ถามผู้รู้เรื่อง มโนยิทธิเต็มกำลังแตกต่างจาก มโนยิทธิครึ่งกำลังยังไงครับ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิปจิตัญญู, 13 สิงหาคม 2006.

  1. วิริทธิ์พล

    วิริทธิ์พล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +66
    การฝึกได้ครึ่งกำลัง ก็ไปถึงนิพพานได้เหมือนกัน ต่างกันเพียงภาพสว่างไม่เท่ากัน ทั้งสองแบบดีหมดครับ ตอนฝึกแรกๆผมก็ไม่เข้าใจว่า ฝึกขึ้นไปข้างบนทุกวันจะได้อะไร ผมเลยต้องอ่านคำสอนของหลวงพ่อมากๆเราก็จะเข้าใจยิ่งขึ้นในคำสอนของหลวงพ่อ น้องก็ต้องอ่านมากๆ ก็จะเข้าใจ และจะรู้สึกว่าคำสอนของท่านง่ายมากๆ พยายามรักษาอารมณ์พระโสดาบันไว้ก่อน คือ 1 นึกไว้ทุกวันว่าเราต้องตายแน่ๆ 2 ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง 3 ถือศิลห้าให้บริสุทธิ์ 4 ตั้งใจไว้ทุกวันว่าตายเมื่อใดข้อไปพระนิพพาน อารมณ์นี้ต้องทำให้ได้ ต้องจับลมหายใจไว้ ต้องทำอื่นๆอีกตามที่ท่านสอน ใครชอบแบบไหนก็ทำไป ท่านสอนไว้เพื่อไปนิพพานทั้งนั้น ที่ท่านสอนให้เอาจิตไปนิพพานบ่อยๆก็เพื่อให้เรารักในนิพพานจนชิน พอเวลาเราจะตายจิตเรามันก็จะไปนิพพานเพราะเราชินกับสถานที่นี้แล้ว เรารักที่นี่เราก็จะมาที่นี่ น้องๆก็ขึ้นไปบ่อยๆนะครับ พิมพ์มาตกหล่นไปบ้างก็ข้ออภัยด้วยภาษาไม่ค่อยแข็งแรง บาย
     
  2. อมตะ

    อมตะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +413
    เคยอ่านหนังสือชื่อ บันทึกของชาร์โดว์ เล่มไหนจำไม่ได้ พูดเรื่องมโนมยิทธิไว้ดีมาก (ท่านชาร์โดว์-เป็นนามแฝง ก็เป็นศิษย์รุ่นเก่าขององค์หลวงพ่อเช่นกัน)
     
  3. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    โมทนาสาธุครับ

    ครูฝึกจากวัดมาตอบเองเลยเนี่ย

    สุดยอดไปเลย
     
  4. Pan&R

    Pan&R เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +320
    ต้องขอโทษ ทุก ๆ ท่านนะคะ ที่มาตอบช้าเพราะมีภารกิจยุ่งมากระยะที่ผ่านมา
    และต้องเดินทางไปต่างเมืองด้วยค่ะได้ฝากครูท่านอื่นให้เข้ามาตอบแทนให้

    แต่เข้าใจว่า ท่านอาจหากระทู้นี้ไม่เจอเพราะพวกเราก็ใหม่ สำหรับเว็บบอร์ดนี่นะคะ
    ที่ครูมาตอบคำถามในเว็บนี้เนื่องจากครูต้องเดินทางมาอยู่ต่างประเทศ
    และไม่มีโอกาสไปช่วยสอนที่วัดท่าซุงหรือซอยสายลมน่ะค่ะ
    จึงคิดว่าเมื่อเรามอบกายถวายชีวิตต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    แล้ว ในเรื่องมโนมยิทธิก็อยากจะทำประโยชน์ต่อไปค่ะ
    แต่อาจจะเข้ามาไม่บ่อยมากนัก แล้วแต่จะมีเวลาว่างมากน้อยแค่ไหน
    บางท่านถ้าถามตรงไปยังอีเมลของครูก็อาจได้คำตอบเร็วกว่าค่ะ

    จากคำถามข้างต้น ขออนุญาตตอบรวม ๆดังนี้นะคะ
    <O:p</O:p
    1. คนไม่เคยฝึกมโนมยิทธิมาเลยจะไปฝึกเต็มกำลังได้หรือเปล่า
    <O:pตอบว่า ฝึกได้ค่ะไม่จำเป็นต้องฝึกแบบครึ่งกำลังมาก่อนนะคะ
    พวกครูนี่ รุ่นแรก ๆหลวงพ่อท่านฝึกให้แบบเต็มกำลังค่ะ
    ให้อ่านคำแนะนำการปฏิบัติให้เข้าใจและทำตามนั้นซึ่งทางวัดจะแจกให้ค่ะ
    <O:p</O:p<O:p</O:p
    2. ถ้าคุณไม่เคยฝึกสมาธิแบบไหนมาเลยและคิดว่า ตัวไม่มีบุญ
    ไม่จริงค่ะ หลวงพ่อท่านบอกว่าคนที่มีใจรักและมีความต้องการฝึกพระกรรมฐานนั้น จัดว่า มีบารมี และ คำว่า "บารมี"แปลว่า "กำลังใจ" นะคะ
    <O:p</O:p
    แหม ถ้าจะขยายความมันจะยาวแต่ก็บอกซะหน่อยดีกว่านะท่านว่า
    พวกบารมีต้น นั้น อัธยาศัยท่านชอบทำบุญตามกาลเช่น ใส่บาตรวันสำคัญ
    แต่ถ้าจะให้รักษาศีลท่านไม่สู้ ให้เจริญพระกรรมฐานท่านจะไม่มีเวลา

    ส่วนพวกบารมีกลางนี่ ให้ทำทาน รักษาศีล พอได้ ในวันสำคัญเช่นวันพระเจริญกรรมฐานบ้างได้ แต่ไม่ปรารภพระนิพพาน

    แต่คนที่ไม่อยากเกิดอยากไปนิพพาน และมีใจอยากเจริญพรระกรรมฐาน คนพวกนี้ จัดอยู่ในจำพวกปรมัตถบารมี

    ทีนี้ ก็วัด "บารมี" หรือ "กำลังใจ" ของท่านเอาเองนะคะว่า ท่านจัดอยู่จำพวกไหน
    ถ้าอยากไปนิพพานชาตินี้ละก้อ เชื่อได้ว่า ท่านทำมาก่อน จนกำลังใจเข้มข้นแล้วมาชาตินี้ ก็เลยอยากทำต่อ อย่าคิดว่า ไม่มีบารมี หรือไม่มีบุญเลยค่ะ ใครยังไม่ได้ทำก็เริ่มซะเลยค่ะ ไม่มีเวลาไปวัด ก็ทำเองที่บ้านได้
    <O:p
    3. การฝึกมโนมยิทธิแบบ "เต็มกำลัง"แต่ไม่มีกระดาษพระคาถา คาดหน้า จะไปได้หรือไม่
    ถ้าวางกำลังใจได้ถูกต้องก็ไปได้ค่ะ แต่ถ้าอยากสบายใจ ก็ไปขอลอกพระคาถา ไว้สำหรับปฏิบัติเองที่บ้านาได้ค่ะ เขียนไม่ยากนั่นคือ "นะ โมพุท ธา ยะ" คือ พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ที่ทรงสงเคราะห์อยู่เวลาฝึกน่ะเอง ถ้าไม่มี ก็ให้นึกถึงท่านแทนโดยอธิษฐานจิตก่อนลงมือปฏิบัติ
    <O:p</O:p
    4. การฝึกไม่ว่า จะแบบ "เต็มกำลัง"หรือ "ครึ่งกำลัง"นั่นเป็นเพียงเครื่องพิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า "นิพพาน"มีจริง และมีความสุขอย่างไร
    แต่ท่านนักปฏิบัติทั้งหลาย คะเราทุกคนก็ยังเป็นคนธรรมดาที่มีกิเลสทุกอย่าง ถ้าท่านไม่รักษาศีล มโนมยิทธิของท่านก็จะเสื่อม หรือ ถ้าหลงตัวว่าคล่องและเก่ง อารมณ์เฝือก็จะแทรกได้

    <O:pดังนั้นเมื่อท่านปฏิบัติแบบใดแบบหนึ่งได้แล้ว
    ท่านต้องเร่งรัดตนเองด้วยการ <O:p</O:pศึกษาอารมณ์พระโสดาบันและพยายามทรงอารมณ์ตามนั้น<O:p
    มโนมยิทธิจะมีความแจ่มใสได้ ท่านต้องมี "ศีล สมาธิ และปัญญา" เสมอกัน

    ดังนั้นท่านต้องรักษาศีล 5 อย่างที่เรียกว่า ยอมตายดีกว่าให้ศีลขาด
    <O:pแบ่งเวลาสำหรับฝึกสมาธิ คืออานาปานสติกรรมฐาน คือ รู้ลมหายใจเข้า - ออก และภาวนา โดยไม่ใช้จิตท่องเที่ยวไปไหนเพื่อให้มีกำลังฌานที่ทรงตัว
    <O:pและหมั่นพิจารณาในวิปัสสณาญาณ คือมองเห็นทุกอย่างในโลกนี้ เป็นอนิจจัง ทุขขัง อนัตตา แนวทางการพิจารณาเหล่านี้ให้อ่านหนังสือหลวงพ่อค่ะ คือศึกษาใน กรรมฐาน 40<O:p
    <O:p</O:p
    ทีนี้ ท่านนักปฏิบัติทั้งหลายท่านชอบวัดเความเก่งของตัวเอง ว่านั่งได้นานเท่านั้นเท่านี้ หรือ ต้องเห็นชัดประมาณ นั้น ประมาณ นี้ อันนี้ ไม่ถูกค่ะ
    <O:pนั่งได้ทนนานเป็นเรื่องของสังขารด้วยนะ เราบังคับไม่ได้ เห็นชัด หรือไม่ชัดมันก็ขึ้นอยู่กับสภาวะร่างกายและกำลังใจแต่ละวัน เราเป็นปุถุชน ไม่ใช่พระอรหันต์จะเห็นได้ชัดตลอดเวลาไม่ได้

    <O:pการวัดกำลังใจของท่าน ให้ตัดสังโยชน์หรือทรงอรมณ์พระโสดาบัน
    ตามแนวทางที่หลวงพ่อสอน คือ รักษาศีล 5 เป็นปกติเคารพในพระรัตนตรัยด้วยศรัทธาแท้
    ไม่สงสัย คิดเสมอว่า เราเกิดมาเพื่อตายมองเห็นควาไม่เที่ยงในชีวิต จึงรักพระนิพพานเป็นอรมรณ์
    คิดเสมอว่าถ้าเราตายเมื่อใหร่ เราจะไปนิพพาน โดยตื่นนอนตอนเช้า ตั้งอารมณ์ทันทีว่า
    ถ้าวันนี้เราตาย เราจะขอไปพระนิพพาน แม้เวลาก่อนจะหลับ ก็ให้นึกเช่นนี้เหมือนกัน คือ ถ้าคืนนี้ร่างกายของเราตาย เราขอไปพระนิพพาน ทำอารมณ์ให้มั่นคงในพริพพานพาน


    สำหรับญาณ 8 นั้นฝึกให้คล่องก็เพื่อให้ท่านปลงธรรมสังเวช อย่าไปติดว่าท่านเก่ง สามารถไปดูนั่น ดูนี่ได้ นั่นเป็นเพียงฌานโลกีย์ ยังเสื่อมได้ และลงนรกได้ นะคะ เราใช้ให้คล่องเพื่อให้เราเห็นว่า ชาติไหน ก็ก็เป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ แล้วเกิดชาติไหน ก็ตายทุกชาติ อะไร ๆ ที่ว่าดี ก็เคยเป็นมาแล้ว อะไร ๆ ที่ว่าเลว ก็เป็นมาแล้ว จงหยุดได้แล้ว ไปนิพพานกันเสียที


    หลวงพ่อ บอกว่า "ขณะจิตใด ที่ลูกรู้สึกว่า เราดี จงรู้ว่า เวลานั้น เราเลวที่สุด" ตราบใดที่เรายังไม่ถึงซึ่งพระนิพพาน จงอย่าเห็นว่า ตัวเราดี ตราบใดเรายังมีร่งกายที่เป็นมนุษย์ คำว่า "ดี" จะไม่มีสำรหับเรา

    ดังนั้น ลูกหลานหลวงพ่อทุกคนนะคะ เราจงสะสมความดีของเราทุกวันให้น้ำเต็มตุ่ม เร่งสำรวจหาความไม่ดีของตนเองเพื่อแก้ไข ไม่สนใจในจริยาของบุคคลอื่น เพราะไม่ใช่ธุระของเรา และใครยังไม่ได้เริ่มฝึก แต่มีศรัทธาที่จะฝึก ก็ตัดสินใจฝึกซะเลยนะคะ
     
  5. den_siam2523

    den_siam2523 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2006
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +2,267
    สาธุ โมทนาครับ ตอนนี้ผมก็นั่งฝึกที่บ้านครับ จิตรุ้สึกสงบขึ้นดี ชาตินี้ก็คงได้เห้นธรรมก็คงจะเป้นกุศลนัก
     
  6. Pan&R

    Pan&R เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +320
    คุณ Den Siam2523 คะ คำว่า "เห็นธรรม" นี่ คงไม่ยากหรอกค่ะ
    อันนี้ เป็นการสนธนาธรรม กันเฉย ๆ นะ ไม่ใช่การแนะนำ นะคะ
    พี่เคยได้ยินหลวงพ่อสอนเสมอ ๆ ว่า การปฏิบัติธรรม เราเริ่มจาก "สัญญา" คือ "ความจำ" จำในสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอน และหลวงพ่อถ่ายทอดให้เรา คือ
    "ชีวิต ทุกชีวิต มีสภาพไม่เที่ยง (เรามุ่งเน้นที่พิจารณาตัวเรา) เกิดมาแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คือ เมื่อเด็กเล็ก ก็เจริญวัย เมื่อโตขึ้น ก็ไปสู่ความแก่ชรา ถ้าเราทำใจยอมรับว่า นี่เป็นกฏธรรมดาของโลก เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ก็ไม่มีอารมณ์ฝืน เราก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้าเรามีอารมณ์ฝืน อยากจะให้ร่างกายเป็นหนุ่มเป็นสาว ตลอดกาล ไม่อยากแก่ ไม่อยากป่วย ไม่อยากตาย เราก็เป็นทุกข์ เพราะเราไม่สามารถบังคับร่างกายได้ ดังนี้น เราจึงควรยอมรับกฎของธรรมชาติ คือ การเปลี่ยนแปลง ความเสื่อมลงของสังขาร และในที่สุด มันก็ต้องตาย การทรงอยู่ของร่างกาย เราก็มีแต่ความทุกข์ เพราะเราต้องประกอบกิจการงานเพื่อหาปัจจัยมาบำรุงร่างกาย แต่ร่างกายไม่เคยอิ่มตลอดกาล ร่างกายมีแต่ความต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้ตลอดเวลา จำบำรุงเท่าไร ก็ยังทุกข์ จะบำรุ่งเท่าไรก็ยังต้องแก่ จะบำรุงเท่าไร ก็ยังต้องป่วย และในที่สุด ความตายก็จะเข้ามาถึงอยู่ดี เราจึงควรรู้เท่าทันว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา และเราจะยึดเป็นที่พึ่งไม่ได้ การยึดถือร่างกายว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา มีแต่จะทำให้เราทุกข์ เราควรยึด "พระนิพพาน" ดีกว่า คิดว่า เมื่อร่างกายเลว ๆ แบบนี้ตายลง เราจะไป"พระนิพพาน" คิดไว้อย่างนี้เสมอ การคิดตามครูนี้ ท่านเรียกว่า "สัญญา" คือจำเอามาคิด
    แต่ถ้าเราคิดบ่อยๆ คิดทุกวัน และวันละหลาย ๆ ครั้ง เมื่อเราประสบกับความไม่ชอบใจอะไรในชีวิตประจำวัน ก็จงบอกตัวเองว่า นี่เพราะเราเกิดมาในโลก เราก็หลีกเลี่ยงความไม่สมหวัง หรือความกระทบกระทั่งในอารมณ์ไม่ได้ และนึกไว้ทันทีว่า นี่ถ้าเราไม่เกิด เราก็ไม่ต้องประสบกับสิ่งเหล่านี้ ฉะนั้น เราขอมีชีวิตเป็นมนุษย์ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แล้วเราจะไป "พระนิพพาน"

    หลวงพ่อบอกว่า คิดมาก ๆ เข้า ต่อไปตัว "ปัญญา" จะเกิด
    เราเบื่อการเกิด ก็เบื่อแบบ "คนมีกิเลส" ไม่ใช่เบื่อแบบ "นิพพิทาญาณ" คือ เบื่อด้วยปัญญา ที่มองเห็นธรรม

    พี่จึงเล่าสู่กันฟังว่า ก่อนที่เราจะเกิด "ปัญญา" เราก็ต้องพิจารณาบ่อย ๆ แบบ "สัญญา" (หรือความจำ) ไปก่อนค่ะ ถ้าเราไม่เริ่มพิจารณาเลย ปัญญา จะเกิดไม่ได้ การเกิดปัญญาในธรรมนั้น เป็นเรื่องที่ต้องนำ "ธัมมะ" มาพิจารณาบ่อย ๆ จนอารมณ์สืบเนื่องและพิจารณาเห็นจริงด้วย "ปัญญา" ค่ะ ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบอก การตัดกิเลส สั้น ๆ และเร็วที่สุด ก็คือ ตัดการเป็น "ตัวเรา" นี่แหละ และทำจิตของเราให้ "รักพระนิพพาน" เป็นอารมณ์
    ถ้าได้มโนมยิทธิ ก็ยิ่งดี จะได้เอาจิตไปเกาะที่ "พระนิพพาน" บ่อย ๆ ค่ะ
     
  7. varanyo

    varanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    925
    ค่าพลัง:
    +3,373
    ขออนุโมทนาสาธุครับสำหรับคำตอบของคุณ Pan&R...
    ถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไรคงจะได้มาฝึกที่วัดท่าซุง...คือฝึกแบบเต็มกำลังไปเลยช่วงเดือนธันวาคมนี้นะครับ...ซึ่งผมเองก็ยังไม่เคยฝึกมะโนมยิทธิที่ไหนมาก่อน...ขอบคุณครับ...
     
  8. pat3112

    pat3112 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    373
    ค่าพลัง:
    +2,904
    โมทนาสาธุครับ ที่ให้ความกระจ่างทุกๆคนครับ ผมเร่งรัดหน่อยเวลาน้อยจัง
     
  9. camrymax

    camrymax นายองครักษ์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    468
    ค่าพลัง:
    +1,257
    อนุโมทนา กับทุกๆท่านที่ให้ความรู้ ใน มโนยิทธิ นี้ด้วยนะครับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...