พันเหมือนกันไหม แบงค์ร้อย แบงค์ห้าร้อย แบงค์พันเหมือนกันหรือเปล่า ไม่เหมือนทั้งขนาดของแบงค์ ไม่เหมือนทั้งจำนวนค่าของมัน แล้วนี่กลับไปเหมือนจิตยิ้มครั้งนั้น เป็นไปไม่ได้

    ประเด็น: จากนั้นเกิดอาการแยกความว่างแบบเดียวกับเมื่อจิตยิ้ม คราวนี้จิตพูดขึ้นเบาๆ ว่าจิตไม่ใช่เรา ต่อมาจากนั้นแทนที่จิตจะยิ้ม จิตก็กลับพลิกไปสู่ภูมิของสมถะ ปรากฏว่านิมิตเป็นดวงหรืออาทิตย์โผล่ผุดขึ้นมาจากสิ่งห่อหุ้ม แต่โผล่ไม่หมดดวง เป็นสิ่งแสดงให้รู้ยังไม่ถึงที่สุดแห่งการภาวนา

    หลวงพ่อ: ฮ่า กูก็นึกว่าเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว

    ประเด็น: ปรากฏการณ์นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การดำเนินของจิตในขั้นวิปัสสนานั้นหากสติอ่อนลง จิตจะวกกลับสู่ภูมิของสมถะและวิปัสสนูกิเลสจะแทรกเข้ามาตรงนี้ ถ้าไม่กำหนดให้รู้ชัดเจนว่าวิปัสสนาพลิกกลับเป็นสมถะไปแล้ว นักปฏิบัติต้องระวังให้มากโดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยพบกับจิตยิ้ม สำหรับสำนวนของหลวงปู่ดูลย์หรือใจสำนวนหลวงปู่เทสก์

    หลวงพ่อ: แล้วสำนวนหลวงตาอยู่ไหนล่ะ เอาแต่คนที่ตายไปแล้วจะได้เถียงไม่ได้ไง คนที่ยังไม่ตาย ไม่กล้าอ้างนะ เดี๋ยวเถียง

    ประเด็น: หรือจิตรวมใหญ่ สำนวนอาจารย์สิงห์

    หลวงพ่อ: ไม่ใช่ทั้งหมด ถ้าจิตรวมใหญ่ไม่ใช่เลย ไม่ใช่
    จิตยิ้มก็ไม่ใช่ เราจะเถียงในนี้เราเน้นไว้แล้ว เดี๋ยวจะมาฉะเรื่องสมาธิกับปานาสมาธิวิปัสสนา วิปัสสนา ก็ไหนว่าไม่ต้องทำสมาธิไง แล้วถึงที่สุดแล้วบอกว่าที่หลวงปู่ดูลย์บอก บอกว่ามันผ่านฌานที่ ๘ แล้วบอกว่าไม่ต้องทำสมาธิไง แล้วบอกสมาธิไม่ต้องทำ สมถะไม่ต้องทำเพราะฌานเป็นของเนิ่นช้า ทำอย่างนั้นมันจะเป็นฌาน ก็ชาญโกหกไง

    ถ้าสมาธิจริง สมถะจริงมึงบอกว่าไม่ต้องทำ ทำแบบไม่เป็นทำแบบนั้น แล้วจะเป็นสมาธิจริง เพราะอะไร เพราะไม่ได้ตั้งใจทำ ตั้งใจทำไม่ต้องทำเดี๋ยวมันได้ ไม่ต้องทำแล้วมันจะได้ เอ้ย ปวดหัวเว่ย นี่ไงลัดสั้นไง ไอ้หัวโล้นเอาโน้ตบุ๊คมาให้ฟัง เราก็พูด คนเราถ้าทัศนคติมันเป็นอย่างนี้มันจะพูดอะไรก็แล้วแต่ มันจะพูดกลับมาชักเข้ามาที่ลัดสั้น นี้คำว่าลัดสั้น ลัดสั้นแล้ว ลัดสั้นแล้วต้องมีผล ถึงใครภาวนาไม่รู้เรื่องก็เป็นโสดาบัน ให้ผลเขาเลย เพราะลัดสั้นแล้วไม่รู้เอ็งเป็นโสดาบัน โอ้โฮ คนนี้มาขยันมาก อยากทำมาก เอ็งทำจนตายก็ไม่ได้คนนี้

    ถ้าอีกคนที่มาแล้ว ปูเสื่อแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน กินแล้วนอน ไอ้คนนี้จะได้เป็นโสดาบันเพราะมันภาวนาไม่เป็น ลัดสั้นไม่ต้องทำอะไรเลยแล้วเป็น โดยทัศนคติของเขา เขาคิดแบบนี้คำพูดมันถึงออกมาเป็นแบบนี้ไง โดยทัศนคติไง เราจะมาโปรโมทเรื่องลัดสั้น ง่าย ทำแล้วได้ผลเร็ว ฉะนั้นการทำที่ลำบาก การทำแล้วที่จะเป็นจริงจัง ขยันหมั่นเพียรจงใจไม่มีทางได้ ขี้เกียจขี้คร้าน นอนจม ไม่เอาไหน ไม่ทำอะไรเลย ภาวนาไม่เป็น ไอ้พวกนี้จะได้ มันเลยไม่เป็นความจริงทั้งคู่ไง สิ่งที่พูดเลยไม่มีมูลความจริงไง แต่สนองทัศนคติไง ไม่มีมูลความจริงอะไรทั้งสิ้นเลย แต่สนองทัศนคติของตัวที่จะชูทฤษฎีนี้ขึ้นมา ทั้งๆ ที่ทฤษฎีนี้มีความจริงนะ มหายาน เซนมีความจริงนะ

    เราเชื่อเรื่องปัญญาวิมุตติ เราเทศน์ปัญญาวิมุตติอยู่ตลอดเวลา มหายานนี่คือปัญญาวิมุตติ แต่เขาทำจริงจังตามมรรคที่เป็นจริง หลวงปู่ดูลย์ก็เป็นจริง เราเชื่อหลวงปู่ดูลย์ด้วยใจร้อยเปอร์เซ็นเลย แล้วเรายังวิตกไปข้างหน้าด้วยเพราะเราเคารพหลวงปู่ดูลย์อยู่ เพราะธรรมดาด้วยความเคารพพระผู้ใหญ่กับพระเด็ก เราเป็นผู้น้อยตามมา เป็นพระในศาสนาพุทธด้วยกัน หลวงปู่ดูลย์เราเคารพ แล้วท่านพูดจริงด้วย แล้วเราวิตกอยู่ วิตกว่าต่อไปข้างหน้าทฤษฎีของหลวงปู่ดูลย์จะโดนแก้ไข โดนบิดเบือนโดยลูกศิษย์ของเขาที่เข้าไม่ถึง เราห่วงตรงนี้ที่สุด เราไม่ห่วงอะไรเลย เราไม่ห่วง

    จะว่าไม่ห่วงก็ไม่ได้นะ ไม่ห่วง เรามาพูดกับไอ้หัวโล้น บอกที่กูออกมาให้เขาหนีบมือ กูบอกว่าเรื่องของเขานะ กูอยู่เฉยๆ กูไม่ทุกข์เลย ทำไมกูต้องเอามือเข้าไปซุกหีบ กูซุกหีบเพราะอะไร กูซุกหีบเพราะสงสารพวกมึง สงสารชาวพุทธ ไหนบอกว่าไม่ห่วง ไม่ห่วงไง ก็ห่วงชาวพุทธ ห่วงคนโดนหลอก แต่จริงๆ แล้วอย่างอื่นไม่ต้องห่วง เพราะคำสอนทฤษฎีของหลวงปู่ดูลย์ถ้าโดนบิดเบือน โดนเอามาอ้างอิงมันจะโดนหลอกลึกซึ้งไปกว่านี้ไง

    หลวงปู่ดูลย์เราเชื่อนะเพราะหลวงปู่ดูลย์ท่านมีครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง ท่านมีหลวงปู่มั่น หลวงปู่ดูลย์ ท่านหมั่นเพียร ท่านมีการกระทำของท่าน แล้วด้วยอำนาจวาสนาบารมีของท่าน แล้วท่านมีครูบาอาจารย์ที่คอยกรอง คอยชี้ถูก ชี้ผิดให้เข้าถึงหลักความจริงได้ แต่ไอ้พวกนี้ไปหาหลวงปู่ดูลย์เหมือนกัน แล้วอย่างที่เมื่อกี้เห็นไหม เมื่อกี้เราไป เขาบอกเขาไปหาหลวงปู่ดูลย์ตลอดเวลา เขาไปหาหลวงปู่ดูลย์ตลอดเวลานะ พอไปทีไรหลวงปู่ดูลย์บอกว่าไม่ใช่ ไม่ใช่จิต ไม่ใช่จิตตลอด ใช่ไหม แล้วนี่มาถึงบอก ใช่ ทุกทีเลย แล้วบอกไม่ต้องมาหาเราอีกด้วย นี่เรื่องของเขานะ

    ประเด็น: เมื่อผมนำเรื่องนี้ไปรายงานหลวงปู่ดูลย์ ท่านก็ว่าดีแล้ว ให้ดูจิตต่อไป ผมก็ทำเรื่อยมา ส่วนมากเป็นการดูจิตในชีวิตประจำวัน ไม่เคยนั่งสมาธิเป็นพิธีการ

    หลวงพ่อ: แหม่ เห็นไหม

    ประเด็น: ต่อมาอีกหนึ่งเดือน วันหนึ่งขณะที่นั่งสนทนาธรรมอยู่กับน้องชาย จิตเกิดวูบลงไป มีการแยกความว่างซึ่งมีขันธ์ละเอียด วิญญาณขันธ์ออกอีกทีหนึ่ง แล้วจิตก็หัวเราะออกมาเองโดยปราศจากอารมณ์ ร่างกายไม่ได้หัวเราะ มันเป็นการหัวเราะเยาะเย้ยกิเลสว่ามันผูกมัดมานาน ต่อไปนี้จิตจะเป็นอิสระยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความรู้ชัดว่า ทำไมเมื่อครั้งพุทธกาลจึงมีผู้รู้ธรรมในขณะที่ฟังธรรมเกิดขึ้นได้เป็นจำนวนมาก ผมนำเรื่องนี้ไปรายงานหลวงปู่ดูลย์ คราวนี้ท่านไม่ได้สอนอะไรอีกเลยเพียงแต่ให้กำลังใจว่าให้พยายามทำให้จบเสียแต่ในชาตินี้ หลังจากนั้นไม่นานท่านก็มรณภาพ ครูบาอาจารย์อีกรูปหนึ่งเคยสั่งให้ผมเขียนเรื่องการปฏิบัติของตนเองเผยแพร่เพราะอาจมีผู้มีจิตที่คล้ายๆ กันได้ประโยชน์บ้าง ผมจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อสนองตามครูบาอาจารย์และระลึกถึงหลวงปู่ดูลย์

    หลวงพ่อ: ไอ้เรื่องนี้เราคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลนะ ไอ้เรื่องเขียนๆ เขียนๆ เรานี่นะ นี่โทษนะ พูดอย่างนี้ไม่ใช่อวดตัวนะ ไอ้เรื่องประวงประวัติทุกคนจะมาขอ เขามาขอเก็บประวัติเราหลายคนแล้วนะ เราไม่ให้ทำ เราไม่ให้ทำหรอก ไอ้พวกนี้ ไอ้หมาขี้มันชอบยกหาง ไอ้พวกยกหางมันชอบยกหาง แล้วก็บอกว่าอ้างคนโน้นให้เขียน คนนี้ให้เขียน ถ้ามึงไม่เขียนมันก็ไม่เขียน พวกหมาขี้ คือจริงๆ อยากเขียน แล้วบอกคนโน้นให้เขียน คนนี้ให้เขียน ประวัติเรานี่ใครมาขอ ขอเก็บประวัติ บอกไม่ได้ ไม่ได้

    แล้วเราห่วงมากเรื่องนี้ ไม่อยากให้มี เพราะเราเห็นหลวงตา หลวงตาท่านมองโลกและก็ตัวท่าน แล้วอย่างเช่นอีกองค์หนึ่งที่ว่าสักแต่ว่า สักแต่ว่า เราก็ค้าน ทีนี้คำว่าค้านอย่างนี้ปั๊บ เราก็ค้านกับหัวโล้นนี้ไป กลัวมันจะเอาไปออกในนี้ไง เราจะดูว่าหัวโล้นมันจะเอาไปออกบ้างไหม ไอ้พิจารณาสักแต่ว่า สักแต่ว่า สักแต่ว่านี่เป็นพระอรหันต์พูดนะ ถ้าเป็นเราพูดไม่ได้ เราถึงพูดกลับ เดี๋ยวนี้เราพูดกลับนะ บอกว่าสมมุตินี่เป็นจริงนะ ชีวิตก็เป็นจริงนะ จิตกับร่างกายนี้เป็นจริงนะ จริงตามสมมุติหมด

    ฉะนั้นไอ้อย่างที่เขาพูดนะ คือหนังสือนี่เขาพูดมานานแล้ว ไอ้อย่างนี้เรารู้มานานแล้ว แต่วันนี้ เอามานี้ เราพูดเป็นหลักฐาน เมื่อก่อนเรื่องนี้เราไม่เคยพูดเลยนะ แต่เดิมก่อนหน้านั้นเราจะไม่พูดเรื่องนี้ เพราะสังคมนะ เราเป็นลูกศิษย์หลวงตา หลวงตาท่านเตือนมาบ่อย บอกอย่าเป็นโรคตาแดง โรคตาแดงคือโรคอิจฉา เห็นใครได้ดีตาแดงไง เราไม่อยากพูดเพราะเรากลัวเป็นโรคตาแดง ชาวบ้านจะเข้าใจผิดว่าเราเป็นโรคตาแดงคือเราอิจฉาตาร้อนเขาไปทั่ว

    สังเกตเรื่องนี้เราไม่เคยพูดเลย อย่างนู้นก็เหมือนกัน อย่างอะไรนะ โอนบุญ โอนบุญ เราไม่พูดถึงเลยเพราะพูดออกไปเขาจะหาว่าเราอิจฉาไง ใครดังไม่ได้นะ ใครดังก็เที่ยวอิจฉาเขาไปทั่วเลย เราถึงพยายามจะไม่พูด แต่คราวนี้จะพูด เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันตกกระไดพลอยโจน เพราะเขาเอาชื่อเราไปอ้างอิงบ่อยใช่ไหม เราได้ตกกระไดลงมาแล้วนะ พอเราตกกระไดลงมาแล้วเราต้องรับผิดชอบ

    เราจะพูดละ แต่เดิมไม่ค่อยพูดเรื่องนี้นะ ไม่พูด ไม่พูดเพราะว่าเขาเป็นพระด้วยกัน แล้วเขาจะทิฐิของเขา อย่างที่สงสารขนาดไหนมันก็กรรมของสัตว์ แต่คราวนี้เราตกกระไดลงมาแล้ว ไอ้หัวโล้นมันทำให้กูตกกระได เราจะพูดละ มีมาสิ อย่างนี้ค้านหมดเลย ค้านหมด ไม่เป็นอย่างนี้หรอก อย่างที่ว่า ครั้งสุดท้ายที่คุยอยู่กับน้องชาย เขาจะบอกว่าเขาได้อีกขั้นหนึ่ง “ขณะนั่งสนทนาธรรมอยู่กับน้องชายจิตเกิดรวมวูบลงไป มีการแยกความว่าง ซึ่งมีขันธ์ละเอียด วงเล็บวิญญาณขันธ์ออกอีกทีหนึ่ง แล้วจิตก็หัวเราะออกมาเองโดยปราศจากอารมณ์ วงเล็บร่างกายไม่ได้หัวเราะด้วย เป็นการหัวเราะเยาะเย้ยกิเลส มันผูกมัดมานาน ต่อไปนี้จิตจะไม่..เป็นอิสระขึ้นมาแล้ว”

    นั่งคุยกับน้องชายแล้วเกิดวูบ เรามีอาการความดีใจหรือมีความสุข โทษนะ คนกินเหล้า แหม่ มันได้จิบ ไอ้นี่ ไวน์นะ มันได้จิบแรกนี่ โอ้โฮ ว่าง มันปล่อยหมดเลย มันเป็นพระอรหันต์ไหมนะ ไม่เป็นอย่างนี้หรอก จิตมันลง มรรค ๘ นะ สติพร้อมปัญญาพร้อม มีเหตุมีผล มีมรรคญาณ มรรคญาณคือมรรครวมตัว มีกิเลส มีสถานที่ มีความพร้อม หลวงตาท่านพูดขนาดว่าครั้งสุดท้าย ของท่าน จิตมันเกิดมัธยัสถ์ จิตมันเกิดมัธยัสถ์คือมันหดตัวเข้ามาเป็นตัวของมัน เป็นอิสระของมัน
     
  14. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    อืม..........สมัครแล้วโพสเพื่อการนี้โดยเฉพาะเลยหรือครับ

    แล้วเอามาจากที่ไหนครับ อ่านหนังสือหลวงพ่อปราโมทช ให้พระอาจารย์สงบฟัง

    แล้วท่านตัดสินตามตัวหนังสือเลยหรือ ช่วยยกเทศน์ของท่าน...ตรงนี้มาให้ฟังด้วยครับ



    แล้วถามนิดหนึ่ง....เพราะอะไร ทำไมคุณเชื่อพระองค์หนึ่ง แล้วทำไมไม่เชื่อพระอีกองค์หนึ่ง

    เชื่อเพราะอะไร คุณตัดสินด้วยตัวเองหรือไม่ หรือเชื่อเขามาอีกที.......ครับ

    หากตัดสินด้วยตัวเอง....ตรงไหนที่คุณบอกว่าผิดครับ จะได้คุยกัน

    หากเชื่อเขามาอีกที....ถามนิดหนึ่งว่าคุณเชื่อเพราะอะไร.....ครับ
     
  15. ตถาตา.

    ตถาตา. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +30
    คนโง่ก็โง่อยู่วันยังค่ำ จะสอนให้ฉลาดทั้งหมดมันเป็นเรื่องยาก ถ้าสอนง่ายแล้วไซร์คงไม่โง่จนถึงทุกวันนี้หรอก
     
  16. poppykun

    poppykun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +82
    นี่มันมาจากบันทึกไม่ลับอุบาสกนิรนามที่โดนหลายต่อหลายคนชำแหละไปแล้วนี่
    จากเทศน์ของหลวงพ่อสงบ ก็แทบจะผิดทั้งตรรกะทางโลกและผิดทั้งหลักธรรมคำสอนเลยมิใช่หรือ
    จนมาอีกทฤษฎีหนึ่งบอกว่า บทความนี้เป็นแค่ นิยายเรื่องหนึ่ง เอามาเป็นสาระมิได้

    จขกท น่าที่จะมีเจตนาดี แต่คงต้องติดตามข่าวสารให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะจาก
    antiwimutti.net หลายๆเรื่องไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้
     
  17. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ขอโทษทีน่อ เพิ่งเข้ามาอ่าน เจตนาของผมหรอ ก็ไม่มีอะไรมาก ตรงตามที่หลวงตามหาบัวท่านเทศน์ คือให้ระวังมหาภัยในวงวงกรรมฐาน ส่วนว่าใครคือมหาภัยนั้น ผมไม่ทราบ ใครจะคิดว่ามหาภัยเป็นใครก็เรื่องของเขา
    เจตนาของผมมีแค่ช่วยกันระวังมหาภัยเท่านั้น
    ถ้าคุณโปไม่ชอบใจ ผมจะเอาเรื่องมหาภัยในวงวงกรรมฐาน ไปโพสในกระทู้ของหลวงพ่อสงบด้วย

    เอ่อ ว่าแต่ที่คุณโปบอกว่าหลวงตาพูดถึงพระอีกองค์นี้องค์ไหนหรือ บอกมาสิ
    ถ้ามีหลักฐานยืนยันด้วยก็ยิ่งดี

    เผื่อคนอื่นที่เขาเข้าใจผิด แล้วคิดว่าพระปาโมดเป็นพระที่หลวงตาพูดถึง เขาจะได้เข้าใจได้ถูกต้องไง<!-- google_ad_section_end -->
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  18. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    รู้ว่าไม่ใช่ก็พอแล้วครับ....


    ผมไม่ประสงค์จะออกนาม....
     
  19. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ผมรู้นะคุณชาติว่าหลวงตาท่านหมายถึงพระองค์ไหน
    ถ้าผมบอกออกมานี่หลายคน อึ้ง...เลยล่ะ

    แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่หลวงตาเทศน์นี่
    เป็น อกาลิโก นะ ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา
    เมื่อเป็นธรรมแล้ว เมื่อไหร่ก็เป็นธรรมเสมอ

    ไม่มีครึมีล้าสมัย เป็นปัจจุบันเสมอ

    เฮ้อ...ทุกขัง นะ
     
  20. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    หลวงตาหมายถึงใครครับ แล้วคุณเตชพโลมีหลักฐานด้วยหรือไม่ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...