ควอนตั้มฟิสิคส์และจิตที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับผ่านหนังสารคดี What the Bleep do we know

สวัสดีค่ะ มาอัปเดตหนังตอนที่ 4 กับข้อความเกี่ยวกับน้ำที่ ดร. อีโมโต้ ทำการทดลองมาค่ะ ถึงตรงนี้คงจะช่วยให้ทุกท่านเริ่มเข้าใจถึงคำขอที่ ดร.อีโมโต้ส่งข้อความให้คนบนโลกภาวนาและขออภัยแก่น้ำ

หนังเรื่อง What the (Bleep) Do we know หลายท่านก็คงจะเคยดู และหลายท่านคงเบื่อที่จะรอแล้ว เชื่อเถอะค่ะ คุ้มค่าการชมแน่นอน

หนังพูดถึงจิตวิญญาณประสานกายอันเป็นอภิปรัชญาชาวตะวันออก แต่นำมาขยายความโดยวิทยาศาสตร์ตะวันตกที่ถูกทำให้เชื่อว่าเป็นสิ่งเดียวกับความเป็นจริง

ดังนั้นเมื่อเราจะบอกว่าสิ่งใดเป็นจริงเรามักต้องทำให้สิ่งนั้นเป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์เสียก่อน เราถึงจะเชื่อใช่ไหมเนี่ย หนังเรื่องนี้จึงบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ละค่ะ

Bleep ในที่นี้หมายถึงเสียงจากการเซ็นเซอร์ เป็นภาพยนตร์กึ่งสารคดีออกฉายเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2004 (แต่ตอนที่นำมาลงให้ดูเป็นการตัดต่อใหม่ ปี 2006 ค่ะ )

หนังเรื่องนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงมายาคติระหว่างจิตวิญญาณกับความเชื่อ จิตกับกาย ภายในกับภายนอก ควอนตั้มฟิสิคส์กับจิตวิญญาณ

เป็นเรื่องของหญิงสาวพิการที่มีความทรงจำอันเจ็บปวดจนทำให้เธอกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายจนไม่อาจมองเห็นแง่มุมอื่นๆในแต่ละช่วงเหตุการณ์ของชีวิต หนังพูดถึงควอนตั้มฟิสิคส์ที่ให้ความสำคัญของผู้สังเกตว่า จำเป็นต้องมีผู้สังเกตในทุกๆสิ่งมิเช่นนั้นแล้วทุกสิ่งจะอยู่ในสภาวะทับซ้อนกัน(Superposition)

การสังเกตและสิ่งที่รับรู้ สิ่งใดที่กำหนดเส้นทางความเป็นไปได้ในชีวิตเราหรือสิ่งใดที่จะบดบังเราออกจากธรรมชาติอันแท้จริงแห่งเรา หนังได้ถามเราถึงว่าความเป็นจริงคืออะไร วัตถุชิ้นหนึ่งสามารถอยู่ได้หลายที่ในเวลาเดียวกันหรือวัตถุหลายชิ้นอยู่ในที่เดียวกัน

ไม่เห็นแปลว่าไม่มี...หรือเห็นแต่คิดว่าไม่มี...
อาจตอบคำถามในใจหลายๆคน ขอเพียงลองเปิดใจรับฟังเส้นทางความเป็นไปได้ใหม่ๆดูนะคะ

ไม่แน่ว่า หนังเรื่องนี้อาจทำให้ท่านฉุกใจคิดที่ถูกสร้างให้เป็นความเชื่อมาตลอด

หนังถูกแบ่งออกเป็น 12 ตอนซึ่งดิฉันจะทะยอยนำมาลงตามแต่โอกาสอันเหมาะ แน่นอนค่ะสำหรับท่านที่ห่วงเรื่องภาษา เรามีซับ( นรก)ไทยแบบมือใหม่หัดซับมาด้วย

ขอได้รับความขอบคุณจากทีมงานแปลคุณชยุตและคณะ
หมายเหตุ กระทู้นี้เป็นชุดเดียวกันกับกระทู้การเตรียมการอพยพ(คุณชยุต),ครายออน(คุณLadyoflight),Zero point(คุณKindred),Crop Circle(คุณ Threeam)

ตอนที่ 2 อยู่ในรีพลายที่ 13 ค่ะ
ตอนที่ 3 อยู่ในรีพลายที่ 40 ค่ะ

เชิญชมให้สนุกค่ะ
[ame="http://www.youtube.com/watch?v=xgEPHNwaw18"]YouTube - what the bleep do we know 1.0002.mpg[/ame]

 

คุณน้องมารอ ท่านประธาน มาตัดริบบิ้น เปิดวิกค่ะ แหะๆ *0*

คุณพี่เยี่ยมจริงๆเจ้าค่ะ *-*

 

โห... ไม่ทันอาหมวย อะ ม่ะยอมอะ
เตรียมกรรไกรมาด้วย แล้ว ตัดม่ะทัน ....ฮือออ

มี ซับไทยเทิล ด้วย....โอ้ ขอบคุณ

 

55555 เปล่าๆๆๆค่ะ หนูมารอท่านประธานค่ะ

ตัดเลยค่ะ ท่านขรา........... *0*

ขอบพระคุณพี่ริสามั่กๆค่ะ คุณน้องจะได้ไม่ต้องฟังไป เดาไปว่าเค้าพูดอารายหว่า อีกอ่ะค่ะ

 

ทำออกมาได้ดีเยี่ยมจริงๆ ค่ะ

ขอบคุณมากๆที่สละเวลาเเปลข้อมูลนี้ให้คนไทยได้อ่าน

จะติดตามอ่าน ตอนต่อๆไป นะคะ เอาใจช่วยค่ะ

 

ขอบคุณค้า มาตั้งโต๊ะขายป๊อปคอร์นกันเถอะ

 

เนื้อหาของเรื่อง ดีมั๊กมากครับ
ขอตีตั๋ว ชมด้วยคนครับ

 

ว้าว ว้าว ว้าว ขอปรบมือดังๆค่ะ
ประทับใจมากมากค่ะ ทำได้ดีมากๆ แน่ใจนะคะ คุณ sarissa ว่าไม่ใช่มืออาชีพ

ขอบอกทุกท่านว่า เนื้อเรื่องน่าติดตามมาก ดูได้หลายรอบเลย มามะ มาดูกันนะ

 

ขอ ป๊อบคอร์น ที่หนึ่งครับ คุณ Sarissa 555

 

สำหรับแฟนพันธ์แท้ในเรื่อง Quantum มีหนังสือออกใหม่เดือนหน้า ตามมาทางนี้เลยค่ะ
Quantum Buddhism - home

ลองอ่าน Sample Chapter-Why the Quantum?
https://docs.google.com/fileview?id...DMtOTE1NS00NDZhLTg0ZDgtYzc0Y2M2YmFkYjIx&hl=en


[SIZE=-1][/SIZE]

 

มาแล้วครับ มาตั้งตารออ่านเหมือนกันครับ

เพราะรู้แน่ๆว่า ข้อมูลนี้มันจะเชื่อมโยงโลกที่เรารู้จัก
กับโลกที่เราไม่รู้จักเข้าด้วยกัน ได้ค่อนข้างดีทีเดียว

อย่างน้อย คนที่ไม่เคยสนใจหรือเชื่อมาก่อน
ก็คงจะพอได้ฉุกคิดกันขึ้นมาบ้างหละน่า
ว่าทำไม ผลการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในโลกตะวันตกทั้งหลาย
มันจึงออกมาแบบนี้...

โพสต์เร็วๆนะครับคุณริสา..มีแฟนๆรออยู่เพียบ

และก็อีกเล็กน้อยครับ เกี่ยวกับชื่อกระทู้
เอาให้เก๋ไก๋ น่าสนใจ น่าติดตาม มากขึ้นกว่านี้หน่อยดีไหมครับ

.............................

 

ขอบคุณครับ ดีมากๆเลย

 

ตอนที่ 2 ทำใหม่ค่ะ ซํบแบบเห็นใจคนอ่าน

อาจจะต่างจากอันเดิมไปนิดนะคะเพราะไฟล์เก่าหายไป โหลดมาใหม่ มันก็ตัดต่อต่างจากเดิม หาอันเดิมไม่เจอ อันนี้เป็น Edition ปี 2006 ค่ะ


ตอนนี้หนังยังคงชี้ให้เห็นถึงวิธีการที่สมองบันทึกภาพที่เห็น และสร้างภาพนั้นขึ้นมาในสมองและมันก็รู้สึกจริงเช่นเดียวกับตอนที่เห็นวัตถุจริงๆเช่นกัน

ความจริงนั้นเกิดมาจากเพียงการสร้างภาพในสมองและขยาย(project)มันจนสร้างอานุภาคเล็กๆประกอบกันขึ้นมา จากความจริงภายในสู่ความจริงภายนอก จริงหรือ?

หนังเรื่องนี้เชื่อมโยงความคิดกับภาพยนตร์ The Secretเหมือนฝาแฝดอินจัน พูดถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากความคิด
ดูตอนนี้จบแล้วคิดเห็นไงมาแลกเปลี่ยนความคิดกันนะคะ

เพราะจุดประสงค์ในการที่ทีมแปลร่วมกันทำงานมิได้เพียงเพื่อแปลเล่นสนุกๆด้วยความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้นนะคะ

เชิญปูเสื่อ เอาขนม ป๊อปคอร์นมานั่งกินระหว่างชมได้เลยค่ะ ชมให้สนุกนะคะ

[ame="http://www.youtube.com/watch?v=vlhAVI1cAPk"]YouTube - What The Bleep Do We Know 2 of 12 arc[/ame][ame="http://www.youtube.com/watch?v=qqILEriPg24"][/ame]

 

มาแล้วฮะ มาแล้วฮะ ผม สุทัศน์ เองฮะ

ตามติดเลยฮะ หนังเรื่องนี้ หนุกมากเลยฮะ

แอบหนีจ้าว มาดูหนังฮะ เดี๋ยวต้องรีบกลับไปทำงานบ้านต่อฮะ

เดี๋ญวจ้าวเตะเอาฮะ *0*

 

เมื่อดูมาจนถึงตรงนี้ คงจะสามารถสรุป
ให้เข้าใจง่ายๆคือ สิ่งที่คุณเห็นอยู่ตอนนี้
อาจเป็นเพียงภาพมายาจากความเข้าใจ
ที่บิดเบียวในอดีต มันอาจไม่ใช่ความจริง
อย่างที่มันควรจะเป็นก็ได้

 

คุณจันทร์เจ้าว่าเป็นแบบนั้นเหรอคะ แต่ที่ริสาคิดคือสิ่งที่เราสะสมซึมซับไว้ในสมองของเราแล้วเราก็ตีความมันอย่างที่สมองเราคิดว่ามันเป็น แล้วมันก็เป็นจริงๆในโลกของเรา

สิ่งที่เรามองเห็นอยู่ตอนนี้ไม่ว่าสภาวแวดล้อมหรือใดๆก็ตามเกิดขึ้นจากสิ่งที่เราคิดว่ามันเป็น ไม่ว่ามันจะบิดเบี้ยวหรืองดงามเพียงใด สิ่งที่เราเห็นอยู่ขณะนี้ก็เกิดจากการที่สมองเราคิดและขยายมันจนเกิดอนุภาคขึ้น และมันจะเพิ่มมากขึ้นทุกทีตามความคิดที่ใส่ไปและความเชื่อของเรา

เชื่อว่านี่คือ reality มันจึงเป็นreality

 

อือ...น่าคิดนะคะ
ถ้า สมองไม่มีข้อมูล ไม่รู้จัก ไม่เชื่อ
สมองจะเรียบเรียงตีความสิ่งที่ไม่รู้จัก และไม่เชื่อนั้น
ออกมาเป็นอะไร ถ้าไม่มีความทรงจำของสิ่งๆนั้น

ภาพมายานั้นจะเป็นอะไร อย่างเดรดไม่เคยเห็น มนตด.
เดรดไม่มีความทรงจำนี้ เคยเห็นแต่รูป หรือข้อมูลที่คนอื่นเค้าเล่า
แล้ว เดรดก็ไม่เคยเห็น ในแบบที่มีข้อมูลอยู่...

ภาพมายา เกิดจากความเชื่อใช่ไหม?
แล้วถ้าเดรดไม่มีความเชื่อหล่ะ
เดรดจะเห็นไหม...????

เพราะงั้น ถ้าเดรดเห็น มนตด.จริงๆ แล้วเดรดจะรู้ไหม...????
ความเชื่อไม่ได้มาจาก แค่คำบอกเล่า แต่ความเชื่อมันเป็นรอยประทับในสมอง

ขอบคุณ คุณริสามากๆเลย เอาหนังเรื่องนี้มาให้ดู
ทำให้เดรดเข้าใจในสิ่งที่พี่นักเขียน เคยบอกว่า

เราเชื่อสิ่งใด เราก็จะพบเห็นโลกแห่งความเป็นจริงส่วนตัวของเราแบบนั้น
ซึ่งแต่ละบุคคล ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ ที่เหมือนกัน

เพราะแม้ความเชื่อที่คล้องจองกัน ก็ไม่ได้เป็นความเชื่อชุดเดียวกันเสมอไป
เพราะความเชื่อในแต่ละชุด แตกแขนงเส้นทางออกไปได้อีกเป็นอนันต์

มาบ่นให้ฟังจ้า ไปแระ
รีบๆลงต่อนะคะ...กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลย

 

เนื้อหาน่าติดตามเลยครับ

ดูแล้ว มีคำถามเกิดขึ้นมากมายเลย



ถ้าทุกสิ่งที่จะไปประทับในสมอง ในจิตสำนึกนั้น มันต้องผ่านการได้รับรู้ผ่านประสาทสัมผัสมาก่อน

แล้วผู้พิการ จะรับรู้สัญลักษณ์นั้นๆเช่นไร?

ภาพ และสัญลักษณ์ ที่เกิดขึ้นกับคนตาบอด เป็น?

เสียง ที่คนหูหนวก ได้ยินเป็น ?


หรือว่า มีความทรงจำซ้อนๆกันลึกลงไปอีก ที่นอกเหนือจากที่เราเคยเห็นผ่านประสาทสัมผัส


แล้วความเป็นจริง คือ อะไร

 

ขออนุญาติขุด เกรงเจ้าของกระทู้ จะหาไม่เจอ

 

ขอยกตัวอย่างง่ายๆหนึ่งเรื่อง ก็คือ ในสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย คนทั่วไปจะบ่นว่า เป็นเพราะเศรษฐกิจไม่ดี ฉะนั้น เราจึงค้าขายลำบาก แต่เราก็เห็นอยู่เสมอว่า มีผู้ที่ประสบความสำเร็จในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำอยู่เสมอ สังเกตุไหมว่ามีโลกสองโลกซ้อนทับกันอยู่ ตั้งชื่อให้โลกที่เศรษฐกิจเลวร้ายว่าโลกมหภาค แล้วให้ชื่อโลกย่อยของแต่ละคนว่าโลกจุลภาค เราก็จะเห็นคล้อยตามได้ว่า โลกสองโลกที่ซ้อนกันอยู่ ไม่มีความจำเป็นจะต้องเป็นไปในทิศททางเดียวกัน

เกี่ยวไหมเนี่ย ผู้อ่านที่รักทั้งหลาย ลองตรองดูเถิด ว่าท่านเลือกจะสร้างโลกย่อยของท่านอย่างใด
เชื่ออย่างใด ได้สัมผัสอย่างนั้น เป็นแท้แน่เชียวเอย

คำถามก็คือ แล้วเราจะไปตั้งความเชื่อของตนไว้ตรงจุดไหนดีล่ะ สมอง จิต หรือที่ตาตุ่มของเรา
แล้วจะไปแปะความเชื่อไว้ได้อย่างไร ใช้กาว ติดแถบแม่เหล็ก หรือ อื่นๆ
กลไกเหล่านี้แหล่ะที่ตัวข้าพเจ้าอยากรู้ ขอโปรดท่านแบ่งปัน