พลังบุญ-พลังจิต เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 19 มีนาคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ปุจฉา
    พลังบุญ-พลังจิต เหมือนกัน หรือ ต่างกันอย่างไร และ อย่างไหนมีพลังมากกว่ากัน

    วิสัชนา
    ต่อคำถามที่ว่า ระหว่าง พลังบุญ กับ พลังจิต อันไหนมีพลังมากกว่ากัน เหมือนกัน หรือ ต่างกันอย่างไร

    คำตอบคือ ไม่เหมือนกัน แต่ บุญ เป็นเหตุแห่งจิต และจิต เป็นผลแห่งบุญ บุญเป็นอาหารแห่งจิต ดั่งแสงแดดเป็นตัวการสำหรับปรุงอาหารให้กับต้นไม้

    จิตนั้นไร้รูปร่าง เหมือนสุญญากาศ และมีพลังอันยิ่งใหญ่แฝงอยู่ พระพุทธเจ้าเรียกว่า สุญญตา คือ ความว่าง ความโปร่ง ความโล่ง ความเบา และสบาย ละเอียดยิ่งกว่า สุญญากาศ ผู้ที่เข้าถึง พลังแห่งจิต คือ ผู้เข้าถึงโลกและจักรวาล

    พระศาสดาผู้เข้าถึงพลังนี้ พระองค์จึงเรียกขานตัวเองว่า เราคือโลก โลกคือเรา จิตคือโลก โลกคือจิต จิตคือเรา เราคือโลก

    หลวงปู่อาจจะเคยพูดว่า บุญเป็นพลังงานอนันต์ ทำให้คนเป็๋นพระพุทธเจ้า บุญเป็นพลังงานอนันต์ ทำให้ยาจกเป็นพระราชา ทำให้คนธรรมดาเป็นเหนือธรรมดา บุญเป็นพลังงานอนันต์ ที่ทำให้คนใกล้ตาย กลับไม่ตาย และทำให้ได้พบความสำเร็จลุล่วงได้ตามประสงค์

    แต่บุญก็ยังเป็นพลังงานที่รองลงมาจากพลังงานอมตะแห่งจิต ถึงแม้ว่าเราจะปฏิเสธการเรียนรู้เรื่องจิต แต่ทุกคนมีพลังจิตชนิดนั้นอยู่ หากไม่ได้พัฒนา และไม่รู้จักวิธีใช้ บางทีเราก็ใช้อย่างฟุ่มเฟือยและไม่รู้จักรักษาเพิ่มเติม

    จิตทุกดวงมีพลังอมตะ และเท่าเทียมกัน ต่างกันตรงที่คนคนนั้นจะเข้าถึงจิตของตนมากน้อยอย่างไร บุคคนนั้นๆ จะเปิดประตูแห่งวิญญาณไปรู้จักหน้าตาแห่งจิตแท้ๆ อย่างละเอียด หยาบ สุขุม ลุ่มลึก หรือรู้จักแบบความไม่มีอะไร

    เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงสอนให้เราเข้าถึงจิตของตน และ พระองค์ก็ทรงชี้ประโยชน์แห่งการเข้าถึงจิตของตนว่า ผู้นั้นจะดับและเย็น นั่นคือ นิพพาน ซึ่งผู้มีบุญหรือมีเพียงพลังงานบุญ ไม่สามารถผลักดันให้ถึงนิพพาน อันแปลว่า
    ดับและเย็นได้

    พลังงานชนิดเดียวเท่านั้นที่ทำให้เข้าถึงนิพพานได้ คือ พลังแห่งจิต

    พลังงานวิเศษซึ่งเป็นพลังงานอมตะนั้น ไม่ใช่ได้มาจากที่อื่น ไม่ใช่ได้มาจากครูคนใด ไม่ใช่ได้มาจากพระพุทธเจ้าประทานให้ แต่ได้มาจากหัวใจที่เอื้ออารี และเต็มเปี่ยมด้วยคุณความดี ที่เรียกขานกันว่า "ผู้มีบุญ" และมันก็ได้มาจาก การทำกรรมดี ที่เรียกว่า ทำบุญ แต่สุดท้าย ต้องไม่ยึดติดในบุญ

    นักบวช ผู้เป็นสาวกแห่งพระศาสดา คือ ผู้ที่ทำหน้าที่บริหารบุญ และให้แล้วซึ่งบุญ ต่อ ทายก ซึ่งก็คือ ผู้ให้ หรือ ผู้ต้องการบุญ เพื่อพัฒนาไปสู่พลังงานอนันต์ เนื่องจากบุญเป็นอาหารแห่งจิต ผู้มีบุญเท่านั้นจึงจะถึงพลังแห่งจิตได้

    พระพุทธเจ้า จึงสอนให้พวกเราทำบุญ 10 ประการ คือ๑. ให้ทาน ๒. รักษาศีล ๓. ฟังธรรม ๔. แผ่เมตตา ๕. เจริญภาวนา ๖. ทำหน้าที่ของพ่อ แม่ ลูก ๗. อ่อนน้อมถ่อมตน ๘. ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นทำดี ๙. ปฏิบัติธรรม ๑๐. ทำความเห็นให้ตรงและถูกต้อง

    เมื่อเข้ามาสู่ประตูแห่งคำว่า "บุญ" คือ เต็มเปี่ยมไปด้วยบุญทั้งปวงแล้ว ก็ ละ วาง แม้แต่ บุญ ก้าวล่วงพ้นคลังบุญ เข้าสู่ความว่าง เข้าสู่วิญญาณแห่งสุญญตา เมื่อใดที่ทำได้ เมื่อนั้น ก็จะเข้าถึงนิพพาน อันแปลว่า ดับ และ เย็น นั่นเอง

    นี่คือ วิธีเข้าถึงพลังงานอนันต์ ถ้าเปรียบเป็นวิทยาศาสตร์ มันก็เหมือนกับกระสวยอวกาศ ยานอวกาศ ที่หลุดออกไปพ้นจากแรงดึงดูดของโลก เพิ่อก้าวล่วงข้ามไปสู่วงโคจรแห่งจักรวาลได้ ก็ต้องอาศัยเชื้อเพลิงที่จะผลักดันเอายานอวกาศลำนั้น ให้หลุดไปจากแรงดึงดูดของโลกก่อน เมื่อเชื้อเพลิงมันผลักดันเอากระสวยอวกาศให้หลุดออกไปได้แล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็จะใช้วิธีคำนวณเพื่อจะสลัดหลุดจากแหล่งเชื้อเพลิง
    อันนั้น

    ต่อไป ก็จะเดินทางด้วยพลังอีกชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ พลังบุญ เป็นพลังงานที่จะผลักดันเอากระสวยอวกาศ ให้พ้นจากแรงดึงดูดของโลกจิต เมื่อกระสวยอวกาศพ้นจากแรงดึงดูดของโลกแล้ว ผู้ควบคุมยานอวกาศลำนั้น ก็จะทำหน้าที่กดปุ่ม เพื่อจะสลัดเอาเชื้อเพลิงที่ติดมากับกระสวยอวกาศนั้น สลัดให้หลุดและทิ้งไป และก็จะใช้พลังงานชนิดใหม่ที่เบา แข็งแรง มีพลัง และต้านแรงกดดันได้เป็นเยี่ยม และเชื้อเพลิงชนิดนั้นก็ต้องเปรียบได้ว่าเป็นพลังจิต

    เพราะฉะนั้น พวกเรามีหน้าที่ที่จะทำให้หลุดออกไปจากโลกนี้ให้ได้ แล้วพลัง ๒ ชนิด ที่จะทำให้เราหลุดออกไปจากโลกนี้ก็คือ พลังงานอนันต์ คือ พลังบุญ กับ พลังแห่งจิต นั่นคือ พลังอมตะ

    พวกเราก็เหมือนกัน มีหน้าที่ที่จะพัฒนาชีวิตให้เข้าไปสู่พลัง ๒ ชนิด แล้วก็เป็นหน้าที่ที่พระศาสดา องค์พระสัมมาสัมพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ ผู้สืบทอดและสั่งการกันต่อๆ มา ในตระกูลศากยะ และ ชาวพุทธทั้งปวงให้รู้และเข้าใจ

    นักบวชในศาสนานี้ มีหน้าที่มาช่วยปลดปล่อยประชาชาติและสัตว์โลกจากความเป็นทาส เป็นผู้ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้สืบทอดจิตวิญญาณของพระพุทธะ และส่งทอดกันต่อๆ ไป ซึ่งจะต้องเป็นผู้กล้าและผู้อาจหาญ เป็นผู้มีความสามารถ
    ในจิตวิญญาณตน ซึ่งหายากและมีน้อยคนนักที่จะเข้าถึงสัจธรรมแห่งพลังงานนี้ และมีน้อยคนนักที่จะสามารถอธิบายชี้แจงแสดงเงื่อนไขแห่งพลังวิเศษ 2 ชนิดที่มีอยู่ ในพระวรกายแห่งพระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต นั่นคือ 'พลังงานอนันต์'
    ที่เรียกกันว่า 'พลังบุญ' และ 'พลังจิต' หรือ 'พลังอมตะ'

    เราทุกคนจึงมีหน้าที่ที่จะพัฒนาพลัง 2 ชนิดนี้ ให้อยู่ในจิตวิญญาณของเรา เพราะเราล้วนเป็นสาวกของชาวศากยะ มีหน้าที่ที่จะต้องชี้นำ อบรม สั่งสอน และเผยแพร่ 'วิถีทางแห่งความหลุดพ้น' ชนิดนี้ ให้กับหมู่สรรพสัตว์ สรรพชีวิตทั้งหลายได้รับรู้ เพื่อนำเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตตนและคนทั้งปวง



    โดย ผู้จัดการออนไลน์ 24 กันยายน 2546 17:31 น.
     
  2. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,683
    ค่าพลัง:
    +9,239
    "เพราะฉะนั้น พวกเรามีหน้าที่ที่จะทำให้หลุดออกไปจากโลกนี้ให้ได้ แล้วพลัง ๒ ชนิด ที่จะทำให้เราหลุดออกไปจากโลกนี้ก็คือ พลังงานอนันต์ คือ พลังบุญ กับ พลังแห่งจิต นั่นคือ พลังอมตะ"

    ขออนุโมทนาค่ะ


     

แชร์หน้านี้

Loading...