ผมอยากรู้

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย vera_p, 18 มิถุนายน 2009.

  1. ustharos

    ustharos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +70
    มีหูทิพย์ ตาทิพย์ เป็นคุณเครื่องกำจัดกิเลสได้นะ
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอาศัยวิชชานี้นี่แหละ ในการกำจัดอวิชชา กิเลส ตัณหาอุปาทาน
    บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ต้องเห็น มีตาทิพย์ มีทิพยจักษุ เห็นชาติกำเนิดในอดีตของตนเอง และผู้อื่น ดี เลว ละเอียด ประณีต ได้ดี ตกอยาก ย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ ถือเป็นปัญญา ๒ ชั้น

    จุตูปปาตญาณ ต้องเห็น มีตาทิพย์ มีทิพยจักษุ เห็นการจุติ ปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลาย ทำกรรมอย่างไรๆ ไปเกิดในกำเนิดอย่างไรๆ ดี เลว ละเอียด ประณีต ได้ดี ตกอยาก ย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ ถือเป็นปัญญา ๒ ชั้น
     
  2. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588


    เอาแล้วไงทีนี้ ตั้งประโยคแนวปัญหามาให้ผมวิจารณ์อีกแล้วไง เหอๆ

    ถูกแล้วครับ ที่ใช้ญาณเหล่านี้เป็นอุบาย เป็นเครื่องมือ เป็นอุปกรณ์ในการตัดอวิชชา อันข้อนี้ควรที่จะสาธุกับ ท่านustharos ด้วย(ถ้ามองในแง่บวก

    แล้วน่ายินดีไม่น้อย) แต่ผมไม่ขออ้างประโยคธรรมเหล่านี้ได้มั้ย ผมอยากจะเสนอให้เป็นธรรมแบบสมภูมิของโพธิสัตว์หน่อย ฮึฮึฮึ

    แต่ข้อความเหล่านั้นมันเป็นข้อความของสามัญโพธิสัตว์ระดับไหนๆก็ตอบกันได้ และรู้กันหมดแล้ว(ฝ่ายปฏิบัติ) ไม่น่าจะเอามาพูดให้มันเสียวิสัย

    ของพระโพธิสัตว์ ควรศึกษาแบบสมภูมิกว่านี้หน่อย เหมือนจะดึงพระโพธิสัตว์ให้ตกต่ำเลย เหอๆ เอ่่าหล่ะสิ มีประโยคล่อเเหลมแบบชกหน้ากัน

    แล้วสิเนี้ย เหอๆ อ่านแล้วห้ามชกผมนะ ท่านustharos ฮาฮาฮา

    ท่านเมเขาเปิดใจบอกมาแล้วว่าไม่มีธรรมพิเศษอะไรอยู่ในตัวเลย ได้แต่ทำบุญสร้างบารมีไปเรื่อย ปราถนาไปเรื่อยๆ ผมมองเห็นว่า เขาผู้นี้เป็นคนมี

    ภูมิจิตกับภูมิธรรมเสมอกัน รู้อย่างไงบอกอย่างงั้น ไม่อาย ทรงแบบไหนก็สื่อสารแบบนั้น รู้จักสำรวมจิต ถ่อมจิตใจตน นี้มันต้องอย่างนี้ คน

    บำเพ็ญ

    ไม่เหมือนคนทั่วๆไป ที่ได้ของดีขึ้นมาหน่อย ได้หูทิพย์ตาทิพย์รู้วาระจิตคนระลึกชาติอะไรต่ออะไรอีกมากมาย ก็วิ่งไปอยู่กับของเหล่านั้น ไม่ค่อย

    รู้สำนึกตัวเองว่า จะมีความรู้พิเศษขนาดไหนก็ยังต้องเดินดินกินข้าวอยู่วันยังค่ำ เข้าใจรู้เรื่องแต่ตัวเองคนเดียว เหมือนคนบ้า ไม่ได้นำเอามาเป็น

    อุปกรณ์ในการชำระกิเลส ให้มันลึกซึ้งลงไปอีก แต่กลับไปหลงความรู้เหล่านั้นอีก เพ่งมองชื่นชมยินดีในธรรมสมบัติเหล่านั้น อันข้อนี้ผมถึงบอกว่า

    ให้ท่านเมปฏิบัติอย่างที่ท่านเป็น (ไม่ใช่บอกให้ย้ำอยู่กับที่เมื่อไร) วิเศษขนาดไหนก็ต้องเป็นคนธรรมดาอยู่ดี เป็นกันยากนะท่านustharos พวกที่ิ

    วิเศษไปแล้ว จะให้กลับมาเป็นคนธรรมดายากสุด เหอๆ

    ท่านคงเคยได้ศึกษาอ่านเรื่องของพระอชิตะภิกษุ(พระศรีอาริยะ)ตอนพระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์แล้ว พระอัครสาวกทั้ง 2องค์ก็อยู่ในที่นั้น และพระ

    เถระผู้ใหญ่ก็อยู่กันเยอะ ยังไม่มีใครรู้ว่าท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเลย ตรวจความเป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้สักองค์ และท่านพระศรีอาริยะ

    ฤทธิ์ก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี มีแต่ใจล้วนๆ ทั้งๆที่มีอยู่เต็มบริบูรณ์ นี้แหละเป็นคนธรรมดาเป็นยาก เป็นพระธรรมดายิ่งเป็นยาก สมัยนี้มีแต่ราคาโฆษณา

    เท่านั้น

    ท่านustharos เชื่อมั้ยว่าคนที่ได้มโนยิทธิ หรือ วิชา 3 วิชา 8 อะไรมากมายเป็นต้น ล้วนแล้วจะมีความรู้สึกเป็นทิพย์ ถ้าไม่เป็นทิพย์ก็จะไม่มีวิชา

    เหล่านี้เกิดได้อันนี้เข้าใจกันหมดแล้ว อันนี้ทุกฝ่ายสรรเสริญเป็นความดี ผมก็สรรเสริญ และยินดีกับคนที่ได้ เพราะไม่ไช่ได้กันง่ายๆ มันเป็นอุตริมนุ

    สสธรรม ธรรมอันยิ่งของสัตว์โลกที่ทำได้ยาก ความดีนี้ไม่พรรณาใ้ห้มากความ



    *********************************************


    คนปุถุชนเปรียบเหมือนคนตาบอด
    คนที่มีญาณเปรียบเหมือนคนตาดี เพราะมีญาณ มีเหตุผล ข้อนี้ท่านคงทราบชัดดีแล้ว

    บุคคลแรกผมไม่อธิบายนะ ส่วนบุคคลที่ 2เปรียบเหมือนคนตาดี ท่า่นเคยเห็นคนตาดีมั้ย จับคนตาดีมาสัก 5 คน แล้วก็ให้มองที่ท้องฟ้าดูก้อนเมฆ

    แล้วถามคนเหล่านั้นว่าเห็นเป็นอย่างไง ท่านเชื่อมั้ย ว่าคนทั้ง 5 คนนั้นจะตอบไม่เหมือนกัน บางคนบอกว่า เ็ห็นเป็นรูปพระ บางคนเห็นเป็นรูปนก

    บางคนเห็นเป็นคนยืน บางคนเห็นเป็นหัวพญานาค หรืออีกอย่างให้คนเหล่านั้นดูที่แก้วน้ำ แล้วถามคนเหล่านั้นว่าเป็นอย่างไร คนเหล่านั้นก็จะตอบ

    ว่า แก้วเล็ก แก้วใหญ่ แก้วใส แก้วสูง แก้วต่ำ ไม่เหมือนกันทุกคน คนมีตาดีมองเห็นไม่เหมือนกันหรอก อันนี้เป็นความจริง เพราะฉนั้นการมอง

    เห็นของคนตาดีก็มีไม่เท่ากัน คุณสมบัติพิเศษของคนตาดีก็มีไม่เท่ากัน ตัดสินอะไรไม่ได้ ไม่แน่นอน แต่ของพระพุทธเจ้าแน่นอนที่สุด นอกกระนั้น

    เชื่อไม่ได้ ขนาดพวกเทพ พรหมที่ทรงความเป็นทิพย์ยังมีเพี้ยนได้ นี้เรามีความเป็นทิพย์ในร่างคนนะ พร้อมที่จะเพี้ยนได้ทุกๆขณะทีเดียว เพราะ

    ฉนั้นอย่ามั่นใจวางใจในของวิเศษเหล่านั้นเลย

    ท่านอาจจะบอกว่า มันเปรียบอย่างนี้ไม่ถูกหรอก ผมจะบอกว่า คนมีญาณระดับไหนๆแม้กระทั้งพระอริยะชั้นสูงก็ไม่สามารถละทิ้งก้อนธรรมวาสนา

    ของตัวเองได้หรอกครับ เพียงแต่ชำระให้เบญจขั้นทั้ง 5 หมดจดจากอวิชชา ตัณหา อุปาทานเท่านั้น ทำลายก้อนธรรมวาสนาไม่ได้เหมือนพระ

    พุทธเจ้า อุปมาเหมือน การล้างภาชนะที่สกปรกมีมลทินไปด้วยคราบน้ำมันต่างๆเป็นต้น พอชำระล้างเสร็จแล้วก็จะคงมีภาชนะที่สะอาดเป็นที่ปรากฏ

    ข้อนี้เป็นฉันใด พระเถระทั้งหลานก็เป็นฉันนั้นเหมือนกัน ฉะนั้นพระเถระเจ้าทั้งหลายจึงเรียกตัวเองว่า อาตมะ เป็นภาษาบาลี อาลปนะ ปุงลิงค์ (จะรู้

    จักมั้ยเนี้ยะ) ภาษาฝรั่งเรียกว่า อะตอม คำเหล่านี้หมายความว่า อังคะธาตุเดียว ธาตุที่ไม่มีความสามารถใดๆ ข้อนี้เป็นตำนานที่มาของคำว่า อาตมะ

    เป็นคำใช้แทนตัวตนของพระเถระเจ้าทั้งหลาย คุณสมบัติธรรมของอาตมาจงยกไว้ก่อน ด้วยเหตุที่ว่า อาตมาก้อนนี้ยังอาศัยรูปนามขันธ์ 5อยุ่ ก็ยัง

    คงมีอุปาทานอยู่ แต่เป็นอุปาทานที่กำเนิดจาก วิชชา ไม่เป็นทุกข์ ไม่ใช่กำเนิดจาก อวิชชา อันนี้เป็นทุกข์แน่ๆ
    อวิชชาทั้งสายให้ผลเป็นทุกข์ วิชชาทั้งสายให้ผลเป็นสุข

    ส่วนพระพุทธเจ้าจะเรียกตัวเองว่า ตถาคต เป็นอาทิ หาก้อนธรรมวาสนาไม่ได้ แปลว่า มาอย่างไร ไปอย่างนั้น เป็นต้น เพราะพระองค์เรียกตาม

    สภาวะธรรมอันเป็นส่วนของพระองค์ สัตวะอื่นๆจะใช้นามนี้ไม่ได้ ส่วนเรื่องเปรียบเทียบอย่าถามหาเลย ถ้าใครคิดเรื่องวิสัยของพระตถาคตเจ้า เป็น

    ผู้มีส่วนของคนบ้า ปล่อยให้คนบ้า...............คิดไปคนเดียวพอ เหอๆ

    เพราะฉะันั้นผมจะบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นภูมิชั้นไหนๆ แม้กระทั้ง อริยะภูมิ ก็มีการมองเห็นไม่เท่ากัน เเละเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงมีการจัดระดับของพระ

    อริยะออกเป็นประเภทๆ


    ************************************************

    คนที่เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ต้องการความดีระดับสูงขึ้นไป เขาไม่จมอยู่กับความรู้เหล่านั้น ดูเหมือนเขาไม่ให้ความสำคัญในของวิเศษเหล่านั้นเสีย

    ด้วยซ้ำ เขากลับให้ความสำคัญในการเพ่งโทษในญาณเหล่านั้นเข้าไปอีกด้วยหลักปฏิจจสมุปบาทธรรม นี้เป็นศีลของโพธิสัตว์ (ศีลชั้นนี้หมายถึง

    เพ่งโทษ จับผิด สำรวม เฝ้าระวัง ถ่อมตนในของวิเศษที่ตนมี) เช่นผู้ที่ได้ฤทธิ์ที่เป็นคนไทย ขึ้นไปเที่ยวสวรรค์ชั้นฟ้า ก็จะเห็นเทวดาพรหมเป็น

    เครื่องทรงของคนไทยไปสะหมด ไม่เหลือรูปแบบของเทวดาพรหมในเีครื่องทรงของประเทศอื่นบ้าง หรืออีกอย่างถ้าท่านเป็นพม่า ก็จะเห็นเทวดา

    ในรูปแบบเครื่องทรงของพม่าเสียทั้งหมดเหมือนกัน เทวดาฝรั่งก็เป็นแบบฝรั่ง เทวดาของอินเดียก็เป็นแบบอินเดีย เถียงกันไม่รู้จักจบ ไม่ยอมให้

    ประชาชนจากประเทศอื่นได้เป็นเทวดาในรูปแบบของเขาบ้าง ลำเอียงในจิตด้วยชาติภูมิของตนชัดๆ ไม่รู้จักรองรับความกว้างใหญ่ของความเห็นที่

    มีแตกต่างกัน (ที่เรียกว่าคลองแห่งพุทธ) พอคนหลายๆเผ่าพันธ์ มาสนทนากันในเรื่องแบบนี้ก็เถียงกันตาย เพราะการมองเห็นไม่เ่ท่ากัน น่าเศร้า

    เน๊าะ เอาแต่รูปแบบของตน เป็นอัตตาละเอียดยิบเลยรู้หรือป่าว

    ข้อนี้มันเป็นอุปาทานขันธ์ของคนแต่ละชนชาติเชื้อชาติ ถูกธรรมเหล่านี้ปกปิดเอาไว้ไม่ให้รู้ตามเป็นจริง มีอวิชชาอยู่ตราบใดก็ยังมีความลำเอียงอยู่

    ตราบนั้น
    พระโพธิสัตว์ผู้หวังความเจริญในญาณวิถีให้สูงก็ต้องเพียรเพ่งจับผิด กำหนดโทษของญาณต่างๆ(ไม่เว้นแม้แต่ญาณของอริยะด้วย)ที่ได้มา ลงลึก

    ไปจนหาอะไรไม่ได้
    (อวิชชาไม่ใช่มีแค่ชั้นพระสาวกอย่างเดียว ยังมีอวิชชาระดับชั้นปัจเจกบุคคลด้วย ท้ายที่สุดเป็นอวิชชาระดับพุทธภูมิ )

    ตามธรรมดาคนทำทองเขาไม่สนใจในคุณค่าของทองอยู่แล้ว กลับเพียรเพ่งขัดสีมลทินของทอง ยิ่งขัดยิ่งขึ้นเงา แต่ก็ยังไม่พอใจในสีแสงของทอง

    ฉันใดก็ฉันนั้น พระโพธิสัตว์ผู้มีตบะสูงย่อมไม่พอใจในญาณที่ตนได้เหมือนกัน บางท่านอาจจะมองไม่เห็นมลทินในธรรมวิเศษเหล่านั้น อันนี้ก็ไม่

    ใช่ความผิด เพราะถือว่าเป็นของดี หึหึหึ



    *************************************************


    พระโพธิสัตว์ผุ้มีญาณสูงจึงไม่ยินดีชื่นชมในญาณเหล่านั้นถึงแม้คนอื่นจะ ประกาศโฆษณาญาณอันสูงล้ำเฉพาะตนเพียงใดก็ไม่สามารถทำให้ท่าน

    สรรเสริญจากใจ ของท่านได้ (ข้อนี้ควรระวังอัสสมิมานะในภพต่อไป จะเป็นเอาหนัก) พระโพธิสัตว์เขาเพียรเพ่ิงกันอย่างนี้ ตั้งตัวเองเป็นฝ่ายมาร

    ตรวจสอบความดีของตัวเองเสมอ ไม่งั้นจะเป็นครุของมารได้เหรอ

    พูดพิมพ์มาตั้งเยอะ สรูปความว่าตั้งตัวเองเป็นฝ่ายมาร ตรวจสอบความดีของตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะมีธรรมญาณสูงเพียงใด วิเศษถึงขั้นไหน ชั้น

    ไหนระดับไหน ภูมิอะไร จับผิดมันให้หมด นี้มันเป็นเหตุแห่งธรรม เป็นศีลธรรมของโพธิสัตว์ อยากได้ลูกมรรคลูกผล ไม่จับต้นมรรคต้นผลเขย่า

    ด้วยกำลังตน จะได้กินแต่ที่ไหน

    เห็นมั้ยท่านustharos ท่านแย่ผมด้วยประโยคนิดเดียว ผมเล่นตอบสะยาวเหยียดเลย หุหุหุ ผมหวังว่า วิญญาณของท่านกับวิญญาณของผมที่สิงอยู่

    ในรูปประโยคเหล่านี้จะไม่ทะเลาะกันหรอกนะครับ

    พูดคุยกันแค่แรกเปลี่ยนความฟุ้งซ่านของกันและกันเท่านั้นเน้ออออออออออ...
     
  3. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    ต่อเติมอีกหน่อย ขนาดเทวดา พรหมทั้งหลายทรงความเป็นทิพย์อยู่ปกติ มีระลึกชาติตัวเองได้มากมาย หูทิพย์ตาทิพย์ รุ้วาระจิตของกันและกัน มีฤทธิ์มากมาย ยังไม่สามารถนำตนออกจากกองขันธ์ 5ไ้ด้เลย ปุถุชนเยอะมากมายเต็มสวรรค์ภูมิไปหมด นับประสามนุษย์อะไร

    ผมถึงบอกไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ทำศีลพระโพธิสัตว์ให้เกิด จนทำให้เทวดาอินทร์พรหมองค์ใดในทุกๆจักรวาลไม่สามารถรู้ว่าเราเป็นใคร อันนี้ใช้ได้

    ของดีไม่จำเป็นต้องปกปิด และไม่จำเป็นต้องเปิดเผยให้เสียของ

    ทำตนให้เสมอด้วยแผ่นดิน แผ่นน้ำ ท้องฟ้า อากาศ ถึงแม้ว่าเหล่าส่ำสัตว์จะอาศัยดื่มกินใช้สอยอยู่ทุกๆวัน แต่ในใจของส่ำสัตว์ก็หาได้่รู้ซึ่งคุณของแผ่นดิน แผ่นน้ำ ท้องฟ้า อากาศนั้นไม่ ทั้งๆที่แผ่นดิน แผ่นน้ำ ท้องฟ้าอากาศก็ยังคงมีปรากฏอยู่ทุกๆวัน ฉันใดก็ฉันนั้น
     
  4. ustharos

    ustharos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +70
    ไม่ทะเลาะกันหรอก เป็นการขยายอรรถ โดยที่ผมไม่ต้องขยายความเอง มีท่านขยายความให้ ดีครับ ถ้าจะพูดว่า ช่วยขยายความหน่อย ท่านคงขยายไม่ถึงใจ ต้องกระตุ้นธรรมแบบสะกิตใจ
     
  5. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    ความรู้เต็มเปี่ยมเลยค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  6. มาร-

    มาร- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +487
    เอวัง โหนตุ
    จงสมหวัง ทุกประการ เทอญ


    .....................................
     
  7. มาร-

    มาร- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +487
    เอวัง โหนตุ
    จงสมหวัง ทุกประการ เทอญ


    .....................................
     
  8. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    หมั่นเข้ามาอ่านบ่อยๆนะครับ
     
  9. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    น่าสนุกจังเลยครับ อิอิ
     
  10. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ท่าน อนันตชิน ครับ
    ผมเองไม่เคยได้ยินเรื่องนี้จริงๆๆครับ แต่ไม่เป็นไรครับ ท่านอนันตชินถามผม ผมเองก็ไปค้นใน กูเกอร์ มานะครับ คล้ายๆๆของท่านเลยนะครับ แต่ไม่รู้จะตอบดีไหมนะครับ .... ตอบเลยละกัน คงไม่ว่ากันนะครับ



    การศึกษาเรื่อง " พุ ท ธ เ ข ต " ซึ่งประกอบด้วย

    1. ชาติเขต

    2. อาณาเขต

    3. วิสัยเขต

    มี นัยยะ 2 นัยยะ คือ

    1. นัยยะแห่ง " อรรถกถามหาโควินทสูตร " อรรถาธิบายใน "พรหมนิมันตนิกสูตร"

    นัยยะแห่ง " อรรถกถาสีหนาทสูตร"

    2. นัยยะแห่ง " อรรถกถาญาณวิภังค์ "


    นัยยะที่ 1 "พุทธเขต" หมายถึง พุทธญาณของพระพุทธเจ้าอันไม่มีที่สิ้นสุด

    " ชาติเขต" หมายถึง " มัชฌิมิกาโลกธาตุ ซึ่งมีประมาณล้านจักรวาฬ "

    " อาณาเขต " หมายถึง " ไตรสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุ ซึ่งมีประมาณ

    ล้านโกฎิจักรวาฬ

    " วิสัยเขต " หมายถึง " อนันตจักรวาฬ และ สมนันตจักรวาฬ อันหา

    ประมาณมิได้


    นัยยะที่ 2 พุทธเขต หมายถึง พุทธญาณของพระพุทธเจ้าอันหาที่สุดมิได้

    " ชาติเขต" หมายถึง กำหนดเขต หมื่นจักรวาฬ ย่อมหวั่นไหวในกาลที่พระ

    ตถาคตเจ้าเสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดา ในกาลที่

    เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ในกาลที่ตรัสรู้ ในกาลที่

    ประกาศพระธรรมจักร ในกาลที่ปลงอายุสังขาร และ

    ในกาลที่ปรินิพพาน

    " อาณาเขต " หมายถึง กำหนดเขต แสนโกฎิจักรวาฬ ที่อำนาจแห่งพระ

    ปริตรทั้งหลาย มีอาฏานาฏิยปริตร โมรปริตร ธชัค

    คปริตร และรัตนปริตร เป็นต้น แผ่ไปในจำนวนจักร

    วาฬ มีประมาณนั้น

    ล้านโกฎิจักรวาฬ

    " วิสัยเขต " หมายถึง จักรวาฬอันไม่มีที่สิ้นสุด



    ใน ขอบเขตทั้ง 4 ในพระพุทธศาสนา

    พุทธเขต คือ พระญาณอันหาที่สุดมิได้ ย่อมได้ฐานะใน

    การกำหนด ชาติเขต อาณาเขต และ วิสัยเขต



    ปล....งัย ก็ขออภัย ท่านอนันตชิน ด้วยนะครับ ที่ข้อมูลคล้ายๆๆกันะครับ
     
  11. หมิงฮุ้ย

    หมิงฮุ้ย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +206
    สาธุ อนุโมทนากับท่านด้วยนะครับ มอบให้ท่านครับ :cool::cool::cool::cool::cool::cool:

    :cool::cool::cool::cool:

    (k)(k)(k)(k)(k)(k)(k)(k)

    ปล...ท่านนี้ก็จริงๆๆ เลยนะครับ อุตสาห์ไปหามาให้อ่าน ขอบพระคุณเยอะๆๆครับผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2010
  12. หมิงฮุ้ย

    หมิงฮุ้ย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +206

    สาธุ อนูโมทนาครับ

    :cool::cool::cool::cool::cool:
     
  13. หมิงฮุ้ย

    หมิงฮุ้ย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +206
    สาธุ ขอกราบๆๆ อนุโมทนากับท่านด้วยนะครับ

    ผมชอบประโยค ขน ของท่านมากเลยนะครับ
    เห้นมาหลายกระทู้แล้วครับ ที่ท่านกล่าวเรื่อง ขน นะครับ

    :cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool:

    ยกนิ้วให้เยอะๆๆเลยครับ อิอิ ( ขำด้วย )
     
  14. คนนะ

    คนนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +221
    โมทนากับ จขกท ด้วย

    ที่มีธรรมแตกต่างจากตำรับตำราแต่รวมลงที่เดียวกัน มาให้ศึกษา เรื่อง เขตทั้ง4


    เป็นรายละเอียดดี


    ส่วนข้อมูลอื่นๆ ก็พอหาได้จากคลังพระปิฏก จากตัวหนอนตำรับตำรา และ จากพวกครูพักลักจำ ถ้าใฝ่ใจค้นหาก็จะเจอ


    ซักสนใจคุณ vera_p ขึ้นเรื่อยๆแล้วแฮ่ะ
     
  15. ไห่เบ้หยิง

    ไห่เบ้หยิง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +89
    เขต ของคุณน่าจะหมายถึงจุดตามนิยามของคณิตศาสตร์ในความรู้ระดับมัธยม เพราะไม่ถือว่ามีเนื้อที่ ไม่มีอาณาบริเวณ ยกตัวอย่างถ้าเป็นปัจจุบันเราดูภาพข่าวการนำเสนอการเลือกตั้ง จะพบว่ามันจะมี ความหน่วงทำให้เกิดเสียงพูดที่ซ้ำ และซ้อน เพราะนั่นอาศัยปรากฏการณ์ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นตัวส่งข้อมูลซึ่งเกี่ยวข้องกับระยะทางและเวลา แต่ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าท่านสามารถเข้าถึงสภาวะจิตสัตว์ทุกตัวที่สั่งสอนได้เท่าเทียมกันหมดและในเวลาเดียวกัน สิ่งเดียวที่อธิบายได้คือ เขตน่าจะหมายถึงจุดจุดหนึ่งที่พระพุทธสามารถเข้าถึงสัตว์ของท่านโดยเท่าเทียมกันหมดในเวลาเดียวกัน มันจึงไม่มีระยะทาง ไม่มีมิติ
     
  16. ไห่เบ้หยิง

    ไห่เบ้หยิง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +89
    อธิบายตามความรู้สึก และการชี้นำมาจากความคิดเห็นก่อนหน้านี้
     
  17. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    โห...........ท่านครับ กราบอนุโมทนาด้วยนะครับ
    ตอบได้น่ารักมากเลยครับ สาธุๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 เมษายน 2010
  18. สมภาพธรรม

    สมภาพธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +845
    เนื่องจากปัญญาผมยังน้อย และไม่ค่อยได้ศึกษาพระไตรปิฎกมากนัก ผมได้เอาปัญหานี้ไปถามท่านอาจารย์กร เกี่ยวกับ พุทธเขต ชาติเขต อาณาเขต และวิสัยเขต ท่านตอบว่า

    "... เป็นปัญหาชาวโลกกัน คำว่า เขต เป็นคำสมมุติที่แสดงพื้นที่บางสิ่งบางอย่าง ถ้าแสดงไว้ในพระไตรปิฎกจะกล่าวอ้างถึงพุทธคุณของพระพุทธเจ้าเป็นที่สุด ไม่มีประมาณ ตั้งแต่การเกิด ธรรมอันไม่มีประมาณ สังฆคุณอันไม่มีประมาณ ขึ้นอยู่กับผู้กล่าวว่า ต้องการจะสื่ออะไรให้ผู้ฟังทราบ แก่นของถ้อยคำที่ออกไป

    ชาติเขตนั้น ท่านหมายถึง บารมีว่าด้วยการเกิดแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอาการวัตตาสูตร ที่กล่าวไว้ชัดเจน วรรคคัพพะวุฏฐานะ

    ... อิติปิโสภะคะวา คัพภะวุฏฐานะ ปาระมิสัมปันโน

    อิติปิโสภะคะวา คัพภะมะละวิระหิตะ ปาระมิสัมปันโน

    อิติปิโสภะคะวา อุตตะมะชาติ ปาระมิสัมปันโน

    อิติปิโสภะคะวา คะติ ปาระมิสัมปันโน

    อิติปิโสภะคะวา อะภิรูปะ ปาระมิสัมปันโน

    อิติปิโสภะคะวา สุวัณณะ ปาระมิสัมปันโน

    อิติปิโสภะคะวา มะหาสิริ ปาระมิสัมปันโน

    อิติปิโสภะคะวา อาโรหะ ปาระมิสัมปันโน

    อิติปิโสภะคะวา ปะรินาหะ ปาระมิสัมปันโน

    อิติปิโสภะคะวา สุนิฏฐะ ปาระมิสัมปันโน....

    ส่วนอาณาเขตนั้น ท่านหมายเอา จักรวาลทั้งปวงอันไม่มีที่สิ้นสุด จะเป็นกี่หมื่นโลกธาตุ แสนโกฏจักวาลก็รวมกันหมดลงที่ กามธาตุ รูปธาตุและ อรูปธาตุ

    วิสัยเขตนั้น ท่านหมายเอาคุณทั้งหมดที่กล่าวไว้ในอาการวัตตาสูตร

    และพุทธเขต ท่านหมายถึง นิพพานธรรม หรือ อมตธรรม หรือ จิตหนึ่ง ผู้ใดตระหนักซึ่งจิตคือพุทธะ ย่อมอยู่ในพุทธเขตหรือพุทธเกษตรตามที่ทางมหายานกล่าวกันไว้

    พุทธเกษตรก็ดี นิพพานธรรมก็ดี อสังตธรรมก็ดี จิตหนึ่งก็ดี พุทธะก็ดี คือคำๆเดียวกัน สภาวะเดียวกัน สุดแล้วผู้กล่าวต้องการแสดงโวหารวิจิตรพิศดารเท่านั้นเอง

    คำว่า พุทธเกษตรอลังการนั้น ไม่ได้หมายความว่าประกอบด้วยเพชรนิลจินดามากมาย หรือใหญ่โตรโหฐาน เหมือนทางโลกที่เข้าใจกัน แต่เป็นการกล่าวเปรียบเทียบสภาวะนิพพานธรรมนั้น อลังการเพราะพ้นเหตุเกิด เหนือตาย เหนือบุญบาป เหนือสุข เหนือทุกข์ อิสระ ไร้ตำหนิ สมบูรณ์ด้วยทุกสิ่ง ไม่พร่อง ไม่ล้น ไม่มีทุกข์ ไม่มีสมุทัย ไม่มีนิโรธ ไม่มีมรรค

    ถ้าเห็นอย่างนี้ด้วยจิตตน เรียกว่า เข้าถึงพุทธเขตด้วยตน ด้วยความสามารถแห่งตน

    มีอะไรมาถามอีกหรือเปล่า สื่งที่ถามนั้น ถ้าเกิดจากการภาวนา จะแจ่มแจ้งเป็นที่สุด ไม่สงสัย อยากทราบสิ่งที่ถามให้ภาวนา

    ... อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ ... ตั้งลงที่จิต

    จะทราบทุกอย่างเอง โดยไม่ต้องอ่านหรือถามใครๆ มีปัญญาเป็นของๆตน มีปัญญาเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ย่อมไม่งมงาย และเชื่ออะไรง่ายๆ ถ้ายังไม่แจ้งชัดด้วยตนเอง จากภายในที่ฝึกดีแล้ว..."
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2010
  19. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
  20. ชินะ

    ชินะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +32
    ธรรมใดๆ เป็นธรรมลักษณะ ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มัวหมอง ไม่ผ่องแผ้ว ไม่เพิ่ม ไม่ลด
     

แชร์หน้านี้

Loading...